Inside ปีที่ 4 ฉบับที่ 1.Indd

Total Page:16

File Type:pdf, Size:1020Kb

Inside ปีที่ 4 ฉบับที่ 1.Indd THAI JOURNAL OF BOTANY 4 (1): 1-13. 2012. บทความวิชาการ วารสารพฤกษศาสตรไทย 4 (1): 1-13. 2555. ไลเคนกับการใชเปนยารักษาโรค Lichen for Traditional Medicine ขวัญเรือน พาปอง* KHWANRUAN PAPONG* ภาควชาชิ ววี ทยาและพิ พิ ธภิ ณฑั เห ดท็ มี่ ฤทธี ทางยาิ์ คณะวทยาศาสตริ มหาวทยาลิ ยมหาสารคามั จ.มหาสารคาม 44150 Department of Biology and Medicinal Mushroom Museum, Faculty of Science, Mahasarakham University, Maha Sarakham 44150, Thailand บทคัดยอ. ไลเคนเปนสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรเห็ดรามีรูปแบบการเจริญเติบโตที่เปนเอกลักษณ คือ การเจริญเติบโตอยูรวมกันแบบพึ่งพาอาศัยระหวางสาหรายและรา จากรายงานการใชไลเคนเปนยา พบในรายงานของภูมิปญญาของชาวอินเดีย (traditional Indian medicine) ภูมิปญญาของชาวจีน (traditional Chinese medicine) และภูมิปญญาของชาวยุโรป (homeopathic and western medical herbals) โดยพบวาหลายโรคท มี่ การใชี ไลเคนในการร กษาั เชน โรคไขขออ กเสบั โรคผมรวง โรคทองผ กู โรคไต โรคเรื้อน โรคคอหอยอักเสบ โรคพิษสุนัขบา โรคติดเชื้อ โรคพยาธิและการติดเชื้อหนอนพยาธิ มีรายงานการนำสารธรรมชาติที่ไลเคนสรางขึ้นไปใชเปนยาในภูมิปญญาทองถิ่นอยางกวางขวาง เชน กรดอุสนิค (usnic acid) และสารแอทราโนริน (atranorin) นอกจากนี้มีการทดสอบสารธรรมชาติของ ไลเคนในสัตวทดลอง เชน เพื่อยับยั้งจุลชีพกอโรค ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลลมะเร็ง และเพิ่ม ประสิทธิภาพใหกับภูมิคุมกัน ดังนั้นสารธรรมชาติที่ไลเคนสรางขึ้นมามีรายงานถึงศักยภาพการนำไป ใชประโยชนเปนยารักษาโรคอยางกวางขวาง ABSTRACT. Lichens are a unique life style in the Kingdom Fungi. They are a symbiosis between algae or cyanobacteria and fungi. They have been used in traditional medicine; including traditional Indian medicine, traditional Chinese medicine, homeopathy and western medical herbals. The diverse diseases for which lichens have been used include arthritis, alopecia, constipation, kidney diseases, leprosy, pharyngitis, rabies, infections, worms and infestation. The secondary metabolites, such as usnic acid and atranorin have been reported * Corresponding author: [email protected] Received: 24 February 2012 Accepted: 15 June 2012 2 ขวัญเรือน พาปอง to be bioactive in traditional medicine. Animal investigations on secondary metabolites of lichens have demonstrated antimicrobial, antitumor and immunomodulatory activity. Therefore, the secondary compounds in lichens have high potential of medical use. คำสำคัญ: ไลเคน, ภูมิปญญา KEYWORDS: Lichen, traditional medicine บทนำ medicine) หรือเรียกวา อายุรเวช (ayurveda) จากภูมิปญญาของชาวจีน (traditional Chinese สงม่ิ ชี วี ตทิ เร่ี ยกวี า ไลเคน จดอยั ในอาณาจู กรั medicine) และภูมิปญญาของชาวยุโรป เห็ดรา (Kingdom Fungi) สวนใหญอยูใน (homeopathic and western medical herbals) ดิวิชั่นแอสโคไมโคตา (Division Ascomycota) (Agelet & Vallës, 2003) คำวา “ไลเคน” ในการ รายงานวามากถึงรอยละ 98 (ประมาณ 13,500 รักษาโรคซึ่งตรงกับภาษากรีกในคำวา “ลีโพรัส ชนิด) และอยูดิวิชั่นเบสิดิโอไมโคตา (Division (leprous)” ซึ่งอางถึงการรักษาโรคผิวหนังโดย Basidiomycota) พบเพียงรอยละ 0.3 (ประมาณ วธิ การทำใหี ผ วกำพริ าหล ดลอกออกซุ งใช่ึ ประโยชน 50 ชนิด) นอกจากนี้เปนราในกลุมแอนามอฟก ในเรองทำให่ื ผ วสวยอิ อนเยาว ได เช นก นั นอกจากน้ี (Anamorphic fungi) อีกรอยละ 1.5 (ประมาณ มีรายงานการใชไลเคน Lobaria pulmonaria 200 ชนิด) (Hawksworth, 1988; Honegger, รักษาโรคปอดและโรคที่เกี่ยวกับสมองโดยใช 1992; Hawksworth & Honegger, 1994; Kirk ไลเคน Parmelia sulcata (Rizzini, 1952) และ et al., 2001) จากไลเคนเกือบ 20,000 ชนิด มรายงานการรี กษาโรคดั ซี านจากไลเคน Xanthoria พบวาไลเคนหลายชนิดมีศักยภาพในการใชเปน