รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์
ชื่อโครงการ “การจัดการข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศในอาเซียน” Boundary Dispute Management in ASEAN สัญญาเลขที่ RDG5510034
โดย นายอัครพงษ์ ค่่าคูณ วันที่ 31 สิงหาคม 2558
สนับสนุนโดยส่านักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) (ความเห็นในรายงานนี้เป็นของผู้วิจัย สกว. และต้นสังกัดไม่จ่าเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป) บทคัดย่อ
รหัสโครงการ: สัญญาเลขที่ RDG5510034 ชื่อโครงการ : การจัดการข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศในอาเซียน (Boundary Dispute Management in ASEAN) ชื่อนักวิจัยและสถาบัน: นายอัครพงษ์ ค่่าคูณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ E-mail Address: [email protected] ระยะเวลาวิจัย: 2 ปี 11 เดือน (กันยายน 2555 – สิงหาคม 2558)
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้ท่าการส่ารวจข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศในอาเซียน (ยกเว้นประเทศไทย) จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งข้อพิพาทเขตแดนทางบกและทางทะเลจ่านวนทั้งสิ้น 20 คู่กรณี โดยในจ่านวนนี้มีข้อ พิพาทที่สามารถระงับได้ 13 คู่กรณี และข้อพิพาทที่ยังด่าเนินการแก้ไขอยู่ 7 คู่กรณี งานวิจัยนี้ อธิบายความ เป็นมาทางประวัติศาสตร์ของการก่าหนดและการปักปันเส้นเขตแดนระหว่างประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ (ยกเว้นไทย) โดยมุ่งเน้นไปที่การส่ารวจเอกสารสนธิสัญญา อนุสัญญา ความตกลง แผนที่ และเอกสารทางกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการก่าหนดเส้นเขตแดน ซึ่งถูกจัดท่าขึ้นในยุคที่ดินแดนภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มพัฒนาขึ้นมาจากรัฐราชอาณาจักร จนกระทั่งเข้าสู่ยุคอาณานิคมซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ เอกสารและข้อตกลงส่วนใหญ่มักจะส่งผลโดยตรงต่อการก่าหนดเส้นเขตแดนและอ่านาจอธิปไตยของแต่ละรัฐ ทั้งนี้ หลังจากการได้รับเอกราชของประเทศต่างๆ ก็มีการสืบสิทธิ์ตามกฎหมายและน่าไปสู่การก่าหนดสัณฐาน ของเส้นเขตแดนในปัจจุบัน ซึ่งเอกสารและการกระท่าต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคอาณานิคมได้กลายมาเป็นหลักฐาน และปัจจัยส่าคัญที่ท่าให้เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐที่มีพรมแดนติดกันดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยัง ท่าการศึกษากรอบความร่วมมือที่มีบทบัญญัติเกี่ยวข้องกับการจัดการข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยพิจารณา จากกรอบความร่วมมือและกลไกภายในองค์กรอาเซียนจ่านวนรวม 12 กลไก และกลไกภายนอกอาเซียน จ่านวน 3 กลไก จากการศึกษาพบว่า ข้อพิพาทเขตแดนในอาเซียนสามารถแก้ปัญหาให้ยุติลงได้ด้วยปัจจัยส่าคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1.ความชัดเจนของข้อตกลงระหว่างกันของประเทศต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากเอกสารทาง ประวัติศาสตร์ เช่น สนธิสัญญา หรือแผนที่ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยอมรับ 2.ความไว้เนื้อเชื่อใจของคู่เจรจา โดยข้อ พิพาทแต่ละกรณีมักได้รับการแก้ไขได้โดยง่ายด้วยความตกลงทวิภาคีหากมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง ประเทศ 3.รัฐบาลเองมีแนวโน้มที่จะน่าข้อพิพาทเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านมาใช้เป็นอาวุธทางการเมืองใน ภาวะที่รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถจะควบคุมข้อพิพาทไม่ให้กลายเป็นประเด็น สาธารณะได้ ซึ่งหากรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างนโยบายเพื่อการแก้ปัญหาข้อพิพาทเส้นเขตแดนอย่างแท้จริงก็ย่อม สามารถอ่านวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ปฏิบัติท่าหน้าที่และรับผิดชอบในการเจรจาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ แม้ว่ารัฐต่างๆ ในอาเซียนจะมีการน่าข้อพิพาทเขตแดนเข้าสู่กลไกระงับข้อพิพาทของศาลโลก (ICJ) แต่ในท้ายที่สุดข้อพิพาทเหล่านั้นก็ยังไม่เป็นที่ยุติได้จนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังสามารถท่าข้อพิพาทเหล่านั้นอยู่ใน สถานะเสมือนระงับ (semi-settlement) หรือท่าให้คู่พิพาทมีแนวทางในการจัดการความขัดแย้งได้ต่อไป
ค าส าคัญ: ข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศ (international boundary dispute) เขตแดนทางบก (land boundary) เขตแดนทางทะเล (maritime boundary) การระงับข้อพิพาท (ASEAN dispute settlement) กลไกอาเซียน (ASEAN Mechanism)
(1)
Boundary Dispute Management in ASEAN Akkharaphong Khamkhun
Abstract This study explores the boundary disputes among states in Southeast Asia (excludes Thailand) from the past up to the present. The total twenty cases of land and maritime boundary dispute, thirteen of them can be settled while another seven cases are being resolved, reveal the history of delimitation and demarcation process between the claimant states in Southeast Asia. This study aims to examine the treaties, conventions, agreements, maps, and other related official documents pertaining to the management of boundary line construction made prior and during the colonial period. The colonial period affects directly to the delimitation and demarcation of the international boundary lines that define the juridical sovereignty of Southeast Asian countries. The genesis of the boundary disputes is that after Southeast Asian countries became independence, they have inherited all related documents and used them as the basis evidences of the present-day boundary negotiation with the adjacent states. Moreover, this study also examines twelve dispute management mechanisms and frameworks under ASEAN as well as three international mechanisms outside ASEAN namely PCA, ICJ, and ITLOS. The study found that most of the boundary disputes in Southeast Asia can be settled by three factors; 1. The explicit and clearness of the boundary definitions existed in the historical official documents which the claimant states had mutual agreement since the colonial period. 2. The mutual trust between the claimant states effectively entertains the process of bilateral negotiation which also leads to the constructive international relations. 3. The government of the claimant states tends to use the international boundary disputes as a domestic political tool during the unstable situation of the government itself but at the end it becomes the uncontrollable public issues that affect to the international problem between its neighboring countries. If the government’s intention is to create the applicable policies towards the international boundary management, it will effectively facilitate the persons who are working and responsible for boundary negotiation. Many ASEAN states have brought the disputed case into the ICJ’s settlement process, nevertheless the conflict is not fully resolved, at the end, it can be considered as a semi-settlement which ICJ’s rule is a practical suggestion for another process of boundary management between the disputed states.
Keywords: international boundary dispute, land boundary, maritime boundary, dispute settlement, ASEAN Mechanism
(2)
กิตติกรรมประกาศ
ผู้เขียนขอขอบคุณส่านักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการจับตา อาเซียน (ASEAN Watch) ซึ่งมี ผศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข ผู้ประสานงานโครงการที่ให้โอกาสผู้วิจัยได้รับทุนใน ครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของผู้วิจัยเสมอมาและเป็นแรงบันดาลใจ ในการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนด้วยค่ากล่าวที่ว่า “เขตแดนของเรา เพื่อนบ้านอาเซียน ของเรา” รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต คณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่า พระจันทร์ ผู้สนับสนุนด้านหน้าที่การงานของผู้เขียนเสมอมา สว.พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผอ.ดามพ์ บุญธรรม ผู้อ่านวยการกองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบัน ด่ารงต่าแหน่งเป็นอัครราชทูตไทยประจ่ากรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่กรุณาให้ค่าแนะน่าเกี่ยวกับค่าศัพท์เทคนิคและช่วยไขข้อสงสัยเกี่ยวกับประเด็นกฎหมายระหว่างประเทศ อาจารย์สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ ผู้ให้ค่าปรึกษาภาษาจีน ผศ.ดร.อรอนง ทิพย์พิมล ผู้ให้ค่าปรึกษาภาษาอินโดนีเซีย ดร.มรกตวงษ์ ภูมิพลับ กรรพฤทธิ์ ผู้ให้ค่าปรึกษาภาษาเวียดนาม รวมทั้ง รศ.ดร.พวงทอง ภวครพันธุ์ ที่กรุณา ส่งบทความที่เกี่ยวข้องมาให้ผู้วิจัย ที่ส่าคัญที่สุดขอขอบคุณ คุณปิยดา จูตะวิริยะ ผู้ประสานงานส่านักงาน กองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) ที่อดทนกับความล่าช้าของผู้วิจัยและอ่านวยความสะดวกในการท่าวิจัยอย่าง ยอดเยี่ยม ขอบคุณคุณจิณณประภา งามแสง ค่่าคูณ เด็กชายกฤษฎ์กิติภพ (อชิ) และเด็กหญิงอังคนิภางค์ (เตรุ) ผู้เป็นทั้งก่าลังกายและก่าลังใจให้แก่ผู้เขียนเสมอมา กราบขอบพระคุณ คุณแม่ฉวีวรรณ สาธุจรัญ ผู้เป็นที่พึ่งอัน ประเสริฐของผู้วิจัยมาตั้งแต่เกิด รวมทั้งกัลยาณมิตรและผู้คนมากหน้าหลายตาที่มีส่วนร่วมกับงานวิจัยนี้ใน หลากหลายมิติ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้ยังต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้สนใจและผู้เชี่ยวชาญอีกมาก และหากมี ข้อบกพร่องประการใดผู้เขียนขอน้อมรับค่าชี้แนะและค่าติเตียนทั้งหมดไว้โดยดุษณีย์ และหากงานวิจัยนี้จะมีคุณประโยชน์ต่อแวดวงวิชาการอยู่บ้าง โปรดจดจ่าเอาไว้ในหัวใจของท่าน ผู้อ่านและผู้สนใจศึกษาว่า “Make Love Not War among ASEAN – สร้างรัก ไม่สร้างศัตรู ในหมู่อาเซียน”
(3)
บทสรุปส าหรับผู้บริหาร
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้ท่าการส่ารวจข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศในอาเซียน (ยกเว้นประเทศ ไทย) จากอดีตจนถึงปัจจุบัน จ่านวนทั้งสิ้น 20 คู่กรณี โดยในจ่านวนนี้มีข้อพิพาทที่ระงับได้ 13 คู่กรณี ข้อ พิพาทที่ยังด่าเนินการแก้ปัญหาอยู่ 7 คู่กรณี งานวิจัยนี้ อธิบายความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของก่าเนิดและ พัฒนาการของเส้นเขตแดนระหว่างประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นไปที่การ ส่ารวจเอกสารสนธิสัญญา อนุสัญญา ข้อตกลง แผนที่ และเอกสารทางกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ ก่าหนดเส้นเขตแดน ซึ่งถูกจัดท่าขึ้นในยุคที่ดินแดนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มพัฒนาขึ้นมาจากรัฐ ราชอาณาจักร ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว “เส้นเขตแดน” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นปรากฏการณ์ที่ ค่อนข้างใหม่ เพราะเพิ่งจะถูกก่าหนดให้มีขึ้นราวคริสตศตวรรษที่ 19 โดยผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ของสิ่งที่ เรียกว่า “แผนที่” เป็นเครื่องก่าหนดอาณาเขตอ่านาจทางการเมืองระหว่างผู้ปกครองกลุ่มต่างๆ ให้ชัดเจน มั่นคง ตายตัว ตามรูปแบบการปกครองสมัยใหม่ ที่เรียกว่า “รัฐชาติ หรือ รัฐประชาชาติ (nation state)” แต่ ก่อนหน้าที่จะมีการก่าหนดและการปักปันเขตแดนในรูปแบบของการท่าแผนที่สมัยใหม่นั้น ผู้ปกครองกลุ่ม ต่างๆ เช่น อาณาจักรทั้งหลาย มักรับรู้ปริมณฑลอ่านาจของตนว่า ครอบคลุมพื้นที่ไม่ชัดเจนและไม่มั่นคง เพราะขอบเขตอ่านาจอาจเปลี่ยนแปลงขยายกว้างออกหรือหดแคบเข้า มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับอ่านาจบารมี และอิทธิพลทางการทหาร และในบางครั้งพรมแดนอาจผลัดเปลี่ยนไปอยู่ใต้อ่านาจของอาณาจักรอื่นๆ ได้ หรือ บางพื้นที่อาจไม่มีอิทธิพลอ่านาจของอาณาจักรใดเลย ที่จะเคยแผ่เข้าไปถึงมาก่อน จนกระทั่งเข้าสู่ยุคอาณานิคม ซึ่งการที่ประเทศตะวันตกเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เบื้องต้น เป็นไปเพื่อการแสวงหาแหล่งทรัพยากรซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตที่ส่าคัญ รวมทั้งแรงงานและที่ดิน เพื่อขยายฐาน การผลิตและตลาดสินค้าตามแนวทางอุตสาหกรรมและพานิชยกรรมนิยม ความต้องการ “ที่ดิน/ดินแดน” นี่เอง ที่ท่าให้เกิดความจ่าเป็นต้องมีการ “ก่าหนดเขตแดน” ให้มีความ “ชัดเจน แน่นอน ตายตัว” เพื่อ ผลประโยชน์ทางการค้า การปกครอง และความคล่องตัวในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในขอบเขต อ่านาจของตน น่าไปสู่การสร้างเครื่องมือที่เป็นแบบแผนและอุดมคติที่จะท่าให้ทราบว่าเส้นเขตแดนที่แน่นอน อยู่ที่ใด และเป็นช่วงเวลาที่เอกสารและข้อตกลงส่วนใหญ่มักจะมีผลโดยตรงในการก่าหนดขอบเขตและอ่านาจ อธิปไตยของแต่ละรัฐ ทั้งนี้ หลังจากการเป็นเอกราชจากเจ้าอาณานิคมและการสืบสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะ
(4)
เลือกใช้เอกสารฉบับต่างๆ เพื่อน่าไปสู่การก่าหนดสัณฐานของเส้นเขตแดนที่แท้จริงให้ชัดเจน ก็เป็นปัจจัย ส่าคัญที่ท่าให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกับรัฐที่มีพรมแดนติดกันดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จากการศึกษาพบว่า หากเกิดข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศขึ้น ก็มีการใช้กลไกระหว่างรัฐในระดับ ต่างๆ เพื่อน่าไปสู่การระงับข้อพิพาท ได้แก่ กลไกระดับรัฐบาล เช่น ข้อตกลงทวิภาคี (Bilateral – Treaty / Agreement / MOU) คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Commission) ระดับกระทรวง (Inter- Ministerial Level) รวมทั้งการมีคณะท่างานระดับปฏิบัติการ (Technical / Working Group Level) ซึ่งเป็น กลไกที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการด่าเนินการเจรจาแก้ไขปัญหาข้อพิพาท แต่กลไกระดับภูมิภาค เช่น กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ยังไม่มีการใช้เพื่อหวังผลในทางปฏิบัติมากนัก แต่ก็เป็นกลไกที่ สามารถชะลอปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศคู่พิพาทไม่ให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นประกาศภาวะสงคราม ระหว่างประเทศได้ ส่วนกลไกระดับนานาชาติ เช่น ศาลประจ่าอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ (Permanent Court of Arbitration – PCA) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก และ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) ก็เป็นกลไกที่ประเทศคู่พิพาทสามารถอาศัยกระบวนการระงับ ข้อพิพาทเพื่อลดระดับความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน โดยสรุปแล้ว ข้อพิพาทเขตแดนในอาเซียน สามารถแก้ปัญหาให้ยุติลงได้ด้วยปัจจัยส่าคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1. ความชัดเจนของข้อตกลงระหว่างกันของประเทศต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ เช่น สนธิสัญญา หรือแผนที่ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยอมรับ 2. ความไว้เนื้อเชื่อใจของคู่เจรจา โดยข้อพิพาทแต่ละกรณีมักได้รับการแก้ไขได้โดยง่ายด้วยความตก ลงทวิภาคีหากมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ 3. รัฐบาลเองมีแนวโน้มที่จะน่าข้อพิพาทเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านมาใช้เป็นอาวุธทางการเมืองใน ภาวะที่รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถจะควบคุมข้อพิพาทไม่ให้กลายเป็นประเด็น สาธารณะได้ ซึ่งหากรัฐบาลที่มีนโยบายมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาข้อพิพาทเส้นเขตแดนอย่างแท้จริงย่อมสามารถ อ่านวยความสะดวกให้แก่คณะกรรมาธิการคู่เจรจาปฏิบัติท่าหน้าที่ได้โดยไม่ต้องกังวลต่อผลกระทบทาง การเมืองที่จะตามมาในภายหลัง แม้ว่าจะมีการน่าข้อพิพาทเข้าสู่กลไกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก แต่ในท้ายที่สุดข้อพิพาทเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถยุติลงได้อย่างสมบูรณ์จนถึง (5)
ปัจจุบัน แต่อย่างน้อยก็สามารถท่าให้ข้อพิพาทเหล่านั้นอยู่ในสถานะเสมือนระงับ (semi-settlement) หรือท่า ให้คู่พิพาทมีแนวทางในการจัดการความขัดแย้งต่อไปได้ โดยสรุป ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศในอาเซียน ย่อมจะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อน การรวมตัวเป็น “ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community)” ไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะประชาคมการเมือง และความมั่นคง (ASEAN Political-Security Community - APSC) ซึ่งประเด็นที่ส่าคัญ คือ ผลประโยชน์ที่ จะเกิดขึ้นท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายของแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง และส่านึกของความเป็น รัฐชาติที่จ่าเป็นต้องต่อสู้เพื่อให้มีเส้นแบ่งอาณาเขต (boundary line) ที่ชัดเจน แต่ในอีกแง่หนึ่ง ข้อพิพาทเขต แดนย่อมเป็นอุปสรรคต่อ “ประชาคมเดียวกัน” โดยเฉพาะการที่ยังคงมีปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดน ระหว่างประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอยู่มาก แม้ในปัจจุบัน กระแสโลกาภิวัตน์ (globalization) ก็ก่อให้เกิด แนวคิดเรื่อง “โลกไร้พรมแดน (borderless world)” ส่งผลให้ “เส้นเขตแดน (borderline)” ถูกลดความ ความส่าคัญลงไป และดูเหมือนว่าจะมีแนวคิดที่พยายามท่าให้เส้นแบ่งเขตแดนค่อยๆ เปิดออก จนกระทั่ง หายไปหมดสิ้น ตัวอย่างเช่น ปรากฏการณ์ที่ประเทศต่างๆ รวมตัวกันเป็น สหภาพยุโรป (European Union) ก็ท่าให้ทั้งโลกเห็นว่า ประชากรของประเทศสมาชิกในกลุ่มสหภาพยุโรป สามารถเดินทางข้าม “เส้นเขตแดน” ได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตส่าคัญประการหนึ่งก่อนที่พรมแดนทางกายภาพของรัฐชาติเหล่านั้นจะ บรรลุภาวะ “ไร้พรมแดน” ได้นั้น ก็มีความจ่าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระบวนการก่าหนดขอบเขตและขีดเส้น เขตแดนให้ชัดเจนเสียก่อน หรือ อาจกล่าวได้โดยสรุปว่า “Borderline before Borderless”
(6)
สารบัญ
หน้า บทคัดย่อภาษาไทย (1) บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (2) กิตติกรรมประกาศ (3) บทสรุปส าหรับผู้บริหาร (4) สารบัญตาราง (10) สารบัญภาพ (11) บทที่ 1 บทน า 1 1.1 ที่มาและความส่าคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 3 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 1.5 ความตกลงเบื้องต้น 5 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 5 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9 2.1 แนวคิดว่าด้วยการก่าหนดเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ 9 2.1.1 การก่าหนดเขตแดน (delimitation) 11 2.1.2 การปักปันเขตแดน (demarcation) 11 2.1.3 หลักการและเทคนิคในการเจรจาการแบ่งอาณาเขตทางทะเล 11 2.1.4 หลักการแบ่งเขตทางทะเลตามอนุสัญญากฎหมายทะเล 12 2.1.5 กระบวนการในการเจรจาเขตแดนทางทะเล 13 2.1.6 การได้ดินแดนโดยการใช้อ่านาจอธิปไตยเหนือดินแดน 15 2.1.7 การได้ดินแดนโดยใช้หลักการยอมรับโดยปริยาย 16 2.1.8 ความใกล้เคียงในทางภูมิศาสตร์ (Geographic Contiguity) 16 2.1.9 การได้ดินแดนโดยใช้ก่าลัง (Use of Force-Conquest) 16 2.1.10 การได้มาซึ่งดินแดนจากการยกให้จากรัฐอื่น (Cession) 17 2.2 แนวคิดว่าด้วยข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศ 17 2.2.1 ข้อพิพาทอาณาเขต (Territorial Dispute) 18 2.2.2 ข้อพิพาทแนวเขต (positional dispute) 22 2.2.3 ข้อพิพาทข้อพิพาททางการใช้งาน (functional dispute) 24 2.2.4 ข้อพิพาทเหนือการพัฒนาทรัพยากร (dispute over resource development) 24 2.3 แนวคิดว่าด้วยการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ 27 2.3.1 การระงับข้อพิพาททางการทูต (Diplomatic Channels) 27 2.3.2 การระงับข้อพิพาททางกฎหมาย (legal means) 29
(7)
สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 3 เส้นเขตแดนทางบก 31 3.1 เส้นเขตแดนทางบกบนเกาะบอร์เนียว (Borneo) 33 3.2 เส้นเขตแดนทางบกบนเกาะบอร์เนียวระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย 39 3.3 ดินแดนลิมบัง (Limbang) ระหว่างมาเลเซียกับบรูไน 50 3.4 ดินแดนซาบาห์ (Sabah) ระหว่างมาเลเซียกับฟิลิปปินส์ 58 3.5 เส้นเขตแดนทางบกระหว่างลาวกับเวียดนาม 69 3.6 เส้นเขตแดนทางบกตามแนวแม่น้่าโขงระหว่างลาวกับพม่า 77 3.7 เส้นเขตแดนทางบกระหว่างลาวกับกัมพูชา 81 3.8 เส้นเขตแดนทางบกระหว่างกัมพูชากับเวียดนาม 88 บทที่ 4 เส้นเขตแดนทางทะเล 108 4.1 ไหล่ทวีปในช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย 111 4.2 ทะเลอาณาเขตในช่องแคบมะละการะหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย 120 4.3 ทะเลอาณาเขตในช่องแคบสิงคโปร์ระหว่างอินโดนีเซียกับสิงคโปร์ 127 4.5 พื้นที่พัฒนาร่วมบริเวณไหล่ทวีประหว่างมาเลเซียกับเวียดนาม 141 4.6 ช่องแคบยะโฮร์ (Strait of Johor) ระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์ 150 4.7 ไหล่ทวีปถึงเกาะนาทูน่า (Natuna Islands) ระหว่างอินโดนีเซียกับเวียดนาม 159 4.8 เส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างบรูไนกับมาเลเซีย 164 4.9 เกาะมิอังกัส (Miangas Island) ระหว่างอินโดนีเซียกับฟิลิปปินส์ 168 4.10 เกาะลิกิตัน (Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Sipadan) ระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย 174 4.11 แหล่งน้่ามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) ระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย 187 4.12 ข้อพิพาทหิน 3 ก้อน ระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์ 193 4.13 หมู่เกาะสแปรตลีย์ (Spratlys) บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม จีน และไต้หวัน 205 บทที่ 5 กลไกจัดการข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศของอาเซียน 239 5.1 กลไกจัดการข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศภายในกรอบอาเซียน 241 5.1.1 ปฏิญญาอาเซียน หรือ ปฏิญญากรุงเทพ 242 5.1.2 ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน I หรือ บาหลี 1 243 5.1.3 สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 245 5.1.4 ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยทะเลจีนใต้ 250 5.1.5 การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงฯ 252 5.1.6 ระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรีของสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือฯ 253 5.1.7 ปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ 258 5.1.8 ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน II หรือ บาหลี 2 263 5.1.9 แผนปฏิบัติการประชาคมความมั่นคงอาเซียน 265 5.1.10 กฎบัติอาเซียน (ASEAN Charter) 268 5.1.11 แผนการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน 270 5.1.12 พิธีสารของกฎบัตรอาเซียนว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาท 272 (8)
สารบัญ (ต่อ) หน้า 5.2 กลไกจัดการข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศภายนอกกรอบอาเซียน 274 5.2.1 ศาลประจ่าอนุญาโตตุลาการ 275 5.2.1.1 ข้อพิพาทเกาะปาลมัส (Palmas) หรือ มิอังกัส (Miangas) 276 5.2.1.2 ข้อพิพาทถมทรายในและรอบพื้นที่ช่องแคบยะโฮร์ 278 5.2.1.3 ข้อพิพาทเขตอ่านาจในพื้นที่ทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตก (ทะเลจีนใต้) 280 5.2.2 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก 281 5.2.3 อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล หรือ ศาลโลกทะเล 286 5.2.3.1 ข้อพิพาทถมทราย มาเลเซียกับสิงคโปร์ 288 5.2.3.2 ฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องจีนในข้อพิพาททะเลจีนใต้ 292 บทที่ 6 สรุปผลการวิจัย ปัจจัยแห่งความส าเร็จ ความล้มเหลว และข้อเสนอแนะ 293 บรรณานุกรม 306 ภาคผนวก 315 ภาคผนวก 1 ค่าแปลภาษาไทย ปฏิญญาสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 316 ภาคผนวก 2 แสดงวันเอกราช/วันชาติ วันที่เข้าอาเซียนและสหประชาชาติ 318 ภาคผนวก 3 แสดงรายชื่อผู้พิพากษาในคดีพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศอาเซียน 320 ภาคผนวก 4 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์ทะเลอาณาเขต 321 ภาคผนวก 5 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์เส้นฐานตรง รัฐหมู่เกาะ การอ้างสิทธิ์ประวัติศาสตร์ 323 ภาคผนวก 6 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์เขตต่อเนื่อง 325 ภาคผนวก 7 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์ไหล่ทวีป 326 ภาคผนวก 8 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์เขตเศรษฐกิจจ่าเพาะ และเขตประมง 328 ภาคผนวก 9 ตารางแสดงข้อก่าหนดด้านสิ่งแวดล้อม 330 ภาคผนวก 10 ตารางแสดงการลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 331 ภาคผนวก 11 ตารางแสดงความตกลงเส้นเขตแดนทางทะเล 333 ประวัติผู้วิจัย 337
(9)
สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1.1 กรณีศึกษาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเว้นไทย) 4 ตารางที่ 3.1 กรณีศึกษาเส้นเขตแดนทางบกระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเว้นไทย) 31 ตารางที่ 3.2 แสดงเขตปกครองของ 3 ประเทศในเกาะบอร์เนียว 33 ตารางที่ 4.1 กรณีศึกษาเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเว้นไทย) 109 ตารางที่ 4.2 แสดงลักษณะทางกายภาพของเส้นขอบไหล่ทวีประหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย 118 ตารางที่ 4.3 แสดงจุดเส้นเขตแดนทะเลอาณาเขตระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย 126 ตารางที่ 4.4 แสดงลักษณะทางกายภาพของเส้นเขตแดนในทะเลอาณาเขตระหว่างอินโดนีเซียกับสิงคโปร์ 130 ตารางที่ 4.5 แสดงการครอบครองพื้นที่หมู่เกาะสแปรตลีย์โดย 213 ตารางที่ 4.6 แสดงลักษณะทางภูมิศาสตร์ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ที่ถูกครอบครองโดยมาเลเซียในปัจจุบัน 227 ตารางที่ 4.7 สรุปเหตุผลที่ใช้อ้างสิทธิ์อธิปไตยเหนือหมู่เกาะสแปรตลีย์ของแต่ละประเทศ 228 ตารางที่ 4.8 แสดงสารบันทึกวาจา (Note Verbale) เพื่อประท้วงรายงานไหล่ทวีป 233 ตารางที่ 5.1 การระงับข้อพิพาทเขตแดนโดยใช้กลไกภายนอกภูมิภาคอาเซียน 274 ตารางที่ 5.2 แสดงรายชื่อทนายความในคดีพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศอาเซียน 282 ตารางที่ 6.1 เปรียบเทียบข้อพิพาทที่ยังไม่ระงับกับข้อพิพาทที่ระงับแล้วในอาเซียน 295
(10)
สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 3.1 แผนที่แสดงกรณีศึกษาเส้นเขตแดนทางบกระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเว้นไทย) 32 ภาพที่ 3.2 แผนที่แสดงเขตปกครองของ 3 ประเทศในเกาะบอร์เนียว 34 ภาพที่ 3.3 แผนที่แสดงเส้นเขตแดนบนเกาะบอร์เนียว 35 ภาพที่ 3.4 แผนที่แสดงเส้นเขตแดนบนเกาะบอร์เนียว ระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย 40 ภาพที่ 3.5 แผนที่ประเทศบรูไน 51 ภาพที่ 3.6 แผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกระหว่างบรูไนกับมาเลเซีย 52 ภาพที่ 3.7 แผนที่ดินแดนซาบาห์ (Sabah) 63 ภาพที่ 3.8 เอกสารแจ้งการจ่ายเงิน ของสถานทูตมาเลเซียประจ่าปี 2549/2006 66 ภาพที่ 3.9 แผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกระหว่างกัมพูชากับลาว 83 ภาพที่ 3.10 แผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกระหว่างลาวกับเวียดนาม 84 ภาพที่ 3.11 แผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชากับเวียดนาม 90 ภาพที่ 3.12 แสดงปัญหาประการที่ 1 101 ภาพที่ 3.13 แสดงปัญหาประการที่ 3 103 ภาพที่ 3.14 แสดงปัญหาประการที่ 4 105 ภาพที่ 4.1 แผนที่แสดงกรณีศึกษาเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเว้นไทย) 110 ภาพที่ 4.2 แผนที่ United States Naval Oceanographic Chart No. H.O. 5591 115 ภาพที่ 4.3 แผนที่แสดงจุด (Point) ทั้ง 25 จุด บนขอบไหล่ทวีประหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย 116 ภาพที่ 4.4 แผนที่ H.O. 71000, 15th Edition, June 1940, Revised 10/27/69 123 ภาพที่ 4.5 แผนที่แสดง จุด (Point) ทั้ง 8 124 ภาพที่ 4.6 แผนที่ DMAHC No.71242 H.O. 71242 131 ภาพที่ 4.7 แสดงจุดพิกัดก่าหนดเส้นเขตแดนในทะเลอาณาเขตระหว่างอินโดนีเซียกับสิงคโปร์ 132 ภาพที่ 4.8 แผนที่แสดงจุด (Point) ทั้ง 6 จุด ในทะเลอาณาเขต (territorial sea) 133 ภาพที่ 4.9 แผนที่แสดงเส้นบรีเว่ (Brévié Line) และพื้นที่อ้างสิทธิ์ระหว่างกัมพูชากับเวียดนาม 137
(11)
สารบัญรูป (ต่อ) หน้า ภาพที่ 4.10 แผนที่แสดงพื้นที่ทะเลประวัติศาสตร์ระหว่างกัมพูชาและเวียดนาม 140 ภาพที่ 4.11 แผนที่แสดงจุด (Point) เชื่อมต่อเส้นขอบไหล่ทวีประหว่างมาเลเซียกับเวียดนาม 148 ภาพที่ 4.12 แผนที่แสดงทะเลอาณาเขตระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์ 156 ภาพที่ 4.13 แผนที่ British Admiralty Chart No.3482 162 ภาพที่ 4.14 ภาพขยายแผนที่ British Admiralty Chart No.3482 163 ภาพที่ 4.15 แผนที่แสดงแนวเส้นเขตแดนของทะเลอาณาเขต (territorial sea) 165 ภาพที่ 4.16 แผนที่แสดงที่ตั้งเกาะมิอังกัส (Miangas Island) และเกาะอื่นๆ โดยรอบ 169 ภาพที่ 4.17 แผนที่แสดงรายละเอียดภายในเกาะมิอังกัส (Miangas Island) 170 ภาพที่ 4.18 การก่าหนดอาณาเขตทางทะเลระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซียในทะเลสุลาเวสี 175 ภาพที่ 4.19 แผนที่แสดงที่ตั้งของเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) 176 ภาพที่ 4.20 แผนที่ขยายแสดงที่ตั้งเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) 177 ภาพที่ 4.21 ดวงตราไปรษณียากรชุด “เกาะและชายหาด (Pulau-Pulau dan Pantai)” 180 ภาพที่ 4.22 แผนผังแสดงพื้นที่ทับซ้อน (overlapping area) 188 ภาพที่ 4.23 แผนที่แสดงการอ้างสิทธิ์เขตทางทะเลทับซ้อนกันในพื้นที่ของทะเลสุลาเวสี 191 ภาพที่ 4.24 แผนที่แสดงต่าแหน่งข้อพิพาทหิน 3 ก้อน ระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย 195 ภาพที่ 4.25 แผนที่แสดงต่าแหน่งหิน 3 ก้อน 196 ภาพที่ 4.26 ประภาคารฮอร์สเบิร์ก (Horsburgh lighthouse) บนเกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต๊ะ 201 ภาพที่ 4.27 ภาพเซาท์ เลดจ์ (South Ledge) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต๊ะ 201 ภาพที่ 4.28 จดหมายของรักษาการเลขาธิการแห่งรัฐยะโฮร์ถึงเลขาธิการอาณานิคมของสิงคโปร์ 202 ภาพที่ 4.29 แผนที่แสดงที่ตั้งหมู่เกาะสแปรตลีย์ (Spratly) ในทะเลจีนใต้ 207 ภาพที่ 4.30 แผนที่หมู่เกาะสแปรตลีย์ทางตะวันตกของเส้นลองจิจูด 155 องศา 18 ลิปดา ตะวันออก 208 ภาพที่ 4.31 แผนที่หมู่เกาะสแปรตลีย์ทางตะวันออกของเส้นลองจิจูด 155 องศา 18 ลิปดา ตะวันออก 209 ภาพที่ 4.32 ภาพเกาะอีตู อาบา (Itu Aba) หรือ ไท่ผิงต่าว (Taiping Dao) 211
(12)
สารบัญรูป (ต่อ) หน้า ภาพที่ 4.33 แผนผังต่าแหน่งกองทหาร (Outpost) และ ลานบิน (Airfield) ในพื้นที่หมู่เกาะสแปรต 214 ภาพที่ 4.34 แผนที่แสดงพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้และการอ้างสิทธิ์ครอบครอง 215 ภาพที่ 4.35 แผนที่อ้างสิทธิ์ทะเลจีนใต้ฉบับทางการของไต้หวันหรือสาธารณรัฐจีน 217 ภาพที่ 4.36 แผนที่ 9 เส้นประซึ่งจีนน่าส่งให้แก่คณะกรรมาธิการก่าหนดขอบเขตของไหล่ทวีป 218 ภาพที่ 4.37 ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่แนวปะการังเกเฟิน (Gaven Reef) 220 ภาพที่ 4.38 ภาพถ่ายจากกองทัพอากาศฟิลิปปินส์บนพื้นที่แนวปะการังจอห์นสัน (Johnson Reef) 221 ภาพที่ 4.39 บันทึกทางการทูต (diplomatic note) นายฟาม วัน ด่ง (Pham Van Dong) 223 ภาพที่ 4.40 แผนที่แสดงพื้นที่ที่ก่าหนดทางตอนใต้ของทะจีนใต้ระหว่างมาเลเซียกับเวียดนาม 235 ภาพที่ 5.1 แผนที่แสดงพื้นที่พิพาทการถมทะเล (Land Reclamation) ระหว่างสิงคโปร์กับมาเลเซีย 290 ภาพที่ 5.2 แผนที่แสดงพื้นที่พิพาท “จุด 20 รูปเศษไม้ (Point 20 sliver)” 290 ภาพที่ 5.3 แผนที่แสดงการถมทรายในพื้นที่เกาะเตอกอง (Pulau Tekong) 291
(13)
บทที่ 1 บทน า
1.1 ที่มาและความส าคัญของปัญหา ปัญหาขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศ (International Boundary Dispute) เป็นหัวขอวิจัยที่ไดรับ ความสนใจจากนักวิชาการหลากหลายสาขาวิชาทั่วโลก ไมวาจะเป็นนักภูมิศาสตรแ นักยุทธศาสตรแดานความ มั่นคง นักการทหาร นักกฎหมายระหวางประเทศ นักรัฐศาสตรแโดยเฉพาะดานความสัมพันธแระหวางประเทศ แมกระทั่งนักเศรษฐศาสตรแ และอีกหลากหลายสาขาวิชา เนื่องจากปัญหาขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศ กลายเป็นอุปสรรคที่สําคัญในซึ่งสงผลกระทบตอแนวโนมความรวมมือระหวางประเทศที่มีเพิ่มมากขึ้นในยุค ปัจจุบัน อีกทั้งในหลายกรณีไดนําไปสูความขัดแยงที่สุมเสี่ยงตอการใชกําลังทางการทหารเพื่อปะทะกันอีกดวย กลาวแตเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต การขับเคลื่อนการรวมตัวเป็น “ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community)” ในเที่ยงคืนของวันที่ 31 ธันวาคม 2558/2015 ยอมมีคําถามตามมาวา ทามกลางความ แตกตางหลากหลายของประเทศตางๆ ในภูมิภาค ยอมเป็นอุปสรรคตอการสราง “ประชาคมเดียวกัน” เพราะ หากอาเซียนจะกลายเป็นประชาคม “ไรพรมแดน (borderless)” ทําไมปัจจุบันจึงมีขอพิพาทเขตแดนระหวาง ประเทศปรากฏอยูมากพอสมควร ปฏิเสธไมไดวากระแสโลกาภิวัตนแ (Globalization) กอใหเกิดแนวคิดเรื่อง “โลกไรพรมแดน” สงผลให “เสนเขตแดน” ถูกลดความความสําคัญลงไป ทั้งนี้เพราะดูเหมือนวาอินเตอรแเน็ตและโลกไซเบอรแ (Cyber space) ทําใหเสนเขตแดนระหวางประเทศคอยๆ เปิดออกจนกระทั่งรูสึกเหมือนวาหายไปหมดสิ้น นอกจากนี้ ปรากฏการณแที่ประเทศตางๆ รวมตัวกันเป็น สหภาพยุโรป (European Union) ก็ยิ่งทําใหทั้งโลกเห็นวา “เสน เขตแดนระหวางรัฐชาติ” กลายเป็นเรื่องไมสําคัญอีกตอไป ดังจะเห็นไดจากการที่ประชากรของประเทศสมาชิก ในกลุมสหภาพยุโรปสามารถเดินทางขาม “เสนเขตแดน” ไดอยางอิสระ อยางไรก็ตาม มีขอสังเกตสําคัญ ประการหนึ่งกอนที่พรมแดนทางกายภาพของรัฐชาติเหลานั้นจะบรรลุภาวะ “ไรพรมแดน” ได นั่นคือตองมี การกําหนดเสนเขตแดนใหชัดเจนเสียกอน หรือ อาจกลาวไดโดยสรุปวา “Borderline before Borderless” แมวาในปัจจุบัน เรากําลังเผชิญหนาอยูกับแนวคิดเรื่องโลกไรพรมแดน ที่หมายถึงการแลกเปลี่ยนขอมูล ขาวสารระหวางกันผานเครือขายเทคโนโลยีการสื่อสาร แตแทจริงแลว เรายังอยูในโลกที่มี “เสนเขตแดน” อีก ประเภทหนึ่ง ซึ่งทรงอิทธิพลและมีสวนอยางยิ่งในการบงการความรูสึกนึกคิด เสนเขตแดนประเภทนี้ไมไดจํากัด อยูแตเฉพาะขอบเขตทางภูมิศาสตรแระหวางรัฐชาติ และไมจําเป็นตองเป็นสิ่งปลูกสรางทางดานกายภาพ เชน รั้ว หรือ กําแพง เพราะเราไมสามารถมองเห็น “เสนเขตแดน” ประเภทนี้ดวยตาเปลา แตกลับมีผลกระทบ อยางยิ่งตอวิถีชีวิตประจําวัน คอยกําหนดขอบเขตวาอะไร “ถูกนับรวม” หรือ “ไมถูกนับรวม” กอใหเกิดคําวา “พวกเรา” และ “ที่นี่” ซึ่งหมายถึงอะไรก็ตามที่อยูภายในเสนเขตแดน แตในขณะเดียวกัน ก็เกิดคําวา “พวก เขา” และ “ที่โนน” ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งที่อยูนอกเสนเขตแดนของเรา ดังนั้น จึงมีความจําเป็นที่จะตอง “กําหนด เสนเขตแดน” เพื่อการบริหารจัดการอํานาจของรัฐและเพื่อความตอเนื่องของผลประโยชนแทางการเมืองและ เศรษฐกิจให “ฝุายเรา” ไดรับมากที่สุด โดยไมคํานึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับ “ฝุายเขา” นอกจากนี้ ยังอาจ กลาวไดวา “เสนเขตแดน” เป็นอุปสรรคตอการเคลื่อนยายผูคน ทุน สินคา และบริการ รวมทั้งเป็นเครื่องกีด ขวางทางความคิด ความรับรู ความรู และจินตนาการอีกดวย
1
นับตั้งแต ปี 2510/1967 เป็นตนมา กรอบความรวมมืออาเซียนกลายเป็นกลไกที่สําคัญที่สุดของภูมิภาค เอเชียตะวันออเฉียงใต แมวาประเด็นขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศภายในภูมิภาคจะดํารงอยูมากอนการ กอตั้งอาเซียนแลวก็ตาม นับตั้งแตการนําขอพิพาทปราสาทพระวิหารเขาสูกลไกระงับขอพิพาทโดยศาล ยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก ในปี 2502/1959 หลังจาก การเป็นเอกราชของกัมพูชาเพียง 6 ปี และมีคําพิพากษาในอีก 3 ปีตอมาคือ 2505/1962 ซึ่งก็เป็นที่ประจักษแ ในอีกเกือบ 50 ปีตอมาเมื่อกัมพูชายื่นขอตีความคําพิพากษาคดีเดิมตอศาลโลกอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554/2011 และนํามาซึ่งคําพิพากษาในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556/2013 ซึ่งในทายที่สุดก็ตองอาศัยการ เจรจาตกลงกันระหวางทั้งสองประเทศ ดังนั้น จึงเห็นไดวา แมการระงับขอพิพาทโดยกลไกศาลโลกจะไม สามารถยุติปัญหาความขัดแยงระหวางไทยกับกัมพูชาลงไดโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แตก็สามารถชะลอความ ขัดแยงที่เกิดขึ้นจากการใชกําลังปะทะกันตามแนวชายแดน รวมทั้งเป็นกลไกในการจัดการขอพิพาทอยางสันติ วิธี และอาจกลาวไดวาปัญหาความขัดแยงเรื่องปราสาทพระวิหารระหวางไทยกับกัมพูชาเป็นขอพิพาทเขตแดน ที่สงผลกระทบตอบรรยากาศความสัมพันธแระหวางประเทศโดยรวมภายในภูมิภาคอาเซียนอีกดวย นอกจากนี้ ยังมีประเด็นพิพาทเขตแดนอื่นๆ ที่ปรากฏประเด็นความขัดแยงภายในภูมิภาคอาเซียน เชน ขอพิพาทเขตแดน ระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซีย เมื่อมีการสถาปนาสหพันธรัฐมาเลเซีย (Federation of Malaysia) ในปี 2506/1963 โดยซาราวักและซาบาหแตกลงเขารวมเป็นสวนหนึ่งมาเลเซีย สงผลใหอินโดนีเซียเกิดความไมพอใจ อยางรุนแรง โดยประธานาธิบดีซูการแโนใชนโยบายการ “เผชิญหนา (konfrontasi)” และมีการใชกําลังปะทะ กันตามแนวชายแดนบนเกาะบอรแเนียวเป็นระยะเวลายาวนานกวา 4 ปี คือระหวางเดือนมกราคม 2506/1963 ถึงเดือนสิงหาคม 2509/1966 ปัญหาขอพิพาทเขตแดนบนเกาะบอรแเนียวยังรวมไปถึงความขัดแยงระหวาง มาเลเซียกับฟิลิปปินสแ กรณีการอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือดินแดนซาบาหแโดยทายาทของสุลตานแหงซูลู และ รัฐบาลฟิลิปปินสแในสมัยของประธานาธิบดีมาคาปากัล ไดประกาศการอางสิทธิ์อยางเป็นทางการในปี 2505/1962 โดยหยิบยกเอาประเด็นขอพิพาทซาบาหแมาเป็นนโยบายระดับชาติ เนื่องจากเห็นวาตนจะได ประโยชนแทางการเมืองภายในประเทศอยางยิ่งจากขอพิพาทดังกลาว ขอพิพาทนี้นําไปสูปัญหาความขดแยง ระหวางประเทศจนกระทั่งมีแนวคิดในปี 2507/1964 ที่จะยื่นคํารองตอศาลโลกใหเป็นผูตัดสินชี้ขาดแตก็ไมมี ดําเนินการใดๆ ขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศภายในภูมิภาคอาเซียนที่โดดเดนและเป็นที่สนใจของนักวิชาการ นานาชาติที่สุดก็คือ ขอพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแในทะเลจีนใต ซึ่งเป็นขอพิพาทเขตแดนทางทะเลที่มีความ ซับซอนมากที่สุดแหงหนึ่งของโลก ทั้งในแงของจํานวนประเทศคูพิพาทซึ่งมีมากถึง 6 ประเทศ ไดแก เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน ฟิลิปปินสแ จีน และไตหวัน รวมทั้งความซับซอนและความยุงยากในแงพื้นที่พิพาทเนื่องจาก อาณาบริเวณหมูเกาะสแปรตลียแมีลักษณะทางภูมิศาสตรแที่แตกตางกันมากกวา 170 ประเภท ประเทศไทย เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีปัญหาขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศกับเพื่อนบานรอบดานไม วาจะเป็นขอพิพาทเสนเขตแดนทางบกและทางทะเลกับกัมพูชา ลาว มาเลเซีย และพมา ดังนั้น จึงมีความ จําเป็นอยางยิ่งที่จะตองมีการศึกษาสถานการณแขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศภายในภูมิภาค โดยการวิจัย ครั้งนี้ เป็นการศึกษากําเนิดและพัฒนาการของเสนเขตแดนระหวางประเทศทั้งทางบกและทางทะเลในของ บรรดาประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Association of Southeast Asian Nations) หรือ อาเซียน (ASEAN) ยกเวนขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบาน โดยจะ ทําการสํารวจขอพิพาทเขตแดนจากอดีตจนถึงปัจจุบันครอบคลุมกรณีที่ประสบความสําเร็จในการระงับขอ พิพาท และกรณีที่ยังคงมีความขัดแยงกันอยูในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังจะไดศึกษาและทบทวนรูปแบบและ วิธีการที่ถูกนํามาใชระงับขอพิพาทเขตแดนภายในกรอบความรวมมืออาเซียน เชน ปฏิญญาความรวมมือและ 2
สนธิสัญญาฉบับตางๆ รวมทั้งกลไกภายนอกอาเซียน เชน ศาลยุติธรรมระหวางประเทศ หรือ ศาลโลก และ กลไกอื่นๆ ซึ่งถูกนํามาใชในการระงับขอพิพาทระหวางกันของประเทศสมาชิกอาเซียน และในทายที่สุดจะได วิเคราะหแปัจจัยและเงื่อนไขที่นําไปสูความสําเร็จและสาเหตุของความลมเหลวในการจัดการขอพิพาทเขตแดน ทามกลางความแตกตางหลากหลายทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยหวังวาประโยชนแตอแนวทางในการกําหนดทิศทางและแนวนโยบายของไทยในการจัดการขอพิพาทเขต แดนที่เกิดขึ้นแลวและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อศึกษาการกําหนดเสนเขตแดนระหวางประเทศทั้งทางบกและทางทะเล ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต ยกเวนประเทศไทย 2. เพื่อศึกษารูปแบบและวิธีการที่ใชในการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศภายใตกรอบความ รวมมือของสมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Association of Southeast Asian Nations) หรือ อาเซียน (ASEAN) 3. เพื่อวิเคราะหแปัจจัยที่ทําใหการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศภายในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตเกิดความสําเร็จหรือความลมเหลว
1.3 ขอบเขตของการวิจัย งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ใชวิธีการสํารวจเอกสาร (Documentary Review) เพื่อศึกษากําเนิดและพัฒนาการของเสนเขตแดนระหวางประเทศตางๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต ยกเวนประเทศไทย เนนศึกษากระบวนการและขั้นตอนการกําหนดเสนเขตแดนระหวางประเทศ ผาน ความตกลง สนธิสัญญา อนุสัญญา และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวของ โดยแบงเนื้อหาการวิจัยออกเป็น 3 สวน ไดแก 1. การกําหนดเสนเขตแดนระหวางประเทศ โดยแบงออกเป็น 2 สวน คือ เขตแดนทางบก และเขตแดน ทางทะเล จํานวน 20 กรณี ดังปรากฏรายละเอียดตามตารางที่ 1.1 2. รูปแบบและวิธีการที่ถูกนํามาใชในการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศในอาเซียน ยกเวนไทย 3. ปัจจัยแหงความสําเร็จและความลมเหลวในการบริหารจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศในอาเซียน
3
ตารางที่ 1.1 กรณีศึกษาเสนเขตแดนระหวางประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเวนไทย) ที่ ประเด็น/พื้นที่พิพาท คู่พิพาท สถานะข้อพิพาท 1 เสนเขตแดนทางบกบนเกาะบอรแเนียว มาเลเซีย-อินโดนีเซีย ยังไมระงับ 2 ดินแดนลิมบัง (Limbang) มาเลเซีย-บรูไน ระงับชั่วคราว 16 มี.ค. 2009/2552 3 ดินแดนซาบาหแ (Sabah) มาเลเซีย-ฟิลิปปินสแ ยังไมระงับ 4 เสนเขตแดนทางบก ลาว-เวียดนาม ระงับแลว 1 มี.ค. 2533/1990 5 เสนเขตแดนตามแนวแมน้ําโขง ลาว-พมา ระงับแลว 11 มิ.ย. 2537/1994 6 เสนเขตแดนทางบก ลาว-กัมพูชา ยังไมระงับ 7 เสนเขตแดนทางบก กัมพูชา-เวียดนาม ยังไมระงับ 8 ไหลทวีปในชองแคบมะละกาและทะเลจีนใต อินโดนีเซีย-มาเลเซีย ระงับแลว 27 ต.ค. 2512/1969 9 ทะเลอาณาเขตในชองแคบมะละกา อินโดนีเซีย-มาเลเซีย ระงับแลว 8 ต.ค. 2514/1971 10 ทะเลอาณาเขตในชองแคบสิงคโปรแ อินโดนีเซีย-สิงคโปรแ ระงับแลว 25 พ.ค. 2516/1973 11 ทะเลประวัติศาสตรแ (historic waters) กัมพูชา-เวียดนาม ระงับแลว 7 ก.ค. 2525/1982 12 พื้นที่พัฒนารวมบริเวณไหลทวีป มาเลเซีย-เวียดนาม ระงับแลว 5 มิ.ย. 2535/1992 13 ชองแคบยะโฮรแ (Strait of Johor) มาเลเซีย-สิงคโปรแ ระงับแลว 7 ส.ค. 2538/1995 14 ไหลทวีปถึงเกาะนาทูนา (Natuna Islands) อินโดนีเซีย-เวียดนาม ระงับแลว 26 มิ.ย. 2546/2003 15 เสนเขตแดนทางทะเล บรูไน-มาเลเซีย ระงับชั่วคราว 16 มี.ค. 2009/2552 16 เกาะมิอังกัส (Miangas Island) อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินสแ ยังไมระงับ 17 เกาะลิกิตัน (Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Sipadan) อินโดนีเซีย-มาเลเซีย ศาลโลกตัดสิน 17 ธ.ค. 2545/2002 18 แหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) อินโดนีเซีย-มาเลเซีย ยังไมระงับ 19 ขอพิพาทหิน 3 กอน มาเลเซีย-สิงคโปรแ ศาลโลกตัดสิน 23 พ.ค. 2551/2008 20 หมูเกาะสแปรตลียแ (Spratlys) บรูไน-มาเลเซีย- ยังไมระงับ ฟิลิปปินสแ-เวียดนาม- จีน-ไตหวัน
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เกิดองคแความรูและความเขาใจตอการกําหนดเสนเขตแดนระหวางประเทศทั้งทางบกและทางทะเล ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ยกเวนประเทศไทย 2. สามารถทราบถึงรูปแบบและวิธีการที่ใชเพื่อระงับขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศภายใตกรอบ ความรวมมือของสมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Association of Southeast Asian Nations) หรือ อาเซียน (ASEAN) และ/หรือ กลไกอื่นๆ ภายนอกภูมิภาค 3. สามารถวิเคราะหแปัจจัยแหงความสําเร็จและความลมเหลวในการบริหารจัดการขอพิพาทเขตแดน ระหวางประเทศภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ซึ่งจะเป็นประโยชนแตอการกําหนดแนวนโยบายของ ไทยในการจัดการขอพิพาทเขตแดนที่เกิดขึ้นแลวและที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได
4
1.5 ความตกลงเบื้องต้น การนําเสนองานวิจัยครั้งนี้จะใชรูปแบบการระบุปี พุทธศักราช และ คริสตแศักราช ควบคูไปพรอมกัน เชน 2556/2013 หมายความวา พุทธศักราช 2556 และ คริสตแศักราช 2013 เป็นตน เพื่อใหสามารถ เทียบเคียงกับเหตุการณแอื่นๆ ในประเทศและตางประเทศได การอางอิงแหลงขอมูลที่สามารถเขาถึงไดจากเครือขายออนไลนแ (Online Resorces) นั้น เนื่องจากอยู ของเว็บไซตแ หรือ URL แหลงขอมูลบางอยางมีความยาวมาก ดังนั้น ผูวิจัยจะใชการยอที่อยูใหสั้นลง โดยผาน บริการของเว็บไซตแ https://bitly.com เพื่อใหผูอานสามารถคนหาไดสะดวกยิ่งขึ้น เชน URL ของ http://www.mfa.go.th/asean/contents/files/asean-media-center-20121203-175739-200288.pdf เมื่อยอแลว จะไดที่อยูใหม คือ http://bit.ly/1CzLrtF เป็นตน
1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ
เส้นเขตแดน, เส้นแบ่งเขต (boundary; boundary line) หมายถึง เสนสมมุติที่กําหนดขึ้นเป็น ขอบเขตของหนวยการปกครองหรือบริเวณพื้นที่ซึ่งมีลักษณะคลายคลึงกันอยางใดอยางหนึ่ง เชน เสนแบงเขต อําเภอ เสนแบงเขตจังหวัด เสนแบงเขตดิน เสนแบงเขตภูมิอากาศ ในกรณีที่เป็นเสนแบงเขตประเทศ นิยม เรียกวา เสนเขตแดนระหวางประเทศ (มีความหมายเหมือนกับ march; mark)1
เส้นเขตแดนระหว่างประเทศ (international boundary) หมายถึง เสนสมมุติที่กําหนดขึ้น โดย ประเทศทวิภาคี เพื่อเป็นขอบเขตและรูวาอํานาจอธิปไตยของตนหรือของประเทศนั้นไดมาสิ้นสุดที่เสนสมมุตินี้ เสนสมมุติดังกลาวอาจกําหนดขึ้นบนแผนที่หรือแผนผัง หรือแสดงดวยคําพรรณนาเป็นลายลักษณแอักษร หรือ อาจแสดงเป็นหลักฐานบนพื้นดินก็ได2
พรมแดน, แนวพรมแดน (frontier) หมายถึง พื้นที่ซึ่งคาบเกี่ยวไปตามเสนเขตแดนระหวางประเทศ3 และ พื้นที่ซึ่งมีความคาบเกี่ยวทั้งสองประเทศ ซึ่งพื้นที่คาบเกี่ยวนี้จะไปตามเสนเขตแดนระหวางประเทศ โดย ไมมีขอกําหนดแนชัดวาจะตองอยูลึกเขาจากเสนเขตแดนดานละเทาใด4
ชายแดน (border) หมายถึง พื้นที่ตอเนื่องกับเสนเขตแดนระหวางประเทศของประเทศใดประเทศ หนึ่ง”5 และ พื้นที่จากเสนเขตแดนระหวางประเทศเขาไปในดินแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง ไมมี ขอกําหนดวาจะลึกเขาไปเทาใด6
1 ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพทแภูมิศาสตรแ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (กรุงเทพฯ: หางหุนสวนจํากัด โรงพิมพแชวน พิมพแ, 2549), หนา 83. 2 ราชบัณฑิตยสถาน. อักขรานุกรมภูมิศาสตรแไทย เลม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (กรุงเทพฯ: หางหุนสวนจํากัด อรุณ การพิมพแ, 2545), หนา 11. 3 ราชบัณฑิตยสถาน. อางแลว (2549), หนา 249. 4 ราชบัณฑิตยสถาน. อางแลว (2545), หนา 11. 5 ราชบัณฑิตยสถาน. อางแลว (2549), หนา 81. 6 ราชบัณฑิตยสถาน. อางแลว (2545), หนาดียวกัน. 5
สันปันน้ า (watershed) หมายถึง บริเวณที่สูงหรือสันเขา ซึ่งแบงน้ําที่อยูแตละดานของสันเขา ใหไหล ออกไป 2 ฟาก (หรือมีทิศทางตรงกันขาม) ไปสูแมน้ําลําธาร แตสันปันน้ําในการกําหนดเขตแดนนั้น หมายถึง ที่ สูงหรือสวนใหญคือสันเขา ที่ตอเนื่องกัน และจะปันน้ําหรือน้ําฝนที่ตกลงมา ใหแบงออกเป็น 2 ฟาก โดยไมมี การไหลยอนกลับ ในกรณีที่มีสันเขาแยกออกเป็นหลายสันจะยึดถือสันเขาที่มีความตอเนื่องมากที่สุด นั่นคือ สันเขาที่สูงที่สุดไมจําเป็นตองเป็นสันปันน้ําเสมอไป แตสันเขาที่สูงและมีความตอเนื่องมากที่สุดมักจะไดรับการ พิจารณาใหเป็นสันปันน้ํา7
ฟาทอม (fathom) หมายถึง มาตราวัดความลึกทางทะเล ความลึก 1 ฟาทอม = 6 ฟุต = 2 หลา = 1.829 เมตร8
ไมล์ทะเล (nautical mile) เป็นหนวยระยะทางเทากับระยะทางบนผิวโลกประมาณ 1 ลิปดาบนเสน เสนเมริเดียน โดย 1 ไมลแทะเล มีความยาวประมาณ 1,852 เมตร
อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล หรือ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 1 (The United Nations Convention on the Law of the Sea – UNCLOS I) ปี 2501/1958 เกิดขึ้นจากการจัดการประชุมสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเลครั้งที่ 1 (The First United Nations Conference on the Law of the Sea – UNCLOS I) ระหวางวันที่ 24 กุมภาพันธแ – 27 เมษายน 2501/ 1958 ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอรแแลนดแ โดยมีผูแทนจาก 86 ประเทศเขารวมประชุม ในที่สุดที่ประชุมมี มติเห็นชอบกฎหมาย 4 ฉบับ ไดแก 1.อนุสัญญาวาดวยทะเลอาณาเขตและเขตตอเนื่อง (Convention on the Territorial Sea and the Contiguous Zone) 2. อนุสัญญาวาดวยทะเลหลวง (Convention on the High Seas) 3. อนุสัญญาวาดวยการทําประมงและการอนุรักษแทรัพยากรที่มีชีวิตในทะเลหลวง (Convention on Fishing and Conservation of the Living Resources of the High Seas) และ 4. อนุสัญญาวาดวยไหลทวีป (Convention on the Continental Shelf) ประเทศไทยลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2501/1958 และไดใหสัตยาบันเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2511/1968 โดยมีผลบังคับกับประเทศไทยตั้งแตวันที่ 1 สิงหาคม 2511/1968 เป็นตนมา
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 เกิดขึ้นจากการประชุมสหประชาชาติวาดวย กฎหมายทะเลครั้งที่ 3 (The Third United Nations Conference on the Law of the Sea – UNCLOS III) ซึ่งเป็นการประชุมที่ตอเนื่องกันเป็นระยะนาวนานถึง 9 ปี ระหวางปี 2516/1973 – 2525/1982 มีการ ประชุมทั้งสิ้น 11 สมัยประชุม โดยมีผูแทนจาก 159 ประเทศเขารวมประชุม ในที่สุดที่ประชุมไดมีมติเห็นชอบ และรับรองอนุสัญญาฉบับนี้ ซึ่งเป็นการปรับปรุงและพัฒนาหลักการทางกฎหมายจากเนื้อหาเดิมของกฎหมาย ทะเลทั้ง 4 ฉบับ ของอนุสัญญากรุงเจนีวาวาดวยกฎหมายทะเล หรือ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมาย
7 เรื่องเดียวกัน. หนาเดียวกัน. 8 กรมชลประทาน. อภิธานศัพทแเทคนิคดานการชลประทานและการระบายน้ํา (กรุงเทพฯ: กรมชลประทาน, 2553), หนา 11. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1O4dhPl 6
ทะเล ฉบับที่ 1 (United Nations Convention on the Law of the Sea – UNCLOS I) เมื่อปี 2501/1958 โดยมีการกําหนดหลักการใหมหลายประการ ไดแก รัฐหมูเกาะ เขตเศรษฐกิจจําเพาะ สิทธิของรัฐไรฝั่ง ทะเล โดยอนุสัญญาฉบับนี้เป็นการกําหนดหลักเกณฑแกฎหมายระหวางประทศเกี่ยวกับสิทธิ หนาที่ และ ขอบเขตอํานาจของรัฐประเภทตางๆ ในการใชประโยชนแจากเขตทางทะเล (Maritime Zone) ไดแก นานน้ํา ภายใน (Internal Water) ทะเลอาณาเขต (Teritorial Sea/Territorial Water) เขตตอเนื่อง (Contiguous Zone) เขตเศรษฐกิจเฉพาะ (Economic Exclusive Zone) ไหลทวีป (Continental Shelf) และ ทะเลหลวง (High Seas) ปัจจุบันอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ถือเป็นหลักกฎหมายที่ใชในการกํากับดูแล การใชทะเลและทรัพยากรทางทะเลในทุกๆ ดาน ซึ่งอนุสัญญาฉบับนี้มีผลบังคับใชเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2537/1994 และประเทศไทยไดลงนามรับรองในอนุสัญญาดังกลาวเมื่อ 2525/1982 และใหสัตยาบันเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2554/2011 และมีผลบังคับใชกับประเทศไทยวันที่ 14 มิถุนายน 2554/2011
อาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ได แบงอาณาเขตทางทะเลออกเป็นสวนตางๆ รวม 6 สวน9 ไดแก 1. น่านน้ าภายใน (Internal Water) หมายถึง นานน้ําที่อยูภายในเสนฐาน (baseline) เชน อาว ปาก แมน้ํา ทะเลสาบ รัฐชายฝั่งมีอํานาจอธิปไตยเหนือนานน้ําภายในทํานองเดียวกันกับที่มีเหนือดินแดนซึ่งเป็นพื้น แผนดิน 2. ทะเลอาณาเขต (Teritorial Sea / Territorial Water) หมายถึง อาณาเขตทางทะเลของรัฐชายฝั่งที่ วัดความกวางออกจากเสนฐานตามที่รัฐชายฝั่งไดกําหนดขึ้นไมเกิน 12 ไมลแทะเล โดยรัฐชายฝั่งมีอํานาจ อธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตของตนและอํานาจอธิปไตยนี้ ครอบคลุมไปถึงหวงอากาศ เหนือพื้นทองทะเล และใตผิวพื้นทองทะเลของทะเลอาณาเขตนั้นๆ ดวย 3. เขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone) เป็นเขตที่อยูตอเนื่องจากเสนขอบนอกของทะเลอาณาเขต ออกไปอีก 12 ไมลแทะเล ในเขตตอเนื่องนี้รัฐชายฝั่งมีอํานาจในการควบคุมเพื่อวัตถุประสงคแตางๆ ดังนี้ ปูองกัน มิใหมีการฝุาฝืนกฎหมาย และขอบังคับวาดวยศุลกากร การเขาเมือง รัษฎากร และสุขาภิบาล อันจะทําใหเกิด ในดินแดน หรือในทะเลอาณาเขตของตน และลงโทษผูกระทําฝุาฝืนกฎหมายและขอบังคับดังกลาว คุมครอง วัตถุโบราณหรือวัตถุทางประวัติศาสตรแที่อยูบนพื้นทะเลในเขตตอเนื่อง 4. เขตเศรษฐกิจจ าเพาะ (Economic Exclusive Zone – EEZ) มีความกวางไมเกิน 200 ไมลแทะเล จากเสนฐาน ซึ่งรัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยในการสํารวจ แสวงประโยชนแ อนุรักษแ และการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่มีชีวิตและไมมีชีวิต สวนกิจกรรมที่ไมเกี่ยวของกับทางเศรษฐกิจ เชน การเดินเรือ การ บิน ไมตกอยูในสิทธิอธิปไตยของรัฐชายฝั่ง 5. ไหล่ทวีป (Continental Shelf) ประกอบดวยพื้นทะเล และใตผิวพื้นของพื้นที่ใตน้ํา ซึ่งยืดขยายจาก ทะเลอาณาเขตไปจนถึงขอบ ที่ดานนอกสุดของทวีปที่มีน้ําลึกไมเกิน 200 เมตร หรือที่ระยะ 200 ไมลแทะเล จากเสนฐาน ซึ่งใชวัดความกวางของทะเลอาณาเขต ในกรณีที่ริมขอบของทวีปยืดขยายออกไป ไมถึงระยะ
9 สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชนฯ เลมที่ 32 เรื่องที่ 5 เสนแบงเขตแดนระหวางประเทศ, การแบงเขตทางทะเล. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EsMyFA 7
ดังกลาว ตามกฎหมายทะเล รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งบน และใตผิวพื้นไหลทวีป ไมวาจะมีชีวิตหรือไมมีชีวิต สวนรัฐอื่นๆ ยังมีสิทธิ ที่จะวางสายเคเบิล หรือทอทางใตทะเลบนไหลทวีปนั้นได โดยตองไดรับความยินยอมจากรัฐชายฝั่งกอน 6. ทะเลหลวง (High Seas) หมายถึง สวนของทะเลที่มิใชสวนหนึ่งของเขตเศรษฐกิจจําเพาะ ทะเล อาณาเขต หรือนานน้ําภายใน โดยทุกรัฐมีเสรีภาพในการใชทะเลหลวงเพื่อการเดินเรือ การบิน การวางสาย เคเบิลและทอทางใตทะเล การประมง การสรางเกาะเทียม และสิ่งติดตั้งอื่นๆ รวมทั้งการคนควาวิจัยทาง วิทยาศาสตรแ
เส้นมัธยะ (Equidistance / Median Line) ตามหลักกฎหมายทะเล ในภาษาไทยใชคําเดียว คือ เสนมัธยะ แตในภาษาอังกฤษใช 2 คําคือ Equidistance Line กับ Median Line ซึ่งแปลวา เสนกึ่งกลาง หรือ เสนแบงครึ่ง แตความหมายในทางเทคนิคของการกําหนดเสนเขตแดนของคําทั้งสองนี้มีความแตกตางกัน กลาวคือ Equidistance Line หมายถึง เสนแบงที่กําหนดขึ้นจากการใชระยะเทาของฐานวัดความกวางที่อยู ประชิดกัน หรือหมายถึง เสนแบงระหวางรัฐที่มีฝั่งทะเลอยูประชิดกัน สวนคําวา Median Line หมายถึง เสน ที่ลากกึ่งกลางระหวางฐานวัดความกวางที่อยูตรงกันขาม หรือหมายถึง เสนแบงระหวางรัฐที่มีฝั่งทะเลอยูตรง ขามกัน การสรางเสนมัธยะจากจุดใดจุดหนึ่ง โดยทราบฐานวัดความกวางที่แนนอนแลว มิใชเรื่องที่ซับซอน อะไร เพราะเสนมัธยะก็คือ เสนซึ่งประกอบดวยจุดโฟกัสซึ่งทุกๆ จุดเหลานั้นมีระยะหางไปยังฐานวัดความกวาง ที่ใกลที่สุดของรัฐทั้งสองที่อยูตรงขามกันหรืออยูประชิดกันเทานั้น ไมวาฐานวัดความกวางเหลานั้นจะเป็น เสนตรงหรือเป็นเสนโคงก็ตาม10 อยางไรก็ตาม ไมมีกฎเกณฑแที่แนชัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แตเมื่อเป็นหลักการ หรือ วิธีการ มักจะใชคําวา Principle of Equidistance หรือ Equidistance Method ในทุกกรณีทั้งอยูประชิด และอยูตรงกันขาม11
10 ศรันยแ เพ็ชรแพิรุณ. สมุทรกรณี. (กรุงเทพฯ: สํานักพิมพแมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรแ, 2549), หนา 280-281. 11 ถนอม เจริญลาภ. “เขตแดนทางทะเลกับเขตทางทะเล” ใน นาวิกศาสตรแ. ราชนาวิกสภา, หนา 1. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JfPOXx 8
บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศมีประโยชนแตอการศึกษาวิจัยทางรัฐศาสตรแ ประวัติศาสตรแ กฎหมายระหวางประเทศ ภูมิศาสตรแ และสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวของ รวมทั้งผูสนใจทั่วไป ทั้งนี้ เครื่องมือ การศึกษาวิจัยทางภูมิศาสตรแ เชน แผนที่ และการทําความเขาใจลักษณะเฉพาะของภูมิประเทศ ยอมจะทําใหมี ขอมูลที่เป็นประโยชนแตอการศึกษาในสาขาวิชาตางๆ นอกจากนี้ ขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศยัง เกี่ยวของกับประเด็นอื่นๆ เชน กระบวนการตัดสินใจทางนโยบายของรัฐ แงมุมทางกฎหมายของสนธิสัญญา และความตกลงระหวางรัฐ บทบาทของบุคคลหรือองคแกรที่ประสบความสําเร็จในการนําเสนอขอคิดเห็นและ ขอโตแยงเพื่อการแกไขปัญหาขอพิพาทเขตแดนในกรณีตางๆ สิ่งเหลานี้ยังคงมีความจําเป็นที่นักวิชาการหรือ ผูสนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติม เพื่อสรางความรูความเขาใจตอสถานการณแขอพิพาทที่ยังคงดําเนินอยูในขณะนั้น และตองชี้ใหเห็นวาการวิเคราะหแขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศควรมุงเปูาไปที่การคนหาสาเหตุเริ่มตนของ ขอพิพาท วิธีการหรือเหตุผลที่รัฐนํามาใชในการอางสิทธิ์ และเปูาหมายที่แทจริงของรัฐในการอางสิทธิ์ ดังนั้น การวิเคราะหแปัญหาขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศจึงมีความจําเป็น โดยเฉพาะเพื่อการประเมินคุณคาของ ขอถกเถียงทางวิชาการจากหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวของ และเพื่อประเมินหรือทํานายแนวโนมของผลลัพธแ ของขอพิพาท ซึ่งอาจสงผลกระทบตอการตั้งถิ่นฐานของผูคนที่อาศัยอยูบริเวณชายแดนที่เกิดขอพิพาท รวมทั้ง อนาคตความสัมพันธแระหวางประเทศที่เป็นคูพิพาทดวย ดังนั้น ในบทที่ 2 นี้จึงจะนําเสนอแนวคิดทฤษฎีที่ เกี่ยวของ 3 แนวคิด ไดแก แนวคิดวาดวยการกําหนดเสนเขตแดนระหวางประเทศ แนวคิดวาดวยขอพิพาทเขต แดนระหวางประเทศ และ แนวคิดวาดวยการระงับขอพิพาทระหวางประเทศ
2.1 แนวคิดว่าด้วยการก าหนดเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ
ความหมายทั่วไปของเขตแดน12 ดินแดนของรัฐ หมายถึง บริเวณที่อยูภายใตอธิปไตยของรัฐ โดยรัฐเป็นทั้งเจาของและมีอํานาจปกครอง เหนือบริเวณนั้น ดินแดนของรัฐไดแก พื้นดิน พื้นน้ํา และหวงอากาศ ดังนี้ 1. พื้นดิน (land territory) ซึ่งรวมทั้งแหลงน้ําจืดซึ่งขังอยูบนดินและสิ่งที่อยูใตผิวดินของพื้นดิน 2. พื้นน้ํา (water) ซึ่งรวมทั้งพื้นน้ําภายใน (internal water) พื้นน้ําอาณาเขต (territorial water) พื้น ทองทะเล (sea-bed) และสิ่งที่อยูใตผิวทองทะเล (subsoil) 3. หวงอากาศ (air space) คือทองฟูาหรือบรรยากาศในบริเวณที่อยูเหนือขึ้นมาจากพื้นดินและพื้นน้ํา ใน ขอ 1 และ ขอ 2
เขตแดนทางบก มักเกิดขึ้นจากการทําความตกลงกัน โดยใชสิ่งที่เห็นงายหรือสิ่งกีดกั้นที่ทําใหมีลักษณะ เป็นสัดสวนหรือทําใหรัฐที่เกี่ยวของไดรับประโยชนแรวมกัน โดยมากมักใชภูเขาหรือแมน้ําที่มิใชเป็นของรัฐเดียว ในการกําหนดเขตแดนระหวางสองฝุาย โดยอาจสวนของภูเขาหรือแมน้ําตามความเหมาะสม เชน - อาจใชทิวเขา (range) สันปันน้ํา (water-shed) หรือ ชะงอนผา (escarpment) เป็นเขตแดน - หากเป็นแมน้ําที่ใชเดินเรือไมได (non-navigable river) มักใชแนวกึ่งกลางของแมน้ําเป็นเขตแดน
12 ศรันยแ เพ็ชรแพิรุณ. อางแลว, หนา 277-278. 9
- หากเป็นแมน้ําที่ใชเดินเรือได (navigable river) มักใชแนวกึ่งกลางของรองน้ําลึก (thalweg) เป็นเขตแดน - ถามีสะพานขามแมน้ํามักถือกึ่งกลางสะพานเป็นเขตแดน
เขตแดนทางทะเล เนื่องจากเดิมทะเลสวนใหญเป็นทะเลหลวงที่ทุกรัฐมีเสรีภาพนานาประการ ตอมา กฎหมายทะเลกําหนดใหรัฐชายฝั่งสามารถอางเขตทางทะเลได เชน การประกาศทะเลอาณาเขต 12 ไมลแทะเล การประกาศเขตไหลทวีปและเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล ซึ่งในหลายบริเวณทั่วโลกมีสภาพทาง ภูมิศาสตรแไมเอื้ออํานวยตอการมีเขตแดนทางทะเลไดอยางเต็มที่ จึงทําใหเกิดเขตทับซอนทางทะเลระหวางรัฐ ทั้งที่อยูตรงขามและประชิดกัน ซึ่งจะตองเจรจาทําความตกลงแบงเขตแดนทางทะเลที่เรียกวา การกําหนดเขต หรือ การแบงเขตทางทะเล (delimitation) โดยอาศัยหลักกฎหมายระหวางประเทศที่เกี่ยวของ รัฐที่อางเขตแดนทางทะเลทับซอนกับบรัฐอื่นยังไมมีสิทธิอยางเต็มที่ในเขตแดนที่ทับซอนนั้น (เนื่องจาก เป็นการอางหรือประกาศฝุายเดียว หรือ unilateral claim) ซึ่งตองมีการเจรจาตกลงกันกอน ภายหลังหาก การเจรจาไมเป็นผลอาจใหศาลหรืออนุญาโตตุลาการระหวางประเทศคตัดสินชี้ขาด อยางไรก็ดี เมื่อรัฐหนึ่ง ประกาศหรืออางสิทธิเขตทางทะเล และรัฐที่เกี่ยวของมีทาทีวางเฉยรับรูการอางสิทิและการใชสิทธิในเขตทับ ซอนเป็นเวลานานปีโดยไมมีการประทวง ก็อาจถือวาเป็นการยอมรับสิทธิของรัฐอื่นโดยการนิ่งเฉย (acquiescence) ซึ่งมีผลใหตอไปตนไมอาจโตแยงการใชสิทธิ์ของรัฐนั้นไดอีกตามหลักกฎหมายปิดปาก (estoppel) หมายความวา การนิ่งเฉยไมโตแยงเมื่อเสียสิทธิถือวายอมรับ ซึ่งเป็นหลักกฎหมายจารีตประเพณี ที่มีผลในทางบังคับ (mandatory)13
แนวคิดในการกําหนดเสนเขตแดนระหวางประเทศมี 2 ประเภท คือ เส้นเขตแดนที่ยอมรับกันโดยพฤติ นัย (non-agreement boundary) หมายถึง เสนเขตแดนระหวางประเทศที่เกิดขึ้นและไดรับการยอมรับโดย พฤตินัย ประเทศคูภาคีไมมีการทําความตกลงอยางเป็นทางการซึ่งกันและกัน มีเพียงเจาหนาที่และราษฎรใน ทองถิ่นเทานั้นที่รูวาเสนเขตแดนของตนอยูที่ใดโดยอัตโนมัติ14 แตในปัจจุบันเขตแดนของรัฐสวนใหญมักเป็นไป ในรูปแบบของ เส้นเขตแดนที่ก าหนดอย่างเป็นทางการ (agreement boundary) ซึ่งหมายถึง เสนเขตแดน ระหวางประเทศที่มีดินแดนตอเนื่องทําความตกลงกันอยางเป็นทางการ โดยความตกลงนั้นจะทําในรูปของ เอกสารประกอบขอตกลง ไดแก สนธิสัญญา (treaty) อนุสัญญา (convention) พิธีสาร (protocol) ขอตกลง (agreement) บันทึกวาจา (process verbal) ปฏิญญา (declaration) บันทึกความเขาใจ (memorandum of understanding) รวมทั้งการแสดงเสนเขตแดนบนแผนที่ไวดวย การกําหนดเขตแดนเป็นทางการนี้ ผูแทนที่ ไดรับอํานาจเต็มจากรัฐบาลจะตองมีหนังสือมอบอํานาจกอน จึงจะมีอํานาจในการลงนามในเอกสารหรือแผนที่ ดังกลาวแลว แตเอกสารหรือแผนที่นี้ไมมีผลสมบูรณแตามกฎหมายระหวางประเทศ จนกวารัฐบาลทั้ง 2 ฝุาย จะ มีการลงนามรับรองและแลกเปลี่ยนสัตยาบันซึ่งกันและกันอีกครั้งหนึ่ง15 ซึ่งขั้นตอนการจัดทําเสนเขตแดน ระหวางประเทศอยางเป็นทางการ สามารถแบงได 2 ขั้นตอนหลักๆ ไดแก
13 เรื่องเดียวกัน. หนา 278-279. 14 ราชบัณฑิตยสถาน. อางแลว (2545), หนา 15. 15 เรื่องเดียวกัน. หนาเดียวกัน. 10
2.1.1 การก าหนดเขตแดน (delimitation) หมายถึง การกําหนดเขตแดนที่อยูในรูปหลักฐานทาง เอกสาร ไดแก สนธิสัญญา แผนที่ แผนผัง หรืออื่นๆ ซึ่งมักกระทํากันในสํานักงานหรือบนโต฿ะเจรจา เพื่อใชเป็น แนวทางในการแบงเขตแดนระหวางกันในระยะเริ่มตน กอนดําเนินการสํารวจและปักปันเขตแดนรวมกันในภูมิ ประเทศจริง16 การกําหนดเขตแดน เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ประเทศอธิปไตย 2 ประเทศ ซึ่งจะมีการ เขียนขอความบรรยายที่ตั้งของเสนเขตแดนที่ใชรวมกัน งานลักษณะนี้เป็นหนาที่ของนักการทูตหรือผูเจรจา สนธิสัญญาและอาจจะตองทําสนธิสัญญามากกวา 1 ฉบับ ตัวอยางเชน ในระหวางปี 2325/1782 – 2468/1925 สหรัฐอเมริกาและแคนาดาทําสนธิสัญญาขึ้นถึง 26 ฉบับ เพื่อตกลงที่ตั้งของเสนเขตแดนระหวาง 2 ประเทศ แมวาเสนเขตแดนที่กําหนดขึ้นจะตั้งใจใหตรงกับเสนที่อยูบนแผนที่ แตก็ตองตกลงกันใหแนชัด เสียกอนวาจะใชแผนที่ใด และ ใชเสนเขตแดนบนแผนที่นั้นประกอบคําอธิบายเสนเขตแดน การกําหนดเสนเขต แดนที่ใชคําอธิบายเพียงอยางเดียวโดยไมมีแผนที่แนบทายจะตองแนใจวาคําอธิบายนั้นชัดเจนเพียงพอโดย ปราศจากขอโตแยงใดๆ17
