Cover Proceeding กลุ่ม 2
Total Page:16
File Type:pdf, Size:1020Kb
การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 58 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ การศึกษาศักยภาพของพืนที้ เพื่ อพัฒนาที่ อย่ ู่อาศัยในพืนที้ โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภ่ ูมิ A Study of Potential Area for Housing Development in Surrounding Area of Suvarnabhumi Airport ดนัย ศรีสังวร1* และ สญชัย ลบแย้ม1 Danai Srisungvorn1* and Sonchai Lobyaem1 บทคัดย่อ การวางแผนพัฒนาพื้นที่รอบท่าอากาศยาน ที่ให้ความสําคัญด้านการวางระบบเมืองและระบบอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้อง โดยมีหลักเกณฑ์สําคัญ คือ 1) การวางแผนด้านคมนาคม 2) การวางแผนและออกแบบพัฒนาพื้นที่ เศรษฐกิจ และ 3) การพัฒนาย่านที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งใช้แนวคิดการพัฒนาพื้นที่รอบท่า อากาศยานขนาดใหญ่ (Airport-Oriented Development: AOD) และทฤษฎีเมืองศูนย์กลางการบิน (Aerotropolis) ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาในระดับภูมิภาคมากขึ้น โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยเทคนิค Potential Surface Analysis (PSA) และ Sieve Mapping ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ศึกษาจาก หน่วยงานและแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ในช่วงเวลาดําเนินการวิจัย ตั้งแต่ มีนาคม 2561 ถึง มกราคม 2562 เพื่อ เสนอแนะแนวทางในการพัฒนาที่อยู่อาศัยพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยาน จากการศึกษาพบว่า พื้นที่ที่มีความ เหมาะสมมากในการพัฒนาที่อยู่อาศัย อยู่ในพื้นที่อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และพื้นที่เขตประเวศ เขต มีนบุรี ของกรุงเทพมหานคร เมื่อนํามาคํานวนสัดส่วนในแต่ละพื้นที่แล้ว พบว่า พื้นที่ที่มีสัดส่วนมากที่สุดแยก ตามเขตการปกครองได้ดังนี้ คือ เขตสะพานสูง มีสัดส่วนคิดเป็น ร้อยละ 75.01 ของพื้นที่ รองลงมาเป็น เขต ประเวศ มีสัดส่วนคิดเป็น ร้อยละ 57.28 ของพื้นที่ และ เขตมีนบุรี มีสัดส่วนคิดเป็น ร้อยละ 35.91 ของพื้นที่ ABSTRACT The development plan for the areas surrounding airport which focuses on urbanization and other relevant systems in order criteria; 1) Transportation planning 2) Economic space development planning and designing 3) Residential area developing for suitability and safety through Airport- Oriented Development (AOD) which will expand the concept of Aerotropolis to be more clear and compliant with national development plan. The researcher employed the qualitative research methodology in this study the Potential Surface Analysis (PSA) technique and Sieve Mapping technique by collecting data in the study area from relevant departments and sources During the research period from March 2018 to January 2019 to study the area potential for residence development of the surrounding area Suvarnabhumi Airport. The objective of this study is to propose the recommendation for housing development in the area of Bang Phli District Samut Prakan Province and Prawet District, Min Buri District of Bangkok. When calculating the proportion in each area, it is found that the area with the highest proportion can be divided according to administrative areas as follows: Saphan Sung District has a proportion of 75.01 percent of the area, followed by Prawet District with a percentage of 100 57.28 percent of the area and Min Buri area accounts for 35.91 percent of the area. Key words: land suitability analysis, airport-oriented development, air safety zones, Geographic Information System (GIS) * Corresponding author; e-mail address: [email protected] 1ภาควิชาการออกแบบและวางผังชุมชนเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพฯ 10200 1Department of Urban Design and Planning, Faculty of Architecture, Silpakorn University, Bangkok 10200 517 การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 58 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ คํานํา องค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (The International Civil Aviation Organization : ICAO) ได้ กําหนดความเหมาะสมในการเลือกที่ตั้งท่าอากาศยานไว้ว่า ต้องเป็นพื้นที่โล่ง ปราศจากสิ่งกีดขวางทางการบิน แต่เนื่องจากปัจจัยทางด้านความสะดวกในการเดินทาง ทําให้ท่าอากาศยานต้องไม่อยู่ห่างจากชุมชนเมืองมาก นัก (สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ,2546) ท่าอากาศยานจึงกลายเป็นแรง ดึงดูดทางด้านเศรษฐกิจ เป็นแหล่งจ้างงานขนาดใหญ่ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ส่งผลให้บริเวณโดยรอบท่าอากาศ ยานกลายเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาสูง (ฐาปนา, 2559) ทั้งจากภาคเอกชนและนโยบายของรัฐและการ ลงทุนด้านต่าง ๆ เช่น จากแผนยุทธศาสตร์โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ทั้งนี้จากการที่ท่าอากาศยานเป็นองค์ประกอบสําคัญระดับประเทศมีพื้นที่ขนาด ใหญ่ครอบคลุมหลายเขตการปกครอง มีการตั้งถิ่นฐานเดิมและที่ขยายตัวขึ้นใหม่ ( Doxiadis, 1968) จาก นโยบายส่งเสริมให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นเมืองศูนย์กลางการบิน ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจึงเป็น ศูนย์กลางการคมนาคมทั้งทางอากาศ ทางราง ทางถนน และทางนํ้า มีชุมชนขนาดเล็กในพื้นที่ศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น จํานวนมาก มีบทบาททั้งเป็นชุมชนหลัก รอง และ เป็นแหล่งงาน การค้าและการบริการ อุตสาหกรรม คลังสินค้า โลจิสติกส์ สถาบันการศึกษา สถาบันราชการ และศาสนาที่หลากหลาย ที่มีความซับซ้อนเชิงโครงสร้างเมืองระดับ ภูมิภาค การพัฒนาชุมชนต่าง ๆ โดยรอบท่าอากาศยาน ที่ผ่านมาเป็นการพัฒนาที่ยังขาดแนวทางที่ชัดเจน เกิด การพัฒนาที่ไม่มีแบบแผน รวมถึงผลกระทบจากกิจกรรมของท่าอากาศยานที่ประกอบด้วยผลกระทบด้าน สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมต่อลักษณะของชุมชนโดยรอบท่าอากาศยาน ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาพื้นที่ ในระดับชุมชนไปจนถึงระดับภูมิภาค ซึ่งผลกระทบเหล่านี้มีแนวโน้มจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นตามการขยายตัว ของเมืองและท่าอากาศยาน (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, 2556) อุปกรณ์และวิธีการ ผู้วิจัยจะใช้เครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยเทคนิค (Potential Surface Analysis : PSA) วิเคราะห์ ศักยภาพของพื้นที่ เพื่อแสดงค่าคะแนนต่อพื้นที่ตามวัตถุประสงค์ ขั้นตอนที่ 1 การกําหนดปัจจัยในการวิเคราะห์พื้นที่โดยเป็นปัจจัยทางกายภาพที่เกี่ยวข้องและข้อมูล สารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) ที่ได้จากการรวบรวมข้อมูล โดยมีพื้นที่ศึกษา บริเวณโดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขนาดพื้นที่ประมาณ 600 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมเขตปลอดภัยใน การเดินอากาศ และบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมของท่าอากาศยาน ประกอบด้วย พื้นที่ทั้งหมดของเขต ประเวศ เขตสะพานสูง เขตมีนบุรี เขตลาดกระบัง ของกรุงเทพมหานคร และ อําเภอบางพลี อําเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ขั้นตอนที่ 2 การกําหนดค่านํ้าหนักของปัจจัยและวิเคราะห์ศักยภาพของพื้นที่ด้วยการซ้อนทับข้อมูล ปัจจัยด้วยโปรแกรมประยุกต์ด้านภูมิสารสนเทศ โดยแสดงศักยภาพของพื้นที่ออกมาในรูปแบบของแผนที่ที่แสดง พื้นที่ที่มีความเหมาะสม หลักการที่สําคัญของ PSA คือ การให้ค่านํ้าหนักของปัจจัยต่าง ๆ โดยที่การให้ค่านํ้าหนักจะแสดงให้เห็น ถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์กับทางเลือก (Decision Rules) ทําให้ผู้วิจัยทราบว่า เมื่อวัตถุประสงค์ข้อใด 518 การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 58 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มีความสําคัญมาก ผลที่เกิดขึ้นกับการศึกษาจะเป็นอย่างไร สมการที่ใช้ในการศึกษา คือ Simple Additive Weighting Methods : SAW มีสมการดังนี้ S = W1(X1) + W2(X2) + W3(X3) + . + Wn(Xn) เมื่อ S คือ ระดับค่าคะแนนรวมแสดงศักยภาพของพื้นที่ Wn คือ ค่าคะแนนรวมแสดงความสําคัญของปัจจัยที่ n (Weight) Xn คือ ค่าคะแนนความเหมาะสมของช่วงปัจจัยที่ n (Criteria Score) ในขั้นตอนการให้ค่านํ้าหนักของปัจจัยต่าง ๆ จะกระทําโดยผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน พิจารณาถึง ลักษณะทางกายภาพ กฎหมาย ข้อกําหนด และข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) ซึ่งเป็นข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ประเภทหนึ่งที่เก็บข้อมูลอยู่ในรูปแบบเวคเตอร์ (Vector) ใน 3 ลักษณะ คือ จุด (Point) เส้น (Line) และรูปปิด (Polygon) ซึ่งจะแยกเก็บออกเป็นชั้นข้อมูล (Layer) การกําหนดค่าความสําคัญของปัจจัย ในการกําหนดค่าความสําคัญของปัจจัยจะอาศัยเทคนิคกระบวนการตัดสินใจแบบมีลําดับขั้น (Analytic Hierarchy Process : AHP) และเทคนิคการเปรียบเทียบเชิงคู่ (Pairwise Comparison) โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. กําหนดค่าความสําคัญของปัจจัยหลัก (Weighting Factor) โดยให้ผลรวมของปัจจัยหลักทั้งหมดเป็น 100 สําหรับปัจจัยหลักแต่ละด้าน จากการหารือผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 8 ท่าน โดยแยกเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมือง และสภาพแวดล้อม 2 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมืองและภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์ 1 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้าน เศรษฐศาสตร์ 1 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม 2 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม 1 ท่าน และผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการบิน 1 ท่าน ได้ค่าคะแนนเฉลี่ยดังนี้ - ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน (ค่าความสําคัญร้อยละ 27) - ปัจจัยด้านประชากรและความหนาแน่น (ค่าความสําคัญร้อยละ 16) - ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม (ค่าความสําคัญร้อยละ 34) - ปัจจัยด้านกฎหมาย และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง (ค่าความสําคัญร้อยละ 23) 2. กําหนดค่าความสําคัญของปัจจัยย่อย ซึ่งประกอบด้วย 2.1 ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน จํานวน 7 ปัจจัยย่อย ดังนี้ - พื้นที่ให้บริการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน - การเข้าถึงสถานบริการสาธารณสุข เช่น โรงพยาบาล โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตําบล - การเข้าถึงเส้นทางคมนาคมทางถนนสายประธานและถนนสายหลัก - การเข้าถึงเส้นทางคมนาคมทางถนนสายรองและถนนท้องถิ่น - การเข้าถึงสถานีรถโดยสารสาธารณะ เช่น สถานีรถไฟ สถานีรถไฟฟ้า (ชูเกียรติ, 2554) - ระยะห่างจากศาสนสถาน เช่น วัด มัสยิด คริสตจักร - พื้นที่ให้บริการของสวนสาธารณะ สนามกีฬา แหล่งนันทนาการ สถานที่ท่องเที่ยว 519 การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 58 สาขาวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ 2.2 ปัจจัยด้านประชากรและความหนาแน่น จํานวน 2 ปัจจัยย่อย ดังนี้ - ความหนาแน่นที่อยู่อาศัย แยกตามพื้นที่ท้ายประกาศผังเมืองรวม - ระยะห่างจากพื้นที่ชุมชนเมืองเดิม 2.3 ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม จํานวน 5 ปัจจัยย่อย ดังนี้ - พื้นที่ผลกระทบด้านเสียง (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, 2556) - พื้นที่ผลกระทบด้านอากาศ (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, 2556) - พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย (นํ้าท่วม) - ระยะห่างจากแหล่งนํ้าและทางนํ้าธรรมชาติ - พื้นที่อุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อพื้นที่ชุมชน 2.4 ปัจจัยด้านกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 3 ปัจจัยย่อย ดังนี้ - เขตปลอดภัยทางเดินอากาศ - เขตควบคุมอาคาร - ข้อกําหนดด้านผังเมือง ด้วยเทคนิคการเปรียบเทียบเชิงคู่ (Pairwise Comparison) เป็นการเปรียบเทียบความสําคัญของปัจจัย ย่อยทีละคู่ โดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้านตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อกําหนดหรือตัดสินว่าปัจจัยใดมี ความสําคัญมากกว่า สําหรับค่าความสําคัญในการเปรียบเทียบเชิงคู่มีหลักการให้คะแนน ดังนี้ - ถ้าปัจจัยในแนวตั้งมีความสําคัญมากกว่าปัจจัยในแนวนอน จะให้ค่าเปรียบเทียบเท่ากับ 3 - ถ้าปัจจัยในแนวตั้งมีความสําคัญเท่ากับปัจจัยในแนวนอน จะให้ค่าเปรียบเทียบเท่ากับ 2 - ถ้าปัจจัยในแนวตั้งมีความสําคัญน้อยกว่าปัจจัยในแนวนอน