parietina (Bown, 2001) ยารักษาโรคไดและไลเคนบางชนิดสามารถ หลังจากนั้นพบรายงานในศตวรรษที่ 18 ใช รับประทานได (Chevallier, 1996) เนื่องจาก ไลเคน Evernia furfuracea เปนยาครั้งแรก ไลเคนบางชนิดผลิตสารธรรมชาติที่เปนพิษ (Launert, 1981) นอกจากนม้ี ไลเคนอี กหลายชนี ดิ (toxic substance) ดังนั้นการนำไลเคนไป ที่มีหลักฐานอางอิงวาใชรักษาอาการไอ รักษา รับประทานหรือใชรักษาโรคตองพึงระวังและ อาการโรคตัวเหลือง รักษาอาการโรคกลัวน้ำ หลีกเลี่ยงชนิดที่สรางสารธรรมชาติที่เปนพิษ และรักษาอาการโรคผมรวง (Pereira, 1853) ดวยเชนกัน (Agelet & Vallës, 2003) และจากบันทึกการใชสมุนไพรเปนยารักษาโรค พบการใชไลเคนอีกหลายชนิดในสกุล Cladonia, หลักฐานภูมิปญญาการใชไลเคนเปนยา Evernia, Lobaria, Parmelia, Peltigera, จากรายงานพบหลักฐานการใชประโยชน Pertusaria, Physia, Rocella, Usnea และ จากไลเคนตั้งแตศตวรรษที่ 15 จากบันทึกของ Xanthoria (Perez-Llano, 1944b) ภูมิปญญาของชาวอินเดีย (traditional Indian ไลเคนกับการใชเปนยารักษาโรค 3 จากหลักฐานภูมิปญญาการใชไลเคนเปนยา การใชสารธรรมชาต จากไลเคนยิ บยั งแบคท้ั เรี ยี รกษาโรคั พบวาม การใชี ไลเคนหลายชน ดในสกิ ลุ กอใหเกิดโรค Peltigera คนทองถิ่นในประเทศไอรแลนด ใช ความพิเศษของสารธรรมชาติจากไลเคน P. aphthosa เปนยาถายพยาธิ (vermifuge) และ ที่สามารถนำไปใชเปนยาปฏิชีวนะ (antibiotic) P. canina เปนยาระบายอยางออน (laxative) สรางความตื่นเตนใหกับนักวิทยาศาสตรตั้งแต (ตารางที่ 1) นอกจากนี้ยังพบสูตรการใชไลเคน คริสตศตวรรษที่ 15 (Lawrey, 1986) ในป ค.ศ. เปนยารักษาโรคพิษสุนัขบาหรือโรคกลัวน้ำ โดย 1944 Burkholder และคณะ ไดริเริ่มคนควา ใชไลเคน Peltigera sp. หมักกับพริกไทยดำไว เกยวก่ี บการนำสารธรรมชาตั จากไลเคนไปใชิ ย บยั ง้ั เปนเวลา 4 วัน หลังจากนั้นนำมาผสมกับนมอุน แบคทเรี ียกอใหเกดโรคิ จากผลการทดสอบความ ½ ไพน (pint) ใชดื่มเพื่อรักษาอาการของโรค สามารถในการนำไปใชเป นยาปฏ ชิ วนะี จากไลเคน ดังกลาว 42 ชนิด พบวา 27 ชนิด มีความสามารถยับยั้ง การเจริญเติบโตของแบคทีเรียได (Burkholder หลักฐานการใชสารธรรมชาติจากไลเคน et al., 1944; Bylicka, 1952; Vartia, 1973) เปนยา สารธรรมชาติจากไลเคนที่มีรายงานการนำ สารธรรมชาติจากไลเคนหรือสารทุติยภูมิ ไปใชเปนยาปฏิชีวนะมากที่สุดสารหนึ่งคือ กรด (lichen metabolites) มีการใชประโยชนอยาง อุสนิค (Mordraksi, 1956; Shibamoto & Wei, แพรหลายในการยับยั้งจุลชีพตางๆ เชน ยับยั้ง 1984; Rowe et al., 1991; Dobrescu et al., แบคทีเรียกอใหเกิดโรค (anti-mycobacterial) 1993; Abo-Khatwa et al., 1996; Rowe et al., ตานไวรัส (antiviral) ยับยั้งอาการอักเสบหรือ 1999; Cocchietto, et al., 2002) นอกจากนี้ ใชเปนยาตานการอักเสบ (anti-inflammatory) ยงพบวั าม สารธรรมชาตี อิ กหลายชนี ดทิ ม่ี รายงานี ยาระงับปวด (analgesic) ยาลดไข (antipyretic) การใชเป นยาปฏ ชิ วนะี เชน กรดวลพู นิ คิ (vulpinic ยับยั้งการเพิ่มจำนวนเซลล (anti-proliferative) acid) และแอทราโนรนิ (atranorin) แตพบรายงาน และยับยั้งความเปนพิษตอเซลลสิ่งมีชีวิตที่มีผล การใชสารแอทราโนรินนอยกวา (Lawrey, 1986; จากการใชยาหรือสารเคมี (cytotoxic effects) Lauterwein et al., 1995) สารธรรมชาตจากไลเคนิ เหนได็ ว าป จจ บุ นมั การนำสารธรรมชาตี จากไลเคนิ ในกลุมที่เปนกรด เชน กรดอุสนิค กรดอีเวอมิค มาใชประโยชนเพิ่มขึ้นมากมาย แตอยางไรก็ตาม (evermic acid) และ กรดวูลพินิค พบรายงาน ยังไมพบการตรวจสอบและรายงานมากนัก การยบยั งการเจร้ั ญเติ บโตของแบคทิ เรี ยแกรมบวกี เกยวก่ี บการนำสารธรรมชาตั จากไลเคนไปใชิ เป น ไดดี เชน Staphylococcus aureus, Bacillus ยารักษาอาการของโรคตางๆ จนหายขาด subtilis และ B. megaterium แตพบวาสาร (Müller, 2002) การนำสารจากไลเคนไปใช ในกลุมที่เปนกรดนี้ไมสามารถยับยั้งการเจริญ ประโยชนมีขอจำกัดอาจเนื่องมาจากกลุมของ เตบโตของแบคทิ เรี ยแกรมลบไดี เชน Escherichia สารทุติยภูมิที่ไลเคนแตละชนิดสรางขึ้นมา coli และ Pseudomonas aeruginosa (Lawrey, (Boustie & Grube, 2005) 1986) 4 ขวัญเรือน พาปอง นอกจากนย้ี งพบวั าสารสก ดจากไลเคนทั สก่ี ดั การใชสารธรรมชาติจากไลเคนเปนสารตาน ดวยตัวทำละลายที่แตกตางกัน เชน อะซิโตน อนุมูลอิสระ (acetone) แอลกอฮอล (alcohol) คลอโรฟอรม สารธรรมชาตจากไลเคนหลายชนิ ดมิ รายงานี (chloroform) ไดเอทิลอีเทอร (diethyl ether) การนำไปใชเปนสารตานอนุมูลอิสระ เชน สาร เอทานอล (ethanol) เมทานอล (methanol) และ ฟโนลิค (phenolic) สารเมทิลออเซนิลเลต ปโตรเลียมอีเทอร (petroleum ether) จากไลเคน (methyl orsenillate) กรดออเซนิลลิค (orsenillic หลายชนิดสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของ acid) สารแอทราโนรนิ กรดเลคาโนรคิ (lecanoric แบคทีเรียไดหลายชนิด (ตารางที่ 2) acid) และกรดสติกติก (stictic acid) โดย สารธรรมชาติดังกลาวพบในไลเคน Cetraria การใชสารธรรมชาติจากไลเคนยับยั้งเชื้อรา islandica (Gülcin et al., 2002) Parmotrema กอใหเกิดโรค stuppeum (Jayapraksha & Rao, 2000) และ สารธรรมชาติจากไลเคนหลายชนิดมีฤทธิ์ Usnea articulata (Lohèzic-Le Dèvèhat et al., ในการยับยั้งเชื้อรากอใหเกิดโรคได เชน สาร 2007) พาไรติน (parietin) สารแอนทราควิโนน (anthraquinone) โดยใชตัวทำละลายเมทานอล การใชสารธรรมชาติจากไลเคนตานเซลล (Manojlovic et al., 2005) นอกจากนี้ยังมี มะเร็ง รายงานการนำสารธรรมชาติจากไลเคนไปยับยั้ง การศึกษาการใชสารธรรมชาติจากไลเคน เชื้อรากอโรคพืชบางชนิด ไดแก Microsporum ตอตานเซลลมะเร็งในระดับหองปฏิบัติการพบวา gypseum, Trichophyton mentagrophytes มีสารหลายชนิดมีความสามารถในการยับยั้ง และ T. rubrum โดยใชสารสกัดจากไลเคน การเจริญของเซลลมะเร็งได เชน สารแพนนาริน Protousnea poeppigii และ Usnea florida (pannarin) สารออซนอลิ (orcinol) สารเทนนออรู นิ var. rigida ซึ่งประกอบดวยสารธรรมชาติ เชน (tenuiorin) และสารเมทิลออเซลลิเนต (methyl กรดไอโซไดวาริคาติค (iso-divaricatic acid) orsellinate) จากไลเคน Peltigera leucophlebia 5-โพรพลิเรสออคินอล (5-propylresorcinol) นอกจากนี้พบวาสารเทนนูออรินสามารถยับยั้ง กรดไดวารคาติ คิ (divaricatic acid) และกรดอสนุ คิ การเจริญเติบโตของเซลลมะเร็งเตานม (breast cancer) เซลลมะเร งต็ บอั อน (pancreatic cancer) การใชสารธรรมชาต จากไลเคนยิ บยั งเช้ั อไวร้ื สั และเซลลมะเร็งลำไสใหญ (colon cancer) ใน รายงานการใชสารธรรมชาติจากไลเคน เซลลไลน (cell lines) (Ingolfsdottir et al., ยับยั้งเชื้อไวรัสมีคอนขางนอย สารธรรมชาติ 2002) สารสกัดไบแอนทราควิโนน ไกลโคไซด ชนิดที่นำไปทดสอบ คือ กรดอุสนิคสกัดจาก (bianthraquinone glycosides) และสารคอเลเฟลค ไลเคน Teloschistes chrysophthalmus และ ซโนไซดิ (colleflaccinosides) จากไลเคน Collema สารพาไรตินสกัดจากไลเคน Ramalina celastri flaccidum มีผลยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล (Fazio et al., 2007) มะเรงได็ เช นก นั (Rezanka & Dembitsky, 2006) ไลเคนกับการใชเปนยารักษาโรค 5 การใชสารธรรมชาติจากไลเคนเปนสารเพิ่ม (Huneck & Yoshimura, 1996; Mathey et al., ประสิทธิภาพภูมิคุมกัน 2002; Papadopoulou et al., 2007) แตอย างไร ก็ตาม ยังมีการรายงานการพบสารธรรมชาติ ปจจ บุ นมั การใชี สารจากธรรมชาต หลากหลายิ ชนิดใหมๆ เพิ่มขึ้น อาจเนื่องมาจากการศึกษา ชนิด เพื่อเปนสารกระตุนภูมิคุมกันในรางกาย วิจัยเกี่ยวกับไลเคนไดรับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตรและคนทั่วไปใหความสนใจ
Recommended publications
  • Ethnobotanical Study on Wild Edible Plants Used by Three Trans-Boundary Ethnic Groups in Jiangcheng County, Pu’Er, Southwest China