2.1.2 การปักปันเขตแดน (demarcation) หมายถึง การดําเนินการในขั้นตอมาซึ่งเป็นเรื่องของการ จัดสรางสัญลักษณแหรือที่หมายของแนวเขตแดนที่กําหนดไวแลวลงบนภูมิประเทศ กลาวคือ เมื่อไดกําหนดแนว เขตแดนไปแลว ก็จะจัดตั้งคณะกรรมการดําเนินการปักปันเขตแดนในภูมิประเทศจริงรวมกัน โดยกําหนดแบบ ของหลักเขตและวัสดุตามมาตรฐานที่ไดตกลงกันไว18 การปฏิบัติการปักปันเสนเขตแดนในสนาม จุดมุงหมายคือ การทําเครื่องหมายขึ้นเพื่อแสดงตําแหนงของ เสนเขตแดนบนพื้นดินใหทุกคนสามารถเห็นไดโดยงาย งานลักษณะนี้มักอยูในรูปของคณะกรรมการรวมที่มี ผูแทนมาจากแตละประเทศในจํานวนที่เทากัน แมวาการทํางานอาจมีการทาทายในแงของวิชาชีพจากแตละ ฝุายบาง แตตองถือวาเป็นการทํางานของคณะหนึ่งเดียวมากกวาจะเป็นคณะตางหากจากกัน หลังจากปักปัน เขตแดนแลวเสร็จ ก็จะตองมีกระบวนการจัดทําแผนที่ หรือ การจัดทําโครงรางเสนเขตแดน (Delineation) ซึ่ง เป็นกระบวนการแสดงเสนเขตแดนโดยใชแผนผังหรือคณิตศาสตรแ บอยครั้งคณะกรรมการรวมมักทําหนาที่ทั้ง การปักปันและการเขียนเสนเขตแดน ผลงานของคณะกรรมการมักจะออกมาในรูปของรายงาน รูปถายหรือรูป อื่นๆ แผนที่ ตารางแสดงพิกัดตําแหนงของหลักเขตแดน และ หมุดหลักฐานการรังวัด เอกสารเหลานี้ถือเป็น หลักฐานที่เป็นทางการของที่ตั้งเสนเขตแดนทั้งหมด19
2.1.3 หลักการและเทคนิคในการเจรจาแบ่งอาณาเขตทางทะเล ทะเลและมหาสมุทรเป็นแหลงทรัพยากรที่สําคัญ ดังนั้น รัฐตางๆ จึงตางพยายามครอบครองพื้นที่ให ไดมากที่สุด ทําใหตองมีวิธีการเพื่อแบงอาณาเขตใหเป็นที่ยอมรับของรัฐตางๆ เพื่อความยุติธรรมและไมใหเกิด
16 เรื่องเดียวกัน. หนา 11. 17 ประศาสนแ ตั้งมติธรรม. “การกําหนด การปักปัน และ การเขียนเสนเขตแดนระหวางประเทศ,” กรุงเทพธุกิจ, 3 กุมพาพันธแ 2557, เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2557/2014 เขาถึงจาก http://bit.ly/1I0asjG แปลจาก Alec McEwen. “The Demarcation and Maintenance of International Boundaries,” A paper prepared for the Canadian Commissions of the Canada/United States International Boundary Commission (July 2002) ดูเอกสารตนฉบับภาษาอังกฤษไดจาก http://bit.ly/1fzCZPY 18 ราชบัณฑิตยสถาน. อางแลว (2545), หนา 11-12. 19 ประศาสนแ ตั้งมติธรรม. อางแลว. 11
ความขัดแยงระหวางกัน ศาสตราจารยแฟิลลิป ซี. เจสซุบ (Phillip C. Jessup) ไดศึกษาการแบงอาณาเขตทาง ทะเลของรัฐชายฝั่ง ซึ่งโดยสรุปแลวมี 8 วิธีใหญๆ ดังนี้20 1. กําหนดเสนอาณาเขตทางทะเลสําหรับรัฐชายฝั่ง โดยการตอตรงออกไปจากเสนเขตแดนบนบกที่มา บรรจบฝั่งทะเล วิธีนี้เหมาะสําหรับประเทศที่ประชิดกัน บริเวณขอบฝั่งคอนขางเป็นเสนตรงและเสนเขตแดน บนบกมีลักษณะเกือบจะตั้งฉากหรือตั้งฉากกับขอบฝั่ง 2. กําหนดเสนอาณาเขตในทะเลระหวางรัฐชายฝั่ง โดยถือเอาเสนตั้งฉากกับขอบฝั่ง ณ จุดที่เสนอาณา เขตบนบกบรรจบฝั่งทะเล จะใกลเคียงกับวิธีที่ 1 3. กําหนดเสนอาณาเขตโดนใชเสนจริงตั้งฉากกับทิศทางทั่วไปของขอบฝั่ง (general direction of the coast) เป็นเสนอาณาเขต 4. กําหนดเสนแบงเขตในทะเลระหวางรัฐชายฝั่ง โดยถือเอาเมอริเดียนของละติดจูหรือลองจิจูดอันใด อันหนึ่งเป็นเสนแบง ถาสามารถอางอิงถึงสิ่งกอสรางที่ถาวร เกาะ หรือ สิ่งโดดเดนอื่นๆ ดวย ก็จะลดปัญหาลง ไดมาก 5. กําหนดเสนแยงอาณาเขตระหวางรัฐชายฝั่งไปตามแนวแอซิมัธ (Azimuth) อันใดอันหนึ่ง 6. กําหนดแนวน้ําลึกเป็นเสนเขตแดนระหวางรัฐ จะพบโดยทั่วไประหวางประเทศที่มีแมน้ํากั้นกลางหรือ มีปากแมน้ําบริเวณที่บรรจบทะเล แนวน้ําลึกอาจจะเปลี่ยนแปลงไปไดทั้งโดยธรรมชาติ โดยฤดูกาล และโดย การกอสรางริมฝั่ง โดยเฉพาะที่ปากแมน้ําบรรจบทะเลอาจจะเปลี่ยนแปลงไปไดมากจนเกิดขอไดเปรียบ เสียเปรียบจนยอมไมไดระหวางคูกรณี ดังนั้นควรมีการพิจารณาเรื่องเหลานี้ไวกอน 7. กําหนดเสนแบงอาณาเขตขึ้นตามลักษณะพิเศษของทางภูมิศาสตรแ หรือธรณีสัณฐานกําหนดขึ้นโดย สภาพแวดลอมทางภูมิศาสตรแที่สําคัญ เชน สันเขาใตทะเล โดยถือความพอใจ ความเหมาะสม และทั้งสองฝุาย คิดวายุติธรรมเป็นหลัก 8. กําหนดเสนแบงอาณาเขตทางทะเลระหวางรัฐชายฝั่งโดยถือตามหลักการเสนมัธยะ โดยทั่วไปนับวา เป็นวิธีที่มีลักษณะยุติธรรม สะดวกในทางปฏิบัติเมื่อสามารถตกลงในขอปฏิบัติใหญๆ กันได ในการใชเสนมัธยะ นั้นมีขอกําหนดไวในอนุสัญญากรุงเจนีวาวาดวยไหลทวีป ปี 2501/1958 ดวย
2.1.4 หลักการแบ่งเขตทางทะเลตามอนุสัญญากฎหมายทะเล วิธีการแบงเขตไหลทวีประหวางรัฐที่อยูประชิดกันหรือตรงขามกัน ตามอนุสัญญากรุงเจนีวาวาดวยไหล ทวีป 2501/1958 ขอ 6 ของอนุสัญญาฯ กําหนดวา ตองแบงโดยหลักการ Equidistance-Special Circumstances กลาวคือ 1. แบงโดยความตกลงระหวางประเทศ (Agreement) 2. ในกรณีที่ไมมีความตกลงระหวางกันใหใชหลักการ Equidistance 2.1 ระหวางรัฐประชิดจะใช Equidistance Line ในการแบง 2.2 ระหวางรัฐตรงขามจะใช Median Line ในการแบง 3. หากมีสถานการณแพิเศษ (special circumstances) ที่สมเหตุสมผล (justify) สําหรับการใชเสนอื่น ใดที่มิใชเสนตามหลักการ Equidistance ก็ใหใชเสนนั้นได
20 ศรันยแ เพ็ชรแพิรุณ. อางแลว, หนา 279-280. 12
วิธีการแบงเขตไหลทวีประหวางรัฐที่อยูประชิดกันหรือตรงขามกัน ตามอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวย กฎหมายทะเล ปี 2525/1982 ขอ 83 ของอนุสัญญาฯ กําหนดวาตองแบงโดย 1. ความตกลง (Agreement) 2. บนพื้นฐานของกฎหมายระหวางประเทศ (on the basis of international law) 3. เพื่อใหไดผลลัพธแที่เที่ยงธรรม (equitable solution)
ผลลัพธ์ที่เที่ยงธรรม (equitable solution) จะตองพิจารณาเป็นกรณีๆ โดยมีแนวทางการพิจารณาดังนี้ 1. ใช Median Line หรือ Equitable Line เป็นพื้นฐานเบื้องตน แมวากฎหมายระหวางประเทศจะมิได บังคับเชนนั้น (ยกเวนระหวางภาคีอนุสัญญาฯ ปี 2501/1958) 2. ตรวจสอบความเยงธรรมของเสนโดยอาจปรับเทาที่จําเป็นเพื่อใหไดผลลัพธแที่เที่ยงธรรมตาม “สภาวะ แวดลอม” หรือ “ปัจจัย” หรือ “หลัก” ตางๆ อาทิ - ลักษณะรูปรางโดยทั่วไปและทิศทางของขอบฝั่ง - ลักษณะเขตแดนทางบกระหวางคูกรณี - น้ําหนักที่จะใหตอเกาะตางๆ (weighting) - ความไดสัดสวนระหวางความยาวของฝั่งกับพื้นที่ทางทะเลที่แบง (proportionality)
2.1.5 กระบวนการในการเจรจาเขตแดนทางทะเล กระบวนการในการจัดทําความตกลงเกี่ยวกับเขตแดนทางทะเล มี 8 ขั้นตอน21 ดังนี้ 1. การประกาศอางสิทธิ์ (Claim) โดยรัฐประกาศอางสิทธิอาณาเขตทางทะเล ไดแก ทะเลอาณาเขต ไหลทวีป หรือ เขตเศรษฐกิจจําเพาะ 2. การตอบสนอง (Response) โดยรัฐเพื่อนบานตอบสนองการอางสิทธิโดยการประทวง/คัดคาน (protest) หรือ ประกาศอางสิทธิตอบโต (counterclaim) ซึ่งโดยปกติ claim กับ response ยอมมีขอ แตกตางกัน และเป็นประเด็น (issue) ที่อาจนําไปสูขอพิพาท (dispute) หรือ อาจถึงขั้นรุนแรงเป็นความ ขัดแยง (conflict) หากฝุายหนึ่งฝุายใดกระทําการหรือพยายามครอบครองพื้นที่ปัญหานั้น 3. การหารือ (Consultation) ภายหลังจากทั้งสองฝุายทําความเขาใจในขอแตกตางระหวาง claim และ response แลว อาจมีการหารือกันเพื่อใหทราบทาที (positions) อยางเป็นทางการของแตละฝุายใน ประเด็นการอางสิทธิ เพื่อตัดสินใจวาควรมีการเจรจาทําความตกลงเกี่ยวกับเขตแดนทางทะเลระหวางกัน หรือไม การหารืออาจทําโดยการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต (diplomatic correspondence) หรือ การ เจรจาอยางไมเป็นทางการ (informal talk) 4. การตอรองเพื่อใหตนไดสิ่งที่ตองการ (Negotiation) ในขั้นตอนนี้รัฐจะแตงตั้งคณะบุคลผูมี ความสามารถในการตกลงเจตตาเกี่ยวกับเขตแดนทางทะเลเป็นพิเศษ ซึ่งหากการเจรจาประสบผลสําเร็จจะทํา ใหเกิด ความตกลง (Agreement) ในการแบงเขตแดนและทรัพยากรทางทะเล ซึ่งโดยทั่วไปมักจะไดเสนแบง เขตแดนที่แมนยําบนแผนที่ (cartographic precision) ระบุจุดพิกัดเสนละติจูด-ลองจิจูดโดยละเอียด 5. การวางโครง รูปแบบ และรางถอยคํา (Drafting) อาจเป็นกระบวนการที่แยกตางหากจากการเจรจา โดยการแตงตั้งคณะเจาหนาที่อีกชุดหนึ่ง ใหมีผูเชี่ยวชาญในการรางหนังสือสัญญารวมกับเจาหนาที่ในคณะ
21 เรื่องเดียวกัน. หนา 284-286. 13
เจรจาเดิม วัตถุประสงคแเพื่อตองการเนนเกี่ยวกับการทําหนังสือสัญญาที่ถูกตองดานภาษารวมทั้งรูปแบบตาม มาตรฐานและขอปฏิบัติทางการทูต 6. การมีผลบังคับของความตกลง (Validation) ความตกลงที่ถูกกําหนดขึ้นจะมีผลผูกพันก็ตอเมื่อผาน กระบวนการรับรอง หรือ การใหสัตยาบัน (ratification) โดยรัฐสภา ทั้งนี้ ขึ้นกับรัฐธรรมนูญของแจละประเทศ วาจะกําหนดวิธีการไวอยางไร บางประเทศอาจเป็นระบบพรรคเดียว (one party) เชน เวียดนาม หรือ เป็น ระบบรัฐสภา (parliamentary system) เชน ไทย ซึ่งโดยปกติเมื่อผานการอภิปรายในรัฐสภาแลว ถือวาความ ตกลงนั้นไดรับความเห็นชอบโดยปริยาย หลังจากไดรับความเห็นชอบแลว รัฐบาลจึงดําเนินการแสดงเจตนา ยอมรับที่จะผูกพันตามความตกลง โดยวิธีสงหรือแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร (instrument of ratification) 7. การจัดการเพื่อรักษาเขตแดนทางทะเล (Administration) เขตแดนทางทะเลไมสามารถมี เครื่องหมายเชนเขตแดนทางบก ดังนั้น แนวปฏิบัติภายหลังการแบงเขตแดนทางทะเลเรียบรอยแลว รัฐที่ เกี่ยวของมักมีการลาดตระเวนทางทะเลใกลแนวเขตเป็นประจํา (แมวารัฐเพื่อนบานจะเป็นมิตรกันก็ตาม) อยางไรก็ดี อาจมีการลาดตระเวนรวมกัน ดังเชน กรณีประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งอาจปฏิบัติการพรอมกัน หรือผลัดกันปฏิบัติการ เพื่อเป็นการแสดงความสัมพันธแที่ดีตอกัน 8. การทบทวนความตกลง (Revision) โดยประเพณีแลวความตกลงเรื่องเขตแดนตะไมมีการทบทวน แมวาจะไมมีขอบังคับไววา หามทบทวน อยางไรก็ตาม หากจะมีการทบทวนจะตองไมเกี่ยวกับตําแหนง (position) ของเสนเขตแดนที่ไดทําความตกลงไวแลว แตสามาระทบทวนไดเกี่ยวกับธรรมชาติ (nature) หรือ หนาที่ (function) ของเสนเขตแดน ตัวอยางเชน ทั้งสองฝุายตกลงที่จะเปลี่ยน “ขอบเขตของไหลทวีป” ไป เป็น “ขอบเขตของเขตเศรษฐกิจจําเพาะ” เป็นตน
ในกรณีที่การเจรจาทําความตกลงเกี่ยวกับเขตทางทะเลมีความยากลําบาก การเจรจาประสบความ ลมเหลวทางการทูต (diplomatic failure) ที่เรียกวา ถึงสภาวะทางตัน (stalemate) อาจตองใชกระบวนการ เพิ่มเติม ไดแก การไกลเกลี่ยโดยภาคีที่สาม เรียกวา diplomatic / intermediary process ซึ่งมี 12 ขั้นตอน ไดแก 1. การประกาศอางสิทธิ์ (Claim) 2. การตอบสนอง (Response) 3. การหารือ (Consultation) 4. การ ตอรองเพื่อใหตนไดสิ่งที่ตองการ (Negotiation) โดย 4 ขั้นตอนแรกเป็นขั้นตอนปกติกอนถึงสภาวะทางตัน และมีขั้นตอนในกระบวนการไกลเกลี่ยเพิ่มมาอีก 4 ขั้นตอน ดังนี้ 5. การไกลเกลี่ย (Advocacy) เป็นภาคีที่สาม ที่คูเจรจาตกลงเชิญมาทําหนาที่ไกลเกลี่ย 6. การวางโครงรูปแบบ (Drafting) และรางถอยคํา คณะกรรมการไกลเกลี่ยจะรางขอเสนอแนะใน ประเด็นเพื่อใหไดขอยุติของปัญหา บางกรณีอาจอยูภายใตกรอบการควบคุมของการไกลเกลี่ย บางกรณีคูกรณี อาจตัดสินใจโดยอิสระ 7. การหารือ (Consultation) คูกรณีหารือกันใน ราง (draft) ของคณะกรรมการไกลเกลี่ย 8. การตอรองเพื่อใหตนไดสิ่งที่ตองการ (Negotiation) คูกรณีเจรจากันใน ราง (draft) ของ คณะกรรมการไกลเกลี่ยหากทั้งสองฝุายพอใจและพรอมที่จะทําความตกลงกัน ถือวาสิ้นสุดขั้นตอนของ กระบวนการไกลเกลี่ย จากนั้นคูกรณีจะเขาสูขั้นตอนปกติอีก 4 ขั้นตอนสุดทาย 9. การวางโครงรูปแบบ และรางถอยคําสุดทาย (Final Draft) เป็นการรางความตกลงสุดทาย ตามผล การเจรจาที่ตกลงกันในขั้นตอนการไกลเกลี่ย (ขอ 8) 10. การมีผลบังคับของความตกลง (Validation) 11. การจัดการเพื่อรักษาเขตแดนทางทะเล (Administration) 12. การทบทวนความตกลง (Revision) 14
นอกจากการกําหนดเขตแดน (Delimitation) การปักปันเขตแดน (Demarcation) และการจัดทําโครง รางเขตแดน (Delineation) แลว การถือกําเนิดขึ้นของเสนเขตแดนระหวางประเทศที่มักถูกนํามาเป็นเหตุผล ในการอางสิทธิ์เหนือดินแดนและนําไปสูขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศ คือแนวคิดวาดวย การได้มาซึ่ง ดินแดนของรัฐ (Acquisition of State Territory) ซึ่งสามารถอธิบายรูปแบบและวิธีการของการไดมาซึ่ง ดินแดนของรัฐ22 ดังนี้
2.1.6 การได้ดินแดนโดยการใช้อ านาจอธิปไตยเหนือดินแดน ไดแก การไดดินแดนมาโดยการ ครอบครอง (Occupation) และ การครอบครองปรปักษแ หรือ การไดมาโดยอายุความ (Prescription)
การได้ดินแดนมาโดยการครอบครอง (Occupation) หมายถึง การกระทําของรัฐใดรัฐหนึ่งในการเขา ยึดครองเอาดินแดนใดดินแดนหนึ่ง โดยเจตนาที่จะไดมาซึ่งอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น โดยที่ในขณะนั้น ดินแดนนั้นไมไดอยูภายใตอํานาจอธิปไตยของรัฐใดเลย ดังนั้น ดินแดนที่จะถูกครอบครองได จึงไดแก ดินแดน ที่ยังไมเป็นของรัฐใด หรือที่เรียกวา ดินแดนไมมีเจาของ (Terra Nullius) หรือ เป็นทรัพยแที่ไมมีเจาของ (Res Nullius) การไดดินแดนมาโดยการครอบครอง จะตองปรากฏหลักฐานวา รัฐนั้นตองทําการครอบครองดินแดน นั้นอยางมีประสิทธิภาพ (Effective Occupation) มีการใชอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นอยางแทจริง
การได้ดินแดนมาโดยการครอบครองปรปักษ์ หรือ การได้มาโดยอายุความ (Prescription) หมายถึง การที่รัฐใดรัฐหนึ่งไดมาซึ่งอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนของรัฐอื่น โดยการเขาครอบครองดินแดนนั้นอยาง ตอเนื่อง สงบ เปิดเผย และไมมีการขัดขวางจากรัฐอื่น ในชวงระยะเวลานานเพียงพอที่รัฐสามารถกอตั้งสิทธิ การครอบครองปรปักษแ และมีอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นได ซึ่งหลักเกณฑแหรือเงื่อนไขในการอางสิทธิ์ เพื่อใหดินแดนมาโดยการครอบครองปรปักษแมี 4 ประการ ไดแก 1. การครอบครองดินแดนนั้นตองกระทําโดยองคแอธิปัตยแ (Sovereign) 2. การครอบครองดินแดนนั้นตองกระทําโดยสงบ และไมถูกรบกวนหรือขัดขวางจากรัฐอื่น (Peaceful and Uninterrupted) 3. การครอบครองดินแดนนั้นตองกระทําโดยเปิดเผยตอสาธารณชนทั่วไป (Public) 4. การครอบครองดินแดนนั้นตองกระทําอยางตอเนื่องในชวงระยะเวลาหนึ่ง (to endure a length of time) จะเห็นไดวา หลักการการไดดินแดนมาโดยการครอบครอง (Occupation) และ การครอบครองปรปักษแ (Prescription) มีความคลายคลึงกัน คือ รัฐที่เขาไปครอบครองดินแดนนั้น ตองสามารถทําการครอบครองหรือ ควบคุมดินแดนนั้นไดอยางมีประสิทธิภาพ (Effective Occupation or Effective Control) มีการใชอํานาจ อธิปไตยเหนือดินแดนนั้นอยางแทจริง และยังพบวาไมมีการแยกความแตกตางของหลักการไดดินแดนมาโดย การครอบครอง (Occupation) และการครอบครองปรปักษแ (Prescription) ที่ชัดเจน โดยเฉพาะกรณีเกาะเล็ก เกาะนอยที่ตั้งอยูหางไกลออกไปในทะเล
22 จันตรี สินศุภฤกษแ. “กรณีพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแ: ทัศนะทางกฎมายและการเมือง,” ใน จุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับที่ 127-128, สุรชาติ บํารุงสุข บรรณาธิการ (กรุงเทพฯ: โครงการความมั่นคงศึกษา จุฬาลงกรณแมหาวิทยาลัย, กรกฎาคม- สิงหาคม 2556), หนา 13-22. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2557 เขาถึงจาก http://bit.ly/1fG8EjI 15
การที่รัฐใดจะอางสิทธิ์เพื่อใหไดดินแดนมา ตองมีหลักฐานที่แสดงใหเห็นวา รัฐนั้นตองแสดงอํานาจ อธิปไตยเหนือดินแดนนั้นอยางแทจริง พยานหลักฐานที่แสดงถึงการใชอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนอาจเป็น การกระทําดังตอไปนี้ เชน - การเขาไปกอสรางประภาคาร สนามบิน ฐานทัพ สิ่งปลูกสรางตางๆ บนดินแดนนั้น - การกระทําที่เกี่ยวของกับการใชอํานาจนิติบัญญัติอํานาจบริหารเหนือดินแดนดังกลาว - การใหสัมปทานแกบริษัทตางชาติเพื่อขุดเจาะน้ํามันสํารวจแรหรือทําการประมง - การใชอํานาจรัฐทางอาญาเหนือการกระทําบนดินแดนนั้น - การทําสนธิสัญญากับรัฐอื่นซึ่งเป็นการแสดงถึงการยอมรับอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น - การเขาไปสอบสวนเหตุการณแตางๆที่เกิดขึ้นในบริเวณนานน้ําใกลดินแดนหรือเกาะนั้น - การพิมพแแผนที่เผยแพรซึ่งแสดงใหเห็นวารัฐนั้นเป็นเจาของดินแดนนั้น ฯลฯ
2.1.7 การได้ดินแดนโดยใช้หลักการยอมรับโดยปริยาย หรือ ไม่มีข้อโต้แย้ง (Acquiescence) และ การประท้วงหรือคัดค้าน (Protest) หมายถึง การที่รัฐอาจไดดินแดนมาจากการกระทําหรือปฏิกิริยา (Reaction) ของอีกรัฐหนึ่ง โดยเฉพาะปฏิกิริยาของรัฐที่อางอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นอยูดวย เชน หาก รัฐ A อางอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนแหงหนึ่ง และทําการคัดคานหรือตอตานรัฐ B ซึ่งไดใชอํานาจอธิปไตย เหนือดินแดนนั้น การกระทําเชนวานั้นจะมีผลทําใหขอกลาวอางการใชอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนของรัฐ B ออนลงไปอยางมาก ในทางตรงกันขามหากรัฐ A ไมไดทําการคัดคานหรือตอตานการใชอํานาจอธิปไตยของรัฐ B แตอยางใด เชนนี้แลวกฎหมายถือวารัฐ A ไดยอมรับการใชอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นของรัฐ B โดย ปริยาย (acquiescence) ทําใหรัฐ B ไดมาซึ่งอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนดังกลาว ตามหลักการยอมรับโดย ปริยาย หรือ ไมมีขอโตแยง (Acquiescence) หลักการยอมรับ (Recognition) และ หลักการถูกตัดสิทธิ์ (Preclusion) หรือ หลักกฎหมายปิดปาก (Estoppel) นั่นเอง
2.1.8 ความใกล้เคียงในทางภูมิศาสตร์ (Geographic Contiguity) หมายถึง การที่รัฐอางสิทธิ์เหนือ ดินแดนหลักสภาพที่ตั้งใกลเคียงทางภูมิศาสตรแ (Geographic Contiguity) เชน การอางสิทธิ์เหนือดินแดนหมู เกาะ โดยอางวาเกาะบางเกาะและลักษณะทางภูมิศาสตรแ (Geographic Features) บางอยางในบริเวณหมู เกาะตั้งอยูในเขตไหลทวีป และเขตเศรษฐกิจจําเพาะของรัฐ ดังนั้น เกาะเหลานี้ก็ควรเป็นของรัฐที่อางสิทธิ์ดวย ตามหลักแหงความยุติธรรม (fairness) โดยเฉพาะ ถาเกาะหรือลักษณะทางภูมิศาสตรแนั้น ยังไมเคยมีรัฐใดเขา ครอบครองหรือควบคุมอยางมีประสิทธิภาพมากอน แตถาจะพิจารณาตามหลักกฎหมายระหวางประเทศจะ พบวา การอางหลักความใกลเคียงทางภูมิศาสตรแแตเพียงประการเดียว มิใชฐานทางกฎหมายที่จะทําใหรัฐได ดินแดนที่อางสิทธิ์เสมอไป เพราะยังจําตองตองมีหลักฐานของการเขาไปใชอํานาจอธิปไตยอยางตอเนื่อง สงบ และมีประสิทธิภาพเหนือเกาะซึ่งเป็นดินแดนที่ไมมีเจาของ (terra nullius) ดวย โดยเฉพาะอยางยิ่ง ถาเกาะ นั้นมีรัฐอื่นอางสิทธิ์อธิปไตยอยูดวยในขณะเดียวกัน
2.1.9 การได้ดินแดนโดยใช้ก าลัง (Use of Force-Conquest) หมายถึง การไดดินแดนมาจากการยึด ครองโดยการรบชนะหรือใชกําลังของรัฐใดรัฐหนึ่งเหนือดินแดนของรัฐอื่น โดยสามารถใชอํานาจอธิปไตยเหนือ ดินแดนนั้น ซึ่งในสมัยกอนอาจยึดครองโดยการรบ การใชกําลังจนไดรับชัยชนะ แลวผนวกดินแดนเขาเป็นสวน หนึ่งของรัฐ แตในปัจจุบัน การใชกําลังเขายึดครองเป็นสิ่งตองหามตามมาตรา 10 ของสันนิบาตชาติ (League of Nations Covenant) และสนธิสัญญาทั่วไปวาดวยการยุติสงคราม ปี 2471/1928 (General Treaty for 16 the Renunciation of War of 1928) และกฎบัตรสหประชาชาติ (The United Nations Charter) และขอ มติของสมัชชาใหญแหงสหประชาชาติวาดวยการรุกราน 2517/1974 (1974 G.A. Resolution on “Aggression”) รวมทั้ง วิวัฒนาการของกฎหมายจารีตประเพณีระหวางประเทศไดเปลี่ยนแปลงไปจาก บทบัญญัติในสวนที่เกี่ยวกับการยึดครองดินแดนในปฏิญญาวาดวยหลักกฎหมายระหวางประเทศซึ่งยอมรับโดย สมัชชาใหญแหงสหประชาชาติ ปี 2513/1970 (1970 Declaration of Principles of International Law) ดวย กลาวโดยสรุป การใชกําลังเพื่อใหไดมาซึ่งดินแดนของรัฐอื่นเป็นการกระทําที่ไมชอบดวยกฎหมายระหวาง ประเทศและจะไมมีการรับรองการไดมาซึ่งดินแดนโดยการใชกําลังอยางเด็ดขาด
2.1.10 การได้มาซึ่งดินแดนจากการยกให้จากรัฐอื่น (Cession) หมายถึง การที่รัฐเจาของดินแดนได โอนอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนใหแกรัฐผูรับโอนจากเหตุการณแในประวัติศาสตรแ ปรากฏการณแยกหรือโอน ดินแดนใหรัฐอื่นอาจมีคาตอบแทนหรือไมก็ได อาจเป็นไปในลักษณะของการขายหรือการยกใหก็ได หรืออาจ เกิดจากความตกลงเพื่อระงับขอพิพาทหรืออาจเป็นสวนหนึ่งของการจัดการหรือตระเตรียมการบางอยาง เชน ความตกลงระหวางสหราชอาณาจักรกับจีน ในปี 2427/1984 ซึ่งสหราชอาณาจักรโอนอํานาจอธิปไตยเหนือ เกาะฮองกงใหแกจีน หรือ การเชา เชน จีนใหอังกฤษเชาเกาะฮองกง ใหเยอรมนีเชาเมืองเกียวเจา ใหฝรั่งเศส เชากวางโจว ใหรัสเซียเชาพอรแทอารแเธอรแ (Port Arther) เป็นตน และรูปแบบของการยกดินแดนให (Form of Cession) มักจะมีการทําผานสนธิสัญญา (Formal Treaty)
2.2 แนวคิดว่าด้วยข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศ จากงานศึกษาของ เจ.อารแ.วี. เพรสคอททแ (J.R.V. Prescott) เรื่อง “ภูมิศาสตรแของชายแดนและเสนเขต แดน (The Geography of Frontier and Boundaries)”23 ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับปัญหาขอ พิพาทเขตแดนระหวางประเทศ โดยแบงขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศ ออกเป็น 4 ประเภท ไดแก 1. ข้อพิพาทอาณาเขต (territorial dispute) เป็นขอพิพาทที่เป็นผลมาจากคุณสมบัติบางประการของ พื้นที่ชายแดน (borderland) ซึ่งทําใหมีความนาดึงดูดใจตอรัฐจนเกิดขอพิพาทขึ้น 2. ข้อพิพาทแนวเขต (positional dispute) เป็นขอพิพาทที่เกี่ยวของกับตําแหนงที่ตั้งที่แทจริงของเสน เขตแดน และมักจะเกี่ยวของกับขอถกเถียงเหนือการตีความคํานิยามการกําหนดขอบเขตของเสนเขตแดน 3. ข้อพิพาททางการใช้งาน (functional dispute) เป็นขอพิพาทที่เกิดขึ้นบนภารกิจของรัฐที่ตอง ปฏิบัติการบริเวณชายแดน และ 4. ข้อพิพาทเหนือการพัฒนาทรัพยากร (disputes over resource development) เป็นขอพิพาท เกี่ยวกับการใชทรัพยากรขามพรมแดน (transboundary resource) บางประการ เชน แมน้ํา หรือ แหลง สินแร เป็นตน ซึ่งขอพิพาทประเภทนี้ มักจะมีจุดประสงคแเพื่อการสรางองคแกรมาบริหารการใชทรัพยากรนั้นๆ ซึ่งทั้ง “ขอพิพาทอาณาเขต” และ “ขอพิพาทแนวเขต” ตางมีจุดมุงหมายเพื่อการเปลี่ยนตําแหนงที่ แทจริงของ “เสนเขตแดน” แต “ขอพิพาททางการใชงาน” และ “ขอพิพาทเหนือการพัฒนาทรัพยากร” อาจ ไมมีความจําเป็นตองเปลี่ยนแปลงตําแหนงของเสนเขตแดนใดๆ
23 Prescott, J.R.V. The Geography of Frontier and Boundaries (London: Hutchinson University Library, 1965), pp.109-151. 17
2.2.1 ข้อพิพาทอาณาเขต (territorial dispute) เป็นที่ทราบดีในทางทฤษฎีวา หากรัฐใดอยูในสถานะที่รูสึกวาตนเองมีความแข็งแกรงพอ รัฐนั้นอาจทํา การอางสิทธิ์เพื่อเรียกรองดินแดน ซึ่งโดยมากแลวไมมีพื้นฐานขอเท็จจริง แตในกรณีสวนใหญ การโตแยงจะ เกิดขึ้นจากความไมชัดเจนในเชิงหลักฐานขอมูล และมักหยิบยกเหตุผลตางๆ นานาขึ้นมาเพื่อสรางความชอบ ธรรม และในบางครั้งเสนเขตแดนก็ไมสอดคลองกับความเป็นจริงทางภูมิศาสตรแหรือลักษณะทางวัฒนธรรมใน พื้นที่ เนื่องจากเป็นการประนีประนอมระหวางความตองการทางยุทธศาสตรแ ความตองการทางเศรษฐกิจ และ ความตองการเชิงชาติพันธุแ เสนเขตแดนสวนใหญมักจะมีระดับของความไมสอดคลองกันบางอยาง และใน หลายกรณีก็ไมมีเหตุผลเพียงพอที่จะทําใหเกิดปัญหาขอพิพาทได เสนเขตแดนอาจจะถูกซอนทับโดยอํานาจ อาณานิคม เชน เสนเขตแดนของอาณานิคมในแอฟริกาและเอเชีย หรือ การที่รัฐมีชัยชนะในสงครามบนอาณา บริเวณที่มีการตั้งรกรากอยูกอนแลว นอกจากนี้ ยังเป็นไปไดที่ขอพิพาทจะเกิดขึ้นภายหลังจากการมีเสนเขต แดน โดยการสรางเงื่อนไขเพื่ออางสิทธิ์เรียกรองดินแดนในภายหลัง เชน เมื่อเปรู ชิลี และ โบลิเวีย ถูกสถาปนา ขึ้น มีการคนพบแหลงทรัพยากรที่มีคามหาศาล เชน ปุยขี้นก (guano) และไนเตรต (nitrate) ตามแนวชายฝั่ง ทะเลของทั้ง 3 ประเทศ โดยเฉพาะอยางยิ่งในโบลิเวีย ทั้งนี้ในเปรู แหลงทรัพยากรอยูภายใตการผูกขาดของ รัฐบาล ในขณะที่ทางตอนเหนือของชิลีและภาคใตของโบลิเวีย แหลงทรัพยากรอยูภายใตสัมปทานของ บริษัทเอกชน ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อชิลีใชแรงงานคนในการเก็บทรัพยากรในพื้นที่ใกลกับชายแดนโบลิเวีย ทําให บางครั้งแรงงานจากฝั่งชิลีเดินขามเขาไปเก็บปุยขี้นกในฝั่งของโบลิเวียดวย โบลิเวียจึงตองประกาศอางสิทธิ์ของ ตนเหนือดินแดนบนชายฝั่งทะเลของโบลิเวียเอง โดยปกติแลว เสนเขตแดนควรทําหนาที่แบงดินแดนของรัฐที่อยูใกลเคียงกัน แตในบางครั้งดินแดน ดังกลาวมีคุณสมบัติที่นาดึงดูดใจบางประการ ทําใหเกิดการอางสิทธิ์ของรัฐและนําไปสูขอพิพาท ซึ่งสวนใหญ มักเกิดขึ้นจากเงื่อนไขของสถานการณแบางอยาง ซึ่งตัวเสนเขตแดนเองไมไดสรางปัญหามาเป็นเวลานาน จะ กระทั่งมีการสรางสถานการณแขึ้น และการสรางสถานการณแเหลานั้นมักเกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลงบางอยาง ภายในรัฐบาล หรือ นโยบายของรัฐบาล หรือ ความกังวลอยางมากในบางเรื่องของรัฐบาล เชน การอางสิทธิ์ ของฟิลิปปินสแในพื้นที่บอรแเนียวเหนือ (North Borneo) ซึ่งปัจจุบันคือรัฐซาบาหแ (Sabah) ของมาเลซีย เกิด จากนโยบายที่จะสรางสหพันธรัฐมาเลเซีย (Federation of Malaysia) โดยการรวมดินแดนในแหลมมลายู สิงคโปรแ ซาราวัก บรูไน และบอรแเนียวเหนือ ผูสังเกตการณแสวนใหญมองวา การอางสิทธิ์ของฟิลิปปินสแเป็น เพียงเครื่องมือขัดขวางการสถาปนาสหพันธรัฐมาเลเซีย โดยฟิลิปปินสแมีความกังวลวาจะกลายเป็นภัยคุกคาม คอมมิวนิสตแตอฟิลิปินสแเอง กรณีความขัดแยงระหวางจีนกับอินเดียเหนือพื้นที่ชายแดนระหวางลาดักหแ (Ladakh) กับพรมแดนทาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะไมเกิดขึ้น จนกระทั่งจีนประสบความสําเร็จในการสถาปนาอํานาจเต็มภายประเทศ และสามารถเขาไปใชอํานาจของตนเองควบคุมดินแดนทิเบตได นโยบายตางประเทศของจีนมุงเปูาไปที่การ สรางเสนเขตแดนที่ชัดเจนกับประเทศเพื่อนบาน ไดแก มองโกเลีย พมา และ ปากีสถาน ซึ่งเป็นนโยบาย ตอตานการยอมรับเสนเขตแดนที่ถูกกําหนดขึ้นโดยอํานาจอาณานิคมตามแนวชายฝั่ง เราอาจตั้งขอสังเกตไดวา รัฐไมคอยเลือกวิธีการเจรจาเมื่อตนเองอยูในฐานะที่ออนแอกวา และ การเปลี่ยนแปลงอยางฉับพลันของ อํานาจรัฐมีผลตอการเพิ่มจํานวนการอางสิทธิ์เพื่อทวงเอาดินแดนกลับคืน หลังจากการสิ้นสุดสงครามครั้งใหญ ก็มักจะมีขอพิพาทดินแดนของศัตรูโดยฝุายผูชนะเสมอ ตัวอยางเชน กรณีของโปรตุเกสในที่ประชุมสันติภาพ แวรแซาย (Versailles Peace Conference) ปี 2462/1919 ระหวางการแยงชิงดินแดนอาณานิคมในทวีป แอฟริกา เสนเขตแดนระหวาโปรตุเกสกับเยอรมันในแอฟริกาตะวันออกถูกกําหนดไวที่บริเวณปากแมน้ําโรวูมา (Rovuma) ในปี 2429/1886 เยอรมนีอางสิทธิ์เหนือพื้นที่สามเหลี่ยมกิอองกา (Kionga triangle) ออกไปทาง 18
ทิศใตของแมน้ําโรวูมา และขมขูโปรตุเกสใหยกพื้นที่ดังกลาวแกเยอรมันในปี 2437/1894 แตหลังจากเยอรมนี พายแพ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 2461/1918 โปรตุเกสจึงขอคืนพื้นที่ดังกลาวในที่ประชุมสันติภาพ ในบางกรณี การทวงดินแดนกลับคืนก็เกิดจากการกระทําแตฝุายเดียวของรัฐ เชน ในปี 2458/1915 และ 2470/1927 กัวเตมาลาไดมอบดินแดนที่อยูระหวางแมน้ํามาตากัว (Matagua River) กับภูเขาเมเรดอน (Meredon Mountains) ใหแกบริษัทผลไมอเมริกัน (American Fruit Company) ทําใหฮอนดูรัสทําการอาง สิทธิ์เหนือดินแดนแหงนี้ซึ่งไมมีการครอบครองเป็นเวลานาน ในทํานองเดียวกัน นิการากัวไดออกใบอนุญาต การเชาพื้นที่ใหแกสหรัฐอเมริกาโดยการทําสัญญา 99 ปี บนเกาะเกรท (Great Island) และเกาะลิตเติ้ลคอรแน (Little Corn Island) ทําใหโคลัมเบียประกาศอางสิทธิ์วา แตเดิมหมูเกาะทั้งสองนี้เป็นสวนหนึ่งของจังหวัดเว รากัว (Veragua) ดังนั้นจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโคลัมเบียภายตามหลักการตกทอดของดินแดนจากเจ้าอาณา นิคม (uti possidetis) นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลการอางสิทธิ์เหนือดินแดนของรัฐในแบบอื่นๆ เชน ปี 2505/1962 อินโดนีเซีย อางสิทธิ์ในดินแดนอีเรียนตะวันตก (West Irian) ซึ่งนักวิเคราะหแมองวา เกิดจากเหตุผลภายประเทศเพื่อ เบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ําแยที่สุดของรัฐบาล ทําใหเกิดการตั้งคําถามตอ จุดประสงคแที่แทจริงของการพยายามหยิบยกยกเอาขอพิพาทเขตแดนขึ้นมาเป็นประเด็นของรัฐ ซึ่งดูเหมือนวา จะมีเปูาหมายพื้นฐานอยูหลักๆ 2 ประการ ประการแรก คือ เพื่อสรางความเขมแข็งใหรัฐบาลโดยการเพิ่ม ดินแดนที่มีคุณสมบัตินาดึงดูดบางอยางในแงยุทธศาสตรแความมั่งคั่งของประเทศ และ ประการที่สอง คือ เพื่อ ใชเป็นขออางเชิงนโยบายของรัฐบาล เชน การอางสิทธิ์ของฟิลิปปินสแในดินแดนบอรแเนียวเหนือ การอางสิทธิ์ ของอินโดนีเซียในดินแดนอีเรียนตะวันตก หรือ การอางสิทธิ์ระหวางจีนกับอินเดีย โดยอางเหตุผลวาตองการที่ จะบังคับใหอินเดียเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากโครงการทางเศรษฐกิจมาเป็นการใชจายในดานการปูองกัน ประเทศ อยางไรก็ตาม เป็นไปไดยากที่จะหาเหตุผลที่แนนอนมายืนยันวา จุดมุงหมายของรัฐในเรื่องการอาง สิทธิ์ดินแดนคืออะไร เพราะเป็นนโยบายลับของรัฐบาลทําใหยากที่จะทราบความจริงในขณะนั้นได แตสามารถ ที่จะสืบทราบและยืนยันไดหลังจากเหตุการณแนั้นเกิดขึ้นและผานไปแลวเป็นเวลานาน การอางสิทธิ์เหนือดินแดนในกรณีอื่น เกี่ยวของกับการพิชิตดินแดน (conquest) หรือ การยกให (cession) เชน การผนวกรัฐอิสระออเรนจแ (Orange Free State) และ ทรานสแวาล (Transvaal) โดยสห ราชอาณาจักร ในปี 2443/1900 เกิดขึ้นจากการเขาพิชิตดินแดนและสันนิษฐานวารัฐบาลอินเดียที่เมืองกัว (Goa) ก็ไหการสนับสนุน โดยทั่วไปแลวคําวา “การยกให (cession)” มีความชัดเจนวาจะไมกลายเป็นประเด็น ขอพิพาท แมวาการยกดินแดนใหจะเกิดขึ้นภายใตแรงกดกัน เชน กรณีที่โปรตุเกสยกดินแดนสามเหลี่ยมกิ อองกา (Kionga triangle) และ เช็กโกสโลวาเกีย (Czechoslovakia) แกใหเยอรมนีในปี 2481/1938 เมื่อเกิดความกดดันขึ้น รัฐที่ไดรับผลกระทบมักจะอางสิทธิ์เหนือดินแดนทุกครั้งที่มีโอกาส เชน กรณีการ ถอนกําลังออกจากดินแดนตางๆ ของเจาอาณานิคม หลังการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 หมายความวา มีการใชอํานาจทางการปกครองในดินแดนอยางตอเนื่องเป็นระยะเวลาที่แสดงใหเห็นวาการ กระทําดังกลาวเป็นไปตามกฎหมายระหวางประเทศ ตัวอยางที่ชัดเจนที่สุดในปัจจุบันของการอางสิทธิ์ทาง กฎหมาย คือ กรณีที่ฟิลิปปินสแอางสิทธิ์เหนือดินแดนบอรแเนียวเหนือของอังกฤษ (British North Borneo) ในปี 2420/1877 – 2421/1878 บริษัทอังกฤษไดรับโอนสิทธิ์การครอบครองดินแดนและหมูเกาะใกลเคียงใน บอรแเนียวเหนือมาจากสุลตานแหงซูลู (Sultan of Sulu) โดยอังกฤษตกลงจะจายคาตอบแทนเป็นเงินรายปี ใหแกสุลตาน จากคําแปลฉบับภาษาอังกฤษของขอความในสนธิสัญญาระบุวา “ดินแดนถูกยกใหและประทานใหโดย ถาวรและเป็นกรรมสิทธิ์ตลอดชีพ (the land was ceded and granted forever and in perpetuity)” ใน 19
ปี 2424/1881 บริษัทอังกฤษถูกควบรวมกิจการโดยบริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษ (British North Borneo Company) ซึ่งไดรับพระราชทานตราตั้งในปีเดียวกัน ในปี 2426/1883 ดินแดนดังกลาวกลายเป็นรัฐ ในอารักขาของอังกฤษ (British protectorate) และ ในปี 2446/1903 มีการลงนามยืนยันในเอกสารสิทธิ์การ ถือครองที่ดินโดยสุลตาน ซึ่งระบุขอความเกี่ยวกับอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่เกาะซึ่งไมไดรับการเอยชื่อใน สนธิสัญญาฉบับดั้งเดิม และในปี 2489/1946 ดินแดนนี้ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ (British Colony) การอางสิทธิ์ของฟิลิปปินสแในตอนแรกตั้งอยูบนเหตุผลที่วา สุลตานไมมีอํานาจลงนามในสนธิสัญญาได เนื่องจากดินแดนนี้และตัวสุลตานเองอยูภายใตอํานาจอธิปไตยของสเปน ขอโตแยงนี้ไมเกิดผลใดๆ เนื่องจาก อังกฤษไมยอมรับสนธิสัญญาที่สเปนเคยทํากับสุลตานใน ปี 2379/1836, 2394/1851 และ 2407/1864 เนื่องจากสเปนไมมีอํานาจควบคุมอังกฤษได นอกจากนี้ ในปี 2428/1885 สเปนเคยประกาศสละสิทธิ์ของตน เหนือดินแดนหมูเกาะซูลู (Sulu archipelago) เพื่อเป็นการตอบแทนใหแกอังกฤษ ในปี 2441/1898 สหรัฐอเมริกาเขามาครอบครองดินแดนนี้แทนสเปนในฐานะมหาอํานาจใหมเหนือดินแดนแหงนี้ และอังกฤษได ใหการรับรองสถานะของอเมริกา ในปี 2473/1930 ดังนั้น รัฐบาลฟิลิปปินสแจึงอาศัยหลักการอางสิทธิ์โดย ตีความสนธิสัญญาวา การยกดินแดนดังกลาวใหอังกฤษไมไดเป็นการยกใหอยางไมมีเงื่อนไข แตเป็นการทํา สัญญาใหเชา (lease) การตีความเชนนี้เกิดจากการแปลภาษามลายู คําวา “padak” ซึ่งไมไดมีความหมายตรง กับคําวา “ประทาน และ ยกให้ (granted and ceded)” อยางไรก็ตาม รัฐผูอางสิทธิ์ไมคอยหยิบยกประเด็น การตีความสนธิสัญญาเพียงหนึ่งบรรทัดขึ้นมาเป็นเหตุผล แตบอยครั้งที่ขอโตแยงทางกฎหมายถูกสนับสนุนโดย ประเด็นที่ไมใชขอกฎหมาย ที่มักเกิดขึ้นจากเหตุผลในทางประวัติศาสตรแ ภูมิศาสตรแ ยุทธศาสตรแ เศรษฐกิจ และชาติพันธุแ โดยขอโตแยงทางภูมิศาสตรแ มักถูกออกแบบมาเพื่อแสดงความปรารถนาในการขยายอาณาเขตของรัฐ โดยพยายามหาเหตุผลทําใหเสนเขตแดนตรงกับคุณลักษณะทางกายภาพบางอยางหรือแสดงใหเห็นพื้นฐาน ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของดินแดน เชน หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขอพิพาทระหวางโรมาเนียกับ ยูโกสลาเวียเหนือดินแดนบานาท (Banat) ซึ่งแบงเขตแดนโดยใชแมน้ําดานูบ (Danube) แมน้ําทิสซา (Tisza) และแมน้ํามูเร็ค (Murec) ครอบคลุมพื้นที่หุบเขาดราวา (Drava valley) ไปทางทิศตะวันตก ซี่งมีประชากร ดั้งเดิมเป็นชาวแม็กยารแ (Magyar) เซอรแโบ-โครท (Serbo-Croat) และชาวรูเมเนียน (Rumanian) ฝุาย ยูโกสลาเวียอางสิทธิ์เหนือดินแดนตอนลางของภาคกลางและภาคตะวันตก ในขณะที่ฝุายโรมาเนียอางสิทธิ์ เหนือดินแดนทั้งหมด ขออางดังกลาวมีพื้นฐานมาจาก “พรมแดนตามธรรมชาติ (natural frontiers)” ซึ่งแนว แมน้ําตางๆ ทําใหเกิดลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบและเนินเขาไปทางทิศตะวันออก และพื้นที่ราบมีความ เหมาะสมในการอยูอาศัยของผูคน นอกจากนี้ รายงานการเจรจาเขตแดนระหวางจีนกับอินเดีย แสดงใหเห็นวา อินเดียอางเหตุผล “พรมแดนตามธรรมชาติ (natural frontiers)” ซึ่งทําใหเกิดสันปันน้ําของเทือกเขาหิมาลัย และมีการตั้งขอสังเกตวา “พรมแดนตามธรรมชาติ (natural frontiers)” เป็นหนึ่งในเหตุผลที่รัฐใชอางเพื่อ การขยายอาณาเขตของตน และไมมีรายงานเกี่ยวกับการที่รัฐตองการยกเลิกหลักการ “พรมแดนตามธรรมชาติ (natural frontiers)” การอางสิทธิ์ของจีนเหนือดินแดนหิมาลัย (The cis-Himalayan zone) ในลาดั๊กหแ (Ladakh) และภาคเหนือของรัฐอัสสัม (Assam) เป็นอางสิทธิ์ในตําแหนงการปูองกันชองเขาที่แข็งแรง และ เป็นตําแหนงของการรุกรานเพื่อการขยายดินแดนออกไปทางทิศใตในอนาคต ขอโตแยงทางเศรษฐกิจเพื่อการสนับสนุนการอางสิทธิ์เหนือดินแดน มักถูกออกแบบมาเพื่อแสดงใหเห็น ถึงการรวมกลุมทางเศรษฐกิจในอาณาบริเวณเดียวกัน และจําเป็นที่จะตองอางวามีเสนทางการคาหรือมี คาใชจายในพื้นที่เพื่อซอมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในชวงสงคราม การอางสิทธิ์ของเช็กโกสโลวาเกียเหนือ ดินแดนอําเภอเทสเชน (Teschen district) ของแควนซิเลเซีย (Silesia) วางอยูบนขอโตแยงทางเศรษฐกิจ 2 20
ประการ ประการแรก ดินแดนเปรสตัดทแ (Freistadt) ถือวาเป็นเขตอุตสาหกรรมออสตราวา (Ostrava) เนื่องจากโรงหลอโลหะตองอาศัยถานหินจากคารแนิวา (Karvina) และถานหินก็ยังจําเป็นมากในโบฮีเมีย (Bohemia) และโมราเวีย (Moravia) ประการที่สอง รัฐบาลเช็กโกสโลวาเกีย อางวาเสนทางรถไฟสายโอเดอรแ เบิรแก-จับลุนกา-ซิลเลี่ยน (Olderberg-Jablunka-Sillein Railway) มีความสําคัญอยางยิ่ง เนื่องจากเป็น เสมือนเสนโลหิตใหญที่เชื่อมตอสโลวาเกียกับโบฮีเมียและโมราเวีย เสนทางรถไฟพาดผานชองเขาวลารา (Vlara) ซึ่งโปแลนดแอางวาสามารถพัฒนาได แตตองไดรับการพิจารณาจากเช็ก เนื่องจากลักษณะของภูมิ ประเทศดังกลาวเป็นพื้นที่ซึ่งมีความสูงชันเป็นอยางมาก เสนทางรถไฟสายอื่นๆ จากเบรคลาวา (Breclava) ไป ยังบราติสลาวา (Bratislava) ก็อยูไกลเกินไปทางทิศใต โปแลนดแจึงนําเอาขอโตแยงในทางเศรษฐกิจนี้ไปกลับไป พัฒนาพื้นที่ทางตะวันออกในแควนซิบสแ (Zips) และ โอราวา (Orava) เนื่องจากพื้นที่สูงมีคนที่พูดภาษาถิ่น ระหวางเช็กโกสโลวาเกียและโปแลนดแ ซึ่งถูกอางวาพวกเขาอาศัยอยูใกลกับเมืองคราโกว (Cracow) เพราะ สื่อสารภาษาไดเขาใจงายกวาเมืองคราโลฟวานี่ (Kralovany) ในเช็ค การอางสิทธิ์คาชดเชยตอความเสียหายในทรัพยแสินและประชากรในชวงสงคราม ถูกหยืบยกขึ้นมาเพื่อ เป็นเหตุผลในการตอตานอาณานิคมเยอรมัน เชน การอางสิทธิ์ของเบลเยียมในดินแดนรวันดา-อูรุนดี (Rwanda-Urundi) การขยายดินแดนของโปแลนดแไปยังโอเดอรแ-เนซซี (Oder-Neisse) ถูกมองวาเป็นคาชดเชย ตอความเสียหายจากการกระทําของเยอรมัน หรือการเสียดินแดนใหรัสเซีย นอกจากนี้ กรณีที่รัฐยึดดินแดน ตามสัญญาเพื่อการดําเนินงานรวมกับรัฐอื่น เชน ในปี 2458/1915 สนธิสัญญาลอนดอนระหวางอิตาลีกับ มหาอํานาจฝุายสัมพันธมิตร ซึ่งอิตาลีตกลงที่จะนํากองกําลังเขารวมในการทําสงคราม ภายใตสนธิสัญญานี้ ดินแดนตามสัญญาจึงถูกกําหนดขึ้น ในกรณีดินแดนทั้งหมดหรือบางสวนของตุรกี อิตาลีจะไดรับสวนแบงบาง พื้นที่ของดินแดนเมดิเตอรแเรเนียน (Mediterranean) ซึ่งอยูติดกับจังหวัดอาดาเลีย (Adalia) ในกรณีของ ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรในการขยายดินแดนอาณานิคมในทวีปแอฟริกาซึ่งเป็นคาใชจายของเยอรมนี ประเทศมหาอํานาจเหลานั้นตกลงในหลักการที่วา อิตาลีอาจอางสิทธิ์คาชดเชยที่เป็นธรรม โดยเฉพาะอยางยิ่ง การตั้งถิ่นฐานตามความตองการของตนบนอาณานิคมของอิตาลีในดินแดนเอริเทรีย (Eritrea) โซมาลิแลนดแ (Somaliland) และลิเบีย (Libya) การอางสิทธิ์เหนือดินแดนชาติพันธุแ มักขึ้นอยูกับลักษณะทางสัญชาติ เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรมและ ประวัติศาสตรแ ในกรณีการตั้งถิ่นฐานของโปแลนดแและบางรัฐในบอลขาน (Balkan) หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มี ความพยายามที่จะกําหนดเสนเขตแดนขึ้นเพื่อลดจํานวนประชากรที่เป็นชนกลุมนอยลง ความไมแนนอนของ ประชากรในพื้นที่ชายแดนของยุโรป ทําใหเป็นไปไดยากที่จะกําหนดเสนเขตแดนซึ่งสามารถแยกกลุมชาติพันธุแ ออกจากกันไดอยางชัดเจน และในบางภูมิภาค เชน บานาทตะวันตก (Western Banat) ดังที่กลาวไปแลว ขางตน ก็มีสวนผสมที่ซับซอนของชาวยูโกสลาฟ (Yugoslavs) ชาวรูเมเนียน (Rumanians) ชาวมักยารแส (Magyars) และชาวเยอรมัน ในขณะที่ดินแดนอารแกีโร-คาสโตร (Argyro-Castro) ซึ่งกรีซอางสิทธิ์โดยเหตุผล ที่วาประชากรสวนใหญในชนบทของกรีก อาศัยอยูรอบเมืองที่มีประชากรเป็นชาวยูโกสลาฟ หรือในพื้นที่แอง คลาเก็นเฟิรแท (Klagenfurt Basin) ซึ่งยูโกสลาเวีย อางสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งหมด เนื่องจากประชากรที่อาศัย อยูในเขตชนบททั้งหมดมีเชื้อสายยูโกสลาฟ ในขณะที่การอางสิทธิ์ของออสเตรียขึ้นอยูกับประชากรดั้งเดิมชาว เยอรมันที่อาศัยกระจุกตัวอยูในเขตเมือง ขอพิพาทอาณาเขตในบางพื้นที่ของแอฟริกาซึ่งมีเหตุผลทางชาติพันธุแ ไมไดมีหลักเกณฑแเดียวกันในการตรวจสอบการปะปนกันของผูคนจากชนเผาตางๆ และการกําหนดเสนเขต แดนก็สามารถทําไดโดยไมตองเคลื่อนยายชนกลุมนอยชาวเผาตางๆ ในพื้นที่ ขอพิพาทที่เกิดขึ้นจากประเด็นชน กลุมนอยมักไดรับการแกไขจากการออกเสียงลงคะแนนชี้ขาดโดยประชาชน (plebiscites) โดยเฉพาะอยางยิ่ง เมื่อมีการเสนอทางออกนี้เพื่อแกปัญหาในพื้นที่ เชน ในพื้นที่แองคลาเก็นเฟิรแท (Klagenfurt Basin) เป็นตน 21
แตอีกหลายกรณี การทําประชามติก็ไมเป็นที่นาพอใจ เนื่องจากยังมีอํานาจรัฐเขาไปแทรกแซง ในปี 2426/1883 สนธิสัญญาแอคคอน (Treaty of Ancon) ซึ่งยุติสงครามระหวางชิลีกับเปรู ไดระบุวาจังหวัดทัค นา (Tacna) และแอริกา (Arica) จะถูกปกครองโดยชิลีเป็นระยะเวลา 10 ปี หลังจากที่ “จะให้มีการท า ประชามติโดยการหยั่งเสียงของประชาชน ว่าจะดินแดนแห่งนี้จะยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชิลีหรือจะ ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเปรู (a plebiscite will decide by popular vote whether the territory of the above-mentioned provinces is to remain definitely under the dominion and sovereignty of Chile, or is to continue to constitute a part of Peru.)” แตในความเป็นจริง ไมไดเกิดความพยายามที่ แทจริงในการทําประชามติ จนกระทั่งในปี 2468/1925 ชิลีไดทําใหดินแดนเหลานี้มีสํานึกในความเป็นชาติชิลี มากเพียงพอที่จะทําใหผลการลงประชามมติเป็นไปในทางที่ชิลีตองการ และคณะกรรมการที่ไดรับการแตงตั้ง ใหดําเนินการเพื่อทําประชามติก็ตั้งขอสังเกตวา ความลมเหลวของชีลีที่จะทําใหเกิดบรรยากาศเสรีในการหยั่ง เสียงของประชาชน คือ อุปสรรคสําคัญในการจัดการทําประชามติ ดังนั้น ประเด็นในการทําประชามติเพื่อยุติ ขอพิพาทดูเหมือนวาจะเป็นไปเพื่อประโยชนแและความชอบธรรมในการเขาควบคุมดินแดนนั่นเอง
2.2.2 ข้อพิพาทแนวเขต (positional dispute) สาเหตุพื้นฐานของขอพิพาทเขตแดนมักเกิดขึ้นจากการซอนทับกันของพื้นที่ทางภูมิศาสตรแ หรือ พื้นที่ ทางวัฒนธรรม ขอพิพาทแนวเขตจึงเกิดขึ้นจากพัฒนาการของการกําหนดเสนเขตแดนที่ไมสมบูรณแ ประเด็น ไมไดอยูที่พื้นที่ชายแดน แตเป็นขอบกพรองของเสนเขตแดน เมื่อมีกระบวนการกําหนดเขตแดน (delimitation) แลว กระบวนการปักปันเขตแดน (demarcation) ก็มักจะมีความลาชา ทําใหเกิดขอบกพรอง ในการกําหนดเสนเขตแดนตั้งแตแรก ปัญหาขอพิพาททางตําแหนงมักจะเกิดขึ้นในกรณีที่พื้นที่ชายแดนบริเวณ นั้นมีการใชประโยชนแคอนขางนอย กรณีขอพิพาทเขตแดนเหนือแมน้ําแดง (Red-river) ระหวางรัฐโอคลาโฮมากับรัฐเท็กซัส เกิดขึ้นในปี 2462/1919 บริษทน้ํามันเบอรแคเบอรแเน (Burkburnett) เขาไปแสวงประโยชนแทางตอนใตของฝั่งแมน้ํา รัฐเท็ก ซัสถือวาพื้นที่ฝั่งทางใตของแมน้ําอยูภายใตอํานาจของตน ในขณะที่รัฐโอคลาโฮมาก็ยืนยันวาฝั่งใตนี้ถือเป็นเสน แบงเขตแดน ความสับสนนี้เกิดขึ้นเมื่อทั้งสองรัฐไดทําสัญญาเชาทําเหมืองแรในพื้นที่ที่ครอบคลุมลําแมน้ํา ทั้งหมด ในที่สุดก็มีคําตัดสินวา ฝั่งแมน้ําทางใตเป็นเสนแบงเขตแดน ในทํานองเดียวกัน ฝรั่งเศสไมไดตั้งคําถาม ถึงปัญหาการปักปันเขตแดนระหวางไนจีเรียเหนือ (Northern Nigeria) กับไนเกอรแ (Niger) จนกระทั่งหนวย ทหารลาดตระเวนพบวา บางสวนของเสนทางปฏิบัติการที่เชื่อมตอระหวางนีอาเม (Niamey) กับ ซินเดอรแ (Zinder) อยูเขาไปในอาณาเขตของอังกฤษ ฝุายฝรั่งเศสจึงถูกหามไมใหเขาไปยังพื้นที่นั้น ขอพิพาทแนวเขต (positional dispute) โดยทั่วไปมักจะมีปัญหาเกี่ยวของกับขอกฎหมายและลักษณะ ทางภูมิศาสตรแ เชน ปัญหาที่เกิดจากสถานะทางกฎหมายของ “ถอยคํา” ที่มีความคลุมเครือ ในขณะที่ปัญหา ทางภูมิศาสตรแ มักจะบงชี้วาคํานิยามของเสนเขตแดนไมสอดคลองกับภูมิประเทศจริง และในบางกรณีมีการ ถกเถียงกันไมจบสิ้น และในที่สุดคํานิยามสุดทายมักจะขัดแยงกับความตั้งใจแรกหรือจิตวิญญานดั้งเดิมของ สนธิสัญญา ตัวอยางเชน การเจรจาระหวางอังกฤษกับเยอรมัน ในกรณีขอพิพาทระหวางไนจีเรีย (Nigeria) และคาเมรูน (Kamerun) เกิดปัญหาขอกฎหมายและปัญหาทางภูมิศาสตรแ โดยขอตกลงในปี 2428/1885 กําหนดวา เสนเขตแดนจากชายฝั่งไปยังเกาะแกงในแมน้ําครอส (Cross River Rapids) ใหเป็นไปตามแนวตลิ่ง ฝั่งขวาของแมน้ําริโอเดลเรยแ (Rio del Rey) ตั้งแตปากแมน้ําขึ้นไปถึงแหลงตนน้ํา และจากนั้นใหลากเสนตรง ไปยังเกาะแกง (Rapids) แตในปี 2431/1888 กลับพบวาแมน้ําริโอเดลเรยแ (Rio del Rey) เกิดชองทางน้ํามี แนวยาว 29 กิโลเมตร ระหวางเกาะ 2 เกาะ โดยไมมีการกําหนดแนวแมน้ําดังกลาวที่ชัดเจน เนื่องจากแนวทาง 22
เดินแมน้ําถูกรวมเขาไปอยูในเครือขายที่ซับซอนของธารน้ําซึ่งลอมรอบดวยตนโกงกาง ทําใหเกิดการเชื่อมตอ กันของแมน้ําสองสาย ทางทิศตะวันตก คือ แมน้ําอัคพายาเฟุ (Akpayafe) กับ ทางทิศตะวันออก คือ แมน้ํา เอนเดียน (Ndian) การคนพบครั้งนี้ ทําใหเกิดขอถกเถียงวาแมน้ําที่เกิดขึ้นมาใหมนี้เป็นความตอเนื่องของแมน้ํา ริโอเดลเรยแ (Rio del Rey) หรือไม ซึ่งรัฐบาลทั้งสองฝุายตางไมยอมยกเลิกสัมปทานใดๆ เนื่องจากขอพิพาท เขตแดนนี้อาจนําไปสู “สิ่งมีคาหรือไรคา” ก็ได ในปี 2429/1886 จึงเกิดขอตกลงระหวางอังกฤษกับเยอรมัน เพื่อกําหนดสวนที่สองของเสนเขตแดน ซึ่ง กําหนดจาก “จุดบนตลิ่งฝั่งขวาของแม่น้ าเบเน่ (River Benue) ไปทางทิศตะวันออก โดยให้ลากเข้าใกล้มาก ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้กับเขตเมืองโยลา (Yola) ซึ่งจะถูกขีดขึ้นโดยการตรวจสอบในทางปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อ ความถูกต้องของกระบวนการปักปันเส้นเขตแดน (a point on the right bank of the River Benue, to the east of and as close as possible to Yola as may be found on examination to be practically suited for the demarcation of the boundary)” ฝุายอังกฤษโตแยงวา เมื่อถึงเวลาที่จะตองเลือกจุดๆ นี้ คําวา “ในทางปฏิบัติ (to be practically)” มี ความหมายทั้งในทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ในทางการเมือง ฝุายอังกฤษพบวาไมสมควรที่จะขีดเสนเขต แดนภายในขอบเขตกําแพงของเมืองโยลา (Yola) เนื่องจากผูปกครอง (Emir) ของเมืองนี้ยอมจะสูญเสียพื้นที่ สวนสําคัญของดินแดนนี้ใหกับเยอรมนี สวนในทางเศรษฐกิจ ก็ถูกตั้งคําถามวา เสนเขตแดนควรถูกขีดขึ้น เพื่อใหมีการเคลื่อนยายของประชาชนชาวเมืองโยลาโดยเสรีใชหรือไม ซึ่งตอมาในภายหลังก็ไดรับการชี้แจงวา การขีดเสนเขตแดนเชนนั้น ก็เพื่อใหมีพื้นที่เพียงพอทางทิศตะวันออกในการเป็นแหลงฟืนและมีพื้นที่ทุงหญา เลี้ยงสัตวแที่เพียงพอตอความตองการใชงาน สําหรับฝุายเยอรมนีแลว แนนอนคําวา “ในทางปฏิบัติ (to be practically)” เป็นเพียงคําที่มีความหมายในทางเทคนิคตามแงมุมในการปักปันเสนเขตแดนเทานั้น ตัวอยางของขอพิพาทแนวเขตที่เกิดขึ้นจากความเขาใจผิดและการตีความที่ไมตรงกับความตั้งใจของ ขอตกลงดั้งเดิมของสนธิสัญญา เกิดขึ้นที่เขตบอรแนู (Bornu) ในการกําหนดเสนเขตแดนของคาเมรูน (Kamerun) ระหวางอังกฤษกับฝรั่งเศส ในปี 2459/1916 โดยรัฐบาลอังกฤษในไนจีเรียไดรับคําแนะนํา เกี่ยวกับคํานิยามเสนเขตแดนจากขอความในโทรเลขวา “ในเยอรมันบอร์นู เส้นเขตแดนถูกก าหนดอย่างคร่าวๆ โดยเส้นโค้งของอิสะกะ อัวฟิสา กาอู กัมเบล และกูเตลากา จากนั้นจึงไปในทิศทางตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงวัล โก (In German Bornu the boundary is roughly indicated by the curved line of Isaga, Uafisa, Gau, Kumbel and Kutelaka, thence in a north-western direction to Wulgo.)” แตความจริงแลว เจาหนาที่ทองถิ่นกลับพบวา เสนเขตแดนที่ถูกกําหนดขึ้นมานี้ซอนทับอยูบนภูมิทัศนแ ทางวัฒนธรรมในพื้นที่และในเวลานั้นเองเจาหนาที่ทองถิ่นก็ไดทําการทักทวงไปยังฝุายอังกฤษดวย ขณะที่ รัฐบาลกลางของอังกฤษในลอนดอน ไมเขาใจขอทักทวงดังกลาว จนกระทั่งพบวาโทรเลข ที่สงไปนั้นไดรับการ ถอดรหัสผิด ซึ่งขอความที่ถูกตองควรตองเป็นวา “ดินแดนต่อไปนี้จะถูกบริหารโดยเรา...ส่วนที่สองคือเยอรมัน บอร์นู เส้นเขตแดนจะถูกก าหนดไว้อย่างคร่าวๆ โดยเส้นโค้ง... (The following territories to be administered by us . . . Second, German Bornu. Boundary being indicated very roughly by a curved line ...)” จากนั้นฝรั่งเศสก็ยึดครองดินแดนตามที่เสนเขตแดนกําหนดไว แมวาอังกฤษจะประกาศวา ตามขอตกลง แลว บอรแนู (Bornu) ตองตกเป็นดินแดนของอังกฤษ แตฝรั่งเศสก็ปฏิเสธที่จะสละดินแดนดังกลาว ซึ่งใน ปัจจุบันเป็นสวนหนึ่งของสาธารณรัฐแคเมอรูน (Cameroun Republic)
23
2.2.3 ข้อพิพาททางการใช้งาน (functional dispute) ตัวอยางของขอพิพาททางการใชงานคอนขางหายาก เนื่องจากขอพิพาททางภาระกิจเหนือเขตแดนนั้น มักจะเกิดขึ้นในกรณีที่เสนเขตแดนระหวางประเทศลากตัดผานพื้นที่ชนเผา เชน โซมาลี (Somali) หรือกรณีที่ เสนเขตแดนอยูครอมอยูบนเสนทางการเลี้ยงสัตวแแบบเรรอนในทุงหญากวาง เชน กรณีของพวกโพวินดาสใน อาฟกานิสถาน (Powindas of Afghanistan) การตั้งขอสังเกตถึงผลกระทบของเสนเขตแดนในปี 2490/1947 ซึ่งแบงเขตระหวางอิตาลีกับฝรั่งเศสในจังหวัดอาลป-มารีตีม (Alpes Maritimes) ผลของการกําหนดเสนเขต แดนใหมในฝั่งของฝรั่งเศสปรากฏวา มีหมูบานแหงหนึ่งไมมีพื้นที่ทุงหญาเลี้ยงสัตวแใหใชงานในฤดูรอน ในขณะที่ หมูบานที่อยูติดกันทางฝั่งของอิตาลีไมมีพื้นที่ทุงหญาเลี้ยงสัตวแใชงานในฤดูใบไมผลิและฤดูใบไมรวง เนื่องจาก การเปลี่ยนแปลงตําแหนงของเสนเขตแดนไมสามารถทําได ดังนั้น อนุญาโตตุลาการฝุายสวิสจึงมีคําสั่งให ประชาชนที่ตั้งถิ่นฐานอยูฝั่งในอิตาลีมีสิทธิใชทุงหญาเลี้ยงสัตวแบางสวนในฝรั่งเศส เพื่อแลกกับสิทธิบางประการ ในการเขาไปใชประโยชนแจากพื้นที่ปุาในประเทศอิตาลี เป็นการผอนคลายกฎระเบียบตามอนุสัญญาที่มีอยูกอน หนานี้ ซึ่งอนุญาตใหมีการเคลื่อนยายบุคคลและทรัพยแสินไดอยางอิสระภายในอาณาเขต 20 กิโลเมตรจากแนว เสนเขตแดน วิธีการเชนนี้คลายคลึงกับกรณีระหวางตูนิเซียกับแอลจีเรีย ซึ่งอนุญาตใหประชาชนที่อาศัยอยูใน พื้นที่ชายแดนของแตละรัฐสามารถที่จะขามพรมแดนระหวางกันไดโดยไมตองผานดานตรวจตามพิธีศุลากรหรือ ขอวีซา เป็นการอํานวยความสะดวกใหกับการเคลื่อนยายแรงงานของทั้งสองฝุายไดเป็นอยางดี
2.2.4 ข้อพิพาทเหนือการพัฒนาทรัพยากร (dispute over resource development) สาเหตุรวมกันประการหนึ่งของขอพิพาทเหนือการพัฒนาทรัพยากร คือ การใชแหลงน้ํากําหนดเสนเขต แดน หรือ มีแนวลําน้ําพาดขามเสนเขตแดน และ ทะเลอาณาเขต (territorial water) หรือ ไหลทวีป (continental shelf) ซึ่งขอพิพาทมักเกิดขึ้นกับแหลงทรัพยากรขามพรมแดน (trans-boundary resources) เชน แหลงแรธาตุ ปิโตรเลี่ยม หรือแหลงก฿าซ ซึ่งโดยหลักการแลว ควรแยกวิธีการจัดการระหวางขอพิพาทในแมน้ําหรือทะเลสาบ กับขอพิพาททาง ทะเล เนื่องจากเสนเขตแดนมักจะถูกกําหนดไปตามแนวแมน้ําเพื่อใหงายตอการรับรู แตก็มีขอเสียของลักษณะ ทางภูมิศาสตรแที่ใชกําหนดเสนเขตแดน เชน เมื่อเสนเขตแดนเป็นเสนเดียวกับแนวลําน้ํา พื้นที่ราบลุมแมน้ําที่ แบงระหวางรัฐที่อยูติดกัน ขอตกลงหรือสนธิสัญญาที่ทําระหวางกันมักจะมีประโยคหรือขอความที่ระบุการให สิทธิที่เทาเทียมกันแกทั้งสองฝุาย แตไมมีขอความที่ระบุตําแหนงแมน้ําสาขาที่ใชเป็นเสนเขตแดน และไมมีการ ทําขอกําหนดเพื่อการควบคุมพื้นที่ลําน้ําซึ่งพาดขามเสนเขตแดน ที่เป็นเชนก็นี้เพราะวา พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่ สามารถพัฒนาได เชน การใชประโยชนแจากแมน้ําในการสรางพลังงานไฟฟูาและการชลประทาน แตในเวลาที่ ทําสนธิสัญญาตกลงแบงเขตแดนกัน พื้นที่ดังกลาวยังรกรางวางเปลาและความกาวหนาทางเทคโนโลยียังมีไม เพียงพอ ทําใหในปัจจุบัน ขอพิพาทเกี่ยวกับการใชประโยชนแจากทรัพยากรในพื้นที่ชายแดนจึงเกิดขึ้น ขอพิพาทเกี่ยวกับลําน้ําสาขาในนานน้ําอาณาเขตเกิดขึ้นระหวางสหราชอาณาจักรกับสหรัฐอเมริกา ในปี 2443/1900 เทศบาลนครชิคาโก (Chicago municipal authority) ไดเจาะทอเพื่อสูบน้ําออกจากทะเลสาบ มิชิแกน (Lake Michigan) โดยวิธีการขุดคลองขึ้นในพื้นที่หุบเขาแมน้ําชิคาโก (Chicago River) เพื่อใหมี กระแสน้ําที่เพียงพอในการผลักดันน้ําเสียของเมืองผานแมน้ําเดสเพลนสแ (Plaines River) ไปยังแมน้ํา อิลลินอยสแ (Illinois Rive) และแมน้ํามิสซิสซิปปี้ (Mississippi River) ซึ่งคลองที่ขุดขึ้นไดสงผานมวลน้ําขนาด 4,167 ลูกบาศกแเมตรตอวินาทีออกจากทะเลสาบ แตประชากรที่อาศัยอยูในรัฐมิสซูรี่ซึ่งแมน้ําอิลลินอยสแไหล ผานไดทําการรองเรียนเกี่ยวกับการกระทําของเทศบาลนครชิคาโก แตก็พบวาแมน้ําที่มีกระแสน้ําไหลมากขึ้น นั้นมีความบริสุทธิ์มากขึ้นกวาแตกอน 24
อยางไรก็ตาม สหราชอาณาจักรเกิดความกังวลวาการที่น้ําไหลออกไปจํานวนมากเชนนี้ จะทําใหระดับ น้ําในทะเลสาบลดลง และในปี 2469/1926 เมื่อมวลน้ําที่ไหลออกจากทะเลสาบมีประมาณมากถึง 8,500 ลูกบาศกแเมตรตอวินาที จึงคาดการณแวาระดับน้ําในทะเลสาบมิชิแกนและฮูรอน (Huron) มีปริมาณลดลงถึง 6 นิ้ว ในขณะที่ทะเลสาบออนตาริ (Lakes Ontario) และเอรี (Lakes Erie) มีระดับน้ําลดลง 5 นิ้ว เนื่องจาก ระดับน้ําที่ลดลงทุกหนึ่งนิ้ว หมายถึง ปริมาณน้ําที่จะสามารถรองนับน้ําหนักเรือได 60-80 ตัน แสดงใหเห็นวา โครงการขุดคลองของเทศบาลชิคาโกมีผลโดยตรงในทางลบตอการเดินเรือในนานน้ําอาณาเขต หลังจากสหราช อาณาจักรมีปฏิกิริยาตอเรื่องดังกลาว ในปี 2470/1927 ทําใหเทศบาลนครชิคาโกลดปริมาณการสูบน้ําออก จากทะเลสาบลงมาอยูที่ 6,500 ลูกบาศกแเมตรตอวินาที ในปี 2478/1935 ลดลงมาอยูที่ 5,000 ลูกบาศกแเมตร ตอวินาที และในปี 2481/1938 ลดลงมาเหลือ 1,500 ลูกบาศกแเมตรตอวินาที ซึ่งเป็นปริมาณที่อนุญาตใหฝุาย อเมริกาสามารถสูบออกไดภายใตสัญญาเดิม เป็นที่ชัดเจนวาในการพิจารณาใชประโยชนแจากแมน้ําตอเนื่อง (successive rivers) พื้นที่ซึ่งอยูบริเวณที่ ลุมต่ํากวาอาจไดรับอันตรายถาการไหลของน้ํามีปริมาณลดลง ในขณะที่สิทธิของพื้นที่ซึ่งอยูดานบนอาจจะถูก ละเมิดถามีการสรางเขื่อนกักลําน้ํา และอาจทําใหเกิดน้ําทวมไปทั่วบริเวณที่เป็นแนวเขตแดน ตัวอยางเชน ความกังวลของอียิปตแตอการไหลของแมน้ําไนลแจากสรางโครงการชลประทานในซูดาน (Sudan) ทําใหเกิด ความตกลงน้ําในแมน้ําไนลแ (Nile Waters Agreement) ในปี 2472/1929 สหราชอาณาจักรไมเขาไปยุงกับ ปริมาณน้ํา ระดับน้ํา หรือขอกําหนดตางๆ ในการจัดการแมน้ําไนลแ ซูดานยังคงเคารพในขอตกลงฉบับนี้ถึงแม จะยังไมมีขอตกลงเกี่ยวกับวิธีการจัดสรรน้ําเพิ่มเติม เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในทะเลสาบคาริบา (Lake Kariba) ใน แซมเบซี่ (Zambezi) ซึ่งอยูระหวางหรอดเดเซียเหนือ (Northern Rhodesia) กับหรอดเดเซียใต (Southern Rhodesia) โปรตุเกสจึงแสดงความตองการที่จะรักษาระดับการไหลของปริมาณน้ําผานทางโมซัมบิก (Mozambique) จํานวน 35,000 ลูกบาศกแเมตรตอวินาที ซึ่งเพียงพอสําหรับการเดินเรือไดตลอดทั้งปีในพื้นที่ ตอนลางของแซมเบซี่ (Zambezi) ในขณะเดียวกันรัฐบาลหรอดเดเซีย (Rhodesian Governments) ก็ไดรับ ความมั่นใจจากสหภาพแอฟริกาใต (The Union of South Africa) และแองโกลา (Angola) วาจะไมสูบน้ํา ออกจากพื้นที่เหนือทะเลสาบในแซมเบซี่ (Zambezi) เนื่องจากพื้นที่ตอนบนมักเกิดน้ําทวมขึ้นบอยครั้ง ในปี 2440/1897 บริษัททํานบแคนาดา (Canadian Dyking Company) จึงสรางเขื่อนบนแมน้ําบาวดารีครีก (Boundary Creek) ในบริติชโคลัมเบีย (British Columbia) ซึ่งสงผลทําใหเกิดน้ําทวมครอบคลุมอาณาบริเวณกวา 80,000 เอเคอรแของไอดาโฮ (Idaho) หรือ ในกรณีเขื่อนยักษแอัสวาน (Aswan High Dam) ในสหสาธารณรัฐอาหรับ (United Arab Republic) ซึ่งมีน้ํา ทวมกินพื้นที่เขาไปในสวนหนึ่งของซูดาน และทําใหเกิดการตั้งถิ่นฐานใหมของชาวนูเบียน (Nubians) จํานวน กวา 35,000 คน ในพื้นที่คาสชแม เอล กีรบา (Khashm el Girba) ครอมอยูในแมน้ําอัทบารา (Atbara River) ขอพิพาทระหวางฝรั่งเศสกับสเปนเหนือนานน้ําในทะเลสาบลาน็กซแ (Lake Lanoux) เป็นตัวอยางที่ ชัดเจนวา ความกาวหนาทางเทคโนโลยีทําใหเกิดขอพิพาทขึ้น ไมนานหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศส ตัดสินใจที่จะสรางเขื่อนในทะเลสาบแหงนี้ ซึ่งปกติน้ําจะไหลไปทางสเปน โดยเขื่อนดังกลาวทําใหน้ําลดลง 780 เมตรในหุบเขาแอริเก (Ariege valley) มวลน้ํานั้นก็จะถูกสงกลับไปโดยอุโมงคแไปยังลําน้ําของแมน้ําฟูอนทแ (River Font) ซึ่งเป็นลําน้ําสาขาของแมน้ําเสิรแจ (Serge River) ในสเปน คลองจากฝรั่งเศสไดสงน้ําไปยัง โครงการชลประทานของสเปน เสปนจึงคัดคานโครงการดังกลาวโดยใหเหตุผลวาเป็นการละเมิดสนธิสัญญาบา ยอนเน (Treaty of Bayonne) ในปี 2429/1886 ตั้งแตสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นตนมา หลายประเทศทําการการอางสิทธิ์ไหลทวีป การอางสิทธิ์นี้คอนขาง แตกตางจากการอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขต เนื่องจากรัฐไมไดอางสิทธิ์ในพื้นที่ทางทะเลเหนือไหล 25
ทวีปนอกอาณาเขต (territorial limits) รัฐที่ทําการอางสิทธิ์เหนือไหลทวีปเป็นประเทศแรก คือ สหรัฐอเมริกา ในปี 2488/1945 โดยการอางสิทธิ์เกิดขึ้นเพราะความตองการที่จะสํารวจพื้นดินใตทะเลซึ่งมีแหลงน้ํามัน ปิโตรเลียมและแรธาตุอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นสวนตอเนื่องกับพื้นที่บนบก โดยระบุไวชัดเจนวา จะตองไมเกี่ยวของ หรือรบกวนการเดินเรือ ในขณะเดียวกันสหรัฐอเมริกาก็สงวนสิทธิ์ในการประกาศเขตอนุรักษแเหนือพื้นที่การทํา ประมงในทะเลหลวง (high-sea fisheries) การตัดสินใจครั้งนี้สงผลตอขบวนเรือหาปลาแซลมอนของญี่ปุุน ซึ่ง ถูกสกัดกั้นไมใหเขาไปในอาวบริสตอล (Bristol Bay) ทําใหตองแลนเรือไปยังชายฝั่งทะเล และบรรจุปลาใส กระปองในโรงงานลอยน้ํา ซึ่งทําลายอุตสาหกรรมการประมงปลาแซลมอนตามชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา การ อางสิทธิ์ตามแบบสหรัฐอเมริกาจึงเกิดขึ้นตามมาอยางรวดเร็วโดยประเทศตางๆ ในอเมริกากลางและอเมริกาใต เกาหลี รัฐที่อยูโดยรอบอาวเปอรแเซีย และไอซแแลนดแ รวมทั้งออสเตรเลียดวย เหตุผลของการอางสิทธิ์เหลานี้ ก็เพื่อที่จะแสวงหาสิทธิของรัฐในพื้นที่หาปลา ตัวอยางเชน ในปี 2424/1881 อังกฤษในศรีลังกาอางสิทธิเหนือพื้นที่การทําประมงหอยมุกในอาวมานารแ (Gulf of Manar) ซึ่ง ครอบคลุมอาณาบริเวณไกลออกไป 21 ไมลแทะเลจากชายฝั่ง ในทํานองเดียวกัน ปี 2431/1888 และ 2432/1889 รัฐควีนสแแลนดแและออสเตรเลียตะวันตกทําการอางสิทธิ์ในพื้นที่ทําประมงหอยมุกและปลิงทะเล ฝรั่งเศสและอิตาลีก็แยกแนวปะการังในทะเลเมดิเตอรแเรเนียนออกจากแอลจีเรีย (Algeria) ซิซิลี (Sicily) และ ซารแดิเนีย (Sardinia) การอางสิทธิ์โดยรัฐตางๆ ทํากันอยางกวางขวาง เปรู ชิลี และ เอกวาดอรแ ตางอางสิทธิ์ เหนือพื้นที่โดยลากเสนขนานไปกับชายแนวฝั่งเป็นระยะทาง 200 ไมลแทะเล ในปี 2497/1954 เรือลาปลาวาฬ จํานวน 5 ลําซึ่งติดธงปานามาถูกจับโดยเรือของเปรูที่ในระยะทางที่แตกตางกันตั้งแต 126 ถึง 364 ไมลแทะเล จากชายฝั่ง ในปี 2494/1951 มีคําตัดสินออกเป็น 2 แนวทางวา ไหลวีปไมไดเป็นสวนหนึ่งของขอกําหนดใน กฎหมายระหวางประเทศ คําตัดสินนี้เกิดขึ้นเนื่องจากขอพิพาทสัมปทานในปี 2478/1935 และ 2482/1939 ตามลําดับซึ่งทําขึ้นระหวางผูปกครองของกาตารแกับอาบูดาบี เมื่อผูปกครองไดประกาศการขยายอาณาเขต เหนือพื้นที่ซึ่งอยูใตทองทะเลในอาวเปอรแเซีย บริษัทน้ํามันจึงอางวาไดรับสิทธิในการสํารวจน้ํามันในทะเลอาณา เขตนอกดินแดนที่อยูประชิดกันของรัฐทั้งสอง ความพยายามที่จะแกปัญหาความยากลําบากที่เกิดจากความ ตองการที่แตกตางกันของไหลทวีป ซึ่งสหประชาชาติไดจัดใหมีการประชุมวาดวยกฎหมายทะเลในปี 2501/1958 การประชุมดังกลาวทําใหเกิดขอตกลง 4 ฉบับ ไดแก อนุสัญญาวาดวยทะเลอาณาเขตและเขต ตอเนื่อง อนุสัญญาวาดวยทะเลหลวง อนุสัญญาวาดวยการประมงและการอนุรักษแทรัพยากรมีชีวิตในทะเล หลวง และ อนุสัญญาวาดวยไหลทวีป ประเด็นสุดทายซึ่งเป็นที่นาสนใจสําหรับนักภูมิศาสตรแ คือ ระเบียบที่วางไวสําหรับการแบงเขตไหลทวีป ระหวางรัฐชายฝั่งทะเลที่อยูติดกัน และรัฐชายฝั่งทะเลที่อยูตรงขามกัน เสนเขตแดนควรจะตกลงกันระหวางรัฐ ที่เกี่ยวของและหากไมมีขอตกลงที่เป็นไปไดแลว เสนมัธยะ (median line) ซึ่งมีระยะหางที่เทากัน (equidistant) จากเสนฐาน (baselines) ในทะเลอาณาเขตตองมีการวัดและควรถูกนํามาใช ในปี 2496/1953 ออสเตรเลียประกาศเขตอํานาจอธิปไตยเหนือไหลทวีปโดยรอบ และประกาศเสนเขต แดนทางตอนเหนือระหวางออสเตรเลียกับอินโดนีเซีย และอาณาเขตของดัตชแอยูตรงกลางระหวางออสเตรเลีย กับรัฐอื่นๆ การประกาศอยางเดียวกันนี้ มีบางพื้นที่ที่ตอเนื่องกันที่เป็นไหลทวีป แตคั่นดวย ชองน้ําที่มีความลึก มากกวา 100 ฟาทอมที่ถูกอางสิทธิ์ การประกาศฝุายเดียวของออสเตรเลียตามมาดวยการขยายพื้นที่การทํา ประมงหอยมุกของเรือญี่ปุุนในทะเลอาราฟูรา (Arafura Sea) ซึ่งออสเตรเลียกลาววา จํานวนหอยมุกที่เก็บได โดยเรือของญี่ปุุนเกินไปจากขอบเขตที่กําหนดไวในอนุสัญญาวาดวยทรัพยากร
26
ในอนาคตขอพิพาทเกี่ยวกับขอบเขตของสิทธิบนไหลทวีป อาจจะยังคงเกิดขึ้นระหวางรัฐที่มีพื้นที่อยูใน ทะเลกึ่งปิด (semi-enclosed seas) เชน อาวเปอรแเซีย (Persian Gulf) ทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) และ ทะเลบอลติก (Baltic Sea) และกรณีที่รัฐซึ่งไมเป็นมิตรตอกัน เชน มาเลเซียกับอินโดนีเซีย ก็จะถูกแยกจากกัน โดยไหลทวีปซึ่งมีพื้นที่ตอเนื่องกัน
2.3 แนวคิดว่าด้วยการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ แนวคิดวาดวยการระงับขอพิพาทระหวางประเทศ เป็นแนวคิดที่เกี่ยวของกับสาขาวิชาความสัมพันธแ ระหวางประเทศ และกฎหมายระหวางประเทศ โดยอาศัยบทบัญญัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) ซึ่ง รองศาสตราจารยแ ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช24 ไดอธิบายหลักการระงับขอพิพาทระหวางประเทศวา กฎบัตร สหประชาชาติมาตรา 2 (4) หามการใชกําลังทางทหารทุกรูปแบบ และมาตรา 2 (3) กําหนดใหรัฐอธิปไตยตอง ระงับขอพิพาทโดยสันติวิธี (Settlement of international dispute by peaceful means) โดยกฎบัตร สหประชาชาติไดรับรองพันธกรณีทางกฎหมายของรัฐ 2 ประการ คือ ตองงดเวนกระทําการ (negative duty) ที่จะไมใชกําลังทางทหาร และ ตองกระทําการ (positive duty) การระงับขอพิพาทโดยสันติวิธีเทานั้น หนาที่ทั้ง 2 ประการนี้ เป็นหลักกฎหมายสําคัญที่ค้ําจุนความสัมพันธแระหวางประเทศใหมีความมั่นคง และความสงบเรียบรอย อยางไรก็ตาม ในบางกรณีอาจไมสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแยงได แตระดับ ความรุนแรงของปัญหาและความขัดแยงก็มีหลายระดับและแตกตางกันไป เชน ความตึงเครียด (Tension) การเผชิญหนา (Confrontation) ความขัดแยง (Conflict) หรืออาจรุนแรงจนกลายเป็น “ขอพิพาท” (Dispute) ซึ่งหมายถึง ความไมลงรอยกัน (disagreement) ใน “ขอเท็จจริง” (Fact) หรือ “ขอกฎหมาย” (Law) หรือ “นโยบาย” (Policy) เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังนั้น การระงับข้อพิพาท (dispute settlement) จึง สามารถแบงออกเป็น 2 วิธีหลักๆ คือ การระงับขอพิพาททางการทูต (Diplomatic Channels) และ การระงับ ขอพิพาททางกฎหมาย (Legal means) ซึ่งทั้ง 2 วิธียังสามารถแบงยอยไดอีกหลายประเภท ดังนี้
2.3.1 การระงับข้อพิพาททางการทูต (Diplomatic Channels) หมายถึง การระงับขอพิพาทที่ไมใช ขอบังคับทางกฎหมาย ซึ่งเป็นแนวทางแกไขปัญหาที่ไมผูกมัดใหรัฐคูพิพาทตองปฏิบัติตาม ไดแก
2.3.1.1 การเจรจา (Negotiation) หมายถึง การเสนอขอเรียกรองเกี่ยวกับประเด็นพิพาทของรัฐ คูพิพาททั้งสองฝุาย เพื่อใหอีกฝุายหนึ่งพิจารณา ซึ่งเป็นวิธีระงับขอพิพาทที่นิยมมากที่สุดวิธีหนึ่งในทางการทูต และการเจรจาไมไดหมายถึงแคการแลกเปลี่ยนขอมูลหรือขอคิดเห็นเทานั้น โดยปกติแลวการเจรจาจะอาศัย ชองทางทางการทูตซึ่งอยูในความรับผิดชอบของกระทรวงการตางประเทศ อยางไรก็ดี บุคคลที่มีอํานาจเจรจา แบงออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับเจาหนาที่ผูเชี่ยวชาญในประเด็นพิพาท และ ระดับเจาหนาที่ของรัฐระดับสูง เชน ประมุขของรัฐ ประมุขของรัฐบาล รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ หรือ รัฐมนตรีวาการ กระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวของกับขอพิพาท หรือ เอกอัครราชทูต เป็นตน และหากกลไกการระงับขอพิพาทใน ระดับเจาหนาที่ไมบังเกิดผลสําเร็จ รัฐอาจนําเสนอขอพิพาทใหผูแทนของรัฐ เชน ประมุขของรัฐ หรือ รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศเป็นผูเจรจาแทน และมีขอสังเกตวา การระงับขอพิพาทในองคแการ การคาโลก (World Trade Organization – WTO) ใชคําวา “ปรึกษาหารือ (Consultation)” ซึ่งมี ความหมายคลายคลึงกับการเจรจาดวยความสุจริตใจ
24 ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช. “บทที่ 10 การระงับขอพิพาทระหวางประเทศ,” ใน คําอธิบายกฎหมายระหวางประเทศ (กรุงเทพฯ: คณะนิติศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2555), หนา 288-298. 27
การเจรจา ไมจําเป็นตองเป็นการเจรจาเพียงคนเดียวเสมอไป ขอพิพาทบางอยางมีลักษณะเกิดขึ้นอยาง ตอเนื่องหรือซ้ําๆ กันอยูเนื่องๆ เชน ขอพิพาทเกี่ยวกับเขตแดน รัฐคูพิพาทอาจตกลงกันใหมีการตั้ง คณะกรรมาธิการผสม (Mixed Committee) หรือ คณะกรรมาธิการรวม (Joint Commission) เพื่อเจรจาหา ขอยุติกันได นอกจานี้ รัฐอาจใชวิธีการระงับขอพิพาทดวยชองทางทางการทูตอยางอื่นควบคูกันไปดวยก็ได กลาวอีกนัยหนึ่ง การระงับขอพิพาทดวยการเจรจาไมไดหามใหมีการระงับขอพิพาทโดยบุคคลที่สาม เชน การ ไกลเกลี่ย หรือ การประนีประนอม หรือ อนุญาโตตุลาการควบคูกันไปดวย โดยปกติวิธีการที่มักใชควบคูกับ การเจรจาคือการคนหาขอเท็จจริงและการไกลเกลี่ย การเจรจาเป็นวิธีการที่ยืดหยุน เนื่องจากรัฐคูพิพาทสามารถปรับใหเขากับสถานการณแที่แปรเปลี่ยนไป ได อีกทั้งโดยปกติของการเจรจา รัฐคูพิพาทจะกลาวถึงประเด็นขอพิพาทและขอเรียกรอง อันจะเป็นประโยชนแ ตอกระบวนการพิจารณาคดีในศาล หากวารัฐคูพิพาทไดเสนอขอพิพาทใหศาลระหวางประเทศวินิจฉัยขอ พิพาทตอไป อยางไรก็ตาม ขอแตกตางระหวางการเจรจากับการระงับขอพิพาททางตุลาการ มีความแตกตางที่ เดนชัดที่สุด คือ การระงับขอพิพาทโดยการเจรจานั้น รัฐคูพิพาทสามารถควบคุมการบวนการของการระงับขอ พิพาทได ไมวาจะเป็นเรื่องของวิธีการเจรจา (รัฐคูพิพาทจะยกเลิกการเจรจาเมื่อใดก็ได) ประเด็นที่ตองการ เจรจา แตการระงับขอพิพาททางตุลาการ คูพิพาทไมสามารถควบคุมขั้นตอนตางๆ ไดดวยตนเอง แตอยูภายใต กฎเกณฑแและวิธีพิจารณาความของศาล (Procedural rules)
2.3.1.2 การระงับข้อพิพาทโดยบุคคลที่สาม (Third Party) โดยกฎหมายระหวางประเทศไมไดกําหนด วา รัฐคูพิพาทจะตองระงับขอพิพาทดวยตนเองเสมอไป ในบางสถานการณแอาจอาศัย “บุคคลที่สาม” ที่เป็น กลางหรือไมมีสวนเกี่ยวของกับขอพิพาท เขามาชวยเหลือทั้งทางตรงหรือทางออมก็ได การระงับขอพิพาทโดย บุคคลที่สามนี้อาจทําไดหลายรูปแบบ ไดแก
2.3.1.3 การจัดให้มีการเจรจา (Good Office) หมายถึง กรณีบุคคลที่สามซึ่งอาจเป็นผูนําของรัฐ ระดับสูง เชน ประมุขของรัฐ ประมุขของรัฐบาล หรือ รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ หรือ เลขาธิการขององคแการระหวางประเทศ ซึ่งโดยปกติแลว บุคคลธรรมดาที่จะทําหนาที่เป็น Good Office ได มักเป็นบุคคลที่ไดรับการยอมรับนับถือจากรัฐคูพิพาท หรือ เป็นบุคคลที่มีบารมี (Charisma) พอสมควร เชน เลขาธิการสหประชาชาติ หรือ เลขาธิการองคแการการคาโลก ซึ่งอํานวยความสะดวกแกรัฐคูพิพาทใหมีโอกาส เจรจา หรือปรึกษาหารือกันดวยบรรยากาศที่ลดการเผชิญหนากัน โดยบุคคลที่สามไมไดเขารวมการเจรจา หรือ หาทางออกใหแกรัฐคูพิพาทแตอยางใด ซึ่งขั้นตอนและเนื้อหาของการเจรจายังอยูภายในอํานาจการ ควบคุมของรัฐคูพิพาท
2.3.1.4 การตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง (Enquiry, Inquiry) หมายถึง การระงับขอ พิพาทนั้นนอกจากจะอาศัย “หลักกฎหมาย” แลว ยังประกอบดวย ขอเท็จจริงอันเป็นที่ยุติ (Undisputed Fact) หรือ ขอเท็จจริงอันคูความยอมรับ แตหากรัฐคูพิพาทยังโตเถียงกันอยู การวินิจฉัยขอพิพาททางกฎหมาย ยอมไมอาจกระทําได ดังนั้น การตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อสอบสวนขอเท็จจริง “Enquiry” หรือ “Fact-finding Committee” จึงเป็นวิธีการหนึ่ง เพื่อใหไดมาซึ่งขอเท็จจริงอันเป็นที่ยอมรับโดยคูพิพาท ความหมายของคณะกรรมาธิการสอบสวนขอเท็จจริง มี 2 ประการ คือ ความหมายแรก ใชในบริบท ของศาลระหวางประเทศที่มักจะมีขั้นตอนของการสอบสวนขอเท็จจริงเมื่อมีการพิจารณาคดี เชน ศาลโลกมี อํานาจแตงตั้งผูเชี่ยวชาญ เพื่อคนหาขอเท็จจริงที่ยังยุติไมได และ ความหมายที่ 2 หมายถึง กรณีที่รัฐคูพิพาทมี 28
ความตกลงที่จะแตงตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อทําหนาที่สอบสวนขอเท็จจริงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยความตกลงนี้ ตองกําหนดขอบเขตอํานาจหนาที่ของคณะกรรมาธิการดวยวา มีอํานาจสอบสวนขอเท็จจริง ในเรื่องใดบาง ขอกําหนดนี้เรียกวา “(Terms of Reference – TOR)” อยางไรก็ดี คณะกรรมาธิการชุดนี้ไมมี หนาที่เสนอหนทางแกไขปัญหา แตมีหนาที่เพียงแคคนหา “ขอเท็จจริง” อันเป็นสาระสําคัญของขอพิพาทวามี อยูจริงหรือไม หรือ ขอเท็จจริงที่รัฐคูพิพาทโตเถียงกันนั้น แทจริงแลว ขอเท็จจริงนั้นมีวาอยางไร โดยทําใน รูปแบบของ “รายงาน (Report)” โดยรายงานของคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงไมมีผลผูกพันทาง กฎหมายแกรัฐคูพิพาทแตอยางใด รัฐคูพิพาทจะเลือกรับหรือปฏิเสธรายงานดังกลาวหรือไมก็ได
2.3.1.5 การไกล่เกลี่ย (Mediation) หมายถึง การระงับขอพิพาทโดยบุคคลที่สามเขามาชวยเหลือ อํานวยความสะดวก และมีสวนรวมในการเสนอ “ทางออก (Solution)” หรือ “ขอเสนอ (Proposal)” ใหแก รัฐคูพิพาท แตทางออกหรือขอเสนอที่เสนอโดยผูไกลเกลี่ยนั้น ไมมีผลผูกพันทางกฎหมายแกรัฐคูพิพาท รัฐ คูพิพาทจะยอมหรือไมยอมรับกับทางออกนั้นหรือไมก็ได การไกลเกลี่ยตางกับการจัดใหมีการเจรจาในแงที่วา ผู มีบทบาทในการจัดใหมีการเจรจาไมไดมีสวนรวมในการเจรจาแตประการใด ในขณะที่ ผูทําการไกลเกลี่ยมี บทบาทในการริเริ่มการเจรจา หรือ ขอเสนอแกรัฐคูพิพาท อยางไรก็ดี นักกฎหมายระหวางประเทศบางทาน เห็นวา การไกลเกลี่ย กับ การจัดใหมีการเจรจา มีความคลายคลึงกันมาก จนการเรียกชื่อที่แตกตางกันไมไดมี ความสําคัญมากนัก โดยผูที่จะทําหนาที่เป็นผูไกลเกลี่ยไดมี 3 กรณี คือ รัฐ องคแการระหวางประเทศ และ ปัจเจกชน
2.3.1.6 การประนีประนอม (Conciliation) หมายถึง รูปแบบของการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาแลว ทํารายงาน เพื่อเสนอหนทางในการระงับขอพิพาท โดยรายงานนี้ไมมีผลทางกฎหมายแกรัฐคูพิพาท
2.3.1.7 ศาล หรือ คณะกรรมาธิการเฉพาะกิจอื่นๆ หมายถึง กลไกการระงับขอพิพาทโดยสันติวิธี ไมไดมีแคมาตรา 33 ของกฎบัตรสหประชาชาติเทานั้น วิธีการระงับขอพิพาทจึงไมสิ้นสุดเพียงที่ระบุไวใน มาตรา 33 เทานั้น มาตรา 33 จึงมิใช Exhaustive lists ดังนั้น รัฐคูพิพาทอาจเลือกใชวิธีการอื่นที่ นอกเหนือไปจากมาตรา 33 เพื่อระงับขอพิพาทก็ได
2.3.2 การระงับข้อพิพาททางกฎหมาย (legal means) หมายถึง การใชผลคําตัดสินของขอพิพาทที่มี ผลผูกพันทางกฎหมาย (legal biding force) แกรัฐคูพิพาทใหตองปฏิบัติตาม การระงับขอพิพาททางกฎหมาย นั้นแบงไดออกเป็น 2 แบบ ไดแก
2.3.2.1 การระงับข้อพิพาททางอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) แบงออกเป็น 2 แบบ คือ แบบ อนุญาโตตุลาการคนเดียว (Sole Arbitration) และ แบบ 3 คน ซึ่งมีประธานคนหนึ่งเรียกวา “Umpire” โดย เป็นรูปแบบที่ ศูนยแระหวางประเทศเพื่อการระงับขอพิพาทดานการลงทุน (International Centre for Settlement of Investment Disputes – ICSID) ใชอยูในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมี การระงับขอพิพาทโดย อนุญาโตตุลาการ และ ศาลประจําอนุญาโตตุลาการ (The Permanent Court of Arbitration) ณ กรุงเฮก อีกดวย
29
2.3.2.2 การระงับข้อพิพาททางองค์การตุลาการ หมายถึง การระงับขอพิพาทโดยองคแกรตุลาการหรือ ศาลระหวางประเทศ ไมวาศาลระหวางประเทศนั้นจะเป็นศาล “เฉพาะกิจ (Ad Hoc)” ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อการ ระงับขอพิพาทเฉพาะกรณี หรือ ศาลแบบถาวร เชน ศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก ซึ่งเป็นศาลระหวางประเทศแบบถาวรที่สําคัญที่สุดที่ระงับขอพิพาทเรื่องทั่วๆ ไป ระหวางรัฐ นอกจากศาลโลกแลวยังมีศาลระหวางประเทศแบบถาวรหลายศาลที่ทําหนาที่ระงับขอพิพาท ระหวางประเทศ เชน ศาลยุติธรรมระหวางประเทศวาดวยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) ณ เมืองฮัมบูรแก (Hamburg) ประเทศเยอรมนี และ ศาลอาญาระหวางประเทศ (International Criminal Court – ICC) เป็นตน
30
บทที่ 3 เส้นเขตแดนทางบก
ในบทนี้จะเป็นการศึกษาเสนเขตแดนทางบกระหวางประเทศในภูมิภาคอาเซียน ยกเวนประเทศไทย โดย สามารถแบงออกไดเป็น 2 กลุมใหญๆ ตามตําแหนงที่ตั้งทางภูมิศาสตรแ ไดแก กลุ่มที่ 1 เส้นเขตแดนทางบกบนเกาะบอร์เนียว (Borneo) ซึ่งมี 3 กรณี ไดแก 1. เสนเขตแดนทางบก บนเกาะบอรแเนียวระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซีย 2. ดินแดนลิมบัง (Limbang) ระหวางมาเลเซียกับบรูไน และ 3. ดินแดนซาบาหแ (Sabah) ระหวางมาเลเซียกับฟิลิปปินสแ กลุ่มที่ 2 เส้นเขตแดนทางบกในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งมี 4 กรณี ไดแก 1. เสนเขตแดนทางบกระหวางลาว กับกัมเวียดนาม 2. เสนเขตแดนตามแนวแมน้ําโขงระหวางลาวกับพมา 3. เสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับ กัมพูชา และ 4. เสนเขตแดนทางบกระหวางกัมพูชาและเวียดนาม รวมกรณีที่จะนํามาศึกษาในบทนี้ 3 จํานวนทั้งสิ้น 7 กรณี ดังแสดงไวในตารางที่ 3.1 และภาพที่ 3.1
ตารางที่ 3.1 กรณีศึกษาเสนเขตแดนทางบกระหวางประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเวนไทย) ที่ ประเด็น/พื้นที่พิพาท คู่พิพาท สถานะข้อพิพาท 1 เสนเขตแดนทางบกบนเกาะบอรแเนียว มาเลเซีย-อินโดนีเซีย ยังไมระงับ 2 ดินแดนลิมบัง (Limbang) มาเลเซีย-บรูไน ระงับชั่วคราว 16 มี.ค. 2009/2552 3 ดินแดนซาบาหแ (Sabah) มาเลเซีย-ฟิลิปปินสแ ยังไมระงับ 4 เสนเขตแดนทางบก ลาว-เวียดนาม ระงับแลว 1 มี.ค. 2533/1990 5 เสนเขตแดนตามแนวแมน้ําโขง ลาว-พมา ระงับแลว 11 มิ.ย. 2537/1994 6 เสนเขตแดนทางบก ลาว-กัมพูชา ยังไมระงับ 7 เสนเขตแดนทางบก กัมพูชา-เวียดนาม ยังไมระงับ
31
ภาพที่ 3.1 แผนที่แสดงกรณีศึกษาเสนเขตแดนทางบกระหวางประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเวนไทย) 32
3.1 เส้นเขตแดนทางบกบนเกาะบอร์เนียว (Borneo)
เกาะบอรแเนียว (Borneo) มีพื้นที่ประมาณ 743,330 ตารางกิโลเมตร เป็นเกาะที่มีขนาดใหญที่สุดใน เอเชียตะวันออกเฉียงใตและใหญเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากเกาะกรีนแลนดแ (Greenland) และ เกาะ นิวกีนี (New Guinea) เกาะบอรแเนียวเป็นที่ตั้งของดินแดน 3 ประเทศ ไดแก อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน โดยพื้นที่ทั้งหมดของเกาะบอรแเนียวทอดตัวครอมอยูบนเสนศูนยแสูตร อินโดนีเซียเรียกชื่อเกาะนี้วา กาลิมันตัน (Kalimantan) โดยเป็นที่ตั้งของเขตปกครอง 5 จังหวัดอยูทาง ตอนใตกับตะวันออกของเกาะ ในขณะที่มาเลเซียมีอาณาเขตปกครอง คือ รัฐซาบาหแ (Sabah) และรัฐซาราวัก (Sarawak) ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือและชายฝั่งตะวันออก สวนบรูไนครอบครองพื้นที่ เล็กที่สุดซึ่งเป็นอาณาเขตของทั้งประเทศ ประชากรรวมของ 3 ประเทศ บนเกาะบอรแเนียวมีทั้งหมดประมาณ 20 ลานคน (ขอมูลปี 2553/2010) โดยมีอัตราความหนาแนนของประชากรอยูที่ 21.25 คนตอตารางกิโลเมตร ประกอบดวยชาติพันธุแตางๆ ไดแก มาเลยแ (Malays) จีน (Chinese) บันจารแ (Banjar) บูกิส (Bugis) ชวา (Javanese) ดายัก (Dayak) และ กาดา ซาน-ดูซุม (Kasazan-Dusum)
ตารางที่ 3.2 แสดงเขตปกครองของ 3 ประเทศในเกาะบอรแเนียว อินโดนีเซีย จังหวัด (Province) กาลิมันตันตะวันตก (West Kalimantan/Kalimantan Barat) กาลิมันตันกลาง (Central Kalimantan/Kalimantan Tengah) กาลิมันตันใต (South Kalimantan/Kalimantan Selatan) กาละมันตันตะวันออก (East Kalimantan/Kalimantan Timur) กาลิมันตันเหนือ (North Kalimantan/Kalimantan Utara) มาเลเซีย รัฐ (State) ซาบาหแ (Sabah) ซาราวัก (Sarawak) ดินแดนสหพันธแ (Federal Territories) ลาบวน (Labuan) บรูไน อําเภอ (District) เบอลาอิท (Belait) บรูไน และ มูอารา (Brunei dan Muara) เติมบูรอง (Temburong) ตูตอง (Tutong)
33
ภาพที่ 3.2 แผนที่แสดงเขตปกครองของ 3 ประเทศในเกาะบอรแเนียว (ที่มา: http://bit.ly/1I105tC)
34
ภาพที่ 3.3 แผนที่แสดงเสนเขตแดนบนเกาะบอรแเนียว (ที่มา: Prescott, J.R.V., H. J. C., D.F. Prescott, Frontiers of Asia and Southeast Asia (Vitoria: Melbourne University Press, 1977), p.91)
35
ประวัติศาสตร์ เมื่อตนคริสตแศตวรรษที่ 17 มีการเดินทางเขามาของชาวดัตชแ (Dutch) หรือ เนเธอรแแลนดแ (Netherland) โดยไดสถาปนาดินแดนอาณานิคมขึ้นเป็นครั้งแรกบนชายฝั่งทางใตของเกาะบอรแเนียว ตอมา อังกฤษจึงเริ่มมีความสนใจดินแดนบอรแเนียวในชวงคริสตแทศวรรษที่ 1840 เจมสแ บรูก (James Brooke) เดินทางมาถึงเกาะแหงนี้ และไดรับดินแดนซาราวักเป็นรางวัลตอบแทนจาก สุลตาน โอมารแ อาลี ไซฟุดดิน ที่ 2 (Sultan Omar Ali Saifuddin II) สุลตานแหงบรูไน เมื่อปี 2385/1842 หลังจากที่เจมสแ บรูก สามารถจัดการ ปัญหาการกอกบฎใหสงบลงได ซึ่งในขณะนั้นองคแสุลตานแหงบรูไนทรงเป็นผูมีพระราชอํานาจปกครองดินแดน ที่เป็นบรูไน ซาบาหแ และซาราวัก เนื่องจากพระองคแทรงประสบกับความยากลําบากในการเก็บภาษีจากราษฎร ทําใหอํานาจของสุลตานเริ่มเสื่อมถอยลงมาตั้งแตชวงกลางคริสตแศตวรรษที่ 17 วิกฤติการณแดังกลาวไดทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังปี 2424/1881 เมื่อบริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษ (British North Borneo Company) ซึ่งไดรับพระราชทานตราตั้งจากรัฐบาลแหงสหราชอาณาจักร (Great Britain) เริ่มขยายอิทธิพลไปทั่วดินแดนซาบาหแ อาณาเขตของบรูไนจึงถูกเฉือนออกไปกลายเป็นซาราวัก และ บริษัทไดขยายอํานาจออกไปยังพื้นที่ตางๆ ทําใหประสบความสําเร็จในการครอบครองดินแดนกวางขวาง ออกไปมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการซื้อดินแดนเพิ่มเติมคือ เมืองเตอรูซาน (Terusan) ในปี 2487/1884 และ เมืองลิมบัง (Limbang) ในปี 2493/1890 ทําใหอาณาเขตของบรูไนตกอยูทามกลางวงลอมของซาราวัก เสนเขตแดนทางทิศตะวันตกของบรูไนเป็นไปตามสันปันน้ําเกือบตลอดทั้งแนว และบางสวนของเสนเขต แดนถูกลากไปทางทิศตะวันตกตามแนวลําแมน้ําลิมบัง (Limbang River) และตามลักษณะของภูมิประเทศที่ เป็นสันเขาและปรากฏเสนสันปันน้ําที่ชัดเจน โดยมีความสูงประมาณ 1,285 เมตร เสนเขตแดนทางตะวันออก ของบรูไนถูกกําหนดใหเป็นไปตามลําแมน้ําเปินดารูอัน (Pendaruan River) ทางทิศตะวันออกของเมืองลิมบัง และแนวสันปันน้ําทางทิศตะวันตกของเมืองเตอรูซาน (Terusan)25 อํานาจของอังกฤษในบอรแเนียว ไดรับการรับรองเมื่อมีการตั้ง “ดินแดนในอารักขา (Protectorate)” ไดแก ซาราวัก บรูไน และ บอรแเนียวเหนือ (North Borneo หรือ ซาบาหแ) ขึ้นในปี 2431/1888 โดยมีการ เจรจาเรื่องเสนเขตแดนกับสเปนซึ่งในขณะนั้นครอบครองดินแดนในหมูเกาะซูลูทางหนึ่ง และมีการเจรจากับ ดัตชแซึ่งอางการครอบครองดินแดนสวนที่เหลือของเกาะบอรแเนียวอีกทางหนึ่ง อังกฤษกับดัตชแสามารถบรรลุขอตกลงเรื่องเสนเขตแดนระหวางกันไดเมื่อ 20 มิถุนายน 2434/1891 แม ความตกลงฉบับเดิมระหวาง บารอน เดอ โอเวอรแเบ็ค (Baron de Overbeck) และ อัลเฟร็ด เดนทแ (Alfred Dent) กับองคแสุลตานแหงบรูไน เมื่อ 29 ธันวาคม 2420/1877 ซึ่งระบุวาแมน้ําเซอบูกู (Sebuku River) เป็น เสนเขตแดนทางใตสุดริมชายฝั่ง แตเจาหนาที่ของบริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษไมสามารถเขาถึงพื้นที่ ดังกลาวไดกอนเนเธอรแแลนดแ เนื่องจากการรุกเขาไปยังพื้นที่ตอนใตจากทางสันดากัน (Sandakan) ถูกกีดกัน โดยโจรสลัดในอาวดารแเวล (Darvel Bay) ทําใหฝุายดัตชแใชประโยชนแจากสถานการณแดังกลาวในการขยาย อํานาจของตนขึ้นไปทางเหนือ รัฐบาลของทั้งสองตกลงที่จะเริ่มตนกําหนดเสนเขตแดนบนชายฝั่งที่พิกัดละติจูด 4 องศา 10 ลิปดา เหนือ และเสนละติจูดดังกลาวก็ถูกใชในการแบงเสนเขตแดนบนเกาะเซอบาติก (Sebatik Island) ทางตะวันออกของบอรแเนียวดวย บริเวณชายฝั่ง เสนเขตแดนถูกลากตอไปบนเขตแผนดินบนเกาะตามแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทําให แมน้ําสิเมิงงาริส (Simengaris River) อยูในเขตแดนบอรแเนียวของดัตชแ (Dutch Borneo) จากตําแหนงจุดตัด
25 ดูเพิ่มเติมใน Tarling, N. Britain. The Brookes and Brunei (Kuala Lumpur, 1971) และ Wright, L. R. The origins of British Borneo (Hong Kong, 1970) อางใน J.R.V. Prescott, H. J. C., D.F. Prescott. Frontiers of Asia and Southeast Asia (Vitoria: Melbourne University Press, 1977), p.90. 36
ระหวางละติจูดที่ 4 องศา 20 ลิปดา เหนือ กับลองจิจูดที่ 117 องศา ตะวันออก เสนเขตแดนเหวี่ยงไปทาง ตะวันตกผานเทือกเขาซึ่งแยกลําน้ําใหไหลลงสูชายฝั่งซาราวักและซาบาหแ แลวจึงลากตอไปจนสุดทางทิศใตและ ทิศตะวันตกของเกาะบอรแเนียว แตคํานิยามที่ใหถือเอาแนวสันปันน้ําหลักที่ลากขนานไปตามเสนละติจูดที่ 4 องศา 20 ลิปดา เหนือ ทํา ใหเกิดความสับสน ตามขอความที่ระบุวา “...ในกรณีของแมน้ําสิเมิงงาริส (Simengaris River) หรือแมน้ําอื่นที่ ไหลลงสูทะเลต่ํากวาละติจูด 4 องศา 10 ลิปดา ซึ่งถูกพบในการสํารวจที่ไหลขามผานเสนเขตแดนที่เสนอไว ภายในรัศมี 5 ไมลแบก (8 กิโลเมตร) เสนเขตแดนจะถูกเบี่ยงออกเพื่อครอบคลุมสวนเล็กตางๆ หรือตามแนวโคง ของแมน้ําตางๆ ภายในอาณาเขตของดัตชแ; ความยินยอมเดียวกันกระทําโดยรัฐบาลเนเธอแลนดแ...”26 ความไม ชัดเจนดังกลาวเกิดขึ้นเพราะเหตุผลที่วาแมน้ําตางๆ นั้น หมายถึงอะไรกันแน ระหวางแมน้ําที่ไหลขามผานเสน เขตแดนแตมีแหลงตนน้ําอยูภายในรัศมี 5 ไมลแ (8 กิโลเมตร) หรือ แมน้ําที่ไหลขามผานเสนเขตแดนแตมีความ ยาวนอยกวา 5 ไมลแ (8 กิโลเมตร) จุดปลายสุดทางตะวันตกของเสนเขตแดนระหวางอังกฤษกับดัตชแ คือ จุดดาตู (Point Datu) ซึ่งเป็นจุด สังเกตที่รูจักกันเป็นอยางดีบนชายฝั่ง เสนเขตแดนตามแนวสันปันน้ํานี้ถูกระบุโดยความเชื่อทางภูมิศาสตรแ เนื่องจากยังไมมีการสํารวจทางเดินของแมน้ําสายตางๆ ซึ่งมีตนกําเนิดบนภูเขาอยางจริงจัง ในปี 2448/1905 เกิดความขัดแยงเล็กนอยระหวางดัตชแและเจาหนาที่ของบริษัทบอรแเนียวเหนือของ อังกฤษ เกี่ยวกับแนวเสนเขตแดนที่อยูใกลชายฝั่ง เจาหนาที่ของบริษัทเชื่อวาเสนเขตแดนเป็นไปตามละติจูดที่ 4 องศา 10 ลิปดา เหนือ ถึงตะวันตกกอนที่จะลากเสนใหเลี้ยวไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจนถึงบริเวณจุดตัด ระหวางละติจูดที่ 4 องศา 20 ลิปดา เหนือ กับลองจิจูดที่ 117 องศา ตะวันออก ในขณะที่ฝุายดัตชแคัดคานวา เสนเขตแดนควรจะตัดผานแมน้ําสิเมิงงาริส (Simengaris) ใกลกับบริเวณชายฝั่ง และยืนยันวาปัญหานี้ควรจะ เป็นที่ชัดเจนและยุติไปแลวในการเจรจาเมื่อปี 2434/1891 ซึ่งในที่สุดรัฐบาลอังกฤษก็เห็นดวยกับผูแทนฝุาย ดัตชแและบริษัทก็มีมติวาขอความที่กําหนดเสนเขตแดนของทั้งสองฝุายนั้นสอดคลองกัน เสนเขตแดนจากชายฝั่งตะวันออกไปจนถึงภูเขาโมเอลโลก (Moeloek Mountain) ซึ่งมีการปักปันเขต แดน (demarcation) ระหวางปี 2455/1912 – 2456/1913 โดยรายละเอียดอยูในความตกลงฉบับเมื่อ 28 กันยายน 2458/1915 และเสนเขตแดนก็ถูกวาดลงบนแผนที่แนบทายมาตราสวน 1:500,000 แผนที่แนบทาย ความตกลงดังกลาวแสดงเสนเขตแดน 2 เสน ความยาว 8 กิโลเมตร ทางทิศเหนือและทิศใตของเสนพิกัดซึ่ง ระบุไวในอนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) ปี 2434/1891 ทําใหเป็นขอพิสูจนแที่ชัดเจนวา คณะกรรมการปักปันเขตแดนใหความสําคัญกับแหลงตนน้ําของแมน้ําที่ไหลขามผานเสนเขตแดน การตีความ เสนเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนซึ่งมีแมน้ําใหญขามผานเสนละติจูดที่ 4 องศา 20 ลิปดา แตมี แหลงตนน้ําอยูในรัศมีมากกวา 8 กิโลเมตร จากพิกัดดังกลาวไมมีความสอดคลองกัน และจะตองถูกสันนิษฐาน วามีความยินยอมจากทั้งสองฝุาย หลักเขตแดนถูกสรางขึ้นและปักลงบนเสนละติจูดที่ 4 องศา 20 ลิปดา เหนือ บนตลิ่งของแมน้ําเปินเซียงงัน (Pensiangan River) อากิซัน (Agisan River) และเซอรแบูดา (Sebuda River)
26 ภาษาอังกฤษเขียนวา “...in the event of the Simengaris River or any other river flowing into the sea below 4°10‖, being found on survey to cross the proposed boundary within a radius of 5 geographical miles [8 km], the line shall be diverted so as to include such small portions or bends of rivers within Dutch territory; a similar being made by the Netherland Government....” United Kingdom, Foreign Office. British and Foreign State Papers Vol.83 (London: H.M.S.0., 1891-1892), p.42. อางใน J.R.V. Prescott, H. J. C., D.F. Prescott. Ibid. 37
สนธิสัญญากําหนดเสนเขตแดนระหวางอังกฤษกับดัตชแฉบับที่ 3 ซึ่งถือวาเป็นฉบับสุดทายลงนามไปเมื่อ 26 มีนาคม 2471/1928 ซึ่งเป็นการกําหนดเสนเขตแดนความยาวประมาณ 30 กิโลเมตร ระหวางยอดเขาอาปี (Api Peak) กับยอดเขารายา (Raya Peak) เสนเขตแดนสวนนี้ถูกลากออกไปทางเหนือผานจุดปลายสุดทาง ตะวันตกและตัดขามผานไปยังบริเวณเทือกเขาต่ําที่มีแกนวางไปตามแนวตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตก เฉียงใต สันปันน้ําระหวางแมน้ําบางสายซึ่งทอดตัวไปตามแนวชายฝั่งจากตะวันออกไปตะวันตกของจุดดาตู (Point Datu) อยูคอนขางต่ํา และดูเหมือนวาการลากเสนดังกลาวออกไปทางตะวันตกตามแนวหุบเขาจะทําให เกินออกไปจากแนวสันปันน้ํา ซึ่งนาจะเป็นคําอธิบายที่ดีที่สุดในการยกดินแดนประมาณ 100 ตารางกิโลเมตร โดยเนเธอรแแลนดแบนเขตหุบเขาเซอปารัน (Separan Valley) และเบอรูนาส (Berunas Valley) เสนเขตแดน ดังกลาว มีการทําหลักเขตแดนเอาไวโดยเป็นเสาไม 15 ตน และเสาคอนกรีต 4 ตน และระบุตําแหนงของหลัก เขตเหลานี้เอาไวบนแผนที่มาตราสวน 1:50,00027
27 J.R.V. Prescott, H. J. C., D.F. Prescott. Ibid. 38
3.2 เส้นเขตแดนทางบกบนเกาะบอร์เนียวระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย
เสนเขตแดนทางบกบนเกาะบอรแเนียวระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซีย มีความยาวประมาณ 1,781.5 กิโลเมตร ถูกกําหนดขึ้นโดยความตกลงระหวางอังกฤษกับเนเธอรแแลนดแ หรือ Anglo–Dutch Agreements ฉบับตางๆ ในยุคอาณานิคม โดยมีพื้นที่ปักปัน 2 สวน คือ พื้นที่ซึ่งมีลําธารหลายสายไหลผานแนวชายแดน ระหวางรัฐซาบาหแ (Sabah) ของมาเลเซีย กับ กาลิมันตันเหนือ (North Kalimantan/Kalimantan Utara) ของอินโดนีเซีย และ พื้นที่ทางทิศตะวันตกเฉียงใตของเมืองกูชิง (Kuching) รัฐซาราวัก (Sarawak) ของ มาเลเซีย ซึ่งใชแมน้ําสายเล็กๆ เป็นเสนเขตแดน กับ กาลิมันตันตะวันตก (West Kalimantan/Kalimantan Barat) ของอินโดนีเซีย โดยมีรายละเอียดดังนี้ เสนเขตแดนทางบกระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซียเริ่มตนจากบริเวณชายฝั่งตะวันออกที่พิกัดละติจูด 4 องศา 10 ลิปดา เหนือ ตั้งแตบริเวณเกาะเซอบาติก (Pulau28 Sebatik) ซึ่งถูกแบงครึ่งโดยการลากเสนเขตแดน ไปทางตะวันตกผานพื้นที่ทะเลที่คั่นระหวางเกาะเซอบาติกกับแผนดินใหญของเกาะบอรแเนียว แลวลากตอไปใน ลักษณะคดเคี้ยวตามเสนมัธยะ (Median line) ของชองตัมโบ (Troesan Tamboe) และชองสิกาปัล (Troesan Sikapal) จนถึงเทือกเขาสิกาปัล (Sikapal Mountain) ซึ่งทําใหเกิดสันปันน้ําระหวางแมน้ําเซอรู ดอง (Serudong) กับแมน้ําสิเมิงงาริส (Simengaris) เสนเขตแดนเป็นไปตามแนวสันปันน้ําโดยลากตอไปทาง ทิศตะวันตกจนถึงพิกัดที่ลองจิจูด 116 องศา 49.9 ลิปดา ตะวันออก ผานแมน้ําเซอโบดา (Seboeda River) จากนั้นเสนเขตแดนเป็นไปตามแนวสันปันน้ําทางทิศตะวันตกที่พิกัดลองจิจูด 116 องศา 42.3 ลิปดา ตะวันออก บริเวณแมน้ําอากิซาน (Agisan River) ซึ่งเป็นสาขาของแมน้ําเซอโบดา (Seboeda River) และ บริเวณที่แมน้ําแยกออกเป็นลําน้ําสาขานี้เอง เสนเขตแดนคดเคียวไปตามลําน้ําสาขาทางทิศตะวันตกจนถึงพิกัด ที่ลองจิจูด 116 องศา 26.2 ลิปดา ตะวันออก ตรงบริเวณแมน้ําปันเจียงงัน (Pantjiangan River) ซึ่งเป็นแมน้ํา สายบนของแมน้ําเซมบาโกง (Sembakoeng River) ทําใหเกิดบริเวณที่แมน้ําทั้ง 3 สายมาบรรจบกัน โดยมีการ สรางหลักหมายเขตแดนเป็นสัญลักษณแแสดงเอาไวดวย จากนั้นเสนเขตแดนลากตอเนื่องไปทางทิศตะวันตกบรรจบกับแมน้ําเซไซ (Sesai River) ที่พิกัดลองจิจูด 116 องศา 09 ลิปดา ตะวันออก โดยพิกัดลองจิจูดที่กลาวมาทั้ง 4 จุดนี้ เป็นไปตามที่ระบุไวในความตกลง อังกฤษ-ดัตชแ (Anglo–Dutch Agreements) ซึ่งกําหนดใหเสนเขตแดนตัดผานกับเสนละติจูดที่พิกัด 4 องศา 20 ลิปดา เหนือ และจากบริเวณจุดพิกัดของแมน้ําเซไซ (Sesai River) เสนเขตแดนลากตอไปตามแนวสันเขาซึ่ง เป็นแนวเดียวกับสันปันน้ํามีความยาวรวมประมาณ 1,287.5 กิโลเมตร อยางไรก็ตาม ยังไมมีการศึกษาขอมูล และรายละเอียดของตําแหนงแนวสันปันน้ําที่ชัดเจน ตอมาทางตะวันตกเฉียงใตของกูชิง (Kuching) แนวสันปัน น้ําแบงยอดเขาอาปี (Api Peak) กับยอดเขาราชา (Raja Peak) เป็นแนวเสนตรงตอเนื่องเป็นระยะทาง 22 กิโลเมตร จากจุดนี้เสนเขตแดนลากผานตอไปยังพื้นที่สลับซับซอนทั้ง เสนตรง ทางเดินเทา ลําธาร สันปันน้ํา และ เสนแบงยอดเขา เสนเขตแดนที่ลากไปตามลําธารถูกกําหนดไวบนฝั่งขวาของแนวลําธาร หลักหมายเขต แดนทั้งที่ทําจากไมและคอนกรีตถูกปักเอาไวตามจุดที่สําคัญๆ ตามแนวเสนเขตแดน เสนเขตแดนบริเวณนี้วัด ความยาวไดประมาณ 32 กิโลเมตร บนจุดสูงสุดของยอดเขาอาปี (Api Peak) เสนเขตแดนลากตอไปตามแนว สันปันน้ําอีกประมาณ 125.5 กิโลเมตร ตามทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จากนั้นก็ลากตอขึ้นไปทางเหนือจนจรด ทะเลจีนใตที่เมืองตันจุงดาตู (Tandjung Datu) ดูภาพที่ 3.4
28 Pualu เป็นภาษามาเลยแ (malay) แปลวา เกาะ (island) 39
ภาพที่ 3.4 แผนที่แสดงเสนเขตแดนบนเกาะบอรแเนียว ระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซีย (ที่มา: International Boundary Study, Florida State University College of Law เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2555/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1Nu7h5o)
40
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เกาะบอรแเนียวเป็นเกาะที่เกือบถูกแบงครึ่งโดยเสนศูนยแสูตร คําวา บอรแเนียว (Borneo) เป็นการออก เสียงโดยชาวตะวันตก มาจากคําวา บรูไน (Brunei) ซึ่งเป็นชื่อของรัฐสุลตานผูมีอํานาจปกครองดินแดนบน เกาะบอรแเนียว พื้นที่ 3 สวนทางตอนเหนือของเกาะบอรแเนียวเป็นที่ตั้งของ ประเทศบรูไน (Brunei) กับ ดินแดนรัฐซาราวัก (Sarawak) และ ซาบาหแ (Sabah) หรือ บอรแเนียวเหนือ (North Borneo) ของมาเลเซีย สวนพื้นที่ขนาด 2 ใน 3 ทางตอนใตเป็นสวนหนึ่งของสาธารณรัฐอินโดนีเซียเรียกวา กาลิมันตัน (Kalimantan) โดยพื้นที่ตามแนวชายแดนระหวางประเทศมาเลเซียกับอินโดนีเซียบนเกาะบอรแเนียวนี้ มีลักษณะทาง ภูมิศาสตรแเป็นเทือกเขาซึ่งทอดตัวตามแนวตะวันออก-ตะวันตก โดยมีความสูงแตกตางกันไปตามลักษณะของ การกอตัวของพื้นดิน โดยยอดเขาสูงที่สุดคือ โมโรด (Moeroed Peak) มีความสูง 2,159 เมตร อยูใกลกับ บริเวณจุดบรรจบกันของสามดินแดน (tripoint) คือ ซาบาหแ-ซาราวัก-กาลิมันตัน นอกจากนี่ยังมีเทือกเขาบาวัง (Bawang) ในพื้นที่ทางตะวันตกของชายแดนซึ่งมีความสูงไมมากและไม คอยมีความตอเนื่องนัก โดยมีแนวชองเขาอยูระหวางตนแมน้ําซาดอง (Sadoeng) กับแมน้ํากาปอส (Kapoeas) ทางทิศตะวันออกเฉียงใตของเมืองกูชิง (Kuching) พื้นที่ราบตามแนวชายฝั่งทางทิศตะวันตกทําให เกิดชองทางที่สามารถเดินขามไปมาหากันไดระหวางแมน้ําซัมบาส (Sambas) กับแมน้ําซาราวัก (Sarawak) สวนพื้นที่บริเวณตอนกลางมีภูมิประเทศเป็นแนวสันเขาและหุบเขาที่มีความตอเนื่องเป็นแนวยาว มีลักษณะ ภายในเป็นภูเขาหินแกรนิตแตภายนอกมีลักษณะเป็นพื้นผิวหินทรายและหินชนวน ทําใหยอดเขามีความโคงมน เนื่องจากคุณสมบัติของหินอัคนี ในขณะบริเวณที่เป็นหินทรายและหินชนวนจะมีลักษณะกัดเซาะกลายเป็นหุบ เขาลึก และคอนขางลาดชัน พื้นที่ทางทิศตะวันออก มีความสูงลดลงเนื่องจากเป็นแนวชายฝั่งทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) แตก็มีลักษณะเป็นพื้นที่แคบและเล็กไมตอเนื่องกันเทาไหรนัก29 ภูมิอากาศของเกาะบอรแเนียวเป็นแบบเขตรอนชื้น (tropical) โดยบริเวณที่ราบลุมจะมีอากาศรอนและมี ความชื้นมาก มีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตามฤดูกาลเล็กนอย โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยูที่ประมาณ 26 องศาเซลเซียส การเพิ่มขึ้นของระดับความสูงของภูมิประเทศมีผลตอการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเล็กนอย หรือแทบจะไมเปลี่ยนแปลงเลย ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากพื่นที่บนเกาะมีปริมาณน้ําฝนนอยกวา 2,500 มิลลิเมตร ตอปี ในขณะที่พื้นที่ตามแนวเทือกเขาอาจมีปริมาณน้ําฝนมากที่สุดราว 5,000 มิลลิเมตรตอปี เกาะบอรแเนียวมีฤดูแลงในชวงสั้นๆ เนื่องจากมีลมมรสุมพัดผานเขามาอยางสม่ําเสมอ ทําใหพืชพันธุแ ตางๆ มีความอุดมสมบูรณแเนื่องจากมีอุณภูมิและปริมาณน้ํามากเพียงพอ ทําใหมีพื้นที่ปุาฝนเขตรอนและปุา ชายเลนตามฝั่งแมน้ําและแนวชายฝั่งทะเล ซึ่งตนไมใหญอาจมีความสูงมากกวา 61 เมตร และมีตนไมชนิด เดียวกันปกคลุมอยูตามพื้นที่ตางๆ เชน พื้นที่ซึ่งมีความสูงมากกวา 914 เมตร ขึ้นไป จะพบพืชตระกูลสนแคระ (a dwarf alpine) เป็นตน
29 U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Boundary. (International Boundary Study, No.45 of March 15, 1965), pp. 2-3. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1CC6xYt 41
ลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจ เกาะบอรแเนียวมีประชากรเบาบาง เมื่อเทียบกับหมูเกาะใกลเคียง เชน ชวา (Java) เซเลเบส (Celebes) และสุมาตรา (Sumatra) ประชากรบนเกาะบอรแเนียวอาศัยอยูหนาแนนตามแนวชายฝั่ง โดยเฉพาะอยางยิ่ง บริเวณปากแมน้ําสําคัญๆ รองลงมาคือพื้นที่บริเวณหุบเขา สวนพื้นที่ลึกเขาไปในตอนกลางของเกาะไมคอยมี ประชากรเขาไปอาศัยตั้งรกรากมากนัก ยกเวนฝั่งตะวันตกของเกาะบริเวณริมฝั่งแมน้ําซาดอง (Sadoeng) และ แมน้ํากาปอส (Kapoeas) ประชากรตามแนวชายฝั่งสวนใหญเป็นชาวมาเลยแ (Malays) จากชวาและสุมาตรา มีประชากรเชื้อสาย จีนอพยพเขามาตั้งรกรากเพื่อทํางานในเหมืองทองซัมบาส (Sambas) นอกจากนี้ยังมีชาวดายัก (Dayak) อาศัย รวมอยูดวย ชาวจีนอาศัยมักตั้งบานเรือนอยูในพื้นที่ของชุมชนเมืองรวมกับชาวมาเลยแ ในขณะที่ชาวดายักตั้งถิ่น ฐานอยูในพื้นที่ชนบท อาชีพหลักคือทําเกษตรกรรม เชน ปลูกขาว ปลูกพืชไร มะพราว เครื่องเทศ เชน พริกไทย และทําสวนยาง เคยมีการทําไรขนาดใหญที่เรียกวา แพลนเตชั่น (plantation) แตเนื่องจากปัญหา การขาดแคลนแรงงาน จึงทําใหมีปริมาณลดนอยลงมากในปัจจุบัน ปัญหาใหญที่สุด คือ คุณภาพของดินที่ขาด ความอุดมสมบูรณแ และสภาพภูมิอากาศที่มีอุณหภูมิสูง ปริมาณน้ําฝนมาก ทําใหเกิดการชะลางของหนาดิน อยางรวดเร็ว ทําใหปริมาณแรธาตุในดินลดนอยลง และยังมีสัดสวนของดินลูกรังมาก ตรงขามกับพื้นที่ในชวา และสุมาตรา บนเกาะบอรแเนียวไมมี ภูเขาไฟมีพลัง (active volcanoes) ที่มีเถาถานหรือลาวาซึ่งจะสามารถ เติมความอุดมสมบูรณแใหคุณภาพดินได แตก็มีพื้นที่ดินตะกอนบางแหงที่เกิดจากแมน้ําทําใหพอที่จะเติมแรธาตุ ในดินไดบาง ประชากรที่อาศัยอยูพื้นที่ตอนกลางของเกาะ เป็นกลุมชาติพันธุแและชนเผาดั้งเดิม เชน บางชนเผาเคย เป็นพวกลาหัวมนุษยแ (head-hunting) ซึ่งในปัจจุบันไดเลิกประเพณีเหลานี้ไปหมดแลว แตก็ยังคงวิถีชีวิตดั้งเดิม แบบไลลาหาเก็บ (hunting and gathering) และมีการเพาะปลูกเล็กๆ นอยๆ และจะโยกยายที่อยูไปเรื่อยๆ หลังจากทรัพยากรลดนอยลง
ประวัติศาสตร์ เมื่อชาวยุโรปเดินทางเขามายังดินแดนเกาะบอรแเนียว มีความพยายามที่จะตั้งถิ่นฐานบนเกาะแตก็ไม ประสบความสําเร็จ ในจํานวนนี้ มีชาวโปรตุเกส สเปน ดัตชแ และอังกฤษ โดยทั้งหมดพยายามที่จะเขายึดครอง ความร่ํารวยของดินแดนแหงนี้ดวยวิธีการตางๆ แตการตอสูปะทะกับชนเผาพื้นเมืองดั้งเดิม รวมทั้งความ โหดรายของสภาพภูมิอากาศเป็นอุปสรรคขัดขวางแผนการของพวกเขา ชาวดัตชแไดกอตั้งโรงงานขึ้นที่บันเจอรแ มาซิน (Bandjermasin) บนชายฝั่งทางใตในปี 2146/1603 แตก็ตองปิดตัวลงในอีกสี่ปีตอมา เมื่อเกิดคดี ฆาตกรรมพนักงานของโรงงาน ความพยายามครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี 2178/1635 แตก็ลมเหลวภายในสามปี ตอมา ในปี 2241/1698 ชาวดัตชแไดรับความชวยเหลือจากพระราชาของบันตัม (Bantam) แหงชวา (Java) ในชวงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อสนับสนุนการคาแบบจํากัดภายในเกาะบอรแเนียว หลังจากนั้นก็มีความพยายามที่จะ เขามาตั้งฐานของชาวดัตชแอีกหลายตอหลายครั้ง แตเนื่องจากการลงทุนในเกาะบอรแเนียวมีคาใชจายที่สูงมาก แตผลตอบแทนคอนขางนอย ทําใหรัฐบาลเนเธอรแแลนดแมีคําสั่งใหยกเลิกความคิดที่จะตั้งถิ่นฐานบนเกาะ บอรแเนียวในปี 2240/1797 แนวคิดของขาราชการอาณานิคมดัตชแตอบอรแเนียวนั้น คอนขางสัมพันธแกับอํานาจ ของชวา เกาะบอรแเนียวจึงเปรียบเหมือนเมืองหนาดานที่อยูภายใตอิทธิพลของชวาอยูแลว ซึ่งเป็นประโยชนแตอ การคาอยางมาก โดยเป็นเสมือนแนวปูองกันการุกรานของศัตรูที่จะบุกเขามายังพื้นที่การตั้งถิ่นฐานหลักของ ดัตชแบนเกาะชวา ดังนั้น ชายฝั่งทางตอนใตของเกาะบอรแเนียวซึ่งอยูใกลเกาะชวามากกวาจึงมีความนาสนใจ สําหรับดัตชแ 42
นอกจากนี้ยังมีชาวยุโรปอีกฝุายหนึ่งนั่นคือ อังกฤษ ซึ่งมีความคิดวาเกาะบอรแเนียวนาจะสามารถใชเป็น สถานีการคาของตนจากอินเดียไปยังจีนได โดยการเดินเรือในชวงฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใตไปยังประเทศจีนจะ ใชเสนทางจากชองแคบมะละกาและทะเลจีนใตผานทางทิศตะวันตกของเกาะบอรแเนียว อยางไรก็ตาม ในชวง ฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ตุลาคมถึงเมษายน) เสนทางนี้ไมสามารถเดินทางได ทําใหเสนทางเดินเรือ เปลี่ยนไปใชเสนทางทางทิศใตและตะวันออกของเกาะบอรแเนียว แมวาจะมีเรือที่ใชพลังงานจากเครื่องยนตแไอ น้ําแลว อังกฤษก็ยังคงความคิดที่จะยึดเกาะบอรแเนียวมาเป็นจุดแข็งบนเสนทางการคาดังกลาว เป็นผลให อังกฤษเขาไปยังดินแดนสวนสําคัญที่สุดของเกาะ คือ ชายฝั่งทางเหนือซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณกวางขวางและมีอาว ซึ่งสามารถวางกองกําลังคุมกันไดอยางแนนหนา ในสงครามนโปเลียนฝุายอังกฤษสามารถเอาชนะกองทัพเรือ ของฝุายดัตชแได จึงเขายึดกิจการของเนเธอรแแลนดแในหมูเกาะอินเดียตะวันออก หลังจากไมมีการแขงขันจาก ฝุายดัตชแแลว อังกฤษจึงเขาไปตั้งโรงงานบนเกาะบอรแเนียว แตกิจการเหลานั้นไมประสบความสําเร็จเทาที่ควร เนื่องจากขาดความรวมมือจากผูนําทองถิ่นที่เป็นชาวพื้นเมือง รวมทั้งเกิดภาวะขาดแคลนแรงงานดวย จากขอกําหนดของอนุสัญญาปี 2357/1814 บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ (British East India Company) ตองโอนคืนการบริหารจัดการหมูเกาะอินเดียตะวันออกใหแกประเทศเนเธอรแแลนดแ ฝุายดัตชแจึง ดําเนินการกอบกูสิทธิดั้งเดิมของตนในดินแดนเกาะบอรแเนียวและเกาะอื่นๆ ที่อยูรายรอบ และสุลตานแหงบัน เจอรแมาซิน (Sultanate of Bandjermasin) ก็ประกาศยอมรับอํานาจของดัตชแทันที โดยสุลตานไดสละอํานาจ เหนือดินแดนตาตัส (Tatas) กวีน (Kween) และหัวเมืองตางๆ ที่เป็นดินแดนของชาวดายัก (Dayak provinces) จังหวัดเมินดาไว (Mendawai) ซัมปิต (Sampit) และโกตาวาริงงิน (Kota Waringin) รวมทั้ง ดินแดนทั้งหมดที่ขึ้นตรงตอสุลตาน เชน ซินตัง (Sintang) ลาไว (Lawai) เจไล (Djelai) บากอมไป (Bakoempai) ตาบานิโอ (Tabanio) ปาตากัน (Patagan) โปโล ลาโอท (Poeloe Laoet) ปาซิรแ (Pasir) โกไต (Koetei) เบอโรว (Berouw) และดินแดนอื่นๆ ดวยการยกดินแดนขนาดใหญใหแกชาวดัตชแ ทําใหบริษัทของ ฝุายอังกฤษที่ตั้งอยูในแถบชายฝั่งทางใตของเกาะบอรแเนียวกอนหนานี้ตองยายออกจากพื้นที่ เมื่อฝุายดัตชแได เขาควบคุมพื้นที่ทางตอนใตของเกาะบอรแเนียวแลว สุลตานแหงซัมบาส (Sultanates of Sambas) และ สุลตานแหงปอนติอานัก (Sultanates of Pontianak) จากชายฝั่งตะวันตกจึงแสดงความประสงคแที่จะรองขอ กองกําลังอารักขาจากฝุายดัตชแดวย การรองขอดังกลาวมีสาเหตุเนื่องมาจาก เกิดการปลนสะดมโดยกองโจร ชาวจีนที่เขามาตั้งถิ่นฐานในซัมบาส และมีการกระทําอันเป็นโจรสลัดตามแนวชายฝั่งเพื่อทาทายอํานาจของ ทหารดัตชแ อยางไรก็ตาม ดัตชแก็ถูกบังคับใหละทิ้งดินแดนทั้งหมดอีกครั้งในปี 2368/1825 เนื่องมาจากการกอ จลาจลของชาวชวา (Javanese Rebellion) แตหลังจากสถานการณแกลับสูภาวะปกติ ดัตชแไดดําเนินนโยบาย ดังเดิมคือการขยายอํานาจและอิทธิพลเหนือชาวพื้นเมืองดั้งเดิมในดินแดนแถบนี้ ตรงขามกับผลประโยชนแที่ ดัตชแไดจากดินแดนชวา บอรแเนียวไมคอยใหผลประโยชนแที่เป็นชิ้นเป็นอันสักเทาไหร ความกังวลหลักๆ ในชวง แรก ดูเหมือนจะอยูที่การกําจัดการอางสิทธิ์ของรัฐอื่นๆ การตั้งหลักแหลงถาวรครั้งแรกของอังกฤษบนเกาะบอรแเนียว เกิดขึ้นโดย เจมสแ บรูก (James Brooke) ซึ่งตอมาไดรับการยกยองใหเป็นราชาขาวแหงซาราวัก (The White Rajah of Sarawak) ในปี 2382/1839 เอาเขาจริงแลว เจมสแ บรูก เดินทางมาถึงเกาะแหงนี้โดยเดินทางสํารวจเป็นการสวนตัว แตรัฐบาลบรูไนไดรอง ขอใหเขาเขามาชวยปราบจลาจล โดยครั้งแรกเขาไมไดตกลงตามคํารองขอเนื่องจากยังติดภาระกิจสํารวจ เสนทางเดินเรืออยู แตในปีตอมาขณะที่เขาเดินทางกลับมายังเมืองกูชิง (Kuching) รัฐบาลบรูไนจึงไดรองขอ ความชวยเหลือจากเขาอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็ตกลงยอมรับงานปราบจลาจล ซึ่งทําใหเขากลายเป็นผูปกครอง รัฐซาราวักในปี 2385/1842 โดยมีอํานาจปกครองดินแดนตั้งแตเมืองตันจุง ดาตู (Tandjung Datu) จนถึง บริเวณปากแมน้ําซาดอง (Sadong River) 43
ในเบื้องตนฝุายเนเธอรแแลนดแไดทําการคัดคานการตั้งบริษัทของ เจมสแ บรูก แตหลังจากที่รัฐบาลอังกฤษ ประกาศอยางเป็นทางการวาไมมีความสนใจตอผลประโยชนแในรัฐซาราวัก เนเธอรแแลนดแจึงลดการคัดคาน บริษัทของเจมสแ บรูกลง แตทุกครั้งที่รัฐซาราวักทําการขยายดินแดนของตนใหเพิ่มมากขึ้น ฝุายดัตชแก็เกิดความ กังวลใจมากขึ้นดวย ฝุายดัตชแยังคงเฝูาดูดวยความสงสัยวาทางการอังกฤษใหการสนับสนุนเรือแก เจมสแ บรูก ในการปราบปรามการกระทําอันเป็นโจรสลัดของพวกดายักหรือไม และเพื่อขัดขวางการขยายอํานาจของเจมสแ บรูก ดัตชแจึงเริ่มขยายอิทธิพลของตนเองตามแนวชายฝั่งตะวันออกดวยการลงนามในสนธิสัญญาปูองกัน ดินแดนกับสุลตานในเมืองตางๆ เชน สุลตานโกไต (Koetei) สุลตานปาซีรแ (Pasir) สุลตานโบลองงัน (Boeloengan) สุลตานโกนอง ตาบอรแ (Goenong Taboer) และ สุลตานซัมบาลิออง (Sambalioeng) เชนเดียวกับอังกฤษที่ทําขอตกลงกับสุลตานของดินแดนตางๆ เชนเดียวกัน แตรัฐบาลอังกฤษที่ลอนดอนไมเคย ใหสัตยาบันในสนธิสัญญาตางๆ ที่ทําขึ้น จนกระทั่ง ในปี 2390/1847 สหราชอาณาจักรไดตกลงเจรจาใน สนธิสัญญากับสุลตานแหงบรูไน (Sultan of Brunei) โดยการแนะนําของเจมสแ บรูก เพื่ออนุญาตใหมีการตั้ง ถิ่นฐานของชาวอังกฤษบนเกาะลาบวน (Labuan Island) ในปี 2393/1850 อังกฤษไดเขายึดครองดินแดนทาง ตอนเหนือของเกาะบอรแเนียว จนเนเธอรแแลนดแตองจําใจยอมรับและทําใหตองเพิ่มความพยายามที่จะขยาย อํานาจของตนออกไปยังดินแดนอื่นๆ อีกเป็นสองเทา และอีก 9 ปีตอมาสุลตานแหงบันเจอรแมาซิน (Sultanate of Bandjermasin) ไดใชกําลังเพื่อตอตานการปกครองของดัตชแ ทําใหเกิดการปะทะกันและมีความสูญเสีย มากทั้งสองฝุาย จนกระทั่งการตอสูไดยุติลงในปี 2410/1867 โดยฝุายสุลตานตองพายแพและนําไปสูการเขา ยึดดินแดนอยางเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของฝุายดัตชแ และอีกหลายปีตอมารัฐบาลอาณานิคมที่ชวา (Java Government) ก็สามารถรวบรวมดินแดนทั่วทั้งตอนใตและฝั่งตะวันตกของเกาะบอรแเนียวเอาไวไดทั้งหมด โดยมีที่มั่นอยูที่เมืองบันเจอรแมาซิน (Bandjermasin) ในขณะเดียวกัน อังกฤษที่อยูในดินแดนซาราวักยังคงทําการขยายอิทธิพลอยางมาก จนทําใหอํานาจของ สุลตานแหงบรูไนออนกําลังลง ในปี 2396/1853 เสนเขตแดนทางทิศตะวันออกขยายออกไปจนถึงเมืองราจัง (Rajang) และในปี 2404/1861 ก็ขยายออกไปอีกจนถึงเมืองบินตูลู (Bintulu) และถึงเมืองบารัม (Baram) ใน ปี 2425/1882 นอกจากนี้ยังมีการขยายดินแดนออกไปอีกดวยวิธีการที่หลากหลาย เชน การยกให การผนวก ดินแดน และการซื้อดินแดน ไดแก ในปี 2427/1884 ดินแดนตรูซาน (Trusan) ในปี 2433/1890 ดินแดนลิม บัง (Limbang) และ ในปี 2447-2448/1904-1905 ดินแดนลาวาส (Lawas) ในชวงเวลาเดียวกันนี้ทางดาน ทิศเหนือ ฝุายสเปนก็พยายามที่จะยุติความขัดแยงอันยาวนานกับสุลตานแหงซูลู (Sultan of Sulu) โดย สุลตานแหงซูลู ถูกสเปนประกาศใหอยูภายใตการปกครองตั้งแต ปี 2181/1638 อยางไรก็ตาม ฝุายดัตชแรูดีวา การประกาศของสเปนเพียงฝุายเดียวไมไดมีผลในทางปฏิบัติแตอยางใด แตในปี 2394/1851 สุลตานแหงซูลูได ยอมรับอํานาจอธิปไตยของราชบัลลังกแสเปน และยุติการกระทําที่เป็นการลวงละเมิดอํานาจของสเปน ทางดาน ฝุายสุลตานแหงซูลู ในเวลาดังกลาวมีอํานาจอธิปไตยอยูจํากัดเฉพาะบริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของ เกาะบอรแเนียวเหนือตั้งแตเมืองโบลองงัน (Boeloengan) จนถึงอาวมารูดุ (Marudu Bay) และชายฝั่งตะวันตก เฉียงเหนือจนถึงแมน้ําปันดาซาน (Pandasan River) แตเนื่องจากการกระทําอันเป็นโจรสลัดของซูลูยังไมมีที ทาวาจะยุติลง ดังนั้น ในปี 2416/1873 สเปนจึงจัดกองทัพมาปิดลอมดินแดนของสุลตานแหงซูลู ซึ่งนําไปสู การประทวงรุนแรงจากผูประกอบการคาชาวอังกฤษที่สิงคโปรแ เกิดการบุกโจมตีเขาไปจนถึงในใจกลางเมือง โฮโล (Jolo) เมืองหลวงของซูลู จนในที่สุดฝุายสุลตานแหงซูลูก็ประกาศยอมแพ ในปี 2421/1878 ในชวงเสื่อมอํานาจของสุลตานแหงซูลูนี้เอง เริ่มมีผลประโยชนแมากขึ้นในบอรแเนียวเหนือ เนื่องจากมี บริษัทอเมริกันและบริษัทสก฿อตแลนดแพยายามที่จะเขามาสรางสถานีการคาแตก็ไมประสบความสําเร็จ ตั้งแตปี 2418/1875 บริษัทออสเตรีย (Austrian) ชื่อ โอเวอรแเบ็ค (Overbeck) ไดซื้อสัญญาเชาเกาะบอรแเนียวเหนือตอ 44
จากบริษัทอเมริกันการคา (The American Trading Company) โดยรวมกับ อัลเฟร็ด เดนทแ (Alfred Dent) ชาวอังกฤษที่ร่ํารวยและมีอิทธิพลมาก จนกระทั่งปี 2420/1877 พวกเขาจึงทําการเจรจาตอสัญญากับสุลตาน แหงบรูไน เกี่ยวกับดินแดนระหวางอาวกิมานิส (Kimanis Bay) กับแมน้ําเซอโบโก (Seboekoe) ทางดานทิศ ตะวันออกของเกาะบอรแเนียว โดยมีการชําระเงินเป็นรายปี เพื่อใหโอเวอรแเบ็ค (Overbeck) และอัลเฟร็ด เดนทแ (Alfred Dent) มีอํานาจเต็มในการปกครองดินแดนทั้งหมดของซาบาหแ โดยทั้งสองรูอยูวาสุลตานแหงซูลู ยังคงมีอิทธิพลอยูในดินแดนดังกลาว พวกเขาจึงทําการเจรจาตกลงที่จะจายเงินรายปีใหสุลตานแหงซูลูเชนกัน ดินแดนระหวางแมน้ําปันดาซาน (Pandasan River) ทางทิศตะวันตก และเมืองเซอโบโก (Seboekoe) ทาง ทิศตะวันออก มีการจายเงินประจําปี ปีละ 5,000 เหรียญ นับตั้งแตวันที่ 22 มกราคม 2421/1878 หรือ ประมาณ 6 เดือนกอนที่สเปนจะสามารถเอาชนะสุลตานแหงซูลูไดสําเร็จ อาณาเขตพื้นที่อยางนอย 77,700 ตารางกิโลเมตร เป็นของบริษัทของโอเวอรแเบ็ค (Overbeck) และอัลเฟร็ด เดนทแ (Alfred Dent) โดยทั้งคูพยายามรองขอความชวยเหลือจากประเทศในยุโรป แตรัฐบาล ออสเตรียปฏิเสธคํารองขอดังกลาวทําใหบริษัทโอเวอรแเบ็ค (Overbeck) ถอนตัวออกจากหุนสวนทันที ในปี 2422/1879 ขณะที่รัฐบาลอังกฤษตกลงที่จะเขามาสนับสนุนดวยการออกกฎหมายเพื่อพระราชทานตราตั้งเพื่อ จัดตั้งบริษัทขึ้นใหมในปี 2424/1881 โดยใชชื่อวา บริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษ (British North Borneo Company) ทั้งๆ ที่มีการประทวงจากรัฐบาลเนเธอรแแลนดแ การอางสิทธิ์อธิปไตยของสเปนเหนือดินแดน สุลตานแหงซูลู ไดยุติลงโดยพิธีสารวันที่ 7 มีนาคม 2428/1885 ซึ่งทําใหสเปนไดสิทธิ์ขาดในการปกครองหมู เกาะซูลูอยางสมบูรณแ โดยแลกกับการสละอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนบนแผนดินใหญของเกาะบอรแเนียว ซึ่ง เคยอยูภายใตเขตอิทธิพลการปกครองของสุลตานแหงซูลูมากอน อังกฤษและดัตชแ รูทันทีวาจะตองมีกําหนดเสนเขตแดนใหชัดเจน เพื่อปูองกันปัญหาที่จะเกิดตามมา ใน ปี 2432/1889 จึงมีการแตงตั้งคณะกรรมาธิการรวม เพื่อทําการสํารวจภูมิประเทศและตรวจสอบเอกสารที่ เกี่ยวของกับการกําหนดเสนเขตแดนระหวางกัน แลวจึงมีการลงนามในอนุสัญญาปี 2434/1891 ขอตกลง ดังกลาวจึงเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการประนีประนอมระหวางกันของทั้งสองมหาอํานาจในขณะนั้น ขอมูลทาง ภูมิศาสตรแจึงถูกผลิตออกมามากขึ้นในชวงเวลาระหวางการปักปันเสนเขตแดนดังกลาว เอกสารตางๆ มีการ ปรับปรุงและแกไขใหถูกตองในปี 2458/1915 และปรับปรุงอีกครั้งในปี 2471/1928 เพื่อใหสอดคลองกับ ขอเท็จจริง ตอมาในชวงสงครามโลกครั้งที่ 2 บอรแเนียวถูกยึดครองโดยกองทัพญี่ปุุน และปกครองดินแดนนี้จนถึง ชวงเดือนสุดทายของสงคราม กอใหเกิดความเสียหายเป็นจํานวนมากตอทรัพยแสินและโครงสรางพื้นฐาน รวมทั้งเกิดผลกระทบตอเศรษฐกิจโดยภาพรวม อันเป็นผลจากการทิ้งระเบิดของฝุายสัมพันธมิตร สงผลให ราชาแหงซาราวัก (Rajah of Sarawak) และ บริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษ (British North Borneo Company) ตระหนักไดวา พวกเขาไมมีทรัพยากรเพียงพอที่จะฟื้นฟูความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น หลังจากชวงเวลาสงครามได ดังนั้น รัฐซาราวักและบอรแเนียวเหนือ จึงถูกสงผานไปยังรัฐบาลอังกฤษในฐานะดินแดนอาณานิคม ใน วันที่ 1 กรกฎาคม 2489/1946 และวันที่ 15 กรกฎาคม 2489/1946 ตามลําดับ นับตั้งแตงการที่ขบวนการ ชาตินิยมในดินแดนดัตชแอีสตแอินดีส (Dutch East Indies) หรือ อินโดนีเซีย ไดทําการประกาศเอกราชแยกตัว ออกจากอํานาจของเนเธอรแแลนดแ ในวันที่ 17 สิงหาคม 2488/1945 จนกระทั่งในวันที่ 28 ธันวาคม 2492/1949 สาธารณรัฐเอกราชใหมแหงอินโดนีเซีย ไดถือกําเนิดขึ้นเพื่อแทนที่อํานาจของชาวดัตชแทางตอนใต ของเสนเขตแดนทางบกบนเกาะบอรแเนียว
45
ในที่สุดวันที่ 16 กันยายน 2506/1963 รัฐสิงคโปรแ (The State of Singapore) รัฐอาณานิคมแหงรัฐซา ราวัก (The Colony of Sarawak) และ รัฐอาณานิคมแหงบอรแเนียวเหนือ (The Colony of North Borneo) หรือในปัจจุบัน คือ รัฐซาบาหแ (Sabah) ไดเขารวมกับ สหพันธรัฐมาลายา (Federation of Malaya) เพื่อการ สถาปนาประเทศมาเลเซีย การเขารวมเป็นสวนหนึ่งกับสหพันธรัฐมาลายาของ รัฐซาราวัก และ รัฐซาบาหแ นําไปสูการประทวงของอินโดนีเซีย โดยมีเรียกรองใหทําการสํารวจความคิดเห็นของประชาชนบนเกาะ บอรแเนียววามีความตองการที่จะเขารวมเป็นสวนหนึ่งของสหพันธรัฐแหงใหมนี้จริงหรือไม คณะกรรมาธิการแหงสหประชาชาติไดเดินทางเขามายังดินแดนอาณานิคมทั้งสองแหงนี้ โดยมีการ พบปะพูดคุยกับองคแกรตางๆ รวมทั้งภาคประชาชน และในวันที่ 14 กันยายน 2506/1963 เลขาธิการ สหประชาชาติก็ไดประกาศอยางเป็นทางการวา ประชาชนสวนใหญยินดีที่จะเขารวมเป็นสวนหนึ่งของประเทศ มาเลเซีย อยางไรก็ตาม รัฐบาลอินโดนีเซีย ไมยอมรับคําประกาศดังกลาวของเลขาธิการองคแการสหประชาชาติ และยังจัดตั้งกองกําลังเพื่อสูรบแบบกองโจรเขาไปตามแนวชายแดนบนเกาะบอรแเนียว และมีการโจมตี แมกระทั่งบนดินแดนในคาบสมุทรมลายู ในขณะเดียวกันฝุายฟิลิปปินสแ ก็สงกองกําลังเขาไปในพื้นที่บางสวน ของรัฐซาบาหแ บนพื้นฐานของการอางสิทธิ์อธิปไตยของสุลตานแหงซูลูในอดีต โดยไมมีการกลาวอางถึงขนาด พื้นที่หรือขอบเขตดินแดนที่ฟิลิปปินสแเขาไปควบคุม แตนาจะเป็นการถือเอาวาอาณาเขตนั้นมีขนาดเทากับที่ สุลตานแหงซูลูไดเคยตกลงเอาไวกับโอเวอรแเบ็ค (Overbeck) และอัลเฟร็ด เดนทแ (Alfred Dent) คําประกาศ ของเจาหนาที่ฝุายอินโดนีเซีย เรียกรองใหรัฐซาราวักและรัฐซาบาหแ ประกาศตนเป็นรัฐอิสระโดยออกจากการ เขารวมกับประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซียก็ไมไดอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือดินแดนสวนแดนใดของรัฐทั้งสองบน เกาะบอรแเนียว นโยบาย “การเผชิญหนา (Konfrontasi)” ของอินโดนีเซีย มีความตึงเครียดมากขึ้นในชวง หลายเดือนตอมา และขึ้นถึงขีดสูงสุดโดยการประกาศการถอนตัวออกจากองคแการสหประชาชาติ เพื่อประทวง การเลือกตั้งของมาเลเซีย โดยยื่นเรื่องไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแหงสหประชาชาติ (Security Council)
ความตกลงและสนธิสัญญา เอกสารตอไปนี้ มีผลตอการกําหนดเสนเขตแดนทางบกบนเกาะบอรแเนียวระหวางมาเลเซียกับ อินโดนีเซีย ไดแก
1. สนธิสัญญาเกี่ยวกับดินแดนและการพาณิชย์ในหมู่เกาะอินเดียตะวันออกระหว่างสหราช อาณาจักรกับเนเธอร์แลนด์ (Treaty regarding territory and commerce in the East Indies between Great Britain and the Netherlands) ลงนาม ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2367/1824 จุดประสงคแของสนธิสัญญานี้ คือ การแบงหมูเกาะที่อยูบริเวณชองแคบสิงคโปรแ โดยทางทิศเหนือใหเป็น ของอังกฤษ และทางทิศใตใหเป็นของดัตชแ อยางไรก็ตาม ดัตชแไดตีความสนธิสัญญาดังกลาวแตกตางออกไป โดยถอยคําตามสนธิสัญญาระบุไวในมาตรา 12 หามไมใหอังกฤษตั้งถิ่นฐานในพื่นที่ “เกาะทางตอนใตของชอง แคบ...สิงคโปรแ (islands south of the Straits [sic] of Singapore.)” แตการตีความทําใหอังกฤษถูกกีดกัน ออกจากพื้นที่ทั้งหมดในเกาะทางใตของพิกัดละติจูดในชองแคบ ซึ่งเป็นที่มาของการคัดคานจากฝุายดัตชแ โดย ตอตานไมใหอังกฤษเขามาตั้งอาณานิคมอยางเป็นทางการบนเกาะบอรแเนียว
46
2. อนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) วันที่ 20 มิถุนายน 2434/1891 ระหวางสหราชอาณาจักรกับเนเธอรแแลนดแวาดวยเสนเขตแดนระหวางบอรแเนียวของอังกฤษ (British Borneo) กับ บอรแเนียวของดัตชแ (Dutch Borneo) ใหสัตยาบันเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2425/1982 โดย มาตรา 1 กําหนดใหเสนเขตแดนเริ่มตนจากพิกัดละติจูดที่ 4 องศา 10 ลิปดา เหนือ บนชายฝั่งตะวันออก ตอเนื่องไปทางทิศตะวันตกจนถึงแมน้ําสิเมิงงาริส (Simengaris River) ถึงพิกัดลองจิจูดที่ 117 องศา ตะวันออก และละติจูดที่ 4 องศา 20 ลิปดา เหนือ ตามมาตรา 2 และเสนเขตแดนเป็นไปตามแนวสันปันน้ํา ระหวางแมน้ําสิเมิงงาริส (Simengaris River) กับแมน้ําโซดัง (Soedang) หรือแมน้ําเซอรูดุง (Serudung) จากนั้นเสนเขตแดนเป็นไปตามแนวสันปันน้ําตามเสนละติจูดที่ 4 องศา 20 ลิปดา เหนือ ตอไปทางทิศตะวันตก เสนเขตแดนเป็นไปตามแนวแมน้ําภายในระยะ 8 กิโลเมตร หรือตามแนวโคงภายในดินแดนของดัตชแแลวลาก ตอไปยังจุดที่แมน้ําไหลลงสูทะเลทางตอนใตที่พิกัดละติจูด 4 องศา 10 ลิปดา เหนือ หรือภายในดินแดนของ อังกฤษตอไปยังจุดที่แมน้ําไหลลงสูทะเลทางตอนใต ที่พิกัดละติจูด 4 องศา 10 ลิปดาเหนือ ตามความใน มาตรา 2 ความในมาตรา 3 กําหนดวา เสนเขตแดนสวนที่เหลือใหเป็นตามพิกัดที่ระบุในมาตรา 2 โดยเป็นไปตาม แนวสันปันน้ําหลักจนกระทั่งถึงเมืองตันโจง ดาโต (Tandjong Datoe) หรือ ตันจุง ดาตู (Tandjung Datu) บน พื้นที่ชายฝั่งตะวันตก สุดทายในมาตรา 4 กําหนดใหแบงเกาะเซอบิตติก (Sebittik) หรือเซอบาติก (Sebatik) ตามแนวพิกัดละติจูดที่ 4 องศา 10 ลิปดา เหนือ และตกลงที่จะยอมรับเสนเขตแดน “ตอไปโดยขอตกลงรวม (hereafter by mutual agreement)”
3. รายงานของคณะกรรมาธิการร่วม (Joint Commissioners Report) ลงนาม ณ เมืองตาเวา (Tawao) วันที่ 17 กุมภาพันธแ 2456/1913 เนื่องจากการขาดความรูเฉพาะดานทางภูมิศาสตรแของพื้นที่ตอนกลางภายในเกาะบอรแเนียว ทําใหเกิด ปัญหาขึ้นในการกําหนดเสนเขตแดนในปี 2434/1891 ตามความในมาตรา 5 ของอนุสัญญานี้ กําหนดไววา รัฐ ทั้งสองจะตองแตงตั้งคณะกรรมาธิการรวม เพื่อการกําหนดรายละเอียดของเสนเขตแดน โดยผลการรายงาน รวมของคณะกรรมาธิการ และแผนที่ จะถูกนํามาใชเป็นขอมูลพื้นฐานในการทําความตกลงฉบับตอไป
4. ความตกลงระหว่างสหราชอาณาจักรกับเนเธอร์แลนด์ที่เกี่ยวข้องกับเส้นเขตแดนระหว่างรัฐ บอร์เนียวเหนือและการเข้าครอบครองของเนเธอร์แลนด์ในเกาะบอร์เนียว (Agreement between the United Kingdom and the Netherlands relating to the boundary between the State of North Borneo and the Netherland possessions in Borneo) ลงนาม ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2458/1915 รายงานของคณะกรรมาธิการรวมไดรับการยอมรับในฐานะองคแกรตามความตกลง เพื่อการเปลี่ยนแปลง เสนเขตแดนระหวาง บอรแเนียวเหนือ (North Borneo) หรือ ซาบาหแ (Sabah) ของอังกฤษ กับ กาลิมันตัน ตะวันออก (Kalimantan Timur) ของดัตชแ โดยมีการสรางหลักหมายเขตแดนจํานวน 4 หลัก ไดแก บนพิกัด ละติจูดที่ 4 องศา 20 ลิปดา เหนือ บริเวณแมน้ําปันเจียงงัน (Pantjiangan River) จํานวน 2 หลัก บริเวณแมน้ํา อากิซาน (Agisan River) จํานวน 1 หลัก และแมน้ําเซอโบดา (Seboeda River) นอกจากนี้ยังมีหลักเขตแดน เพิ่มเติมอีก 2 หลัก บนพิกัดละติจูดที่ 4 องศา 10 ลิปดา เหนือ ทางทิศตะวันตกและชายฝั่งตะวันออกของเกาะ เซอบิตติก (Sebittik) หรือเซอบาติก (Sebatik)
47
เสนเขตแดนในนานน้ําระหวางเกาะเซอบาติกกับแผนดินใหญ คณะกรรมาธิการตกลงกําหนดใหเสนเขต แดนเป็นไปตามเสนมัธยะ (Median line) ระหวางชองตัมโบ (Troesan Tamboe) และชองสิกาปัล (Troesan Sikapal) โดยรายงานของคณะกรรมาธิการรวม ไดใหรายละเอียดของการเปลี่ยนแปลงเสนเขตแดนในแผนที่ แนบทาย มาตราสวน 1:500,000 จํานวน 4 ระวาง แผนที่มาตราสวน 1:50,000 จํานวน 3 ระวาง และแผนที่ มาตราสวน 1:100,000 จํานวน 1 ระวาง แผนที่เหลานี้แสดงเสนเขตแดนจากเกาะถึงยอดเขา บี. ปาดาส (B. Padas) ที่พิกัดลองจิจูด 115 องศา 40 ลิปดา ตะวันออก โดยระบุตําแหนงที่ตั้งของหลักหมายเขตแดนเอาไว บนแผนที่ดวย
5. อนุสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรกับเนเธอร์แลนด์ เกี่ยวกับการก าหนดเส้นเขตแดนระหว่าง เกาะบอร์เนียวภายใต้อารักขาของอังกฤษกับดินแดนของเนเธอร์แลนด์ (Convention between the United Kingdom and the Netherlands respecting the delimitation of the frontier between Borneo under British protection and Netherlands territory) ลงนาม ณ กรุงเฮก เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2471/1928 อนุสัญญาฉบับนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวสันปันน้ําระหวางยอดเขาอาปี (Api) ที่พิกัดลองจิจูด 110 องศา 04 ลิปดา ตะวันออก กับยอดเขาราชา (Raja) ที่พิกัดลองจิจูด 109 องศา 56 ลิปดา ตะวันออก ซึ่งลาก ไปตามลําธารเล็กๆ หลายสาย ทางเดินเทา และแนวเสนตรง ทําใหเกิดแผนที่ผนวกอนุสัญญา มาตราสวน 1:50,000 มีการทําเครื่องหมายหลักเขตในพื้นที่สวนนี้ โดย 15 หลักทําจากไม และอีก 5 หลักทําจากปูนซีเมนตแ ผสมกับไม
วิเคราะห์และสรุป เสนเขตแดนทางบกบนเกาะบอรแเนียวระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซีย ถูกกําหนดขึ้นจากความตกลง อังกฤษ-ดัตชแ (Anglo–Dutch Agreements) ในยุคอาณานิคม โดยมีเพียงพื้นที่ 2 สวนเล็กๆ ที่ไดรับการปักปัน และไมปรากฏวามีขอพิพาทบนเสนเขตแดนในพื้นที่ซึ่งไดรับการปักปัน แมวาอินโดนีเซียและฟิลิปปินสแจะประกาศการอางสิทธิ์เหนือดินแดนบางสวนของรัฐซาวักและซาบาหแ ของมาเลเซีย ทําใหไมมีขอพิพาทที่ชัดเจนบนแนว “เสนเขตแดน (dispute over the line)” แตเป็นปัญหาขอ พิพาทอธิปไตยเหนือดินแดน (dispute of the sovereignty over territory) หลักฐานที่ดีที่สุดที่ใหภาพเสน เขตแดนทางบกระหวางดินแดนซาราวักของมาเลเซีย กับ ดินแดนกาลิมันตันตะวันตก (Kalimantan Barat) ของอินโดนีเซีย คือ ชุดแผนที่ซาราวักของอังกฤษมาตราสวน 1:150,000 ซึ่งจัดทําโดย กรมที่ดินและการสํารวจ แหงซาราวัก (Lands and Surveys Department) โดยพื้นที่ซึ่งไดรับการปักปันเสนเขตแลวเสร็จนั้น เกิดจาก อนุสัญญาปี 2471/1928 และแผนที่ภาคผนวกตามคําสั่งเลขที่ 2671 ในปี 2473/1930 มาตราสวน 1:50,000 สวนพื้นที่อื่นๆ ใหใชแนวแมน้ําเป็นเสนเขตแดนตามขอความที่กําหนดเอาไวในสนธิสัญญา ดังนั้น ตําแหนงของ เสนเขตแดนในปัจจุบัน จึงเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนทิศทางของแนวลําน้ํา ซึ่งในทางปฏิบัติแลวทั้งสอง ประเทศตางยอมรับขอมูลใหมที่เกิดจากการสํารวจทางภูมิศาสตรแ สวนแผนที่แสดงเสนเขตแดนระหวาง ดินแดนซาบาหแของมาเลเซีย กับ ดินแดนกาลิมันตันตะวันออก (Kalimantan Timur) ของอินโดนีเซีย มีคุณภาพคอนขางต่ํา หลักฐานที่ดีที่สุดที่ใหภาพเสนเขตแดนทางบกใน พื้นที่บริเวณนี้ คือ แผนที่ภาคผนวกตามขอตกลงในปี 2458/1915 โดยมีแผนที่ซึ่งไดรับการยอมรับ คือ แผนที่ ระหวางประเทศ (International Map of the World – IMW) ระวาง NA50 มาตราสวน 1:1,000,000 และ แผนที่อังกฤษในบอรแเนียวเหนือระวาง DOS 973 ซึ่งจัดพิมพแโดย คณะกรรมการจัดทําแผนที่ตางประเทศ 48
(Directorate of Overseas Surveys) และไมพบแผนที่ขนาดใหญของอินโดนีเซียที่แสดงรายละเอียดของเสน เขตแดนบริเวณพื้นที่ปักปักปันไดอยางชัดเจน แตมีแผนที่ของดัตชแซึ่งจัดพิมพแในชวงอาณานิคม โดยแสดง รายละเอียดของเสนเขตแดนไดชัดเจนเชนเดียวกับแผนที่ของอังกฤษ
49
3.3 ดินแดนลิมบัง (Limbang) ระหว่างมาเลเซียกับบรูไน
เสนเขตแดนทางบกระหวางมาเลเซียกับบรูไนมีความยาว 481.3 กิโลเมตร ซึ่งอาณาเขตทางบกของ บรูไนถูกลอมรอบโดยรัฐซาราวักของมาเลเซีย ทําใหสัณฐานของประเทศบรูไนมีความนาสนใจเป็นอยางยิ่ง เนื่องจากเป็นประเทศที่มีอาณาเขตทางบกไมตอเนื่องกัน เพราะถูกคั่นกลางดวยเมืองลิมบัง (Limbang) รัฐซา ราวักของมาเลเซีย ดินแดนของประเทศบรูไนจึงถูกแบงออกเป็น 2 สวน (ดูภาพที่ 3.5) ไดแก บรูไนตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงบันดาเสรีเบกาวัน (Bandar Seri Begawan) และ บรูไนตะวันออก หรือที่เรียกวา ดินแดนเติมบูรอง (Temburong) ซึ่งมีเมืองบังการแ (Bangar) เป็นเมืองเอก เสนเขตแดนทางบกระหวางบรูไนกับมาเลเซียจากทางตะวันตกไปยังตะวันออก เริ่มตนที่บริเวณสันปัน น้ําของแมน้ําบารัม (Baram River) และเบอลาอิท (Belait River) ซึ่งไหลลงสูทะเลจีนใตที่บริเวณจุดพิกัด 6 ไมลแทะเลทางตะวันออกของเมืองตันจุงบารัม (Tanjung Baram) หรือ ละติจูดที่ 4 องศา 35 ลิปดา 20 ฟิลิป ดา เหนือ และ ลองจิจูดที่ 114 องศา 5 ลิปดา ตะวันออก จากจุดนี้เสนเขตแดนลากตอไปตามแนวสันปันน้ํา ของลุมน้ําทั้งสองอีกประมาณ 30 กิโลเมตร จนถึงคลองปากาลายัน (Pagalayan Canal) แลวจึงลากตอไปอีก 44 กิโลเมตรถึงเนินเขาเตอราจา (Teraja Hills) จากบริเวณนี้ เสนเขตแดนลากไปตามแนวเสนสันปันน้ํา ระหวางแมน้ําเบอลาอิท (Belait River) กับ แมน้ําตูตอง (Tutong River) และลากตอไปตามสันปันน้ําระหวาง แมน้ําบารัม (Baram River) กับแมน้ําลิมบัง (Limbang River) จากนั้น เสนเขตแดนลากตอไปตามแนวสันปัน น้ําระหวางแมน้ําบรูไน (Brunei River) กับแมน้ําลิมบัง (Limbang River) จนสิ้นสุดที่บริเวณปากอาวบรูไน (Brunei Bay)30 สวนเสนเขตแดนในอําเภอเติมบูรอง (Temburong District) ซึ่งถูกแยกออกมาจากดินแดนสวนใหญ ของบรูไน เริ่มตนที่บริเวณปากแมน้ําปันดารูอัน (Pandaruan River) แลวลากเสนไปตามความยาวของลําน้ํา สายนี้ ขึ้นไปจนถึงบริเวณตนแมน้ํา แลวจึงลากตอไปตามแนวสันปันน้ําระหวางแมน้ําเติมบูรอง (Temburong River) กับ แมน้ําตรูซัน (Trusan River) จนกระทั่งถึงบริเวณอาวบรูไน31 (ดูภาพที่ 3.6)
30 Ewan W. Anderson. International Boundary: A Geopolitical Atlas (New York: Routledge, 2003), pp. 127-128. 31 Ibid. 50
ภาพที่ 3.5 แผนที่ประเทศบรูไน แบงออกเป็น 2 สวน ไดแก บรูไนตะวันตก และ บรูไนตะวันออก โดยมี ดินแดนลิมบัง (Limbang) รัฐซาราวักของมาเลเซียคั่นอยูระหวางกลาง (ที่มา: ปรับปรุงจาก Political Map of Brunei Darussalam เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1I4YAq8)
51
ภาพที่ 3.6 แผนที่แสดงเสนเขตแดนทางบกระหวางบรูไนกับมาเลเซีย (ที่มา: Renate Haller-Trost, “The Brunei-Malaysia Dispute over Territorial and Maritime Claims in International Law,” in International Boundaries Research Unit, Maritime Briefing Vol.1 No.3 (1994), p.53)
52
ประวัติศาสตร์ ขอพิพาทเหนือดินแดนอําเภอลิมบัง (Limbang) เกิดขึ้นจากการผนวกดินแดนของราชาขาว (Whit Rajah) หรือ เจมสแ บรูก (James Brooke) แหงซาราวัก ในปี 2433/1890 เป็นผลใหบรูไนถูกแบงดินแดน ออกเป็น 2 สวน ไดแก ดินแดนสวนใหญทางตะวันตกประกอบดวย 3 อําเภอ คือ อําเภอบรูไน-มูอารา (Brunei-Muara) อําเภอตูตอง (Tutong) และ อําเภอเบอลาอิท (Belait) และดินแดนทางตะวันออก คือ อําเภอเติมบูรอง (Temburong) ทําใหอําเภอลิมบังคั่นกลางระหวางดินแดนสองสวนของบรูไน แตเดิมเสนเขต แดนถูกลากไปตามแนวสันปันน้ําระหวางแมน้ําบรูไนและแมน้ําลิมบังทางดานตะวันตก แลวลากไปตามแมน้ํา ปันดูราอันทางทิศตะวันออก โดยความตกลงวาดวยเสนเขตแดนระหวางกันไดลากเสนเอาไวเพียงฝั่งตะวันตก กับแมน้ําปันดารูอันเทานั้น สวนเสนเขตแดนอื่นๆ ยังไมมีการขีดเสนเขตแดนที่ชัดเจน
ความตกลงและสนธิสัญญา เสนเขตแดนระหวางมาเลเซียกับบรูไนซึ่งมีความยาวรวม 481.3 กิโลเมตร สามารถเจรจาเพื่อกําหนด เสนเขตแดนระหวางกันเสร็จสิ้นไปไดแลวเป็นความยาว 207.3 กิโลเมตร โดยมีการกําหนดเสนเขตแดนผาน ความตกลงจํานวน 5 ฉบับ ดังนี้
1. เส้นเขตแดนตามแนวแม่น้ าปันดารูอัน (Pandaruan River) ความยาว 78 กิโลเมตร เป็นไปตาม “ความตกลงระหวางรัฐบาลแหงบรูไนกับรัฐบาลแหงรัฐซาราวักเกี่ยวกับแมน้ําและอําเภอปันดารูอัน (Agreement between Government of Brunei and the Government of Sarawak relating to the Pandaruan River and District)” ลงนามโดย จี.อี. คาเตอรแ (G.E. Cator) และ เอช.เอส.บี. จอหแสัน ผูแทน เขตปกครองที่ 5 แหงซาราวัก (H.S.B. Johnson, Resident Fifth Division, Sarawak) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธแ 2463/1920
2. เส้นเขตแดนทางด้านตะวันออกของอ าเภอเติมบูรอง (Temburong District) ความยาว 19 กิโลเมตร เป็นไปตาม “ความตกลงระหวางรัฐบาลแหงบรูไนกับรัฐบาลแหงรัฐซาราวัก เกี่ยวกับเขตแดน ระหวางกันบริเวณตรูซานกับเติมบูรอง (Agreement between the Government of Brunei and the Government of Sarawak regarding the boundary between the States of Brunei and Sarawak between Trusan and Temburong)” ลงนามโดย ผูแทนฝุายอังกฤษ ผูแทนฝุายบรูไน และผูแทนเขต ปกครองที่ 5 แหงซาราวัก เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2474/1931
3. เส้นเขตแดนทางตะวันตกระหว่างบริเวณแม่น้ าบารัม (Baram River) และเบอลาอิท (Belait River) กับ คลองปากาลายัน (Pagalayan Canal) ความยาว 29.7 กิโลเมตร เป็นไปตาม “ความตกลง ระหวางรัฐบาลแหงบรูไนกับรัฐบาลแหงรัฐซาราวัก เกี่ยวกับเขตแดนระหวางกันบริเวณแมน้ําเบอลาอิทและ บารัมจากชายฝั่งทะเลถึงคลองปากาลายัน (Agreement between the Government of Brunei and the Government of Sarawak regarding the boundary between the States of Brunei and Sarawak between the Belait and the Baram rivers from the sea coast to the Pagalayan Canal)” ลงนาม โดย ผูแทนฝุายอังกฤษ ผูแทนฝุายบรูไน และ เอช.ดี. อับลิน ผูแทนเขตปกครองที่ 4 แหงซาราวัก (H.D. Aplin, Resident Fourth Division, Sarawak) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2474/1931
53
4. เส้นเขตแดนทางตะวันตกระหว่างคลองปากาลายัน กับเนินเขาเตอราจา (Teraja Hills) ความ ยาว 43.6 กิโลเมตร เป็นไปตาม “ความตกลงเกี่ยวกับเขตแดนระหวางรัฐบาลแหงบรูไนกับรัฐบาลแหงซาราวัก จากคลองปากาลายันถึงเนินเขาเตอราจา (Agreement regarding the boundary between the State of Brunei and the State of Sarawak from the Pagalayan Canal to the Teraja)” ลงนามโดย ผูแทน ฝุายอังกฤษ ผูแทนฝุายบรูไน และ ผูแทนเขตปกครองที่ 4 แหงซาราวัก (H.D. Aplin, Resident Fourth Division, Sarawak) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2482/1939
5. เส้นเขตแดนจากอ่าวบรูไน ถึงบริเวณทางทิศตะวันตกของเนินเขากาดอง (Gadong Hills) ตาม แนวสันปันน้ าของบรูไน กับแม่น้ าลิมบัง (Limbang River) ความยาว 37 กิโลเมตร เป็นไปตาม “ความตก ลงระหวางรัฐบาลแหงบรูไนกับรัฐบาลแหงซาราวัก เกี่ยวกับเขตแดนระหวางกัน บริเวณลิมบังกับบรูไนจาก ชายฝั่งทะเลถึงจุดตะวันตกของบูกิตกาดอง (Agreement between the Government of Brunei and the Government of Sarawak regarding the boundary between the States of Brunei and Sarawak between Limbang and Brunei from the coast to a point west of Bukit Gadong)” ลงนามโดย ผูแทนฝุายอังกฤษ ผูแทนฝุายบรูไน และ ผูแทนเขตปกครองที่ 5 แหงซาราวัก เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธแ 2476/1933 และลาสุดเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2552/2009 มาเลเซียและบรูไนไดตกลงทําการแลกเปลี่ยนหนังสือ สัญญาระหวางกันเพื่อยืนยันและรับรองขอตกลงทั้ง 5 ฉบับดังกลาวขางตน โดยทั้งสองประเทศตกลงที่จะใช หลักการแบงเสนเขตแดนตามแนวสันปันน้ําเพื่อปักปันเสนเขตแดนบริเวณอื่นที่ยังไมแลวเสร็จ
ด่านพรมแดนระหว่างมาเลเซียกับบรูไน เนื่องจากประเทศบรูไนถูกลอมรอบโดยรัฐซาราวักของมาเลเซีย ดานขามพรมแดนตามแนวชายแดน ระหวางกันจึงมีดังตอไปนี้ 1. ด่านสุไหงตูโจห์ – สุไหงตูจูห์ (Sungai Tujoh – Sungai Tujuh) เป็นดานขามพรมแดนหลัก ระหวางเมืองกัวลาเบอลาอิท (Kuala Belait) ของบรูไน กับ เมืองมิริ (Miri) ของรัฐซาราวัก 2. ด่านกัวลาลูราห์ – เตอดุงงัน (Kuala Lurah – Tedungan) เป็นดานขามพรมแดนหลักระหวาง บันดารแเสรีเบกาวัน (Bandar Seri Begawan) เมืองหลวงของบรูไน กับเมืองลิมบัง (Limbang) ของรัฐซาราวัก 3. ด่านปูนิ – ปันดารูอัน (Puni – Pandaruan) เป็นดานขามพรมแดนหลักระหวางเติมบูรอง (Temburong) ของบรูไน กับเมืองลิมบัง (Limbang) ของรัฐซาราวัก ซึ่งกอนหนานี้ใชการเดินทางผานเรือ โดยสารขามฟาก แตในปัจจุบันสามารถเดินทางไดโดยใชสะพานมิตรภาพบรูไน-มาเลเซีย ซึ่งเปิดใชไปเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2556/2013 4. ด่านลาบู – เมิงกาลับ (Labu – Mengkalap) เป็นดานขามพรมแดนหลักระหวางเติมบูรอง (Temburong) ของบรูไน กับเมืองลาวาส (Lawas) ของรัฐซาราวัก
54
การแก้ไขปัญหาข้อพิพาท มาเลเซียและบรูไนสามารถตกลงกันอยางเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2552/2009 โดยมีการลง นามในหนังสือสัญญาระหวางกัน เพื่อดําเนินการแกปัญหาขอพิพาททางบกและทางทะเลโดยขอพิพาท เชน ขอ พิพาทเขตแดนทางทะเลในพื้นที่ในทะเลจีนใต สิทธิการเขาไปแสวงหาผลประโยชนแในพื้นที่พิพาทซึ่งมีแหลง น้ํามันอยูอยางอุดมสมบูรณแ สิทธิการเดินเรือของมาเลเซียเขาไปยังนานน้ําบรูไน และปัญหาการกําหนดเสนเขต แดนรวมกันของทั้งสองประเทศ โดยดาโต฿ะ เสรี อับดุลลาหแ อาหมัด บาดาวี (Datuk Seri Abdullah Ahmad Badawi) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ไดกลาวขอบคุณสุลตานแหงบรูไน ที่ทรงตกลงพระทัยที่จะแกไขปัญหาขอ พิพาทตางๆ โดยเฉพาะอยางยิ่งที่อําเภอลิมบัง (Limbang) โดยกลาววา การเจรจาทวิภาคีระหวางสองประเทศ จะนําไปสูความสัมพันธแในยุคใหม และในแถลงการณแรวมของทั้งสองประเทศไดระบุเอาไวดวยวา จะมีการ บรรลุขอตกลงที่จะปักปันเขตแดนทางทะเลระหวางสองประเทศพื้นที่ในทะเลจีนใต รวมทั้งยังมีการจัดตั้ง “พื้นที่จัดการเชิงพาณิชยแ (Commercial Arrangement Area – CAA)” ซึ่งผลประโยชนแที่เกิดจากน้ํามันและ ก฿าซธรรมชาติในพื้นที่พิพาทจะนํามาแบงปันกันอยางยุติธรรม แตยังไมมีการเปิดเผยถึงมูลคาที่ทั้งสองประเทศ จะไดรับ นอกจากนี้ ทั้งสองฝุายยังตกลงที่จะใหมีสิทธิในการเขาถึงเขตแดนทางทะเลโดยไมถูกกีดกันซึ่ง รับประกันสิทธิในการเดินเรือจากมาเลเซียผานเขาสูนานน้ําบรูไน โดยฝุายมาเลเซียยินยอมที่จะปฏิบัติตาม กฎหมายและระเบียบของฝุายบรูไน ทายที่สุดหนังสือสัญญาแลกเปลี่ยนยังไดจัดใหมีกระบวนการและ วิธีดําเนินการปักปันเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเลระหวางทั้งสองประเทศอีกดวย ขั้นตอนการเจรจาเพื่อ ระงับขอพิพาท เริ่มขึ้นในปี 2538/1995 โดยมีการประชุมระหวางกันมากกวา 39 ครั้ง โดยขอพิพาททางทะเล เริ่มปะทุขึ้นตั้งแตปี 2522/1972 เมื่อทางการมาเลเซียไดตีพิมพแแผนที่เผยแพร ซึ่งระบุวาเขตนานน้ําลึกนอก ชายฝั่งทะเลบรูไนอยูในอํานาจอธิปไตยของมาเลเซีย ขอพิพาททางทะเลลาสุดเกิดขึ้นในปี 2546/2003 เมื่อ มาเลเซียและบรูไนไดอนุมัติการใหสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมในพื้นที่สํารวจ 4 แปลง แกบริษัทที่ตางกันใน พื้นที่พิพาทเดียวกัน ซึ่งมีการสํารวจพบปริมาณน้ํามันดิบมากถึง 440,000,000 บารแเรล และเมื่อเกิดขอพิพาท ขึ้น ทั้งสองประเทศจึงตกลงที่จะหยุดการขุดเจาะในพื้นที่ดังกลาวเอาไวกอนชั่วคราว32 ทั้งนี้ ดาตุ฿ก เสรี ดร. รา อีส ยาติม (Datuk Seri Dr. Rais Yatim) รัฐมนตรีวาการกระทรวงตางประเทศของมาเลเซียยังกลาวอีกวา กระบวนการปักปันเสนเขตแดนนั้นสามารถดําเนินการไดผานการลงนามในหนังสือสัญญาแลกเปลี่ยนระหวาง ดาโต฿ะ เสรี อับดุลลาหแ อาหมัด บาดาวี (Datuk Seri Abdullah Ahmad Badawi) นายกรัฐมนตรีของ มาเลเซีย กับ สุลตาน ฮัสซานาล โบเกียหแ (Sultan Hassanal Bolkiah) แหงบรูไน เมื่อวันจันทรแที่ 16 มีนาคม 2552/2009 หนังสือสัญญาดังกลาว ระบุวาการปักปันเสนเขตแดนจะกระทําโดยขอตกลงพื้นฐาน 5 ประการ ซึ่งไดลงนามไปแลวระหวางบรูไนกับรัฐซาราวักตั้งแตปี 2463/1920 ถึงปี 2482/1939 ทั้งนี้พื้นที่บางสวนที่ยัง ไมมีการขีดเสนเขตแดนแตจะกระทําโดยการใชหลักสันปันน้ํา ซึ่งการยอมรับหลักการใชสันปันน้ําก็จะทําให ดินแดนลิมบัง (Limbang) อยูในขอบเขตอธิปไตยของมาเลเซีย แมวาหนังสือสัญญาดังกลาวจะไมไดระบุชื่อของดินแดนดังกลาวอยางชัดเจนก็ตาม ปัญหาดินแดนลิมบัง จะสามารถยุติลงไดหากมีการกําหนดเสนเขตแดนใหชัดเจน ในขณะที่มีรายงานวา หนังสือสัญญาฉบับดังกลาว ไดระบุถึงปัญหาอธิปไตยเหนือดินแดนลิมบัง ซึ่งฝุายบรูไนเคยอางสิทธิ์ความเป็นเจาของดินแดนลิมบังมา ยาวนาน ซึ่งดินแดนดังกลาวถูกยกใหแกรัฐซาราวักเมื่อปี 2433/1890 อยางไรก็ตาม หลังจากการลงนามใน หนังสือสัญญาแลว ฝุายปรูไนประกาศยุติการอางสิทธิ์เหนือดินแดนลิมบังอยางเป็นทางการ โดยขอตกลง 2 ใน 5 ประการ ระบุอยางชัดเจนเกี่ยวกับขั้นตอนการปักปันเขตแดนระหวางบรูไนกับอําเภอลิมบัง โดยใหใช
32 Leong Shen Li. “Brunei drops claim over Limbang district, says Abdullah,” The Star Online, Friday March 20, 2009. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EOFnvU 55
หลักการขีดเสนเขตแดนระหวางกันตามเสนสันปันน้ํา ซึ่งก็ไมไดทําใหเสนเขตแดนที่เป็นอยูในปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้การยอมรับขอตกลงดังกลาวของทั้งสองฝุายทําใหดินแดนลิมบังยังอยูภายในเขตอํานาจ อธิปไตยของมาเลเซีย โดยคณะกรรมการทางเทคนิคจะใชเวลาประมาณ 12 – 18 เดือนในการกําหนดแนวเสน เขตแดนที่แทจริง และทั้งสองฝุายหวังวาการลงนามในหนังสือสัญญาดังกลาวจะไมถูกนําไปเป็นประเด็นโจมตี ทางการเมืองโดยสื่อมวลชนทองถิ่นของทั้งสองประเทศ33 นอกจากนี้ ขอตกลงดังกลาวยังยินยอมใหโครงการตางๆ ของฝุายมาเลเซียที่เคยถูกระงับไปแลว สามารถกลับมาดําเนินการไดอีกครั้ง หลังจากถูกประทวงจากฝุายบรูไนวาโครงการเหลานั้นรุกล้ําเขามาใน ดินแดนลิมบังของบรูไน และทั้งสองฝุายจะยังไดผลประโยชนแดานมาตรการควบคุมชายแดนไดสะดวกมาก ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การบรรลุขอตกลงเกี่ยวกับเสนเขตแดนลิมบัง ยังสงผลตอการดําเนินการเจรจาขอพิพาททาง ทะเลใหมีความคืบหนามากขึ้น รายงานยังระบุวาหนังสือสัญญาฉบับนี้ สามารถยุติปัญหาขอพิพาททางทะเล ระหวางบรูไนกับมาเลเซียไดดวย34 หัวหนาคณะรัฐมนตรี ตัน ศรี อับดุล ตาอิบ มะหแมูด (Chief Minister Tan Sri Abdul Taib Mahmud) กลาววา การบรรลุขอตกลงเพื่อแกปัญหาเรื่องอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนลิมบัง จะชวยใหหลายโครงการของ มาเลเซียในรัฐซาราวักไดนํามาซึ่งผลประโยชนแตอบรูไนดวย โดยเฉพาะอยางยิ่ง การสรางเขื่อนไฟฟูาพลังน้ําที่ แมน้ําลิมบัง (Sungai Limbang) ซึ่งจะสามารถจายกระแสไฟฟูาใหกับทางบรูไนไดดวย และจะยิ่งทําใหรัฐซารา วักและบรูไนมีความใกลชิดกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งไดชวยแกปัญหาขอพิพาทเขตแดนในพื้นที่ตางๆ ระหวางมาเลเซีย กับบรูไน ขอตกลงที่เกิดขึ้นนี้นํามาซึ่งการเขาไปดําเนินกิจการตางๆ ในเขตพื้นที่ลิมบังจากฝั่งซาราวักไดงายขึ้น แตอาจมีปัญหาเล็กนอยเกี่ยวกับขอปฏิบัติในการตรวจคนเขาเมืองและพิธีการศุลกากร อยางไรก็ตาม ทั้งสอง ประเทศเห็นดวยกับการใชบัตรประจําตัวประชาชนแทนหนังสือเดินทางได แตในระยะยาวจะตองปรับปรุง ขั้นตอนการเดินทางขามผานดานชายแดนระหวางบรูไนกับมาเลเซียใหงายยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันเสนทางถนน ทางบกที่ใชเดินทางเขาไปยังดินแดนลิมบังยังถูกตัดขาดออกจากการเชื่อมตอไปยังรัฐซาราวัก ทําใหผูที่จะเดิน ทางเขาไปในเขตอําเภอลิมบัง ตองผานดานชายแดน 2 ครั้ง กลาวคือ ตองขามจากมาเลเซียเขาสูประเทศบรูไน กอน แลวจึงออกจากบรูไนเพื่อเขาไปยังพื้นที่ของอําเภอลิมบัง35 โดยสรุป การแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญาระหวางบรูไนกับมาเลเซีย ในปี 2552/2009 ไดยุติขอพิพาทของ ทั้งสองประเทศที่มีมาอยางยาวนาน ดวยความเป็นมิตรที่ดีตอกัน กลไลนี้จะเสริมสรางความสัมพันธแที่ดีระหวาง บรูไนกับมาเลเซีย ขอตกลงที่สําคัญ คือ การปักปันเสนเขตแดนทางทะเลในขั้นตอนสุดทายระหวางกัน รวมไป ถึงการจัดตั้ง “พื้นที่จัดการเชิงพาณิชยแ (Commercial Arrangement Area – CAA)” สําหรับพื้นที่ที่มีแหลง น้ํามันและก฿าซธรรมชาติ จากขอความในหนังสือสัญญา มีการกําหนดและนิยามความหมายของ ทะเลอาณา เขต (Territorial Sea) เขตไหลทวีป (continental shelf) และเขตเศรษฐกิจจําเพาะ (exclusive economic zone) ของรัฐทั้งสอง และยังมีการระบุถึงแหลงสัมปทานน้ํามันของมาเลเซียซึ่งเป็นแหลงเดียวกันกับของบรูไน
33 Nurbaiti Hamdan. “Limbang border to be set,” The Star Online. Friday March 20, 2009 เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1K3SVn2 34 Leong Shen Li. “Brunei drops claim over Limbang in Sarawak,” The Star, March 16, 2009; Hafizah Kamaruddin. “Malaysia-Brunei Boundary Issues Formalised,” Bernama, (Malaysian National News Agency), March 16, 2009; “Brunei and Malaysia move toward land and maritime boundary settlement,” March 17, 2009. เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1FIPdjU 35 “Win-win situation for Brunei and Malaysia,” The Star Online, March 17, 2009. เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1bSgFj0 56
ดวย ขอความในหนังสือัญญาดังกลาวยังกลาววา ภายใตบทบัญญัติที่เกี่ยวของของอนุสัญญาสหประชาชาติวา ดวยกฎหมายทะเล 2525/1982 (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982) บรูไนยัง มีสิทธิที่จะใชอํานาจอธิปไตยเหนือพื้นที่อางสิทธิ์ทับซอน อยางไรก็ตาม การจัดตั้ง “พื้นที่จัดการเชิงพาณิชยแ (Commercial Arrangement Area – CAA)” จะทําใหเกิดความรวมมือในการแสวงหาผลประโยชนแรวมกัน ของทั้งสองประเทศ หนังสือสัญญาดังกลาวไดรับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีมาเลเซียแลว ซึ่งถือวาเป็น ความสําเร็จสูงสุดของการเจรจาแกปัญหาขอพิพาทเขตแดนตลอดระยะเวลากวา 20 ปี ระหวางบรูไนกับ มาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีผลในการเริ่มตนความสัมพันธแทวิภาคีระหวางทั้งสองประเทศอีกครั้ง ในขณะที่นาย มหาเธรแ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ไดกลาววา การที่นายอับดุลลาหแ อาหมัดบาดาวีนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยินยอมลงนามในหนังสือสัญญาดังกลาวเป็นการยอมสละแหลงน้ํามันที่ อุดมสมบูรณแในทะเลจีนใตใหแกบรูไน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่ฝุายบรูไนจะยอมยุติเรียกรองดินแดนลิมบังใน รัฐซาราวักของมาเลเซียตะวันออก36 นอกจานี้ ยังกลาวอีกวาการกระทําของนายนายอับดุลลาหแอาหมัดบาดาวี ทําใหมาเลเซียสูญเสียผลประโยชนแมากกวาแสนลานดอลลาหแสหรัฐฯ ในขณะที่ นายอับดุลลาหแอาหมัดบาดาวี ไดตอบโตคําพูดของอดีตนายกมาเลเซียวา หนังสือสัญญาฉบับนี้จะเป็นการนําไปสูขอตกลงที่จะทําใหประเทศ มาเซียกับบรูไนมีเสนเขตแดนที่ชัดเจนและถาวรสืบไป37
36 “Border issues between Malaysia, Brunei solved,” Xinhua. May 04, 2010. เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1h60d1j 37 Ibid. 57
3.4 ดินแดนซาบาห์ (Sabah) ระหว่างมาเลเซียกับฟิลิปปินส์
ซาบาหแ (Sabah) หรือชื่อเดิมคือ บอรแเนียวเหนือ (North Borneo) เป็นดินแดนที่ตั้งอยูทางตอนเหนือ ของเกาะบอรแเนียว มีพรมแดนทางตะวันตกเฉียงใตติดกับรัฐซาราวัก และทางทิศใตติดกับกาลิมันตันของ อินโดนีเซีย ซาบาหแมีความยาวของชายฝั่งทะเลประมาณ 1,300 – 1,400 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตกและทิศ เหนือติดกับทะเลจีนใต สวนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับทะเลซูลู (Sulu Sea) และทางทิศตะวันออกติด กับทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) รัฐซาบาหแมีพื้นที่ทั้งหมด 76,115 ตารางกิโลเมตร ประชากรของรัฐซาบาหแมี ประมาณ 3 ลานคน (ขอมูลปี 2553/2010) โดยมีความหนาแนนของประชากรอยูที่ 42 คนตอตารางกิโลเมตร ซาบาหแอยูหางจากฮองกงเป็นระยะทาง 1,961 กิโลเมตร อยูหางจากกรุงมะนิลา 1,143 กิโลเมตร อยูหางจาก สิงคโปรแ 1,495 กิโลเมตร อยูหางจากกัวลาลัมเปอรแ 1,678 กิโลเมตร และอยูหางจากกรุงไทเป 2,291 กิโลเมตร ดังนั้น ซาบาหแจึงอยูใกลกับกรุงมะนิลาเมืองหลวงของฟิลิปปินสแมากกวากรุงกัวลาลัมเปอรแเมืองหลวง ของมาเลเซีย ซาบารแเป็นดินแดนที่ยังไมมีการพัฒนาเทาที่ควร แตร่ํารวยดวยทรัพยากรทางธรรมชาติซึ่งมีอยู อยางอุดมสมบูรณแ นอกจากนี้ซาบาหแยังอยูติดกับประเทศบรูไนซึ่งเป็นรัฐสุลตานที่ร่ํารวยที่สุดแหงหนึ่งในโลก สุลตานแหงซูลู (Sultanate of Sulu) ไดรับดินแดนซาบาหแหรือบอรแเนียวเหนือเป็นรางวัลตอบแทนจาก การชวยสุลตานแหงบรูไน (Sultan of Brunei) ปราบศัตรู ในปี 2247/1704 หลังจากนั้นดินแดนบอรแเนียว เหนือจึงถือวาเป็นสวนหนึ่งภายใตอํานาจการปกครองของสุลตานแหงซูลู ตอมาในปี 2421/1878 บารอน ฟอน โอเวอรแเบ็ค (Baron von Overbeck) ชาวออสเตรียกับหุนสวนชาวอังกฤษชื่อ อัลเฟร็ด เดนทแ (Alfred Dent) ซึ่งเป็นหุนสวนและผูแทนบริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษ (British North Borneo Company) ไดทํา ขอตกลงเพื่อทําการเชา (lease) ดินแดนที่รูจักในนาม “ซาบาหแ (Sabah)” ซึ่งแปลวา “ดินแดนที่อยูใตลม (the land beneath the winds)” ในทางกลับกันบริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษจะทําการจัดหาอาวุธใหสุลตาน ซูลูเพื่อใชในการตอสูกับการรุกรานของชาวสเปน โดยจายคาตอบแทนเป็นเงินรายปีจํานวน 5,000 ริงกิต มาเลเซีย ซึ่งในเวลานั้นอางอิงอยูกับคาเงินดอลลารแเม็กซิกัน (Mexican dollars) หรืออาจจายเป็นทองคําที่มี มูลคาเทียบเทากัน อยางไรก็ตาม สิ่งที่เป็นหลักฐานของความเกี่ยวของระหวางชาวฟิลิปปินสแกับซาบาหแ คือ ชาติพันธุแ การแตงกาย และวัฒนธรรมความเป็นอยู38
ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตรแชวงตนในยุคอาณานิคมของการกําหนดเสนเขตแดนของซาบาหแก็เป็นเชนเดียวกับ ประวัติศาสตรแการกําหนดเสนเขตแดนทางบกเกาะบอรแเนียว แตตอมาเมื่อเกิดกระบวนการเอกราชของ ฟิลิปปินสแ จึงมีการลงนามในสนธิสัญญาปี 2473/1930 ระหวางรัฐบาลอเมริกันกับสหราชอาณาจักร ซึ่งมีการ กําหนดอาณาเขตอธิปไตยของสาธารณรัฐฟิลิปปินสแ แตไมไดมีการรวมดินแดนซาบาหแใหเขามาอยูในเขตแดน ภายใตอํานาจอธิปไตยของสเปน อเมริกัน และฟิลิปปินสแแตอยางใด และหลังจากที่ฟิลิปปินสแไดรับเอกราชใน วันที่ 10 กรกฎาคม 2489/1946 ตอมาอีก 6 วัน บริษัทบอรแเนียวเหนือแหงอังกฤษ (British North Borneo Company) ไดมอบอํานาจและสิทธิการครอบครองซาบาหแคืนใหแกรัฐบาลอังกฤษ โดยการตรากฎหมายที่ เรียกวา “คําสั่งโอนบอรแเนียวเหนือ North Borneo Cession Order” โดยในขณะนั้นไมมีความเคลื่อนไหว เกี่ยวกับการอางสิทธิ์เหนือดินแดนซาบาหแระหวางปี 2489-2505/1946-1962 แตอยางใด
38Artemio V. Panganiban. Understanding the Sabah dispute, Philippine Daily Inquirer, Saturday, March 2nd, 2013 เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2557/2014 เขาถึงจาก http://bit.ly/1cdfPhr 58
ตอมารัฐบาลฟิลิปปินสแไดทําการศึกษาขอกฏหมายและสืบสวนขอเท็จจริงและความเป็นไปไดในการอาง สิทธิเหนือดินแดนซาบาหแอยางชาๆ ซึ่งผลการศึกษาและเอกสารที่เกี่ยวของดังกลาวทําให นายดิออสดาโด มา คาปากัล (Diosdado Macapagal) ซึ่งขณะนั้นมีตําแหนงเป็นผูอํานวยการกองกฎหมายของกระทรวงการ ตางประเทศฟิลิปปินสแ เกิดความคิดริเริ่มวามีความเป็นไปไดที่ฟิลิปปินสแจะสามารถอางสิทธิในดินแดนบอรแเนียว เหนือได ปฏิบัติการอยางเป็นทางการของฝุายฟิลิปปินสแในเรื่องดังกลาว ไดแก การออกพระราชบัญญัติ หมายเลข 42 ลงวันที่ 28 เมษายน 2493/1950 โดยประกาศอยางชัดเจนวา ดินแดนตอนเหนือของเกาะ บอรแเนียวเป็นสมบัติของทายาทสุลตานแหงซูลู ซึ่งไดมอบอํานาจใหประธานาธิบดีแหงฟิลิปปินสแเป็นผูเจรจา เพื่อทวงเอาอํานาจอธิปไตยกลับคืนมา ตอมาในปี 2505/1962 สมัยการดํารงตําแหนงของประธานาธิบดีดิออส ดาโด มาคาปากัล (Diosdado Macapagal) ของฟิลิปปินสแ จึงไดประกาศอางสิทธิ์เหนือดินแดนซาบาหแอยาง เป็นทางการ โดยอาศัยการอางสิทธิ์ของทายาทสุลตานซูลูแหงซูลู ในการอางสิทธิ์ดังกลาวฟิลิปปินสแประกาศตัด ความสัมพันธแทางการทูตกับมาเลเซียหลังจากที่สหพันธแรัฐมาเลเซียรวมเอาดินแดนซาบาหแเขาเป็นสวนหนึ่งของ ตน และทายาทของสุลตานแหงซูลูไดมอบอํานาจใหแกรัฐบาลฟิลิปปินสแดําเนินการฟูองรองตอศาลยุติธรรม ระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก แตในสมัยรัฐบาลตอมาก็ไดยุติการ อางสิทธิ์ดังกลาว เนื่องดวยเหตุผลของความสงบสุขและความสัมพันธแทางการคากับมาเลเซีย ในเดือนมิถุนายน 2505/1962 รัฐบาลฟิลิปปินสแไดแจงแกรัฐบาลสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับการอางสิทธิ ของตนเหนือซาบาหแ และตอมาในเดือนตุลาคมปีเดียวกันทั้งสองประเทศไดตกลงที่จะจัดการเจรจาเกี่ยวกับ ปัญหาดังกลาว การประกาศอางสิทธิ์เหนือดินแดนซาบาหแของฟิลิปปินสแนําไปสูความขัดแยงทางการทูตกับ อังกฤษ ซึ่งถือวาเป็นการรบกวนตอแผนการเปลี่ยนสถานะของบอรแเนียวเหนือจากดินแดนอาณานิคมเป็น สหพันธรัฐมาเลเซีย ในที่สุดรัฐบาลอังกฤษจึงปฏิเสธที่จะเจรจากับฟิลิปปินสแ เนื่องจากการสถาปนาสหพันธรัฐ มาเลเซียมีความสําคัญมากกวา การเป็นอาณานิคมของอังกฤษทําใหไดรับการสนับสนุนจากฝุายมาเลเซีย มากกวาการที่จะคืนดินแดนใหแกเจาของเดิมคือสุลตานซูลูตามคําพิพากษาของศาลบอรแเนียวเหนือเมื่อปี 2482/1939 ความสงสัยที่วาอังกฤษยังคงมีอิทธิพลตอการทําประชามติในปี 2505/1962 โดยผลปรากฏวา ประชาชนชาวซาบาหแตองการที่จะเขารวมกับสหพันธรัฐมาเลเซียกวาการเป็นรัฐเอกราช คณะกรรมการไตสวนขอเท็จจริง (commissions of enquiry) จํานวน 2 ชุด ไดเดินทางไปยังดินแดน บอรแเนียวเหนือ หรือ ซาบาหแ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการควบรวมดินแดนเขากับมาลายา (Malaya) และสิงคโปรแ คณะกรรมการไตสวนขอเท็จจริง ไดรับทราบความตองการของประชาชนชาวซาบาหแ วา ควรตองจัดใหมีสิทธิในการกําหนดการปกครองดวยตนเอง (self-determination) ไดอยางอิสระ รวมทั้ง การตัดสินใจทางการเมือง แนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตนเอง คณะกรรมการไต สวนขอเท็จจริงชุดแรก ซึ่งรูจักกันในชื่อ “คอบโบลดแ (Cobbold Commission)”39 ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลมลา ยาและอังกฤษ โดยมี ลอรแด คอบโบลดแ (Lord Cobbold) เป็นประธาน พรอมดวยผูแทนของฝุายมลายาและ ฝุายสหราชอาณาจักรอีก 2 คน คณะกรรมการฯ ชุดนี้พบวา “ประมาณหนึ่งในสามของประชากรในดินแดน ทางเหนือของเกาะบอรแเนียวและซาราวัก พอใจมากตอการเริ่มตนของมาเลเซียโดยไมกังวลตอขอตกลงหรือ เงื่อนไขใดๆ”40 และอีกสามสวนยังยินดีกับโครงการสหพันธรัฐมาเลเซียโดยรองขอใหมีการตั้งเงื่อนไขและการ ปูองกันตัว นอกจากนี้ สามสวนที่เหลือยังแบงออกเป็น 2 ฝุาย คือ ฝุายที่ยืนยันความเป็นอิสระ กับ ฝุายที่ขอให อังกฤษยังคงอํานาจการปกครองเอาไวอีกซักระยะ คณะกรรมการชุดนี้ไดตีพิมพแรายงานในวันที่ 1 สิงหาคม
39 โปรดดู Report of the Commission of Enquiry, North Borneo and Sarawak, 1962. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1RwVw0Y 40 Ibid. 59
2505/1962 และทําขอเสนอแนะในหลายแนวทาง แตยังไมมีการทําประชามติในบอรแเนียวเหนือ หรือ ซาบาหแ กับลาบวน (Labuan) และซาราวัก ตอมาจึงมีการแลกเปลี่ยนบันทึกความเขาใจในการปฏิบัติตามขอตกลง มะนิลา (Manila Accord) ซึ่งทําเมื่อ 31 กรกฎาคม 2506/1963 โดย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินสแ ตางปฏิเสธ รายงานของคณะกรรมการชุด “คอบโบลดแ (Cobbold Commission)” ในปี 2506/1963 มีการประชุมไตรภาคีซึ่งจัดขึ้นในกรุงมะนิลา ระหวางประธานาธิบดีซูการแโน (Soekarno) ของอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีดิออสดาโด มาคาปากัล (Diosdado Macapagal) ของฟิลิปปินสแ และนายกรัฐมนตรีตนกู อับดุล ระหแมาน (Tunku Abdul Rahman) ของมลายา และผลของการประชุมคือ การลงนามใน “ขอตกลงมะนิลา (Manila Accord)” ซึ่งระบุวา การรวมบอรแเนียวเหนือเขากับมาเลเซียจะไม กระทบกระเทือนตอสิทธิอยางใดอยางหนึ่งในการเรียกรองดินแดนของฟิลิปปินสแ41 ผูนําทั้ง 3 ประเทศ ตกลงที่ จะยื่นคํารองตอสหประชาชาติเพื่อใหจัดตั้งคณะกรรมการไตสวนขอเท็จจริงขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง โดยฟิลิปปินสแและ อินโดนีเซียยอมตกลงที่จะยุติการคัดคานการสถาปนาสหพันธรัฐมาเลเซีย หากคณะกรรมการชุดใหมนี้จะจัดทํา ขอสรุปเกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อีกครั้ง คณะผูแทนสหประชาชาติกรณีบอรแเนียว (The UN Mission to Borneo) ถูกจัดตั้งขึ้น ประกอบดวยสมาชิกของสํานักเลขาธิการสหประชาชาติจาก อารแเจนตินา (Argentina) บราซิล (Brazil) ศรีลังกา (Ceylon) เช็กโกสโลวาเกีย (Czechoslovakia) กานา (Ghana) ปากีสถาน (Pakistan) ญี่ปุุน (Japan) และ จอรแแดน (Jordan) และจัดทํารายงานของคณะผูแทนโดยมี นาย อู ถั่น (U Thant) เลขาธิการสหประชาชาติ เป็นผูรายงาน โดยระบุวา “ประชากรสวนใหญมีความตองการเขา รวมกับสหพันธรัฐมาเลเซีย”42 แตอินโดนีเซียและฟิลิปปินสแก็ปฏิเสธผลการรายงานดังกลาว โดยอินโดนีเซียได ดําเนินนโยบายเผชิญหนาหรือที่รูจักในชื่อ konfrontasi ตอมาเลเซียเป็นระยะเวลา 4 ปี คือ 2505- 2509/1963-1966 โดยอาจกลาวไดวา รายงานของสหประชาชาติฉบับนี้ สงผลโดยตรงตอการถือกําเนิดขึ้น ของประเทศมาเลเซีย วันที่ 20 เมษายน 2506/1963 ความกังวลเรื่องขอพิพาทซาบาหแทําใหประธานาธิบดีมาคาปากัล แจงไป ยังประธานาธิบดีจอหแน เอฟ. เคเนดี แหงสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับความสําคัญของซาบาหแที่มีตอความมั่นคงของ ฟิลิปปินสแ โดยในการประชุมระดับรัฐมนตรีเกี่ยวกับการอางสิทธิ์ดังกลาว ณ กรุงลอนดอนในปี 2506/1963 ได มีการออกแถลงการณแรวม (Join Communiqué) ระหวางรัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศของ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินสแ ระบุวาการรวมซาบาหแไวในสหพันธรัฐมาเลเซียจะไมกระทบตอการอาง สิทธิใดๆ ของฟิลิปปินสแภายใตการลงนามในแถลงการณแฉบับนี้ แตในที่สุด สหพันธรัฐมาเลเซียก็ถูกสถาปนาขึ้น ในวันที่ 16 กันยายน 2506/1963 และเขาครอบครองดินแดนซาบาหแอยางเป็นรูปธรรม ทําใหรัฐบาลฟิลิปปินสแ ปฏิเสธการใหการรับรองทางการทูตแกสหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งขัดแยงกับขอตกลงมะนิลา จนกระทั่งเมื่อ ประธานาธิบดีซูการแโน เริ่มนโยบายเผชิญหนา หรือ Konfrontasi ตอมาเลเซีย รัฐบาลฟิลิปปินสแจึงลดระดับ ความสัมพันธแทางการทูตลงใหเหลือเพียงแคระดับกงสุลเทานั้น การอางสิทธิ์ดังกลาวไดถูกลดความสําคัญลง เมื่อมีเกิดปัญหาที่ใหญกวาในกรณีเหตุการณแเผชิญหนาของสาธารณรัฐอินโดนีเซียกับมาเซีย และระบอบซูการแ โนไดใชกําลังทหารคุกคามมาเลเซีย และหลังจากการเผชิญหนายุติลง ขอพิพาทเหนือดินแดนซาบาหแไดถูก นํามาเจรจาที่กรุงเทพฯ แตการเจรจาทวิภาคีดังกลาวก็ลมเหลวโดยสิ้นเชิง ในการประชุมสมัชชาใหญแหง
41 โปรดดู No.8029 Manila Accord ลงนามเมื่อ 31 กรกฎาคม 2506/1963, Manila Declaration ลงนามเมื่อ 3 สิงหาคม 2506/1963 และ Joint Statement ลงนามเมื่อ 5 สิงหาคม 2506/1963 ใน United Nations – Treaty Series 1965, pp.344 – 360. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1QfPhdV 42 โปรดดู United Nations Malaysia Mission Report. “Final Conclusions of the Secretary-General,” 14 September 1963, เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Pi8rgP 60
สหประชาชาติ คูพิพาทไดโตเถียงกันดวยขอกลาวหาตางๆ ความพยายามที่จะนําไปสูความปรองดองกัน เกิดขึ้นมากมายแตไมประสบความสําเร็จ จนกระทั่งฟิลิปปินสแและมาเลเซียตกลงที่จะสถาปนาความสัมพันธแ ทางการทูตอีกครั้งในเดือนมิถุนายน 2509/1966 ซึ่งนาประหลาดใจวา ประธานาธิบดีเฟอรแดินานดแ มารแกอส ไดรับรองสถานะของมาเลเซียหลังจากเขามีอํานาจทางการเมืองอยางเบ็ดเสร็จในฟิลิปินสแ ดวยเหตุผลในการ กอตั้งองคแกรอาเซียนของสมาชิกแรกเริ่ม 5 ชาติ จึงไดมีขอตกลงระหวางมาเลเซียและฟิลิปปินสแวา ปัญหาขอ พิพาทซาบาหแดังกลาวจะถูกเก็บไวบนหิ้งกอน เพื่อผลประโยชนแแหงความสมามัคคีกันภายในภูมิภาค และทั้ง สองประเทศไดตกลงวา ในทายที่สุดจะแกปัญหาขอพิพาทซาบาหแผานกลไกอาเซียน ในเดือนมีนาคม 2510/1967 รัฐบาลฟิลิปปินสแถูกเชิญใหสงผูสังเกตการณแเพื่อเป็นพยานในการเลือกตั้ง โดยตรงครั้งแรกในซาบาหแ แตฟิลิปปินสแปฏิเสธเนื่องจากเกรงวาอาจสงผลกระทบตอทาทีในการอางสิทธิ์เหนือ ดินแดนซาบาหแ อยางไรก็ตามการปฏิเสธดังกลาวก็ไมไดขัดขวางการเขารวมการกอตั้งสมาคมประชาชาติแหง เอเชียตะวันออกเฉียงใตหรืออาเซียนในเดือนสิงหาคม 2510/1967 แตอยางใด และในเดือนมกราคม 2511/1968 ประธานาธิบดีเฟอรแดินานดแ มารแกอส และนางอีเมลดา มารแกอส ภริยา ไดเดินทางไปเยือนกรุง กัวลาลัมเปอรแอยางเป็นทางการ แตความตกต่ําในความสัมพันธแของทั้งสองประเทศซึ่งมีสาเหตุมาจากขอพิพาท ซาบาหแนั้น เมื่อฟิลิปปินสแไดออกสาธารณรัฐบัญญัติ หมายเลข 5446 (Republic Act 5446) ซึ่งมีผลบังคับใช เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2511/1968 ไดระบุวา ซาบาหแเป็นดินแดน “ซึ่งสาธารณรัฐฟิลิปปินสแไดมาซึ่งสิทธิใน การปกครองและมีอํานาจอธิปไตย (over which the Republic of the Philippines has acquired dominion and sovereignty)”นําไปสูความแตกแยกในปี 2512/1969 ทําใหฟิลิปปินสแออกกฎหมาย สาธารณรัฐบัญญัติ 5546 (Republic Act 5546) ซึ่งประกาศรวมเอาดินแดนซาบาหแเขามาอยูในเขตแดนของ ฟิลิปปินสแ เป็นผลใหมาเลเซียประกาศตัดความสัมพันธแทางการทูตทันที อยางไรก็ตาม ดวยจิตวิญญาณแหง ความรวมมือภายในภูมิภาค ความสัมพันธแทางการทูตไดรับการสถาปนาขึ้นใหมในวันที่ 16 ธันวมาคม 2512/1969 ระหวางการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีอาเซียนครั้งที่ 3 เหตุการณแที่มีนัยสําคัญซึ่งเกิดขึ้นหลังจากนั้น คือ การที่ประธานาธิบดีเฟอรแดินานดแ มารแกอส (Ferdinand Marcos) ไดนําการอางสิทธิ์เหนือดินแดนซาบารแกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหนึ่ง โดยในปี 2515/1972 รัฐบาลมารแกอส ไดทําการฝึกอาวุธอยางลับๆ ใหแกกลุมมุสลิมบนเกาะกอริกิดอรแ (Corregidor) นอกอาวมะนิลา (Manila Bay) เพื่อเตรียมพรอมที่จะบุกรุกเขาไปในดินแดนซาบาหแโดยหวังวาจะใหซาบาหแ แยกตัวออกมาจากมาเลเซีย แตเมื่อมีผูทราบถึงแผนการดังกลาว กลุมมุสลิมที่ไดรับการฝึกก็เกิดจลาจลและถูก กําจัด ยกเวนผูที่สามารถวายน้ําหนีและไดรับการชวยเหลือใหรอดชีวิต หนังสือพิมพแเรียกเหตุการณแที่เกิดขึ้นนี้ วา “การสังหารหมูจาบิดาหแ (Jabidah Massacre)” ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากแผนกระชับพื้นที่ของฝุายทหาร ผูรอดชีวิตไดเปิดเผยแผนการทั้งหมด และการอางสิทธิ์ก็ถูกนํากลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง โดยเชื่อวาสาเหตุมา จากเหตุการณแที่เกิดขึ้น ชาวมาเลเซียใหการชวยเหลือกลุมแบงแยกดินแดนชาวมุสลิมเพื่อตอตานรัฐบาล ฟิลิปปินสแ นักวิเคราะหแบางคนกลาววา การเบี่ยงเบนความสนใจโดยการใชเรื่องการอางสิทธิ์ในดินแดนซาบาหแนี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลตั้งใจใหเกิดเพื่อสรางความขัดแยง อยางไรก็ตาม ตอมาในปี 2532/1989 มีการสถาปนาความสัมพันธแทางการทูตขึ้นอีกครั้ง เนื่องจาก รัฐบาลฟิลิปปินสแระงับการอางสิทธิ์เหนือดินแดนซาบาหแไว และหันมาเนนนโยบายดานความสัมพันธแทาง เศรษฐกิจและความมั่นคงกับรัฐบาลมาเลเซีย เนื่องจากซาบาหแตั้งอยูอยูหางจากซูลูเพียง 16 กิโลเมตร ทําให ฟิลิปปินสแกังวลเรื่องความมั่นคงเป็นอยางมากจนถึงปัจจุบัน และในวันที่ 16 กรกฎาคม 2554/2011 ศาลฎีกา ของฟิลิปปินสแไดมีคําตัดสินวาการอางสิทธิ์ของฟิลิปปินสแเหนือดินแดนซาบาหแจะยังคงอยูและอาจมีขึ้นไดอีกใน อนาคต นอกจากนี้ ฝุายฟิลิปปินสแตั้งขอสังเกตวา กรณีซาบาหแอาจเทียบเคียงไดกับการที่อังกฤษคืนเกาะฮองกง 61
ใหแกจีนในปี 2540/1997 แทนที่จะมีการทําประชามติเหมือนที่เกิดขึ้นในซาบาหแในปี 2505/1962 และใน ปัจจุบันมาเลเซียยังคงปฏิเสธการเรียกรองของฟิลิปปินสแในการแกปัญหาซาบาหแโดยกลไกศาลยุติธรรมระหวาง ประเทศ (International Court of Justice)
62
ภาพที่ 3.7 แผนที่ดินแดนซาบาหแ (Sabah) (ที่มา: World 1:1,000,000 Sheet NB50 Series 1301 Edition 7-DMATC เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1zImniM) 63
ความตกลงและสนธิสัญญา
1. สนธิสัญญาบอร์เนียวเหนือ (North Borneo Treaties 1877) วันที่ 29 ธันวาคม 2420/1877 สุลตานอับดุล มูมิน เอ็บบน มารแโฮม มัวลานา อับดุล วาฮับ (Sultan Abdul Mumim Ebn Marhoum Maulana Abdul Wahab) แหงบรูไนไดทําหนังสือสัญญา43 เพื่อพระราชทานดินแดนใหแก กุสตาวุส บารอน ฟอน โอเวอรแเบ็ค (Gustavus Baron von Overbeck) และ อัลเฟร็ด เดนทแ (Alfred Dent) และในหนังสือ สัญญาดังกลาวไดระบุดินแดนตางๆ ไดแก ไปตัน (Paitan) สุกุต (Sugut) ลาบัค (Labuk) สันดากัน (Sandakan) กีนา (Kina) บาตังกัน (Batangan) มัมมิอัง (Mumiang) และดินแดนตางๆ ที่อยูหางออกไปจนถึง แมน้ําสิบูโก (Sibuco River) และเกาะตางๆ ภายในระยะทาง 3 ลีก (league)44 จากชายฝั่ง
2. สนธิสัญญาบอร์เนียวเหนือ (North Borneo Treaties 1878) วันที่ 22 มกราคม 2421/1878 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2421/1878 มีการทําหนังสือสัญญาระหวาง ศรี ปาดูกา เมารานา อัล สุลตาน โมฮัมหมัด จามาลุล อาลาม (Sri Paduka Maulana Al Sultan Mohammad Jamalul Alam) ในฐานะ เจาของและผูมีอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนซาบาหแ กับ กุสตาวุส บารอน ฟอน โอเวอรแเบ็ค (Gustavus Baron von Overbeck) และ อัลเฟร็ด เดนทแ (Alfred Dent) ในฐานะผูแทนบริษัทอินเดียตะวันออกของ อังกฤษ (British East India Company) ตอมาจึงเปลี่ยนเป็น บริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษ (British North Borneo Company) การจายเงินจํานวน 5,000 ดอลลาหแมาลายาตอปี45 และแมวาตอมาอังกฤษจะทํา การสงมอบการครอบครองดินแดนซาบาหแใหแกสหพันธรัฐมาเลเซียแลว แมในปัจจุบันมาเลเซียก็ไมไดยกเลิก การจายเงินรายปีดังกลาว ประเด็นสําคัญในสนธิสัญญา คือ คําวา “ปัดจัก (padjak)” ซึ่งในภาษามาเลยแ ฉบับที่แปลโดย นักภาษาศาสตรแชาวสเปนในปี 2421/1878 และโดยนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน H. Otley Beyer และ Harold Conklin ในปี 2489/1946 วา “arrendamiento” หรือ “สัญญาเชา (lease)” สวนฝุายอังกฤษ ใช สํานวนแปลและการตีความของนักประวัติศาสตรแ นาจีบ มิตรี ซาลีบาย (Najeeb Mitry Saleeby) ในปี 1908/2451 และของวิลเลียม ยอรแจ แม็กเวลลแ (William George Maxwell) และ วิลเลียม ซัมเมอรแ กิ๊บสัน (William Summer Gibson) ในปี 2467/1924 ซึ่งแปลวา “มอบให (grant)” และ “ยกให (cede)” แตใน ภาษาซูลู คําวา “padjak” ปัจจุบันหมายถึง “การจํานอง (mortage)” หรือ “จํานํา (pawn)” หรือ “ขายสง (wholesale)” ก็ได อยางไรก็ตาม แมในปัจจุบันสถานทูตมาเลเซียในฟิลิปปินสแก็ยังคงดําเนินการจายเงินรายปีเป็นจํานวน 5,300 ริงกิต หรือราว 1,710 ดอลลาหแสหรัฐ หรือประมาณ 77,000 เปโซ ใหแกทายาทของสุลตานแหงซูลู (ดู ภาพที่ 3.8) โดยฝุายมาเลเซียถือวาเงินจํานวนนี้เป็นคา “โอน (cession)” แตฝุายสุลตานแหงซูลูและฟิลิปปินสแ ถือวาเป็น “คาเชา (rent)”
43 โปรดดู Grant by the Sultan of Brunei of Territories from the Paitan to Sibucco River, December 29, 1877. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1bsHObC 44 หนวยวัดระยะทางในอังกฤษและอเมริกา โดย 1 league เทากับประมาณ 3 ไมลแ หรือ 4.828 กิโลเมตร 45 โปรดดู Grant by Sultan of Sulu of Territories and Lands on the Mainland of the Island of Borneo, January 22, 1878. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1AAimaM 64
3. พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol) วันที่ 7 มีนาคม 2428/1885 หลังจากที่สุลตานแหงซูลูไดสละสิทธิอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดใหแกสเปน โดยมี “สนธิสัญญา สันติภาพและการยอมจํานน (Bases of Peace and Capitulation)” ลงนามโดยสุลตานแหงซูลูและฝุาย สเปน ณ เมืองโฮโล (Jolo) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2421/1878 ตอมาในปี 2428/1885 สหราชอาณาจักร เยอรมนี และสเปน ไดลงนามใน “พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol)”46 เพื่อจํากัดอิทธิพลของสเปนที่มีในหมู เกาะฟิลิปปินสแ และในสัญญาเดียวกันนี้รัฐบาลสเปนไดสละอํานาจอธิปไตยทั้งหมดเหนือดินแดนของเกาะ บอรแเนียวเทาที่รัฐบาลอังกฤษเรียกรอง ซึ่งมีอยูหรือเคยมีอยูในอดีตโดยสุลตานแหงซูลู และในพื้นที่ใกลเคียงซึ่ง ประกอบดวยเกาะบาลัมบังงัน (Balambangan) บังกูอัย (Banguey) และมาลาวาลี (Malawali) รวมทั้งเกาะ อื่นๆ ซึ่งตั้งอยูหางออกไปภายในระยะ 3 ลีก (league) จากชายฝั่ง และในที่สุดรัฐบาลอังกฤษก็ไดดําเนินการผนวกดินแดนบอรแเนียวเหนือเขาเป็นสวนหนึ่งของอาณานิคม แหงราชอาณาจักรบริเตนใหญเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2489/1946 ทั้งๆ ที่ตั้งแตปี 2449/1906 และ 2463/1920 สหรัฐอเมริกาเคยแจงเตือนสหราชอาณาจักรอยางเป็นทางการวา ซาบาหแไมไดเป็นของอังกฤษอีก ตอไปแลว เพราะยังคงเป็นสวนหนึ่งของรัฐสุลตานแหงซูลู บนสมมติฐานที่วาสเปนไมเคยมอบอํานาจอธิปไตย บนเกาะบอรแเนียวใหอังกฤษตาม “พิธีสารมาดริด (Madrid Protocol)” ในปี 2428/1885
4. ตราสารยืนยัน (Confirmatory Deed of 1903) วันที่ 22 เมษายน 2446/1903 สุลตานจามาลุล กีแรม (Sultan Jamalul Kiram) แหงซูลูไดลงพระนามในเอกสารที่ชื่อวา “ยืนยันการ ยกใหหมูเกาะบางแหง (Confirmation of Cession of Certain Islands)” ซึ่งระบุวาพระองคแจะ “ยกให (cede)”47 บรรดาหมูเกาะเพิ่มเติมในอาณาบริเวณใกลเคียงกับดินแดนบอรแเนียวเหนือตั้งแตเกาะบังกิ (Banggi Islands) จนถึงอาวสิบูกุ (Sibuku Bay) ใหแกบริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษ (British North Borneo Company)
5. ค าตัดสินของมากาสกี้ (Macaskie decision of 1939) ในปี 2482/1939 มีการฟูองคดีแพงโดยผูสืบสิทธิ์คือทายาทของสุลตานแหงซูลู ดายัง ดายัง ฮัดจี ปิอาน เดา (Dayang Dayang Hadji Piandao) พรอมดวยคณะทายาทคนอื่นอีก 8 คน เกี่ยวกับ “เงินโอน (cession money)” ที่จายใหกับทายาทของสุลตานแหงซูลู หลังจากที่สุลตานแหงซูลู จามาลุล กีแรม ที่ 2 (Jamalul Kiram II) เสียชีวิตในเดือนมิถุนายน 2479/1936 โดยไมมีบุตรหรือธิดา โดยคําตัดสินของ ซี.เอฟ.ซี มากาสกี้ (C.F.C. Makaskie) หัวหนาผูพิพากษาศาลฎีกาของบอรแเนียวเหนือ ระบุวา ใหแบงเงินดังกลาวใหแกผูยื่นฟูอง สวนละเทากัน ซึ่งคดีนี้มักจะถูกหยิบยกมาอางอิงโดยฝุายที่อางสิทธิ์ในฐานะผูแทนของสุลตานแหงซูลู และ กลายเป็นหลักฐานที่สําคัญตอสถานะความเป็นเจาของของสุลตานแหงซูลูในดินแดนบอรแเนียวเหนือ แตคดี ดังกลาวตัดสินเฉพาะประเด็นผูมีสิทธิรับ “เงินโอน (cession money)” เทานั้น48
46 โปรดดู Madrid Protocal หรือ British North Norneo, March 7, 1885. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JlH7g3 47 โปรดดู Confirmatory Deed of 1903 เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1FLdG87 48 Macaskie judgement. “Should Malaysia Stop the Annual Cession Money?,” March 17, 2013. เขาถึง เมื่อ 23 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1GVmib2 65
ภาพที่ 3.8 เอกสารแจงการจายเงินจํานวน 70,444.06 เปโซ ของสถานทูตมาเลเซียประจําปี 2549/2006 ใหแกทายาทของสุลตานแหงซูลู (ที่มา: The Royal Hashemite Sultanate of Sulu, เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1ES1dyB) 66
สถานการณ์ในปัจจุบัน ในปี 2546/2002 มีการตัดสินคดีเกี่ยวกับอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และเกาะสิ ปาดัน (Pulau Sipadan) ระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย โดยศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก มีคําตัดสินใหมาเลเซียเป็นฝุายชนะคดีและมีอํานาจอธิปไตยเหนือ เกาะทั้งสองนี้49 ซึ่งเกาะทั้งสองดังกลาวตั้งอยูในทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) นอกชายฝั่งทางตะวันออกของ เกาะบอรแเนียว คําตัดสินของคดีนี้ตั้งอยูบนหลักการครอบครองดินแดนอยางมีประสิทธิภาพ (effectivités)50 ของฝุายมาเลเซีย ซึ่งระหวางที่มีการพิจารณาคดี ฝุายฟิลิปปินสแไดยื่นคํารองตอศาลโลกเพื่อขอเขาแทรกแซงคดี เนื่องจากฟิลิปปินสแไดประกาศการอางสิทธิ์ในดินแดนบอรแเนียวเหนือ แตอินโดนีเซียคัดคานคําขอของฟิลิปปินสแ เนื่องจาก การอางสิทธิ์ของฟิลิปปินสแไมเกี่ยวของกับดินแดนทั้งสองเกาะและยืนยันวาสถานะทางกฎหมายของ บอรแเนียวเหนืออยูนอกขอบเขตการพิจารณาของศาลในคดีดังกลาว สวนฝุายมาเลเซียก็คัดคานคําขอของ ฟิลิปปินสแเชนกัน โดยใหเหตุผลวาประเด็นอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะทั้งสองในคดีนี้เป็นอิสระอยางสมบูรณแจาก สถานะของบอรแเนียวเหนือ และ ชื่อของดินแดนมีความแตกตางกันทั้งสองกรณี คํารองของฟิลิปปินสแจึงถูกศาล โลกปฏิเสธในที่สุด เพราะศาลไมพบเหตุผลอันสมควรใดวา คําตัดในคดีที่เกี่ยวกับอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะทั้ง สอง จะมีผลตอการอางสิทธิ์ของฟิลิปปินสแในดินแดนบอรแเนียวเหนือ51 แตเหตุการณแที่ทําใหขอพิพาทซาบาหแกลับมาเป็นประเด็นที่ไดรับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง คือเหตุการณแ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธแ 2556/201352 ซึ่ง รัดจาหแ มูดาหแ อัจบิมัดดิน กิแรม (Radjah Mudah Ajbimuddin Kiram) และกองกําลังติดอาวุธอีกกวา 200 คน ไดแลนเรือจากซิมูนัล (Simunul) ในจังหวัดตาวี-ตาวี (Tawi- Tawi) ซึ่งเป็นหมูเกาะทางใตสุดของฟิลิปปินสแ เขาไปยังจังหวัดลาหัด ดาตู (Lahad Datu) บนพื้นที่ชายฝั่งในรัฐ ซาบาหแ เนื่องจากกองกําลังดังกลาวมีจํานวนมาก ทางการมาเลเซียจึงปูองกันไมใหบุคคลเหลานี้ขึ้นฝั่งและแจง ใหบุคคลเหลานั้นสละอาวุธ แตกองกําลังกลุมนี้ไมยอมทําตามคําสั่ง จึงเกิดการเผชิญหนากันขึ้น ความออนไหว ของสถานการณแและผลกระทบที่อาจจะเกิดตามมาตอความสัมพันธแระหวางประเทศ ทําใหเจาหนาที่รักษา ความปลอดภัยของมาเลเซียไมไดจับกุมกลุมบุคคลคนดังกลาวโดยทันที แตไดกําหนดกรอบเวลาเพื่อใหกลุม กองกําลังนี้ถอนตัวออกไปจากพื้นที่อยางสงบ นายอัลเบิรแต เดล โรซาริโอ (Albert del Rosario) รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศของ ฟิลิปปินสแไดขอใหทางการมาเลเซียขยายกําหนดเวลาออกไปจนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธแ 2556/2013 เพื่อใหผู เจรจามีเวลามากขึ้นในการเกลี้ยกลอมกลุมดังกลาว รัดจาหแ มูดาหแ อัจบิมัดดิน กิแรม (Radjah Mudah Ajbimuddin Kiram) ผูนํากลุมกองกําลังกลาววา การเดินทางเขาไปยังพื้นที่ซาบาหแเป็นเพียงการกลับสูบาน เทานั้น และจะไมมีการสูรบใดๆ โดยเปิดโอกาสใหเจาหนาที่ระดับสูงของมาเลเซียเขาไปเจรจาได โดยเหตุผล ของการนํากองกําลังบุกเขาไปในดินแดนซาบาหแนั้น เนื่องมาจากความไมพอใจที่ประธานาธิบดีเบนิกโน อากิโน
49 โปรดดู Case Concerning Sovereignty Over Pualau Ligitan and Sipadan (Indonesia/Malaysia), Judgment of December 17, 2002. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1e7ChJu 50 “รัฐที่จะอางการไดมาซึ่งดินแดนโดยการครอบครองตามหลักเกณฑแขอนี้ไดนั้น จะตองปรากฏหลักฐานวารัฐนั้นตอง ทําการครอบครองดินแดนนั้นอยางมีประสิทธิภาพ (Effective Occupation) มีการใชอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นอยาง แทจริง” ใน จันตรี สินศุภฤกษแ, อางแลว. หนา 13-14. 51 โปรดดู Sovereignty Over Pualau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia v. Malaysia) (Permission to intervene by the Philippines), Judgment of October 23, 2001. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1MGMl9A 52 Jean Magdaraog Cordero, Territorial dispute over Sabah resurfaces, February 28, 2013. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Qf3Ezh
67
(Benigno Aquino III) จะเดินทางไปเยือนคายของแนวรวมปลดปลอยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front – MILF) ในจังหวัดสุลตานกูดารัต (Sultan Kudarat) เพื่อมอบบัตรรักษาพยาบาลและ ทุนการศึกษา โดยทายาทสุลตานแหงซูลูไดแสดงออกถึงความไมพอใจในกระบวนการสันติภาพ เพราะรัฐบาล ปรึกษากับทุกฝุายยกเวนกลุมของรัดจาหแ มูดาหแ อัจบิมัดดิน กิแรม (Radjah Mudah Ajbimuddin Kiram) นายอานิฟาหแ อาแมน (Anifah Aman) รัฐมนตรีกระทรวงตางประเทศของมาเลเซีย ไดสนทนาทาง โทรศัพทแกับนายอัลเบิรแต เดล โรซาริโอ (Albert del Rosario) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธแ 2556/2013 เพื่อให ความมั่นใจวารัฐบาลมาเลเซียกําลังเจรจากับกองกําลังชาวฟิลิปปินสแ 200 คนกลุมนี้ เพื่อขอใหถอนตัวออกไป อยางสงบ นอกจากนี้ยังแสดงขอเท็จจริงใหทราบดวยวา เสนาธิการของกองทัพของมาเลเซียและผูบัญชาการ ทหารของมาเลเซียรับทราบแลววาการกระทําของชาวฟิลิปปินสแกลุมนี้ไมไดรับการอนุมัติโดยรัฐบาล ฟิลิปปินสแ53 และแถลงการณแฉบับหนึ่งของกระทรวงการตางประเทศฟิลิปปินสแไดขอคํารับรองจากทางการ มาเลเซียวาจะใหการเคารพสิทธิ์ของชาวฟิลิปปินสแที่พํานักอาศัยถาวรอยูในรัฐซาบาหแ เหตุการณแดังกลาว เจาหนาที่ทหารและตํารวจของฟิลิปปินสแไดแลกเปลี่ยนขอมูลและปรึกษากับเจาหนาที่ของมาเลเซียเพื่อหาทาง ออกใหแกเหตุการณแ ในขณะเดียวกันไดมีการเพิ่มการลาดตระเวนและมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เขมงวด ขึ้นในนานน้ํานอกจังหวัดตาวี-ตาวี (Tawi-Tawi) และเกาะที่อยูใกลเคียง ทางดานประธานาธิบดีเบนิกโน อากิ โน (Benigno Aquino III) ปฏิเสธที่จะใชกําลังเพื่อแกปัญหา โดยกลาววาการหาทางออกไมไดขึ้นอยูกับรัฐบาล แตทุกฝุายจะตองรวมมือกันหาทางออกใหแกวิกฤตการณแครั้งนี้ และตองเป็นการหาทางออกในระยะยาวใหแก กรณีพิพาทดินแดนซาบาหแนี้ตอไปดวย นอกจากนี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินสแยังกลาวขอบคุณมาเลเซียที่มี ความสัมพันธแที่ดีเสมอมา เพราะมาเลเซียชวยทําใหเกิดขอตกลงสันติภาพกับกลุมแนวรวมปลดปลอยอิสลามโม โร (Moro Islamic Liberation Front – MILF) โดยสรุป ปัญหาขอพิพาทซาบาหแระหวางมาเลเซียกับ ฟิลิปปินสแ ยังคงเป็นปัญหาที่ไมไดรับการแกไข โดยเชื่อวาในอนาคตปัญหาการกระทบกระทั่งกันระหวางกลุม ทายาทของสุลตานแหงซูลูกับเจาหนาที่ของทางการมาเลเซียในพื้นที่ซาบาหแคงจะเกิดขึ้นไดอีกทุกเมื่อ
53 Ibid. 68
3.5 เส้นเขตแดนทางบกระหว่างลาวกับเวียดนาม
เสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับเวียดนาม เกิดจากการบริหารงานอาณานิคมอินโดจีนฝรั่งเศส (French-Indochina) ในชวงปลายคริสตแทศวรรษที่ 1940 เสนเขตแดนบริเวณนี้มีความยาว 2,130.8 กิโลเมตร แตก็ยังไมไดรับการปักปันใหแลวเสร็จสมบูรณแอยางเป็นทางการ โดยเสนเขตแดนความยาวเกือบ 1,850.7 กิโลเมตร เป็นไปตามแนวสันปันน้ําทางตอนเหนือของเขตที่ราบสูงอินโดจีนและเทือกเขาอันนัม รวมทั้งแนวสัน ปันน้ํายอยที่อยูในเทือกเขาเหลานี้ และเสนเขตแดนความยาวอีก 238.2 กิโลเมตร เกิดจากแมน้ําและลําธาร หลายสาย รวมทั้งบริเวณที่ขีดโดยใชเสนตรงสองเสนเป็นระยะทางอีก 61.2 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีแมน้ําอีก หลายสายที่ตัดผานเสนเขตแดน พื้นที่บริเวณชายแดนสวนใหญ ไมคอยมีการตั้งถิ่นฐานของผูคนยกเวนกลุม ชาติพันธุแกลุมนอยบางกลุม การกําหนดตําแหนงที่ถูกตองของเสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับเวียดนาม อาจพิจารณาจากแผนที่ ระวาง “อินโดจีน (Carte de l‖Indochine)” มาตราสวน 1:100,000 จัดพิมพแโดยกองบริการภูมิศาสตรแแหง อินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) ซึ่งชุดแผนที่ดังกลาว ไดรับ การยอมรับจากสถาบันทางภูมิศาสตรแแหงชาติของหลายประเทศ เอกสารและตําราทั้งภายในและระหวาง ประเทศมีความสับสนและไมชัดเจนเกี่ยวกับแผนที่นี้ ยกเวนพื้นที่ราบสูงตอนเหนือจากจุดบรรจบของ 3 ประเทศ ไดแก ลาว เวียดนาม และจีน ซึ่งเสนเขตแดนลากไปตามแนวสันปันน้ําเป็นระยะ 198 กิโลเมตร ไป ทางทิศตะวันออกเฉียงใตจนกระทั่งถึงพื้นที่ใกลเคียงกับเขตเดียนเบียนฟู ซึ่งในระยะสั้นๆ นั้นเสนเขตแดน เป็นไปตามแนวสันเขาตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต แลวจึงลากตอไปทางทิศใตจนกระทั่งขนานไปกับ แนวสันเขา สวนทางทิศตะวันตกเฉียงใตของเขตเดียนเบียนฟูเสนเขตแดนเป็นไปตามลําน้ําเมือก (Nam Meuk River) และแมน้ําสาขาไปอีกเป็นระยะทาง 12.2 กิโลเมตร ตอจากนั้นแนวสันปันน้ําขนาดเล็กทําใหเกิดเสนเขต แดนตอเนื่องไปอีกเป็นระยะทาง 58 กิโลเมตร แลวจึงลากไปตามแนวลําน้ําหนาว (Nam Noua River) และ แมน้ําสาขาอีก 27 กิโลเมตร กอนที่จะเขาสูแนวสันปันน้ําของเทือกเขาทางตะวันตกเฉียงใตของเมืองเดียน เบียนฟู จากนั้นอีกประมาณ 18 กิโลเมตร เสนเขตแดนจึงลากตอไปตามแนวสันเขาตะวันตกเฉียงเหนือ- ตะวันออกเฉียงใต โดยใหถือวาแนวเสนเขตแดนเป็นไปตามสันปันน้ําหลักทางใตของแมน้ําซองหมา (Song Ma) จากนั้นเสนเขตแดนทางทิศเหนือของเขตซําเหนือ (Sam Neua) ลากไปตามเสนตัดของแมน้ําซองหมากอนที่จะ ลากตอไปตามแนวสันปันน้ําของแมน้ําซองหมานี้ตอไปอีกเป็นระยะทาง 98 กิโลเมตร ยกเวนบริเวณใกลกับ จุดตัดบริเวณชายแดนของทางหลวงหมายเลข 6 ซึ่งทําใหสันปันน้ําเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเนื่องจากการ กอสรางถนนสายนี้ จากนั้นเสนเขตแดนลากตอไปอีกเป็นระยะทาง 27.8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความ ซับซอนเนื่องจากมีแมน้ําลําธารสายเล็กๆ จํานวนมาก จนกระทั่งใชลําน้ําซองหมาเป็นเขตแดนตอไปอีกเป็น ระยะทาง 14.8 กิโลเมตร จากจุกนี้เสนเขตแดนตัดผานตนแมน้ําสายเล็กๆ 5 สาย โดยลากไปตามลําแมน้ําสาย เล็กชื่อซองเลือง (Song Luong River) อีกเป็นระยะทาง 7.6 กิโลเมตร แมวาจะมีลําน้ําซํา (Sam River) ตัด ผานแตเสนเขตแดนก็ลากตอไปตามแนวสันปันน้ําอีก 77 กิโลเมตร จนกระทั่งบรรจบกับแมน้ําซองกา (Song Ca) ที่จุดพิกัดละติจูด 19 องศา 40 ลิปดา เหนือ และ ลองจิจูด 104 องศา 19 ลิปดา ตะวันออก แมน้ําซองกา (Song Ca) และ ลําน้ําสาขาคือแมน้ําหวยหมาย (Houei May) กลายเป็นแนวเสนเขตแดน ตอไปอีก 47.5 กิโลเมตร จากนั้นเสนเขตแดนเลี้ยวไปทางทิศใตตามแนวสันปันน้ําและแนวลําน้ําอีกเป็น ระยะทางประมาณ 42 กิโลเมตร จนกระทั่งบรรจบกับแมน้ําโม (Nam Mo) ที่จุดพิกัดละติจูด 19 องศา 25 ลิปดา เหนือ และ ลองจิจูด 104 องศา 04 ลิปดา ตะวันออก ซึ่งเสนเขตแดนเป็นไปตามลําน้ําสายนี้ตอไปอีก 69
เป็นระยะทาง 32 กิโลเมตร และลากตอไปอีก 4.8 กิโลเมตร จากบริเวณทิศเหนือของทางแยกระหวางทาง หลวงหมายเลข 7 กับแนวเสนเขตแดน หลังจากที่เสนเขตแดนถูกลากออกมาจากแมน้ําซองหมาแลวก็วางตัวไป ตามแนวสันปันน้ําทางตะวันออกเฉียงใตของเทือกเขาอันนัมเป็นระยะทาง 362 กิโลเมตร หลังจากที่เสนเขตแดนลากตัดผานทางหลวงหมายเลข 12 – 15 ที่จุดพิกัดละติจูด 17 องศา 40 ลิปดา เหนือ และ ลองจิจูด 105 องศา 46 ลิปดา ตะวันออก เสนเขตแดนจึงลากเขาสูพื้นที่ภูเขาสูงหินปูน และเสน เขตแดนลากตอไปทางตะวันออกเฉียงใตเป็นเสนตรงระยะทาง 40 กิโลเมตร กอนที่จะบรรจบกับแนวสันปันน้ํา ตอไปอีก 98.2 กิโลเมตร จากเทือกเขาหินปูนซึ่งอยูใกลกับพื้นที่เขตปลอดทหาร (demilitarized zone) เสน เขตแดนก็ลากเป็นเสนตรงไปทางทิศใตอีก 40 กิโลเมตร จากนั้นเสนเขตแดนก็ตัดเขาสูพื้นที่ซึ่งมีความซับซอน ทางใตอีก 9.7 กิโลเมตร จนไปถึงลําแมน้ําเซโปน (Sé Pone River) ซึ่งใชเป็นแนวเสนเขตแดนตามลําแมน้ํา สายนี้ตอไปอีก 59 กิโลเมตร ตอจากแมน้ําเซโปนเสนเขตแดนลากไปตามแนวสันปันน้ํา 71 กิโลเมตร แลวจึง ลากไปตามแนวเสนตรงตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต จากตัมบอย (Tam Boi) ผานตัมลาย (Tam Lay) จนถึงอายลอค (Ale Loc) อีก 7.4 กิโลเมตร จากจุดนี้เสนเขตแดนลากไปตามล้ําน้ําสาขาของแมน้ํารัค ลาว (Rac Lao River) อีก 16.7 กิโลเมตร กอนที่จะเลี้ยวออกไปทางใตและทางตะวันออกเฉียงใตเป็น ระยะทาง 153 กิโลเมตร ตามแนวสันปันน้ํา จากพื้นที่บริเวณใกลเคียงแมน้ําเซขะเหมน (Sé Kamane) ตอนบน จุดตะวันออกสุดของชายแดนลาว-เวียดนามไมสามารถทราบตําแหนงที่ถูกตองของเสนเขตแดนไดเป็น ระยะทางประมาณ 51.5 กิโลเมตร แผนที่ 2 ระวาง ไดแก ระวาง 136E และ 142E ในชุด “แผนที่อินโดจีน (Carte de l‖Indochine)” ที่มี อยูในกรุงวอชิงตัน ไมไดแสดงแนวเสนเขตแดนระหวางประเทศบริเวณนี้ ซึ่งแนวสันปันน้ําที่แทจริงอาจมีอยูแต ยังไมสามารถวัดแนวสันปันน้ําที่ถูกตองได ดังนั้นเสนเขตแดนควรจะถือวา “ยังไมแนนอน (indefinite)” โดย ถือวาใหลากไปตามแนวสันปันน้ํา สวนเสนเขตแดนทางตอนใตก็ลากตอเป็นไปตามแนวสันปันน้ําจนถึงจุด บรรจบของ 3 ประเทศ ไดแก กัมพูชา ลาว และเวียดนาม เป็นระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร จนถึงแมน้ําดัก สัต (Dak Sat)54
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ พื้นที่สวนใหญของชายแดนทางบกระหวางลาวกับเวียดนามเป็นพื้นที่บนภูเขาสูง ทางตอนเหนือมี ลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ตามแนวสันเขาเรื่อยไปจนถึงทางตะวันตกเฉียงเหนือและทางใต โดยมีความสูง เฉลี่ยแตกตางกันไปตั้งแต 1,500 เมตร ถึง 1,800 เมตร มีแมน้ําและลําธารหลายสายไหลผานหุบเขาสูงชันซึ่ง พื้นที่สวนใหญประกอบดวยผลึกหิน หินปูน และหินทราย ทําใหเกิดลักษณะภูมิประเทศที่เขาถึงคอนขาง ยากลําบาก พื้นที่ทั้งหมดเป็นที่อยูอาศัยของกลุมชาติพันธุแกลุมตางๆ โดยตั้งบานเรือนอาศัยอยูอยางเบาบาง พื้นที่บริเวณนี้มีที่ราบสูงอยูบาง ซึ่งแนวเทือกเขาทอดตัวไปทางทิศตะวันตกกวามากทางเหนือของลาว สวนทางตอนเหนือของเวียดนามมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแบบหุบเขาทอดตัวยุบลงไปตามแนวที่ราบลุม สามเหลี่ยมปากแมน้ําแดง สวนทางตอนใตของเสนเขตแดนนั้นเป็นไปตามแนวสันปันน้ําของเทือกเขาอันนัม โดยวางตัวทอดจากทางตะวันตกเฉียงเหนือไปยังตะวันออกเฉียงใตขนานไปกับลําน้ําโขง และหากกลาวโดย เครงครัดแลว ภูมิประเทศแถบนี้ไมไดเป็นเขตเทือกเขาแตเป็นที่ราบสูงติดตอกันโดยมีบางสวนถูกกัดเซาะและมี
54 U.S. Department of State, Office of the Geographer. Laos – Vietnam Boundary. (International Boundary Study, No.35 (revised) of June 3, 1966.), p. 8. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://archive.law.fsu.edu/library/collection/limitsinseas/ibs035.pdf
70
ยอดเขาโดดอยูเต็มไปหมด ดานที่มีความลาดชันของเทือกเขาอยูทางฝั่งเวียดนาม โดยเทือกเขามีลักษณะคอยๆ เทตัวลาดเอียงมาทางฝั่งลาว เสนเขตแดนบางสวนขนานไปกับพื้นที่บริเวณแคบๆ ทางตอนใตของแมน้ําซองกา (Song Ca) ซึ่งมีความสูงนอยกวาแนวเทือกเขาอันนัม ทําใหสามารถเดินทางเขาถึงพื้นที่บริเวณนี้ไดไมยาก ในขณะที่ทางตอนใตบริเวณทาเขต (Thakhet) เสนเขตแดนลากผานเขาสูภูมิประเทศแบบหุบเขาหินปูนและมี โตรกผารวมทั้งหนาผาชันอยูมาก เนื่องจากความแหงแลงของดินการตั้งบานเรือนจึงมีอยูเบาบาง สวนของเสน เขตแดนที่ลากผานพื้นที่หินปูนนั้นสิ้นสุดลงทางใตใกลกับบริเวณซึ่งเคยถูกกําหนดใหเป็นพื้นที่ปลอดทหาร (demilitarized zone) เอาเขาจริงแลว เสนเขตแดนระหวางประเทศซึ่งใชกันอยางเป็นทางการในแผนที่ของ สหรัฐอเมริกา หมายถึง เสนเขตแดนที่กําหนดขึ้นโดยสนธิสัญญาระหวางประเทศและขอตกลงดั้งเดิมที่เคยมี ระหวางกัน เสนเขตแดนความยาวเกือบ 32.2 กิโลเมตร ทางตอนใตลากผานพื้นที่หินแกรนิตและหินบะซอล ทําใหการเดินทางเขาถึงพื้นที่บริเวณนี้คอนขางงายและที่สําคัญคือมีถนนหมายเลข 9 (National Route No.9) ตัดผาน ทําใหสามารถเดินทางติดตอกันไปมาระหวางกวเางตริ่ (Quang Tri) ของเวียดนามกับสะหวันนะเขต (Savannakhet) ของลาว ตอมาคือ ภูมิประเทศทางใตของเทือกเขาอันนัมซึ่งเป็นสวนที่ไมสามารถเขาถึงได โดยบริเวณนี้มีความสูงเพิ่มมากขึ้นที่ระดับ 2,000 เมตร ทําใหกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งผูคนรูจักกันนอยที่สุดใน บริเวณคาบสมุทรอินโดจีน ในลาวเทือกเขาอันนัมวางตัวตามแนวขนานโดยตอเนื่องเป็นสามสวนโดยมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ ราบสูงหินทราย จากทางเหนือจรดใตเป็นเขตที่ราบสูง ไดแก คํามวน (Cammon) ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ของเมืองทาแขก (Thakhek) กะเลิ่ง (Kha Leung) ทางตะวันออกเฉียงใตของเมืองทาแขก และตะโฮย (Ta Hoi) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแขวงสาละวัน (Saravane) ในทางตรงกันขามบริเวณที่ราบสูงมักจะมีหญา ขึ้นปกคลุมหนาแนนจึงถูกใชเป็นพื้นที่สําคัญทางยุทธศาสตรแของขบวนการปะเทดลาว (The Pathet Lao Operations) และสวนสุดทายของเสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับเวียดนาม เป็นภูมิประเทศแบบหินผลึก เนินเขาและมีภูเขาที่มียอดคอนขางแหลม รวมทั้งมีเขตภูเขาไฟเกาปรากฏตัวอยูทั่วไปสลับกับที่ราบสูง สวน พื้นที่ซึ่งเป็นเขตปกครองจังหวัดตางๆ อยูทางใตตอเนื่องกับที่ราบสูงดารแลัค (Darlac plateau) ชายแดน ระหวางกัมพูชากับเวียดนาม ภูมิอากาศในพื้นที่บริเวณชายแดนทั้งหมดเป็นแบบมรสุมตามฤดูกาลเชนเดียวกับภูมิอากาศโดยทั่วไป ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต แตภูมิอากาศอาจเปลี่ยนแปลงไปไดตามระดับความสูงของพื้นที่ อุณหภูมิ โดยทั่วไปเป็นแบบเขตรอนชื้น โดยรอนที่สุดในชวงเดือนเมษายนที่อุณหภูมิราว 30 องศาเซลเซียส และที่เย็น ที่สุดในชวงเดือนธันวาคม โดยอยูที่ 26 องศาเซลเซียส และในชวงเดือนสิงหาคมและกรกฎาคมมีอุณหภูมิอยูที่ 27-26 องศาเซลเซียส เนื่องจากไดรับอิทธิพลของลมมรสุม ยกเวนพื้นที่ทางตอนเหนือ ฤดูฝนเริ่มในเดือน เมษายนจนถึงเดือนพฤศจิกายน สวนชวงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคมถือวาเป็นระยะมรสุมแลง ในฤดูฝนมีปริมาณน้ําฝนสูงสุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม โดยปริมาณน้ําฝนในแตละเดือนมี มากกวา 500 มิลลิเมตร อยางไรก็ตาม ในฤดูแลงก็อาจมีฝนตกไดโดยเฉพาะในชวงฤดูหนาวมักจะเกิดฝนตก หนักเนื่องมาจาพายุไตฝุุน และปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยตอปีอยูระหวาง 2,000-3,000 มิลลิเมตร พื้นที่ชายแดนในบริเวณที่มีหุบเขาและลําแมน้ําจะมีผืนปุาปกคลุมอยูอยางหนาแนน สวนภูมิประเทศที่มี ลักษณะเป็นดินเหนียวมักถูกปกคลุมดวยปุาฝนเขตรอน สวนพื้นที่ดินรวนหรือดินปนทรายจะเป็นปุาโปรงและมี ความแหงแลงไดตามฤดูกาล พืชพันธุแธรรมชาติมีอยูอยางหลากหลาย พื้นที่ปุาไมมักถูกบุกรุกอยางตอเนื่อง เชน การทําไรเลื่อนลอย และการเขาไปถางหญาเพื่อขยายพื้นที่อยูอาศัย เป็นตน
71
ลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจ จากตําแหนงทางภูมิศาสตรแของพื้นที่ชายแดนระหวางลาวกับเวียดนาม ทําใหชายแดนทางทิศตะวันออก ของลาวมีความสําคัญอยางยิ่งในชวงที่เกิดวิกฤติสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยเฉพาะสงครามในอินโด จีน การที่เวียดนามเหนือใหการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของขบวนการปะเทดลาว (Pathet Lao Movement) และความพยายามที่จะบุกขไปในในเวียดนามใตทําใหเกิดการขามไปมาระหวางกันบริเวณพื้นที่ชายแดน ระหวางลาวกับเวียดนามจากเหนือจรดใตเสนทางตามธรรมชาติที่สําคัญตามแนวชายแดนมีดังนี้ 1. เสนทางลายเจิว – พงสาลี (Lai Chau–Phong Saly) มีความสําคัญมากเนื่องจากการกอสรางถนน จากเมืองลา (Meng La) ในมณฑลยูนนานถึงพงสาลีในภาคเหนือของลาว หรือที่รูจักในนามเสนทางหมายเลข 4 (National Route No.4) 2. เมืองเดียนเบียนฟู (Dien Bein Phu) เป็นจุดศูนยแกลางสําคัญของเสนทางยอย 3 สาย ที่จะเชื่อม ตอไปยังภาคตะวันตกเฉียงใตและภาคใตจากฝั่งเวียดนามเขาไปในลาว 3. เสนทางหมายเลข 6 (National Route No.6) และอีก 2 เสนทาง จากภาคตะวันตกเฉียงเหนือเขาไป ยังหุบเขาตอนกลางของซองหมา (Song Ma) และเขาไปยังเมืองศูนยแกลางที่สําคัญของลาวในซําเหนือ (Sam Neua) 4. เสนทางหมายเลข 7 (National Route No.7) เป็นเสนทางยุทธศาสตรแที่สําคัญที่สุดซึ่งใชเดินทางจาก เขตตังเกี๋ย (เวียดนามเหนือ) เขาไปยังบริเวณทุงไหหินในลาวซึ่งเสนทางนี้วางตัวไปตามแนวหุบเขาซองกา (Song Ca) โดยประชิดกับแนวชายแดน มีชวงสั้นๆ ฝั่งตะวันออกของเสนทางนี้เป็นหุบเขาสูงชันกอนชวงที่จะ เขาไปในเขตที่ราบสูง 5. เสนทางหมายเลข 8 (National Route No.8) ใชเสนทางตามธรรมชาติผานเทือกเขาอันนัม ซึ่งมี สวนที่แคบที่สุดใกลกับเมืองวินหแ (Vinh) ซึ่งเป็นศูนยแกลางสําคัญของเวียดนามติดกับบริเวณที่ราบสูงคํามวน (Cammon) ในลาว 6. เสนทางหมายเลข 12 ถึงหมายเลข 15 (National Route No.12 – 15) เป็นเสนทางที่คดเคี้ยว มากกวาหมายเลข 7 และ 8 โดยถนนสายนี้ยังคงเป็นเสนทางที่สําคัญในการเดินทางติดตอระหวางหาติ๋งหแ (Ha Tinh) ในเวียดนามกับยมมะลาด (Nhommarath) ในลาว ทางตอนใตของที่ราบสูงคํามวน 7. เสนทางหมายเลข 9 (National Route No.9) เป็นถนนที่อยูทางเหนือสุดที่เชื่อมตอระหวางลาวกับ เวียดนามใต ผานชายแดนลาวที่สําคัญในเมืองเซโปน (Tchepone) ถนนเสนนี้เป็นหินปูนขรุขระผานเขาไปใน เสนทางที่แคบของพื้นที่หินบะซอลตแ ถนนยอยตามเสนทางธรรมชาติของเขตเซกอง (So Khong) หรือถนน หมายเลข 923 เป็นเสนทางเชื่อมตอระหวางเมืองเวกับแขวงสาละวัน 8. อัตตะปือ (Attopeu) และ เสนทางหมายเลข 14 ที่เชื่อมตอดวยเสนทางยอย ซึ่งใชทางเดินตาม ธรรมชาติในเขตตอนบนของเมืองเซขะเหมน (So Kamane) 9. เสนทางหมายเลข 14 ขนานไปกับแนวชายแดนเวียดนามใต
72
ประวัติศาสตร์ ในทางประวัติศาสตรแอารยธรรมในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใตไดพัฒนาและเจริญรุงเรืองในพื้นที่ ราบลุมแมน้ําใหญสายตางๆ สวนเขตที่ราบสูงยังคงเป็นพื้นที่กันชนแบบดั้งเดิมระหวางการขยายและหดตัวของ จักรวรรดิริมฝั่งแมน้ําเป็นผลใหเกิดขอจํากัดในการติดตอกันไปมาอยางตอเนื่องของแหลงอารยธรรมตางๆ และ เป็นเวลายาวนานหลายศตวรรษแลวที่เทือกเขาอันนัมกลายเป็นแนวเขตแดนขวางกั้นระหวางเขตรอยตอ จักรวรรดิ์ขแมรแ (Khmer Empire) ซึ่งอยูทางทิศตะวันตกกับอาณาจักรอันนัม (Annamese Kingdom) และ อาณาจักรจําปา (Champa Kingdom) ซึ่งอยูทางทิศตะวันออก นับตั้งแตการเสื่อมถอยของจักรวรรดิ์ขแมรแในราวคริสตแศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของ อาณาจักรไทย (Thai Kingdom) เขาไปทางตะวันตกของลาว (Laotian States) ซึ่งมีความเจริญมาอยูกอนใน พื้นที่ตอนกลางแมน้ําโขง ในชวงเวลาเดียวกันนี้เองก็เกิดการขยายตัวลงไปยังทางใตของพวกอันนัม (Annamese) และเขาโจมตีจามปาจนสามารถบุกเขาไปถึงเขตตอเนื่องทางตอนเหนือของเขตดินดอน สามเหลี่ยมปากแมน้ําโขง และในที่สุดก็สามารถเขาไปปกครองดินแดนทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาอันนัมได ทั้งหมด ตอมาในชวงตนของคริสตแศตวรรษที่ 19 ฝุายอาณาจักรไทยและอาณาจักรอันนัมตางๆ ขยายตัวเขาไป ยึดเอาดินแดนของอาณาจักรกัมพูชาและลาว จนกระทั่งทั้งสองอาณาจักรนี้เหลือดินแดนอยูเพียงบริเวณ ตอนกลางแมน้ําโขง และแมวาจะมีความสนใจของชาวยุโรปในดินแดนอินโดจีนนับตั้งแตชวงตนคริสตแศตวรรษ กอนหนานี้แตการเขาควบคุมอํานาจการปกครองโดยตรงก็เกิดขึ้นในชวงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 นี้เอง ดินแดนโคชินจีน (Cochin China) หรือ เวียดนามใต ถูกฝรั่งเศสเขายึดครองไดในปี 2405/1862 และ ขยายอิทธิพลออกไปอีกในปี 2410/1867 จนกระทั่งกัมพูชากลายเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศสในปี 2406/1863 และตอมาดินแดนอันนัมและตังเกี๋ยก็ถูกผนวกเขามาสําเร็จในปี 2427/1884 และในที่สุดปี 2436/1893 ฝรั่งเศสก็สามารถเขายึดครองลาวไดทั้งหมดทําใหเกิดดินแดนอาณานิคมแหงใหมขึ้น ในชื่อ “อิน โดจีนฝรั่งเศส (French Indochina)” ในชวงระยะเวลาของการปกครองโดยระบอบอาณานิคมฝรั่งเศสนี้เอง เสนเขตแดนในปัจจุบันระหวางลาวกับเวียดนามจึงไดถูกกําหนดขึ้น ในที่สุดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ระบอบอาณานิคมอินโดจีนฝรั่งเศสก็ลมสลายลงดวย เวียดนามจึงกลายเป็นประเทศเอกราชในวันที่ 8 มีนาคม 2492/1949 ตามมาดวยลาวในวันที่ 19 กรกฎาคม ของปีเดียวกัน และทั้งสองประเทศก็เกิดแรงบันดาลใจจากลัทธิคอมมิวนิสตแตั้งแตเป็นเอกราช ขอตกลงเจนีวา (The Geneva Conference) ในปี 2497/1954 ทําใหเกิดการแบงเวียดนามออกเป็นสองสวนโดยใชเสนขนาน ที่ 17 องศาเหนือ สงผลใหเขตแดนสวนใหญของลาวติดกับภาคเหนือของเวียดนามซึ่งเป็นสวนหนึ่งของกอง กําลังพรรคคอมมิวนิสตแ
ความตกลงและสนธิสัญญา เอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวของกับเสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับเวียดนาม ไดแก สนธิสัญญาและ รวมทั้งคําสั่งทางปกครองของอาณานิคมอินโดจีนฝรั่งเศส ซึ่งเสนเขตแดนถูกกําหนดขึ้นโดยหนวยงานของฝุาย ฝรั่งเศสหลายครั้ง เชน กองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) ไดทําการสํารวจแนวเขตแดนทั้งหมดเพื่อศึกษาความถูกตองแมนยําของเสนเขตแดน ใหมากขึ้น รายงานการสํารวจจึงถือเป็นเอกสารสําคัญอยางเป็นทางการที่เกี่ยวของกับการปักปันเขตแดน แต นาเสียดายที่ไมสามารถคนหาเอกสารการรายงานสํารวจเขตแดนได ดังนั้นการยอมรับโดยพฤตินัยของการมี อยูของเสนเขตแดนจึงเป็นหลักฐานเดียวที่จะพิสูจนแความถูกตองของเสนเขตแดน ซึ่งปรากฏวามีพื้นที่เพียงแหง เดียวเทานั้นที่ยังมีขอพิพาทเสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับเวียดนาม 73
ในปี 2497/1954 และปี 2501/1958 กองกําลังเวียดนามเหนือไดเขาครอบครองและอางสิทธิ์เหนือ พื้นที่ของลาวซึ่งอยูบริเวณทางทิศตะวันตกของเขตปลอดทหาร (Demilitarized Zone – DMZ) โดยในปี 2501/1958 รัฐบาลลาวไดตีพิมพแชุดเอกสารเพื่อยืนยันเสนเขตแดนที่ถูกตอง เอกสารชุดนี้อางอิงสนธิสัญญา โบราณตั้งแตปี 1907/1364 ซึ่งเป็นการตกลงระหวางกษัตริยแแหงอันนัมของเวียดนามกับกษัตริยแแหงลานชาง ของลาว โดยกําหนดเสนเขตแดนโดยใช “เสนแบงของน้ํา (by the parting of the waters)” หรือ สันปันน้ํา อยางไรก็ตาม ในเวลาตอมายังปรากฏวามีชาวเวียดนามเขาไปตั้งถิ่นฐานอยูในพื้นที่ทางตะวันตกของแนวสันปัน น้ําดวย และหลังจากที่มีการศึกษารายละเอียดตางๆ ขาหลวงแหงอินโดจีนของฝรั่งเศส จึงออกคําสั่งในวันที่ 2 ตุลาคม 2459/1916 โดยใหเสนเขตแดนระหวางจังหวัดกวเางตริ่ (Quang Tri) ของเวียดนามกับสะหวันนะเขต ของลาว “เริ่มจากยอดเขาสูง 1221 โดยลากจากเสนจากทางเหนือลงใตทํามุม 115.78 จนบรรจบกับยอดเขา ทํามุม 1020.82 (starts at Peak 1221 and follows from north to south 115.78 until it meets bench mark 1020.82)”55 ขอความดังกลาวถือวาเพียงพอตอการปักปันเสนเขตแดนทางตะวันตกของเขต ปลอดทหาร (DMZ) นอกจากนี้แผนที่ตามขอตกลงเจนีวาซึ่งไดกําหนดพื้นที่เขตปลอดทหาร (DMZ) ก็แสดงให เห็นถึงแนวเสนเขตแดนในลักษณะเดียวกันกับคําสั่งทางปกครองของอาณานิคมฝรั่งเศส โดยแผนที่ดังกลาว ไดรับการรับรองจากผูลงนามตามขอตกลงเจนีวา เนื้อหาฉบับเต็มของคําสั่งทางปกครองอาณานิคมฝรั่งเศสในปี 2459/1916 ซึ่งเป็นเอกสารที่ใชกําหนด เสนเขตแดนระหวางลาวกับเวียดนาม จากชองแกวเหนือ (Keo-Nua Pass) ที่พิกัดละติจูด 18 องศา 23 ลิปดา เหนือ ลองจิจูด 105 องศา 10 ลิปดา ตะวันออก ไปยังหุบเขาเอซับ (A-Sap valley) ที่พิกัดละติจูด 16 องศา 12 ลิปดา เหนือ ลองจิจูด 107 องศา 09 ลิปดา ตะวันออก โดยมีรายละเอียดดังตอไปนี้
“ขาหลวงชั่วคราวแหงอินโดจีน, ผูบัญชาการกองทหารเกียรติยศ โดยอาศัยคําสั่ง ลงวันที่ 20 ตุลาคม 1911 ไดระบุอํานาจของขาหลวงใหญ โครงสรางงบประมาณและ การบริหารงานอินโดจีน; โดยอาศัยคําสั่ง ลงวันที่ 26 เมษายน 1916; โดยอาศัยจดหมายเวียนรัฐมนตรี ลงวันที่ 20 มิถุนายน 1911; โดยอาศัยคําสั่งของขาหลวงใหญ ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 1916; โดยอาศัยคําสั่ง 20 กันยายน 1915 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน ของปีเดียวกัน; โดยอาศัยคําสั่ง 27 ธันวาคม 1913 ซึ่งไดแตงตั้งคณะกรรมการผูมีอํานาจเพื่อกําหนดเสนเขตแดน ระหวางอันนัมกับลาว; โดยอาศัยผลการรายงานอยางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1914 โดยคณะกรรมการที่แตงตั้งขึ้น ตามคําสั่งวา; จากคําแนะนําของคณะผูแทนสูงสุดแหงอันนัมและลาว; คณะกรรมการถาวรแหงสภารัฐบาลในอินโดจีน เห็นชอบ
55 Ibid, p. 8. 74
ค าสั่ง56 ขอ 1: การกําหนดเสนเขตแดนระหวาง จังหวัดฮาติ่นหแ (Ha-Tinh) ดองหอย (Dong Hoi) กวเางตริ่ (Quang Tri) ถือเถี่ยน (Thua-Thien) ของเวียดนามฝุายหนึ่ง กับอีกฝุายหนึ่งไดแก คํามวน (Cammon) สะหวันนะเขต (Savannakhet) ของลาว กําหนดไวดังตอไปนี้: 1. ฮาติ่นหแ (Ha-Tinh) และ ดองหอย (Dong Hoi) กับ คํามวน (Cammon) เสนเขตแดนเริ่มจากทางเหนือที่บริเวณจุดตัดกันของเสนสันปันน้ํากับเสนทางฮาไตร – ฮาเป (Ha Trai – Hape) หรือ จากทางบนสุดของชองแกวเหนือ (Keo-Nua Pass) จากจุดนี้ เสนเขตแดนลากไปตามแนวทิศ ใตและตะวันออกเฉียงใตตามเสนสันปันน้ํา ขามยอดเขาตรามมัว (Tram Mua Peak) และชองมูเกีย (Mu Gia Pass) จนถึงภูเขาสูง 1221 ซึ่งไดทําเครื่องหมายไวในแผนที่มาตราสวน 1:100,000 ระวางกวเางตริ่ (Quang Tri) ที่พิกัดละติจูด 18G90 และลองจิจูด 115G78E 2. กวเางตริ่ (Quang Tri) กับ สะหวันนะเขต (Savannakhet): “เขตแดนเริ่มจากยอดเขาสูง 1221 โดยลากจากเสนจากทางเหนือลงใตทํามุม 115.78 จนบรรจบกับ ยอดเขาทํามุม 1020.82 ที่ดงตาบัค (Dong-Ta-Buc)” จากยอดเขานี้ เสนเขตแดนลากเป็นเสนตรงไปยังหลักลาวบาว (Lao-Bao Post) ในอันนัม; ลากจาก ลาวทางเหนือของลังปะอัทลัท (North Lang P‖atlat); ลากจากอันนัมทางใตของลังปะอัทลัท (South Lang P'atlat) จากลาวบาว เสนเขตแดนตัดเขาไปในโคงของแมน้ําเซโปน (Tchepone) แลวออกจากหมูบานลาวที่ บานโปุง (Ban Phuong) กับพื้นที่รอบๆ จากบานโปุง ถึงตาชา เสนเขตแดนลากไปตามลําน้ําเซโปน” “จากนั้นเสนเขตแดนออกจากแมน้ําเซโปน ที่จุดบรรจบของแมน้ําเขกัง (Khe Kang) ทําใหตาชา (Ta Tcha) อยูในลาว แลวเสนเขตแดนก็ลากตอไปตามแนวสันปันน้ําระหวางแมน้ําตาเรียบ (Ta Riep) กับแมน้ําเข กัง (Khe Kang) เมื่อเสนเขตแดนลากตอไปถึงสันปันน้ําหลักที่ยอดเขาโกพัด (Ko Pat peak) ที่พิกัดละติจูด 189G40 และลองจิจูด 116G10E 3. ถือเถี่ยน (Thua-Thien) กับ สะหวันนะเขต (Savannakhet) “จากยอดเขาโกพัด (Ko Pat peak) เสนเขตแดนลากไปตามแนวสันปันน้ําจนถึงยอดเขาภูตําบอย (Pou Tam Boi) ที่ตําแหนง 1193.3 ซึ่งอยูใกลกับพิกัดละติจูด 18G17N และลองจิจูด 116G38E จากนั้นเสน เขตแดนลากเป็นเสนตรงตอไปยังยอดเขาดงอะเบี้ย (Dong A-Bia) ที่ความสูง 982.8; และเมื่อมาถึงแมน้ําลัง อันนัม (Lang Annam) แมน้ําเอเลอเถี่ยน (A-Le-Thien) และแมน้ําเอเลอลก (A-Le-Lok) เสนเขตแดนจึงลาก ตอตามแนวใตและตะวันออกเฉียงใต โดยลากไปตามตลิ่งดานซายของหุบเขาเอซับ (A-Sap) ตอนบน ซึ่งจะทํา ใหแมน้ําสาขาทั้งหมดบริเวณนี้อยูในเขตอันนัม ในเขตที่ไกลออกไปทางทิศใต จะมีการทําเครื่องหมายใน ภายหลัง” ขอ 2: ผูแทนสูงสุดในอันนัมและลาวถูกกําหนดใหแตละฝุายมีอํานาจสั่งการภายใตบทบัญญัติของ คําสั่งนี้ ไซงอน 12 ตุลาคม 1916 ลงนาม ชารแลสแ อี. (CHARLES E.)
56 Ibid, p. 8-10. 75
หมายเหตุ ในปัจจุบัน หมูบานจํานวน 6 แหง ไดแก ลังหา (Lang-Ha) ลังเถี่ยน (Lang Thien) โปโล (Polo) สาไล (Salai) ตาโน (Tano) หรือ นุคฮุกโห (Nuc Huc Ho)/นูโก (Nu Ko) และลาโม (Lamo) ตั้งอยู กระจัดกระจายตามลําแมน้ํา บางครั้งขึ้นกับฝุายอันนัม บางครั้งก็ขึ้นกับฝุายลาว เจาเมืองของทั้ง 2 จังหวัด คือ กวเางตริ่ (Quang Tri) และ สะหวันนะเขต (Savannakhet) จะตอง ควบคุมการเคลื่อนยายเขาออกเป็นระยะของพวกขา (Khas) เพื่อกันพวกนี้ใหอยูแตในพื้นที่ของตนเอง ดังนั้น แมน้ําเซโปน (Tchepone) จึงถือวาเป็นเขตแดนที่ชัดเจนระหวางทั้งสองประเทศ เนื่องจากยังไมมีขอมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับดินแดนของพวกมอย (Mois) ซึ่งอยูทางตอนใตของเอซับ (A- Sap) เสนเขตแดนจึงไมสามารตรวจสอบไดถูกตอง ดังนั้น จากนี้ตอไป ใหผูแทนของทั้งสองประเทศแกปัญหา ขอพิพาทที่อาจจะเกิดขึ้น อันมีสาเหตุมาจากการขาดความถูกตองของขอมูลเกี่ยวกับพื้นที่ดังกลาว จนกวาจะมี การตัดสินใจในขั้นสุดทายตอไป เอกสารแนบทาย คําสั่งลงนามวันนี้ 12 ตุลาคม 1916 ขาหลวงใหญชั่วคราวแหงอินโดจีน ลงนาม ชารแลสแ อี. (CHARLES E.)