    Ethnobotanical study on wild edible plants used by three trans-boundary ethnic groups in Jiangcheng County, Pu’er, Southwest China Yilin Cao Agriculture Service Center, Zhengdong Township, Pu'er City, Yunnan China ren li ( [email protected] ) Xishuangbanna Tropical Botanical Garden https://orcid.org/0000-0003-0810-0359 Shishun Zhou Shoutheast Asia Biodiversity Research Institute, Chinese Academy of Sciences & Center for Integrative Conservation, Xishuangbanna Tropical Botanical Garden, Chinese Academy of Sciences Liang Song Southeast Asia Biodiversity Research Institute, Chinese Academy of Sciences & Center for Intergrative Conservation, Xishuangbanna Tropical Botanical Garden, Chinese Academy of Sciences Ruichang Quan Southeast Asia Biodiversity Research Institute, Chinese Academy of Sciences & Center for Integrative Conservation, Xishuangbanna Tropical Botanical Garden, Chinese Academy of Sciences Huabin Hu CAS Key Laboratory of Tropical Plant Resources and Sustainable Use, Xishuangbanna Tropical Botanical Garden, Chinese Academy of Sciences Research Keywords: wild edible plants, trans-boundary ethnic groups, traditional knowledge, conservation and sustainable use, Jiangcheng County Posted Date: September 29th, 2020 DOI: https://doi.org/10.21203/rs.3.rs-40805/v2 License: This work is licensed under a Creative Commons Attribution 4.0 International License. Read Full License Version of Record: A version of this preprint was published on October 27th, 2020. See the published version at https://doi.org/10.1186/s13002-020-00420-1. Page 1/35 Abstract Background: Dai, Hani, and Yao people, in the trans-boundary region between China, Laos, and Vietnam, have gathered plentiful traditional knowledge about wild edible plants during their long history of understanding and using natural resources. The ecologically rich environment and the multi-ethnic integration provide a valuable foundation and driving force for high biodiversity and cultural diversity in this region.
    [Show full text]
  • Pollen of Ceratostema (Ericaceae, Vaccinieae) : Tetrads Without Septa
    Title Pollen of Ceratostema (Ericaceae, Vaccinieae) : tetrads without septa Author(s) Sarwar, A. K. M. Golam; Ito, Toshiaki; Takahashi, Hideki Journal of Plant Research, 119(6), 685-688 Citation https://doi.org/10.1007/s10265-006-0029-0 Issue Date 2006-11 Doc URL http://hdl.handle.net/2115/17220 Rights The original publication is available at www.springerlink.com Type article (author version) File Information JPR119-6.pdf Instructions for use Hokkaido University Collection of Scholarly and Academic Papers : HUSCAP 1 Short Communication Pollen of Ceratostema Jussieu (Ericaceae, Vaccinieae): tetrads without septa Abstract The pollen morphology of two species of the Neotropical genus Ceratostema (Ericaceae) was examined by light, scanning and transmission electron microscopy. The Ceratostema species examined have 3-colporate pollen grains united in permanent tetrahedral tetrads that show a common condition encountered in the Ericaceae. But the septal exine was absent between two neighboring grains in each pollen tetrad of Ceratostema. The pollen tetrads without septa are the first report for the Ericaceae as well as other angiosperm families. Key words Ceratostema, pollen morphology, tetrad without septum Introduction Ceratostema Jussieu (Ericaceae: Vaccinioideae, Vaccinieae) is a genus composed of about 33 species of Neotropical blueberries, ranging from southern Colombia to northern Peru, with a disjunct species in Guyana (Lutyen 2002). Previously, pollen morphology of two Ceratostema species has been studied under only the scanning electron microscope (Lutyen 1978; Maguire et al. 1978), and was described as having tetrahedral tetrads, with viscin threads absent. The tetrad diameter for one species; C. glandulifera, was 22 – 23 µm, with an exine sculpture that was microverrucate to microrugulate with aperture margins and distal poles somewhat psilate.