คําสั่งฉบับนี้ เป็นการกําหนดแนวเสนเขตแดนถึงสองในสามของเสนเขตแดนทั้งหมดระหวางลาวกับ เวียดนามในเทือกเขาอันนัม (Chaîne Annamatique)
โดยสรุป เสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับเวียดนามควรจะถือวาเป็นเสนเขตแดนสากลเนื่องจากไดรับ การปักปันโดยหนวยงานการทําแผนที่ แตเนื่องจากขาดเอกสารหลักฐานที่ครบถวนจึงควรมีการระบุขอความ เป็นมาตรฐานสากลบนแผนที่วา “การแสดงแนวแบงเสนเขตระหวางประเทศ ตองไมถือกําหนดเป็นทางการ (International Boundary Representation Must not be considered Authoritative)” และชุด “แผนที่ อินโดจีน (Carte de l‖Indochine)” มาตราสวน 1:100,000 ระวาง 136E และ 142E ควรจะถือเสนเขตแดน วา “ยังไมแนนอน (indefinite)” เชนกัน ในขณะที่ชุดแผนที่ของหนวยบริหารแผนที่ทหารกองทัพสหรัฐ (U.S. Army Map Service - AMS) มาตราสวน 1:50,000 มีความถูกตองในการแสดงลักษณะทางภูมิประเทศ โดยเฉพาะแนวเสนสันปันน้ําและแนวเสนเขตแดน สวนชุดแผนที่ของหนวยบริการภูมิศาสตรแแหงชาติเวียดนาม (The National Geographic Service of Vietnam) มาตราสวน 1:500,000 นั้นมีความถูกตองในฐานะที่ รวบรวมขึ้นมาจากแผนที่มาตราสวนขนาดเล็ก
76
3.6 เส้นเขตแดนทางบกตามแนวแม่น้ าโขงระหว่างลาวกับพม่า
เสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับพมาเป็นไปตามรองน้ําลึก (thalweg) ในลําแมน้ําโขง ตั้งแตจุด บรรจบกันของเขตแดน 3 ประเทศ ไดแก ลาว พมา และจีน จนถึงบริเวณที่แมน้ําโขงบรรจบกับแมน้ํานานเนีย โฮ/หนานลาโฮ (Nania Ho/Nan-Ia Ho River) จากนั้นเสนเขตแดนจึงลากตอไปจนถึงจุดบรรจบกันของเขต แดน 3 ประเทศ ไดแก ลาว พมา และไทย ตรงบริเวณทางแยกของแมน้ํากกกับแมน้ําโขงเสนเขตแดนวัดได 237.5 กิโลเมตร การกําหนดตําแหนงของเสนเขตแดนระหวางลาวกับพมาไมมีความซับซอนมากนัก เนื่องจากใช หลักเกณฑแตาม “รองน้ําลึก (thalweg)” ซึ่งหมายถึง เสนที่ขีดขึ้นตามทางเดินของน้ําที่มีความลึกที่สุดที่ สามารถใชในการเดินเรือไดในลําแมน้ําโขง ตั้งแตบริเวณเขตแดนที่ติดกับจีนจนถึงจุดบรรจบกันของแมน้ํากก กับแมน้ําโขง แตในทางปฏิบัติปัญหาเกิดขึ้นจากการพิจารณาวาตําแหนงใดบางที่เป็นรองน้ําลึกนั้นคอนขาง ยากลําบากเนื่องจากในแมน้ําโขงมีเกาะแกงอยูเป็นจํานวนมาก แตความยากลําบากนี้ก็ไมไดมีนัยสําคัญมากนัก เนื่องจากพื้นที่ชายแดนบริเวณนี้ไมคอยมีประชากรอาศัยอยู และมีขอจํากัดในการใชประโยชนแจากแมน้ํา นอกจากนี้ แผนที่มาตราสวนขนาดใหญของทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษตางก็แสดงเสนเขตแดนในลักษณะเดียวกัน และมีการระบุเกาะแกงบางแหงที่อยูในแมน้ําโขงในตําแหนงเดียวกัน พื้นที่ชายแดนระหวางจีนกับลาวถูก กําหนดโดยขอตกลงทางการทูตระหวางจีนกับฝรั่งเศส และเสนเขตแดนก็ถูกลากไปในแมน้ําโขงตามแนวสันปัน น้ําทางฝั่งใตของแมน้ํานานเนียโฮ/หนานลาโฮ (Nania Ho/Nan-Ia Ho River) และเสนเขตแดนระหวางจีนกับ พมาก็ลากตอขึ้นไปทางทิศเหนือตามแนวแมน้ําโขง57
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ พื้นที่ตามแนวชายแดนระหวางลาวกับพมา มีลักษณะภูมิประเทศสวนใหญเป็นเขตเทือกเขาและที่ราบ สูง มีลักษณะของผลึกหินทางทิศใตและทิศตะวันตก รวมทั้งมีองคแประกอบของพื้นที่เป็นหินทรายและหินปูนใน เขตทางทิศเหนือและทิศตะวันออก การวางตัวของพื้นที่เป็นไปตามแนวตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต ซึ่งเป็นแนวเดียวกับทิศทางการไหลของแมน้ําโขง ยกเวนในบางพื้นที่เชนบริเวณที่แมน้ําโขงและลําน้ําสาขาไหล ผานชวงที่ภูมิประเทศเป็นหุบเขาลึกและแคบ ในหลายพื้นที่หุบเขาแมน้ําโขงทําใหเกิดลักษณะภูมิประเทศแบบ โตรกผา สวนพื้นที่ราบมีอยูเพียงทางดานตะวันออกในลาว ยอดเขาในบริเวณแถบนี้มีความสูงถึงกวา 1,829 เมตรทางตอนเหนือ โดยมีความสูงเฉลี่ยของพื้นที่อยูประมาณ 1,067 เมตรเหนือระดับน้ําทะเล พื้นที่หุบเขามี ความสูงอยูในชวง 488 เมตร ถึง 762 เมตร ตามแนวแมน้ําโขง ความสูงของพื้นที่เริ่มลดลงเล็กนอยในพื้นที่ทาง ทิศใตโดยเฉพาะบริเวณจุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ คือ ลาว พมา และไทย สวนความสูงของพื้นที่ตามแมน้ํา โขงมีประมาณ 366 เมตร สวนพื้นที่โดยรอบมีความสูงประมาณ 915 เมตร ภูมิอากาศของพื้นที่ชายแดนทางบกระหวางลาวกับพมาเป็นเขตชื้นที่มีมรสุมหนาแนน อุณหภูมิโดยเฉลี่ย ทั้งปีอยูที่ประมาณ 24 องศาเซลเซียส โดยมีชวงฤดูรอน 3 เดือน ระหวางเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม สวนในเดือนสิงหาคมมีอุณหภูมิเฉลี่ยมากกวา 30 องศาเซลเซียส ชวงที่มีอากาศเย็นที่สุด คือ เดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธแ โดยมีอุณภูมิเฉลี่ยต่ํากวา 18 องศาเซลเซียส ฤดูฝนเริ่มในเดือนเมษายนและมีปริมาณ น้ําฝนมากที่สุดในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม โดยมีปริมาณในแตละเดือนราว 500 มิลลิเมตร เดือน
57 U.S. Department of State, Office of the Geographer. Burma – Laos Boundary. (International Boundary Study, No.33 of June 18, 1964.), p. 5. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1OaEtwj
77
มิถุนายนมีปริมาณน้ําฝนเฉลี่ยอยูระหวาง 200 มิลลิเมตร และ 500 มิลลิเมตร สวนเดือนอื่นๆ มีคาเฉลี่ยอยูที่ ประมาณ 50 – 200 มิลลิเมตร ตั้งแตเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมเป็นชวงฤดูแลง แตก็มีฝนตกอยูบาง ประปรายโดยมีคาเฉลี่ยปริมาณน้ําฝนรายเดือนนอยกวา 50 มิลลิเมตร ปริมาณน้ําฝนโดยรวมทั่วพื้นที่ชายแดน อยูระหวาง 2,000 – 3,000 มิลลิเมตร โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือและมีปริมาณนอยลงในพื้นที่ทางตอนใต
ลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจ ดินแดนในอินโดจีนรวมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใตมีพื้นที่ราบลุมแมน้ําอยูหลายแหงและเป็นบริเวณที่ ราบขนาดใหญ มีฤดูน้ําหลากทําใหเกิดการถายเทความอุดมสมบูรณแของดินตะกอนที่ไหลมาตามลําน้ํา ทําให เกิดความอุดมสมบูรณแตามธรรมชาติเหมาะแกการเพราะปลูกพืชพันธุแตางๆ โดยเฉพาะขาว หางออกไปจาก บริเวณที่ราบลุมเหลานี้ เชน ทางตอนบนของแมน้ําและพื้นที่ราบสูง ก็ปรากฏวัฒนธรรมและกลุมชาติพันธุแที่มี ความหลากหลายโดยเลยผานอารยธรรมกระแสหลักไป พื้นที่ชายแดนระหวางลาวกับพมามีการกระจายกันอยู อยางซับซอนของกลุมชาติพันธุแตางๆ จึงอาจกลาวไดอยางกวางๆ วา ในพื้นที่ทางตอนเหนือไมจําเป็นที่แมน้ํา โขงจะเป็นแนวแบงเขตทางเชื้อชาติ นอกจากนี้ ชาติพันธุแในตระกูลทิเบโต-เบอรแมัน (Tibeto-Burman) เชน ชาวอาขา (Akha) ก็อาศัยอยูตลอดแนวทั้งสองฟากฝั่งของแมน้ําโขง สวนพื้นที่ทางเหนือสุดความหนาแนนของ ประชากรอยูในระดับนอยกวา 1 คนตอตารางกิโลเมตร สวนพื้นที่ทางตอนใตลงมาในบริเวณหุบเขาตอนบน ของแมน้ําโขง ความหนาแนนของประชากรเพิ่มขึ้นเล็กนอยแตไมเกิน 10 คนตอตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ตอนกลางแมน้ําโขงมีประชากรของรัฐฉานอาศัยอยูในฝั่งพมา สวนชาติพันธุแในตระกูลทิเบโต- เบอรแมัน (Tibeto-Burman) เชน ชาวลาหู (Lahu) ก็อาศัยอยูในฝั่งลาว โดยมีกลุมชาติพันธุแไท/ไต อาศัย รวมอยูดวยโดยเฉพาะในพื้นที่ราบขนาดใหญริมแมน้ําโขง ในขณะที่พื้นที่ทางตอนเหนือมีความหนาแนนของ ประชากรเบาบางเฉลี่ยระหวาง 1 ถึง 10 คนตอตารางกิโลเมตร ประชากรของรัฐฉานยังคงอาศัยอยูในฝั่งพมา จนถึงไทย และบนพื้นที่สูงก็พบหมูบานของกลุมชาติพันธุแกาว/อาขา (Kaw /Akha) และชาวกวี (Kwi) ในลาว ประชากรสวนใหญเป็นชาติพันธุแไท/ไต ตั้งรกรากอาศัยอยูตามพื้นที่หุบเขาของลําแมน้ําสาขาสาย ตางๆ ของแมน้ําโขง ประชาชนยังดําเนินวิถีชีวิตแบบกึ่งอพยพ คือ ทําการเพาะปลูกแบบเลื่อนลอย (slash and burn) มีการเพาะปลูกพืช ไดแก ขาวไร แตอาหารพื้นเมืองเป็นพืชผักที่ปลูกในครัวเรือน มีการลาสัตวแปุา ทําประมงในแมน้ํา และมีการเก็บผลไมปุาดวย
ประวัติศาสตร์ พื้นที่ชายแดนบริเวณนี้อยูนอกเหนือจากการพัฒนาทางประวัติศาสตรแของแหลงอารยธรรมที่เกิดขึ้น ภายในรัฐของทั้งสองฝุาย ในยุคที่อาณาจักรพระนครของกัมพูชาขยายตัวอยางยิ่งใหญชวงคริสตแศตวรรษที่ 12 นั้น พื้นที่แหงนี้เป็นเพียงปลายแดนของอาณาจักร อยางไรก็ตาม การขยายตัวลงมาทางทิศใตของพวกไท/ไต (Tai) เขาไปในที่ราบลุมแมน้ําเจาพระยา ก็ทําใหพื้นที่บริเวณแมน้ําโขงตอนบนกลายเป็นเขตแดนระหวาง อาณาจักรไทยกับอาณาจักรลาวซึ่งมีศูนยแกลางอยูบริเวณแมน้ําโขงตอนกลาง แมวาอาณาจักรเหลานี้จะเสื่อม อํานาจลง แมน้ําโขงก็ยังถือวาเป็นเขตแดนระหวางกัน จนกระทั่งชวงคริสตแศตวรรษที่ 19 ฝรั่งเศสสามารถเขายึดเอาดินแดนในคาบสมุทรอินโดจีนไวได ทําให ฝุายอังกฤษเกิดความกังวลวาฝรั่งเศสจะขยายอํานาจเขาสูอินเดีย ดังนั้น นโยบายของอังกฤษ คือ การรักษา สถานะความเป็นรัฐอิสระของอาณาจักรไทยหรือสยาม เพื่อใชเป็นรัฐกันชนระหวาง 2 มหาอํานาจยุโรป คือ อังกฤษในพมา และ ฝรั่งเศสในอินโดจีน ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสตางก็ยอมรับแนวคิดนี้ แตก็ไมไดขยายอํานาจ
78
ของตนขึ้นไปทางเหนือ สงผลใหอิทธิพลของอังกฤษแผขยายเขาไปในทางเหนือของรัฐฉานซึ่งอยูภายใตอํานาจ ของพมา อยางไรก็ตาม พื้นที่ชายแดนแถบนี้กลับไดรับความสนใจเป็นพิเศษเนื่องจากปัจจัยหลายประการ เชน ในชวงหลังจากที่คอมมิวนิสตแจีนเขามายึดครองประเทศจีน ทําใหพรรคชาตินิยมจีนหรือจีนคณะชาติก฿กมินตั๋ง (Kuomintang) ไดเขามาตั้งฐานปฏิบัติการในพื้นที่ภาคเหนือของพมาและลาว เพื่อดําเนินการสูรบแบบกองโจร กับกองทัพในจีนแผนดินใหญ แตเมื่อกองกําลังเหลานี้ลดบทบาทลง พวกเขาก็ไมไดถูกปราบปรามแตอยางใด สมาชิกของกองกําลังชาตินิยมหรือจีนคณะชาติไดแตงงานกับชนเผาตางๆ ในพื้นที่และยังคงอาศัยอยูตามแนว ชายแดน เมื่อพรรคคอมมิวนิสตแจีนทําการขยายอํานาจเพื่อควบคุมแผนดินใหญไดแลว ก็หันมาใหความสนกับ พื้นที่ชายแดนที่อยูติดกับประเทศเพื่อนบาน และไดเริ่มทําโครงการสรางถนนอยางจริงจัง โครงการเหลานี้เป็น การใหความชวยเหลือแกลาว โดยวิศวกรชาวจีนไดสรางถนนจากเมืองลา (Meng La) ในมณฑลยูนนานจนถึง บริเวณหลวงน้ําทา (Nam Tha) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของลาว จากนั้นจึงสรางตอไปทางใตจนถึงเมืองหวย ทราย (Houei Sai) เพื่อเชื่อมตอกับถนนสายหลักทางภาคเหนือของประเทศไทย ประการสุดทาย พื้นที่ชายแดนไมไดอยูภายใตการควบคุมอยางเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจากรัฐบาลของทั้งสอง ประเทศ กลาวคือ ทางฝั่งลาวมีกองกําลังของขบวนการปะเทดลาวเคยครอบครองพื้นที่ชายแดนทั้งหมดยกเวน พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของหวยทราย เชนเดียวกับทางฝั่งพมาก็มีกองทัพกูชาติแหงรัฐฉานตั้งกองกําลังอยู ตามแนวชายแดนเพื่อตอสูกับกองทัพของรัฐบาลกลางพมาเชนกัน นอกจากนี้พื้นที่ดังกลาวยังเป็นพื้นที่ของการ ผลิตและจําหนายยาเสพติดแหลงใหญที่สุดแหงหนึ่งของโลก
ความตกลงและสนธิสัญญา จากการศึกษาพบวามีเพียงความตกลงระหวางประเทศ 1 ฉบับเทานั้นที่เกี่ยวของกับการกําหนดเสนเขต แดนทางบกระหวางลาวกับพมา คือ “หนังสือปฏิญญา ฤาหนังสือสัญญาในระหวางอังกฤษกับฝรั่งเศสไดทําไวที่ กรุงลอนดอน (The Anglo-French Declaration) ณ วันที่ 15 มกราคม 2438/1896”58 หรือ “ประกาศ กําหนดเสนเขตแดนในดินแดนอาณานิคมของฝรั่งเศสและอังกฤษ ตามแนวชายแดนราชอาณาจักรสยาม (Declaration relative to the delimitation of French and English possessions along the frontiers of the Kingdom of Siam) โดยขอ 3 กําหนดวา “ตั้งแตปากแมน้ําฮวก ซึ่งเป็นเขตรแดรไทยกับอังกฤษนั้น ขึ้นไปขางเหนือจนถึงพรมแดนของกรุงจีนนั้น ทางน้ําของแมน้ําโขงจะตองเป็นพรมแดน เมืองขึ้นของอังกฤษแล ฝรั่งเศสฤาเปนเขตรที่อังกฤษแลฝรั่งเศสมีอํานาจตอกัน ณ ที่นั้น แลเมืองสิงหแนั้นอังกฤษยกใหแกฝรั่งเศส แลว”59 โดยสรุป เสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับพมาความยาว 237.5 กิโลเมตรนั้น ถูกกําหนดขึ้นโดย ขอตกลงระหวางฝั่งเศสและอังกฤษ โดยใชหลักการปักปันโดยตําแหนงเฉพาะในลําแมน้ําโขง คือ รองน้ําลึก และเสนเขตแดนบริเวณนี้ยังไมเกิดขอพิพาทใดๆ เนื่องจากพื้นที่ชายแดนไมไดอยูภายใตการควบคุมอยาง เบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศ อยางไรก็ตาม ปัญหาขอพิพาทก็อาจเกิดขึ้นได นอกจากนี้ แผน ที่ของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสตางแสดงแนวเสนเขตแดนในลักษณะเดียวกัน ถึงแมวาแผนที่อังกฤษ 1 นิ้ว (British one-inch maps) มาตราสวน 1:63,360 ระวางพมา – รัฐฉานใต (BURMA – Southern Shan
58 โปรดดู ชาญวิทยแ เกษตรศิริ. ประมวลสนธิสัญญา อนุสัญญา ความตกลง บันทึกความเขาใจ และแผนที่ ระหวาง สยามประเทศไทยกับประเทศอาเซียนเพื่อนบาน: กัมพูชา-ลาว-พมา-มาเลเซีย (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแ และมนุษยศาสตรแ, 2554), หนา 90-93. 59 เพิ่งอาง, หนา 93. 79
State)60 แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับเสนเขตแดนไดดีที่สุด รวมทั้งชุดแผนที่ของหนวยบริการแผนที่ทหาร (The Army Map Service) มาตราสวน 1:250,000 ก็มีความถูกตองตามสัดสวนของแผนที่ตอขนาดพื้นที่จริงเชนกัน
60 U.S. Department of State, Office of the Geographer. Burma – Laos Boundary. Ibid, p. 6. 80
3.7 เส้นเขตแดนทางบกระหว่างลาวกับกัมพูชา
เสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับกัมพูชามีความยาวประมาณ 541 กิโลเมตร (ดูภาพที่ 3.9 – 3.10) โดยเริ่มจากจุด A ซึ่งเป็นจุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ (tripoint) ไดแก กัมพูชา ลาว และไทย ณ บริเวณ สามเหลี่ยมมรกตบนเทือกเขาพนมดงรัก จนถึงจุด B ซึ่งเป็นจุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ ไดแก กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ณ บริเวณพิกัดละติจูดที่ 14 องศา 41 ลิปดา เหนือ และ ลองจิจูดที่ 107 องศา 32 ลิปดา ตะวันออก โดยลากเสนจากจุดพิกัดนี้ไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเสนเขตแดนสวนใหญถือเอารองน้ําของแมน้ําและ ลําธารสายตางๆ เป็นเกณฑแในการแบงเขตแดนความยาวประมาณ 338 กิโลเมตร การปักปันเสนเขตแดน ระหวางลาวกับกัมพูชาเกิดขึ้นจากคําสั่งฉบับตางๆ ภายใตการบริหารงานภายในของรัฐบาลอาณานิคมอินโดจีน ฝรั่งเศส
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับกัมพูชา สามารถแบงไดเป็น 3 สวน ตามลักษณะของภูมิประเทศ ไดแก 1.เทือกเขาอันนัม (Chaine Annamatique) 2.หุบแมน้ําโขง (Middle Mekong Valley) และ 3. เทือกเขาพนมดงรัก (Dangrek Mountain) โดยเสนเขตแดนเริ่มจากบริเวณเทือกเขาอันนัมในทิศตะวันออก ซึ่ง แมวาจะเรียกชื่อ “เทือกเขาอันนัม” แตลักษณะภูมิประเทศบริเวณดังกลาวไมไดเป็นแนวสันเขา แตกลับเป็น เขตที่ราบสูงซึ่งมียอดผาชันที่เต็มไปดวยภูเขาหินปูน ภูเขาหินทราย และพื้นที่ภูเขาไฟเกา โดยลักษณะของภูมิ ประเทศมีความสูงชันทางทิศตะวันออกแลวคอยๆ ลดระดับความลาดชันลงมาทางทิศตะวันตก ทําใหแมน้ําที่ ไหลไปทางทิศตะวันตกมีความยาวและมีความกวางมากกวา แนวเทือกเขาบริเวณนี้มีความสูงเฉลี่ยอยูที่ 800 – 1,000 เมตร และภูเขาโดดบางยอดมีความสูงชันที่ระดับ 1,500 เมตร จากนั้นเสนเขตแดนจึงลากพาดผานขึ้น ไปจนถึงบริเวณหุบแมน้ําโขงและหุบแมน้ําเซกอง ความสูงชันของภูมิประเทศบริเวณนี้จะลดลงทันทีโดยมีความ สูงเฉลี่ยที่ระดับ 100 – 200 เมตร ยกเวนบริเวณดานตะวันออกของแมน้ําโขงซึ่งเป็นพื้นที่พาดผานของเขตที่ ราบสูงภูเขาไฟเกาโบโลเวน (Bolovens) ซึ่งมีความอุดมสมบูรณแของตะกอนโคลนทับถมจากแมน้ําโขงและ แมน้ําสาขา สวนทางทิศตะวันตกของแมน้ําโขงมีลักษณะภูมิประเทศเชนเดียวกันนี้เรื่อยไปจนจรดชายแดน ประเทศไทยซึ่งมีความสูงชันของพื้นที่ไมตางกันมาก ลักษณะภูมิประเทศอีกประการหนึ่งคือที่ราบสูงเทือกเขา หินทรายพนมดงรัก (Dangrek) ซึ่งมีหนาผาสูงชันเป็นลักษณะเดนที่แสดงขอบของเสนเขตแดนทางบกระหวาง ลาว กัมพูชา และไทย ซึ่งระดับความชันของพื้นที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากบริเวณที่ราบจนกระทั่งมีความสูงของหนาผา เฉลี่ยอยูที่ 500 เมตร เสนเขตแดนทางดานทิศตะวันออกเริ่มตนที่บริเวณเทือกเขาอันนัม (Chaine Annamatique) ณ พิกัด ละติจูดที่ 14 องศา 41 ลิปดาเหนือ และ ลองจิจูดที่ 107 องศา 32 ลิปดา ตะวันออก เทือกเขาบริเวณนี้มี ความสูงเฉลี่ยประมาณ 900 เมตร เสนเขตแดนถูกลากไปทางทิศตะวันตกเฉียงใตมีความยาว 157.7 กิโลเมตร โดยเป็นการขีดเสนคดเคี้ยวไปตามแนวสันปันน้ําที่อยูระหวางแมน้ําเซกอง (Se Kong) ในลาว และแมน้ําเซซาน (Se San) ในกัมพูชา จากนั้นเสนเขตแดนก็เลี้ยวไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออีกประมาณ 48.3 กิโลเมตร โดย เป็นการขีดเสนไปตามลําน้ําเล็กๆ 2 สาย ซึ่งแยกออกมาจากแมน้ําเซกอง แลวจึงลากตอไปอีกทางทิศตะวันตก เฉียงใตของเมืองอัตตะปือเป็นระยะทาง 49.8 กิโลเมตร จากจุดนี้ตอไปอีก 24.1 กิโลเมตร เสนเขตแดนก็ลาก ไปตามลําน้ําอีกประมาณ 0.8 กิโลเมตรเลยจุดบรรจบของแมน้ําเซกองกับเซคําโพ (Se Khampho) ซึ่งเป็น แมน้ําสาขาจากทางขวา เสนเขตแดนลากออกจากแมน้ําใหญไปตามแมน้ําสายรองแลวจึงลากไปตามเสนสันปัน น้ํา จากจุดนี้ไปจนถึงแมน้ําโขงเสนเขตแดนควรจะลากไปตามลักษณะกายภาพทางภูมิศาสตรแ แตเนื่องจากมี 81
เหตุผลพื้นฐานทางประวัติศาสตรแโดยเฉพาะในบริเวณทางตอนเหนือของจังหวัดสตึงเตร็ง พื้นที่นี้ถูกครอบครอง โดยประชากรชาติพันธุแลาวซึ่งอาศัยอยูอยางหนาแนนมากกวาพื้นที่ทางตะวันออก ทามกลางพื้นที่อันทุรกันดาร ระหวางแมน้ําเซกองกับแมน้ําโขง เสนเขตแดนลากไปตามสําน้ําสายเล็กๆ ไดแก หวยตีนเหียง (Houei Tin Hiang) หวยหลวง (Houei Loung) หวยแลน (Houei Lane) หวยคําผา (Houei Khampha) และลากตอมา จนถึงหวยกาเหลียง/กะเหลี่ยง (Houei Khalieng) ซึ่งทําใหเสนเขตแดนมีความยาวประมาณ 24 กิโลเมตร ตามแมน้ําโขงที่ไหลมาจนถึงทางทิศตะวันตกของหมูบานเวินคาม (Voun Kham) ของกัมพูชา ความสัมพันธแระหวางเสนเขตแดนกับพื้นที่ที่ประชิดติดกับทางหลวงหมายเลข 13 (Route Nationale No.13) มีความซับซอนคอนขางมาก หลังจากที่เสนเขตแดนลากขนานไปกับถนนหมายเลข 13 ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 16 กิโลเมตร เสนเขตแดนก็พาดขามถนนเขาไปยังหมูบานเวินคาม จากหมูบานเวินคามเสนเขตแดน ก็ขามแมน้ําโขงเกือบจะเป็นเสนขนานตะวันออก-ตะวันตก จนจรดฝั่งตะวันตกของแมน้ําโขง จากจุดนี้แมน้ํา ไหลเขาสูชองทางน้ําที่มีความแคบและมีจุดพักซึ่งสามารถเดินเรือได จากนั้นเสนเขตแดนลากตอไปทาง ตะวันตกเฉียงเหนืออีก 12.9 กิโลเมตร โดยขนานไปกับฝั่งแมน้ําโขงดานกัมพูชา จากจุดนี้เสนเขตแดนแบงโดย เสนมัธยะ (Median Line) ของลําน้ําซึ่งประชิดมาทางฝั่งกัมพูชา จนกระทั่งถึงจุดบรรจบของแมน้ําตนเลระปูวแ (Tonle Repou) เสนเขตแดนลากตอไปอีก 107.8 กิโลเมตร แลวไปจรด ณ จุดบรรจบของเขตแดน 3 ประเทศ
82
ภาพที่ 3.9 แผนที่แสดงเสนเขตแดนทางบกระหวางกัมพูชากับลาว โดยสังเขปจากจุด A ถึง B มีความยาว ประมาณ 540 กิโลเมตร (ที่มา: ปรับปรุงจาก Prescott, J.R.V., H. J. C., D.F. Prescott. Frontiers of Asia and Southeast Asia (Vitoria: Melbourne University Press, 1977), p.65) 83
ภาพที่ 3.10 แผนที่แสดงเสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับเวียดนาม (ที่มา: Prescott, J.R.V., H. J. C., D.F. Prescott. Frontiers of Asia and Southeast Asia (Vitoria: Melbourne University Press, 1977), p.63) 84
ลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจ พื้นที่ชายแดนระหวางลาวกับกัมพูชา เป็นที่อยูอาศัยของชนกลุมนอยหลายกลุม พื้นที่ตามสองฟากฝั่ง แมน้ําโขงและลําน้ําสาขาเป็นถิ่นที่อยูของประชากรกลุมชาติพันธุแไทย-ลาว นอกจากนี้ในเขตเทือกเขายังมี ประชากรในกลุมชาติพันธุแมอญ-เขมร หรือในกัมพูชาเรียกวา ขแมรแเลอ (Khmer Loeu) หรือ เขมรสูง อาศัย อยู สวนพื้นที่ทางทิศตะวันออกเป็นที่อยูของกลุมชาติพันธุแมาลาโย-โพลีนีเชี่ยน (Malayo-Polynesians) โดยเฉพาะชนเผาจะไร (Jarai) ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาพยายามที่จะเขาไปกลืนกลุมชาติพันธุแเหลานี้ใหเขามาเป็น ประชากรของประเทศมากขึ้นแตยังมีขอจํากัดอยูมากเนื่องจากเป็นพื้นที่หางไกลและทุรกันดาร แตรูปแบบทาง วัฒนธรรมบางอยาง เชน การสืบสายมรดก การถือครองที่ดิน และรูปแบบทางเศรษฐกิจอื่นๆ ก็มีพื้นฐานทาง สังคมและวัฒนธรรมที่คลายคลึงกัน
ประวัติศาสตร์ เนื่องจากการขยายอิทธิพลของอาณาจักรไทยลุมน้ําเจาพระยาในราวคริสตแศตวรรษที่ 13 สงผลให อํานาจและอิทธิพลของอาณาจักรพระนครเริ่มลดลง และในชวงกอนที่อาณานิคมฝรั่งเศสจะเขามาใน คาบสมุทรอินโดจีน ทั้งลาวและทางตอนเหนือของประเทศกัมพูชาก็ไดตกอยูภายใตอํานาจการควบคุมของ อาณาจักรไทยแลว นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากเวียดนามตอกัมพูชาในบริเวณลุมแมน้ําโขงตอนลาง ตอมา เกิดการปกครองในรูปแบบรัฐอารักขาของฝรั่งเศสซึ่งไดขยายเขาไปยังกัมพูชาและลาวในปี 2406/1863 โดย การลงนามในสนธิสัญญาระหวางฝรั่งเศสกับสยามในปี 2436/1893 ทําใหฝุายสยามตองสละอํานาจออกจาก ดินแดนทางฝั่งตะวันออกและเกาะแกงตางๆ ของแมน้ําโขง ผลจากสนธิสัญญาฉบับนี้ทําใหพื้นที่ของจังหวัดสตึง เตร็งเดิม (Old Stung Treng) (ในปัจจุบัน คือ จังหวัดสตึงเตร็ง (Stung Treng) และรัตนคีรี (Ratanakiri)) ซึ่ง แตเดิมเคยอยูภายใตการปกครองโดยลาวในชวงคริสตแศตวรรษที่ 18 และไทยคริสตแศตวรรษที่ 19 ตกอยูภายใต เขตการปกครองของลาวฝรั่งเศส (French Laos) แตตอมามีการออกคําสั่งทางปกครองของอินโดจีน (The Indochinese Decree) เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2447/1904 และมีผลบังคับใชในวันที่ 1 มกราคม 2448/1905 โดยใหโอนพื้นที่ดังกลาวกลับไปอยูภายใตการปกครองของกัมพูชา อยางไรก็ตาม การบริหารการปกครองพื้นที่ บริเวณดังกลาวกลับอยูภายใตอํานาจของเวียดนาม ตอมาหลังจากการสิ้นสุดระบอบอาณานิคมฝรั่งเศสในอินโด จีนก็ทําใหลาวและกัมพูชาเป็นประเทศเอกราช
ความตกลงและสนธิสัญญา เสนเขตแดนทางบกระหวางลาวและกัมพูชายังไมมีการปักปันตามวิธีการและมาตรฐานของขอตกลง ระหวางประเทศ และในบางกรณีไมสามารถหาเอกสารหรือขอตกลงใดมารองรับหรือสืบคนความถูกตองได สนธิสัญญาและคําสั่งทางปกครองภายในการบริหารงานอาณานิคมของอินโดจีนฝรั่งเศสที่เกี่ยวของกับการ กําหนดเสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับกัมพูชา ไดแก
1. สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับกัมพูชา วันที่ 11 สิงหาคม 2406/1863 โดยมีการใหสัตยาบันแลกเปลี่ยนกันเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2407/1864 รัฐบาลฝรั่งเศสตกลงที่จะเขามา มีอํานาจปกครองราชอาณาจักรกัมพูชาในฐานะรัฐในอารักขา โดยไมไดกําหนดขอบเขตของรัฐ (limits of the state) แตอยางใด ในขณะที่ราชอาณาจักรกัมพูชายังอยูในชวงที่พระราชวงศแกําลังเสื่อมอํานาจ และกําลังไดรับ ผลกระทบอยางหนักจากการรุกรานของสยามและเวียดนาม เพื่อเขามาครอบครองดินแดนของกัมพูชา
85
2. สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับราชอาณาจักรสยาม วันที่ 15 กรกฎาคม 2410/186761 โดยมีการใหสัตยาบันแลกเปลี่ยนกันเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2410/1867 กําหนดสถานะทางการเมือง และขอบเขตของกัมพูชา และยินยอมใหสยามปกครองดินแดนกัมพูชาสวนใน คือ พระตะบอง และ เสียมราฐ ตามความขอ 4 ของสนธิสัญญา62 แตก็ไมไดมีผลกระทบโดยตรงตอเสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับกัมพูชา โดยสนธิสัญญาฉบับนี้ทําใหสยามยอมรับขอบเขตอํานาจการปกครองของฝรั่งเศสเหนือดินแดนกัมพูชา
3. สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับราชอาณาจักรสยาม วันที่ 3 ตุลาคม 2436/189363 โดยมีการใหสัตยาบันแลกเปลี่ยนกันเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธแ 2436/189464 ตามความในขอ 1 ของ สนธิสัญญาระบุวา “สยามยอมสละเสียซึ่งขออางวามีกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้นทั่วไปในดินแดน ณ ฝั่งซายฟากตะวันออก แมน้ําโขง และในบรรดาเกาะทั้งหลายในแมน้ํานั้นดวย”65 ทําใหฝรั่งเศสจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลควบคุม กิจการตางๆ ภายในดินแดนของลาว
4. อนุสัญญาเพื่อการจัดการปัญหาในการก าหนดเขตแดน (Convention to regulate certain difficulties in the delimitation) วันที่ 7 ตุลาคม 2445/190266 เนื่องจากเกิดความยุงยากในการตีความสนธิสัญญาฉบับวันที่ 3 ตุลาคม 2436/1893 ภายหลังการเกิด วิกฤติการณแ รศ.112 โดยขอ 1 ของสนธิสัญญากําหนดวา ใหใชสันปันน้ําของเทือกเขาพนมดงรักเป็นเขตแดน ระหวางกัมพูชากับสยาม และขอ 2 ของสนธิสัญญาใหใชแมน้ําโขงเป็นเสนเขตแดนระหวางลาวกับสยาม แต ตอมาอนุสัญญาฉบับนี้ก็ถูกแทนที่ดวยอนุสัญญาฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธแ 2446/190467
5. ค าสั่งทางปกครอง (Arrété) วันที่ 6 ธันวาคม 2447/1904 โดยมีผลบังคับใชเมื่อ 1 มกราคม 2448/1905 คําสั่งฉบับนี้ใหดําเนินการแยกพื้นที่ของจังหวัดสตึงเตร็ง (และรัตนคีรี) ออกมาจากลาว และถูกแบงไปใหกัมพูชาและเวียดนาม แตปัญหาอยูที่ถอยคําที่สมบูรณแของ คําสั่งทางปกครองฉบับดังกลาวไมเคยไดรับการตรวจสอบ และการระบุขอบเขตของเสนเขตแดนที่แทจริงยังไม มีความชัดเจน
6. อนุสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับราชอาณาจักรสยาม วันที่ 13 กุมภาพันธแ 2446/1904 โดยมีการใหสัตยาบันแลกเปลี่ยนกันเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2447/1904 สนธิสัญญาฉบับนี้มีวัตถุประสงคแ เพื่อการตีความสนธิสัญญาฉบับวันที่ 3 ตุลาคม 2436/1983 แทนที่อนุสัญญาฉบับวันที่ 7 ตุลาคม 2445/1902 โดยกําหนดใหใชเทือกเขาพนมดงรักและแมน้ําโขงเป็นแนวเขตแดนทําใหจําปาสักอยูในเขตแดนของลาว68 และ
61 ชาญวิทยแ เกษตรศิริ. อางแลว, หนา 36-49. 62 เรื่องเดียวกัน. หนา 45. 63 เรื่องเดียวกัน. หนา 75-87. 64 วันขึ้นปีใหมของสยามยังคงเป็นวันที่ 1 เมษายน ดังนั้นจึงยังไมเปลี่ยนปีพุทธศักราช โดยจะมีการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม เป็นวันที่ 1 มกราคม ครั้งแรกในปี พ.ศ.2484 หมายความวา ปี พ.ศ.2483 มีเพียง 9 เดือน (เมษายน – ธันวาคม) และกอนปี พ.ศ.2484 จึงตองบวกเพิ่มเพียง 542 ปี ไมใช 543 ปี 65 ชาญวิทยแ เกษตรศิริ. อางแลว, หนา 83. 66 เรื่องเดียวกัน. หนา 101-108. 67 อธิบายเชนเดียวกับเชิงอรรถที่ 64 68 ชาญวิทยแ เกษตรศิริ. อางแลว, หนา 109-112. 86
เป็นขอเท็จจริงที่เจาหนาที่ฝรั่งเศสยังคงตองดําเนินการกําหนดเสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับลาวตอมาอีก 40 ปี กระบวนการดําเนินงานนี้อาจกระทําโดยเจาพนักงานทองถิ่นผูมีความชํานาญเขตพื้นที่ในหวัดสตึงเตร็ง หรือ พื้นที่อื่นๆ เชน หมูบาน หรือหนวยงานทางปกครองอื่นๆ สวนในเขตพื้นที่เทือกเขาอันนัม (Chaine Annamatique) นั้น ขอกําหนดเรื่องสันปันน้ําถูกนํามาใชเพื่อความสะดวกในการปักปันเขตแดน และเสนเขต แดนที่ปรากฏบนแผนที่เป็นเพียงเสนสมมุติที่ขีดขึ้นโดย “ตองไมถือวามีผลบังคับใชอยางเป็นทางการ (must not be authoritative)”69
อยางไรก็ตาม ความถูกตองในการวางตําแหนงของเสนเขตแดนระหวางลาวกับกัมพูชา เกิดจาก การศึกษาแผนที่แผนที่อินโดจีน (Carte de l'Indochine) มาตราสวน 1:100,000 ตนฉบับตีพิมพแ โดย หนวย บริการภูมิศาสตรแฝรั่งเศสแหงอินโดจีน (French Service Geographique de l'Indochine) และถูกนํามาใช ตลอดมาโดยสถาบันทางภูมิศาสตรแขององคแกรตางๆ ในหลายประเทศ ขอความของสนธิสัญญาและการกระทํา ตางๆ ของรัฐคูภาคีมีความคลุมเครือเกินกวาที่จะนํามาเป็นเหตุผลในการกําหนดเสนเขตแดนในปัจจุบัน แหลงขอมูลหลักที่ใชในการเขียนโครงรางเสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับลาว คือ แผนที่อินโดจีน (Carte de l'Indochine) ขนาดระวาง 1 : 100,000 ตนฉบับตีพิมพแ โดย หนวยบริการภูมิศาสตรแฝรั่งเศสแหง อินโดจีน (French Service Geographique de l'Indochine) และ นับตั้งแตไดรับเอกราชเป็นตนมา กัมพูชาไดศึกษาแผนที่ชุดนี้ในแบบของตนเอง โดยกัมพูชาและเวียดนามไดรวมกันทําการปรับปรุงและแกไข รายละเอียดตางๆ ในแผนที่อีกครั้ง ดังนั้น เสนเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่ซึ่งรัฐบาลสหรัฐไดจัดทําขึ้นนั้น ตอง เป็นไปตามตนฉบับของฝรั่งเศส เนื่องจากทั้งกัมพูชาและลาวตางก็ยอมรับแผนที่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมี ตนแบบมาจากระวาง 1:100,000 วาเสนเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่คือเสนที่แบงเขตแดนระหวางประเทศที่ แทจริง
69 U.S. Department of State, Office of the Geographer. Cambodia – Laos Boundary. (International Boundary Study, No.32 of June 12, 1964.), p.7. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1WMTc69 87
3.8 เส้นเขตแดนทางบกระหว่างกัมพูชากับเวียดนาม
เสนเขตแดนทางบกระหวางกัมพูชากับเวียดนาม มีความยาวประมาณ 1,228 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต บริเวณอาวไทยจนถึงบริเวณที่เป็นจุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ ไดแก กัมพูชา ลาว และเวียดนาม70 เสนเขต แดนดังกลาว เกิดขึ้นจากสนธิสัญญาระหวางประเทศฝรั่งเศสกับกัมพูชา และจากคําสั่งทางปกครอง (Decree) ในชวงระยะเวลาการบริหารอาณานิคมของขาหลวงใหญแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (Governor General of French Indochina) ทั้งนี้ หลายพื้นที่ตามแนวชายแดนยังคงมีขอพิพาทระหวางกันอยู รวมไปถึงปัญหาการ อางสิทธิ์อธิปไตยทับซอนเหนือหมูเกาะในพื้นที่อาวไทยดวย
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนามประกอบดวย 2 สวน ไดแก สวนที่ 1 คือ พื้นที่ราบลุมปาก แมน้ําทางตะวันตกเฉียงใต และสวนที่ 2 คือ เขตพื้นที่ราบสูงทางเหนือ สวนที่ 1 ตั้งแตพื้นสามเหลี่ยมปากน้ําไซงอน (Saigon River) แมน้ําดงนาย (Dong Nai River) และ แมน้ําโขง (Mekong River) รวมทั้งบริเวณคาบสมุทรกเาเหมา (Ca Mau) พื้นที่ดังกลาวครอบคลุมอาณาบริเวณ กวางขวางซึ่งประกอบดวยที่ราบดินตะกอนแมน้ํา ดินโคลน และดินทราย เต็ยนิงหแ พื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมน้ําเริ่มตนจากบริเวณทางทิศตะวันตกใกลกับกรุงพนมเปญ และพื้นที่ ทั้งหมดของโคชินจีน (Cochin China) หรือ เวียดนามใต และมีเนินเขาเล็กๆ กระจายอยูตามแนวพรมแดน เชน พื้นที่ระหวางเมืองหาเตียน (Ha Tien) กับแมน้ําโขง ตลอดพื้นที่ชายแดนมีความสูงเฉลี่ยนอยกวา 5 เมตร บริเวณที่ราบลุมซึ่งอยูหางออกไปทางทิศเหนือของแมน้ําโขงเรียกวา เพลนเดอสแจองสแ (Plaine Des Joncs) ทําใหเกิดภูมิประเทศแบบที่ราบน้ําทวมขัง (swamp and marsh) หรือ ปุาบุงปุาทาม นอกจากนี้ พื้นที่ สวนใหญของชายแดนทางทิศใตและทิศตะวันตกของเมืองเต็ยนิงหแ (Tay Ninh) เป็นบริเวณที่มีน้ําทวมเป็น ประจําทุกปี พื้นที่จากเต็ยนิงหแ (Tay Ninh) ถึงหาเตียน (Ha Tien) มีความสูงต่ํากวาระดับน้ําทะเลประมาณ 6 เมตร และระดับน้ําในแมน้ําโขงจะมีความสูงมากที่สุดประมาณ 12 เมตร ในฤดูน้ําหลาก71 พื้นที่ทางเหนือของเต็ยนิงหแ (Tay Ninh) มีระดับความลาดชันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทําใหเกิดพื้นที่ราบสูงจนถึง แมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) ซึ่งมีแหลงตนน้ําที่มาจากบริเวณจุดบรรจบกันของ 3 ดินแดน คือ อันนัม (Annam หรือ เวียดนามกลาง) กัมพูชา และ โคชินจีน ซึ่งมีระดับความสูง 943 เมตร เขตที่ราบสูงนี้มีพื้นที่ติดกับ เทือกเขาอันนัม (Chaine Annamatique) ซึ่งเป็นแกนกลางของคาบสมุทรอินโดจีนทางตะวันออกเฉียงใตของ แมน้ําแดง โดยเทือกเขาอันนัมมีหนาผาลาดชันอยูทางทิศตะวันออก มีลักษณะของโครงสรางผลึกชั้นหินโบราณ สลับกับชั้นหินลาวา มีที่ราบสูง 2 แหง ตามแนวพรมแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนาม ไดแก ที่ราบสูงกอนตูม (Kontum) ในภาคเหนือ และที่ราบสูงมะนอง (Mnong) ในภาคใต โดยที่ราบสูง 2 แหงนี้ถูกแบงออกจากกัน โดยสาขาของแมน้ําสเรปก (Srepok) ตอนบน
70 J.R.V. Prescott, H. J. C., D.F. Prescott. Frontiers of Asia and Southeast Asia (Vitoria: Melbourne University Press, 1977), p.64. 71 U.S. Department of State, Office of the Geographer. Cambodia – Vietnam Boundary. (International Boundary Study, No.155 of March 5, 1976), p.2. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1V2hsPY 88
ลักษณะภูมิอากาศตามแนวชายแดนเป็นแบบมรสุมเขตรอน เดือนที่รอนที่สุดคือ เมษายน มีอุณหภูมิ เฉลี่ยที่ 29.4 องศาเซลเซียส และในเดือนสิงหาคมมีอุณหภูมิเฉลี่ย 27.8 องศาเซลเซียส เดือนที่มีอากาศเย็นคือ ธันวาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ 26.1 องศาเซลเซียส และมีปริมาณน้ําฝนตกในชวงฤดูมรสุม เฉลี่ยราว 2,000 – 3,500 มิลลิเมตร แตพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมน้ําโขงมีปริมาณน้ําฝนคอนขางนอยเฉลี่ยราว 1,000 – 1,300 มิลลิเมตรตอปี ลักษณะพืชพรรณธรรมชาติเป็นแบบปุาฝนเขตรอน การตั้งถิ่นฐานของมนุษยแในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยม ปากแมน้ําทําใหมีการใชพื้นที่สวนใหญเพื่อทํานาปลูกขาว โดยเฉพาะบริเวณทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง หาเตียน (Ha Tien) และในเขตที่ราบสูงเพลนเดอสแจองสแ (Plaine Des Joncs) สวนบริเวณที่ราบสูงทางเหนือ ก็ถูกปกคลุมอยางหนาแนนดวยพื้นที่ปุาไม และบริเวณแมน้ําสเรปก (Srepok) ตอนบนก็เป็นพื้นที่เขตทุงหญา เสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนามเริ่มจากบริเวณอาวไทยถึงแมน้ําโขง ถูกกําหนดขึ้นบนพื้นฐาน ทางวัฒนธรรมในพื้นที่ เสนเขตแดนจึงมีสัณฐานที่คอนขางเป็นเสนตรงซึ่งอาจเกิดจากลักษณะของภูมิประเทศที่ ไมมีความแตกตางทางกายภาพที่เดนชัดของพื้นที่สามเหลี่ยมปากแมน้ํา พื้นที่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงใตใกล กับหาเตียน (Ha Tien) เสนเขตแดนถูกกําหนดขึ้นเพื่อกั้นเขตหมูบานนุยสะกาย (Nui Saky) และนุยดาดัง (Nui Da Dang) ทางเหนือและตะวันออกกอนถึงบริเวณอาวดานในของเมืองหาเตียน (Ha Tien) สวนทางตะวันออก ไปจนถึงพื้นที่แมน้ําโขงเสนเขตแดนขนานไปกับแนวถนนและเสาโทรเลขถึงเมืองเกียงถานหแ (Giang Thanh) และคลองวินหแเท (Canal de Vinh Te) ทางตะวันตกของหมูบานซอมดําชิต (Xom Dam Chit) โดยตลิ่ง ทางดานเหนือของคลองทําหนาที่เป็นแนวเขตแดนระหวางสองประเทศ ทางทิศตะวันออกเสนเขตแดนขนาน กับแนวลําคลองตอไปอีกทางตะวันตกเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร จากนั้นอีกประมาณ 1.4 กิโลเมตร ทางทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเจิวฝู (Chau Phu) หรือ เจิวด฿ก (Chau Doc) เสนเขตแดนตวัดขึ้นไปทางทิศเหนือ จนถึงบริเวณเสนตรงที่ลากไปตามลําแมน้ําปุาสัก (Bassac) จากจุดบรรจบของแมน้ําซองเจิวด฿ก (Song Chau Doc) กับแมน้ํารัคบิ่นหแกี (Rach Binh Ghi) เสนเขตแดนขนานไปตามแนวตลิ่งทางฝั่งซายดาน ตะวันออกเฉียงเหนือจนถึงหมูบานกานหแบิ่นหแ (Khanh Binh) ณ จุดนี้เสนเขตแดนกับลําน้ําเป็นแนวเดียวกัน ตั้งแตกานหแบิ่นหแ (Khanh Binh) ไปจนถึงแมน้ําปุาสัก (Bassac) และแมน้ําปุาสักก็กลายเป็นเสนเขตแดนตอลง ไปทางทิศใตจนถึงเมืองบั๊คน้ํา (Bac Nam) ตอมาเสนเขตแดนก็ลากยาวไปทางตะวันออกจากลําน้ําสายตางๆ เป็นเสนตรงผานพื้นที่ระหวางแมน้ําปุาสักกับแมน้ําโขง จากนั้นลากไปตามแนวแมน้ําโขงกอนที่จะเขาสูเขตรัค ซอทวง (Rach So Thuong) กับซองโสหา (Song So Ha) หรือ แพรกกระออม (Prek Kraom) เป็นระยะทาง 26.6 กิโลเมตร จากนั้นจึงเขาสูแมน้ําสาขาชื่อรัคไกโก (Rach Cai Co) หรือ แพรกดําปงนาย (Prek Dampong Nay) เป็นระยะทางอีก 34 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงใตไปจนถึงทางเหนือ เสนเขตแดนทําใหเกิดบริเวณที่เรียกวา “ปากนกแกว (Parrot‖s Beak)” โดยเสนเขตแดนถูกลากใหเป็นเสนตรงซึ่งแบงเขตเมืองและหมูบานตามแนวชายแดน นอกจากนี้ เสนเขตแดนยังทําใหเกิดลําน้ําแนวตรงซึ่งรูจักกันในชื่อ กําปงโรว (Kampong Rou) และ รัคกาโร (Rach Ca Ro) ทางตะวันตกเฉียงใตและตะวันตกของทายหนิ่นหแ (Tay Ninh) เสนเขตแดนคอนขางซับซอนเนื่องจาก ขนานประชิดกับแนวทางเดินและแนวถนน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเต็ยนิงหแ (Tay Ninh) เสนเขตแดน เป็นแนวเดียวกับแมน้ํา 3 สาย ไดแก แมน้ํารัคไกกาย (Rach Cai Cay) หรือแมน้ําแพรกกําปงสะเปียน (Prek Kampong Spean) แมน้ํารัคไกบั๊ค (Rach Cai Bac) หรือแมน้ําสตึงกําปงเกย (Stoeng Kampong Koei) และแมน้ํารัคเบิ่นโก (Rach Ben Go) หรือแมน้ําตนเลโรตี (Tonle Roti) เป็นระยะทางรวม 76.4 กิโลเมตร จากบริเวณตนน้ําของแมน้ําเหลานี้ เสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนาม ลากตอไปทางทิศเหนือและ 89
ตะวันออกไปตามแนวลําน้ําที่สลับซับซอน จนกระทั่งถึงจุดบรรจบกันของแมน้ําตนเลโตรว (Tonle Trou) กับ แมน้ํารัคจาม (Rach Cham) จุดนี้เป็นจุดสิ้นสุดของเสนเขตแดนซึ่งมีการปักปันในปี 2516/1973 และเป็นจุด ที่ตั้งดั้งเดิมของหลักเสาเขตแดนหมายเลข 3
90
ภาพที่ 3.11 แผนที่แสดงเสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนาม (ที่มา: Prescott, J.R.V., H. J. C., D.F. Prescott. Frontiers of Asia and Southeast Asia (Vitoria: Melbourne University Press, 1977), p.65) 91
แมน้ํารัคจาม (Rach Cham) กั้นเขตแดนทางทิศเหนือของหลักเขตแดน (จุด A ในภาพที่ 3.11) ตาม คําสั่งวันที่ 31 กรกฎาคม 2457/1914 (Decree of July 31, 1914) ทําใหเสนเขตแดนเป็นเสนตรงลากตาม แนวทิศเหนือกับตะวันออกเฉียงเหนือจนถึงหลักเขตตอมา (จุด B ในภาพที่ 3.11) บนแมน้ําแพรกเกรียว (Prek Kriou) หรือ แมน้ําแพรกจิว-แพรกเจรียว (Prek Chiu-Prek Chrieu) จากนั้นเสนเขตแดนลากตอไปอีกตามลําน้ําทางตะวันออกเป็นเสนตรง (จุด C ถึง D ในภาพที่ 3.11) โดย ลากตอไปจนตลอดลําแมน้ําดั๊คเจอรมัน (Dak Jerman) หรือแมน้ําสตึงจะเรยเมียง (Stoeng Chrey Meang) จนถึงตนแมน้ํา ในทางเดียวกันเสนเขตแดนลากตอไปเป็นเสนตรงถึงแมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) หรือแมน้ํา แพรกดักแดง (Prek Dak Dang) จนถึงบริเวณตนแมน้ํา หลักเสาเขตแดนของอาณานิคมฝรั่งเศสเดิมตั้งอยูใกลกับจุดนี้ โดยเป็นจุดบรรจบกันของ 3 ดินแดน ไดแก อันนัม (เวียดนามกลาง) โคชินจีน (เวียดนามใต) และกัมพูชา ซึ่งมีความชัดเจนอยางมากเนื่องจากเสน เขตแดนถูกกําหนดโดยลักษณะภูมิประเทศทางตะวันตกเฉียงใต (กัมพูชา – โคชินจีน) ตัดกับพื้นที่ราบสูงของ บริเวณชายแดน (อันนัม – กัมพูชา) ทางตอนเหนือของหลักเสาเขตแดน จากนั้นเสนเขตแดนลากออกจากดักฮ วี้ด (Dak Huyt) แลวจึงเขาไปเชื่อมตอกับบริเวณตนแมน้ําดักดํา (Dak Dam) แลวลากตอไปทางเหนือจนถึงจุด บรรจบของแมน้ําสเรปก (Srepok) เป็นระยะทางประมาณ 85 กิโลเมตร ตอจากนั้นไปอีก 95 กิโลเมตร ทาง ทิศเหนือจนถึงแมน้ําเซซาน (Se San) เสนเขตแดนถูกกําหนดใหเป็นเสนตรง72 จากนั้น เสนเขตแดนเป็นไปตามลําแมน้ําเซซาน (Se San) ระยะทางประมาณ 18.8 กิโลเมตร และไป ตามลําน้ําสาขาอีกประมาณ 15 กิโลเมตร ทางทิศเหนือและทิศตะวันตก โดยแบงเขตกันทางตะวันตกของ แมน้ําน้ําสะทาย (Nam Sathay) จากนั้นเสนเขตแดนเป็นไปตามแนวสันเขาทางเหนือจนถึงจุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ ไดแก ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยเสนเขตแดนสวนนี้วัดความยาวโดยประมาณได 113 กิโลเมตร
ลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจ การกระจายตัวของประชากรสะทอนใหเห็นขนาดของภูมิประเทศที่กวางใหญ ชาวนาเวียดนามและ กัมพูชาอาศัยอยูในพื้นที่ราบลุมตามแนวชายแดนเหมาะแกการทํานาปลูกขาว ความหนาแนนของประชากรมี มากเมื่อเทียบกับขนาดของพื้นที่ เสนแบงเขตแดนระหวางประเทศจึงไมใชเสนแบงความแตกตางกันของกลุม ชาติพันธุแ ชาวเวียดนามอาศัยอยูในฝั่งกัมพูชาตลอดแนวดานเหนือของบริเวณ “ปากนกแกว (Parrot‖s Beak)” รวมทั้งพื้นที่ตามแนวแมน้ําโขง นอกจากนี้ยังมีชาวจาม (Cham) ตั้งถิ่นฐานตามแนวชายแดนซึ่งอยูครอมเสน เขตแดนอีกดวย บริเวณพื้นที่ราบลุมอื่นๆ ก็มีชาวขแมรแอาศัยอยูในฝั่งของเวียดนาม โดยตั้งถิ่นฐานอยูอยาง หนาแนนทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหาเตียน (Ha Tien) และทางตอนเหนือของเมืองเต็ยนิงหแ (Tay Ninh)
72 ไมพบวามีขอความในสนธิสัญญาหรือคําสั่งทางปกครองของอาณานิคมฝรั่งเศสที่กําหนดตําแหนงชัดเจนของเสนเขต แดนบริเวณนี้ มีแตเพียงหลักฐานการลากเสนบนแผนที่ซึ่งตีพิมพแในปี 2469/1926 และแผนที่ปี 2471/1928 แมวาจะมีการ เปลี่ยนแปลงในบริเวณนี้เพียงเล็กนอย แตรัฐบาลกัมพูชาและเวียดนามไดแสดงใหเห็นถึงการยอมรับเสนที่ปรากฏบนแผนที่ อยางเป็นทางการ และมีเอกสารที่ระบุถึงการโตตอบระหวางกัน เสนเขตแดนในบริเวณนี้จึงยังมีความ “ไมแนนอน (indefinite)” ไปจนถึงบริเวณเอียดรัง (Ia Drang) หรือญาดรัง (Ya Drang) อางใน U.S. Department of State, Office of the Geographer. Cambodia – Vietnam Boundary. (International Boundary Study, No.155 of March 5, 1976), p.7. 92
ในเขตพื้นที่ราบสูง เป็นถิ่นอาศัยของกลุมชาติพันธุแตางๆ จากแมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) ถึงแมน้ําสเรปก (Srepok) มีกลุมชาติพันธุแมอญ-ขแมรแ หรือ “ขแมรแเลอ/เขมรสูง (Upper Cambodians)” อาศัยอยูตอดแนว ชายแดนทั้งสองฝั่ง ความหนาแนนของประชากรในเขตที่สูงมีคอนขางเบาบางเมื่อเทียบกับบริเวณสามเหลี่ยม ปากแมน้ํา กลุมชาติพันธุแ “สะเตียง (Stieng)” และ “พนง (Pnong)” ตั้งถิ่นฐานอยูบริเวณทางใตของเขตพื้นที่ ราบสูง ในขณะที่กลุมชาติพันธุแ “มนง (Mnong)” อาศัยอยูในเขตแมน้ําดักดํา (Dak Dam) แมน้ําสเรปก (Srepok) เรื่อยไปจนถึงบริเวณจุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ ไดแก ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งเป็น ถิ่นอาศัยของผูคนในกลุมชาติพันธุแมาลาโย-โพลินีเชีย ไดแก ระแด (Rhade) อัดดาม (Adham) กรุง (Krung) และจะไร (Jarai) ปกติแลวกลุมชาติพันธุแเหลานี้สวนใหญอาศัยอยูในเขตที่ราบสูงของฝั่งเวียดนาม แตก็พบวามี การตั้งถิ่นฐานอยูในเขตภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชาดวย
ประวัติศาสตร์ เสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนาม ถูกกําหนดขึ้นโดยการบริหารปกครองดินแดนอินโดจีนของ ฝรั่งเศส (French Indochina) เขตแดนทางทิศตะวันออก คือ อันนัม (Annam) หรือเวียดนามกลาง มีพื้นฐาน ดั้งเดิมมาจากอํานาจอิทธิพลของจีน (The Sinified Empire of Annam) ซึ่งแผขยายมาจากบริเวณตังเกี๋ย (Tokin) หรือ เวียดนามเหนือ ไปตามที่ราบลุมชายฝั่งแคบๆ แตอุดมสมบูรณแตามแนวชายฝั่งติดกับทะเลจีนใต เมื่อจักรวรรดิอันนัม (Annamese Empire) ไดขยายอํานาจออกไปมากขึ้น การติดตอระหวางดินแดน ตางๆ จึงมีความยากลําบาก ทําใหเกิดกองกําลังกลุมตางๆ ในบริเวณศูนยแกลาง ในราวคริสตแศตวรรษที่ 12 กลุมขแมรแฮินดู (The Hinduized Khmer) ไดสถาปนาอํานาจของตนขึ้นครอบคลุมอาณาเขตที่ปัจจุบัน กลายเป็นดินแดนของกัมพูชา ลาว และไทย รวมทั้งบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแมน้ําโขง สวนดินแดนที่อยู ระหวางกัมพูชาและอาณาจักรอันนัม คือ อาณาจักรจามปา (Champa) ทางทิศตะวันตก อาณาจักรสยามก็เริ่มขยายอํานาจของตนจากทางตอนใตของจีนเขาไปในดินแดนแมน้ํา เจาพระยา หลังจากถูกผลักดันโดยมองโกล ในไมชาอาณาจักรสยามก็เขามาแทนที่อํานาจของขแมรแ และ สถาปนาอารยธรรมอันยิ่งใหญของตัวเองขึ้น ดังนั้น จักรวรรดิจามปาและจักรวรรดิขแมรแ จึงถูกขนาบโดย มหาอํานาจใหมของอันนัมและสยาม อาณาจักรจามปาถูกทําลายลงกอน หลังจากคริสตแศตวรรษที่ 17 อันนัมจึงไมถูกกีดขวางจากจามปาอีก ตอไป และอันนัมไดขยายอํานาจเขามายังที่ราบลุมแมน้ําโขง จากนั้นก็ขยับขยายลงมาทางใตเขาไปในดินแดน ของขแมรแ โดยเขาไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่วางเปลากอนแลวจึงสามารถเขาครอบครองพื้นที่ซึ่งชาวขแมรแเคยอาศัย อยูแตเดิม พื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแมน้ําโขงจึงกลายมาเป็นของอันนัมในที่สุด กัมพูชาซึ่งเป็นผูสืบสาย ตระกูลมาจากจักรวรรดิพระนครอันยิ่งใหญ จึงกลายมาเป็นรัฐที่ออนแอซึ่งตองคอยตานทานแรงกดดันจาก อํานาจทางตะวันออกและทิศตะวันตก การถูกรุกรานและการเสียดินแดนเป็นระยะๆ ไดลดอํานาจและทําลาย ความเกรียงไกรของจักรวรรดิพระนคร นับตั้งแตปี 2146/1603 เวียดนามและสยามทําการรุกรานเขามาในดินแดนดั้งเดิมของอดีตจักรวรรดิ พระนคร และในปี 2332/1789 กองกําลังอาณานิคมฝรั่งเศสก็ไดเขาแทรกแซงสงครามกลางเมืองของอันนัม จนกระทั่งปี 2344-2345/1801-1802 ฝรั่งเศสจึงถือโอกาสใชประโยชนแจากการสถาปนาราชวงศแเหงวียนใหม (Nguyen Dynasty) ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันอีกครั้งของหลายอาณาจักรในดินแดนเวียดนาม และพระ จักรพรรดิองคแใหมก็รองขอการสนับสนุนจากจักรพรรดิจีน อิทธิพลของฝรั่งเศสไดเริ่มเสื่อมลงในชวงปี 2363-2400/1820-1857 อันเป็นชวงเวลาการเติบโตขึ้นของ ขบวนการชาตินิยมในเวียดนาม เป็นผลใหชาวคริสตแนิกายโรมันคาทอลิกไดรับผลกระทบเป็นอยางมาก นําไปสู 93
การกลับเขามาแทรกแซงเวียดนามโดยฝุายฝรั่งเศสอีกครั้ง เมื่อมีการบุกเขาโจมตีเมืองดานัง (Da Nang) และ เมืองไซงอน (Saigon) ฝุายกษัตริยแของกัมพูชาก็เขารวมกับฝรั่งเศสในการโจมตีศัตรูอันเกาแกคือเวียดนาม จนกระทั่งเกิดสนธิสัญญาสันติภาพ ปี 2405/1862 โดยกัมพูชายอมสละอํานาจเหนือดินแดน 3 จังหวัด ทาง ภาคตะวันออกของเขตโคชินจีน ไดแก เบียนหวา (Bien Hoa) ซาดิ่งหแ (Gia Dinh) และหมีทอ (My Tho) ใหแกฝรั่งเศส และฝรั่งเศสก็ไดดินแดนสวนที่เหลืออีก 3 จังหวัด ไดแก หาเตียน (Ha Tien) เจิวด฿ก (Chau Doc) และ วินหแลอง (Vinh Long) เชนกัน สงผลใหเกิดการตอตานจากภายในตอฝรั่งเศสซึ่งเขาไปยึดเอา ดินแดนสวนที่เหลือมาผนวกเขากับเขตปกครองโคชินจีน ตอมาในปี 2407/1864 กัมพูชากลายเป็นรัฐใน อารักขาของฝรั่งเศส (French Protectorate) ทําใหสิ้นสุดยุคแหงการรุกรานกัมพูชาโดยเวียดนามและสยาม ในการเจรจาตอรองระหวางฝรั่งเศสกับกัมพูชาเกี่ยวกับดินแดนของกัมพูชาในโคชินจีนนั้น มีการลงนาม ในอนุสัญญาปี 2413/1870 และความตกลงในปี 2416/1873 ทําใหเกิดเคาโครงเริ่มตนของเสนเขตแดนใน ปัจจุบันระหวางหาเตียน (Ha Tien) กับแมน้ําตนเลตรู (Tonle Tru) จากนั้น ในปี 2416/1873 ฝรั่งเศสจึงทํา สนธิสัญญากับเวียดนาม เพื่อรับรองอํานาจของฝรั่งเศสเหนือดินแดนโคชินจีน (เวียดนามใต) และอีกไมกี่ปี ตอมาฝรั่งเศสก็สามารถครอบครองดินแดนทั้งหมดของโคชินจีนไดสําเร็จ กระนั้นก็ตาม สยามยังคงขยายอํานาจของตนเขาไปยังเขตสูญญากาศทางการเมืองของภูมิภาคใน ตอนกลางลุมแมน้ําโขง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อํานาจของอาณาจักรพระนครกําลังออนแอลง สยามแผขยายอิทธิพล และอํานาจทางการทหารไปทางตะวันออกเฉียงใต จนถึงบริเวณตอนเหนือของที่ราบสูงสเรปก (Srepok) หลังจากเกิดเหตุการณแสูรบกันระหวางสยามกับฝรั่งเศส จึงนํามาสูการลงนามในสนธิสัญญา ปี 2436/1893 ซึ่ง สยามยอมสละอํานาจของตนเหนือดินแดนทั้งหมดทางตะวันออกของแมน้ําโขง รวมทั้งจังหวัดสตึงเตร็ง (Stung Treng) ใหแกฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสไดโอนสตึงเตร็งไปอยูภายใตอํานาจการปกครองของลาว และแยกอํานาจ ของกัมพูชาออกจากเวียดนามอยางเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในปี 2442/1899 มีการตั้งตําบลดารแลัค (Darlac) แยกออกจากสตึงเตร็ง (Stung Treng) โดยรวมเอา ดินแดนทางตะวันออกของสเรปก (Srepok) และดินแดนที่อยูทางตอนเหนือตามแนวสันปันน้ําระหวางแมน้ํา เอียดรัง (Ia Drang) กับ แมน้ําน้ําเลี้ยว (Nam Lieou) เอาไวดวย โดยลาวยังคงเป็นศูนยแกลางในการบริการงาน อาณานิคมในเขตพื้นที่ตอนกลางของลุมแมน้ําโขง อิทธิพลของฝรั่งเศสสามารถเขาไปครอบครองในเขตที่ราบสูงโดยเริ่มจากเวียดนามตอนกลางจนสามารถ ผนวกเอาดินแดนดารแลัค (Darlac) เขามาอยูภายใตอํานาจไดในปี 2447/1904 และในปีเดียวกันนี้ พื้นที่สวน ใหญของจังหวัดสตึงเตร็ง (Stung Treng) ก็ถูกโอนกลับคืนไปใหกัมพูชา โดยแยกออกจากดินแดนฝั่งขวาของ แมน้ําน้ําถ้ํา (Nam Tham) หรือแมน้ําดักดํา (Dak Dam) ซึ่งอยูภายใตการดูแลโดยตรงของเวียดนามกลาง แต เสนเขตแดนในบริเวณทางเหนือของสเรปก (Srepok) ยังไมไดรับการปักปัน คําสั่งเหลานี้ไดวางพื้นฐานในการ แบงเสนเขตแดนระหวางเวียดนามกลางกับกัมพูชา โดยมีการออกคําสั่งฉบับตอๆ มา แตก็ไมไดสงผลกระทบใน การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่สวนใหญ (ดูเอกสารคําสั่งทางปกครองในหัวขอถัดไป) นับตั้งแตเป็นเอกราช สนธิสัญญาหรือความตกลงใดๆ ที่เกิดขึ้นในชวงการปกครองของอาณานิคม ระหวางกัมพูชากับเวียดนาม ไดกลายมาเป็นสาเหตุหลักในขอพิพาทเขตแดนของทั้งสองประเทศ แตปัญหา สวนใหญมักเกี่ยวกับหมูเกาะในพื้นที่อาวไทย ในปี 2452/1939 ขาหลวงใหญแหงอินโดจีนฝรั่งเศสไดออกคําสั่ง ทางปกครอง (Decree) เพื่อประโยชนแในการบริหารงานอาณานิคม โดยกําหนดเสนแบงเขตแดนที่เรียกวา “เสนบรีเว (Brévié Line)” ซึ่งตอมาความตกลง (Agreement) ระหวางกัมพูชากับเวียดนามไดยอมรับเสน ดังกลาวนี้ โดยจะไดกลาวถึงรายละเอียดในหัวขอเสนเขตแดนทางทะเลระหวางกัมพูชากับเวียดนามตอไป
94
ในกรณีของเสนเขตแดนทางบก รัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนาม (Republic of Vietnam) ไดยึดเอาตาม เสนเขตแดนทที่ถูกกําหนดขึ้นในยุคของการบริหารงานอาณานิคมฝรั่งเศส แตรัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธเสนเขต แดนจํานวน 2 แหง คือ กรณีแรก เสนเขตแดนบนแผนที่กอนสนธิสัญญาเจนีวา (Maps of pre-Geneva) ปี 2497/1954 ขอสวน 1:100,000 หรือ ที่รูจักกันในชื่อ “แผนที่อินโดจีน (Carte de l' Indochine)” จัดพิมพแ โดย หนวยบริการทางภูมิศาสตรแในพื้นที่อินโดจีนแหงฝรั่งเศส (French Service Geographique de I ‖Indochine – SGI) และตอมาถูกนํามาใชโดย สถานทูตสหรัฐอเมริกา ณ กรุงพนมเปญ ในปี 2507/1964 ซึ่งมีความแตกตาง กันเพียงเล็กนอย เนื่องจากมีพื้นที่อางสิทธิ์ของเวียดนาม อยางไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชาไดหยิบยกเอาปัญหาการ “เสียดินแดน” ของตนมาเป็นประเด็นขอพิพาทอยูหลายครั้ง กรณีที่ 2 คือ พื้นที่ทางภาคใต ในเขตหาเตียน (Ha Tien) ซึ่งถูกโอบลอมโดยแมน้ําปุาสัก (Bassac) และ แมน้ําโขงและพื้นที่ตอนเหนือของเต็ยนิงหแ (Tay Ninh) เป็นถิ่นอาศัยของชนกลุมนอยชาวขแมรแ หรือ ที่รูจักกัน ในนามชาว “ขแมรแกรอม (Khmer Krom)” จํานวนมาก
ความตกลงและสนธิสัญญา เสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนามเกิดขึ้นจากความตกลง สนธิสัญญา อนุสัญญา และคําสั่งทาง ปกครองของการบริหารงานดินแดนอาณานิคมฝรั่งเศส รวมทั้งสิ้น 17 ฉบับ ไดแก
1. สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับโคชินจีน (Treaty between France and Cochin China) วันที่ 28 พฤศจิกายน 2330/1787 สนธิสัญญาฉบับนี้ทําใหฝรั่งเศสไดสิทธิ์ครอบครองเมืองทาฮอยอัน (Hoi-An) หรือ ตูราน (Tourane) หรือ ดานัง (Da Nang) และหมูเกาะพูโล-กอนดอเร (Pulo-Condre) หรือ หมูเกาะกอนเซิน (Con Son) โดย เป็นจุดเริ่มตนของการตั้งถิ่นฐานของฝรั่งเศสและการบริหารงานอาณานิคมในคาบสมุทรอินโดจีน
2. สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสและสเปนกับราชอาณาจักรอันนัม (Treaty between France and Spain, and the Kingdom of Annam) วันที่ 5 มิถุนายน 2405/1862 และแลกเปลี่ยนสัตยาบัน 14 เมษายน 2406/1863 โดยขอ 3 ของสนธิสัญญากําหนดวา ราชอาณาจักรอันนัมหรือเวียดนามกลางยินยอมยกดินแดน 3 จังหวัดของโคชินจีน (Cochin China) ไดแก เบียนเหา (Bien-Hoa) เกียดิ่นหแ (Gia-Dinh) และดิ่นหแเทือง (Dinh-Tuong) หรือ หมีทอ (My Tho) รวมทั้งเกาะพูโล-กอนดอเร (Pulo-Condre) หรือ หมูเกาะกอนเซิน (Con Son) ใหแกฝรั่งเศส
3. สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับกัมพูชา (Treaty between France and Cambodia) วันที่ 11 สิงหาคม 2406/1863 และแลกเปลี่ยนสัตยาบัน 14 เมษายน 2407/1864 ฝรั่งเศสเขายึดเอากัมพูชาเป็นรัฐในอารักขา (Protectorate) โดยไมไดกําหนดเสนเขตแดนระหวาง อาณาเขตของกัมพูชากับดินแดนโคชินจีนของฝรั่งเศส เนื่องจากมีความยากลําบากระหวางดินแดนสองสวนที่ แยกกันของโคชินจีนฝรั่งเศสจึงเขาครอบครองดินแดนที่สวนเหลือ
95
4. อนุสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับกัมพูชาเกี่ยวกับการก าหนดอาณาเขต (Convention between France and Cambodia relative to the delimitation of the Frontier) วันที่ 9 กรกฎาคม 2413/1870 ในปี 2411/1868 และปี 2412/1869 ฝรั่งเศสและกัมพูชากําหนดเสนเขตแดนระหวางกัน โดยมีการ ปักหลักเสาเขตแดนในพื้นที่สําคัญ รวมทั้งปรับปรุงรายละเอียดของเสนเขตแดนที่ปรากฏในสนธิสัญญาฉบับ กอน การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดขึ้นใกลกับพื้นที่เมืองเปรยเวง (Prey-Veng) ในเขตเทือกเขาอันนัมและหุบ เขาไวโก (Vaico valley) โดยผลการดําเนินงานตามอนุสัญญาปี 2413/1870 มีดังนี้
4.1 ความตกลงระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงกัมพูชา กับ พลเรือตรี ข้าหลวง และ ผู้บัญชาการทหารบกแห่งโคชินจีน เพื่อก าหนดเส้นเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับโคชินจีน ฝรั่งเศส (Agreement concluded between His Majesty the King of Cambodia and the Rear Admiral, Governor, and Commander in Chief in Cochin China to determine definitively the boundary between the Kingdom of Cambodia and French Cochin China) วันที่ 15 กรกฎาคม 2416/1873 โดยความตกลงฉบับนี้ ไดกําหนดเสนเขตแดนและอาจเป็นการปักปันเสนเขตแดนจากจุดพิกัดที่ ประมาณละติจูดที่ 11 องศา 45 ลิปดา เหนือ ลองจิจูด 106 องศา 30 ลิปดา ตะวันออก ในบริเวณพื้นที่ทาง ตอนใตของเมืองลอคหนิ่นหแ (Loc Ninh) ใกลชายฝั่งหาเตียน (Ha Tien) ซึ่งการกําหนดเสนเขตแดนดังกลาว เป็นไปตามรูปแบบวิธีการสมัยใหม แมวาความแมนยําจะไมถูกตองมากนัก เนื่องจากชื่อสถานที่ตางๆ ใน เอกสารไมตรงกับชื่อในปัจจุบัน เสนเขตแดนที่ลากจากทางทิศตะวันออกผานบริเวณ “ปากนกแกว (Parrot‖s Beak)” จนถึงบริเวณแนวแมน้ําโขง ในแผนที่ปี 2406/1863 แสดงใหเห็นวาพื้นที่สวนใหญของบริเวณ “ปากนกแกว (Parrot‖s Beak)” อยูในอาณาเขตของโคชินจีน นอกจากนี้ดินแดนทางตะวันตกในเขตสวาย เรียง (Svay Rieng) ของกัมพูชา รวมทั้งเสนเขตแดนในอาณาบริเวณใกลเคียงแมน้ําโขง โดยขอความที่กําหนด วา “จะลากไปทางเหนือตามแนวเสนขนานกับคลองวินหแเท (Canal de Vinh Te) จนถึงหมูบานเกียงถานหแ (Giang-Thanh) จากนั้นลากตอไปโดยตรงถึงหาเตียน (Ha Tien) ทางตะวันออกตามแนวลําคลองเปรกครอส (Prec-Cros)”73 แตตําแหนงที่ถูกตองของเสนเขตแดนบริเวณนี้ ไมสามารถกําหนดได เนื่องจากระยะทางจากแนวคลอง และความหมายของคําวา “โดยตรงถึงหาเตียน (directly to Ha Tien)” ยังไมสามารถทําความเขาใจให ชัดเจนได อยางไรก็ตาม หลักฐานแผนที่ซึ่งมีอยูในขณะนั้นก็แสดงเสนเขตแดนขนานไปกับแนวคลองซึ่ง ใกลเคียงกับตําแหนงของเสนเขตแดนในปัจจุบัน ในทางตรงกันขาม เสนเขตแดนที่ปรากฏบริเวณหาเตียน (Ha Tien) กลับถูกลากออกไปเกินกวาแนวชายฝั่งทางทิศเหนือของเสนเขตแดนในปัจจุบัน
73 “will follow a line parallel to the canal of Vinh-Te, to the north; it will end at the village of Giang Thanh and will be drawn from there directly to Ha Tien, with the canal of Prec-Cros to the east.” in U.S. Department of State, Office of the Geographer. Cambodia – Vietnam Boundary (International Boundary Study, No.155 of March 5, 1976), p.11. 96
4.2 สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับอันนัม (Treaty between France and Annam) วันที่ 15 มีนาคม 2417/1874 มีการผนวกดินแดน 3 จังหวัดของโคชินจีนเขากับฝรั่งเศส ตามขอ 5 ของสนธิสัญญา ใหโอนดินแดนใน อารักขาเพิ่มเติมจากดินแดนที่เหลือของอันนัม โดยระบุเกี่ยวกับการกําหนดเสนเขตแดนทางตอนเหนือของโค ชินจีนวา ตั้งอยูระหวางราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรอันนัมที่จังหวัดบินหแถวน (Binh Thuan)
4.3 สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับกัมพูชา (Treaty between France and Cambodia) วันที่ 12 เมษายน 2425/1882 สนธิสัญญานี้ถูกนําอางอิงมากที่สุดเกี่ยวกับการกําหนดแนวพื้นที่ 8 กิโลเมตร (8-kilometer deep zone) ของทั้งสองฝั่งของเสนเขตแดนใหเป็นเขต “hot pursuit” เพื่อการจับกุมกลุมโจรและชาวพื้นเมืองที่ทํา การตอตานฝรั่งเศส โดยสําเนาสนธิสัญญาฉบับนี้อยูที่กรุงวอชิงตัน อยางไรก็ตาม ไมมีการกําหนดแนวเสนเขต แดนตามที่ระบุเอาไวในสนธิสัญญา
5. สนธิสัญญาการใช้อ านาจอารักขาของฝรั่งเศสเหนือดินแดนอันนัม (Treaty authorizing the Protectorate of France over Annam) วันที่ 6 มิถุนายน 2527/1884 สนธิสัญญานี้เป็นฉบับสุดทายที่ทําขึ้นเพื่อการจัดตั้งดินแดนในอารักขาของฝรั่งเศสในอันนัมอยาง สมบูรณแ โดยกระบวนการกําหนดเสนเขตแดนหลังจากนี้ จะถูกประกาศในรูปแบบคําสั่งทางปกครอง (Decree) ซึ่งเป็นการบริหารงานภายในของอาณานิคมฝรั่งเศส
6. สนธิสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับราชอาณาจักรสยาม วันที่ 3 ตุลาคม 2436/189374 โดยมีการใหสัตยาบันแลกเปลี่ยนกันเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธแ 2436/1894 ตามความในขอ 1 ของ สนธิสัญญาระบุวา “สยามยอมสละเสียซึ่งขออางวามีกรรมสิทธิ์ทั้งสิ้นทั่วไปในดินแดน ณ ฝั่งซายฟากตะวันออก แมน้ําโขง และในบรรดาเกาะทั้งหลายในแมน้ํานั้นดวย”75 ทําใหฝรั่งเศสจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อดูแลควบคุม กิจการตางๆ ภายในดินแดนของลาว สนธิสัญญาฉบับนี้เกิดขึ้นหลังจาก “วิกฤติการณแ รศ.112” โดยสยามยอม ยกดินแดนทั้งหมดบนฝั่งซายหรือฝั่งตะวันออกของแมน้ําโขงใหแกฝรั่งเศส รวมทั้งจังหวัดสตึงเตร็ง (Stung Treng) ซึ่งฝรั่งเศสใหอยูภายใตการบริหารของลาวชั่วคราว ตอมาจึงถูกแบงออกไปขึ้นกับ ลาว กัมพูชา และ อันนัม สนธิสัญญาฉบับนี้ไมมีผลเปลี่ยนแปลงเสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับอันนัม
7. ค าสั่ง 6 พฤษภาคม 2440/1897 (Decree of May 6, 1897) ประกาศแตงตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อกําหนดและรางเสนเขตแดนของโคชินจีน โดยขาหลวงใหญแหงอิน โดจีนฝรั่งเศสไดแตงตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนเพื่อใหคําแนะนําแกการบริหารงานอาณานิคมในดานกิจการ กําหนดเสนเขตแดนตามรอยตอระหวางโคชินจีนกับกัมพูชาและโคชินจีนกับอันนัม รายงาน ของ คณะกรรมาธิการชุดนี้ ถูกใชเป็นพื้นฐานเพื่อการออกคําสั่งอื่นๆ ที่จะถูกประกาศตามมาอีกหลังจากนี้
74 ชาญวิทยแ เกษตรศิริ. อางแลว, หนา 75-87. 75 เรื่องเดียวกัน. หนา 83. 97
8. ค าสั่ง 2 พฤศจิกายน 2442/1899 (Decree of November 2, 1899) ประกาศแตงตั้งกองทหารแหงเมืองดารแลัค (Commissariat of Darlac) โดยคําสั่งฉบับนี้ ไดจัดตั้งหนวย ทหารยอยในเขตสตึงเตร็ง (Stung Treng) เพื่อดําเนินการกําหนดเสนเขตแดนบนที่ราบสูงทางตอนกลางของ เวียดนาม แตเสนเขตแดนทางตะวันตกที่เกิดจากผลงานของหนวยทหารยอยนี้ ไมตรงกับเสนเขตแดนใน ปัจจุบัน โดยเสนเขตแดนถูกลากไปตามแนวแมน้ําสเรปก (Srepok) จนกระทั่งบรรจบลําน้ําเอียแดรง (Ia Drang) หรือ แมน้ําน้ําลาแดรง (Nam Ladrang) จากนั้นลากตอไปตามแนวสันปันน้ําระหวางลําน้ําเอีย (Ia) กับ ลําน้ําน้ําเลี้ยว (Nam Lieou) ทางทิศใต
9. ค าสั่ง 22 พฤศจิกายน 2447/1904 (Decree of November 22, 1904) ประกาศใหแยกดินแดนดารแลัก (Darlac) ออกจากลาว ทําใหจังหวัดดารแลัก (Darlac Province) ถูก ผนวกอยูภายใตอํานาจการปกครองของอันนัม แตไมมีการกําหนดเสนเขตแดนระหวางลาวและเวียดนาม
10. ค าสั่ง 6 ธันวาคม 2447/1904 (Decree of December 6, 1904) ประกาศใหผนวกดินแดนสตึงเตร็ง (Stung Treng) เขาไปอยูกับกัมพูชา โดยจังหวัดสตึงเตร็ง (Stung Treng) ถูกโอนจากลาวไปยังกัมพูชา และคําสั่งนี้ยังใหกําหนดเสนเขตแดนระหวางลาวกับกัมพูชา รวมทั้ง กําหนดเสนเขตแดนระหวางอันนัมกับกัมพูชาไวที่บริเวณแมน้ําน้ําถ้ํา (Nam Tham) หรือ แมน้ําดักดํา (Dak Dam) ดวย
11. ค าสั่ง 31 กรกฎาคม 2457/1914 (Decree of July 31, 1914) ประกาศใหกําหนดเสนเขตแดนระหวางโคชินจีนกับกัมพูชา โดยคําแนะนําของคณะกรรมาธิการซึ่งจัดตั้ง ขึ้นในวันที่ 6 ธันวาคม 2453/1910 เพื่อตรวจสอบเสนเขตแดน โดยแบงออกเป็น 3 พื้นที่ ไดแก a) พื้นที่รอบหาเตียน (Ha Tien) ตามแนวที่ตั้งของเสาโทรเลขใหม และเสนเขตแดนของหมูบานซากาย (Saky) และหนุยดาดุง (Nui Dadung) ถูกนํามาใช; b) พื้นที่ทางตะวันตกของเต็ยนิงหแ (Tay Ninh) ของโคชินจีน ซึ่งเป็นดินแดนรูป “นิ้ว (finger)” ยื่นเขา ไปในกัมพูชาถูกยกใหกับโคชินจีน; และ c) เสนเขตแดนที่ชัดเจนถูกกําหนดจากซองซัย (Song Sai) ไปทางทิศเหนือและทิศตะวันออกถึงจุด บรรจบกันของ 3 ดินแดน คือ อันนัม กัมพูชา และโคชินจีน ซึ่งอยูใกลกับตนแมน้ําดักดํา (Dak Dam) จุดสุดทายเป็นการกําหนดเสนเขตแดนโดยพฤตินัย (de facto) ระหวาง 2 ประเทศ มาตั้งแตปี 2436/1893 เมื่อจังหวัดกิ๋วอันหแ (Cuu Anh) ถานอันหแ (Thanh Anh) ล็อกนินหแ (Loc Ninh) และ ฟฺุคเลอ (Phuoc Le) กลายเป็นสวนหนึ่งของโคชินจีน
12. ค าสั่ง 30 มีนาคม 2475/1932 (Decree of March 30, 1932) ประกาศจัดตั้งคณะผูแทนบริหารจังหวัดดารแลัค (Darlac) และจัดตั้งเขตบริหารดักดํา (Dak Dam) ภายในจังหวัดดารแลัค ใหเป็นเขตแดนทางตะวันตกติดกับกัมพูชา โดยบังคับใชตามคําสั่ง 6 ธันวาคม 2447/1904 (Decree of December 6, 1904) โดยกําหนดใหเสนเขตแดนเป็นไปตามแนวสันปันน้ําระหวาง แมน้ําซองเบ (Song Be) กับแมน้ําดักบุงโซ (Dak Bung So)
98
13. ค าสั่ง 4 มีนาคม 2476/1933 (Decree of March 4, 1933) ประกาศกําหนดเสนเขตแดนจังหวัดเปรยกู (Pleiku) และจัดตั้งจังหวัดใหม คือ กอนตูม (Kontum) ซึ่ง เป็นพื้นที่สวนเล็กบนเสนเขตแดนระหวางอันนัมกับกัมพูชา โดยกําหนด “[จาก] จุด A ที่พิกัด 116 G 78.96 ลองจิจูด และ 15 G 33 ละติจูด ซึ่งเสนเขตแดนกัมพูชาลากผานไปทางตะวันออกของเซซาน (Se San) เสนปัก ปันเขตแดนลากไปตามแนวลําน้ําเซซาน (Se San) จนถึงจุด B…”76 ซึ่งจุด B ถูกคั่นดวยเสนเขตแดนภายในเขต จังหวัด อยางไรก็ตามลําน้ําเซซาน (Se San) ในชวงสั้นๆ ก็กลายเป็นเสนเขตแดนระหวางประเทศดวย
14. ค าสั่ง 6 ธันวาคม 2478/1935 (Decree of December 6, 1935) ประกาศกําหนดเสนเขตแดนระหวางโคชินจีนกับกัมพูชา โดยมีการกําหนดแนวเขตเพื่อการปักปันเขต แดน (demarcation) ระหวางแมน้ําโขงกับแมน้ําปุาสัก (Bassac) เป็นระยะทางสั้นๆ ประมาณ 10 กิโลเมตร และจากการทําแผนที่ก็ทําใหกัมพูชาไดดินแดนสวนเล็กๆ ทางตะวันออกของแนวเขตแดนใหม ในขณะที่ดิน แดนสวนอื่นๆ ไมมีการเปลี่ยนแปลง
15. ค าสั่ง 11 ธันวาคม 2479/1936 (Decree of December 11, 1936) ประกาศกําหนดเสนเขตแดนระหวางโคชินจีนกับกัมพูชาทางทิศตะวันออกของแมน้ําปุาสัก (Bassac) เป็นระยะทาง 7.6 กิโลเมตร โดยมีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตคิดเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก
16. ค าสั่ง 31 มกราคม 2482/1939 (Decree of January 31, 1939) (ดูคําแปลฉบับเต็มไดที่หนา ) เป็นคําสั่งเพื่อกําหนดเสนเขตแดนเหนือบรรดาหมูเกาะในพื้นที่อาวไทย โดย จูลสแ บรีเว (Jules Brévié) ขาหลวงใหญแหงอินโดจีนฝรั่งเศส ไดแบงเขตการปกครองและการบริหารงานระหวางโคชินจีนกับกัมพูชา เหนือบรรดาหมูเกาะที่อยูในพื้นที่อาวไทย เป็นผลใหเกิดเสนบรีเว (Brévié Line) อันโดงดัง ทั้งกัมพูชาและ เวียดนามตางไมยอมรับเสนบรีเว (Brévié Line) วาเป็นเสนแบงเขตแดนระหวางประเทศ ทําใหเกิดขอพิพาท เกี่ยวอธิปไตยเหนือหมูเกาะตางๆ เนื่องจากในคําสั่งดังกลาวมีขอความระบุเอาไวขางทายวา “เป็นที่เขาใจกันวา ขอความขางตนเป็นไปเพื่อการบริหารงานและการตํารวจของหมูเกาะเหลานี้ ซึ่งประเด็นอํานาจเหนืออาณาเขต บนเกาะเหลานี้ยังคงไดรับการสงวนไวทั้งหมด”77 ตอมาในปี 2525/1982 มีการทําความตกลงเกี่ยวกับพื้นที่ ทะเลประวัติศาสตรแ (Agreement on Historic Water) ของทั้งสองประเทศ โดยจะอธิบายในหัวขอเสนเขต แดนทางทะเลระหวางกัมพูชากับเวียดนามในบทที่ 4 ตอไป
76 “[from] Point A by 116 G 78.96 longitude 15 G 33 latitude point where the Cambodian border passes east of the Sesam (Se San). The demarcation line follows the Sesam to Point B…” อางใน U.S. Department of State, Office of the Geographer. Cambodia – Vietnam Boundary. (International Boundary Study, No.155 of March 5, 1976), p.13. 77 “It is understood that the above [delimitation] applies only to the administration and policing of these islands and the issue of the islands' territorial jurisdiction remains entirely reserved.” อางใน Ibid, p.14. 99
17. ค าสั่ง 26 กรกฎาคม 2485/1942 (Decree of July 26, 1942) เป็นคําสั่งใหเปลี่ยนแปลงเสนเขตแดนระหวางโคชินจีนกับกัมพูชา โดยใหเกาะคานหแเหา (Khanh Hoa) ในแมน้ําปุาสัก (Bassac) โอนไปอยูในเขตของโคชินจีน เพื่อแลกกับพื้นที่ความกวางขนาด 200 เมตรตามแนว ลําคลองเบนหงี่ (Benghi canal) เป็นระยะทาง 2.5 กิโลเมตร ใหโอนไปขึ้นอยูกับเขตของกัมพูชา รวมทั้ง หมูบานเบนหงี่ (Benghi village) หรือ บินหแดี (Binh-Di) ดวย
ประเด็นปัญหาข้อพิพาท การจัดวางตําแหนงของเสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนามที่ปรากฏบนชุดแผนที่ซึ่งจัดพิมพแโดย กองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) มาตราสวน 1:100,000 เป็นที่ยอมรับจากรัฐบาลกัมพูชาและสาธารณรัฐเวียดนาม เสนเขตแดนที่ไดรับการ ตีพิมพแโดยหนวยบริการแผนที่กองทัพบกแหงสหรัฐอเมริกา (The United States Defense Mapping Agency Topographic Center – DMATC) เป็นแผนที่ซึ่งมีคาความเบี่ยงเบนมาตรฐานนอยมาก โดยผลิตขึ้น จากการกําหนดตําแหนงของเสนเขตแดนตามที่ระบุในความตกลง สนธิสัญญา และคําสั่งอื่นๆ หรือแมแตแผนที่ ดั้งเดิมและอาจมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนตําแหนงของแผนดินดวย ชุดแผนที่ซึ่งจัดพิมพแโดยกองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) มาตราสวน 1:100,000 ไมไดแสดงใหเห็นถึงตําแหนงของหลักเสา เขตแดน หรือไมระบุวาแนวเขตแดนบริเวณใดบางที่ยังมีความ “ไมแนนอน (indefinite)” ดังนั้น แผนที่ฉบับ ทางการที่มีอยูทั้งหมดกอนที่จะมีขอตกลงเจนีวาจึงตองไดรับการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง จากการศึกษาพบวาแผนที่มาตราสวน 1:100,000 ซึ่งตีพิมพแเผยแพรโดยหนวยงานที่เกี่ยวของกับการ กําหนดเสนเขตแดนของทั้งสองประเทศตางระบุตําแหนงของสถานที่และจํานวนของหลักเสาเขตแดนไวทั้งหมด แผนที่ทั้งหลายถูกนํามาเปรียบเทียบกับชุดแผนที่ของกองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) สามารถยืนยันความถูกตองไดทั้งหมด ยกเวนแหง เดียว คือ บริเวณพื้นที่คอคอดทางบกระหวางแมน้ําปุาสักกับแมน้ําโขง ซึ่งแสดงตําแหนงของเสนเขตแดนไม ตรงกัน แมวาเสนเขตแดนจะมีความคลายคลึงกัน แตก็ไมเหมือนกันเสียทีเดียวกับเสนเขตแดนที่ปรากฏในแผน ที่ของฝุายกัมพูชา ดังนั้น แผนที่ของฝุายสหรัฐอเมริกาจึงระบุชัดลงไปวาพื้นที่บริเวณดังกลาวยังมีขอพิพาทเรื่อง เสนเขตแดน แตแผนที่ของฝุายกัมพูชาและเวียดนามก็ยืนยันวาเสนเขตแดนนั้นเป็นไปตามชุดแผนที่ของกอง บริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) ดังนั้น จึงเกิดขอพิพาทขึ้นในพื้นที่บริเวณดังกลาว จากชุดแผนที่ของกองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) รัฐบาลกัมพูชาไดสงคําชี้แจงรายละเอียดของแผนที่ชุดดังกลาว ไปยังสถานทูต สหรัฐอเมริกาในปี 2507/1964 วามีการเปลี่ยนแปลงของตําแหนงบนแผนที่จากฉบับที่เขียนดวยลายมือกับ ฉบับที่จัดพิมพแหลายตอหลายระวาง ซึ่งความแตกตางหลายแหงดูเหมือนจะเกิดจากปัญหาทางดานเทคนิค โดย ตําแหนงบนแผนที่ที่มีปัญหานั้น สหรัฐอเมริกาควรระบุขอความลงไปในแผนที่ดวยวาเสนเขตแดน “ยังไม แนนอน (indefinite)” หรือเป็น “พื้นที่พิพาท (disputed sector)” ปัญหาประการแรกของพื้นที่พิพาท คือ ตําแหนงที่ตั้งของเสนเขตแดนในแมน้ําแพรกบินหแกี่ (Prek Binh Gi) ใกลกับจุดเชื่อมตอแมน้ําปุาสัก (Bassac) (ภาพที่ 3.12) ซึ่งชุดแผนที่ของกองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีน ฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) แสดงเสนเขตแดนลากขนานไปทาง ทิศตะวันตกของแนวลําแมน้ํา ในขณะที่แผนที่ชุดของฝุายกัมพูชาระบุวา เสนเขตแดนคือเสนเดียวกันกับแนวลํา 100
แมน้ํา และคําสั่งวันที่ 26 กรกฎาคม 2485/1942 (Decree of July 26, 1942) ไดยืนยันวาเสนเขตแดนบน แผนที่ของฝุายกัมพูชานั้นถูกตอง ทําใหแผนที่ชุดของสหรัฐอเมริกาตองเปลี่ยนแปลงตามคําทวงติงของฝุาย กัมพูชา ปัญหาประการที่ 2 คือ เสนเขตแดนบริเวณพื้นที่คอคอดทางบกระหวางแมน้ําปุาสัก (Bassac) กับแมน้ํา โขง (ภาพที่ 3.12) พื้นที่พิพาทนี้มีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร และมีความ กวางประมาณ 500 เมตร ความแตกตางในการตีความคําสั่งวันที่ 6 ธันวาคม 2478/1935 (Decree of December 6, 1935) คือสาเหตุของขอพิพาท เนื่องจากลักษณะเฉพาะของขอความที่ปรากฏในคําสั่งฯ ไม สามารถระบุไดบนแผนที่และมีการระบุพื้นที่พิพาทบนชุดแผนที่ของสหรัฐฯ ดวย
101
ภาพที่ 3.12 แสดงปัญหาประการที่ 1 ตําแหนงพื้นที่พิพาทของเสนเขตแดนในแมน้ําแพรกบินหแกี่ (Prek Binh Gi) ใกลกับจุดเชื่อมตอแมน้ําปุาสัก (Bassac) และปัญหาประการที่ 2 ตําแหนงพิพาทของเสนเขตแดนในพื้นที่ บริเวณคอคอดแผนดินระหวางแมน้ําปุาสัก (Bassac) กับแมน้ําโขง มีสัณฐานของพื้นที่พิพาทเป็นรูปสามเหลี่ยม
102
ปัญหาประการที่ 3 คือ บริเวณพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของล็อคนินหแ (Loc Ninh) ระหวางแมน้ํา ดักเจอรมัน (Dak Jerman) กับแมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) ซึ่งเป็นเขตปุาหนาทึบและไมมีผูคนอาศัยอยู (ภาพที่ 3.13) โดยชุดแผนที่ของกองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) แสดงเสนเขตแดนวา ลากจากแหลงตนน้ําของแมน้ําดักเจอรมัน (Dak Jerman) ไป ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือถึงแมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) แตในชุดแผนที่ของฝุายกัมพูชาไดแสดงเสนเขตแดน วา ลากขามไปทางทิศตะวันออกของแมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) แลวจึงลากตอไปทางทิศเหนือ 2.5 กิโลเมตร กอนที่เสนเขตแดนจะถูกลากไปรวมกับแมน้ําดักเจอรมัน (Dak Jerman) นอกจากนี้ เสนที่แสดงทิศทางการ ไหลของแมน้ํา (drainage pattern) ที่ปรากฏในชุดแผนที่ของหนวยบริการแผนที่กองทัพบกแหงสหรัฐอเมริกา (The United States Defense Mapping Agency Topographic Center – DMATC) มาตราสวน 1:50,000 นั้น มีความแตกตางไปจากเสนที่แสดงทิศทางการไหลของแมน้ํา (drainage pattern) ที่แสดงบนชุด แผนที่ของกองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) มาตราสวน 1:100,000 คําสั่งวันที่ 31 กรกฎาคม 2457/1944 (Decree of July 31, 1914) กําหนดเอาไววาเสนเขตแดน บริเวณนี้ “ใหเป็นไปตามลําแมน้ําดักเจอรมันขึ้นไปจนถึงแหลงตนน้ํา จนถึงจุดบรรจบกันของแมน้ําดารแกลี (Dar-Kle) กับแมน้ําดารแฮั้วด (Dar-Hoyt) หรือ แมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) แลวจึงไปตามลําน้ําแมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) ขึ้นไปจนถึงแหลงตนน้ํา”78 แตไมมีการระบุตําแหนงของแมน้ําดารแกลี (Dar-Kle) บนแผนที่ใดเลย และเป็นไปไดคอนขางยากที่จะระบุตําแหนงของลําน้ําสายนี้ ทําใหเกิดปัญหาขึ้นวาใครจะเป็นผูกําหนด ตําแหนงที่ถูกตองทางตะวันออกของแหลงตนน้ําของแมน้ําดักเจอรมัน (Dak Jerman) เนื่องจากไมมีการ อธิบายถึงจุดตัดของแมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) ในชุดแผนที่ของฝุายกัมพูชา พื้นที่ระหวางแมน้ําบริเวณนี้จึงตอง มีการระบุดวยวาเสนเขตแดน “ยังไมแนนอน (indefinite)” หรือเป็น “พื้นที่พิพาท (disputed sector)”
78 “following its [Dak Jerman] course to its source, to the confluence of Dar-Kle and of the Dar-Hoyt [Dak Huyt]; it follows the latter to its source” อางใน Ibid, p.8. 103
ภาพที่ 3.13 แสดงปัญหาประการที่ 3 ตําแหนงพื้นที่พิพาทของเสนเขตแดนบริเวณพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ ล็อคนินหแ (Loc Ninh) ระหวางแมน้ําดักเจอรมัน (Dak Jerman) กับแมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt)
104
ปัญหาประการที่ 4 คือ พื้นที่ขนาดใหญที่สุดซึ่งเป็นพื้นที่แหงเดียวที่มีหมูบานตั้งอยู (ภาพที่ 3.14) คําสั่ง วันที่ 31 กรกฎาคม 2457/1914 (Decree of July 31, 1914) ระบุวาเสนเขตแดนใหเป็นไปตามลําแมน้ําดักฮ วี้ด (Dak Huyt) จนถึงแหลงตนน้ํา ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร จากแตปรากฏวาแมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) เกิดจากแมน้ํา 2 สาขา คือ แมน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt) ทางใต กับ แมน้ําดักแดง (Dak Dang) ทาง เหนือ ชุดแผนที่ซึ่งถูกพิมพแขึ้นในชวงกอนปี 2497/1954 ระบุวาเสนเขตแดนเป็นไปตามแมน้ําดักแดง (Dak Dang) ทางเหนือ แตในชุดแผนที่ของฝุายกัมพูชาซึ่งถูกสงยังใหสถานทูตสหรัฐอเมริกานั้น เสนเขตแดนในพื้นที่ บริเวณนี้มีรอยถูกลบออก และมีการลากเสนดวยลายมือเพื่อแสดงวาเสนเขตแดนนั้นเป็นดักไปตามลําน้ําดักฮ วี้ด (Dak Huyt) และดูเหมือนวาขอความที่ระบุในคําสั่งวันที่ 31 กรกฎาคม 2457/1914 (Decree of July 31, 1914) นั้น เป็นหลักฐานยืนยันวาชุดแผนที่ของฝุายกัมพูชามีความถูกตอง แตชุดแผนที่ซึ่งถูกพิมพแขึ้นในที่ ตางๆ ไมเป็นไปตามขอความในเอกสารของฝรั่งเศส ปัญหาประการที่ 5 เกิดจากความไมชัดเจนของเสนเขตแดนที่เป็นเสนตรงซึ่งลากระหวางแมน้ําสเรปก (Srepok) กับ แมน้ําเซซาน (Se San) ซึ่งชุดแผนที่ของกองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) มีจุดผิดพลาด โดยเสนเขตแดนซึ่งแสดงบนแผนที่ ระวางหมายเลข 164E กับระวางหมายเลข 164W นั้นไมตรงกัน เพราะพิมพแเหลื่อมกันอยูประมาณ 4 กิโลเมตร ตามแนวทิศเหนือ-ใต แตในชุดแผนที่ของฝุายกัมพูชาแสดงเสนเขตแดนวา แมน้ําทั้งสองสายนี้มา บรรจบกัน ณ จุดสิ้นสุดของเสนเขตแดนตามแนวเหนือ-ใต และตัดผานที่ราบลุมแมน้ําเอียดรัง (Ia Drang) เนื่องจากไมมีการปักปันเสนเขตแดนในพื้นที่ดังกลาว เสนเขตแดนในพื้นที่บริเวณหุบแมน้ําเอียดรัง (Ia Drang Valley) จึงไมมีความชัดเจน และพื้นที่เดียวกันทางตอนเหนือของแมน้ําสเรปก (Srepok) ก็ยังมีปัญหาอยูเล็กนอยดวย จากชุดแผนที่ ของฝุายกัมพูชานั้น มีการลากเสนเขตแดนดวยลายมือเพิ่มเขามา เชนเดียวกับพื้นที่ทางทิศตะวันตกในชุดแผน ที่ของฝุายเวียดนามดวย ปรากฏพื้นที่แคบๆ บนเสนเขตแดนวาเป็น “พื้นที่ปลอดนุษยแ (No Man‖s Land)” ซึ่ง สันนิษฐานวาเป็นขอผิดพลาดทางเทคนิค เนื่องจากเกิดปัญหาขอพิพาทเสนเขตแดน ดังนั้น สิ่งที่สามารถทําไดคือ การระบุขอความเป็น มาตรฐานสากลบนแผนที่วา “การแสดงแนวแบงเสนเขตระหวางประเทศ ตองไมถือกําหนดเป็นทางการ (International Boundary Representation Must not be considered Authoritative)”
105
ภาพที่ 3.14 แสดงปัญหาประการที่ 4 เสนเขตแดนในพื้นที่บริเวณนี้มีรอยถูกลบออก และมีการลากเสนดวย ลายมือเพื่อแสดงวาเสนเขตแดนนั้นเป็นไปตามลําน้ําดักฮวี้ด (Dak Huyt)
106
ปัญหาประการสุดทาย คือ ความตอเนื่องของเสนเขตแดนทางตอนเหนือบริเวณจุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ ไดแก ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งในชุดแผนที่ของกองบริการภูมิศาสตรแแหงอินโดจีนฝรั่งเศส (The French Service Géographique de l'Indochine – SGI) ระวางหมายเลข 156W กับระวางหมายเลข 148W เสนเขตแดนที่ปรากฏในชุดแผนที่ของฝุายเวียดนามถูกกําหนดขึ้นจากแนวสันปันน้ําซึ่งเขียนขึ้นมาใหม จากเทคนิคการทําแผนที่ภาพถายทางอากาศในปี 2496/1953 แตในชุดแผนที่ของฝุายกัมพูชาไดแสดงเสนเขต แดนเชนเดียวกับแผนที่ระวาง 156W โดยใชระวาง “ใหม (new)” เฉพาะทางใต แตยังคงใชแผนที่ระวางเกา ทางเหนือ เพื่อใหเสนเขตแดนสามารถตอกันไดระหวางแผนที่สองระวาง กัมพูชาจึงทําการลบเสนเขตแดนที่ พิมพแอยูบนแผนที่ระวางทางใตออกไปประมาณ 1.6 กิโลเมตร แลวก็ลากเสนขึ้นมาใหมเพื่อใหสามารถเชื่อมตอ เขากับแผนที่ทางเหนือไดอยางตอเนื่อง อยางไรก็ตาม ปัญหาเหลานี้เป็นเรื่องทางเทคนิค เนื่องจากทั้งสองประเทศตั้งใจที่จะใชหลักการกําหนด เสนเขตแดนตามแนวสันปันน้ํา และตองตั้งขอสังเกตไวดวยวา ไมมีสนธิสัญญาหรือคําสั่งใดที่ระบุเกี่ยวกับการ ปักปันเสนเขตแดนทางตอนเหนือของเซซาน (Se San) เนื่องจากมีลักษณะภูมิประเทศที่ชัดเจนตามธรรมชาติ จึงไมจําเป็นจะตองเขียนระบุเอาไวบนแผนที่79
วิเคราะห์และสรุป จากการศึกษาพบวา รายละเอียดของสนธิสัญญาและคําสั่งที่เกิดขึ้นในชวงการบริหารงานอาณานิคม ของฝรั่งเศส คือ เอกสารพื้นฐานในการกําหนดเสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนาม ตั้งแตบริเวณชายฝั่งหา เตียน (Ha Tien) จนไปถึงแมน้ําสเรปก (Srepok River) ทั้งสองประเทศยอมรับเสนเขตแดนที่กําหนดขึ้น ตามที่ปรากฎบนแผนที่ซึ่งแสดงเสนเขตแดนจนถึงเซซาน (Se San) คําสั่งทางปกครองของฝรั่งเศส ไดกําหนด เสนเขตแดนเป็นระยะทางสั้นๆ บริเวณแมน้ําเซซาน (Se San) ทางดานเหนือไปจนถึงบริเวณจุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ ไดแก ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยเสนเขตแดนเป็นไปตามแนวสันปันน้ํา ทั้งนี้ ในปัจจุบันยัง ปรากฏวามีขอพิพาทเสนเขตแดนทางบกระหวางกัน จํานวน 6 แหง ไดแก 1. บริเวณจุดแยกของแมน้ําแพรกบินหแกี่ (Prek Binh Gi) กับแมน้ําปุาสัก (Bassac) โดย ฝุายกัมพูชา อางอิงเสนเขตแดนตามแนวลําน้ําเดิมซึ่งยืนยันตามขอความในคําสั่งทางปกครองของฝรั่งเศส 2. บริเวณพื้นที่คอคอดแผนดินระหวางแมน้ําปุาสัก (Bassac) กับแมน้ําโขง โดย การปักปันเขตแดนที่ ถูกตองไมสามารถจัดทําไดเนื่องจากขอมูลและหลักฐานที่มีอยูไมเพียงพอ 3. พื้นที่ดักเจอรมัน (Dak Jerman) กับดักฮวี้ด (Dak Huyt) การกําหนดตําแหนงที่ถูกตองของเสนเขต แดนยังไมสามารถทําได 4. ดักแดง (Dak Dang) กับ ดักฮวี้ด (Dak Huyt) ไมสามารถแกไขขอพิพาทไดเนื่องจากขอมูลและ หลักฐานที่มีอยูไมเพียงพอ แมน้ําดักแดง (Dak Dang) ควรถูกกําหนดใหเป็นเสนเขตแดนเนื่องจาก ยังอยูระหวางการเจรจาเพื่อระงับขอพิพาท 5. พื้นที่สเรปก (Srepok) กับ เซซาน (Se San) ยังไมมีหลักการพื้นฐานเพื่อการปักปันเสนเขตแดน ระหวางกัน 6. ความตอเนื่องของเสนเขตแดนทางตอนเหนือบริเวณจุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ ไดแก ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ไมสามารถแสดงเสนเขตแดนตามแนวสันปันน้ําที่แทจริงบนแผนที่ได
79 Ibid, p.6-9. 107
บทที่ 4 เส้นเขตแดนทางทะเล
นับตั้งแตปี 2501/1958 เมื่อมีการประกาศใช อนุสัญญากรุงเจนีวาวาดวยกฎหมายทะเล หรือ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 1 (United Nations Convention on the Law of the Sea – UNCLOS I)80 ประเทศตางๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตก็เริ่มกําหนดอาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ระหวางกัน แตก็ยังไมสามารถกําหนดใหเสร็จสมบูรณแได จนกระทั่งในปี 2525/1982 มีการ ประกาศใชอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II)81 ความคืบหนาของการกําหนดเสนเขตแดนของอาณาเขตทาง ทะเล (Maritime Zone) ของประเทศตางๆ จึงมีมากขึ้นเนื่องจากความพยายามในการแสวงหาผลประโยชนแ และเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางทะเลของแตละประเทศใหมากที่สุดเทาที่จะทําได ดังนั้น บทนี้จะกลาวถึงเสนเขตแดนของอาณาเขตทางทะเลระหวางประเทศในภูมิภาคอาเซียน ยกเวน ประเทศไทย แตเนื่องจากหลักเกณฑแและขั้นตอนในการกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลเป็นสาขาวิชาที่ตองใช ความเชี่ยวชาญเฉพาะดาน ดังนั้น การศึกษาในครั้งนี้จึงเป็นเพียงการอธิบายกําเนิดและพัฒนาการของอาณา เขตทางทะเล (Maritime Zone) เพื่อชี้ใหเห็นกระบวนการจัดการขอพิพาทเขตแดนทางทะเลเทานั้น โดยเสน เขตแดนทางทะเลที่จะนํามาศึกษามีจํานวนทั้งสิ้น 13 กรณี ดังที่แสดงเอาไวในตารางที่ 4.1 และภาพที่ 4.1
80 อนุสัญญากรุงเจนีวาวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 1 (United Nations Convention on the Law of the Sea – UNCLOS I) ปี 2501/1958 ประกอบดวยกฎหมาย 4 ฉบับ ไดแก 1.อนุสัญญาวาดวยทะเลอาณาเขตและเขตตอเนื่อง (Convention on the Territorial Sea and the Contiguous Zone) 2. อนุสัญญาวาดวยทะเลหลวง (Convention on the High Seas) 3. อนุสัญญาวาดวยการทําประมงและการอนุรักษแทรัพยากรที่มีชีวิตในทะเลหลวง (Convention on Fishing and Conservation of the Living Resources of the High Seas) และ 4. อนุสัญญาวาดวยไหลทวีป (Convention on the Continental Shelf) โปรดดู “ประกาศ เรื่อง ใชอนุสัญญากรุงเจนีวาวาดวยกฎหมายทะเล” ใน ราช กิจจานุเบกษา (เลมที่ 86 ตอนที่ 44 วันที่ 20 พฤษภาคม 2512), หนา 450-518. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึง จาก http://bit.ly/1EObU2c 81 โปรดดู กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย, กระทรวงการตางประเทศ. หนังสืออนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมาย ทะเล 1982, พิมพแครั้งที่ 1 กันยายน 2548. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1KkOSmG และ ฉบับภาษาอังกฤษเขาถึงไดจาก http://bit.ly/1dSph2X 108
ตารางที่ 4.1 กรณีศึกษาเสนเขตแดนทางทะเลระหวางประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเวนไทย) ที่ ประเด็น/พื้นที่พิพาท คู่พิพาท สถานะข้อพิพาท 1 ไหลทวีปในชองแคบมะละกาและทะเลจีนใต อินโดนีเซีย-มาเลเซีย ระงับแลว 27 ต.ค. 2512/1969 2 ทะเลอาณาเขตในชองแคบมะละกา อินโดนีเซีย-มาเลเซีย ระงับแลว 8 ต.ค. 2514/1971 3 ทะเลอาณาเขตในชองแคบสิงคโปรแ อินโดนีเซีย-สิงคโปรแ ระงับแลว 25 พ.ค. 2516/1973 4 ทะเลประวัติศาสตรแ (historic waters) กัมพูชา-เวียดนาม ระงับแลว 7 ก.ค. 2525/1982 5 พื้นที่พัฒนารวมบริเวณไหลทวีป มาเลเซีย-เวียดนาม ระงับแลว 5 มิ.ย. 2535/1992 6 ชองแคบยะโฮรแ (Strait of Johor) มาเลเซีย-สิงคโปรแ ระงับแลว 7 ส.ค. 2538/1995 7 ไหลทวีปถึงเกาะนาทูนา (Natuna Islands) อินโดนีเซีย-เวียดนาม ระงับแลว 26 มิ.ย. 2546/2003 8 เสนเขตแดนทางทะเล บรูไน-มาเลเซีย ระงับชั่วคราว 16 มี.ค. 2009/2552 9 เกาะมิอังกัส (Miangas Island) อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินสแ ยังไมระงับ 10 เกาะลิกิตัน (Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Sipadan) อินโดนีเซีย-มาเลเซีย ศาลโลกตัดสิน 17 ธ.ค. 2545/2002 11 แหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) อินโดนีเซีย-มาเลเซีย ยังไมระงับ 12 ขอพิพาทหิน 3 กอน มาเลเซีย-สิงคโปรแ ศาลโลกตัดสิน 23 พ.ค. 2551/2008 13 หมูเกาะสแปรตลียแ (Spratlys) บรูไน-มาเลเซีย- ยังไมระงับ ฟิลิปปินสแ-เวียดนาม- จีน-ไตหวัน
109
ภาพที่ 4.1 แผนที่แสดงกรณีศึกษาเสนเขตแดนทางทะเลระหวางประเทศในภูมิภาคอาเซียน (ยกเวนไทย) 110
4.1 ไหล่ทวีปในช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2512/1969 รัฐบาลมาเลเซียและรัฐบาลอินโดนีเซียสามารถบรรลุความตกลงวา ดวยไหลทวีประหวางกัน และมีการใหสัตยาบันในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2512/1969 ความตกลงฉบับนี้ถือเป็น ความตกลงวาดวยอาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ฉบับแรกที่เกิดขึ้นโดยรัฐบาลของประเทศในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต ความตกลงฉบับนี้ไดกําหนดไหลทวีป (Continental Shelf Boundary) ระหวาง อินโดนีเซียกับมาเลเซียโดยการลากเสนจํานวน 3 เสน เสนแรกอยูในชองแคบมะละกาและอีกสองเสนอยูใน ทะเลจีนใต เสนแรก ถูกลากขึ้นในชองแคบมะละกามีความยาว 339 ไมลแทะเล (จุด 1-10) เป็นเสนมัธยะ (Median Line) ที่บังเอิญเป็นเสนเดียวกันนี้ถูกลากตอออกไปโดยความตกลงในปี 2514/1971 ระหวางอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย (หมายเลข 6-12) จนถึงจุดบรรจบของ 3 ประเทศ เรียกวา “จุดรวม (Common Point)” ซึ่งถูกกําหนดไวในขอ 1 (3) ของความตกลงดังกลาว เสนที่สองมีความยาว 310 ไมลแทะเล (จุด 11-20) ถูกลาก ขึ้นระหวางคาบสมุทรมาเลเซียและเกาะของอินโดนีเซียในทะเลจีนใต เสนนี้ก็เป็นเสนมัธยะเชนเดียวกัน จุด ปลายสุดทางเหนือของเสนนี้เป็นจุดกึ่งกลางระหวางแผนดินของอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม และ เสนที่สาม มีความยาว 264 ไมลแทะเล (จุด 21-25) ถูกลากขึ้นในทะเลจีนใตจากจุดปลายสุดของเสนเขตแดน ทางบกระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียบนชายฝั่งทางเหนือของเกาะบอรแเนียว ทั้งสามเสนดังกลาวถูกกําหนดขึ้นโดยการลากเสนไปตามแนวเสนมัธยะ (equidistant) จากจุดฐาน (basepoint) ของแตละประเทศเพื่อแบงเขตไหลทวีป อยางไรก็ตามเสนขอบเขตที่ถูกลากขึ้นนี้จะ “ไมสงผล กระทบทางหนึ่งทางใดตอความตกลงอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งรัฐบาลของทั้งสองประเทศจะมีการทํา ความตกลงเพื่อกําหนดเสนเขตแดนในทะเลอาณาเขตระหวางกัน (บทบัญญัติขอ 3 ของความตกลงฉบับนี้)” ความตกลงฉบับนี้ยังมีบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการพิจารณาตําแหนงที่แทจริงของจุดพิกัดที่ไดตกลงกัน เอาไว และขั้นตอนในการแสวงหาผลประโยชนแจากแหลงทรัพยากรแรธาตุในบริเวณที่ตกลงกัน นอกจากนี้ยัง ระบุเอาไวดวยวาหากเกิดขอพิพาทขึ้นจากการตีความหรือการปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ถูกกําหนดไวจะตอง ดําเนินการระงับขอพิพาทโดยแนวทางสันติวิธี (peaceful means) โดยวิธีการเชนนี้เองความตกลงระหวาง ประเทศวาดวยเสนเขตแดนทางทะเลที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตจํานวนมากจึงมักใชขอความ ตามบทบัญญัติของความตกลงฉบับนี้ อินโดนีเซียและมาเลเซียมีตําแหนงที่ตั้งทางภูมิศาสตรแอยูตรงขามกัน สวนเสนเขตแดนบนเกาะบอรแเนียว นั้นมีที่ตั้งอยูประชิดกัน อินโดนีเซียเป็นรัฐหมูเกาะแหงแรกและยังมีขนาดใหญที่สุดของโลกอีกดวย ดังนั้น อินโดนีเซียจึงทําการประกาศแนวขอบเขตทะเลอาณาเขต (territorial sea) ออกไปเป็นระยะ 12 ไมลแทะเล ใน 18 กุมภาพันธแ 2503/1960 โดยเป็นการประกาศเสนฐานตรง (straight baseline) ลอมรอบเกาะตางๆ จํานวน 13,667 เกาะ82 สวนมาเลเซียนั้น มีการสํารวจและกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลของตนเองมาตั้งแต ชวงคริสตแทศวรรษที่ 1960 เนื่องจากมีสาเหตุมาจากเหตุการณแตางๆ เชน การอับปางของเรือทอรแเรยแ แคน ยอน (Torrey Canyon) เมื่อเดือนมีนาคม 2510/1967 ที่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของเมืองคอรแนวอลลแ (Cornwall) ประเทศอังกฤษ ซึ่งสงผลกระทบตอสิ่งแวดลอมตามแนวชายฝั่งและทองทะเลเป็นอยางยิ่ง เนื่องจากการรั่วไหลของน้ํามันที่บรรทุกมาในเรือลําดังกลาวทําใหเกิดความยากลําบากในการฟื้นฟู สภาพแวดลอมและระบบนิเวศเป็นอยางยิ่ง โดยเฉพาะการขจัดคราบน้ํามันในทะเลในครั้งนั้นไมสามารถใชวิธี
82 Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.I (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 1993, 1996), p. 1,020. 111
อื่นไดนอกจากการจุดไฟเผาเพื่อใหน้ํามันระเหยหมดสิ้นไป83 รวมทั้งสถานการณแในตะวันออกกลางซึ่งทวีความ รุนแรงมากเกิดขึ้นจากการที่อียิปตแปิดคลองสุเอซ (Suez Canal) ในเดือนมิถุนายน 2510/1967 รัฐชายฝั่งทั้ง 4 ไดแก สิงคโปรแ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ตางก็แสดงความกังวลตอความปลอดภัย ในการเดินเรือและการปกปูองสิ่งแวดลอมทางทะเลในชองแคบมะละกา เนื่องจากทั้ง 4 ประเทศเป็นผูใชและมี แนวอาณาเขตอยูรอบพื้นที่ของชองแคบมะละกาที่ถือวาเป็นชองทางเดินเรือ (chokepoint) ขนสงทางทะเลที่ สําคัญที่สุดในโลก และเพื่อเป็นการยืนยันสิทธิ์ทางทะเลของมาเลเซีย มาเลเซียจึงไดประกาศแนวขอบเขตทะเล อาณาเขต (territorial sea) ออกไปเป็นระยะ 12 ไมลแทะเล ในเดือนสิงหาคม 2512/1969 แตก็ยังสงวนสิทธิ์ที่ จะรับรองการประกาศเขตทางทะเลใหมของอินโดนีเซียภายในระยะ 24 ไมลแทะเล โดยแนวคิดดังกลาวของ มาเลเซียจะตามมาดวยการกําหนดเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขต (territorial sea) กับรัฐที่อยูตรงขาม ดังนั้น มาเลเซียจึงลงนามในความตกลงวาดวยไหลทวีปกับอินโดนีเซียในปี 2512/1969 เป็นครั้งแรกโดย ตามมาดวยการลงนามในความตกลงวาดวยทะเลอาณาเขตในปี 2513/1970 ซึ่งไดรับแรงผลักดันจากการ แสวงหาผลประโยชนแในไหลทวีป ซึ่งกระบวนการกําหนดแนวเสนมัธยะ (equidistance) ระหวางประเทศนั้น ปัจจัยทางการเมืองและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวของไมเพียงกระทบตอพิกัดตําแหนงที่แทจริงของเสนเขตแดน แตยัง สงผลตอโอกาสในการดําเนินงานอีกดวย ไหลทวีปเสนแรกและเสนที่สองถูกกําหนดขึ้นจากหลักการของเสนมัธยะ (equidistance) แตไหลทวีป เสนที่สามถูกกําหนดขึ้นจากเมืองตันจงดาตู (Tanjong Datu) ซึ่งเป็นจุดสุดทายของเสนเขตแดนทางบก ระหวางกาลิมันตันของอินโดนีเซียกับซาราวักของมาเลเซียบนเกาะบอรแเนียว ซึ่งเสนดังกลาวเป็นเสนมัธยะ (median line) ที่ลากขึ้นจากจุดฐาน (basepoint) ของทั้งสองประเทศแตก็คอนไปทางอินโดนีเซียนิดหนอย มาเลเซียนั้นคอนขางที่จะไมคอยเต็มใจนักในการที่จะใหขอตกลงที่มีระหวางกันสงผลอยางสมบูรณแในบางพื้นที่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของตันจงดาตู (Tanjong Datu) โดยไหลทวีปเสนที่ 3 ซึ่งลากไปตามจุดพิกัดที่ 21-25 ตามขอ 1 ของความตกลงฉบับนี้เกิดขึ้นจากความยินยอมตามการอางสิทธิ์ของมาเลเซียเนื่องจากอินโดนีเซีย หวังวามาเลเซียจะใหการสนับสนุนสถานะการอางสิทธิ์รัฐหมูเกาะ (Archipelagic State) ของตน ทําใหเชื่อกัน วาการกําหนดไหลทวีปเสนที่สามดังกลาวเป็นการประนีประนอมเพื่อการแสวงหาผลประโยชนแระหวางกันและ เพื่อใหสามารถบรรลุความสําเร็จในการทําความตกลงฉบับนี้ รูปแบบการดําเนินการดังกลาวระหวางมาเลเซีย กับอินโดนีเซียไดกลายเป็นตนแบบของการทําความตกลงเกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต โดยจะเห็นไดจากการกําหนดเอาไวในขอ 5 ของความตกลงฉบับนี้ วา “ขอพิพาทใดๆ ระหวางทั้งสองประเทศที่จะเกิดขึ้นจากการตีความหรือการปฏิบัติตามสนธิสัญญานี้ ใหระงับอยางสันติ โดย วิธีการหารือหรือการเจรจา” พื้นที่สวนใหญภายในเขตของไหลทวีปที่ถูกกําหนดขึ้นจากความตกลงฉบับนี้มีระดับความลึกของทอง ทะเลนอยกวา 100 ฟาทอม หรือประมาณ 200 เมตร และเชื่อวาเป็นอาณาบริเวณที่จะสามารถแสวงหา ทรัพยากรใตพื้นทะเล เชน น้ํามัน และก฿าซธรรมชาติได
83 มัธยะ ยุวมิตร. การใหสถานที่หลบภัยแกเรือที่ตองการความชวยเหลือ. (วิทยานิพนธแนิติศาสตรแมหาบัณฑิต สาขา กฎหมายการคาระหวางประเทศ คณะนิคิศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตแ, 2555), หนา 2-3. 112
ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียกับรัฐบาลแห่งมาเลเซีย เกี่ยวกับการก าหนดไหล่ทวีประหว่างสองประเทศ84
ข้อ 1 (1) เสนไหลทวีประหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซียในชองแคบมะละกาและทะเลจีนใต คือ เสนตรงที่ เชื่อมตอระหวางจุดในตารางที่ 1 ดานลางซึ่งระบุตําแหนงพิกัดของจุดเหลานั้นไวในตารางที่ 2 และ 3 ดังนี้ A. ในชองแคบมะละกา (1) (2) (3) จุด ลองจิจูด ตะวันออก ละติจูด เหนือ 1 98° 17′ .5 05° 27′ .0 2 98° 41′ .5 04° 55′ .7 3 99° 43′ .6 03° 59′ .6 4 99° 55′ .0 03° 47′ .4 5 101° 12′ .1 02° 41′ .5 6 101° 46′ .5 02° 15′ .4 7 101° 13′ .4 01° 55′ .2 8 101° 35′ .0 01° 41′ .2 9 101° 03′ .9 01° 19′ .5 10 101° 22′ .8 01° 15′ .0 B. ในทะเลจีนใต (ดานตะวันตก – ฝั่งตะวันออกของมาเลเซียตะวันตก) (1) (2) (3) จุด ลองจิจูด ตะวันออก ละติจูด เหนือ 11 104° 29′ .5 01° 23′ .9 12 104° 53′ .0 01° 98′ .0 13 105° 05′ .2 01° 54′ .4 14 105° 01′ .2 02° 22′ .5 15 104° 51′ .5 02° 55′ .2 16 104° 46′ .5 03° 50′ .1 17 104° 51′ .9 04° 03′ .0 18 105° 28′ .8 05° 04′ .7 19 105° 47′ .1 05° 40′ .6 20 105° 49′ .2 06° 05′ .8
84 โปรดดู “Agreement between the Government of the Republic of Indonesia and the Government of Malaysia Relating to the Delimitation of the Continental Shelves between the Two Countries,” in U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Continental Shelf Boundary (International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.1 of January 21, 1970.), pp. 2-4. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1hThUBN 113
C. ในทะเลจีนใต (ดานตะวันออก – ชายฝั่งซาราวัก) (1) (2) (3) จุด ลองจิจูด ตะวันออก ละติจูด เหนือ 21 109° 38′ .8 02° 05′ .0 22 109° 54′ .5 03° 00′ .0 23 110° 02′ .0 04° 40′ .0 24 109° 59′ .0 05° 31′ .2 25 109° 38′ .6 06° 18′ .2 (2) พิกัดของจุดตามวงเล็บ (1) คือ พิกัดทางภูมิศาสตรแและเสนฐานตรงซึ่งลากเชื่อมตอกันระหวางจุด เหลานี้ ซึ่งถูกระบุเอาไวในแผนที่แนบทาย “A” ตามความตกลงนี้ (3) ตําแหนงที่แทจริงของจุดทั้งหมดในทะเลจะไดรับการกําหนดใหแนชัดโดยวิธีการที่เห็นพองตองกัน โดยเจาหนาที่ผูรับมอบอํานาจจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ (4) เพื่อใหบรรลุจุดประสงคแตามวงเล็บ (3) “เจาหนาที่ผูรับมอบอํานาจ” ฝุายมาเลเซียหมายถึง ผูอํานวยการการทําแผนที่แหงชาติ (Pengarah, Pemetaan Negara) รวมทั้งผูที่ไดรับมอบหมายจากเขา และ ฝุายอินโดนีเซีย หมายถึง ผูอํานวยการกรมอุทกศาสตรแกองทัพเรือ (Direktur, Direktorat Hidrografi Angkatan Laut) รวมทั้งผูที่ไดรับมอบหมายจากเขา ข้อ 2 รัฐบาลแตละฝุายจะขอรับรองเพื่อใหแนใจวาทุกขั้นตอนที่จําเป็นจะตองถูกดําเนินการภายในประเทศ เพื่อใหสอดคลองกับเงื่อนไขของความตกลงฉบับนี้ ข้อ 3 ความตกลงฉบับนี้จะไมสงผลกระทบทางหนึ่งทางใดตอความตกลงอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งรัฐบาล ของทั้งสองประเทศจะมีการทําความตกลงเพื่อกําหนดเสนเขตแดนในทะเลอาณาเขตระหวางกัน ข้อ 4 หากมีแหลงปิโตรเลียมหรือก฿าซธรรมชาติใดทอดตัวขามเสนฐานตรงตามขอ 1 และสวนใดสวนหนึ่งของ แหลงทรัพยากรดังกลาวตั้งอยูบนอีกดานหนึ่งของเสนฐานตรง และแหลงทรัพยากรเหลานั้นจะสามารถนํามาใช เพื่อแสวงประโยชนแไดทั้งหมดหรือบางสวน รัฐบาลทั้งสองจะพยายามแสวงหาความตกลงที่เป็นไปในลักษณะ ของการนําแหลงทรัพยากรมาใชใหเกิดประโยชนแอยางมีประสิทธิภาพมากที่สุด ข้อ 5 ขอพิพาทใดๆ ระหวางทั้งสองประเทศที่จะเกิดขึ้นจากการตีความหรือการปฏิบัติตามสนธิสัญญานี้ ให ระงับอยางสันติ โดยวิธีการหารือหรือการเจรจา ข้อ 6 ความตกลงตกลงนี้จักไดรับสัตยาบันตามกระบวนการรัฐธรรมนูญของทั้งสองประเทศ ข้อ 7 สนธิสัญญานี้จะมีผลบังคับใชในวันที่มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันระหวางกัน
เพื่อเป็นพยานแกการนี้ ผูลงนามขางทายไดรับมอบหมายโดยถูกตองจากรัฐบาลไดลงนามในความตกลงนี้ ทําขึ้นเป็น 3 ฉบับ ณ กรุงกัวลาลัมเปอรแ วันที่ 27 ตุลาคม 1969 ในภาษามาเลเซีย ภาษาอินโดนีเซีย และภาษาอังกฤษ ในกรณีที่ความแตกตางกันในการตีความตัวบทตางภาษา ใหถือตัวบทภาษาอังกฤษเป็นสําคัญ 114
ภาพที่ 4.2 แผนที่ United States Naval Oceanographic Chart No. H.O. 5591, 3rd Ed., May 26, 1969 แสดงจุด (Point) ทั้ง 25 จุดบนไหลทวีประหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย (ที่มา: U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Continental Shelf Boundary. International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.1 of January 21, 1970. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1hThUBN)
115
ภาพที่ 4.3 แผนที่แสดงจุด (Point) ทั้ง 25 จุด บนไหลทวีประหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย (ที่มา: Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.I (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 1993, 1996), p. 1,024) 116
จุด (Point) ตางๆ บนไหลทวีปตามความตกลงดังกลาวขางตนคือเสนเดียวกับเสนฐานระหวาง อินโดนีเซียกับมาเลเซียในแผนที่นาวิกโยธินสหรัฐอเมริการะวางหมายเลข H.O. 5591 ฉบับที่ 3 วันที่ 26 พฤษภาคม 2512/1969 (ดูภาพที่ 4.2) พื้นที่ซึ่งลากเสนไหลทวีปมีระดับความลึกของน้ําทะเลนอยกวา 100 ฟาทอม (200 เมตร) ยกเวนบริเวณจุด 25 ซึ่งมีความลึกที่ระดับ 100 ฟาทอมพอดี และเป็นจุดสุดทายของไหล ทวีปในทะเลจีนใต เป็นที่นาสนใจวา ไหลทวีประหวางทั้งสองประเทศแบงออกเป็น 3 สวนที่แยกออกจากกัน ไดแก สวนแรกดานตะวันตกของชองแคบมะละกา จุด 1 ตั้งอยูที่ระยะหาง 54 ไมลแทะเลทางตะวันออกเฉียงใต ของขอบของไหลทวีปและมีระดับความลึกอยูที่ 55 ฟาทอม จุด 1 ตั้งอยูที่จุดบรรจบกันของ 3 ประเทศ (Tripoint) คือ ไทย – มาเลซีย – อินโดนีเซีย โดยไมปรากฎวามีขอพิพาทกับการอางสิทธิ์ไหลทวีปของไทย ซึ่ง ไหลทวีปสวนแรกนี้ลากจากจุด 1 ถึงจุด 10 มีความยาวของเสน 399 ไมลแทะเล หรือคิดเป็นระยะหางจากจุด หนึ่งถึงอีกจุดหนึ่งเฉลี่ยประมาณ 39.9 ไมลแทะเล ระดับความลึกที่สุดของไหลทวีปสวนนี้อยูที่ 55 ฟาทอม และ มีระดับความลึกเฉลี่ย 22.7 ฟาทอม ในชองแคบมะละกาไหลทวีปทําหนาที่แบงพื้นทองทะเลระหวางมาเลเซีย และอินโดนีเซียตามแนวเสนฐานตรง ระยะหางเฉลี่ยชวงกลางของจุดจากเสนฐานตรงระหวางอินโดนีเซียกับ มาเลเซียคิดเป็นระยะทาง 17.9 ไมลแทะเล จุดสุดทายทางทิศตะวันออกของไหลทวีปสวนนี้อยูที่จุด 10 ซึ่ง สิงคโปรแอางสิทธิ์ทะเลอาณาเขตในบริเวณชองแคบสิงคโปรแดวย สวนที่ 2 ของไหลทวีปเริ่มตนที่จุด 11 ในพื้นที่ชองแคบสิงคโปรแและขยายออกไปที่จุด 20 ในทะเลจีนใต ไหลทวีปมีความยาว 310 ไมลแทะเล คิดเป็นระยะหางจากจุดหนึ่งถึงอีกจุดหนึ่งเฉลี่ยประมาณ 31.0 ไมลแทะเล จุด 20 ซึ่งเป็นจุดสุดทายของไหลทวีปสวนนี้ คือ จุดกึ่งกลางระหวาง มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม บริเวณนี้ ไหลทวีปเป็นไปตามระยะกึ่งกลางตามแนวเสนฐานตรงระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย จุดกึ่งกลาง ของไหลทวีปสวนนี้มีระยะหางเฉลี่ยอยูที่ 67 ไมลแทะเลจากเสนฐานตรงของทั้งสองประเทศ ความลึกเฉลี่ยที่ บริเวณจุดกลางอยูที่ 31.5 ฟาทอม และมีความลึกมากที่สุดอยูที่ 43 ฟาทอม โดยกอนที่จะมีความตกลงฉบับนี้ พื้นที่ไหลทวีปสวนที่ 2 และ 3 คือพื้นที่ที่มีขอพิพาทในการอางสิทธิ์ระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย สวนที่ 2 ของไหลทวีป คือจุด 11 – 20 ซึ่งเห็นไดชัดเจนวาถูกกําหนดขึ้นโดยแยกออกจากการอางสิทธิ์เดิมและแสดงให เห็นสวนที่เทากันของไหลทวีประหวางเสนฐานของทั้งสองประเทศ สวนที่ 3 ของ ไหลทวีป มีความยาว 264 ไมลแทะเล จากจุด 21 (Tg Datu) บนแผนดินในเกาะบอรแเนียวไปยังจุด 25 ซึ่งมีระดับความลึกอยูที่ 100 ฟาทอม ซึ่งเป็นบริเวณปลายสุดของไหลทวีป ระยะหางจากจุดหนึ่งถึงอีกจุดหนึ่งเฉลี่ยประมาณ 52.8 ไมลแทะเล และมีความลึกเฉลี่ยอยูที่ 67 ฟาทอม (ดูรายละเอียดตามตารางที่ 4.2)
117
ตารางที่ 4.2 แสดงลักษณะทางกายภาพของเสนไหลทวีประหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย จุด ระยะห่าง ความลึก ดินแดนที่ตั้งอยู่ใกล้ที่สุด (ไมล์ทะเล) (Point) ระหว่างจุด (ฟาทอม) ดินแดนอินโดนีเซีย จุดกลาง ดินแดนมาเลเซีย (ไมล์ทะเล) 1 55 อุดจุงเปอเรอลัก (Udjung Peureulak) 42 เกาะเปอรัก (Pulau Perak) 39 2 37 อุดจุง ตามิอัง (Udjung Tamiang) 38 เสนฐาน 83 3 34 เกาะเบอรแฮาลา (Pulau Berhala) 18 เสนฐาน 18 4 30 เสนฐาน 15 เกาะจารัก (Pulau Jarak) 101 5 9 เสนฐาน 13 เสนฐาน 43 6 10 เกาะรูปัท (Pulau Rupat) 11 แหลมราคาโด (Cape Racado) 34 7 19 เสนฐาน 10 ปูโล อันดัน (Pulo Undan) 26 8 13 เกาะเบิงกาลิส (Pulau Bengkalis) 12 ตอฮอรแ (Tg Tohor) 36 9 5 เสนฐาน 14 เสนฐาน 19 10 15 เดอะ บราเธอสแ (The Brothers) 6 เกาะโกกบ (Pula Kokob) ช่องแคบสิงคโปร์ (Singapore Strait) 11 14 เบอรากิต (Tg Berakit) 11 แผนดิน 19 12 22 เบอรากิต (Tg Berakit) 30 เสนฐาน 22 13 30 ตอกอง มาลังบิรู (Tokong Malangbiru) 39 เสนฐาน 28 14 30 เสนฐาน 30 เกาะอาอูรแ (Palau Aur) 34 15 31 เกาะดามารแ (Pulau Damar) 33 เสนฐาน 56 16 37 เกาะมังกาอิ (Pulau Mangkai) 66 เสนฐาน 14 17 40 เกาะมังกาอิ (Pulau Mangkai) 71 เสนฐาน
118
72 18 43 ตอกอง นานาส (Tokong Nanas) 106 เกาะเติงกอล (Pulau Tenggol) 41 19 37 ตอกอง เบอลาจารแ (Tokong Belajar) 135 เกาะเติงกอล (Pulau Tenggol) 24 20 31 เกาะเซอมิอุม (Pulau Semiun) 149 เกาะเติงกอล (Pulau Tenggol) จุดตัดการเชื่อมต่อ (Disconnected Points) 21 แผนดิน ดาตู (Tg Datu) A ดาตู (Tg Datu) 58 22 30 เกาะเกอปาลา (Pulau Kepala) ดาตู (Tg Datu) 102 50 58 23 58 เซนูอารแ (Senua) ซีริก (Tg Sirik) 52 103 139 24 80 เกาะลาอุต (Pulau Laut) ซีริก (Tg Sirik) 52 125 185 25 100 เกาะลาอุต (Pulau Laut) ซีริก (Tg Sirik) 132 236 ที่มา: ปรับปรุงจาก U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Continental Shelf Boundary (International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.1 of January 21, 1970.), pp. 5 – 6.
สวนที่เหลือของตาราง ไมไดใชระยะทางที่เป็นจุดกึ่งกลางซึ่งวัดระหวางดินแดนของทั้งสองประเทศ แตเป็น ระยะทางที่วัดจากดินแดนของแตละประเทศถึงจุดในไหลทวีป ไดแก จุด (Point) 22 ถึงจุด จุด (Point) 25 โดยระบุระยะทางเอาไวที่ชื่อดินแดนเหลานี้
119
4.2 ทะเลอาณาเขตในช่องแคบมะละการะหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย
รัฐบาลอินโดนีเซียและรัฐบาลมาเลเซียลงนามในสนธิสัญญาวาดวยการกําหนดทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) ในวันที่ 17 มีนาคม 2513/1970 โดยกําหนดทะเลอาณาเขตระหวางกันในชองแคบมะละกา (Strait of Malacca) และมีผลบังคับใชในวันที่ 10 มีนาคม 2514/1971 ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นภาคีในอนุสัญญา วาดวยทะเลอาณาเขตและเขตตอเนื่อง (Geneva Convention on the Territorial Sea and Contiguous Zone) ปี 2501/1958 ในปี 2513/1970 เมื่อมีการลงนามในสนธิสัญญาทะเลอาณาเขตฉบับนี้ มาเลเซียมองเห็นผลประโยชนแที่ มีอยูในแหลงทรัพยากรในทองทะเลมากกวาการกําหนดเสนเขตแดนทะเลอาณาเขตกับอินโดนีเซีย ซึ่งเหตุผล เดียวกันนี้เองที่ทําใหเกิดความตกลงเรื่องไหลทวีปในปี 2512/1969 ซึ่งอาจกลาวไดวามาเลเซียยอมจํากัดเขต ทางทะเลของตนใหอยูภายในระยะ 24 ไมลแทะเล จากชายฝั่งของอินโดนีเซีย และในทางเดียวกันมาเลเซียก็ ประกาศทะเลอาณาเขตภายในระยะ 12 ไมลแทะเล อยางเป็นทางการในปี 2512/1969 เป็นที่แนชัดวา ไม ปรากฏเหตุผลทางการเมือง ยุทธศาสตรแ หรือประวัติศาสตรแใดโดยเฉพาะซึ่งทําใหเกิดเสนเขตแดนตามความตก ลงฉบับนี้ กระนั้น สนธิสัญญาวาดวยทะเลอาณาเขตฉบับนี้จึงถือเพียงวาเป็นผลสืบเนื่องจากการทําความตกลง ไหลทวีปฉบับกอนหนานั่นเอง ในสนธิสัญญาฉบับนี้ เป็นการกําหนดขอบเขตของทะเลอาณาเขตเทานั้น โดยพื้นที่ซึ่งถูกสงวนเอาไว ภายในพื้นที่สีเทา (Gray Area – ดูภาพที่ 4.5) ยังคงอยูภายใตอํานาจอธิปไตยไหลทวีปของอินโดนีเซีย แต เนื่องจากความตองการที่จะบรรลุจุดประสงคแเพื่อการระงับขอพิพาทที่อาจเกิดขึ้นจากการตีความหรือการ ปฏิบัติตามบทบัญญัติของสนธิสัญญา ทําใหยังคงมีการระยุขอความเชนเดียวกับที่ทําไวในความตกลงฉบับปี 2512/1969 นั่นคือ “ใหระงับอยางสันติ โดยวิธีการหารือหรือการเจรจา” (ขอ 3 ของสนธิสัญญาฉบับนี้) ฝุายอินโดนีเซีย มีความยากลําบากมากกวาในแงของลักษณะทางภูมิศาสตรแ เนื่องจากมีความซับซอน ของบรรดาหมูเกาะนอยใหญจํานวนมาก ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะลากเสนเขตแดนใหใกลเคียงกับเสนแนวชายฝั่ง (coastline) ของทั้งสองประเทศใหมากที่สุด ทําใสสามารถมองขามผานปัจจัยที่เป็นอุปสรรคของภูมิประเทศซึ่ง สงผลกระทบตอการกําหนดเสนเขตแดนระหวางกันได
120
สนธิสัญญาระหว่างสาธารณรัฐอินโดนีเซียกับมาเลเซีย ว่าด้วยการก าหนดเส้นเขตแดนของทะเลอาณาเขตของทั้งสองประเทศในช่องแคบมะละกา85
สาธารณรัฐอินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยสังเกตเห็นวาแนวชายฝั่งของทั้งสองประเทศอยูตรงขามกันในชองแคบมะละกาและความกวางของ ทะเลอาณาเขตของแตละประเทศอยูที่ 12 ไมลแทะเล โดยปรารถนาที่จะกระชับสายสัมพันธแแหงมิตรภาพซึ่งมีมายาวนานของทั้งสองประเทศใหแนนแฟูนยิ่งขึ้น โดยปรารถนาเชนกันที่จะกําหนดเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขตของทั้งสองประเทศในสวนแคบของ ชองแคบมะละกา โดยแบงดังนี้ a. ทางเหนือ โดยเสนที่เชื่อมตอระหวาง ตันจุง ตู (Tandjung Thu) ละติจูด 02° 51.1′ เหนือ ลองจิจูด 101°16.9′ ตะวันออก ถึงจุด (Point) 1 ละติจูด 02°51.6′ เหนือ 101°00.2′ ตะวันออก ถึง เกาะบาตู มันดี (Batu Mandi Isle) ละติจูด 02°52.2′ เหนือ ลองจิจูด 100°41.0′ ตะวันออก และ b. ทางใต โดยเสนที่เชื่อมตอระหวาง ตันจุง ปิไอ (Tandjung Piai) ละติจูด 01°16.2′ เหนือ ลองจิจูด 103°30.5′ ตะวันออก ถึง จุด (Point) 8 ละติจูด 01°15.0′ เหนือ ลองจิจูด. 103°22.8′ ตะวันออก ถึง เกาะอีจู เก็ทจิล (Iju Ketjil Isle) ละติจูด 01°11.2′ เหนือ ลองจิจูด 103°21.0′ ตะวันออก และตันจุง เกอดาบู (Tandjung Kedabu) ละติจูด 01°05.9′ เหนือ ลองจิจูด 102°58.5′ ตะวันออก ไดตกลงกันดังตอไปนี้ ข้อ 1 (1) โดยไมมีการตัดทอนบทบัญญัติในวงเล็บ (2) ของขอนี้ เสนเขตแดนทะเลอาณาเขตของอินโดนีเซีย และมาเลเซียในชองแคบมะละกาในพื้นที่ที่ระบุเอาไวในสวนนําของสนธิสัญญานี้จะเป็นเสนที่อยูตรงกลางซึ่ง ลากออกมาจากเสนฐานของแตละฝุายตามพื้นที่กลาวไว (2) (a) ยกเวนที่กลาวไวในอนุ b ในวงเล็บ (2) ของขอนี้ พอกัดของจุดของเสนเขตแดนเป็นดังนี้ จุด 1 101° 00.2′ ตะวันออก 02° 51.6′ เหนือ จุด 2 101° 12.1′ ตะวันออก 02° 41.5′ เหนือ จุด 3 101° 45.5′ ตะวันออก 02° 15.4′ เหนือ จุด 4 102° 13.4′ ตะวันออก 01° 55.2′ เหนือ จุด 5 102° 35.0′ ตะวันออก 01° 41.2′ เหนือ จุด 6 103° 02.1′ ตะวันออก 01° 19.1′ เหนือ จุด 7 103° 03.9′ ตะวันออก 01° 19.5′ เหนือ จุด 8 103° 22.8′ ตะวันออก 01° 15.0′ เหนือ
(b) จุด 6 ไมใชกับมาเลเซีย
85 โปรดดู “Treaty between the Republic of Indonesia and Malaysia on Determination of Boundary Lines of Territorial Waters of the Two Nations at the Strait of Malacca,” in U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Territorial Sea Boundary (International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.50 of January 10, 1973.), pp. 2-4. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1Ed73gj
121
(3) พิกัดของจุดตามที่กําหนดไวในวงเล็บ (2) เป็นพิกัดทางภูมิศาสตรแและเสนเขตแดนซึ่งเชื่อมตอตามที่ แสดงไวในแผนที่แนบทายสนธิสัญญานี้เรียกวา แผนที่แนบ “A” (4) พื้นที่จริงของจุดที่ระบุไวขางตนจะถูกกําหนดโดยวิธีการรวมกันซึ่งรับรองโดยเจาหนาที่ผูรับมอบ อํานาจอยางเป็นทางการของทั้งสองประเทศ (5) ที่กลาวถึง “เจาหนาที่ผูรับมอบอํานาจ” ในวงเล็บ (4) คือ ฝุายอินโดนีเซีย หมายถึง ผูอํานวยการ กรมอุทกศาสตรแกองทัพเรือ (Director of Naval Hydrography of the Republic of Indonesia) รวมถึงผูที่ ไดรับมอบหมายทุกคน และฝุายมาเลเซีย หมายถึง ผูอํานวยการแผนที่ของรัฐมาเลเซีย ผูอํานวยการการทํา แผนที่แหงชาติ (Director of Mapping of the State of Malaysia) รวมถึงผูที่ไดรับมอบหมายทุกคน ข้อ 2 ภาคีแตละฝุายใหสัญญาที่จะยืนยันวาทุกมาตรการที่จําเป็นจะตองดําเนินการภายในประเทศใหเป็นไป ตามบทบัญญัติที่อยูในสนธิสัญญานี้ ข้อ 3 ขอพิพาทใดๆ ระหวางทั้งสองประเทศที่จะเกิดขึ้นจากการตีความหรือการปฏิบัติตามสนธิสัญญานี้ ให ระงับอยางสันติ โดยวิธีการหารือหรือการเจรจา ข้อ 4 สนธิสัญญานี้จะไดรับการรับรองตามกฎหมายตามที่กําหนดโดยขั้นตอนทางรัฐธรรมนูญของแตละประเทศ ข้อ 5 สนธิสัญญานี้จะมีผลบังคับใช ณ วันที่มีการแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญาตามกฎหมาย
ทําเป็น 3 ฉบับ ณ กรุงจาการแตา วันที่ 25 พฤษภาคม 1973 ในภาษาอินโดนีเซีย มาเลเซีย และ ภาษาอังกฤษ ในกรณีที่มีความแตกตางกันในการตีความตัวบทตางภาษา ใหถือตัวบทภาษาอังกฤษเป็นสําคัญ
สําหรับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย สําหรับมาเซีย อาดัม มาลิก จุน ฮัจจี อับดุล ราซัก บิน ดาโต฿ะ ฮัสเซน (Adam Malik) (Jun Haji Abdul Razak Bin Dato Hussein) รัฐมนตรีตางประเทศ รองนายกรัฐมนตรี
122
ภาพที่ 4.4 แผนที่ H.O. 71000, 15th Edition, June 1940, Revised 10/27/69. แสดงเสนเขตแดนทะเล อาณาเขตระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียในชองแคบมะละกา (ที่มา: ดูขนาดใหญใน U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Territorial Sea Boundary (International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.50 of January 10, 1973) เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1Ed73gj)
123
ภาพที่ 4.5 แผนที่แสดง จุด (Point) ทั้ง 8 ของเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขตระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย ในชองแคบมะละกา (ที่มา: Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.I (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 1993, 1996), p. 1,034.) 124
เสนเขตแดนทะเลอาณาเขต (territorial sea boundary) ที่ปรากฏในแผนที่นาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา ระวางหมายเลข 71000 ฉบับที่ 15 มิถุนายน 2483/1940 ปรับปรุงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2512/1969 (ดูภาพ ที่ 4.4) ซึ่งการทําแผนที่ดังกลาวเกิดขอผิดพลาด 2 ประการ คือ (1) จุด 4 (สีแดง) และจุด 7 (สีฟูา) ตั้งอยูที่ระยะ 2 ไมลแทะเลทางตะวันตกเฉียงใตของจุดบนแผนที่ (2) ระหวางขั้นตอนการทําสําเนาแผนที่ฉบับนี้ มีความคลาดเคลื่อนของเสนสีแดงเล็กนอย แตก็ไมมาก จนที่จะไปแทนที่จุดของเสนเขตแดนที่แทจริง ทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซียตางอางสิทธิ์ทะเลอาณาเขตระยะ 12 ไมลแทะเล ทําใหเสนเขตแดนทะเล อาณาเขตถูกกําหนดขึ้นในชองแคบมะละกาจากพิกัดที่ละติจูด 02 องศา 51.6 ลิปดา เหนือ ลองจิจูด 01 องศา 00.2 ลิปดา ตะวันออก ถึงละติจูด 01 องศา 15.0 ลิปดา เหนือ ลองจิจูด 103 องศา 22.8 ลิปดา ตะวันออก (02°51.6′N., 101°00.2′E,; 01°15.0′N., 103°22.8′E.) การอางสิทธิ์ทะเลอาณาเขตของแตละประเทศมีความแตกตางกันในประเด็นความยาวของเสนเขตแดน เนื่องจากพื้นที่ทะเลหลวงที่เหลืออยูในชองแคบมะละกามีขนาดเล็กมาก และทําหนาที่แบงเสนเขตแดนทะเล อาณาเขตไปดวย โดยเฉพาะพื้นที่สามเหลี่ยมของจุด 5-6-7 ซึ่งทะเลอาณาเขตของมาเลเซียลากจากจุด 5 ถึง 7 มีความยาว 173 ไมลแทะเล (ซึ่งไหลทวีปของมาเลเซียเป็นเสนเดียวกับทะเลอาณาเขต) สวนเสนเขตแดนทะเล อาณาเขตของอินโดนีเซียนั้นถูกกําหนดโดยจุด 5-6-7 มีความยาว 174 ไมลแทะเล ซึ่งยาวกวาของมาเลเซีย (ดู ตารางที่ 4.3) สนธิสัญญาระบุวา เสนเขตแดนทะเลอาณาเขตเป็นเสนแบงระหวางเสนฐานของอินโดนีเซียและ มาเลเซีย โดยอินโดนีเซียไดประกาศใชเสนฐานตรง (straight baselines) เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธแ 2513/196086 และดูเหมือนวามาเลเซียก็ใชระบบเสนฐานตรงไมตางไปจากที่อินโดนีเซียประกาศเอาไว อยางไรก็ตาม มาเลเซียไมเคยประกาศระบบเสนฐานตรงอื่นนอกจากการอางอิงความตกลงไหลทวีประหวาง อินโดนีเซียกับมาเลเซียซึ่งมีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันตอกันไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2512/196987 เมื่อพิจารณาความตกลงทะเลอาณาเขตและไหลทวีประหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย ก็เป็นที่ชัดเจนวา มาเลเซียไดอาศัยการกําหนดระบบเสนฐานตรงดังกลาวเพื่อลากเสนเขตแดนทะเลอาณาเขตของตน และยังใช เพื่ออางสิทธิ์ไหลทวีปในชองแคบมะละกาอีกดวย เสนเขตแดนทะเลอาณาเขตนี้สอดคลองกับไหลทวีปในปี 2512/1969 ยกเวนในพื้นที่สามเหลี่ยมจุด 5-6-7 โดยทุกจุดบนเสนเขตแดนทะเลอาณาเขตตรงกับจุดบนไหล ทวีป ยกเวนจุด 1 และ 6 โดยจุด 1 ตั้งอยูบนไหลทวีปแตไมใชจุดเดียวกับไหลทวีป สวนจุด 6 อยูบนเสนเขต แดนทะเลอาณาเขตของอินโดนีเซีย อยางไรก็ตาม เสนเขตแดนทะเลอาณาเขตและไหลทวีประหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียในชองแคบมะ ละกา มีความสัมพันธแโดยตรงกับตามความตกลงของ 3 ประเทศ ระหวางอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ที่จุด บรรจบกันของ 3 ประเทศ (Tripoint) ซึ่งสามารถยืนยันอํานาจอธิปไตยสมบูรณแของอาณาเขตทางทะเลใน อาณาบริเวณชองแคบมะละกาดวย
86 โปรดดู U.S. Department of State, Office of the Geographer. Straight Baselines Indonesia. International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.35 of July 20, 1971. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1NDoPvb 87 โปรดดู U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Continental Shelf Boundary. International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.1 of January 21, 1970. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1hThUBN 125
ตารางที่ 4.3 แสดงจุดเสนเขตแดนทะเลอาณาเขตระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย จุด (Turning Point) ระยะทางถึงเส้นฐาน (ไมล์ทะเล) ระยะระหว่างจุด (ไมล์ทะเล) อาณาเขต ไหล่ทวีป 1 - 11.5 15.0 2 5 10.5 43.5 3 6 10.0 33.0 4 7 10.5 25.0 5 8 12.0 36.5* 6** - 12.0 3.5* 7 9 11.5 17.5 8 10 4.5 * ทะเลอาณาเขตของอินโดนีเซีย แตทะเลอาณาเขตจากจุด 5-7 ของมาเลเซียมีระยะ 39.0 ไมลแทะเล ** จุด 6 ไมเป็นของมาเลเซีย เนื่องจากเกินกวาทะเลอาณาเขตของมาเลเซีย ที่มา: ปรับปรุงจาก U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Territorial Sea Boundary (International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.50 of January 10, 1973.), pp. 4-5.
126
4.3 ทะเลอาณาเขตในช่องแคบสิงคโปร์ระหว่างอินโดนีเซียกับสิงคโปร์
รัฐบาลอินโดนีเซียและสิงคโปรแ สามารถลงนามในความตกลงกําหนดเงื่อนไขเสนเขตแดนทะเลอาณา เขต (territorial sea) ระหวางกันไดสําเร็จเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2516/1973 ซึ่งฝุายอินโดนีเซียใหสัตยาบัน รับรองเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2516/1973 และฝุายสิงคโปรแใหสัตยาบันรับรองเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2517/1974 และทั้งสองประเทศยังเป็นภาคีในอนุสัญญาเจนีวาวาดวยทะเลอาณาเขตและเขตตอเนื่อง (Geneva Convention on the Territorial Sea and Contiguous Zone) ปี 2501/1958 อีกดวย เสนเขตแดนทะเลอาณาเขตในชองแคบสิงคโปรแเป็นเสนที่เขื่อมตอระหวางจุดที่ถูกกําหนดขึ้นจํานวน 6 จุด โดย 3 จุดอยูทางตะวันออกเป็นเสนมัธยะ (equidisyance) ที่ลากขึ้นระหวางอินโดนีเซียและสิงคโปรแ และ อีก 2 ใน 3 จุดทางตะวันตกเป็นเสนที่ลากเบนเขาไปในฝั่งของอินโดนีเซียเล็กนอย และอีก 1 จุดที่เหลือตั้งอยูที่ ระยะ 0.5 ไมลแทะเล ภายในระบบเสนฐานของรัฐหมูเกาะของอินโดนีเซีย ความตกลงวาดวยทะเลอาณาเขต “3 ไมลแทะเล” เป็นความโดดเดนทามกลางการใชระยะ 12 ไมลแ ทะเล ของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต สิงคโปรแจึงจําเป็นที่จะตองมีความตกลง 3 ประเทศ (triparties agreement) คือกับมาเลเซียและอินโดนีเซียเพิ่มเติม เพื่อใหสามารถกําหนดเสนเขตแดนทะเล อาณาเขตไดอยางมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เสนเขตแดนตามความตกลงฉบับนี้จึงเป็นการกําหนดขอบเขตกับรัฐ ชายฝั่งอื่นๆ ที่อยูตรงขามซึ่งมีทะเลอาณาเขตอยูประชิดติดกัน อยางไรก็ตาม เสนเขตแดนทางทะเลเป็นการ ลากเสนขึ้นมาจากการกําหนดเสนมัธยะ (equidistance) โดยเฉพาะทั้งอินโดนีเซียและสิงคโปรแ ซึ่งมีความ กังวลตอความปลอดภัยในการเดินเรือในชองแคบสิงคโปรแและชองแคบมะละกา ซึ่งเป็นทางเดินเรือที่มี ความสําคัญตอระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะกับสิงคโปรแ การปกปูองสิ่งแวดลอมทางทะเลใน พื้นที่ปักปันจึงมีความสําคัญมากเชนกัน ดวยปัจจัยตางๆ เหลานี้จึงนํามาสูการพิจารณาจากขอเท็จจริงซึ่งเป็น การกําหนดเสนเขตแดนขึ้นจากความสําคัญของเสนทางการเดินเรือที่สําคัญของภูมิภาค เสนเขตแดนทะเลอาณาเขตที่กําหนดขึ้นจากจุดพิกัดทั้ง 6 จุดนี้ มีความยาว 24.55 ไมลแทะเล โดยตัด ผานนานน้ําที่เต็มไปดวยความซับซอนของภูมิประเทศ เชน เกาะแกง และแนวชายฝั่งที่มีความโคงเวามาก แต อยางไรก็ตามทั้งสองฝุายก็สามารถบรรลุขอตกลงระหวางกันไดเนื่องจากคํานึงถึงความสําคัญของการอํานวย ความสะดวกในการเป็นชองทางเดินเรือในชองแคบสิงคโปรแ โดยตลอดความยาวของแนวเสนเขตแดนเสนนี้มี ความลึกของระดับน้ําทะเลอยูที่ 12-25 ฟาทอม หรือคิดเป็นความลึกเฉลี่ยที่ 17.83 ฟาทอม โดยเสนที่กําหนด ขึ้นนี้เป็นไปตามรองน้ําที่ลึกที่สุดที่สามารถใชเดินเรือไดอยางสะดวกในชองแคบสิงคโปรแ
127
ความตกลงก าหนดเงื่อนไขเส้นเขตแดนทะเลอาณาเขต ระหว่างอินโดนีเซียกับสาธารณรัฐสิงคโปร์ในช่องแคบสิงคโปร์88
ข้อ 1 1. เสนเขตแดนทะเลอาณาเขตระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแในชองแคบสิงคโปรแจะเป็นเสนตรงที่ลาก ขึ้นระหวางจุด (Point) พิกัดของแตละจุดเป็นดังนี้ จุด (Points) ละติจูด เหนือ (Latitude North) ลองจิจูด ตะวันออก (Longitude East) 1 1° 11′ 46″.0 103° 40′ 14″.6 2 1° 07′ 49″.3 103° 44′ 26″.5 3 1° 10′ 17″.2 103° 48′ 18″.0 4 1° 11′ 45″.5 103° 51′ 35″.4 5 1° 12′ 66″.1 103° 52′ 50″.7 6 1° 16′ 10″.2 104° 02′ 00″.0 2. พิกัดของจุดที่ระบุไวในวรรค 1 เป็นพิกัดทางภูมิศาสตรแและเสนเขตแดนที่ลากเชื่อมตอระหวางจุดถูก แสดงไวในแผนที่แนบ “Annexure A” ทายสนธิสัญญานี้ 3. ตําแหนงที่แทจริงของจุดขางตนในทะเลจะถูกกําหนดขึ้นดวยวิธีการตกลงรวมกันโดยเจาหนาที่ผูมี อํานาจของทั้งสองประเทศ 4. เพื่อบรรลุวัตถุประสงคแตามขอ 3 เจาหนาที่ผูมีอํานาจฝุายอินโดนีเซีย คือ ผูอํานวยการหนวยพิกัด ภูมิศาสตรแและแผนที่แหงชาติ (Ketua Badan Koordinasi Survey dan Pemataan Nasional) และ เจาหนาที่ผูมีอํานาจฝุายสิงคโปรแ คือ หนวยงานที่ไดรับมอบอํานาจจากรัฐบาลสิงคโปรแ
ข้อ 2 ขอพิพาทใดๆ ระหวางทั้งสองประเทศที่จะเกิดขึ้นจากการตีความหรือการปฏิบัติตามสนธิสัญญานี้ ให ระงับอยางสันติ โดยวิธีการหารือหรือการเจรจา ข้อ 3 สนธิสัญญานี้จะรับการสัตยาบันตามที่กําหนดโดยขั้นตอนทางรัฐธรรมนูญของทั้งสองประเทศ
ข้อ 4 สนธิสัญญานี้จะมีผลบังคับใชในวันที่มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันระหวางกัน
ทําเป็นคูฉบับ ณ กรุงจาการแตา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2516/1973 เป็นภาษาอินโดนีเซียและ ภาษาอังกฤษ ในกรณีที่ตัวบทเหลานี้ขัดแยงกัน ใหถือตัวบทภาษาอังกฤษเป็นสําคัญ
88 โปรดดู “Agreement Stipulating the Territorial Sea Boundary Lines between Indonesia and the Republic of Singapore in the Strait of Singapore,” in U.S. Department of State, Office of the Geographer. Territorial Sea Boundary: Indonesia-Singapore. (International Boundary Study Limits in the Seas No.60, November 11, 1974), pp. 2-3. เขาถึงเมื่อ 20 ธันวาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1LasWvi 128
เสนเขตแดนในทะเลอาณาเขตระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแ เป็นไปตามการกําหนดจุดพิกัดที่ปรากฏ บนแผนที่ DMAHC No.71242 (ภาพที่ 4.6) ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2506/1963 ปรับปรุงเมื่อ 21 ตุลาคม 2513/1970 โดยฝุายอินโดนีเซียอางสิทธิ์ทะเลอาณาเขตระยะ 12 ไมลแทะเล เมื่อปี 2500/1957 สวนฝุาย สิงคโปรแอางสิทธิ์ทะเลอาณาเขตเพียง 3 ไมลแทะเล ในปี 2500/1957 เชนกัน การอางสิทธิ์ทะเลอาณาเขตระยะ 3 ไมลแทะเลของสิงคโปรแนั้น เริ่มมาตั้งแตสมัยที่อังกฤษเขามาครอบครองอินแดนอาณานิคมบนเกาะสิงคโปรแ เมื่อปี 2421/1878 เสนเขตแดนของทะเลอาณาเขตจากจุด (Point) ที่ 1 – 6 มีความยาว 24.55 ไมลแทะเล ระยะหางเฉลี่ย ระหวางจุดมีความยาว 4.91 ไมลแทะเล ใกลที่สุดคือ 1.35 ไมลแทะเล และไกลที่สุดคือ 9.85 ไมลแทะเล ความลึก ของทะเลอาณาเขตอยูที่ 12 – 25 ฟาทอม โดยมีความลึกเฉลี่ย 17.83 ฟาทอม (ดูตารางที่ 4.4) พิกัดของจุด (Point) ที่ใชในการลากเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขต (territorial sea boundary) มี ทั้งหมด 6 จุด มาจากการกําหนดเสนมัธยะ (equidistant) ระหวางประเทศที่มีฝั่งทะเลอยูตรงกันขาม ในกรณี นี้คือจากฝั่งดินแดนของอินโดนีเซียและจากฝั่งดินแดนขอสิงคโปรแซึ่งมีภูมิประเทศเป็นชายฝั่งทะเลที่อยูตรงขาม กัน (opposite coastal state) โดยจุด (Point) ทั้ง 6 นี้ มีระยะหางเฉลี่ยจากชายฝั่งของดินแดนอินโดนีเซียประมาณ 1.9 ไมลแทะเล และอยูหางจากชายฝั่งของดินแดนสิงคโปรแอยูที่ 2.7 ไมลแทะเล จุด (Point) ที่กําหนดเอาไวในทะเลอาณาเขต คือ ระยะหางที่เทากันจากฝั่งแผนดินของอินโดนีเซียและ สิงคโปรแ โดยกําหนดพื้นที่เหนือน้ําขณะน้ําลด (low-tide elevation) เป็นระยะเทากันระหวางสองประเทศ เสนมัธยะ (median line) ระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแซึ่งปรากฎบนแผนที่แนบทายสนธิสัญญาถูก กําหนดขึ้นจากเสนฐานตรง (straight baselines) ของอินโดนีเซีย และพื้นที่เหนือน้ําขณะน้ําลด (the low- tide elevation) ของสิงคโปรแ เป็นผลให จุด (Point) ที่ถูกกําหนดขึ้นตามตําแหนงที่ตั้งของเกาะตางๆ ไม จําเป็นตองตั้งอยูบนแนวเดียวกันกับเสนมัธยะ (equidistant line) และจุดปลายสุด (terminus) ของเสนเขต แดนอยูทางทิศตะวันตกในบริเวณชองแคบหลัก (Main Strait) (ดูตารางที่ 4.4)
129
ตารางที่ 4.4 แสดงลักษณะทางกายภาพของเสนเขตแดนในทะเลอาณาเขตระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแ จุด ระยะห่าง ความลึก ดินแดนอินโดนีเซีย ระยะห่างจาก ดินแดนสิงคโปร์ (Point) ระหว่างจุด (ฟาทอม) ดินแดนถึงจุด (ไมล์ทะเล) (ฟาทอม) 1 17 เกาะนีปา 1.70 2.80 เกาะซูดอง 4.80 (Pulau Nipa) (Pualau Sudong) 2 13 เกาะตากองใหญ 1.35 1.75 เกาะซาตูมู 4.75 (Pulau Takong- (Pualau Satumu) besar) 3 12 บัฟฟาโลร็อค 1.10 1.80 เกาะเซอบาร็อค 3.80 (Buffalo Rock) (Pualau Sebarok) 4 20 เบอรแฮันตี 1.30 1.30 เกาะซากิจาง เบินเดอรา 1.35 (Bt. Berhanti) (Pualau Sakijang Bendera) 5 25 เบอรแฮันตี 1.30 1.30 เกาะไมมีชื่อทางตะวันออก 9.85 (Bt. Berhanti) ของเกาะซากิจาง เปเตปาหแ (Pualau Sakijang Petepah) 6 20 เซิงกูอัง 4.65 4.65 เบด฿อก (Tg. Sengkuang) (Tg. Bedok) ที่มา: ปรับปรุงจาก U.S. Department of State, Office of the Geographer, “Territorial Sea Boundary: Indonesia-Singapore,” International Boundary Study Limits in the Seas No.60 (November 11, 1974.), pp. 3-4.