    [Show full text]
  • Karakterisasi Simplisia Dan Uji Aktivitas Antioksidan Ekstrak Etanol Daun Sintrong Skripsi Oleh: Putri Wulan Sari Nim 151501074
    KARAKTERISASI SIMPLISIA DAN UJI AKTIVITAS ANTIOKSIDAN EKSTRAK ETANOL DAUN SINTRONG (Crassocephalum crepidioides (Benth.) S. Moore) METODE DPPH (1,1-diphenyl-2-picrylhidrazil) SKRIPSI OLEH: PUTRI WULAN SARI NIM 151501074 PROGRAM STUDI SARJANA FARMASI FAKULTAS FARMASI UNIVERSITAS SUMATERA UTARA MEDAN 2020 UNIVERSITAS SUMATERA UTARA KARAKTERISASI SIMPLISIA DAN UJI AKTIVITAS ANTIOKSIDAN EKSTRAK ETANOL DAUN SINTRONG (Crassocephalum crepidioides (Benth.) S. Moore) METODE DPPH (1,1-diphenyl-2-picrylhidrazil) SKRIPSI Diajukan sebagai salah satu syarat untuk memperoleh gelar Sarjana Farmasi pada Fakultas Farmasi Universitas Sumatera Utara OLEH: PUTRI WULAN SARI NIM 151501074 PROGRAM STUDI SARJANA FARMASI FAKULTAS FARMASI UNIVERSITAS SUMATERA UTARA MEDAN 2020 UNIVERSITAS SUMATERA UTARA PENGESAHAN SKRIPSI KARAKTERISASI SIMPLISIA DAN UJI AKTIVITAS ANTIOKSIDAN EKSTRAK ETANOL DAUN SINTRONG (Crassocephalum crepidioides (Benth.) S. Moore) METODE DPPH (1,1-diphenyl-2-picrylhidrazil) OLEH: PUTRI WULAN SARI NIM 151501074 Dipertahankan di Hadapan Penguji Skripsi Fakultas Farmasi Universitas Sumatera Utara pada Tanggal: 03 Maret 2020 Disetujui oleh: Panitia Penguji: Pembimbing, Dra. Suwarti Aris, M.Si., Apt Prof. Dr. Jansen Silalahi, M.App.Sc., Apt. NUP 990100000 NIP 195006071979031001 Dra. Suwarti Aris, M.Si., Apt Ketua Program Studi Sarjana Farmasi, NUP 990100000 Dr. Sumaiyah, M.Si., Apt. Dra. Erly Sitompul, M.Si., Apt. NIP 197712262008122002 NIP 1950066121980032001 Medan, 03 Maret 2020 Disahkan Oleh: Dekan Prof. Dr. Masfria, M.S., Apt. NIP 19570723198601200 UNIVERSITAS SUMATERA UTARA KATA PENGANTAR Puji syukur penulis ucapkan kepada Allah Swt yang telah memberikan karunia yang berlimpah sehingga penulis dapat menyelesaikan skripsi ini dengan judul “Karakterisasi Simplisia Dan Uji Aktivitas Antioksidan Ekstrak Etanol Daun Sintrong (Crassocephalum crepidioides (Benth.) S. Moore) Metode DPPH(1,1-Diphenyl-2-Picrylhidrazil)”.Skripsi ini diajukan sebagai salah satu syarat untuk memperoleh gelar Sarjana Farmasi di Fakultas Universitas Sumatera Utara.
    [Show full text]
  • Antioxidative and Chemopreventive Properties of Vernonia Amygdalina and Garcinia Biflavonoid
    Int. J. Environ. Res. Public Health 2011, 8, 2533-2555; doi:10.3390/ijerph8062533 OPEN ACCESS International Journal of Environmental Research and Public Health ISSN 1660-4601 www.mdpi.com/journal/ijerph Review Antioxidative and Chemopreventive Properties of Vernonia amygdalina and Garcinia biflavonoid Ebenezer O. Farombi 1,* and Olatunde Owoeye 2 1 Drug Metabolism and Toxicology Research Laboratories, Department of Biochemistry, University of Ibadan, Ibadan, Nigeria 2 Department of Anatomy, College of Medicine, University of Ibadan, Ibadan, Nigeria; E-Mail: [email protected] * Author to whom correspondence should be addressed; E-Mails: [email protected]; [email protected]; Tel.: +234-8023470333; Fax: +234-2-8103043. Received: 27 November 2010; in revised form: 12 January 2011 / Accepted: 13 January 2011 / Published: 23 June 2011 Abstract: Recently, considerable attention has been focused on dietary and medicinal phytochemicals that inhibit, reverse or retard diseases caused by oxidative and inflammatory processes. Vernonia amygdalina is a perennial herb belonging to the Asteraceae family. Extracts of the plant have been used in various folk medicines as remedies against helminthic, protozoal and bacterial infections with scientific support for these claims. Phytochemicals such as saponins and alkaloids, terpenes, steroids, coumarins, flavonoids, phenolic acids, lignans, xanthones, anthraquinones, edotides and sesquiterpenes have been extracted and isolated from Vernonia amygdalina. These compounds elicit various biological effects including cancer chemoprevention. Garcinia kola (Guttiferae) seed, known as ―bitter kola‖, plays an important role in African ethnomedicine and traditional hospitality. It is used locally to treat illnesses like colds, bronchitis, bacterial and viral infections and liver diseases. A number of useful phytochemicals have been isolated from the seed and the most prominent of them is the Garcinia bioflavonoids mixture called kolaviron.