จุด (Point) 1 ของเสนเขตแดนมีระยะหางจากแตละประเทศไมเทากัน โดยตั้งอยูหางจากเกาะนีปา (Pulau Nipa) ของอินโดนีเซีย 1.70 ไมลแทะเล และอยูหางจากเกาะซูดอง (Pulau Sudong) ของสิงคโปรแ 2.80 ไมลแทะเล จุด (Point) 2 ตั้งอยูหางจาก จุด (Point) 1 มาทางทิศตะวันออกเฉียงใตเป็นระยะทาง 4.80 ไมลแทะเล โดยอยูหางจากเกาะตากองใหญ (Pulau Takong-besar) ของอินโดนีเซีย 1.25 ไมลแทะเล และอยูหางจาก เกาะเกาะซาตูมู (Pulau Satumu) ของสิงคโปรแ 1.75 ไมลแทะเล ซึ่งไดขยายเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขต ออกไปทางใตของเสนมัธยะ (median line) ระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแ นอกจากนี้ เสนเขตแดนยังขามเขา มาในเขตนานน้ําภายใน (internal water) ของอินโดนีเซีย และยังตั้งอยูดานเขาหาฝั่งของเสนฐานตรง (straight baselines) ของอินโดนีเซียอีกดวย โดยระยะหางระหวาง จุด (Point) 2 ถึง จุด (Point) 3 อยูที่ 4.75 ไมลแทะเล จุด (Point) 3 ไมใชจุดกึ่งกลาง โดยตั้งอยูหางจากบัฟฟาโลร็อค (Buffalo Rock) ของอินโดนีเซียเป็น ระยะทาง 1.10 ไมลแทะเล และอยูหางจากเกาะเซอบารอค (Pulau Sebarok) ของสิงคโปรแ เป็นระยะทาง 1.80 ไมลแทะเล นอกจากนี้ จุด (Point) 3 ยังตั้งเยื้องเขามาทางฝั่งอินโดนีเซียจากแนวเสนมัธยะ (median line) ระหวางกัน จุด (Point) 4 ตั้งอยูหางจาก จุด (Point) 3 ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทาง 3.80 ไมลแทะเล โดยจุดนี้เป็นจุดกึ่งกลางระหวางเบอรแฮันตี (Bt. Berhanti) ของอินโดนีเซีย กับเกาะซากิจาง เบินเดอรา (Pulau 130
Sakijang Bendera) ของสิงคโปรแ มีระยะหางระหวางกันอยูที่ 1.30 ไมลแทะเล โดยเสนมัธยะ (median line) ระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแลากผานไปทางทิศเหนือของจุด (Point) 4 ทําใหจุดนี้ตั้งอยูเยื้องเขามาทางฝั่ง อินโดนีเซียจากแนวเสนมัธยะเชนเดียวกับจุด (Point) 3 จุด (Point) 5 ตั้งอยูหางจาก จุด (Point) 4 ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทาง 1.35 ไมลแทะเล โดยจุดนี้เป็นจุดกึ่งกลางระหวางเบอรแฮันตี (Bt. Berhanti) ของอินโดนีเซีย กับเกาะไมมีชื่อทางตะวันออกของ เกาะซากิจาง เปเตปาหแ (Pualau Sakijang Petepah) ของสิงคโปรแ มีระยะหางระหวางกันอยูที่ 1.30 ไมลแ ทะเล จุด (Point) 5 นี้ตั้งอยูเยื้องเขามาทางฝั่งสิงคโปรแจากแนวเสนมัธยะ จุด (Point) 6 คือจุดปลายสุด (terminus) ของเสนเขตแดนทางทิศตะวันออก โดยตั้งอยูเยื้องเขามาทาง ฝั่งอินโดนีเซียจากแนวเสนมัธยะ โดยจุดนี้เป็นจุดกึ่งกลางระหวางเซิงกูอัง (Tg. Sengkuang) ของอินโดนีเซีย กับเบด฿อก (Tg. Bedok) ของสิงคโปรแ มีระยะหางระหวางกันอยูที่ 4.65 ไมลแทะเล จุดพิกัดจํานวน 6 จุด (Point) ที่ใชในการกําหนดเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขต (territorial sea boundary) ระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแนั้น เกิดจากหลักการ 2 ประการ คือ หลักการระยะหางที่เทากัน (equidistant principle) และหลักการเจรจาตอรอง (negotiated position) หลักการละ 3 จุด (Point) ใน จํานวนนี้มี 5 จุด (Point) ตั้งอยูเยื้องเขามาทางฝั่งอินโดนีเซียจากแนวเสนมัธยะ โดยเฉพาะ จุด (Point) 2 ซึ่ง ตั้งอยูภายในเสนฐานตรง (straight baselines) หรือก็คืออยูบนเขตนานน้ําภายใน (internal water) ของ อินโดนีเซียนั่นเอง
ภาพที่ 4.6 แผนที่ DMAHC No.71242, 17th Edition, August 1963, Revised 9/21/70 สามารถดูแผนที่ ขนาดใหญไดจาก http://1.usa.gov/1LasWvi
131
ภาพที่ 4.7 แสดงจุดพิกัดกําหนดเสนเขตแดนในทะเลอาณาเขตระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแในชองแคบมะละกา จํานวน 6 จุด (ที่มา: ตัดครอบและขยายเพื่อแสดงเฉพาะจุดพิกัด 6 จุด จาก H.O. 71242, 17th Edition, August 1963, Revised 9/21/70, Office of the Geographer, Department of State. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1LasWvi)
132
ภาพที่ 4.8 แผนที่แสดงจุด (Point) ทั้ง 6 จุด ในทะเลอาณาเขต (territorial sea) ระหวางอินโดนีเซียกับ สิงคโปรแในชองแคบสิงคโปรแ (ที่มา: Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.I (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 1993, 1996), p. 1,054) 133
4.4 ทะเลประวัติศาสตร์ (historic waters) ระหว่างกัมพูชากับเวียดนาม
ในปี 2501/1958 เวียดนามไดสงหนังสือแจงอยางเป็นทางการไปยังประเทศกัมพูชาเพื่ออางสิทธิ์เหนือ หมูเกาะตางๆ เชน เกาะไบเยแ (Baie) หรือ เกาะตาแกว (Koh Ta Kiev) เกาะมิเลียววแ (Milieu) หรือ เกาะทเมย (Koh Thmei) เกาะอีววแ (Eau) หรือ เกาะเสส (Koh Ses) เกาะพิก (Pic) หรือ เกาะตนสาย (Koh Tonsay) และเกาะโจรสลัดเหนือ (Northern Pirates) หรือ เกาะปอ (Koh Po) หรือ ปูโล ไว (Poulo Wai) โดยเหตุผลในการอางสิทธิ์เหนือหมูเกาะเหลานี้ของเวียดนามมาจากหลักฐานในยุคอาณานิคมอินโดจีน ของฝรั่งเศส แตฝุายกัมพูชาปฏิเสธการอางสิทธิ์ของเวียดนาม เพราะหลักฐานทางประวัติศาสตรแชี้ใหเห็นวา กัมพูชามีอํานาจอธิปไตยเหนือหมูเกาะเหลานี้มาตั้งแตปี 2399/1856 ซึ่งในเวลานั้นฝรั่งเศสพยายามที่จะเขาไป ยึดครองและแยงชิงเกาะฝูก฿วก (Phu Quoc) จากฝุายกัมพูชาไมใชจากฝุายเวียดนาม หลังจากมีการสถาปนาอาณานิคมฝรั่งเศสในโคชินจีนหรือเวียดนามใต และหลังจากฝรั่งเศสทําให กัมพูชากลายเป็นรัฐในอารักขาไดแลว หมูเกาะตางๆ เหลานี้ก็ถูกผนวกเขาเป็นสวนหนึ่งของจังหวัดหาเตียน (Ha Tien) ในปี 2482/1939 ขาหลวงใหญแหงอินโดจีนฝรั่งเศสชื่อ จูล บรีเว (Jules Brévié) ไดออกคําสั่งทาง ปกครอง ลงวันที่ 31 มกราคม 2482/1939 (Decree of January 31, 1939 – ดูรายละเอียดในหนาถัดไป) เพื่อแบงเขตการบริหารงานอาณานิคมในหมูเกาะ โดยจดหมายของบรีเวไดแจงแกทั้งฝุายกัมพูชาและฝุายโคชิน จีนถึง “ปัญหาเกี่ยวกับเกาะตางๆ ในอาวสยาม, เกี่ยวกับการเขาครอบครองซึ่งกลายเป็นขอพิพาทระหวาง กัมพูชากับโคชินจีน” และไดแบงเสนเขตแดนระหวางกันดวยการลากเสนตรงทํามุม 140 เกรด (grad) ออกไป จากชายฝั่ง แตเสนตรงนี้ถูกลากออมเกาะฝูก฿วก (Phu Quoc) มีระยะหางจากแนวชายฝั่งของเกาะ 3 กิโลเมตร และเรียกเสนแบงเขตเสนนี้วา เสนบรีเว (Brévié Line) ในเบื้องตนกัมพูชายอมรับเสนบรีเว (Brévié Line) ในฐานะเสนแบงเขตแดนที่เทาเทียมกัน แตตอมา กัมพูชากลับขยายการอางสิทธิ์ของตนออกไปจนถึงหมูเกาะโจรสลัดใต (Southern Pirates) โดยการอางสิทธิ์ ของกัมพูชานาจะเกิดจากความสับสนระหวางการวัดมุมในระบบเกรด (grad) ของฝรั่งเศส กับ การวัดมุมใน ระบบองศา (degree) ที่ใชกันโดยทั่วไป89 ระบบเกรด (grad) เป็นหนวยการวัดมุมแบบฝรั่งเศส มีคาการวัด 1 ใน 400 สวนของวงกลม (1/400th of a circle) และวัดแบบทวนเข็มนาฬิกา ในขณะที่ระบบองศา (degree) มีคาการวัด 1 ใน 300 สวนของวงกลม (1/360th of a circle) และวัดแบบตามเข็มนาฬิกา ดังนั้น โดยปกติ ของมุม 140 เกรดที่วัดถึงชายฝั่ง จะลากไปตามทิศตะวันออกเฉียงใตเขาหาแผนดิน หากวัดแบบทวนเข็ม นาฬิกาจะทําใหเกิดมุม 220 องศา และรวมเอาเกาะโจรสลัดใต (Southern Pirates) เขามาอยูภายในฝั่งของ กัมพูชา แตเสนบรีเว (Brévié Line) ถูกลากขึ้นตามวิธีการในระบบเกรด (grad) จึงทําใหเกิดมุม 234 องศา โดยเสนมุมตําแหนง (azimuth) ทําใหลากผานกลางเป็นผลใหเกาะโจรสลัดเหนือ (Northern Pirates) หรือ เกาะปูโล ไว (Poulo Wai) อยูในฝั่งกัมพูชา และเกาะโจรสลัดใต (Southern Pirates) หรือเกาะโถ จู (Tho Chu) อยูในฝั่งโคชินจีน
89 U.S. Department of State, Office of the Geographer. Cambodia – Vietnam Boundary (International Boundary Study, No.155 of March 5, 1976), pp. 9-10. 134
การแกไขปัญหาขอพิพาทหมูเกาะในพื้นที่อาวไทยระหวางกัมพูชากับเวียดนามนั้น ทั้งสองประเทศ สามารถบรรลุความตกลงวาดวยการกําหนด “พื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแรวม (a join historic waters area)” เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2525/1982 ในอาณาบริเวณโดยรอบเสนเขตแดนทางบกระหวางกัมพูชากับเวียดนาม โดยความตกลงนี้จะทําใหเกิดเขตนานน้ําภายใน (internal water) และจัดใหมีหนวยลาดตระเวนและตรวจ ตรารวมกัน นอกจากนี้ยังกําหนดวา การทําประมงของประชาชนยังสมารถดําเนินการตอไปไดเหมือนเดิม การ สํารวจทรัพยากรทางธรรมชาติในพื้นที่กําหนดจะกระทําผาน “ความตกลงรวม (common agreement)” รวมทั้ง การกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลจะกระทําโดยการเจรจาตอรองเมื่อถึง “เวลาอันเหมาะสม (suitable time)” ดังนั้น เสนเขตแดนทางทะเลจึงยังไมสามารถตกลงกันได
135
ค าสั่ง 31 มกราคม 2482/193990
สํานักงานกิจการปกครอง เลขที่ 867/API ฮานอย, 31 มกราคม 1939 ขาหลวงใหญแหงอินโดจีน สํานักงานใหญแหงเลฌียงดอเนอรแ
ถึง ผูวาการแหงโคชินจีน (สํานักงาน) ใน ไซงอน เรื่อง: หมูเกาะในอาวสยาม
ขาพเจารูสึกเป็นเกียรติที่จะแจงใหทานทราบวา ขาพเจาเพิ่งพิจารณาปัญหาของเกาะตางๆ ในอาว สยามอีกครั้ง, เกี่ยวกับการเขาครอบครองซึ่งกลายเป็นขอพิพาทระหวางกัมพูชากับโคชินจีน ที่ตั้งของหมูเกาะเหลานี้, กระจายอยูตามแนวชายฝั่งของกัมพูชา และบางเกาะก็อยูใกลกับแนวชายฝั่ง ซึ่งกําลังมีการดําเนินการที่ดูเหมือนจะรวมเขากับฝั่งกัมพูชาในอนาคตอันใกล, ในทางตรรกะและทางภูมิศาสตรแ ตองกลาววาหมูเกาะเหลานี้อยูภายใตขอบเขตอํานาจของกัมพูชา ขาพเจาเชื่อวาเป็นไปไมไดที่จะปลอยใหสภาพปัจจุบันดําเนินตอไปเชนนี้ ซึ่งกําลังจะบังคับใหผูที่อาศัย อยูในหมูเกาะนี้ยินยอม, ไมวาในราคาของการขามที่ไกล, หรือราคาของทางออมผานเขาไปในอาณาเขตของ กัมพูชา, ที่จะเขามาสูการปกครองของโคชินจีน ดังนั้น, ขาพเจาจึงตัดสินใจวาหมูเกาะทั้งหมดที่ตั้งอยูทางเหนือของเสนตั้งฉากกับชายฝั่งซึ่งเริ่มตนจาก ชายแดนระหวางกัมพูชากับโคชินจีน และทํามุม 140 เกรดกับเสนแวงเหนือ, เป็นไปตามแผนภูมิที่แนบมา, จากนี้ไปจะอยูในการบริหารงานของกัมพูชา รัฐในอารักขาจะ, โดยเฉพาะ, เขาแทนที่ตํารวจในหมูเกาะเหลานี้ หมูเกาะทั้งหมดทางตอนใตของเสนนี้, รวมทั้งเกาะฝูก฿วก, จะยังคงบริหารงานโดยโคชินจีน โดยเป็นที่ เขาใจวาเสนแบงเขตแดนที่ทําขึ้นมานั้นทําใหเสนรอบที่อยูทางเหนือของเกาะฝูก฿วก, ลากผานขึ้นไปเป็นระยะ สามกิโลเมตรจากปลายสุดของชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะนี้ การบริหารงานและอํานาจตํารวจบนเกาะเหลานี้ จะไดกระจายอยางชัดเจนระหวางโคชินจีนกับ กัมพูชา, ดังนั้นขอพิพาทในอนาคตอาจหลีกเลี่ยงได เป็นที่เขาใจกันวา ขอความขางตนเป็นไปเพื่อการบริหารงานและการตํารวจของเกาะเหลานี้ ซึ่ง ประเด็นอํานาจเหนืออาณาเขตบนเกาะเหลานี้ยังคงไดรับการสงวนไวทั้งหมด
ทานจะไดกรุณาเตรียมการ ดังนั้น การตัดสินใจของขาพเจามีจะผลทันที โปรดแจงขาพเจาถึงการไดรับจดหมายฉบับนี้ ลงนาม: บรีเว
90 โปรดดู “Annex 12 Decree of January 31, 1939” in U.S. Department of State, Office of the Geographer. Cambodia – Vietnam Boundary (International Boundary Study, No.155 of March 5, 1976), p. 32. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1V2hsPY 136
ภาพที่ 4.9 แผนที่แสดงเสนบรีเว (Brévié Line) และพื้นที่อางสิทธิ์ระหวางกัมพูชากับเวียดนาม
137
ความตกลงเกี่ยวกับทะเลประวัติศาสตร์ของเวียดนามและกัมพูชา (7 กรกฎาคม 2525/1982)91
รัฐบาลแหงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (Socialist Republic of Vietnam) และ รัฐบาลแหง สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (People‖s Republic of Kampuchea) ปรารถนาที่จะกระชับและพัฒนาความสัมพันธแพิเศษระหวางเวียดนามกับกัมพูชาดวยจิตวิญญานแหง สนธิสัญญาสันติภาพ มิตรภาพ และความรวมมือระหวางสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับสาธารณรัฐ ประชาชนกัมพูชาลงนามเมื่อวันที่ 18 กุมพาพันธแ 2522/1979 พิจารณาจากขอเท็จจริงที่วาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ที่อยูระหวางชายฝั่งของจังหวัดเกียนเจียง (Kien Giang Province) เกาะฝูก฿วก (Phu Quoc) และหมูเกาะโถ จู (Tho Chu Archipelago) ของ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามฝุายหนึ่ง กับ ชายฝั่งของจังหวัดกําปอด (Kampot Province) และหมูเกาะปูโล ไว (Poulo Wai) ของสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา อีกฝุายหนึ่ง อยูลอมรอบทะเลซึ่งมีปัจจัยทางภูมิศาสตรแที่มี ลักษณะพิเศษ และความสําคัญยิ่งในการปกปูองประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ เป็นของ เวียดนามและกัมพูชามาอยางยาวนาน ไดตกลงกันดังตอไปนี้:
ข้อ 1 ทะเลที่ตั้งอยูระหวางชายฝั่งของจังหวัดเกียนเจียง (Kien Giang Province) เกาะฝูก฿วก (Phu Quoc) และหมูเกาะโถ จู (Tho Chu Archipelago) ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามฝุายหนึ่ง กับ ชายฝั่งของ จังหวัดกําปอด (Kampot Province) และหมูเกาะปูโล ไว (Poulo Wai) ของสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา อีก ฝุายหนึ่ง จะกอรูปเป็นทะเลประวัติศาสตรแ (historic water) ของทั้งสองประเทศ และวางอยูภายใตระบอบ กฎหมายของนานน้ําภายในและจะถูกกําหนดขึ้น (ตามลองจิจูดตะวันออกของเมืองกรีนีช) ทางตะวันตกเฉียงเหนือโดยเสนตรงที่ลากออกจากพิกัดละติจูด 09 องศา 54 ลิปดา 2 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 102 องศา 55 ลิปดา 2 ฟิลิปดา ตะวันออก และพิกัดละติจูดที่ 09 องศา 54 ลิปดา 5 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 102 องศา 57 ลิปดา 2 ฟิลิปดา ตะวันออก ของเกาะปูโล ไว (Poulo Wai Island) (กัมพูชา) จนถึง พิกัดละติจูด 10 องศา 24 ลิปดา 1 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 103 องศา 48 ลิปดา 0 ฟิลิปดา ตะวันออก ของ เกาะเสส (Koh Ses Island) (กัมพูชา) ถึง พิกัดละติจูด 10 องศา 30 ลิปดา 0 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 103 องศา 47 ลิปดา 4 ฟิลิปดา ตะวันออก ของเกาะทเมย (Koh Thmei Island) (กัมพูชา) ถึงพิกัดละติจูด 10 องศา 32 ลิปดา 4 ฟิลิปดา เหนือ กับลองจิจูด 103 องศา 48 ลิปดา 2 ฟิลิปดา ตะวันออก บนชายฝั่งของ จังหวัดกําปอด (กัมพูชา) ทางเหนือ จากชายฝั่งของจังหวัดกําปอด ลากเสนตรงออกไปจากพิกัดละติจูด 10 องศา 32 ลิปดา 4 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 103 องศา 48 ลิปดา 2 ฟิลิปดา ตะวันออก บนจุดสุดทายของเสนเขตแดนทางบก ระหวางเวียดนามกับกัมพูชาบนชายฝั่ง ทางตะวันออกเฉียงใตโดยเสนตรงที่ลากออกจากจุดสุดทายของเสนเขตแดนทางบกระหวางเวียดนามกับ กัมพูชาบนชายฝั่งที่พิกัดละติจูด 10 องศา 04 ลิปดา 42 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 104 องศา 02 ลิปดา 3 ฟิลิป
91 โปรดดูรายละเอียดใน Appendix 2 “Agreement of the Historic Waters of Vietnam and Kampuchea (7 July 1982),” in Kriangsak Kittichaisaree. The Law of the Sea and Maritime Boundary Delimitation in South-East Asia (Oxford New York: Oxford University Press, 1987), p.180-181. 138
ดา ตะวันออก จากจุดอันเย็ต (An Yet point) ของเกาะฝูก฿วก (Phu Quoc) (เวียดนาม) และไปตามแนว ชายฝั่งทางเหนือของเกาะนี้จนถึงจุดดัทโด (Dat Do Point) ซึ่งตั้งอยูที่พิกัดละติจูดที่ 10 องศา 02 ลิปดา 8 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 103 องศา 59 ลิปดา 1 ฟิลิปดา ตะวันออก และจากที่นี่ถึงพิกัดละติจูด 09 องศา 10 ลิปดา 1 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 103 องศา 26 ลิปดา 4 ฟิลิปดา ตะวันออก ของเกาะโถ จู (Tho Chu Island) (เวียดนาม) ถึง พิกัดละติจูด 09 องศา 15 ลิปดา 0 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 103 องศา 27 ลิปดา 0 ฟิลิปดา ตะวันออก ของเกาะหอนหนาน (Hon Nanh Island) ในหมูเกาะโถ จู (เวียดนาม) ทางตะวันตกเฉียงใต โดยเสนตรงที่ลากออกจากพิกัดละติจูด 09 องศา 55 ลิปดา 0 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 102 องศา 53 ลิปดา 5 ฟิลิปดา ตะวันออก จากเกาะปูโล ไว (กัมพูชา) จนถึงพิกัดละติจูด 09 องศา 15 ลิปดา 0 ฟิลิปดา เหนือ ลองจิจูด 103 องศา 27 ลิปดา 5 ฟิลิปดา ตะวันออก ของเกาะหอนหนาน (Hon Nanh Island) ในหมูเกาะโถ จู (เวียดนาม) ข้อ 2 ทั้งสองฝุายจะดําเนินการเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมในการเจรจาตอรองดวยจิตวิญญานแหงความเทา เทียม มิตรภาพ และความเคารพตอเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแหงดินแดนของกันและกัน และผลประโยชนแ อันชอบธรรมของแตละฝุายเพื่อการกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลระหวางสองประเทศในพื้นที่ทะเล ประวัติศาสตรแตามที่ระบุเอาไวในขอ 1 ข้อ 3 ระหวางการดําเนินการตกลงเสนเขตแดนทางทะเลระหวางสองประเทศในพื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแ ตามที่ระบุเอาไวในมาตารา 1 จุดบรรจบที่ 0 ของเสนฐานสองเสนใชเพื่อวัดความกวางของทะเลอาณาเขตของแตละประเทศตั้งอยูใน ทะเลหลวงบนเสนฐานตรงเชื่อมระหวางหมูเกาะโถ จู และเกาะปูโล ไว จะถูกกําหนดโดยความตกลงรวมกัน ทั้งสองฝุายจะยังคงใชเสนบรีเวซึ่งถูกลากขึ้นในปี 2482/1939 ตอไป เพื่อเป็นเสนแบงหมูเกาะในพื้นที่นี้ การลาดตระเวนและการตรวจตราในทะเลอาณาเขตนี้จะดําเนินการรวมกันโดยทั้งสองฝุาย ประชาชนในทองที่จะยังคงทําการประมงและจับผลิตภัณฑแทางทะเลอื่นในพื้นที่ตามวิถีทางที่เคยทํามา แตเกากอน การสํารวจทรัพยากรทางธรรมชาติในพื้นที่จะถูกตัดสินใจโดยความตกลงรวมกัน
ทําขึ้น ณ เมืองโฮจิมินหแ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2525/1982 ทําเป็น 2 ภาษา คือ ภาษาเวียดนาม และ ภาษาแขมรแ ซึ่งทั้งสองภาษาจะใชบังคับไดเทาเทียมกัน
สําหรับรัฐบาลแหงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สําหรับรัฐบาลแหงสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา เหวงียน โก ธัช (Nguyen Co Thach) ฮุน เซน (Hun Sen) รัฐมนตรีวาการตางประเทศแหง รัฐมนตรีวาการตางประเทศแหง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา
139
ภาพที่ 4.10 แผนที่แสดงพื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแระหวางกัมพูชาและเวียดนามตามความตกลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2525/1982 (ที่มา: Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.III (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 2004), p. 2,363.) 140
พื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแ (Historic Water Agreement) ตามความตกลงดังกลาวมีสัณฐานเกือบจะ เป็นรูปสี่เหลี่ยม (ดูภาพที่ 4.10) วัดขนาดได 4,000 ตารางไมลแทะเล จากแนวชายฝั่ง (shoreline) บริเวณใกล กับเวียลเรนหแ (Veal Renh) ในจังหวัดกําปอด (Kampot Province) ถึงจุดปลายสุดของเสนเขตแดนทางบก ระหวางกัมพูชากับเวียดนามทําใหเกิดดานหนึ่งของพื้นที่สี่เหลี่ยมนี้ สวนดานตะวันตกเฉียงเหนือเริ่มจากเกาะ ปูโล ไว (Poulo Wai) จนไปสิ้นสุดที่ประมาณทางตะวันออกฉียงเหนือของเกาะเสส (Koh Ses) และจากนั้น ลากโคงเขาไปยังแนวชายฝั่งทําใหเกาะเสส (Koh Ses) และเกาะทเมย (Koh Thmei) อยูในเขตทะเลของ กัมพูชานอกเขตพื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแ ทางตะวันออกเฉียงใตเกิดจากเสนตรงสองเสน เสนหนึ่งลากจากจุด ปลายสุดของเสนเขตแดนทางบกถึงจุดบนเกาะฝูก฿วก (Phu Quoc) และอีกเสนหนึ่งลากจากจุดที่ 2 บนเกาะฝู ก฿วก (Phu Quoc) ถึงเกาะโถ จู (Tho Chu) ในหมูเกาะโถ จู (Tho Chu Archipelago) เสนสุดทายลากเชื่อม ระหวางเกาะปูโล ไว (Poulo Wai) กับเกาะหอน หนาน (Hon Nanh) ในหมูเกาะโถ จู (Tho Chu Archipelago) เสนที่ลากออกมาจากฝั่งไมสัมพันธแกับการอางสิทธิ์ไหลทวีปกอนหนานี้ของทั้งกัมพูชาและ เวียดนาม ทําใหหลายประเทศรวมทั้งสหรัฐอเมริกาและไทย ประทวงการกําหนดพื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแนี้ โดยเหตุผลที่วาหลักเกณฑแที่ใชในการกําหนดพื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแระหวางกัมพูชากับเวียดนามนั้น ไม สามารถแสดงเห็นไดอยางชัดเจนวาการอางสิทธิ์ของทั้งคูเกิดจากการใชอํานาจปกครองอยางมีประสิทธิภาพ (effectivités/effective occupation) และไมมีการยอมรับจากรัฐอื่นที่เกี่ยวของ อยางไรก็ตาม “ความตกลงทะเลประวัติศาสตรแ (Historic Water Agreement)” ในปี 2525/1982 นี้ มุงไปที่ประเด็นการแกไขปัญหาอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะฝูก฿วก (Phu Quoc) ซึ่งตั้งอยูใกลกับเสนเขตแดนทาง บกระหวางกัมพูชากับเวียดนาม รวมทั้งหมูเกาะอื่นๆ เชน ปูโล ไว (Poulo Wai) และ โถ จู (Tho Chu) แต ยังคงมีประเด็นขอพิพาทการอางสิทธิ์ไหลทวีประหวางกัมพูชากับเวียดนามใต ในชวงคริสตแทศวรรษ 1970 ซึ่ง เป็นเหตุผลพื้นฐานในการอางสิทธิ์อธิปไตยสมบูรณแเหนือหมูเกาะเหลานี้และทําใหเกิดพื้นที่ทับซอนประมาณ 14,580 ตารางไมลแทะเล92 ดังที่อธิบายไดใหทราบในตอนตนแลววา เมื่อปี 2482/1939 ขาหลวงใหญแหงอินโดจีนฝรั่งเศสไดจัดทํา เสนบรีเว (Brévié Line) เพื่อแบงเขตอํานาจทางการปกครองและการใชกฎหมายของตํารวจระหวางเวียดนาม กับกัมพูชา โดยลากเสนตรงออกจากจุดปลายสุดของเสนเขตแดนทางบกไปในทะเลทํามุม 140 เกรด หรือเสน มุมตําแหนงที่ 126 องศากับทิศเหนือแท แลวลากเสนขึ้นไปทางเหนือเพื่อออมเขตเกาะฝูก฿วก (Phu Quoc) ให อยูในเขตของเวียดนาม จากนั้นลากเสนตรงตอออกไปในทะเลผานบริเวณตรงกึ่งกลางระหวางเกาะปูโล ไว (Poulo Wai) กับ โถ จู (Tho Chu) หรือก็คือระหวางเกาะโจรสลัดเหนือกับเกาะโจรสลัดใตนั่นเอง นอกจากนี้ เกาะเสส (Koh Ses) และเกาะทเมย (Koh Thmei) ก็อยูในฝั่งกัมพูชาดวย เสนบรีเว (Brévié Line) อยูทาง ตะวันตกเฉียงเหนือของเสนมัธยะ (equidistance) และหากใชเสนมัธยะเป็นเสนแบงเขตแดนทางทะเล (maritime boundary) ฝุายกัมพูชาก็จะไดประโยชนแ เนื่องจากในชวงคริสตแทศวรรษที่ 1970 มีการกําหนดไหลทวีประหวางกัมพูชากับเวียดนาม แตทั้ง สองปฏิสธที่จะใชเสนบรีเว (Brévié Line) เพื่อเป็นเสนเขตแดนทางทะเลและเสนแบงเขตหมูเกาะ ตอมา กัมพูชาไดเสนอวา ควรใชเสนบรีเว (Brévié Line) เพื่อแบงเขตหมูเกาะและเสนเขตแดนทางทะเล แต เวียดนามปฏิเสธที่จะใชเสนบรีเว (Brévié Line) เป็นแบงเสนเขตแดนทางทะเล (maritime boundary)93
92 Jonathan I. Charney and Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.III (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 2004), pp. 2,357-2,365. 93 Ibid, p. 2,358. 141
อยางไรก็ตาม ความตกลงนี้ไดระบุเอาไวในขอ 3 วา “ทั้งสองฝุายจะยังคงใชเสนบรีเวซึ่งถูกลากขึ้นในปี 2482/1939 ตอไป เพื่อเป็นเสนแบงหมูเกาะในพื้นที่นี้” ความตกลงดังกลาวจึงกลายเป็นสัญลักษณแของความ รวมมืออยางใกลชิดระหวางรัฐบาลของทั้งสองประเทศ รวมทั้งระบุวา “การลาดตระเวนและการตรวจตราใน ทะเลอาณาเขตนี้จะดําเนินการรวมกันโดยทั้งสองฝุาย” ก็เป็นเครื่องบงชี้วา ทั้งสองประเทศไดพิจารณาประเด็น ดานยุทธศาสตรแในพื้นที่รวมกัน นอกจากนี้ ยังไดระบุเอาไวในขอ 1 วา ขอบเขตที่ถูกกําหนดขึ้นจะ “ทําใหเกิด พื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแของทั้งสองประเทศ” ซึ่งจะกลายเป็นนานน้ําภายใน (internal water) และยอหนาที่ 3 ของบทนําไดกําหนดวา การอางสิทธิ์ในทะเลประวัติศาสตรแนี้ตั้งอยูบนพื้นฐานของเงื่อนไขพิเศษทาง ภูมิศาสตรแ (special geographic conditions) ซึ่งมีความสําคัญตอการปูองกันตนเอง และตอเศรษฐกิจของทั้ง สองประเทศ รวมทั้งยืนยันวา พื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแเป็นของกัมพูชาและเวียดนามมาอยางยาวนาน (have long belonged) ความตกลงนี้มีลักษณะของการกําหนด “พื้นที่พัฒนาทรัพยากรรวม (a join resource development zone)” โดยกําหนดใหมีการสํารวจทรัพยากรทางธรรมชาติในทะเลประวัติศาสตรแรวมกัน และอนุญาตใหประชาชนใน พื้นที่ทําการประมงตอไปตามรูปแบบที่เคยทํามาอยูกอนแลว การกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลถูกละไวเพื่อ การเจรจาในอนาคต ความตกลงดังกลาวจึงมุงแกไปในทางเศรษฐกิจมากกวาที่จะเป็นการมุงเนนเพื่อแกไข ปัญหาขอพิพาทเสนเขตแดนทางทะเลระหวางกัน ในการประกาศใชเสนฐานตรง (straight baseline) ของทั้งกัมพูชาและเวียดนาม และความตกลงทะเล ประวัติศาสตรแปี 2525/1982 นี้ ไดกําหนดใหเสนที่ลากเชื่อมตอระหวางเกาะปูโล ไว (Poulo Wai) ของ กัมพูชา กับ เกาะหอนหนาน (Hon Nhan) ของเวียดนามนั้น เป็นสวนขยายของเสนฐานตรงของแตละประเทศ จุดบรรจบกันของเสนฐานตรง (จุด 0) จะถูกกําหนดโดยความตกลงรวมกัน ในขณะที่จุดสิ้นสุดของเสนฐานตรง ระหวางกัมพูชากับเวียดนามยังไมไดตกลงกัน จุดดังกลาวอยูแนวเดียวกับเสนตรงที่ลากลงไปในทะเลตามความ ตกลงทะเลประวัติศาสตรแ ดังนั้น จุดฐานสุดทายของเสนฐานตรงของแตละประเทศจะอยูในมหาสมุทรมากกวา ที่จะอยูบนแผนดิน ผลดังกลาวทําใหเสนฐานตรงของกัมพูชาและเวียดนามรวมกันเป็นเสนฐานตรงชุดเดียวกัน ซึ่งทอดตัวเริ่มตั้งแตเขตแดนทางทะเลระหวางไทยกับกัมพูชาขึ้นไปจนถึงบริเวณอาวตังเกี๋ย การดําเนินการเชนนี้ ทําใหเกิดการวิเคราะหแ วิพากษแวิจารณแ และประทวงระบบเสนฐานตรงของกัมพูชา และเวียดนาม เนื่องจากเกณฑแทั่วไปในการยอมรับเสนฐานตรง จะไมยอมใหใชจุดฐาน (basepoint) กลาง มหาสมุทร การใชหมูเกาะที่อยูหางไกลออกไปจากชายฝั่งและไมใชเกาะเล็กเกาะนอย (fringing islands) ซึ่งจะ ทําใหเกิดปัญหา ดังนั้น การกําหนดระบบเสนฐานตรงของทั้งสองประเทศจึงถูกวิจารณแวาไมเป็นไปตาม หลักเกณฑแซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไป โดยสรุป ความตกลงเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2525/1982 นี้ ไมใชการกําหนดเสนเขตแดนทางทะเล (Maritime Boundary) ระหวางกัมพูชากับเวียดนาม แตเป็นการกําหนดพื้นที่ทะเลประวัติศาสตรแ (historic water) เพื่อการระงับขอพิพาทในประเด็นอธิปไตยเหนือหมูเกาะ แตยังคงมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเสนเขต แดนทางทะเลเพราะยังไมมีขอมูลที่เปิดเผยสูสารธารณะชนจนกระทั่งปัจจุบันนี้
142
4.5 พื้นที่พัฒนาร่วมบริเวณไหล่ทวีประหว่างมาเลเซียกับเวียดนาม
บันทึกความเขาใจ (Memorandum of Understanding – MoU) ระหวางมาเลเซียกับเวียดนามซึ่งลง นามกันเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2535/1992 เป็นการกําหนด “พื้นที่รูปเศษไม (sliver-shape)” (ดูภาพที่ 4.11) นอกอาวไทยซึ่งมาเลเซียและเวียดนามมีการอางสิทธิ์ไหลทวีปทับซอนกัน โดยเป็นการกําหนดพื้นที่เพื่อ ดําเนินการสํารวจและการใชประโยชนแแหลงปิโตรเลียมในพื้นที่กําหนดบนไหลทวีปของทั้งสองประเทศ ดังนั้น จุดประสงคแของบันทึกความเขาใจฉบับนี้จึงไมใชเพื่อการระงับขอพิพาทในประเด็นอธิปไตย แตเป็นการอํานวย ความสะดวกในการสํารวจแหลงทรัพยากรที่มีอยูในพื้นทะเลใหเกิดขึ้นจริงได โดยรูปแบบของการจัดทําบันทึกความเขาใจเชนนี้เป็นไปในแนวทางเชนเดียวกับความตกลงที่เกิดขึ้น ระหวางมาเลเซียกับไทยบนพื้นที่ไหลทวีปในอาวไทย ในปี 2522/1979 หรือ ความตกลงระหวางออสเตรเลีย กับอินโดนีเซียในพื้นที่ “หุบติมอรแ (Timor Gap)” ในปี 2532/1989 โดยตกลงกันวาคาใชจายและ ผลประโยชนแที่จะเกิดขึ้นจะมาจากการเป็นหุนสวนของทั้งสองฝุายอยางเทาเทียม ภายใตการดําเนินงานของ บริษัทสํารวจและผลิตปิโตรเลียมแหงชาติของแตละประเทศ คือ ปิโตรนาส (PETRONAS) ของมาเลเซีย และ ปิโตรเวียดนาม (PETROVIETNAM) ของเวียดนามจะเขามาเป็นผูจัดการเชิงพาณิชยแเพื่อสํารวจและใช ประโยชนแจากปิโตรเลียมในพื้นที่ที่กําหนด โดยจะตองไดรับการอนุมัติจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศกอนทุก ครั้งจึงดําเนินการได นอกจากนี้ ยังระบุอยางชัดเจนตามรูปแบบการทําความตกลงเรื่องเสนเขตแดนทางทะเล วา “ขอพิพาทที่เกิดขึ้นจากการตีความหรือการดําเนินการตามบทบัญญัติของบันทึกความเขาใจนี้จะถูกระงับ โดยสันติ โดยการปรึกษาหารือหรือการเจรจาระหวางทั้งสองฝุาย (ขอ 6 ในบันทึกความเขาใจฉบับนี้)” จากขอ 3 วงเล็บ (c) แสดงใหเห็นถึงขอเท็จจริงที่เกี่ยวกับคาใชจายที่เกิดขึ้นแลวจากการสํารวจ ทรัพยากรในพื้นที่ที่กําหนดไว โดยทั้งมาเลเซียและเวียดนามตางใหสัมปทานแกบริษัทไปแลวเต็มพื้นที่ ซึ่งทําให ทราบแนวคิดของทั้งสองประเทศในการจัดทําบันทึกความเขาใจซึ่งมุงไปยังผลประโยชนแที่จะเกิดขึ้นจากความ รวมมือมากกวาการเผชิญหนาในปัญหาขอพิพาทที่เกิดจากการอางสิทธิ์ความเป็นเจาของแตเพียงฝุายเดียว อยางไรก็ตาม ปัจจัยสําคัญที่ทําใหมาเลเซียและเวียดนามสามารถตกลงกันเพื่อทําทึกความเขาใจฉบับนี้หลาย ประการ ไดแก ประการแรก บันทึกความตกลงฉบับนี้เกิดขึ้นในชวงเวลาความตึงเครียดของขอพิพาทหมูเกาะส แปรตลียแ (Spraly Islands) ซึ่งทั้งมาเลเซียและเวียดนามตางก็เป็นประเทศคูพิพาท ในขณะที่พื้นที่ซึ่งถูก กําหนดเอาไวในบันทึกความเขาใจฉบับนี้อยูนอกพื้นที่พิพาทหมูเกาะสแปรตลียแ ดังนั้น บันทึกความเขาใจฉบับ นี้จึงเป็นขอตกลงที่มีความสําคัญในฐานะตัวอยางที่ดีของการจัดการขอพิพาทปัญหาเขตแดนทางทะเลที่ สามารถเปลี่ยนใหพื้นที่พิพาทใหกลายเป็นพื้นที่พัฒนาซึ่งจะชวยใหเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชนแ ตอทั้งมาเลเซียและเวียดนาม ประการที่สอง เนื่องจากมาเลเซียและไทยสามารถบรรลุขอตกลงวาดวยการจัดตั้งองคแกรรวมเพื่อ แสวงหาผลประโยชนแจากทรัพยากรในพื้นดินใตทะเลในบริเวณที่กําหนดของไหลทวีปของประเทศทั้งสองใน อาวไทย ลงวันที่ 21 กุมภาพันธแ 2522/197994 ประการที่สาม เวียดนามไดดําเนินการเจรจาปัญหาอาณาเขตทางทะเลกับประเทศเพื่อนบานรอบพื้นที่ อาวไทยและอินโดนีเซียโดยมุงเนนแนวคิดวาดวยความรวมมือและพื้นที่พัฒนารวมเป็นสําคัญซึ่งเป็นนโยบาย ของรัฐบาลเวียดนามในขณะนั้น
94 โปรดดู ชาญวิทยแ เกษตรศิริ. อางแลว, 213-217. 143
ประการสุดทาย เวียดนามกําลังเริ่มกระบวนการเขาสูการเป็นสมาชิกของสมาคมประชาชาติเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตหรืออาเซียน ซึ่งประสบความสําเร็จในปี 2538/1995 ทําใหเวียดนามตองพยายามสราง ความนาเชื่อถือในฐานะประเทศสมาชิกที่ดีของสมาคม โดยเฉพาะการสรางความรวมมือกับมาเลเซียซึ่งเป็น ประเทศสมาชิกที่สําคัญของอาเซียน อยางไรก็ตาม บันทึกความเขาใจฉบับนี้เป็นการกําหนดเฉพาะประเด็นไหลทวีป โดยเวียดนามประกาศ การอางสิทธิ์ไหลทวีปในปี 2514/1971 แมวาตอมาในปี 2520/1977 เวียดนามจะประกาศขยายการอางสิทธิ์ ไหลทวีปของตนอีกครั้ง สวนมาเลเซียก็ประกาศอางสิทธิ์ไหลทวีปตามแผนที่ในปี 2522/1979 แตอยางไรก็ตาม เวียดนามก็ใชไหลทวีปที่ตนเคยอางสิทธิ์ในปี 2514/1971 เพื่อเป็นพื้นฐานในการกําหนดพื้นที่พัฒนารวมกับ มาเลเซียตามบันทึกความเขาใจฉบับนี้
144
บันทึกความเข้าใจระหว่างมาเลเซียกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ส าหรับการส ารวจและการใช้ประโยชน์แหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ก าหนดบน ไหล่ทวีปของทั้งสองประเทศ95
มาเลเซียและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ปรารถนาที่จะกระชับความรวมมือระหวางทั้งสองประเทศ รับทราบถึงผลของการอางสิทธิ์พื้นที่ทับซอนที่กระทําโดยทั้งสองประเทศเกี่ยวกับไหลทวีปที่ตั้งอยูทาง ตะวันออกเฉียงเหนือของชายฝั่งมาเลเซียตะวันตก และทางตะวันตกเฉียงใตของชายฝั่งเวียดนาม ทําใหเกิด พื้นที่ทับซอนในไหลทวีปของกันและกัน เห็นพองกับขอตกลงของผูนําของทั้งสองประเทศตอความรวมมือในสวนของพื้นที่ทับซอนที่เกี่ยวของ กับทั้งสองประเทศเทานั้น ระมัดระวังในการตัดสินใจของผูนําทั้งสองประเทศเพื่อแกปัญหาอยางสันติในประเด็นการอางสิทธิ์ทับ ซอนพหุภาคีกับภาคีที่เกี่ยวของในเวลาที่เหมาะสม พิจารณาวาผลประโยชนแสูงสุดของทั้งสองประเทศ ในระหวางการดําเนินการเพื่อกําหนดไหลทวีปที่ ตั้งอยูที่ตั้งอยูทางตะวันออกเฉียงเหนือของชายฝั่งมาเลเซียตะวันตก และทางตะวันตกเฉียงใตของชายฝั่ง เวียดนาม เพื่อเขาสูขอตกลงชั่วคราวในการสํารวจและใชประโยชนแแหลงปิโตรเลียมในพื้นดินทองทะเลของ พื้นที่ทับซอน เชื่อมั่นในกิจกรรมตางๆ ที่จะสามารถนํามาซึ่งความรวมมือระหวางกัน ไดตกลงกันดังตอไปนี้ ข้อ 1 (1) ทั้งคูเห็นดวยวาผลของการอางสิทธิ์พื้นที่ทับซอนที่กระทําโดยทั้งสองประเทศบนไหลทวีปที่ตั้งอยูทาง ตะวันออกเฉียงเหนือของชายฝั่งมาเลเซียตะวันตก และทางตะวันตกเฉียงใตของชายฝั่งเวียดนาม ทําใหเกิด พื้นที่ทับซอนในไหลทวีป (พื้นที่กําหนด “Defined Area”) ไดแก พื้นที่ซึ่งถูกลอมดวยเสนตรงตามจุดพิกัดดังนี้ A เหนือ 7° 22.0′ ตะวันออก 103° 42.5′ B เหนือ 7° 20.0′ ตะวันออก 103° 39.0′ C เหนือ 7° 18.31′ ตะวันออก 103° 35.71′ D เหนือ 7° 03.0′ ตะวันออก 103° 52.0′ E เหนือ 6° 05.8′ ตะวันออก 105° 49.2′ F เหนือ 6° 48.25′ ตะวันออก 104° 30.0′ A เหนือ 7° 22.0′ ตะวันออก 103° 42.5′
และไดแสดงไวในแผนที่ British Admiralty Chart No: 2414, Edition 1967 ตามภาคผนวกที่แนบมา
95 โปรดดู “Memorandum of Understanding between Malaysia and the Socialist Republic of Vietnam for the Exploration and Exploitation of Petroleum in a Defined Area of the Continental Shelf Involving the Two Countries,” in Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.III (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 2004), p.2341-2344. 145
(2) ตําแหนงที่แทจริงในทะเลของจุด (Point) ที่กลาวถึงในวรรค (1) ตามขอนี้ จะถูกตรวจสอบโดยวิธีการที่จะ เป็นขอตกลงรวมกันโดยผูรับมอบอํานาจของทั้งสองฝุาย โดยผูรับมอบอํานาจของฝุายมาเลเซียหมายถึง ผูอํานวยการกรมสํารวจและทําแผนที่ (Directorate of National Mapping) รวมทั้งผูที่ไดรับมอบหมายจาก เขา และของฝุายเวียดนามหมายถึง กรมแผนที่ภูมิศาสตรแ (Department of Geo-Cartography) และ หนวย แผนที่ภูมิศาสตรแทหารเรือ (Navy Geo-Cartography Section) รวมทั้งผูที่ไดรับมอบหมายจากเขา ข้อ 2 (1) ทั้งสองฝุายเห็นพอง ระหวางดําเนินการในขั้นตอนสุดทายของการกําหนดไหลทวีปในพื้นที่กําหนด (Defined Area) ผานขอตกลงรวมกัน เพื่อการสํารวจและใชประโยชนแแหลงปิโตรเลียมนพื้นที่ซึ่งเป็นไปตาม เงื่อนไขและระยะเวลาของความสมบูรณแแหงบันทึกความเขาใจฉบับนี้ (2) แหลงปิโตรเลียมที่ตั้งอยูในบางสวนของพื้นที่กําหนด (Defined Area) และบางสวนนอกไหลทวีปของ มาเลเซียหรือเวียดนาม ซึ่งอาจเกิดขึ้นได ทั้งสองฝุายจะยอมรับรวมกันเพื่อการสํารวจและการใชประโยชนแจาก แหลงปิโตรเลียมแหงนั้น (3) คาใชจายที่เสียและไดมาจากการสํารวจและการใชประโยชนแจากแหลงปิโตรเลียมในพื้นที่กําหนดจะมาจาก ความรับผิดชอบรวมกันอยางเทาเทียมของทั้งสองฝุาย ข้อ 3 เพื่อจุดประสงคแของบันทึกความเขาใจฉบับนี้ (a) มาเลเซียและเวียดนามตกลงที่จะเสนอให ปิโตรนาส (PETRONAS) และ ปิโตรเวียดนาม (PETROVIETNAM) ตามลําดับ เป็นผูดําเนินการในนามของตนเพื่อการสํารวจและการใชประโยชนแ จากแหลงปิโตรเลียมในพื้นที่กําหนด (b) มาเลเซียและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามจะทําให ปิโตรนาส (PETRONAS) และ ปิโตรเวียดนาม (PETROVIETNAM) ตามลําดับ เพื่อเขาสูขอตกลงเชิงพาณิชยแระหวางกัน ในการสํารวจและการใช ประโยชนแจากปิโตรเลียมในพื้นที่ที่กําหนด โดยการจัดทําเงื่อนไขของขอตกลงจะอยูภายใตการอนุมัติ ของรัฐบาลมาเลเซียและรัฐบาลแหงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (c) ทั้งสองฝุายตกลงที่จะคํานึงถึงคาใชจายอยางมีนัยสําคัญที่เกิดขึ้นแลวในพื้นที่กําหนด โดยพยายามที่ จะดําเนินการเพื่อใหแนใจวามีการสํารวจเบื้องตนอยางตอเนื่องในแหลงปิโตรเลียมในพื้นที่กําหนด ข้อ 4 ไมมีสิ่งใดในบันทึกความเขาใจฉบับนี้จะถูกตีความไปทางใดทางหนึ่งที่จะ (a) ทําใหเสียสิทธิ์ในตําแหนงและการอางสิทธิ์ของฝุายใดฝุายหนึ่งในพื้นที่กําหนด และ (b) ไมทําใหเสียสิทธิ์ตามบทบัญญัติในขอ 3 ตอสิทธิ ผลประโยชนแ หรือ สิทธิพิเศษของบุคคลอื่นที่ไมไดอ ยูในขอตกลงฉบับนี้ ในสวนของแหลงทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่กําหนด ข้อ 5 บันทึกความเขาใจฉบับนี้จะยังคงอยูตลอดระยะเวลาที่กําหนดโดยการแลกเปลี่ยนบันทึกทางการทูตระหวางทั้ง สองฝุาย ข้อ 6 ขอพิพาทที่เกิดขึ้นจากการตีความหรือการดําเนินการตามบทบัญญัติของบันทึกความเขาใจนี้จะถูกระงับโดย สันติ โดยการปรึกษาหารือหรือการเจรจาระหวางทั้งสองฝุาย ข้อ 7 บันทึกความเขาใจฉบับนี้ จะมีผลบังคับใชในวันที่กําหนดขึ้นโดยการแลกเปลี่ยนบันทึกทางการทูตระหวางทั้งสองฝุาย 146
ข้อ 8 เพื่อวัตถุประสงคแของบันทึกความเขาใจฉบับนี้ (a) “พื้นที่กําหนด (Defined Area)” หมายถึง พื้นที่ซึ่งอางถึงในขอ 1 (1) ของบันทึกความเขาใจฉบับนี้ (b) “ปิโตรเลียม” หมายถึง แรน้ํามันหรือสารไฮโดรคารแบอนและก฿าซธรรมชาติที่มีอยูตามสภาพธรรมชาติ รวมทั้งหินตะกอนบิทูมินัส (bituminus shales) และแหลงทรัพยากรที่อยูในชั้นหินประเภทอื่นๆ ที่ เกิดขึ้นจากการสกัดน้ํามัน (c) “แหลงปิโตรเลียม” หมายถึง พื้นที่ซึ่งประกอบดวยบอเก็บน้ํามันเดียวหรือหลายบอรวมกันเป็นกลุมที่ เกี่ยวของกับคุณลักษณะของโครงสรางทางธรณีวิทยาของบอน้ํามันเดียวกัน หรือชั้นหินที่ปิโตรเลียม จะสามารถถูกผลิตไดในเชิงพาณิชยแ (d) ―PETRONAS‖ เป็นคํายอของ บริษัทปิโตรเลียมแหงชาติจํากัด (Petroliam Nasional Berhad) ซึ่ง จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติบริษัทมาเลเซีย (Malaysia Companies Act 1965) ปี 2508/1965; และ (e) ―PETROVIETNAM‖ เป็นคํายอของ บริษัทน้ํามันและก฿าซแหงชาติเวียดนาม (Vietnam National Oil and Gas Company) จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาหมายเลข 25/HDBT (Decree of No. 250/HDBT) เมื่อ 6 กรกฎาคม 2533/1990
ทําขึ้นเป็นคูฉบับ ณ กรุงกัวลาลัมเปอรแ ในวันที่ 5 มิถุนายน 1992 ในภาษาอังกฤษ
สําหรับมาเลเซีย สําหรับรัฐบาลแหงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ฯพณฯ ดาตุ฿ก อาหมัด กามิล จาฟารแ ฯพณฯ วู ควน (H.E. Datuk Ahmad Kamil Jaafar) (H.E. Vu Khoan) ปลัดกระทรวงการตางประเทศ รัฐมนตรีชวยวาการกระทรวงการตางประเทศ
147
ภาพที่ 4.11 แผนที่แสดงจุด (Point) เชื่อมตอเสนไหลทวีประหวางมาเลเซียกับเวียดนามตามขอตกลงเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2535/1992 (ที่มา: Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.III (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 2004), p. 2,340.) 148
เมื่อพิจารณาจากภาพที่ 4.11 จะพบวาพื้นที่สวนทางตะวันตกเฉียงเหนือของบริเวณที่กําหนดจากจุด A ถึงจุด C เป็นสวนที่บรรจบกับขอบเขตทางดานตะวันตกเฉียงใตของพื้นที่พัฒนารวมระหวางมาเลเซียกับไทย เนื่องจากจุด A และ B คือจุดที่ใชเพื่อกําหนดขอบเขตพื้นที่พัฒนารวมระหวางมาเลเซียกับไทย โดยจุด A เป็น จุดกึ่งกลางที่ลากขึ้นระหวางเกาะเรอดัง (Pulau Redang Island) ของมาเลเซีย กับ เกาะโลซิน (Ko Losin Island) ของไทย จุด C อยูระหวางสวนทางตะวันออกเฉียงใตซึ่งทําใหเกิดเขตพื้นที่พัฒนารวมระหวางมาเลเซียกับไทย โดยเป็นจุดกึ่งกลางระหวางแผนดินของเวียดนามกับมาเลเซีย เชนเดียวกับจุด D ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางระหวาง แผนดินของเวียดนามและมาเลเซียโดยสัมพันธแกับระยะทางระหวางเกาะของทั้งสองประเทศ โดยเวียดนามใช เกาะฮอนไคว (Hon Khoai Island) เป็นจุดอางอิงในการกําหนดไหลทวีป สวนมาเลเซียใชเกาะเรอดัง (Pulau Redang Island) ทั้งจุด C และ D มาจากการอางไหลทวีปของเวียดนามในปี 2514/1971 จุด A F และ E เป็นจุดที่มาจากการประกาศอางสิทธิ์ไหลทวีปของมาเลเซียในปี 2522/1979 โดยจุด F เป็นจุดกึ่งกลางที่กําหนดขึ้นจากฝุายมาเลเซียโดยอางอิงจากเกาะเรอดัง (Pulau Redang Island) ไมได พิจารณาระยะทางจากเกาะของเวียดนามแตอยางใด สวนจุด E เป็นจุดสุดทายของไหลทวีประหวางอินโดนีเซีย กับมาเลเซียตามความตกลงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2512/1969 (หรือจุดที่ 20 ในภาพที่ 4.3) โดยเป็นจุด กึ่งกลางระหวางแผนดินของอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม โดยมาเลเซียนั้นมีจุดอางอิงอยูที่เกาะเติงกอล (Tenggol Island) และเวียดนามอยูที่เกาะฮอนไคว (Hon Khoai Island) ดังที่กลาวไปแลวขางตน บันทึกความเขาใจฉบับนี้มีวัตถุประสงคแเพื่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะ การสํารวจและการสกัดทรัพยากรไฮโดรคารแบอน เชน ปิโตรเลียม และก฿าซธรรมชาติ เทานั้น ทําใหบันทึก ความเขาใจฉบับนี้ไมมีผลตอการเจรจาตอรองผลประโยชนแเรื่องอาณาเขตทางทะเลอื่นๆ ของทั้งสองประเทศที่ จะเกิดขึ้นในอนาคต อยางไรก็ตาม พื้นที่กําหนดรูปเศษไมนี้เป็นอาณาเขตที่ติดตอกับพื้นที่พัฒนารวม ระหวาง มาเลเซียกับไทยซึ่งแสดงใหเห็นวาเวียดนามตองการที่จะเป็นสวนหนึ่งของการสรางพื้นที่พัฒนารวมและ มาเลเซียก็ยอมรับในความประสงคแของเวียดนาม ซึ่งแสดงใหเห็นถึงรูปแบบของการจัดการปัญหาขอพิพาทเขต แดนทางทะเลที่มีแนวโนมไปในทางการกําหนดพื้นที่เพื่อการสํารวจและใชประโยชนแจากทรัพยากรรวมกัน มากกวาที่จะเอาชนะกันในประเด็นความเป็นเจาของพื้นที่แตเพียงฝุายเดียว โดยเฉพาะอยางยิ่งประเทศตางๆ ในเอเชียที่สามารถบรรลุขอตกลงรวมกันเพื่อการพัฒนา เชน ระหวางมาเลเซียกับไทย ออสเตรเลียกับ อินโดนีเซีย ญี่ปุุนกับเกาหลี โดยเฉพาะเวียดนามกับอินโดนีเซียและไทย
149
4.6 ช่องแคบยะโฮร์ (Strait of Johor) ระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์
ความตกลง 9 ขอที่เกิดขึ้นจากความตกลงระหวางรัฐบาลมาเลเซียกับรัฐบาลสาธารณรัฐสิงคโปรแเพื่อ กําหนดเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขตที่ถูกตองใหสอดคลองกับความตกลงระหวางสเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแสกับ ยะโฮรแวาดวยทะเลอาณาเขตปี 2470/1927 ลงนามในวันที่ 7 สิงหาคม 2538/1995 นั้น เป็นการกําหนดเสน เขตแดนในชองแคบยะโฮรแซึ่งแบงแยกเกาะสิงคโปรแออกจากปลายสุดของคาบสมุทรมาลายู ชองแคบนี้มีความ ยาวประมาณ 50 ไมลแทะเล ตามบทบัญญัติในขอ 1 ของความตกลงระหวางสเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแสกับยะโฮรแ วาดวยทะเลอาณาเขตปี 2470/1927 ไดกําหนดแนวเสนทะเลอาณาเขตใหเป็นไปตามจุดกึ่งกลางของชองทาง น้ําที่ลึกที่สุด (deep-water channel) ในชองแคบยะโฮรแ โดยมีการสํารวจทางอุทกศาสตรแในบริเวณดังกลาว เสร็จสิ้นในปี 2525/1982 และมีการรับรองรายงานการสํารวจโดยทั่งสองฝุายในปี 2528/1985 ดังนั้นจึงอาจ กลาวไดวา ความตกลงฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2538/1995 นี้ เป็นผลสืบเนื่องจากการดําเนินการขั้นสุดทายของ กระบวนการเจรจาตกลงกันซึ่งมีมาตั้งแตปี 2470/1927 โดยยึดถือเอาชองทางน้ําที่ลึกที่สุด (deep-water channel) ในชองแคบยะโฮรแ เป็นเกณฑแในการกําหนดเสนเขตแดนทะเลอาณาเขตระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ ความตกลงในปี 2538/1995 ไมเกี่ยวของและไมมีผลโดยตรงตอขอพิพาทระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ ในกรณีพิพาทเหนือหิน 3 กอน ไดแก เกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) มิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) และ เซาทแ เลดจแ (South Ledge) ซึ่งตั้งอยูทางตะวันออกของชองแคบ สิงคโปรแ และความตกลงฉบับนี้ไมไดเป็นการกําหนดเสนเขตแดนระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแในชองแคบ สิงคโปรแ แตขอตกลงฉบับนี้เป็นการกําหนดจุดฐาน (basepoint) ทั้งในสวนตะวันออกและตะวันตกของ สิงคโปรแที่บริเวณซึ่งชองแคบยะโฮรแบรรจบกับชองแคบสิงคโปรแ การเจรจาที่จะเกิดขึ้นตอไปจึงเป็นการขยาย เสนเขตแดนทางทะเล การเจรจาเพื่อกําหนดแนวเสนเขตแดนทางดานตะวันออกของสิงคโปรแจําเป็นตองดึงเอาอินโดนีเซียเขา มามีสวนรวม ในขณะที่เสนเขตแดนทางดานตะวันตก มาเลเซียและสิงคโปรแสามารถเจรจาปัญหาทะเลอาณา เขตระหวางกันไดโดยไมตองดึงเอาอินโดนีเซียเขามามีสวนรวม แตการกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลในชอง แคบสิงคโปรแจําเป็นที่จะตองเกิดขึ้นจากการเจรจาของทั้งสามประเทศ ในขณะที่ความตกลงในปี 2538/1995 ไมเกี่ยวของกับขอพิพาทอธิปไตยกรณีหิน 3 กอน ซึ่งทั้งสาม ประเทศจะสามารถเริ่มดําเนินการเจรจาเพื่อกําหนดเสนเขตแดนในชองแคบยะโฮรแทันทีหลังจากมาเลเซีย สามารถระบุอยางเป็นทางการไดวาหิน 3 กอน เป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศใด
150
ความตกลงระหว่างรัฐบาลมาเลเซียกับรัฐบาลสาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อก าหนดเส้นเขตแดนของทะเลอาณาเขตที่ถูกต้องให้สอดคล้องกับ ความตกลงระหว่างสเตรทส์เซ็ทเทิลเมนท์สกับยะโฮร์ว่าด้วยทะเลอาณาเขตปี 2470/192796
เนื่องดวยโดยความตกลงวาดวยทะเลอาณาเขตระหวางรัฐบาลสเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแสกับรัฐยะโฮรแ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2470/1927 จากนี้ไปจะเรียกวา “ความตกลง ปี 2470/1927” ซึ่งทําขึ้นระหวาง เซอรแ ฮิวจแ ชารแลสแ คลิฟฟอรแด (Sir Hugh Charles Clifford) ขาหลวงและผูบัญชาการแหงอาณานิคมสเตรทสแเซ็ทเทิล เมนทแสในพระนามของกษัตริยแแหงอังกฤษ กับ อิบราฮิม บิน อัลมารแฮัม สุลตาน อาบู บาการแ (Ibrahim bin Almarhum Sultan Abu Bakar) องคแสุลตานแหงรัฐยะโฮรแ (Johor) เสนเขตแดนระหวางทะเลอาณาเขตของ รัฐบาลสเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแสแหงสิงคโปรแและรัฐสุลตานแหงยะโฮรแไดถูกตกลงรวมกัน และเนื่องดวยรัฐสุลตานแหงยะโฮรแถูกสืบทอดโดยประเทศมาเลเซียและเป็นรัฐภายในของประเทศ มาเลเซีย และรัฐบาลสเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแสแหงสิงคโปรแถูกสืบทอดโดยสาธารณรัฐสิงคโปรแ และเนื่องดวยรัฐบาลมาเลเซียและรัฐบาลสาธารณรัฐสิงคโปรแ จากนี้ไปจะเรียกวา “ภาคีผูทําสัญญา (Contacting Parties)” ไดรับทราบความจําเป็นที่จะกําหนดเสนเขตแดนทะเลอาณาเขตใหชัดเจน เพื่อให สอดคลองกับความความตกลงปี 2470/1927 โดยตกลงที่จะจัดใหมีการสํารวจทางทะเลรวมกันบนพื้นฐานของ บันทึกขั้นตอนการทํางาน (Memorandum of Procedure) เกี่ยวกับพื้นที่สํารวจดีงกลาวซึ่งตกลงกันเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2523/1980 และเนื่องดวยความสําเร็จของการจัดการสํารวจทางทะเลรวมกันในวันที่ 12 พฤษภาคม 2525/1982 และมีการรับรองรายงานการสํารวจโดยภาคีผูทําสัญญาเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2538/1985 ภาคีผูทําสัญญามี ความประสงคแที่จะบรรลุขอตกลงในการกําหนดเสนเขตแดนทะเลอาณาเขตระหวางมาเลเซียกับสาธารณรัฐ สิงคโปรแในอาณาบริเวณพื้นที่ซึ่งอธิบายไวตามขอ 1 ของความความตกลงปี 2470/1927 ข้อ 1 เส้นเขตแดน 1. เสนเขตแดนทะเลอาณาเขตระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแในอาณาบริเวณพื้นที่ซึ่งอธิบายไวตามขอ 1 ของความความตกลงปี 2470/1927 จะถูกกําหนดขึ้นจากเสนตรงที่เชื่อมระหวางจุด (Point) โดยพิกัดทาง ภูมิศาสตรแของแตละจุดจะถูกระบุเอาไวในภาคผนวก 1 (Annex I) 2. ละติจูดและลองจิจูดของพิกัดภูมิศาสตรแซึ่งระบุเอาไวในภาคผนวก 1 ถูกกําหนดขึ้นโดย Revised Kertau Datum, Everest Spheroid (Malaya) Malaysia Rectified Skew Orthomorphic Projection (ตารางคาพิกัดถูกพิมพแโดยสํานักงานแผนที่ทหาร (Directorate of Military Survey) กระทรวงกลาโหมแหง สหราชอาณาจักร – มีนาคม 2508/1965) “พื้นเกณฑแแผนที่ (Chart Datums)” ไดรับการกําหนดไวใน ภาคผนวกที่ 2 บัญชีการสํารวจทางทะเลรวม 1980/1982 (Joint Hydrographic Survey Fair Sheet) หรือ ภาคผนวก 2 (Annex II) 3. ดังที่ไดกลาวมา เสนเขตแดนของทะเลอาณาเขตที่อางถึงในยอหนา 1 ถูกแสดงในสีแดงบนแผนที่ แนบทายในภาคผนวก 3 (Annex III)
96 โปรดดูรายละเอียดใน “Agreement Between the Government of Malaysia and the Government of the Republic of Singapore to Delimit Precisely the Territorial Waters Boundary in Accordance with the Straits Settlement and Johor Territorial Waters Agreement 1972” อางใน Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.III (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 2004), pp. 2,351-2,353. 151
4. เมื่อตําแหนงที่แทจริงของจุด (Point) ที่กําหนดขึ้นโดยพิกัดทางภูมิศาสตรแในภาคผนวก 1 (Annex I) หรือจุดอื่นๆ ที่อยูตามเสนเขตแดนถูกเรียกรองใหตรวจสอบ จะตองถูกตรวจสอบรวมกันโดยผูรับมอบอํานาจ จากภาคีผูทําสัญญา 5. เพื่อใหเป็นตามความประสงคแในยอหนาที่ 4 ของขอนี้ คําวา “ผูรับมอบอํานาจ (competent authorities)” ของฝุายมาเลเซียจะหมายถึง ผูอํานวยการกรมสํารวจและทําแผนที่ (Director General of Survey and Mapping) ของมาเลเซียหรือผูที่ไดรับมอบหมาย และของฝุายสิงคโปรแจะหมายถึงหัวหนากองทํา แผนที่ (Head of the Mapping Unit) กระทรวงกลาโหมแหงสิงคโปรแหรือผูที่ไดรับมอบหมาย ข้อ 2 ขั้นตอนสุดท้ายของเส้นเขตแดน จะตองไมมีการเปลี่ยนแปลงแกไขเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขตตามที่กําหนดไวในขอ 1 ข้อ 3 การระงับช้อพิพาท หากขอพิพาทใดๆ ระหวางภาคีผูทําสัญญาเกิดขึ้นจากการตีความหรือการนําไปใชตามความตกลงนี้ จะตอง ระงับพิพาทนั้นโดยวิธีการใหคําปรึกษาหารือหรือการเจรจา ข้อ 4 ความสัมพันธ์กับตกลงปี 2470/1927 ในกรณีที่มีความไมสอดคลองกันระหวางขอ 1 ของความตกลงฉบับนี้ กับ ขอ 1 ของความตกลงปี 2470/1927 ใหใชขอ 1 ของความตกลงฉบับนี้ ข้อ 5 การให้สัตยาบัน ความตกลงฉบับนี้จะตองไดรับการใหสัตยาบันโดยภาคีผูทําสัญญา ข้อ 6 การมีผลบังคับใช้ ตกลงนี้จะมีผลบังคับใชในวันที่มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันโดยภาคีผูทําสัญญา
เพื่อเป็นพยานแกการนี้ ผูลงนามขางทายนี้ไดรับมอบอํานาจจากรัฐบาลของแตละฝุายใหลงนามบันทึกความ เขาใจฉบับนี้
ทําขึ้น ณ สิงคโปรแ ในวันที่ 7 สิงหาคม 1995 ใน 4 ภาษาตนฉบับ อยางละ 2 ฉบับในภาษามาเลยแและ ภาษาอังกฤษ ทุกฉบับมีความถูกตองเทาเทียมกัน ในกรณีที่แตกตางกัน ใหใชตัวบทภาษาอังกฤษเป็นหลัก
สําหรับรัฐบาลแหงมาเลเซีย สําหรับรัฐบาลแหงสาธารณรัฐสิงคโปรแ ดาตุ฿ก อับดุลลาหแ อาหมัด บาดาวี ศาสตราจารยแ เอส. ชัยกุมาร (Datuk Abdullah Ahmad Badawi) (Professor S. Jayakumar) รัฐมนตรีการตางประเทศ รัฐมนตรีการตางประเทศ
152
ภาคผนวก 1 พิกัดทางภูมิศาสตร์ (Annex I Geographical Coordinates)
1. ทางตะวันออกของช่องยะโฮร์ (East of Johor Causeway) จุด (Point) ละติจูด เหนือ (Latitude North) ลองจิจูด ตะวันออก (Longitude East) E1 01° 27′ 10.0″ 103° 46′ 16.0″ E2 01° 27′ 54.5″ 103° 47′ 25.7″ E3 01° 28′ 35.4″ 103° 48′ 13.2″ E4 01° 28′ 42.5″ 103° 48′ 45.6″ E5 01° 28′ 36.1″ 103° 49′ 19.8″ E6 01° 28′ 22.8″ 104° 50′ 03.0″ E7 01° 27′ 58.2″ 103° 51′ 07.2″ E8 01° 27′ 46.6″ 103° 51′ 31.2″ E9 01° 27′ 31.9″ 103° 51′ 53.9″ E10 01° 27′ 23.5″ 103° 52′ 05.4″ E11 01° 26′ 56.3″ 103° 52′ 30.1″ E12 01° 26′ 06.5″ 104° 53′ 10.1″ E13 01° 25′ 40.6″ 103° 53′ 52.3″ E14 01° 25′ 39.1″ 103° 54′ 45.9″ E15 01° 25′ 36.0″ 103° 55′ 00.6″ E16 01° 25′ 41.7″ 103° 55′ 24.0″ E17 01° 25′ 49.5″ 103° 56′ 00.3″ E18 01° 25′ 49.7″ 104° 56′ 15.7″ E19 01° 25′ 40.2″ 103° 56′ 33.1″ E20 01° 25′ 31.3″ 103° 57′ 09.1″ E21 01° 25′ 27.9″ 103° 57′ 27.2″ E22 01° 25′ 29.1″ 103° 57′ 38.4″ E23 01° 25′ 19.8″ 103° 58′ 00.5″ E24 01° 25′ 19.0″ 104° 58′ 20.7″ E25 01° 25′ 27.9″ 103° 58′ 47.7″ E26 01° 25′ 27.4″ 103° 59′ 00.9″ E27 01° 25′ 29.7″ 103° 59′ 10.2″ E28 01° 25′ 29.2″ 103° 59′ 20.5″ E29 01° 25′ 30.0″ 103° 59′ 34.5″ E30 01° 25′ 25.3″ 103° 59′ 42.9″ E31 01° 25′ 14.2″ 104° 00′ 10.3″
153
จุด (Point) ละติจูด เหนือ (Latitude North) ลองจิจูด ตะวันออก (Longitude East) E32 01° 26′ 20.9″ 104° 01′ 23.9″ E33 01° 26′ 38.0″ 104° 02′ 27.0″ E34 01° 26′ 23.5″ 104° 03′ 26.9″ E35 01° 26′ 04.7″ 104° 04′ 16.3″ E36 01° 25′ 51.3″ 104° 04′ 35.3″ E37 01° 25′ 03.3″ 104° 05′ 18.5″ E38 01° 24′ 55.8″ 104° 05′ 22.6″ E39 01° 24′ 44.8″ 104° 05′ 26.7″ E40 01° 24′ 21.4″ 104° 05′ 33.6″ E41 01° 23′ 59.3″ 104° 05′ 34.9″ E42 01° 23′ 39.3″ 104° 05′ 32.9″ E43 01° 23′ 04.9″ 104° 05′ 22.4″ E44 01° 22′ 07.5″ 104° 05′ 00.9″ E45 01° 21′ 27.0″ 104° 04′ 47.0″ E46 01° 20′ 48.0″ 104° 05′ 07.0″ E47 01° 17′ 21.3″ 104° 07′ 34.0″
2. ทางตะวันตกของช่องยะโฮร์ (West of Johor Causeway) จุด (Point) ละติจูด เหนือ (Latitude North) ลองจิจูด ตะวันออก (Longitude East) W1 01° 27′ 09.8″ 103° 46′ 15.7″ W2 01° 25′ 54.2″ 103° 45′ 38.5″ W3 01° 27′ 01.4″ 103° 44′ 48.4″ W4 01° 27′ 16.6″ 103° 44′ 23.3″ W5 01° 27′ 36.5″ 103° 43′ 42.0″ W6 01° 27′ 26.9″ 104° 42′ 50.8″ W7 01° 27′ 02.8″ 103° 42′ 13.5″ W8 01° 26′ 35.9″ 103° 41′ 55.9″ W9 01° 26′ 23.6″ 103° 41′ 38.6″ W10 01° 26′ 14.1″ 103° 41′ 00.0″ W11 01° 25′ 41.3″ 103° 40′ 26.0″ W12 01° 24′ 56.7″ 104° 40′ 10.0″ W13 01° 24′ 37.7″ 103° 39′ 50.1″ W14 01° 24′ 01.5″ 103° 39′ 25.8″ W15 01° 23′ 28.6″ 103° 39′ 12.6″ W16 01° 23′ 13.5″ 103° 39′ 10.7″
154
จุด (Point) ละติจูด เหนือ (Latitude North) ลองจิจูด ตะวันออก (Longitude East) W17 01° 22′ 47.7″ 103° 38′ 57.1″ W18 01° 21′ 46.7″ 104° 38′ 27.2″ W19 01° 21′ 26.6″ 103° 38′ 15.5″ W20 01° 21′ 07.3″ 103° 38′ 08.0″ W21 01° 20′ 24.8″ 103° 37′ 48.2″ W22 01° 19′ 17.8″ 103° 37′ 04.2″ W23 01° 18′ 55.5″ 103° 37′ 01.5″ W24 01° 18′ 51.5″ 103° 36′ 58.2″ W25 01° 15′ 51.0″ 103° 36′ 10.3″
ภาผนวก 2 บัญชีการส ารวจทางทะเลร่วม 1980/1982 (Annex II Joint Hydrographic Survey Fair Sheet) Sheet 1 of 21 (JS/5/IIa-1) Sheet 2 of 21 (JS/5/IIa-2) Sheet 3 of 21 (JS/5/IIb-1) Sheet 4 of 21 (JS/5/IIb-2) Sheet 5 of 21 (JS/5/Ia) Sheet 6 of 21 (JS/5/Ib) Sheet 7 of 21 (JS/5/IIIa-1) Sheet 8 of 21 (JS/5/IIIa-2) Sheet 9 of 21 (JS/5/IIIb-1) Sheet 10 of 21 (JS/5/IIIb-2) Sheet 11 of 21 (JS/5/IVa) Sheet 12 of 21 (JS/5/IVb-1) Sheet 13 of 21 (JS/5/IVb-2) Sheet 14 of 21 (JS/5/Va-1) Sheet 15 of 21 (JS/5/Va-2) Sheet 16 of 21 (JS/5/Vb-1) Sheet 17 of 21 (JS/5/Vb-2) Sheet 18 of 21 (JS/5/VIa-1) Sheet 19 of 21 (JS/5/VIa-2) Sheet 20 of 21 (JS/5/VIb-1) Sheet 21 of 21 (JS/5/VIb-2)
155
ภาพที่ 4.12 แผนที่แสดงทะเลอาณาเขตระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแตามตกลงเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2538/1995 (ที่มา: Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.III (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 2004), p. 2,350.) 156
ความตกลงในปี 2538/1995 เกิดจากการอางถึงความตกลงในปี 2470/1927 ระหวางสหราชอาณาจักร กับสุลตานแหงยะโฮรแ โดยกําหนดใหแนวเขตแดนเป็นไปตามจุดกึ่งกลางของชองน้ําลึก (deep-water channel) ในชองแคบยะโฮรแ ซึ่งความตกลงในปี 2470/1927 ยังคงมีผลผูกพันกับทั้งมาเลเซียและสิงคโปรแ ในชวงของการเป็นเอกราชผานบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของทั้งสองประเทศซึ่งกําหนดใหเกิดความตอเนื่องของ ภาระผูกพันตามสนธิสัญญาตางๆ ในสมัยอาณานิคม ความตกลงในปี 2538/1995 แสดงเสนตรงที่ลากขึ้นจากจุดตางๆ ที่ถูกกําหนดขึ้นจํานวน 72 จุด (E จํานวน 47 จุด และ W จํานวน 25 จุด) ซึ่งเกิดจากการนําความตกลงในปี 2470/1927 มาดําเนินการใหเป็น รูปธรรม โดยขอ 4 ของความตกลงในปี 2538/1995 กําหนดวา “ในกรณีที่มีความไมสอดคลองกันระหวางขอ 1 ของความตกลงฉบับนี้ กับ ขอ 1 ของความตกลงปี 2470/1927 ใหใชขอ 1 ของความตกลงฉบับนี้” จึงถือวา ความตกลงในปี 2470/1927 ถูกแทนที่โดยความตกลงในปี 2538/1995 โดยสมบูรณแ การใชจุดกึ่งกลางของชองน้ําลึก (deep-water channel) เพื่อเป็นเสนเขตแดนสมมุติ (imaginary boundary) ตามความตกลงในปี 2470/1927 เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไมบอยนัก เนื่องจากความตกลงในปี 2428/1885 ระหวางสหราชอาณาจักรกับรัฐยะโฮรแระบุเอาไววาบริเวณทะเลที่มีความกวางนอยกวาหกไมลแจะ ใช “เสนสมมุติที่อยูกึ่งกลางระหวางชายฝั่งของทั้งสองประเทศ”97 และยังกําหนดใหกองเรือของอังกฤษ สามารถที่จะเขาถึงนานน้ําของรัฐยะโฮรแไดโดยอิสระ แตความตกลงในปี 2470/1927 ไมไดกลาวอางอิงถึง ความตกลงในปี 2428/1885 แตอยางใด ยังไมเป็นที่แนชัดวาเหตุใด จุดกึ่งกลางของชองน้ําลึก (deep-water channel) จึงถูกนํามาใหในความ ตกลงในปี 2470/1927 ซึ่งอาจเป็นไปไดวาเพื่ออํานวยความสะดวกใหแกกองเรือของอังกฤษในการเดินทาง เขาถึงฐานทัพเรือของตนที่เซิมบาวัง (Sembawang) โดยการใชชองน้ําลึกเป็นการประกันความสามารถในการ เดินเรือของอังกฤษเพื่อควบคุมเสนทางจากตะวันตกไปยังตะวันออกในชองแคบยะโฮรแ มาเลเซียและสิงคโปรแตางใหรวมมือกันเพื่อการเจรจาอยางตอเนื่องนับตั้งแตปี 2523/1980 เพื่อกําหนด ทะเลอาณาเขตในชองแคบยะโฮรแอยางถาวร โดยตระหนักวาการบรรลุขอตกลงทะเลอาณาเขตตามความตกลง ปี 2538/1995 ในครั้งนี้จะไมสงผลกระทบตอขอพิพาทอื่นๆ ที่มีอยูระหวางกัน โดยเฉพาะปัญหาอธิปไตยกรณี หิน 3 กอน เนื่องจากทะเลอาณาเขตเป็นไปตามจุดกึ่งกลางของชองน้ําลึก (deep-water channel) ดังนั้นบรรดา เกาะทั้งหลายจึงไมมีความเกี่ยวของกับการกําหนดเสนเขตแดนแตอยางใด แตชองแคบที่เกิดขึ้นระหวางเกาะ สิงคโปรแกับแผนดินใหญของมาเลเซียอาจทําใหเกิดปัญหาเกี่ยวกับอํานาจอธิปไตยเหนือหมูเกาะที่อยูในบริเวณ ชองแคบ แตการใชจุดกึ่งกลางของชองน้ําลึก (deep-water channel) ก็ไมไดทําใหเกิดปัญหาตามที่มีขอกังวล มากนักเนื่องจากแนวเสนที่ลากตามจุดกึ่งกลางของชองน้ําลึก (deep-water channel) ไมไดเบนเขาไปใกลกับ เกาะใดมากนัก ยกเวนที่จุด E18 ซึ่งอยูภายในระยะ 0.2 ไมลแทะเล จากเกาะปูเลาอูบิน (Pulau Ubin) ของ สิงคโปรแ โดยสรุป การลากเสนทะเลอาณาเขตระหวางสิงคโปรแกับมาเลเซียในชองแคบยะโฮรแโดยการกําหนดจุด จํานวน 72 จุด ไปตามจุดกึ่งกลางของชองน้ําลึก (deep-water channel) ทําใหเกิดเสนตรงมีความยาว ประมาณ 50 ไมลแทะเล โดยขอ 1 วงเล็บ (4) ของความตกลงฉบับนี้ กําหนดวา “เมื่อตําแหนงที่แทจริงของจุด (Point) ที่กําหนดขึ้นโดยพิกัดทางภูมิศาสตรแในภาคผนวก 1 (Annex I) หรือจุดอื่นๆ ที่อยูตามเสนเขตแดนถูก เรียกรองใหตรวจสอบ จะตองถูกตรวจสอบรวมกันโดยผูรับมอบอํานาจจากภาคีผูทําสัญญา” นอกจากนี้ จุดทั้ง
97 Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. Ibid, p. 2,346. 157
72 จุดที่ใชในการกําหนดทะเลอาณาเขตมีระยะหางระหวางกันตั้งแต 0.2 ไมลแทะเล ถึง 4.2 ไมลแทะเล ซึ่งจุด เหลานี้จะถูกเชื่อกันโดยเสนตรง โดย “ละติจูดและลองจิจูดของพิกัดภูมิศาสตรแซึ่งระบุเอาไวในภาคผนวก 1 ถูก กําหนดขึ้นโดย Revised Kertau Datum, Everest Spheroid (Malaya) Malaysia Rectified Skew Orthomorphic Projection (ตารางคาพิกัดถูกพิมพแโดยสํานักงานแผนที่ทหาร (Directorate of Military Survey) กระทรวงกลาโหมแหง สหราชอาณาจักร – มีนาคม 2508/1965) “พื้นเกณฑแแผนที่ (Chart Datums)” ไดรับการกําหนดไวใน ภาคผนวกที่ 2 บัญชีการสํารวจทางทะเลรวม 1980/1982 (Joint Hydrographic Survey Fair Sheet) หรือ ภาคผนวก 2 (Annex II)” ตามความในขอ 1 วงเล็บ (2) ขอตกลงฉบับนี้มีความยุงยากในการทําใหเสร็จสมบูรณแได เนื่องจากจําเป็นตองใชขอมูลที่มีแมนยําซึ่งได จากการสํารวจธรณีสัณฐานของนานน้ําที่กําหนด แตในที่สุดทั้งสองประเทศก็สามารถใหความรวมมือแกกัน และกันเพื่อบรรลุขอตกลงซึ่งเป็นที่พอใจดวยกันทั้งสองฝุาย และยังสงวนสิทธิ์ที่จะไมนําขอพิพาทเขตแดนอื่นๆ ที่มีระหวางกันเขามาเป็นอุปสรรคในการกําหนดเฉพาะทะเลอาณาเขตในชองแคบยะโฮรแ ซึ่งเป็นแนวทางในการ แกปัญหาและวิสัยทัศนแที่นาสนใจของทั้งสองประเทศอยางยิ่ง
158
4.7 ไหล่ทวีปถึงเกาะนาทูน่า (Natuna Islands) ระหว่างอินโดนีเซียกับเวียดนาม
ไหลทวีปซึ่งถูกกําหนดขึ้นตามความตกลงระหวางอินโดนีเซียกับเวียดนามในปี 2546/2003 เกิดจากเสน สองเสนตามความตกลงวาดวยไหลทวีประหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียในปี 2512/1969 ดังที่ไดกลาวไวแลวใน หัวขอ 4.1 ไหล่ทวีปในช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย ซึ่งความตกลงวา ดวยไหลทวีประหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียในปี 2512/1969 ฉบับนี้ไดกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลในพื้นที่ ทางตะวันออกและตะวันตกของหมูเกาะนาทูนา (Natuna Islands) ทางทิศตะวันตก ไหลทวีปตามความตกลงในปี 2512/1969 เป็นไปตามแนวเสนมัธยะที่ลากขึ้นระหวาง มาเลเซียคาบสมุทร (Peninsular Malaysia) กับ หมูเกาะอานัมบัส (Anambas Islands) และนาทูนา (Natuna Islands) ของอินโดนีเซีย สวนทางทิศตะวันตก ไหลทวีปตามความตกลงในปี 2512/1969 ลาก ออกไปทางทิศเหนือจากชายฝั่งของเกาะบอรแเนียว แตไมไดเป็นไปตามเสนมัธยะตลอดทั้งแนวเนื่องจากเบนเขา ไปในฝั่งทางอินโดนีเซียนิดหนอย ซึ่งทําใหฝุายมาเลเซียไดประโยชนแ โดยเป็นการลากเสนจากจุดอางอิงระหวาง ชายฝั่งซาราวักของมาเลเซียกับเกาะนาทูนา (Natuna Islands) ของอินโดนีเซีย ความตกลงระหวางอินโดนีเซียกับเวียดนามในปี 2546/2003 ไดกําหนดไหลทวีปที่มีความยาว 250 ไมลแ ทะเล โดยเป็นการลากเสนที่เชื่อมตอระหวางจุดเหนือสุดของเสนไหลทวีปทั้งสองสวนตามความตกลงในปี 2512/1969 ระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย ทําใหสามารถกําหนดไหลทวีปรอบเกาะนาทูนา (Natuna Islands) ไดสําเร็จ ซึ่งแตเดิมพื้นที่ทับซอนบนไหลทวีปในบริเวณดังกลาวเกิดขึ้นจากการอางสิทธิ์ของ อินโดนีเซียในปี 2511/1968 และตอมาเวียดนามก็ประกาศการอางสิทธิ์ในปี 2514/1971 โดยมีขนาดพื้นที่ 37,000 ตารางกิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใตของทะเลจีนใต การเจรจาเริ่มขึ้นในปี 2515/1972 หลายครั้ง แตก็ไมมีผลการเจรจาใดๆ เกิดขึ้น แตหลังจากการรวม ประเทศของเวียดนามเหนือและเวียดนามใตในปี 2518/1975 ฝุายเวียดนามจึงเป็นฝุายเริ่มเปิดใหมีการะบวน การการเจรจากับอินโดนีเซียอีกครั้ง ในระหวางขั้นตอนของการเจรจาระหวางกันของทั้งสองประเทศมีการ พยายามที่จะประสานแนวคิดที่แตกตางกันรวมทั้งแกไขปัญหาความเขาใจที่ไมตรงกัน รวมทั้งหาจุดรวมที่ เหมาะสมและมีเหตุผลเพื่อมุงสูผลสําเร็จในการระงับขอพิพาทในพื้นที่ทับซอนดังกลาว ในที่สุดวันที่ 26 มิถุนายน 2546/2003 ทั้งสองประเทศก็สามารถบรรลุความตกลงวาดวยไหลทวีปฉบับนี้ไดสําเร็จ โดยมีผล บังคับใชในวันที่ 29 พฤษภาคม 2550/2007 โดยในขั้นตอไปคือการเจรจาเรื่องเขตเศรษฐกิจจําเพาะ (Economic Exclusive Zone – EEZ) ระหวางกัน
159
ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เกี่ยวกับการก าหนดไหล่ทวีป 26 มิถุนายน 2546/200398
รัฐบาลแหงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและรัฐบาลแหงสาธารณรัฐอินโดนีเซีย (ตอไปในความตกลงนี้ จะเรียกวา “ภาคีผูทําสัญญา”) โดยคํานึงถึงอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ลงนามที่อาวมอนเตโก (Montego Bay) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2525/1982 ซึ่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและสาธารณรัฐอินโดนีเซียเป็นรัฐภาคี ปรารถนาที่จะกระชับและพัฒนาความรวมมือที่มีอยูระหวางทั้งสองประเทศ ปรารถนาที่จะสถาปนาไหลทวีประหวางเวียดนามกับอินโดนีเซีย ไดตกลงกันดังตอไปนี้ ข้อ 1 1. ไหลทวีประหวางเวียดนามกับอินโดนีเซียถูกกําหนดโดยเสนตรงที่ลากเชื่อมตอระหวางจุดซึ่งระบุพิกัด ตามลําดับดานลางนี้ จุด ละติจูด ลองจิจูด 20 06° 05′ 48″ เหนือ 105° 49′ 12″ ตะวันออก H 06° 15′ 00″ เหนือ 106° 12′ 00″ ตะวันออก H1 06° 15′ 00″ เหนือ 106° 19′ 01″ ตะวันออก A4 06° 20′ 59.88″ เหนือ 106° 39′ 37.67″ ตะวันออก X1 06° 50′ 15″ เหนือ 109° 17′ 13″ ตะวันออก ดังนั้นเสนขอบเขตจึงลากตรงไปยังจุดพิกัดที่ละติจูด 06° 18′ 12″ เหนือ ลองจิจูด 109° 38′ 36″ ตะวันออก (จุด 25) 2. เสนตรงและพิกัดของจุดที่ระบุไวในวรรค (1) ของขอนี้ คือเสนบนแผนที่และพิกัดทางภูมิศาสตรแที่ คํานวณตามระบบ World Geodetic System 1984 Datum (WGS84) และแผนที่ British Admiralty Chart No. 3482 อัตราสวน 1:1,500,000 ตีพิมพแในปี 2540/1997 ซึ่งเป็นแผนที่แนบทายตามความตกลง ฉบับนี้ เสนขอบเขตที่แสดงในแผนที่แนบทายตามความตกลงฉบับนี้ ทําขึ้นเพื่อวัตถุประสงคแในการแสดง ภาพประกอบเทานั้น 3. ตําแหนงที่แทจริงในทะเลของจุดและเสนตรงที่ระบุถึงในวรรค (1) ของขอนี้ จะถูกกําหนดขึ้นดวย วิธีการตกลงรวมกันโดยเจาหนาที่ผูรับมอบอํานาจของภาคีผูทําสัญญา 4. เพื่อใหบรรลุจุดประสงคแตามวรรค (3) ของขอนี้ เจาหนาที่ผูรับมอบอํานาจของสาธารณรัฐสังคมนิยม เวียดนาม คือ กรมการสํารวจและทําแผนที่ (Department of Survey and Mapping) กระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม (Ministry of Natural Resources and Environment) และ เจาหนาที่ ผูรับมอบอํานาจของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย คือ กรมอุทกศาสตรแแหงกองทัพเรืออินโดนีเซีย (The Hydro- oceanographic Agency of the Indonesian Navy)
98 โปรดดู C. H. Schofield & T.L. McDorman. “Agreement between the government of the Socialist Republic of Vietnam and the Republic of Indonesia concerning the delimitation of the continental shelf boundary (Report no.5-27),” in D. A. Colson & R. W. Smith. International Maritime Boundaries Vol.VI (2011), pp. 4,301-4,315. 160
ข้อ 2 ความตกลงฉบับนี้จะไมสงผลกระทบทางหนึ่งทางใดตอความตกลงอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นระหวางภาคีผูทํา สัญญาในอนาคตเกี่ยวกับการกําหนดเสนขอบเขตในเขตเศรษฐกิจจําเพาะ ข้อ 3 ภาคีผูทําสัญญาจะปรึกษากันโดยการประสานงานดานนโยบายตามหลักกฎหมายระหวางประเทศวา ดวยการคุมครองสิ่งแวดลอมทางทะเล ข้อ 4 หากโครงสรางหรือบอเดียวทางธรณีวิทยาของปิโตรเลียม หรือก฿าซฑรรมชาติ หรือแหลงแรอื่นๆ ใน ลักษณะใดๆ แหงเดียว ขยายขามเสนขอบเขตที่อางถึงในขอ 1 ภาคีผูทําสัญญาจะแจงใหแกกันถึงขอมูลทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องนี้ และจะหาทางตกลงกันเกี่ยวกับวิธีที่จะแสวงหาประโยชนแจากโครงสรางบอหรือแหลงน้ํามันนั้น ใหมีประสิทธิผลที่สุด และการแบงผลประโยชนแอันเกิดจากการแสวงประโยชนแเชนวานั้นอยางเป็นธรรม ข้อ 5 ขอพิพาทใดๆ ระหวางภาคีผูทําสัญญาที่จะเกิดขึ้นจากการตีความหรือการปฏิบัติตามสนธิสัญญานี้ ให ระงับอยางสันติ โดยวิธีการหารือหรือการเจรจา ข้อ 6 1. ความตกลงฉบับนี้จะไดรับสัตยาบันตามที่กําหนดโดยขั้นตอนทางรัฐธรรมนูญของภาคีผูทําสัญญา 2. ความตกลงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช ณ วันที่มีการแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญาตามกฎหมาย 3. เพื่อเป็นพยานแกการนี้ ผูลงนามขางทายนี้ไดรับมอบอํานาจจากรัฐบาลของแตละฝุายใดลงนามใน ความตกลงฉบับนี้ ทําขึ้น ณ กรุงฮานอย เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2546/2003 ทําเป็นคูฉบับในภาษาเวียดนาม ภาษา อินโดนีเซีย และภาษาอังกฤษ ทุกภาษาใชบังคับไดเทาเทียมกัน ในกรณีที่มีความแตกตางกันในการตีความตัว บทตางภาษา ใหถือตัวบทภาษาอังกฤษเป็นสําคัญ
สําหรับรัฐบาลแหงสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สําหรับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เหวียน ดาย เหนี่ยน (Nguyen Dy Nien) เอ็น ฮัสสัน วิราจุดา (N. Hassan Wirajuda) รัฐมนตรีตางประเทศ รัฐมนตรีตางประเทศ
161
ภาพที่ 4.13 แผนที่ British Admiralty Chart No.3482 อัตราสวน 1:1,500,000 ตีพิมพแในปี 2540/1997 แนบทายความตก ลงไหลทวีประหวางเวียดนามกับอินโดนีเซีย 26 มิถุนายน 2546/2003 (ที่มา: United Nations. The Law of the Sea Bulletins (No.67, 2008), pp. 39-41. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1MDt1YQ)
162
ภาพที่ 4.14 ภาพขยายแผนที่ British Admiralty Chart No.3482 อัตราสวน 1:1,500,000 ตีพิมพแในปี 2540/1997 แนบทายความตกลงไหลทวีประหวางเวียดนามกับอินโดนีเซีย 26 มิถุนายน 2546/2003 แสดงให เห็นจุดพิกัดตางๆ ตามที่กําหนดเอาไวในความตกลงฉบับดังกลาว 163
4.8 เส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างบรูไนกับมาเลเซีย
การกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลเสนแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2501/1958 โดยการประกาศของสหราชอาณาจักรในนานน้ําบริเวณนอกชายฝั่งระหวางบรูไนกับซา ราวัก และบรูไนกับซาบาหแ โดยแตละเสนมีความลึก 100 ฟาทอม (200 เมตร) ซึ่งเป็นความลึกที่ระบุไวใน อนุสัญญาวาดวยไหลทวีปปี 2501/1958 ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการเพื่ออางสิทธิ์อาณาเขตทางทะเลระหวาง ประเทศ เสนเขตแดนกับซาราวักมีความยาว 34 ไมลแทะเล และสวนที่ยื่นออกไปในทะเลนั้นดูเหมือนจะเกิด ประโยชนแตอบรูไน จุดปลายสุด (terminus) จึงมีความยาวประมาณ 10 ไมลแทะเล ไปทางทิศตะวันตกของจุดที่ เทากับเสนมัธยะ (equidistance) เสนเขตแดนระหวางบรูไนและซาบาหแมีความยาว 80 ไมลแทะเล และ คอนขาง ใกลเคียงกับเสนมัธยะแตก็ไมชัดเจนวาการลากเสนเขตแดนฝุายเดียวของอังกฤษในครั้งนี้ เป็นที่ ยอมรับจากรัฐอื่นๆ ที่มีสวนไดสวนเสียหรือไม เสนเขตแดนทางทะเลของบรูไน โดยเฉพาะการอางสิทธิ์ตามไหลทวีปความยาว 200 ไมลแทะเล ก็ทําให บรูไนเขาไปเป็นสวนหนึ่งของการอางสิทธิ์ในพื้นที่ทับซอนบริเวณทะเลจีนใต (เกิดขอพิพาทกับจีน ไตหวัน และ เวียดนาม) มาเลเซียก็เป็นสวนหนึ่งของประเทศคูพิพาทในทะเลจีนใต แตเนื่องจากมีการทําขอตกลงทวิภาคีกับ บรูไนจึงทําใหสามารถแกไขปัญหาพื้นที่ทับซอนทางทะเลในนานน้ําบรูไนได เสนเขตแดนทางทะเลของบรูไน กับมาเลเซีย นั้นเป็นเกิดขึ้นจาก “คําสั่งสภาแหงรัฐซาราวัก ปี 2501/1958” และ “คําสั่งสภาแหงบอรแเนียว เหนือวาดวยคํานิยามเสนเขตแดน ปี 2501/1958” โดยคําสั่งทั้งสองฉบับนี้ ไดกําหนดใหมีการนิยามเสนเขต แดนระหวางบรูไน กับรัฐซาราวักและรัฐซาบาหแของมาเลเซีย ซึ่งดินแดนทั้งหมดถูกปกครองโดยอังกฤษ ดังที่ไดกลาวไปแลววา บรูไนและมาเลเซียเป็นรัฐที่มีชายฝั่งประชิดกัน (adjacent states) ซึ่งตางอาง สิทธิ์ทะเลอาณาเขต (territorial sea) 12 ไมลแทะเล และเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล ทั้งสองประเทศ ไดรับมรดกเสนเขตแดนในทะเล 3 แหง โดยเป็นไปตาม “พระราชบัญญัติเสนเขตแดนของอาณานิคม (Colonial Boundaries Act)” ปี 2438/189599 เสนเขตแดนแบงเขตพื้นดินทองทะเล (seabed) และทะเล อาณาเขต (territorial water) ของบรูไน ออกจากพื้นที่เดียวกับซาบาหแและซาราวักในทะเลจีนใต กับอาว บรูไน (Brunei Bay)100 ในขณะนั้นอังกฤษอางสิทธิ์เขตนานน้ํา 3 ไมลแทะเล และเขตพื้นดินทองทะเลที่ความลึก 100 ฟาทอม (182 เมตร) ซาบาหแและซาราวักเขารวมเป็นสวนหนึ่งของมาเลเซียในปี 2506/1963 ตอมาในปี 2522/1979 มาเลเซียตีพิมพแแผนที่แสดงเสนเขตแดนเขตตามอังกฤษโดยใชเครื่องหมายระบุในแผนที่วา “เสน เขตแดนระหวางประเทศ (International Boundary)”101 ขอมูลที่นาเชื่อถือในการอางสิทธิ์ทางทะเลของ บรูไนมีความยากลําบากที่จะเขาถึง แตแผนที่ซึ่งตีพิมพแโดยกระทรวงการตางประเทศของสหรัฐอเมริกา (United States State Department) ในปี 2538/1995 แสดงสิ่งที่บรูไนอางสิทธิ์ในปี 2538/1995 แผนที่นี้ระบุขอความวา “เพื่อเป็นตัวอยางเทานั้น (for illustrative purposes only)” แสดงใหเห็นถึง การอางสิทธิ์ทางทะเลของบรูไนวาตั้งอยูบนเสนเขตแดนของอังกฤษ ซึ่งก็คือเสนตรงที่ลากออกไป (straight- line extensions) จนถึงแนวเสนมัธยะ (equidistance) ระหวางแผนดินของบรูไนกับเวียดนาม การอางสิทธิ์
99 โปรดดู Colonial Boundaries Act. July 6, 1895. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556 เขาถึงจาก http://bit.ly/1HsBtZN 100 Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.II (The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 1993, 1996), pp.815-828. 101 Director of National Mapping Malaysia, Map showing territorial waters and continental shelf boundaries of Malaysia, Sheet 2, (1979) Mercator projection, scale 1:1.5 million at 5° 30′ N. 164
ดังกลาวขยายออกไปอีก 240 ไมลแทะเลจากชายฝั่งของบรูไน และเชื่อวาตอมาการอางสิทธิ์ของบรูไนจะลดลง ในระยะ 200 ไมลแทะเล จากเสนฐาน (baseline) ของตน เสนเขตแดนของทะเลอาณาเขต (territorial sea) และ เสนแบงเขตทางทะเล หรือ เสนเขตแดนของ พื้นดินทองทะเล (seabed boundary) ระหวางบรูไนกับมาเลเซียทางตะวันออกคือ เสนมัธยะ (equidistance line) ที่ถูกลากออกไปเป็นระยะ 60 ไมลแทะเล จากปากอาวบรูไนจนถึงระดับความลึก 100 ฟาทอม หรือจุด A ในภาพที่ 4.15 สวนเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขต (territorial sea) และเสนเขตแดนของพื้นดินทองทะเล (seabed boundary) ทางตะวันตกระหวางทั้งสองประเทศ ถูกลากออกไปจากจุดปลายสุดของเสนเขตแดน ทางบกเป็นระยะ 35 ไมลแทะเล จนถึงระดับความลึก 100 ฟาทอม หรือจุด B ในภาพที่ 4.15 และแนวเสนมัธ ยะ (equidistance line) ของเสนเขตแดนขยายออกไปเป็นระยะ 5 ไมลแทะเล จากชายฝั่ง หรือจุด C ในภาพที่ 4.15