    [Show full text]
  • Download File
    International Journal of Current Advanced Research ISSN: O: 2319-6475, ISSN: P: 2319-6505, Impact Factor: 6.614 Available Online at www.journalijcar.org Volume 7; Issue 6(K); June 2018; Page No. 13859-13861 DOI: http://dx.doi.org/10.24327/ijcar.2018.13861.2490 Research Article CRASSOCEPHALUM MOENCH (ASTERACEAE) AN INVASIVE ALIEN GENUS: A NEW RECORD FOR THE STATE OF ODISHA, INDIA Ramakanta Mishra1., Gouri Sankar Juga Prakash Jena2 and Kunja Bihari Satapathy3* 1Biosystematic Laboratory, Post Graduate Department of Botany, Utkal University, Bhubaneswar-751004, Odisha 2Department of Botany, S.G. College, Kanikapada, Jajpur-755011, Odisha 3School of Applied Sciences, Centurion University of Technology Management, Bhubaneswar-752050, Odisha ARTICLE INFO ABSTRACT Article History: The genus Crassocephalum Moench of family Asteraceae (tribe Senecioneae) is first time reported for the flora of Odisha from Koraput district. Crassocephalum crepidioides Received 12th March, 2018 (Benth.) Moore and Crassocephalum rubens (Juss. ex Jacq.) S. Moore var. sarcobasis Received in revised form 24th (DC.) C. Jeffrey & Beentje have been reported first time growing as problematic weeds in April, 2018 Accepted 5th May, 2018 the grassland, crop field and summit of the hill. Detailed descriptions with illustrations, Published online 28th June, 2018 geographic distribution, and economic importance of both species are described. Key words: Odisha, Koraput, grassland, geographic distribution Copyright©2018 Ramakanta Mishra et al. This is an open access article distributed under the Creative Commons Attribution License, which permits unrestricted use, distribution, and reproduction in any medium, provided the original work is properly cited. INTRODUCTION shrubs, climbers, succulents, trees, and semi-aquatic plants (Barkley, T.D.
    [Show full text]
  • Pyrrolizidine Alkaloids: Biosynthesis, Biological Activities and Occurrence in Crop Plants
    molecules Review Pyrrolizidine Alkaloids: Biosynthesis, Biological Activities and Occurrence in Crop Plants Sebastian Schramm, Nikolai Köhler and Wilfried Rozhon * Biotechnology of Horticultural Crops, TUM School of Life Sciences Weihenstephan, Technical University of Munich, Liesel-Beckmann-Straße 1, 85354 Freising, Germany; [email protected] (S.S.); [email protected] (N.K.) * Correspondence: [email protected]; Tel.: +49-8161-71-2023 Academic Editor: John C. D’Auria Received: 20 December 2018; Accepted: 29 January 2019; Published: 30 January 2019 Abstract: Pyrrolizidine alkaloids (PAs) are heterocyclic secondary metabolites with a typical pyrrolizidine motif predominantly produced by plants as defense chemicals against herbivores. They display a wide structural diversity and occur in a vast number of species with novel structures and occurrences continuously being discovered. These alkaloids exhibit strong hepatotoxic, genotoxic, cytotoxic, tumorigenic, and neurotoxic activities, and thereby pose a serious threat to the health of humans since they are known contaminants of foods including grain, milk, honey, and eggs, as well as plant derived pharmaceuticals and food supplements. Livestock and fodder can be affected due to PA-containing plants on pastures and fields. Despite their importance as toxic contaminants of agricultural products, there is limited knowledge about their biosynthesis. While the intermediates were well defined by feeding experiments, only one enzyme involved in PA biosynthesis has been characterized so far, the homospermidine synthase catalyzing the first committed step in PA biosynthesis. This review gives an overview about structural diversity of PAs, biosynthetic pathways of necine base, and necic acid formation and how PA accumulation is regulated. Furthermore, we discuss their role in plant ecology and their modes of toxicity towards humans and animals.
    [Show full text]
  • Patterns in Ericaceae: New Phylogenetic Analyses
    BS 55 479 Origins and biogeographic patterns in Ericaceae: New insights from recent phylogenetic analyses Kathleen A. Kron and James L. Luteyn Kron, KA. & Luteyn, J.L. 2005. Origins and biogeographic patterns in Ericaceae: New insights from recent phylogenetic analyses. Biol. Skr. 55: 479-500. ISSN 0366-3612. ISBN 87-7304-304-4. Ericaceae are a diverse group of woody plants that span the temperate and tropical regions of the world. Previous workers have suggested that Ericaceae originated in Gondwana, but recent phy­ logenetic studies do not support this idea. The theory of a Gondwanan origin for the group was based on the concentration of species richness in the Andes, southern Africa, and the southwest Pacific islands (most of which are thought to be of Gondwanan origin). The Andean diversity is comprised primarily of Vaccinieae with more than 800 species occurring in northern South America, Central America, and the Antilles. In the Cape Region of South Africa the genus Erica is highly diverse with over 600 species currently recognized. In the southwest Pacific islands, Vac­ cinieae and Rhodoreae are very diverse with over 290 species of Rhododendron (sect. Vireya) and approximately 500 species of Vaccinieae (I)imorphanthera, Paphia, Vaccinium). Recent phyloge­ netic studies have also shown that the Styphelioideae (formerly Epacridaceae) are included within Ericaceae, thus adding a fourth extremely diverse group (approximately 520 species) in areas considered Gondwanan in origin. Phylogenetic studies of the family on a global scale, how­ ever, have indicated that these highly diverse “Gondwanan” groups are actually derived from within Ericaceae. Both Fitch parsimony character optimization (using MacClade 4.0) and disper- sal-vicariance analysis (DIVA) indicate that Ericaceae is Laurasian in origin.
    [Show full text]
  • Important Information: 1
    Equaflor-A Flor y Flora Ecuatoriana PRICE LIST 2018 1- The plants tha will be colected in a show in Usa. The cost for shipping and handling is USD 2,00 for Europe is USD 2,50 and for Asia is USD 3,00 2-The price list is subjet to plant avaivility and may change without notice. 3- The plants will be shipped bear root 4- The payments can be done by paypal to [email protected] 5- Contacts: [email protected] / IMPORTANT INFORMATION: 1. Our prices are in US Dollars. 2. We can deliver your order from while attending an Orchid Show close to you. 3. Climate W= Refer to warm growing orchids that come from 300 to 1000 m., temperature range 20 to 40 celcius, humidity 60%, light exposure high. I=Refer for intermediate environment, orchids that come from 800 to 1800 m., temperature range 15 to 25 celcius, humidity 80%, light exposure low, good air movement. CI=Refer to orchids that come from 1600 to 2300 m., temperature range 10 to 22 celcius, humidity 80%, light exposure media. C=Refer to cool growing orchids plants that come from the Andes from 2000 to 2600 m., temperature range 10 to 18 celcius, humidity 70%, light exposure low, with good air movement. Discounts: USD 1000 - 3000 = 10% USD 3000 - 5000 = 12% USD 5000 - 10000 = 18% More than -10001 = 25% This price list is subject to plant availability and the prices may change without notice. According to International regulations, the plants must be shipped bare root that means free of substrate.
    [Show full text]
  • Epilist 1.0: a Global Checklist of Vascular Epiphytes
    Zurich Open Repository and Archive University of Zurich Main Library Strickhofstrasse 39 CH-8057 Zurich www.zora.uzh.ch Year: 2021 EpiList 1.0: a global checklist of vascular epiphytes Zotz, Gerhard ; Weigelt, Patrick ; Kessler, Michael ; Kreft, Holger ; Taylor, Amanda Abstract: Epiphytes make up roughly 10% of all vascular plant species globally and play important functional roles, especially in tropical forests. However, to date, there is no comprehensive list of vas- cular epiphyte species. Here, we present EpiList 1.0, the first global list of vascular epiphytes based on standardized definitions and taxonomy. We include obligate epiphytes, facultative epiphytes, and hemiepiphytes, as the latter share the vulnerable epiphytic stage as juveniles. Based on 978 references, the checklist includes >31,000 species of 79 plant families. Species names were standardized against World Flora Online for seed plants and against the World Ferns database for lycophytes and ferns. In cases of species missing from these databases, we used other databases (mostly World Checklist of Selected Plant Families). For all species, author names and IDs for World Flora Online entries are provided to facilitate the alignment with other plant databases, and to avoid ambiguities. EpiList 1.0 will be a rich source for synthetic studies in ecology, biogeography, and evolutionary biology as it offers, for the first time, a species‐level overview over all currently known vascular epiphytes. At the same time, the list represents work in progress: species descriptions of epiphytic taxa are ongoing and published life form information in floristic inventories and trait and distribution databases is often incomplete and sometimes evenwrong.
    [Show full text]
  • Labiatae) in India (Ph.D
    Scientific Journey (from 1988 to till date) V. SAMPATH KUMAR Scientist, CNH, BSI, Howrah Taxonomic studies on the tribe Mentheae (Labiatae) in India (Ph.D. – Calcutta University) Research scholar of CNH, BSI under ‘Flora of India’ project from 1988 to 1993. Scientific Asst. from 1993 to 1997. Botanist from 1997 to 2001 (ANRC, PortBlair). Scientist (CDRI, Lucknow) from 2001 to 2002. Scientist in BSI since Sept. 2002. Served in Hqrs., Kolkata; DRC, Hyderabad; SRC, Coimbatore; RBG, Kew (as Indian Botanical Liaison officer); presently working at CNH, Howrah. Botanist Andaman & Nicobar Regional Centre, PortBlair (1997-2001) Study of floristic & ecological aspects of Ritchie’s Archipelago (incl. Rani Jhansi Marine National Park, 1998- 2000) and Kalpong Hydro-electric project site (2000-01). The Kalpong HEP study jointly made with Dr. P.V. Sreekumar, the then Scientist of ANRC. Flora of Andaman & Nicobar Islands (vol. II) Myrtaceae to Alangiaceae (16+3 = 19 families) (co-authored by L.N. Ray and P.S.N. Rao) Alangiaceae, Apiaceae, Araliaceae, Barringtoniaceae, Begoniaceae, Cactaceae, Caricaceae, Cornaceae, Cucurbitaceae, Datiscaceae, Lecythidaceae, Lythraceae, Melastomataceae, Memecylaceae, Myrtaceae, Onagraceae, Passifloraceae, Punicaceae, and Sonneratiaceae Mangroves of Andaman & Nicobar Islands 32 species recognized out of 35 reported (all species found in Andaman group; only15 from Nicobar group). Added – Xylocarpus gangeticus (Prain) Parkinson (not included by Dagar et al. (1991) and Dagar & Singh (1999); Banerjee (2002) in his Indian account) Excluded – Bruguiera sexangula (Lour.) Poiret, Cynometra ramiflora L. (not found in India), Rhizophora x lamarckii Mont., and Sonneratia apetala Buch.-Ham. Vernacular names of A & N Island Plants The plants’ vernacular names used by the tribes of these islands along with their uses were compiled and submitted (500 pp.).
    [Show full text]
  • A Taxonomic Review of the Phytophagous Ladybird Beetles Of
    A taxonomic review of the phytophagous ladybird beetles of the Diekeana alternans complex (Coleoptera: Title Coccinellidae: Epilachnini) with descriptions of eight new species and one new subspecies Ohta-Matsubayashi, Yuri; Katakura, Haruo; Kahono, Sih; Kikuchi, Namiki; Ohta-Matsubayashi, Yuri; Katakura, Author(s) Haruo; Kahono, Sih; Kikuchi, Namiki Insecta matsumurana. New series : journal of the Faculty of Agriculture Hokkaido University, series entomology, 73, 1- Citation 37 Issue Date 2017-10 Doc URL http://hdl.handle.net/2115/67680 Type bulletin (article) File Information 1 Ohta.pdf Instructions for use Hokkaido University Collection of Scholarly and Academic Papers : HUSCAP INSECTA MATSUMURANA NEW SERIES 73: 1–37 OCTOBER 2017 A TAXONOMIC REVIEW OF THE PHYTOPHAGOUS LADYBIRD BEETLES OF THE DIEKEANA ALTERNANS COMPLEX (COLEOPTERA: COCCINELLIDAE: EPILACHNINI) WITH DESCRIPTIONS OF EIGHT NEW SPECIES AND ONE NEW SUBSPECIES By YURI OHTA-MATSUBAYASHI, HARUO KATAKURA, SIH KAHONO AND NAMIKI KIKUCHI Abstract OHTA-MATSUBAYASHI, Y., KATAKURA, H., KAHONO, S. and KIKUCHI, N. 2017. A taxonomic review of the phytophagous ladybird beetles of the Diekeana alternans complex (Coleoptera: Coccinellidae: Epilachnini) with descriptions of eight new species and one new subspecies. Ins. matsum. n. s. 73: 1–37, 14 figs, 1 table, 3 online supplementary figs. A group of phytophagous ladybird beetles utilizing diverse host plants in South and Southeast Asia was reviewed as the Diekeana alternans complex. Ten species (one with two subspecies) including seven new species and one new subspecies were described or redescribed under this species complex. Diekeana hopeiana (Miyatake) was synonymized with D. grayi (Mulsant). Two other species were also incorporated into this complex based on literature information.
    [Show full text]
  • 12. Tribe INULEAE 187. BUPHTHALMUM Linnaeus, Sp. Pl. 2
    Published online on 25 October 2011. Chen, Y. S. & Anderberg, A. A. 2011. Inuleae. Pp. 820–850 in: Wu, Z. Y., Raven, P. H. & Hong, D. Y., eds., Flora of China Volume 20–21 (Asteraceae). Science Press (Beijing) & Missouri Botanical Garden Press (St. Louis). 12. Tribe INULEAE 旋覆花族 xuan fu hua zu Chen Yousheng (陈又生); Arne A. Anderberg Shrubs, subshrubs, or herbs. Stems with or without resin ducts, without fibers in phloem. Leaves alternate or rarely subopposite, often glandular, petiolate or sessile, margins entire or dentate to serrate, sometimes pinnatifid to pinnatisect. Capitula usually in co- rymbiform, paniculiform, or racemiform arrays, often solitary or few together, heterogamous or less often homogamous. Phyllaries persistent or falling, in (2 or)3–7+ series, distinct, unequal to subequal, herbaceous to membranous, margins and/or apices usually scarious; stereome undivided. Receptacles flat to somewhat convex, epaleate or paleate. Capitula radiate, disciform, or discoid. Mar- ginal florets when present radiate, miniradiate, or filiform, in 1 or 2, or sometimes several series, female and fertile; corollas usually yellow, sometimes reddish, rarely ochroleucous or purple. Disk florets bisexual or functionally male, fertile; corollas usually yellow, sometimes reddish, rarely ochroleucous or purplish, actinomorphic, not 2-lipped, lobes (4 or)5, usually ± deltate; anther bases tailed, apical appendages ovate to lanceolate-ovate or linear, rarely truncate; styles abaxially with acute to obtuse hairs, distally or reaching below bifurcation,
    [Show full text]