ภาพที่ 4.15 แผนที่แสดงแนวเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขต (territorial sea) และเสนเขตแดนพื้นดินทอง ทะเล (seabed boundary) ระหวางบรูไนกับมาเลเซีย (ที่มา: Schofield, Victor Prescott and Clive., 2001. p.7)
165
เสนที่เหลือคือเสนที่ลากตั้งฉาก (perpendicular) กับแนวชายฝั่งโดยลากเลยออกมาจากแหลมตันจง บารัม (Tanjong Baram cape) ซึ่งตั้งอยูทางตะวันตกของจุดปลายสุดของเสนเขตแดนทางบกหางออกไป ประมาณ 8 ไมลแทะเล ในขณะที่เสนเขตแดนของอังกฤษจึงถูกลากบนแผนที่ทหารเรือของอังกฤษหมายเลข BA2109 (British Admiralty chart BA2109) ปี 2501/1958 ตามคําสั่งของสภาอังกฤษ (The British Orders in Council) ซึ่งลากผานระหวางบอน้ํามัน 2 แหงเป็นระยะเพียง 0.75 ไมลแทะเลใหแยกออกจาก กัน102 การกําหนดเสนมัธยะ (equidistance) ระหวางบรูไนกับมาเลเซียมีปัญหาความยุงยาก 2 ประการ ไดแก ประการแรก คือ ทั้งสองประเทศอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือโขดหินลุยซา (Louisa Reef) ซึ่งเป็นหินที่อยูพนจาก ระดับน้ําขึ้นสูงสุดประมาณน้ําประมาณ 3 ฟุต และยังถูกนับรวมอยูกับกลุมของหมูเกาะสแปรตลียแ ปัญหา ประการที่ 2 คือ เสนเขตแดนระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียซึ่งลากขยายออกมาทางตอนเหนือของเมืองตันจง ดาตู (Tanjong Datu) ในทั้งสองกรณีเสนเขตแดนของพื้นดินทองทะเลไมไดสิ้นสุดในตําแหนงที่เทากัน (equidistant position) จึงเป็นสิ่งจําเป็นที่จะสํารวจวาเสนเขตแดนของพื้นดินทองทะเลในตําแหนงที่ไม เทากัน (a non-equidistant seabed boundary) จะสามารถเชื่อมกับเสนเขตแดนของหวงน้ําที่เทากันได อยางไร (equidistant water-column boundary) จากจุด C เสนเขตแดนดานตะวันตกเปลี่ยนทิศทางจากแนวเสนมัธยะเป็นระยะ 5 ไมลแทะเลจากชายฝั่ง แลวเสนมัธยะจึงถูกลากตอไปอีกทางทิศเหนือเป็นระยะประมาณ 29 ไมลแทะเล โดยชายฝั่งที่ประชิดติดอยูกับ จุดปลายสุดของเสนเขตแดนทางบกทําใหเกิดจุดฐาน (basepoint) ของทั้งสองประเทศ ที่ระยะประมาณ 29 ไมลแทะเลจากชายฝั่งเมืองตันจง บารัม (Tanjong Baram) คือจุดฐาน (basepoint) ของมาเลเซีย และที่ระยะ อีกประมาณ 1.7 ไมลแทะเล แลวลากเสนตอไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามแนวเวาของชายฝั่งทางเหนือ ของบรูไนบริเวณใกลเคียงกับพิกัดลองจิจูดที่ 114 องศา 34 ลิปดา ตะวันออก คือจุดฐานที่ใกลที่สุดของบรูไน เสนมัธยะ (equidistance) ถูกเบี่ยงออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 19 ไมลแทะเล จนถึงจุด D อยูที่พิกัดละติจูด 5 องศา 38.5 ลิปดาเหนือ และลองจิจูด 114 องศา 01 ลิปดาตะวันออก ซึ่งเป็นจุดปลาย สุดของเสนมัธยะ เนื่องจากใชโขดหินลุยซา (Louisa Reef) เป็นจุดฐาน จุดปลายสุดตั้งอยูที่ประมาณ 41 ไมลแ ทะเลทางตะวันออกเฉียงเหนือของจุดปลายสุดของเสนเขตแดนของอังกฤษบนเสนความลึก 100 ฟาทอม มีขอสังเกตวา คํานิยามของจุดปลายสุดของเสนเขตแดนที่ตัดกับแนวเสนแบริ่ง (bearing)103 และแนว เสนความลึก (isobath) อาจไมเป็นที่นาพอใจ เนื่องจากตําแหนงของแนวเสนความลึกอาจเปลี่ยนแปลงได การ เปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นประโยชนแกับฝุายใดฝุายหนึ่ง ทําใหบางครั้งฝุายที่เสียประโยชนแอาจโตแยงวาจุดตัดของ เสนเขตแดนควรจะอยูตามตําแหนงที่ตัดกันระหวางเสนแบริ่งกับเสนความลึกดังปรากฏบนแผนที่ทหารเรือของ อังกฤษหมายเลข BA2109 (British Admiralty Chart BA2109) ปี 2501/1958 เสนเขตแดนของอังกฤษทางตะวันออกลากไปตามแนวเสนมัธยะตามจุดฐานบนเกาะเกอรามัน (Pulau Keraman) และชายฝั่งตะวันออกของบรูไนที่พิกัด 114 องศา 51 ลิปดา ตะวันออก เป็นระยะเทากับแนวเสน ความลึกที่ 100 ฟาทอม และใชจุดฐานเดียวกันนี้ เสนมัธยะถูกลากตอเนื่องไปทางตะวันตกเฉียงเหนือจากจุด ปลายสุดของอังกฤษออกไปประมาณ 16 ไมลแทะเล ถึงจุดที่ใชโขดหินลุยซา (Louisa Reef) เป็นเสนฐาน ตามที่
102 Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. Ibid, p.919. 103 แบริ่ง (Bearing) คือ มุมราบที่วัดตามหรือทวนเข็มนาฬิกาจากแนวทิศเหนือหรือใต มุมแบริ่งมีขนาดไมเกิน 90 องศา (มุมแบริ่งนั้นวัดไดจากทิศเหนือจริงแนวทิศเหนือแมเหล็ก และแนวทิศเหนือกริดไดเชนกัน) จาก พันโทพินิจ ถาวรกุล, การอานแผนที่และรูปถายทางอากาศ (กรุงเทพฯ: โรงเรียนแผนที่ กรมแผนที่ทหาร, 2523), หนา 48. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556 เขาถึงจาก http://kmcenter.rid.go.th/kmc14/gis_km14/gis_km14(31).pdf 166
แสดงในจุด E ของภาพที่ 4.15 ซึ่งจุดนี้มีพิกัดที่ตําแหนง ละติจูด 5 องศา 53.5 ลิปดา เหนือ และ ลองจิจูด 114 องศา 14 ลิปดา ตะวันออก จุดปลายสุดของเสนมัธยะ 2 จุดนี้อยูหางระหวางจุดฐานของมาเลเซียและ บรูไน กับ โขดหินลุยซา (Louisa Reef) เป็นระยะประมาณ 20 ไมลแทะเล มีเหตุผล 2 ประการ ที่ทําใหมาเลเซียและบรูไนจะตองเจรจาขยายเสนเขตแดนของอังกฤษในอนาคต อันใกลนี้ ประการแรก เสนเขตแดนของอังกฤษไดแบงพื้นดินทองทะเลถึงจุดที่อยูใกลจุดตัดระหวางไหลทวีป (continental shelf) กับ ลาดทวีป (continental slope) ในขณะที่แหลงทรัพยากรไฮโดรคารแบอน (hydrocarbon deposit) ที่พบในลาดทวีปสวนใหญพบภายในเขตไหลทวีป104 ซึ่งหมายความวาทั้งสอง ประเทศไดเขาถึงพื้นที่ที่มีโอกาสทางทรัพยากรมากที่สุดของพื้นดินทองทะเลในภูมิภาคนี้ ปัญหาประการที่สอง คือ ประเด็นอํานาจอธิปไตยเหนือโขดหินลุยซา (Louisa Reef) ซึ่งเป็นประเด็นที่ สําคัญมากในการกําหนดแนวเสนมัธยะ (equidistance) ในพื้นที่ทางตอนใตของทะเลจีนใต ดูเหมือนวาทั้งสอง ประเทศไมสามารถยืนยันไดวาเสนเขตแดนทางตะวันออกจะสามารถกําหนดเขตแดนทางทะเล (maritime boundary) ไดอยางยุติธรรม มาเลเซียประกาศวาเสนเขตแดนตามแผนที่ซึ่งถูกกําหนดโดยสหราชอาณาจักร คือ เสนเขตแดนระหวางประเทศ (international boundary) ในขณะที่บรูไนตองการที่จะขยายเสนเขตแดน ออกไปอีกจนถึงทะเลอาณาเขตของเวียดนาม หรือในระยะ 200 ไมลแทะเล บรูไนเชื่อวา เสนเขตแดนทางทะเล ดานตะวันตกควรเป็นเสนตรง เพื่อใหมั่นใจวาแนวเขต 57 ไมลแทะเล ระหวางจุดปลายสุดของอังกฤษที่เสน ความลึก 100 ฟาทอม กับระยะความกวาง 63 ไมลแทะเลของแนวเขต 200 ไมลแทะเลจากชายฝั่ง เนื่องจากเสน เขตแดนของอังกฤษทางตะวันตกทําใหบรูไนไดเปรียบ จึงเป็นที่นาสนใจวามาเลเซียจะเห็นดวยกับเสนเขตแดน ดังกลาวหรือไม เพราะจะทําใหมีการขยายแนวเสนเขตแดนออกไปจากเดิม ทําใหมาเลเซียอาจจะเผชิญกับ ความตองการของอินโดนีเซีย ในการกําหนดเสนเขตแดนในหวงน้ําซึ่งแยกเสนเขตแดนของพื้นดินทองทะเลทาง เหนือของเมืองตันจุง ดาตู (Tanjung Datu) และอาจพิจารณาวาการกําหนดเสนเขตแดนดังกลาวจะเหมาะสม กับบรูไน ถาเสนเขตแดนในหวงน้ําถูกกําหนดขึ้นก็จะทําใหเกิดปัญหาตอเสนเขตแดนของพื้นดินทองทะเลดวย เชนกัน ดังนั้น จึงเป็นการงายกวาในกรณีระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซีย เนื่องจากคําสั่งของอังกฤษในสภา (the British Orders in Council) ไดระบุเสนความลึก 100 ฟาทอม เอาไวอยางชัดเจน และอาจจะเหมาะสม อยางยิ่งหากจุดปลายสุดของเสนเขตแดนของพื้นดินทองทะเลทางตะวันตกของอังกฤษจะลากไปบรรจบกับ เสนมัธยะที่ขีดไปตามแนวเดียวกับเสนความลึก 100 ฟาทอม ที่จุด F ในภาพที่ 4.15 ซึ่งหมายความวา พื้นที่ สามเหลี่ยมที่กําหนดโดยเสนเขตแดนของอังกฤษ ทําใหเสนมัธยะและเสนความลึก 100 ฟาทอม เป็นแนว กําหนดใหเขตนานน้ําเป็นของมาเลเซีย สวนพื้นดินทองทะเลเป็นของบรูไน ยกเวนเสียแตวา บรูไนจะไดรับ อนุญาตใหใชพื้นที่ขนาดเล็กในทะเลทางตอนใตของพื้นที่สามเหลี่ยมนี้ เพื่อการรักษาบูรณภาพแหงดินแดนใน ทะเลอาณาเขตของตน
104 Prescott, J.R.V. and Boyes, G. “Undelimited Maritime Boundaries in the Pacific Ocean Excluding the Asian Rim,” in Maritime Briefing Vol.2 No.8 (Durham: International Boundaries Research Unit, 2000), pp. 76-77. 167
4.9 เกาะมิอังกัส (Miangas Island) ระหว่างอินโดนีเซียกับฟิลิปปินส์
เกาะมิอังกัส (Miangas Island) หรือ เกาะปาลมัส (Palmas Island) ตั้งอยูทางตอนใตของเกาะมินดา เนา (Mindanao) ของฟิลิปปินสแ กับ ทางตอนเหนือของเกาะนานูซา (Nanusa/Nanoesa Island) ของ อินโดนีเซียหรือในอดีตคืออินเดียตะวันออกของเนเธอรแแลนดแ (Netherlands East Indies) เกาะมิอังกัสแหงนี้ มีขนาดความยาว 2 ไมลแ และมีความกวาง 0.75 ไมลแ และเป็นเกาะที่อยูหางไกลจากศูนยแกลางปกครอง และมี มูลคาทางเศรษฐกิจคอนขางนอยรวมทั้งไมมีความสําคัญทางยุทธศาสตรแเทาใดนัก105 โดยชื่อของ “เกาะปาลมัส (Isla de las Palmas)” หรือเกาะมิอังกัส (Miangas Island) สันนิษฐานวานาจะมาจากคําในภาษามาเลยแวา “นังกิส (nangis)” แปลวา “ร่ําไห (to weep)” หรือ อาจเป็นภาษาตาลาอุด (Talaud language) ซึ่งเป็นชื่อที่ ไดมาจากการที่เกาะมักจะถูกโจรสลัดเขาโจมตีอยูบอยครั้งทําใหเป็นเกาะแหงการร่ําไห106 นับตั้งแตวันที่ 21 มกราคม 2449/1906 พลตรี ลีโอนารแด วูด (Major-General Leonard Wood) นายทหารชาวอเมริกันได เดินทางขึ้นฝั่งบนเกาะแหงหนึ่งซึ่งตั้งอยูที่พิกัดละติจูด 5 องศา 35 ลิปดา เหนือ และลองจิจูด 126 องศา 36 ลิปดา ตะวันออก107 หรือประมาณ 48 ไมลแทะเลจากทางตะวันออกเฉียงใตของแหลมซานออกุสติน (Cape San Augustine) ในเกาะมินดาเนา (Mindanao Island) และประมาณ 50 ไมลแทะเลจากจุดเหนือสุดของเกาะ ตาลาอุด (Talaud Islands) ของอินเดียตะวันออกของเนเธอรแแลนดแ (Netherlands East Indies) (ดูภาพที่ 4.16 และภาพที่ 4.17) เกาะแหงนี้มีชื่อวา “เกาะปาลมัส (Isla de las Palmas)” หรือเกาะมิอังกัส (Miangas Island) พลตรี ลีโอนารแด วูด (Major-General Leonard Wood) ซึ่งรับแตงตั้งใหเป็นผูวาราชการจังหวัดโมโร (Moro Province) มีหนาที่สํารวจเสนเขตแดนของดินแดนสเปนซึ่งไดยกใหแกสหรัฐอเมริกาตามสนธิสัญญา ปารีส (Paris Treaty 1898) ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2441/1898108 แตเรือเล็กซึ่งทําหนาที่รับสงลีโอ นารแด วูด ไปยังเกาะมิอังกัส (Miangas) กลับใชธงชาติของฝุายดัตชแ ทําใหลีโอนารแด วูด เกิดขอสงสัยวาใครกัน แนที่เป็นเจาของเกาะแหงนี้
105 Kurt Taylor Gaubatz. The Island of Palmas: Abridgement and Notes (Scott: Hague Court Reports, 1932), p. 1. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Hd2NO9 106 Khan, Daniel-Erasmus. Max Huber as Arbitrator: The Palmas (Miangas) Case and Other Arbitrations (The European Journal of International Law Vol. 18 No.1, 2007), pp. 160. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1cqr1XD 107 Khan, Daniel-Erasmus. Ibid, pp. 158-159. 108 C. Parry. Consolidated Treaty Series Vol. 187 (1898–1899), p. 100. อางใน Khan, Daniel-Erasmus. Ibid, p. 159. 168
ภาพที่ 4.16 แผนที่แสดงที่ตั้งเกาะมิอังกัส (Miangas Island) และเกาะอื่นๆ โดยรอบ (ที่มา: Khan, Daniel- Erasmus. Max Huber as Arbitrator: The Palmas (Miangas) Case and Other Arbitrations (The European Journal of International Law Vol. 18 No.1, 2007), p. 159) 169
ภาพที่ 4.17 แผนที่แสดงรายละเอียดภายในเกาะมิอังกัส (Miangas Island) (ที่มา: Khan, Daniel-Erasmus. Max Huber as Arbitrator: The Palmas (Miangas) Case and Other Arbitrations (The European Journal of International Law Vol. 18 No.1, 2007), p. 160) 170
ตามขอความในมาตรา 3 ของสนธิสัญญาปารีส (Paris Treaty) ในปี 2441/1898 กลาววา “สเปนยกใหแกสหรัฐอเมริกาซึ่งหมูเกาะที่รูจักกันในชื่อหมูเกาะฟิลิปปินสแ, และเขาใจวาเกาะอื่นๆ ที่ตั้ง อยูภายในเสนดังตอไปนี้: เสนที่ลากจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ไปตามหรือใกลกับเสนขนานที่ 20 ละติจูด, ... เพราะฉะนั้น ตามเสนลองจิจูดที่ 127 องศาตะวันออกของเมืองกรีนิช กับ เสนขนานที่ละติจูด 4 องศา 45 ลิปดา เหนือ, เพราะฉะนั้น ตามเสนขนานที่ 4 องศา 45 ลิปดา เหนือ จนถึงจุดตัดกับเสนลองจิจูดที่ 119 องศา 35 ลิปดา ตะวันออกของเมืองกรีนิช”109 (ดูภาพที่ 4.16) ซึ่งเป็นผลใหเกาะมิอังกัส (Miangas Island) ตั้งอยูภายในขอบเขตของหมูเกาะฟิลิปปินสแ โดยในรายงาน ของลีโอนารแด วูด (Major-General Leonard Wood) ที่สงไปยังกองทัพสหรัฐอเมริกาไดบันทึกเอาไววา “เทาที่ขาพเจาสามารถยืนยันได, ธงดัตชแใชอยูกอนแลวสิบหาปี, ชายคนหนึ่งกลาววาเขาคิดวามันเคยมี อยูที่นั่นมาตลอด – ผูคนทําการคากับหมูเกาะฟิลิปปินสแและดูเหมือนจะมีการติดตอกันบางกับเซเลเบส, ยกเวน วามีการมาเยือนรายปีของเรือดัตชแ”110 ตอมาในปี 2449/1906 สหรัฐอเมริกาพบวาเนเธอรแแลนดแประกาศอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือเกาะมิอังกัส ทําใหในวันที่ 23 มกราคม 2468/1925 ทั้งสองประเทศจึงตกลงที่จะนําปัญหานี้เขาสูกระบวนการระงับขอ พิพาทโดยศาลประจําอนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration – PCA) ซึ่งมี แมกซแ ฮิวเบอรแ (Max Huber) ชาวสวิสเซอรแแลนดแทําหนาที่เป็นอนุญาโตตุลาการ (Arbitrator) โดยประเด็นขอพิพาทที่ อนุญาโตตุลาการตองตัดสิน คือ “เกาะมิอังกัสเป็นดินแดนสวนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาหรือเนเธอรแแลนดแ” ขอ โตแยงของสหรัฐอเมริกา 2 ประการแรก คือ สหรัฐอเมริกาเป็นเจาของกรรมสิทธิ์เกาะแหงนี้เนื่องจากไดรับโอน ดินแดนโดยชอบธรรมตามสนธิสัญญาที่ทําไวกับสเปน และ กรรมสิทธิ์ควรเป็นของสเปนเนื่องจากเป็นฝุาย คนพบและตั้งชื่อเกาะปาลมัส (Palmas) ซึ่งในขณะนั้นเป็นดินแดนที่ไมมีเจาของ (Terra Nullius) สเปนยก ดินแดนใหแกสหรัฐอเมริกาตามสนธิสัญญาปารีสปี 2441/1898 หลังสิ้นสุดสงครามสเปน-อเมริกัน (Spanish- American War) ในปีเดียวกัน อนุญาโตตุลาการตั้งขอสังเกตวาไมมีกฎหมายระหวางประเทศใดที่ทําใหการโอนดินแดนผานการยกให กลายเป็นโมฆะ อยางไรก็ตาม อนุญาโตตุลาการยังตั้งขอสังเกตอีกวาการยกกรรมสิทธิ์ดินแดนของสเปนใหแก สหรัฐอเมริกาไมไดเป็นไปตามกฎหมายเนื่องจากไมมีการระบุชื่อของดินแดนเอาไวในขอความของสนธิสัญญา ปารีส ทําใหการยกดินแดนใหไมสมบูรณแ อนุญาโตตุลาการ สรุปวา แมสเปนจะอางการ “คนพบ” และตั้งชื่อ
109 มาตรา 3 ของสนธิสัญญาปารีส (Paris Treaty 1898) กลาววา ―Spain cedes to the United States the archipelago known as the Philippine Islands, and comprehending the islands lying within the following lines: A line running from west to east along or near the twentieth parallel of north latitude, … thence along the one hundred and twenty seventh (127°) degree meridian of longitude east of Greenwich to the parallel of four degrees and forty five minutes (4°45′) north latitude, thence along the parallel of four degrees and forty five minutes (4°45′) north latitude to its intersection with the meridian of longitude one hundred and nineteen degrees and thirty five minutes (119°35′) east of Greenwich‖ in Khan, Daniel- Erasmus. Ibid, p. 161. 110 บันทึกของ พลตรี ลีโอนารแด วูด (Major-General Leonard Wood) ระบุวา “As far as I could ascertain, the Dutch flag has been there for the past fifteen years, one man said he thought it had always been there – The people trade with the Philippine Islands and appear to have little communication with the Celebes, except through the annual visit of a Dutch ship.” จาก Report from Zamboanga, Netherlands Counter Memorial, 26 January 1906, p. 83. อางใน W.J.B. Versfelt, The Miangas Arbitration (1933), p. 4. จาก in Khan, Daniel-Erasmus. Ibid, p. 161. 171
เกาะแหงนี้วา “ปาลมัส (Palmas)” แตการรักษาอธิปไตยโดยใหเหตุผลของการคนพบเป็นครั้งแรกซึ่งผูคนพบ ไมเคยใชอํานาจที่แทจริง ไมแมแตการปักธงของตนเองลงบนชายหาด ในกรณีนี้ สเปนไมไดใชอํานาจภาย หลังจากการอางสิทธิ์ครั้งแรกโดยการคนพบ และดังนั้นเหตุผลในการอางสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาจึงคอนขางออน สหรัฐอเมริกายังคงโตแยงตอไปอีกวาเกาะปาลมัส (Palmas) ควรเป็นกรรมสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีตําแหนงที่ตั้งอยูใกลกับฟิลิปปินสแมากกวาอินโดนีเซียซึ่งเคยถูกปกครองโดยอินเดียตะวันออกของ เนเธอรแแลนดแ (Netherlands East Indies) อนุญาโตตุลาการแยงวา ไมมีบทบัญญัติของกฎหมายระหวาง ประเทศที่สนับสนุนเหตุผลของสหรัฐอเมริกาในประเด็นระยะทางที่ใกลที่สุดของทวีปหรือเกาะซึ่งนําไปสูการถือ วามีกรรมสิทธิ์ในดินแดนพิพาท อนุญาโตตุลาการกลาวอีกวา แคเพียงความใกลกันของระยะทางยอมไมมี เหตุผลเพียงพอที่จะทําการอางสิทธิ์ในดินแดนได และถาหากประชาคมระหวางประเทศทําตามขออางของ สหรัฐอเมริกายอมจะนําไปสูการกระทําตามอําเภอใจ เนเธอรแแลนดแสมควรเป็นเจาของกรรมสิทธิ์เหนือเกาะแหงนี้ดวยเหตุผลของการใชอํานาจบนเกาะมา ตั้งแตปี 2220/1677 อนุญาโตตุลาการตั้งขอสังเกตวา สหรัฐอเมริกาไมสามารถแสดงเอกสารเพื่อพิสูจนแอํานาจ อธิปไตยของสเปนบนเกาะ ยกเวนเอกสารเกี่ยวกับการคนพบเกาะแหงนี้ นอกจากนี้ ยังไมมีหลักฐานที่ชี้ใหเห็น ไดชัดเจนวาเกาะปาลมัสเคยเป็นสวนหนึ่งของการบริหารงานของรัฐบาลสเปนในฟิลิปปินสแ อยางไรก็ตาม เนเธอรแแลนดแกลับสามารถแสดงใหเห็นวาบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) เคยมีการเจรจา ตอรองสนธิสัญญากับผูมีอํานาจปกครองในทองถิ่นของเกาะแหงนี้ตั้งแตคริสตแศตวรรษที่ 17 และใชสิทธิอํานาจ อธิปไตย รวมทั้งหลักฐานของการเขาไปของคณะนักบวชนิกายโปรเตสแตนตแและการหามไมใหชาติอื่นๆ เขาไป บนเกาะแหงนี้ดวย อนุญาโตตุลาการชี้ใหเห็นวา หากสเปนเป็นฝุายที่ใชอํานาจอยูจริงก็จะตองปรากฏขอพิพาท ระหวางกันบางไมมากก็นอย แตในขอเท็จจริงแลวไมมีขอพิพาทใดเกิดขึ้นเลยระหวางสเปนและเนเธอรแแลนดแ ภายในพื้นที่ของเกาะแหงนี้ จากเหตุผลดังกลาวทําใหเกิดหลักเกณฑแการตัดสินเพื่อระงับขอพิพาทจากประเด็น ที่สําคัญ 3 ประการ ดังนี้ ประการแรก กรรมสิทธิ์ที่เกิดจากการมีที่ตั้งอยูใกลกัน (contiguity) ไมมีอยูในหลัก กฎหมายระหวางประเทศ ประการที่สอง กรรมสิทธิ์ที่เกิดจากการคนพบเป็นเพียงกรรมสิทธิ์ในขั้นตน (inchoate title) และประการสุดทาย หากมีการใชอํานาจอธิปไตยของรัฐอยางตอเนื่อง โดยการอางกรรมสิทธิ์ นั้นตองเปิดเผยและเป็นสาธารณะ และรัฐฝุายที่อางเหตุผลบนพื้นฐานของการคนพบดินแดนไมไดทําการ ประทวงการอางกรรมสิทธิ์ดังกลาว การอางกรรมสิทธิ์โดยเหตุผลการใชอํานาจอธิปไตยยอมมีน้ําหนักมากกวา การอางสิทธิ์บนพื้นฐานของคนพบดินแดน ในที่สุดวันที่ 4 เมษายน 2471/1928 ศาลประจําอนุญาโตตุลาการ จึงมีคําตัดสินวา “ดวยเหตุผลเหลานี้ อนุญาโตตุลาการ, ในความสอดคลองกับมาตรา 1 ของขอตกลงพิเศษเมื่อ 23 มกราคม 2468/1925, ตัดสินวา: เกาะปาลมัส (Palmas) หรือ มิอังกัส (Miangas) เป็นสวนหนึ่งของดินแดน เนเธอรแแลนดแโดยสมบูรณแ”111
111 “FOR THESE REASONS the Arbitrator, in conformity with Article I of the Special Agreement of January 23rd, 1925, DECIDES that: THE ISLAND OF PALMAS (or MIANGAS) forms in its entirety a part of Netherlands territory.” in Permanent Court of Arbitration. “The Island of Palmas Case (or Miangas) United States of America v. The Netherlands,” Award of the Tribunal (The Hague: April 4, 1928), p. 37. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1WMWvKN 172
จนกระทั่งในปัจจุบัน สมาชิกสภานิติบัญญัติแหงชาติของฟิลิปปินสแยังถือวาเกาะมิอังกัสไมใชสวนหนึ่ง ของอินโดนีเซีย โดยใหเหตุผลวากลุมชาติพันธุแที่อาศัยอยูในเกาะแหงนี้มีภาษาที่มีความสัมพันธแกับชาวซารังกานี (Sarangani) ในมินดาเนามากกวากลุมชาติพันธุแอื่นใดในอินโดนีเซีย แตรายงานลาสุดกลาววา นายฮัซซัน วิราจู ดา (Hassan Wirajuda) อดีตรัฐมนตรีวาการกระทรวงตางประเทศของอินโดนีเซีย ปฏิเสธขาวลือเรื่องการเขา ยึดพื้นที่เกาะของอินโดนีเซียโดยฟิลิปปินสแ เนื่องจากรัฐบาลฟิลิปปินสแรับทราบอยูวาอธิปไตยเหนือเกาะมิอังกัส (Miangas Island) เป็นของอินโดนีเซีย112 โดยกลาววาการตื่นตูมเรื่องเกาะมิอังกัสเป็นเรื่องที่เสียเวลา เนื่องจากรัฐบาลฟิลิปปินสแไมเคยทําการอางสิทธิ์เหนือเกาะแหงนี้อยางเป็นทางการมากอน ประเด็นขาว ดังกลาวเกิดขึ้นหลังจากที่ การทองเที่ยวแหงประเทศฟิลิปปินสแ (Philippine Tourism Authority) ไดจัดพิมพแ แผนพับประชาสัมพันธแการทองเที่ยวโดยแสดงที่ตั้งของเกาะมิงอังกัสใหอยูในเขตแดนของฟิลิปปินสแ ทางดาน นายเตอูกู ไฟซาสยาหแ (Teuku Faizasyah) โฆษกกระทรวงตางประเทศของอินโดนีเซีย กลาววานาจะเป็น เพียงความผิดพลาดของผูจัดพิมพแแผนที่ทองเที่ยวฉบับดังกลาว และไมคิดวารัฐบาลฟิลิปปินสแตั้งใจที่จะเขามา ยึดเอาเกาะมิอังกัสไปเป็นของตน เพราะอยางไรเสียการจัดพิมพแแผนที่โดยเอกชนก็ไมมีผลกระทบใดๆ ตอการ อางสิทธิ์เหนือดินแดนอยางเป็นทางการ และยังใหขอมูลวาในปี 2519/1976 รัฐบาลฟิลิปปินสแเคยลงนามใน ขอตกลงสงผูรายขามแดนกับอินโดนีเซียโดยยอมรับวาพื้นที่เกาะมิอังกัสอยูภายใตอธิปไตยของอินโดนีเซีย113 ฝุายอินโดนีเซียมอบหมายใหกงสุลใหญอินโดนีเซีย (Indonesian Consulate General) แหงเมืองดา เวา (Davao City) เป็นผูรับผิดชอบ นอกจากนี้ นายเฟรดดี้ นัมเบอรี (Freddy Numberi) รัฐมนตรีวาการ ทะเลและการประมงของอินโดนีเซีย กลาววาเกาะมังกัส (Miangas Island) เป็นสวนหนึ่งของจังหวัดสุลาเวสี เหนือ (North Sulawesi Province) ของอินโดนีเซีย และไดรับการขึ้นทะเบียนกับสหประชาชาติวาเป็นหนึ่งใน หมูเกาะที่อยูนอกสุดของประเทศ114 นอกจากนี้ สารานุกรมแผนที่บริแทนิกา (Britannica Atlas 1984) ฉบับปี 2527/1984 ไมมีชื่อของ เกาะมิอังกัส (Miangas) ปรากฏอยูในแผนที่ทั้งของอินโดนีเซีย (หนา 112-113) และฟิลิปปินสแ (หนา 116 - 117)115 จํานวนประชากรที่อาศัยอยูในเกาะมิอังกัสเมื่อปี 2546/2003 มีจํานวน 678 คน หรือ 150 ครอบครัว อยางไรก็ตาม การรับรูเกี่ยวกับรายละเอียดของการพิจารณาคดีดังกลาวในศาลประจําอนุญาโตตุลาการยังไม เป็นที่แพรหลายมากนัก แมกระทั่งผูคนที่อาศัยอยูในพื้นที่ก็เรียกเกาะแหงนี้วา “เกาะมิอังกัส (Pulau Miangas – Pulau ในภาษามาเลยแ แปลวา เกาะ)” ไมใช “ปาลมัส (Palmas)” และในปัจจุบันเกาะมิอังกัสยังคงเป็น พื้นที่หางไกลความเจริญ แตก็สามารถติดตอสื่อสารกับผูคนในเกาะไดโดยการใชเครื่องสงสัญญานดาวเทียม ขนาดเล็ก (Very Small Aperture Terminal – VSAT) โดยเมื่อไมนานมานี้อินโดนีเซียประกาศวาบริษัทเทลคอม (Telkom) จะดําเนินการเชื่อมตอเครือขายโทรศัพทแเขาไปยังเกาะมิอังกัส แตก็ไมมีการยืนยันวาโครงการดังกลาวจะ เกิดขึ้นจริงหรือไม116
112 “Private Mapmaker Suspected in Border Blunder,” The Jakarta Post, 14 February 2009. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1LfotJB 113 Ibid. 114 Minister: Miangas Island belongs to Indonesia. TMC News, February 12, 2009. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1fY2P1h 115 Khan, Daniel-Erasmus. Ibid, p. 162. 116 Andreas Harsono. “Miangas, Nationalism and Isolation,” Tempo Magazine, No.13/V/November 30 – December 6, 2004. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1F9IG0Z 173
4.10 เกาะลิกิตัน (Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Sipadan) ระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย
ขอพิพาทเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ระหวางอินโดนีเซีย กับมาเลเซีย เป็นคดีพิพาทในศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก117 ตั้งแตปี 2541/1998 โดยความตกลงของคูพิพาท ซึ่งในวันที่ 17 ธันวาคม 2545/2002 ศาลโลกได มีคําตัดสินใหอธิปไตยเหนือเกาะทั้งสองเป็นของมาเลเซีย อยางไรก็ตาม ศาลโลกไมไดตัดสินเกี่ยวกับเสนเขตแดนทางทะเลในพื้นที่บริเวณทั้งสองเกาะนี้ ทําใหมี ขอถกเถียงตามมาวาขอพิพาทดังกลาวมิไดถูกระงับอยางสมบูรณแ สาเหตุก็เนื่องมาจากศาลโลกมิไดถูกรองขอให ตัดสินในประเด็นเสนเขตแดนระหวางประเทศ เป็นแตเพียงใหตัดสินในประเด็นอธิปไตยเหนือเกาะทั้งสองวา เป็นของใครเทานั้น118 ดังนั้นการศึกษาวิจัยครั้งนี้จึงเนนไปที่การพิจารณาประเด็นที่ทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซียนํามาใชเพื่อ การอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือดินแดนเป็นสําคัญ เอาเขาจริงแลว เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เป็นเกาะขนาดเล็กที่ตั้งอยูในทะเลสุลาเวสี (Sulawesi Sea) หรือ ทะเลเซเลเบส (Celebes Sea)119 (ดูภาพที่ 4.18, 4.19 และ 4.20) เดิมเป็นเกาะวางเปลาไมมีผูคนตั้งรกรากอาศัยอยู แตหลังจากมีการ คนพบแหลงน้ํามันนอกชายฝั่งในบริเวณแถบนี้ก็ทําใหมาเลเซียประกาศอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือเกาะทั้งสองในปี 2512/1969 แตอินโดนีเซียทําการประทวงจนเกิดเป็นขอพิพาทระหวางประเทศขึ้น
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) คําวา “สิปาดัน (Sipadan)” มาจากการพบศพของ “ปารัน (Paran)” ที่บริเวณชายฝั่งของเกาะแหงนี้ และคําวา “สิ (Si)” เป็นคํานําหนาเพศชายคลายกับคําวา “นาย (Mr.)” ดังนั้น จึงเรียกวา “เกาะนายปารัน (Mr.Paran Island)” แตเมื่อเวลาผานไปจึงเรียกชื่อเพี้ยนเป็น “สิปาดัน (Sipadan)” นอกจากนี้ยังมีคําอธิบาย ของเจมสแ ฮั้นทแ (James Hunt)120 ในปี 2416/1873 วา ที่ชายหาดของอาวกิออง (Bay of Giong) หรือตอมา ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอาวดารแเวล (Darvel Bay) มีเกาะที่ตั้งอยูหางออกไปจากชายฝั่งแหงนี้ ไดแก “เกาะปูโล กิยา (Pulo Giya) ที่เต็มไปดวยกวาง และ เกาะเซอปารัน (Separan) ที่มีเตาเขียวอยูอยางอุดมสมบูรณแ”121
117 โปรดดู เสาวนียแ แกวจุลกาญนแ. การอางอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และเกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan): ศึกษาและวิเคราะหแจากคําพิพากษาศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (วิทยานิพนธแนิติศาสตรแมหาบัณฑิต สาขา กฎหมายระหวางประเทศ คณะนิติศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2552); John G. Bucher. “The International Court of Justice and the Territorial Dispute between Indonesia and Malaysia in the Sulawesi Sea,” in Contemporary Southeast Asia Vol.35 No.2 (2013), pp. 235-257. 118 Strachan, Anna Louise. “Resolving Southeast Asian Territorial Disputes: A Role for the ICJ,” in IPCS Issue Brief No.133 (New Delhi: Institute of Peace and Conflict Studies (IPCS), October 2009), p. 1. เขาถึง เมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1FX3sDn 119 อินโดนีเซีย เรียกชื่อทะเลแหงนี้วา ทะเลสุลาเวสี (Sulawesi Sea) สวนมาเลเซีย เรียกวา ทะเลเซลีเบส (Celebes Sea) 120 James Hunt. “Some Particulars Relating to Sulo,” in The Archipelago of Felicia (1837). อางใน International Court of Justice. Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Memorial of Malaysia Volume 1 (2 November 1999), p. 118. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1CC99W6 121 International Court of Justice. Memorial of Malaysia Volume 1. Ibid, p. 17. 174
ภาพที่ 4.18 การกําหนดอาณาเขตทางทะเลระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซียในทะเลสุลาเวสี (Sulawesi Sea) หรือทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) (ที่มา: Renate, Haller-Trost. “The Territorial Dispute between Indonesia and Malaysia over Pulau Sipadan and Pulau Ligitan in the Celebes Sea: A Study in International Law,” (Boundary and Territory Briefing Vol.2 No.2. Department of Geography, University of Durham, 1995.), p. 35) 175
ภาพที่ 4.19 แผนที่แสดงที่ตั้งของเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ในทะเลสุลาเวสี (Sulawesi Sea) หรือทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) (ที่มา: เชนเดียวกับรูป 4.18, p. 36) 176
ภาพที่ 4.20 แผนที่ขยายแสดงที่ตั้งของเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) (ที่มา: ปรับปรุงจาก Location of Ligitan Island in Darvel Bay เขาถึงเมื่อ 20 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1L7NNzG)
เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ตั้งอยูที่พิกัดละติจูด 4 องศา 06 ลิปดา 39 ฟิลิปดา เหนือ และ ลองจิจูดที่ 118 องศา 37 ลิปดา 56 ฟิลิปดา ตะวันออก (4°06′ 39″N, 118°37′56″E)122 มีสัณฐานเป็นรูปไข และมีพื้นที่ประมาณ 0.13 ตารางกิโลเมตร หรือ ตั้งอยูทางทิศใตของจุดต่ําสุดของระดับน้ําทะเล (low water mark) ของเกาะมาบุล (Pulau Mabul) เป็นระยะทาง 6.5 ไมลแทะเล และอยูทางทิศตะวันตกเฉียงใตของจุด ต่ําสุดของระดับน้ําทะเลของเกาะกาปาไล (Pulau Kapalai) เป็นระยะทาง 6 ไมลแทะเล (ดูภาพที่ 4.19) เกาะสิ ปาดัน (Pulau Sipadan) ตั้งอยูหางจากแผนดินใหญของมาเลเซียที่เมืองตันจุง ตูตุ฿ป (Tanjong Tutop/Tutup) ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใตของรัฐซาบาหแบนเกาะบอรแเนียวเป็นระยะทาง 14 ไมลแทะเล และ ระยะทางที่ใกลที่สุดจากทางตอนใตของเกาะเซอบาติก (Pulau Sebatik) ของอินโดนีเซีย เป็นระยะทาง 40 ไมลแทะเล เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เป็นเกาะในเขตมหาสมุทรน้ําลึก (deep-water oceanic island) เพียงแหงเดียวที่ตั้งอยูแยกออกจากไหลทวีปที่ระดับความลึกของน้ําทะเล 808 ฟาทอม ทามกลางแนวปะการัง
122 Ibid, p. 15. 177
หรือโขดหินโดยรอบซึ่งสวนใหญอยูบนไหลทวีปในระดับความลึกของน้ําทะเลนอยกวา 100 เมตร พื้นที่ของ เกาะแหงนี้มีปุาไมปกคลุม โดยมีความสูงของตนไมอยูที่ประมาณ 50 เมตร (165 ฟุต) และเป็นพื้นที่วางไขของ เตาทะเลจํานวนมาก นอกจากนี้ ยังมีประภาคาร (lighthouse) ซึ่งเป็นอาคารทรงสูงสีขาวคาดแดงมีความสูง 22 เมตร ตั้งอยูทางตอนใตบริเวณปลายสุดของเกาะ123 จากแผนที่ BA Chart No.1681124 พื้นมหาสมุทรมี ความชันลดลงภายในระยะ 2 ไมลแทะเลไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 1,470 เมตร ภายในระยะ 5 ไมลแทะเลไป ทางทิศเหนือไป 570 เมตร หรือภายใน 5 ไมลแทะเลไปทางทิศตะวันออก 1,030 เมตร ภายในระยะ 4 ไมลแ ทะเลไปทางทิศใต 1,410 เมตร และภายในระยะ 8 ไมลแทะเลไปทางทิศใต 1,790 เมตร ทําใหการทอดสมอเพื่อ จอดเรือในบริเวณนี้เป็นสิ่งที่คอนขางทําไดยาก ลักษณะทางธรณีวิทยาของเกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เป็น สวนบนสุดของภูเขาไฟในทะเลที่สูงชัน (a precipitous volcanic sea-mountain) ซึ่งมีความสูงประมาณ 600-700 เมตร ทําใหเกิดแนวปะการังและพืชน้ํารวมทั้งสันทรายขึ้นโดยภายในของภูเขาไฟที่โผลพนน้ําแลวมี สภาพกลายเป็นเกาะแหงนี้125 แมวาเกาะแหงนี้จะที่ไมมีผูคนอาศัยอยู แตก็มีแหลงน้ําจืดขนาดเล็กอยูบนเกาะ ทําใหมีชาวประมงจากเกาะดินาวัน (Pulau Dinawan) เดินทางแวะเวียนเขามาในพื้นที่เพื่อหาเก็บไขเตาอยู เป็นประจํา ในปี 2476/1933 บอรแเนียวเหนือทําการประกาศใหเกาะสิปาดันเป็นเขตรักษาพันธุแนก126 และในปี 2531/1988 กรมการทองเที่ยวและสิ่งแวดลอมแหงรัฐซาบาหแ (Sabah Department for Tourism and Environment) ไดสรางสํานักงานอนุรักษแพันธุแสัตวแปุาบนเกาะสิปาดันและทําการออกใบอนุญาตใหสราง กระทอมชายหาดและรีสอรแทขนาดเล็กเพื่อใหบริการดําน้ําแกนักทองเที่ยว เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) คําวา “ลิกิตัน (Ligitan)” เป็นคําในภาษาบาเจา (Bajau) วา “ลิกิต (ligit)” แปลวา “หนาม (thorn)” ดังนั้นคําวา “ปูเลา ลิกิตัน (Pulau Ligitan)” จึงแปลวา “เกาะหนาม (island of thorns)”127 โดยเกาะแหงนี้ ตั้งอยูที่พิกัดละติจูด 4 องศา 14 ลิปดา เหนือ และ ลองจิจูดที่ 118 องศา 50 ลิปดา ตะวันออก (4°14′N, 118°50′E) เป็นสวนหนึ่งของแนวปะการังและโขดหินขนาดใหญทางตะวันออกสุดของหมูเกาะลิกิตัน (Ligitan Group) ซึ่งอยูทางตะวันออกของเกาะกาปาไล (Pulau Kapalai) เป็นระยะทาง 3.5 ไมลแทะเล และเกาะสิปา ดัน (Pulau Sipadan) เป็นระยะทาง 15.5 ไมลแทะเล แนวปะการังและโขดหินในกลุมนี้สวนใหญจมอยูใตน้ํา โดยทอดตัวยาวเป็นอาณาบริเวณความกวาง 11 ไมลแทะเล (ประมาณ 20 กิโลเมตร) และวัดจากทิศเหนือจรด ทิศใตเป็นระยะทาง 8.5 ไมลแทะเล (ประมาณ 15 กิโลเมตร) โดยมีกลุมของแนวปะการังรูปรางตางๆ มีขนาด ตั้งแต 0.3-0.6 เมตร ตลอดแนว บริเวณปลายสุดทางตอนเหนือเป็นสวนที่อยูพนจากระดับน้ําทะเลอยางถาวร
123 Hydrographic Department, Great Britain. Philippine Islands pilot: the northern and north- eastern coasts of Borneo to the Sabah/Indonesia border, the Philippine Islands (except for the western coasts of Palawan and Luzon, between Cape Buliluyan and Cape Bojeador, and the northern coast of Luzon, between Cape Bojeador and Escarpada Point), Sulu Sea and Sulu Archipelago (Hydrographer of the Navy, 1978), p. 5.82. อางใน Renate, Haller-Trost. “The Territorial Dispute between Indonesia and Malaysia over Pulau Sipadan and Pulau Ligitan in the Celebes Sea: A Study in International Law,” (Boundary and Territory Briefing Vol.2 No.2. Department of Geography, University of Durham, 1995.), p. 3. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1hmOFH5 124 โปรดดู Philippine Islands, Southern Part, Defense Mapping Agency, Hydrographic/Topographic Center, Washington DC, DMA 92AC092005, 1989. อางใน Renate Haller-Trost. Ibid. 125 โปรดดู Wong, M.P., Sipadan: Borneo‖s Underwater Paradise (Singapore: Odyssey Publishing, 1991) 126 State of North Borneo Official Gazette No.69, 1 February 1933. อางใน Renate Haller-Trost. Ibid, p. 3. 127 International Court of Justice. Memorial of Malaysia Volume 1. Ibid, p. 15. 178
ทําใหมีหมูบานชาวประมงตั้งรกรากอยูที่นี่เรียกวาเกาะดินาวัน (Pulau Dinawan)128 และหางออกไปเล็กนอย ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะทางประมาณ 0.5 ไมลแทะเล มีการสรางประภาคารที่เกาะสิอามิล (Pulau Si Amil)129 สวนของแนวปะการังและโขดหินกลุมนี้ซึ่งเป็นบริเวณที่อยูพนจากระดับน้ําทะเลอยางถาวรมีความสูง ประมาณ 1.2 เมตร คือ เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) ซึ่งตั้งอยูที่บริเวณปลายสุดทางตอนใต โดยมีพื้นที่เล็กกวา เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) และที่ตอนใตสุดของเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) มีประภาคารตั้งอยูที่พิกัด ละติจูด 4 องศา 09 ลิปดา 75 ฟิลิปดา เหนือ และ ลองจิจูดที่ 118 องศา 53 ลิปดา 05 ฟิลิปดา ตะวันออก (4°09′75″N, 118°53′05″E) ซึ่งบริเวณปลายสุดทางใตมีลักษณะภูมิประเทศที่เขาถึงไดคอนขางยากเนื่องจากมี แนวปะการังอยูหนาแนนเป็นระยะถึง 1 ไมลแทะล จากเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) หางออกไปทางทิศตะวันออกเป็นระยะทาง 130 ไมลแทะเล เป็นเกาะ ที่ใกลที่สุดของอินโดนีเซีย ไดแก เกาะแซงกิเฮ (Pulau Sangihe) และเกาะกาวิโอ (Pulau Kawio) ในกลุม เกาะสุลาเวสีเหนือ (Northern Sulawesi Group) และ สวนของแผนดิน (terra firma) ที่อยูใกลที่สุดทางทิศ ใตเป็นระยะทาง 110 ไมลแทะเล คือ เกาะมาราตัว (Pulau Maratua) ซึ่งมีสวนปลายสุดทางดานเหนือถูกใช เพื่อกําหนดเสนฐานของอินโดนีเซียที่พิกัดละติจูด 2 องศา 19 ลิปดา เหนือ และ ลองจิจูดที่ 118 องศา 33 ลิปดา 08 ฟิลิปดา ตะวันออก (2°19′00″N, 118°33′08″E) หรือ Baseline Coordinate(s) – BLC ของ อินโดนีเซียที่ตําแหนง 39130 สวนที่ใกลที่สุดทางทิศตะวันตกระหวางเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) กับ แผนดินใหญของดินแดนอินโดนีเซีย คือ เกาะเซอบาติก (Pulau Sebatik) ซึ่งอยูหางออกไปเป็นระยะทาง 55 ไมลแทะเล ในขณะที่ หางออกไปจากแนวปะการังทางตอนเหนือของเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) เป็นระยะทาง เพียง 8.5 ไมลแทะเล คือพื้นที่เกาะดินาวัน (Pulau Dinawan) ของมาเลเซีย อยางไรก็ตาม เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) ไมมีผูคนตั้งรกรากอาศัยอยู และมีเพียงไมพุมเตี้ยเจริญเติบโตบนพื้นที่เหนือระดับน้ําทะเล131 พื้นที่ สวนใหญที่โผลพนน้ําของเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) ปกคลุมไปดวยหิน หญาปุา และตนไมที่เรียกวาบิลัง-บิ ลัง (Bilang-Bilang) โดยเมื่อไมนานมานี้มีการสรางกระทอมเพื่อการทองเที่ยวจํานวนหนึ่งบนเกาะ โดยรูปราง ของเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) สามารถดูไดจากภาพที่ 4.21
128 บางแหงเขียนวาเกาะดานาวัน (Pulau Danawan) ตั้งอยูที่พิกัดละติจูด 4 องศา 18 ลิปดา 5 ฟิลิปดา เหนือ และ ลองจิจูดที่ 118 องศา 51ลิปดา 75 ฟิลิปดา ตะวันออก (4°15′05″N, 118°51′75″E) อางจาก Renate Haller-Trost. Ibid, p. 3. 129 ตั้งอยูที่พิกัดละติจูด 4 องศา 19 ลิปดา เหนือ และ ลองจิจูดที่ 118 องศา 52ลิปดา 05 ฟิลิปดา ตะวันออก (4°19′00″N, 118°52′05″E) อางจาก Renate Haller-Trost. Ibid, p. 4. 130 Renate Haller-Trost. Ibid, p. 4. 131 Hydrographic Department, Great Britain. Ibid, p. 5.79. 179
ภาพที่ 4.21 ดวงตราไปรษณียากรชุด “เกาะและชายหาด (Pulau-Pulau dan Pantai)” ของมาเลเซีย จัดพิมพแในปี 2546/2003 เป็นรูปเกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) และ เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) (ที่มา: http://www.fabiovstamps.com เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1A97cPq)
180
ก าเนิด พัฒนาการของข้อพิพาท และการตัดสินของศาลโลก ปัญหาขอพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2525/1982 เมื่อกองทัพเรือของอินโดนีเซียเขาไป ลาดตระเวนใกลกับพื้นที่เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เพื่อตรวจตราวามีกองกําลังของตางชาติอยูในพื้นที่ ดังกลาวหรือไม รัฐบาลของทั้งสองประเทศพยายามที่จะระงับการรายงานขาวดังกลาวเพื่อไมใหเกิดความ บาดหมางตอกัน132 หลังจากนั้นตอมาเป็นเวลา 9 ปี คือในปี 2534/1991 ก็ปรากฏขอพิพาทขึ้นอีกครั้งในหนา หนังสือพิมพแเมื่ออินโดนีเซียกลาวหาวามาเลเซียวาทําการละเมิด “ขอตกลงดวยวาจาในปี 2512/1969”133 ซึ่ง เป็นความตกลงที่ทั้งสองประเทศใหสัญญาดวยวาจาวาจะรวมกันเจรจาหารือเพื่อแกปัญหาอธิปไตยเหนือเกาะลิ กิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan)แตฝุายมาเลเซียกลับแถลงปฏิเสธการมีอยูของ ขอตกลงดวยวาจาเมื่อปี 2512/1969 ตามที่อินโดนีเซียกลาวอาง เนื่องจากมาเลเซียมีจุดยืนมาโดยตลอดวา เกาะทั้งสองนี้เป็นสวนหนึ่งภายในดินแดนบอรแเนียวเหนือของอังกฤษ (British North Borneo) หรือในปัจจุบัน คือ ซาบาหแ (Sabah) ซึ่งหมายความวามาเลเซียเป็นผูมีอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan)อยางสมบูรณแ ตอมาในเดือนมิถุนายน 2534/1991 ก็เกิดปัญหากระทบกระทั่ง กันอีกครั้ง เนื่องจากอินโดนีเซียประทวงมาเลเซียเรื่องการเขาไปสรางสิ่งกอสรางเพื่อการทองเที่ยวในพื้นที่บน เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ในเดือนตุลาคม 2534/1991 ดาโต฿ะ อับดุลลาหแ อาหแหมัด บาดาวี (Datuk Abdullah Ahmad Badawi) ซึ่งในขณะนั้นดํารงตําแหนงรัฐมนตรีวาการกระทรวงตางประเทศของมาเลเซีย ไดแถลงเพื่อใหความมั่นใจตอ นายอาลี อลาตาส (Ali Alatas) รัฐมนตรีวาการกระทรวงตางประเทศของ อินโดนีเซียในขณะนั้นวา มาเลเซียจะหยุดโครงการพัฒนาตางๆ ในพื้นที่พิพาทจนกวาทั้งสองประเทศจะ สามารถตกลงเรื่องความเป็นเจาของเหนือเกาะทั้งสองแหงนี้ได ภายหลังจากวิกฤตการณแ “เผชิญหนา (konfrontasi)” ซึ่งมีการใชกําลังปะทะกันตามแนวชายแดนบน เกาะบอรแเนียวเป็นระยะเวลายาวนานกวา 4 ปี คือระหวางเดือนมกราคม 2506/1963 ถึงเดือนสิงหาคม 2509/1966 สิ้นสุดลงแลว ตอมาอีก 3 ปี มาเลเซียและอินโดนีเซียสามารถบรรลุความลงวาดวยไหลทวีปใน ชองแคบมะละกาและทะเลจีนใต (ดังไดกลาวไปแลวในหัวขอ 4.1 ไหลทวีปในชองแคบมะละกาและทะเลจีนใต ระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย) แตก็ไมมีการตกลงใดๆ เกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลดานตะวันออกของเกาะ บอรแเนียว โดยอินโดนีเซียหวังวาจะยังสามารถคงสถานะเดิมของหมูเกาะพิพาททั้งสองนี้เอาไวไมใหเกิดความ เปลี่ยนแปลง ในขณะที่มาเลเซียก็ยังเดินหนากอสรางโครงการทองเที่ยวตางๆ ในพื้นที่พิพาท โดยในปี 2512/1969 ทั้งสองประเทศเห็นพองตองกันวาปัญหาขอพิพาทเหนือหมเกาะทั้งสองไมใชเรื่องที่นากังวล เนื่องจากประเด็นหลักของอินโดนีเซียในขณะนั้นคือตองความยอมรับการประกาศเสนฐานความเป็นรัฐหมูเกาะ ของตน และยังกลาวอีกวาอยางไรเสียขอพิพาทนี้ก็ไมสามารถแกไขไดภายในสองสามวัน ดังนั้น จึงขอรองใหทุก ฝุายอยาทําใหขอพิพาทหรือความขัดแยงมากไปกวาที่เป็นอยูในปัจจุบัน ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2540/1997 ทั้งสองประเทศไดลงนามในความตกลงพิเศษ (special agreement) ระหวางดาโต฿ะ อับดุลลาหแ อาหแหมัด บาดาวี (Datuk Abdullah Ahmad Badawi) ซึ่งใน
132 โปรดดู Akhbar Sinar Harapan, 5 July 1982; Straits Times, 7 July 1982; and Asiaweek, 23 July 1982. รายละเอียดของการรายงานใชคําวา “investigate foreign troops” โดยคําวา “ตางชาติ (foreign)” ไมไดระบุวาคือ ประเทศใด แตก็ทราบไดวาหมายถึง “มาเลเซีย” อางใน Renate Haller-Trost. Ibid, p. 4. 133 Baroto, A. “Similarities and Difference in Malaysia-Indonesia Relations: Some Perspectives,” in Indonesian Quarterly, XXI, 2 (1993), p. 160 181
ขณะนั้นดํารงตําแหนงรัฐมนตรีวาการกระทรวงตางประเทศของมาเลเซีย กับ นายอาลี อลาตาส (Ali Alatas) รัฐมนตรีวาการกระทรวงตางประเทศของอินโดนีเซียของอินโดนีเซีย เพื่อนําขอพิพาทเขาสูการพิจารณาของ ศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก โดยหวังวาผลการ ตัดสินจะ “เป็นที่สุดและมีผลผูกพัน (final and binding)” ตอมาในวันที่ 14 พฤษภาคม 2541/1998 ทั้งสอง ฝุายไดใหสัตยาบรรณตอกันเพื่อใหความตกลงพิเศษดังกลาวมีผลบังคับใช และอีก 6 เดือนตอมาคือในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2541/1998134 ศาลโลกจึงแจงผลการเริ่มการพิจารณาคดีอยางเป็นทางการ โดยใชชื่อคดี “อธิปไตยเหนือเกาะลิกิตันและสิปัน (อินโดนีเซีย/มาเลเซีย) หรือ Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia)” โดยการพิจารณาคดีใชระยะเวลายาวนานกวา 4 ปี ทั้งสองฝุายได นําเสนอเอกสารเพื่อชี้แจงเหตุผลและประเด็นขอโตแยงเพื่อการตอสูคดีในชั้นศาล135 ทั้งสองฝุายไดวางจางนักกฎหมายผูเชี่ยวชาญระดับโลก ซึ่งสื่อของอินโดนีเซียมักรายงานซ้ําๆ วานัก กฎหมายชาวตางชาติเหลานี้คิดคาตอบแทนเป็นรายชั่วโมง136 โดยคณะทนายฝุายอินโดนีเซีย (Co-Agent) ไดแก Mr. Alain Pellet, Mr. Alfred H.A. Soons, Sir Arthur Watts, Mr. Rodman R. Bundy, Ms. Loretta Malintoppiและคณะทนายฝุายมาเลเซีย (Co-Agent) ไดแก Sir Elihu Lauterpacht, Mr. Jean- Pierre Cot, Mr. James Crawford, Mr. Nico Schrijver137 ขอโตแยงหลักของอินโดนีเซียคือการอางสิทธิ์ความเป็นเจาของหมูเกาะทั้งสองตามอนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2434/1891 ระหวางสหราชอาณาจักรกับ เนเธอรแแลนดแวาดวยเสนเขตแดนระหวางบอรแเนียวของอังกฤษ (British Borneo) กับ บอรแเนียวของดัตชแ (Dutch Borneo) และใหสัตยาบันเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2425/1982 (ซึ่งไดกลาวถึงไปแลวในหัวขอที่ 3.2 เสนเขตแดนทางบกบนเกาะบอรแเนียวระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซีย) โดยอินโดนีเซียอางวาเสนเขตแดน ระหวางซาบาหแ (มาเลเซีย) กับกาลิมันตัน (อินโดนีเซีย) คือเสนตรงที่ลากตัดผานเกาะเซอบาติก (Pulau Sebatik) ตอเนื่องไปทางทิศตะวันออกและหยุดลงที่ระยะ 19 กิโลเมตรจากกลุมของหมูเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) ดังนั้น สนธิสัญญาดังกลาวจึงเป็นหลักฐานที่สําคัญซึ่งแสดงวา เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะ สิปาดัน (Pulau Sipadan) อยูภายในเขตนานน้ําของอินโดนีเซีย แตฝุายมาเลเซียไดโตแยงวามีการใชแผนที่ ของอาณานิคมดัตชแโดยอินโดนีเซียจํานวนมากกวา 22 ฉบับระหวางปี 2434/1891 ถึงปี 2535/1992 แตไมมี แผนที่แมฉบับเดียวที่แสดงใหเห็นไดอยางชัดเจนวา เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เป็นสวนหนึ่งภายในดินแดนบอรแเนียวของดัตชแหรือของอินโดนีเซีย นอกจากนี้ แผนที่บางฉบับไม แมแตที่จะแสดงที่ตั้งของหมูเกาะทั้งสองแหงนี้ ในขณะที่แผนที่ทุกฉบับซึ่งแสดงใหเห็นเกาะทั้งสองก็ลวนแสดง อยางชัดเจนวาวา เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan)เป็นสวนหนึ่งภายใน
134 โปรดดู International Court of Justice. Special Agreement for Submission to the International Court of Justice of the Dispute between Indonesia and Malaysia Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan, jointly notified to the Court on 2 November 1998. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1TAGrsN 135 สามารถเขาถึงเอกสารที่เกี่ยวของของทั้งสองฝุายไดที่ International Court of Justice. Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia) เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1IIwCoK 136 Bunn Nagara. “Sipadan-Ligitan: Peaceful conclusion to a regional dispute,” in The Star, 18 December 2002. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1HkdHyJ 137 International Court of Justice. Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Judgment of 17 December 2002 (Report of Judgments, Advisory Opinions and Orders, 17 December 2002), pp. 627, 629. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1e7ChJu 182
ดินแดนของบอรแเนียวเหนือหรือซาบาหแ และหากกลาวในทางภูมิศาสตรแแลว เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ตั้งอยูใกลกับเขตซาบาหแของมาเลเซียมากกวาเขตกาลิมันตันของ อินโดนีเซีย เป็นที่นาสนใจอยางยิ่งวา ระหวางที่มีการพิจารณาคดีขอพิพาท เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะ สิปาดัน (Pulau Sipadan) อยูนั้น ฟิลิปปินสแซึ่งยังมีกรณีพิพาทอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือดินแดนซาบาหแกับ มาเลเซีย ไดทําการยื่นเรื่องตอศาลโลกเพื่อขอแทรกแซงการพิจารณาคดีในวันที่ 13 มีนาคม 2544/2001138 โดยรองขอใหศาลโลกทําสําเนาเอกสารที่นําเสนอโดยมาเลเซียและอินโดนีเซียเพื่อรักษาและปกปูองสิทธิ์ในการ อางอธิปไตยเหนือดินแดนซาบาหแ อยางไรก็ตาม ฟิลิปปินสแแสดงทาทีวาไมตองการที่จะอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) และไมไดตองการที่จะเป็นคูพิพาทในคดีนี้ ตอมาในวันที่ 2 พฤษภาคม 2544/2001 มีการยื่นเอกสารเพื่อคัดคานคําขอแทรกแซงของฟิลิปปินสแโดยอินโดนีเซีย139 และมาเลเซีย140 และหลังจากนั้นตอมาอีก 5 เดือน คือในวันที่ 23 ตุลาคม 2544/2001 ศาลโลกจึงมีคําตัดสินวา “ศาล, โดยคะแนนสิบสี่เสียงตอหนึ่งเสียง ตัดสินวาคํารองของสาธารณรัฐฟิลิปปินสแ, ยื่นเรื่องตอศาลเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2544/2011 เพื่อ ขออนุญาตแทรกแซงการพิจารณาคดีภายใตขอ 62 ของธรรมนูญศาล, ไมสามารถยอมรับได”141 หลังจากนั้นทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซียตางก็โตแยงกันในศาลดวยการใชหลักฐานสวนใหญที่เป็นขอมูล ทางประวัติศาสตรแที่เกิดจากการทําสนธิสัญญาและแผนที่ การพิจารณาคดีในครั้งนี้มีความซับซอนอยูมาก พอสมควร แมวาจะไมไดมีการแทรกแซงของฟิลิปปินสแในประเด็นที่เกี่ยวของกับการอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือ ดินแดนซาบาหแซึ่งเอาเขาจริงแลวก็ตั้งอยูบนพื้นฐานของเอกสารทางประวัติศาสตรแและการตีความสนธิสัญญา ชุดเดียวกันกับคดีพิพาทเกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) และ เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan)
138 โปรดดู International Court of Justice. Application for Permission to Intervene by the Government of the Philippines file in the Registry of Court on 13 March 2001, Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia) เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JHZro6 139 โปรดดู International Court of Justice. Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Observations of the Government of the Republic of Indonesia on the Philippines‖s Application for Permission to Intervene, 2 May 2001. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1K6bbgX 140 โปรดดู International Court of Justice. Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Observations of Malaysia on the Application for Permission to Intervene by the Government of the Republic of the Philippines, 2 May 2001. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1I1151s 141 “THE COURT, By fourteen votes to one, Finds that the Application of the Republic of the Philippines, filed in the Registry of the Court on 13 March 2001, for permission to intervene in the proceedings under Article 62 of the Statute of the Court, cannot be granted.” ใน International Court of Justice. Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Application by the Philippines for Permission to Intervene, Judgement of 23 October 2001 (Report of Judgments, Advisory Opinions and Orders, 23 October 2001), p. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JtrA0f 183
ในประเด็นการอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือ เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ฝุายมาเลเซียเริ่มไดเปรียบเนื่องจากมีการศึกษาคนควาเอกสารทางประวัติศาสตรแเพื่อสนับสนุนขอ โตแยงของฝุายมาเลเซียอยางกวางขวางและลุมลึก แตสิ่งที่ไมคาดคิดมากอนก็เกิดขึ้นกับอินโดนีเซียเมื่อ มาเลเซียใชขอตอสูดวยประเด็นการเขาไปใชสอยในพื้นที่บริเวณพิพาทกอนเกิดปัญหาขอพิพาทในปี 2412/1969 สวนการอางสิทธิ์ของฝุายอินโดนีเซียเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) มีพื้นฐานมาจากอนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2434/1891 ระหวางสหราชอาณาจักรกับเนเธอรแแลนดแวาดวยเสนเขตแดนระหวางบอรแเนียวของอังกฤษ (British Borneo) กับ บอรแเนียวของดัตชแ (Dutch Borneo) โดยอินโดนีเซียอางวา “อนุสัญญาฉบับ 1981 กําหนดใหเสนละติจูดที่ 4 องศา 10 ลิปดาเหนือ เป็นเสนแบงเขตแดนระหวางอังกฤษกับดัตชแในดินแดน ปกครองของพื้นที่พิพาทซึ่งทําใหเกาะเหลานั้นตกเป็นของผูสืบทอดจากเนเธอรแแลนดแ”142 นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังอาศัยเหตุผลของ “การเขาครอบครองอยางมีประสิทธิภาพทั้งดัตชแและอินโดนีเซียซึ่งการอางสิทธิ์ ไดรับการยืนยันโดยกรรมสิทธิ์ของอนุสัญญา”143 นอกจากนี้ ในกระบวนการพิจารณาคดีดวยวาจา (oral proceedings) อินโดนีเซียยังใหเหตุผลวา เกาะ ทั้งสองนี้เป็นสมบัติของทายาทสุลตานแหงบูลุงงัน (Sultan Bulungan) เพราะมีการใชอํานาจการปกครอง เหนือพื้นที่เกาะทั้งสองแหงนี้ แตฝุายมาเลเซียก็ตอบแยงวาการสืบทอดอํานาจอธิปไตยเหนือหมูเกาะทั้งสองนั้น แทจริงแลวเกิดจากการตกลงทําอนุสัญญาเพื่อสงตอทางอํานาจในนามของสุลตานแหงซูลู (Sultan of Sulu) ฝุายมาเลเซียยังอางอีกวาหมูเกาะพิพาทในอนุสัญญาดังกลาว ตกทอดผานมาอยางตอเนื่องไปยังสเปน ตอไปยัง สหรัฐอเมริกา ตอไปยังสหราชอาณาจักรในนามของบอรแเนียวเหนือ (North Borneo) ตอไปยังสหราช อาณาจักรบริเตนใหญและไอรแแลนดแเหนือ และในที่สุดก็ตกทอดมาถึงประเทศมาเลเซียเอง มาเลเซียไดให เหตุผลตอไปวา หมูเกาะทั้ง 2 นี้ปรากฏอยูในเอกสารทางกฎหมายและยังไดรับการยืนยันผานการเขาไปใช อํานาจปกครองพื้นที่อยางมีประสิทธิภาพ (effectivités/effective occupation) โดยอังกฤษและมาเลเซีย ในขณะที่อินโดนีเซียอาศัยความตามมาตรา 4 ของอนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) ฉบับปี 2434/1891 ที่ระบุวา “จากละติจูดที่ 4 องศา 10 ลิปดา เหนือ บนชายฝั่งตะวันออกของเสนเขตแดน ควรจะลากตอเนื่องไปทางทิศตะวันออกตามแนวเสนขนาน ขามไปยังเกาะเซอบาติก พื้นที่สวนของเกาะซึ่ง ตั้งอยูทางตอนเหนือของเสนขนานจะเป็นของบริษัทบอรแเนียวเหนือของอังกฤษโดยปราศจากขอสงสัย และ พื้นที่สวนของเกาะซึ่งตั้งอยูทางตอนใตจะเป็นของเนเธอรแแลนดแ”144 สงผลใหอินโดนีเซียยืนกรานวามาตรานี้ ของอนุสัญญาไมมีขอความใดที่ระบุวาเสนเขตแดนสิ้นสุดลงที่ชายฝั่งตะวันออกของเกาะเซอบาติก (Sebatik islands) แตฝุายมาเลเซียแยงวาอนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) ฉบับปี 2434/1891 แสดง
142 “the 1891 Convention established the 4° 10' north parallel of latitude as the dividing line between the respective possessions of Great Britain and the Netherlands in the area of the disputed islands and that those islands therefore belong to it as successor to the Netherlands,” in International Court of Justice. Judgment of 17 December 2002. Ibid, p. 625. 143 “series of effectivites, both Dutch and Indonesian, which it claims confirm its conventional title.” in Ibid, p. 643. 144 “From 4°10′north latitude on the east coast the boundary-line shall be continued eastward along that parallel, across the Island of Sebatik: that potion of the islands situated to the north of that parallel shall belong unreservedly to the British North Borneo Company, and the portion south of that parallel to the Netherlands.” in Ibid, p. 645. 184
ใหเห็นอยางชัดเจนวาสหราชอาณาจักรและเนเธอรแแลนดแตกลงทําอนุสัญญาฉบับนี้ขึ้นเพื่อที่จะแสดงเสนเขต แดนระหวางดินแดนทางบกที่ตนตองการครอบครองบนเกาะบอรแเนียวและเกาะเซอบาติด เพราะกําหนดเอาไว แตเพียงวา เสนเขตแดนจะสิ้นสุดลงตรงบริเวณตะวันออกสุดของเกาะเซอบาติกเทานั้น นอกจากนี้ มาเลเซีย ยังใหเหตุผลวา เสนเขตแดนที่ลากตัดผานเกาะเซอบาติกนั้นมีการระบุแตเฉพาะการกําหนดใหเสนเขตแดนลาก จากฝั่งตะวันตกไปทางฝั่งตะวันออก แตไมมีการระบุวาหลังจากนั้นเสนเขตแดนจะลากตอไปทางทิศทางใด และ ศาลโลกก็เห็นดวยวา อนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) ฉบับปี 2434/1891 ไมไดระบุชื่อของ เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) รวมอยูดวย ดังนั้น อินโดนีเซียจึงไม สามารถที่จะอางสิทธิ์ความเป็นเจาของเกาะทั้งสองไดจากขอความตามมาตรา 4 ของ อนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) แตเหตุผลประการสําคัญที่ทําใหศาลโลกตัดสินวาอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เป็นของมาเลเซีย นั่นคือ การที่มาเลเซียแสดงหลักฐานการใชอํานาจ ปกครองอยางมีประสิทธิภาพ (effectivités/effective occupation) เหนือสองเกาะไดชัดเจนกวาอินโดนีเซีย โดยศาลพิจารณาจากการใชอํานาจอยางมีประสิทธิภาพบนเกาะทั้งสองวามาเลเซียควบคุมการจับเตาและการ เก็บไขเตา ซึ่งเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สําคัญที่สุดบนเกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เป็นเวลาหลายปี ตั้งแตปี 2457/1914 สหราชอาณาจักรไดเขาจัดการและควบคุมการเก็บไขเตาบนเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) มาเลเซียเนนย้ําขอเท็จจริงที่วา หากเกิดปัญหาเกี่ยวกับการเก็บไขเตา เจาหนาที่บอรแเนียวเหนือของอังกฤษจะเป็นผูเขามาทําหนาที่แกไขขอพิพาทที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีการออก ใบอนุญาตใหกับบรรดาเรือประมงที่เขามาหาปลาในนานน้ําบริเวณรอบเกาะทั้งสองแหงนี้ ในปี 2476/1933 มาเลเซียยังทําการประกาศใหเกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เป็นเขตรักษาพันธุแนก รวมทั้งการที่เจาหนาที่ อาณานิคมบอรแเนียวเหนือของอังกฤษไดสรางประภาคารเอาไวบนเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และเกาะสิปา ดัน (Pulau Sipadan) เมื่อตนคริสตแศตวรรษที่ 1960 และยังมีการใชงานอยูจนถึงทุกวันนี้ซึ่งไดรับการ บํารุงรักษาโดยเจาหนาที่มาเลเซีย อีกทั้งรัฐบาลมาเลเซียไดออกระเบียบวาดวยการทองเที่ยวบนเกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) และวันที่ 25 กันยายน 2540/1997 มาเลเซียประกาศใหเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เป็นเขตอนุรักษแภายใตกฎหมายคุมครองพื้นที่ของมาเลเซีย (Malaysia's Protected Areas Order)145 มาเลเซียจึงชนะคดีไปดวยเหตุผลของการมีหลักฐานการใชอํานาจอธิปไตยเหนือดินแดนเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) อยางแทจริง การปฏิบัติที่สืบตอกันมาของฝุายมาเลเซีย กอนเกิดปัญหาขอพิพาทในปี 2412/1969 ไดแสดงใหเห็นถึงการใชอํานาจตามหลัก “การครอบครองอยางมี ประสิทธิภาพ (effectivités/effective occupation)” ซึ่งแมแตฝุายอินโดนีเซียก็ไมไดทําการประทวงหรือ คัดคานพฤติการการใชอํานาจของมาเลเซียเป็นเวลาหลายทศวรรษ ศาลโลกใชเวลาในการพิจารณาคดีนี้เป็นเวลายาวนานกวา 4 ปี และในที่สุดวันที่ 17 ธันวาคม 2545/2002 ศาลโลกจึงมีคําตัดสินวา “ศาล, โดยคะแนนสิบหกเสียงตอหนึ่งเสียง ตัดสินวาอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตันและเกาะสิปาดันเป็นของมาเลเซีย”146
145 Ibid, p. 681. 146 “THE COURT, By sixteen votes to one, 185
คําตัดสินของศาลโลกถือเป็นการยุติขอพิพาทระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียที่มีมาอยางยาวนาน แต จนถึงปัจจุบันก็ไมไดมีการดําเนินการใดๆ จากทั้งสองฝุายหลังคําตัดสินในปี 2545/2002 ซึ่งสงผลโดยตรงตอ ขอพิพาทไหลทวีปและแหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) ระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย ซึ่งจะได อธิบายในหัวขอตอไป
Finds that sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan belongs to Malaysia.” in Ibid, p. 676. 186
4.11 แหล่งน้ ามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) ระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย
ในเดือนมีนาคมปี 2548/2005 เกิดขอพิพาทระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียในพื้นที่นอกชายฝั่งทางทิศ ตะวันออกของเกาะบอรแเนียวในทะเลสุลาเวสี (Sulawesi Sea) หรือทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) เนื่องจาก วันที่ 16 กุมภาพันธแ 2548/2005 มาเลเซียไดทําการออกใบอนุญาตแหลงสัมปทานน้ํามันสองแหลงซึ่งมาเลเซีย เรียกวาแหลง ND-6 และ ND-7 ใหแกบริษัทน้ํามันปิโตรนาส (PETRONAS) ของมาเลเซียโดยความรวมมือกับ บริษัทน้ํามันระหวางประเทศกลุมเชลลแ (Shell Group) ทําใหเกิดพื้นที่ทับซอน (overlapping area) กับแหลง น้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) และอัมบาลัทตะวันออก (East Ambalat Oil Block) ของอินโดนีเซีย (ดูภาพที่ 4.22) ซึ่งมีการออกใบอนุญาตตั้งแตปี 2542/1999 และ 2547/2004 ใหแก บริษัทน้ํามันอีเอ็นไอ (ENI – Ente Nazionale Idrocarburi) ของอิตาลี และบริษัทน้ํามันยูโนแคล (Unocal – Union Oil Company of California) ของสหรัฐอเมริกาตามลําดับ ทําใหการสํารวจน้ํามันและก฿าซธรรมชาติในพื้นที่ พิพาทยุติลง147 ฝุายมาเลเซียอางสิทธิ์เหนือพื้นที่ทับซอนอัมบาลัท (Ambalat Overlapping Area) ดวย เหตุผล 2 ประการ ไดแก ประการแรก อางสิทธิ์ตามแผนที่ของมาเลซียฉบับปี 2522/1979 และประการที่ 2 อางสิทธิ์ตามคําตัดสินของศาลโลกในปี 2545/2002 วาอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิ ปาดัน (Pulau Sipadan)เป็นของมาเลเซีย ในขณะที่ฝุายอินโดนีเซียอางสิทธิ์ตามอนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) ปี 2434/1891 ขอพิพาทเหนือพื้นที่ทับซอนอัมบาลัท (Ambalat Overlapping Area) ทําใหเกิดความตึงเครียดตอ ความสัมพันธแระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย เพราะเกิดผลกระทบตอโดยตรงความรูสึกของประชาชนชาว อินโดนีเซีย หลังจากที่อินโดนีเซียตองพายแพคดีในศาลโลกกรณีพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan)ในปี 2545/2002 ประชาชนสวนใหญของอินโดนีเซียรูสึกผิดหวัง และไมพอใจที่ตองสูญเสีย เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan)เป็นระยะเวลา เพียง 3 ปี เทานั้น ที่มาเลเซียกลับมาทําการอางสิทธิ์ทับซอนเหนือดินแดนอธิปไตยของอินโดนีเซียอีกครั้ง ยิ่ง ทําใหกรณีพิพาทแหลงน้ํามันอัมบาลัทสงผลในทางลบตอความสัมพันธแของทั้งสองประเทศเป็นอยางยิ่ง ดังนั้น สังคมอินโดนีเซียจึงสรางแรงกดดันแกรัฐบาลของตนเพื่อใหเอาใจใสกับปัญหาการกําหนดเขต แดนทางทะเลอยางจริงจัง148 และเป็นความจริงที่วา การที่มาเลเซียกลาที่จะทําการอางสิทธิ์เหนือพื้นที่แหลง น้ํามันอัมบาลัทนั้น มีความสมเหตุสมผลในบางสวนจากคําตัดสินของศาลโลก อยางไรก็ตาม แมวาศาลโลกจะ ตัดสินใหมาเลเซียเป็นฝุายมีอํานาจอธิปไตยเหนือ เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) แตคําตัดสินของศาลโลกก็ไมเกี่ยวกับของกับประเด็นอาณาเขตทางทะเลแตอยางใด ดังนั้น อาณา เขตทางทะเลในพื้นที่เกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) จึงยังคงเป็นประเด็นที่ ตองมีการเจรจากันภายใตหลักกฎหมายระหวางประเทศ ซึ่งทั้งสองประเทศกําลังอยูในขั้นตอนการเจรจาเพื่อ แกปัญหาขอพิพาทดังกลาว149
147 Resistensia Kesumawardhani. “Dispute between Indonesia – Malaysia over Ambalat Block,” in Journal of Yuridika Vol.23 No.3, (2008), pp. 1-2. เขาถึงเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1GgUejP 148 โปรดดูแนวคิดเรื่องพื้นที่และความเป็นเจาของในรัฐภาคพื้นสมุทรของอินโดนีเซียที่มีผลตอความรูสึกของประชาชน และรัฐบาลอินโดนีเซียเพิ่มเติมไดจาก สิทธา เลิศไพบูลยแศิริ. “พรมแดนอินโดนีเซีย-มาเลเซีย: ความทับซอนในจินตกรรมสู ความขัดแยงรูปธรรม,” ใน อุษาคเนยแที่รัก (กรุงเทพฯ: โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใตศึกษา คณะศิลปศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2553), หนา 196-217. 149 Resistensia Kesumawardhani. Ibid, p. 2. 187
ภาพที่ 4.22 แผนผังแสดงพื้นที่ทับซอน (overlapping area) ระหวางแหลงน้ํามัน ND-6 และ ND-7 ของ มาเลเซีย กับ แหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat) และอัมบาลัทตะวันออก (East Ambalat) ของอินโดนีเซีย (ที่มา: Khairi Budayawan, “Blok Ambalat Kian Memanas, Lima Kapal Perang dan Sekompi Marinir Siaga,” October 28, 2008. เขาถึงเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1FrkskM)
188
อาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย อาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียมีอยู 3 พื้นที่ ไดแก ชองแคบมะ ละกา (Strait of Malacca) ทะเลจีนใต (South China Sea) และทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) โดยถูก กําหนดขึ้นในยุคอาณานิคมระหวางสหราชอาณาจักรและเนเธอรแแลนดแ ซึ่งอังกฤษและดัตชแไดตกลงแบง ดินแดนทางบกบนเกาะบอรแเนียวออกเป็น 2 สวน คือ พื้นที่ทางใตเป็นของดัตชแ และพื้นที่ตอนเหนือเป็นของ อังกฤษ ตามอนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) ปี 2434/1891 ตอมาเมื่ออินโดนีเซียเป็น ประเทศเอกราชในวันที่ 17 สิงหาคม 2488/1945 จึงเริ่มที่จะดําเนินการตางๆ ตามกฎหมายและขอกําหนดซึ่ง เป็นมรดกตกทอดจากระบอบการปกครองของเจาอาณานิคมเนเธอรแแลนดแ เชนเดียวกับที่มาเลเซียก็ตองสืบ ทอดระบอบการปกครองของเจาอาณานิคมอังกฤษ ดังนั้น ความสําเร็จในการบรรลุขอตกลงเกี่ยวกับอาณาเขต แดนทางทะเลระหวางทั้งสองประเทศจึงเริ่มตนอยางเป็นทางการในวันที่ 27 ตุลาคม 2512/1969 โดยรัฐบาล มาเลเซียและรัฐบาลอินโดนีเซียสามารถบรรลุความตกลงวาดวยไหลทวีประหวางกันและมีการใหสัตยาบันใน วันที่ 7 พฤศจิกายน 2512/1969 (ดังที่ไดกลาวไปแลวในหัวขอที่ 4.1 ไหลทวีปในชองแคบมะละกาและทะเล จีนใตระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย) ฝุายอินโดนีเซียประกาศใหสัตยาบันโดยการออกคําสั่งประธานาธิบดี หมายเลข 89 (Presidential Decree No.89) นอกจากนี้ ยังมีการลงนามในสนธิสัญญาวาดวยการกําหนดทะเลอาณาเขตระหวางกัน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2513/1970 โดยกําหนดทะเลอาณาเขต (Torritorial Sea) ระหวางมาเลเซียและอินโดนีเซียในชอง แคบมะละกา และมีผลบังคับใชในวันที่ 10 มีนาคม 2514/1971 (ดังที่ไดกลาวไปแลวในหัวขอที่ 4.2 ทะเล อาณาเขตในชองแคบมะละการะหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย) ฝุายอินโดนีเซียประกาศใหสัตยาบันโดยผาน กฎหมายหมายเลข 2 ปี 2514/1971 (Law No.2 Year 1971) และออกคําสั่งประธานาธิบดี หมายเลข 20 (Presidential Decree No.20) ปี 2515/1972 ทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซียตางใหสัตยาบันรับรองอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ฝุายอินโดนีเซียใหสัตยาบันภายใตการออก “กฎหมาย หมายเลข 17 ปี 2528/1985 (Law No.17 Year 1985)” ทําใหทั้งสองประเทศตองดําเนินการกําหนดอาณาเขตทางทะเลระหวางกันใหชัดเจนตามความในขอ 47 วงเล็บ (9) ที่กําหนดวา “รัฐหมูเกาะจะตองเผยแพรแผนที่หรือรายการพิกัดทางภูมิศาสตรแเชนวานั้นให ทราบตามสมควรและจะตองสงมอบแผนที่หรือรายงานดังกลาวใหเลขาธิการสหประชาชาติเก็บรักษาไวอยาง ละหนึ่งชุด”150 อยางไรก็ตาม อินโดนีเซียยังไมสามาระดําเนินการตามขอกําหนดดังกลาวกับประเทศเพื่อนบาน ใหเสร็จสิ้นไดทั้งหมด ซึ่งไดแก ออสเตรเลีย มาเลเซีย ฟิลิปปินสแ สิงคโปรแ ปาเลา (Palau) อินเดีย ไทย เวียดนาม ปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea) และติมอรแตะวันออก (East Timor)
150 “The archipelagic State shall give due publicity to such charts or lists of geographical coordinates and shall deposit a copy of each such chart or list with the Secretary-General of the United Nations.” จาก มาตรา 49 (2) ของ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับปี 2525/1982, กรมสนธิสัญญาและ กฎหมาย, กระทรวงการตางประเทศ. อางแลว, หนา 22. 189
ข้อพิพาท ดังที่ทราบแลววา อินโดนีเซียและมาเลเซียประกาศอางสิทธิ์เขตทางทะเลทับซอนกันในพื้นที่ของทะเลสุ ลาเวสี (Sulawesi Sea) หรือทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) ทั้งทะเลอาณาเขต (territorial sea) เขต เศรษฐกิจพิเศษ (Economic Exclusive Zone – EEZ) และเขตไหลทวีป (Continental Shelf boundary) ซึ่งแหลงน้ํามัน (Ambalat Oil Block) อยูในเขตพื้นที่ทับซอนของเสนเขตแดนเหลานี้ (ดูภาพที่ 4.23) แหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) ตั้งอยูที่พิกัดละติจูด 2 องศา 34 ลิปดา 07 ฟิลิปดา ถึง 3 องศา 47 ลิปดา 50 ฟิลิปดา เหนือ และ ลองจิจูด 118 องศา 15 ลิปดา 21 ฟิลิปดา ถึง 118 องศา 51 ลิปดา 15 ฟิลิปดา ตะวันออก (2°34′07″–3°47′50″N, 118°15′21″–118°51′15″E)151 มีขนาดวัดไดจากเหนือจรดใต 65 กิโลเมตร และจากตะวันตกไปตะวันออก 135 กิโลเมตร เป็นที่นาสังเกตวา แหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) ตั้งอยูต่ํากวาแนวเสนเขตแดนที่ลาก ผานเกาะเซอบาติก (Sebatik) ตามที่กําหนดไวในมาตรา 4 ของ อนุสัญญาลอนดอน (The London Convention) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2434/1891 ระหวางสหราชอาณาจักรกับเนเธอรแแลนดแวาใหแบงเกาะ เซอบิตติก (Sebittik) หรือ เซอบาติก (Sebatik) ตามแนวพิกัดละติจูดที่ 4 องศา 10 ลิปดา เหนือ แตมาเลเซีย นั้นมีจุดแข็งในการอางสิทธิ์เนื่องจากคําตัดสินของศาลโลกในดคีพิพาทเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะ สิปาดัน (Pulau Sipadan) ซึ่งอาจนําไปสูการกําหนดเสนฐาน (baseline) ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) ของมาเลเซียขึ้นมาใหม จึงมีแนวโนมที่มาเลเซียจะขยายการอางสิทธิ์อาณาเขตแดนทางทะเลของตนออกไป ทางทิศใตเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ขอพิพาทเหนือแหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) ยังมีประเด็น ปัญหาเกี่ยวกับการสงเรือลาดตระเวนเขาไปยังบริเวณใกลเคียงพื้นที่พิพาทจากทั้งสองประเทศ แมวาแหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) จะอยูในพื้นที่ทะเลน้ําลึก แตก็มีศักยภาพในเชิง พาณิชยเป็นอยางมาก เนื่องจากมีขอมูลวาเป็นแหลงน้ํามันดิบจํานวนมหาศาล นอกจากนี้ ยังมีความสําคัญตอ ความมั่นคงในการเดินเรือ เนื่องจากอยูในเสนทางคมนาคมทางทะเล (Sea Lanes of Communication – SLOC) จากชองแคบลอมบอก (Lombok Strait) ระหวางบาหลีกับเกาะลอมบ็อค (Lombok Island) ไปทาง เหนือผานอินโดนีเซีย และเสนทางเดินเรือผานชองแคบมากัสซารแ (Makassar Straits) ระหวางเกาะโมลุกกะ (Molucca Islands) กับทะเลเซเลเบสและชายฝั่งทางตะวันออกของเกาะบอรแเนียว ในปี 2522/1979 มาเลเซียจัดพิมพแแผนที่ออกเผยแพรอยางเป็นทางการเพื่อแสดงทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) และไหล ทวีป (Continental Shelf) แผนที่ดังกลาวเป็นการกระทําโดยฝุายเดียว (unilateral) และการอางสิทธิ์ยัง กระทบตออาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ของประเทศอื่นดวย ทําใหประเทศเพื่อนบานตางประทวง แผนที่ฉบับปี 2522/1979 ของมาเลเซีย ในเดือนกุมภาพันธแปี 2523/1980 อินโดนีเซียสงจดหมายประทวง ประเด็นหมูเกาะ ตามดวยฟิลิปปินสแและจีนก็ประทวงประเด็นแนวปะการังในพื้นที่ทางตอนใตของหมูเกาะส แปรตลียแ (Spratly Islands) ในเดือนเมษายนปี 2523/1980 สิงคโปรแทําจดหมายประทวงกรณีเกาะเปดรา แบ รงคา (Pedra Banca) หรือเกาะบาตู ปูเต฿ะ (Pulau Batu Puteh) รวมทั้งไทยก็สงจดหมายประทวงไปยัง มาเลเซีย ตอมาสหราชอาณาจักรก็สงคําประทวงในนามของไตหวัน บรูไน และเวียดนาม152
151 Lina Puryanti, and Sarkawi B. Husain. “A people-state negotiation in a borderland: A Case Study of the Indonesia-Malaysia Frontier in Sebatik Island,” in Wacana Vol.13 No.1 (April 2011), p. 116. เขาถึงเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1hBqCEQ 152 Resistensia Kesumawardhani. Ibid, p. 6. 190
ภาพที่ 4.23 แผนที่แสดงการอางสิทธิ์เขตทางทะเลทับซอนกันในพื้นที่ของทะเลสุลาเวสี (Sulawesi Sea) หรือ ทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) ทั้งทะเลอาณาเขต (territorial sea) เขตเศรษฐกิจพิเศษ (Economic Exclusive Zone – EEZ) และเขตไหลทวีป (Continental Shelf boundary) ระหวางอินโดนีเซียกับ มาเลเซีย (ที่มา: Mark. J. Valencia and Nazery Khalid. “The Sulawesi Sea Situation: Stage for Tension or Storm in a Teacup?,” in The Asia-Pacific Journal Vol. 28-1-09, July 13, 2009. เขาถึง เมื่อ 2 พฤศจิกายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1FhyUbZ)
191
ในทางกลับกัน มาเลเซียยังไมไดสงแผนที่ฉบับปี 2522/1979 ดังกลาวใหแกเลขาธิการสหประชาชาติ ความในขอ 47 วงเล็บ (9) ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ที่กําหนดไววา “รัฐ หมูเกาะจะตองเผยแพรแผนที่หรือรายการพิกัดทางภูมิศาสตรแเชนวานั้นใหทราบตามสมควรและจะตองสงมอบ แผนที่หรือรายงานดังกลาวใหเลขาธิการสหประชาชาติเก็บรักษาไวอยางละหนึ่งชุด” ดังนั้น แผนที่ฉบับปี 2522/1979 ของมาเลเซีย ซึ่งเกี่ยวของกับการกําหนดทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) จึงยังไมถูกตองตาม หลักกฎหมายระหวางประเทศ ดังนั้น ในกรณีพิพาทแหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) มาเลเซียจึงมีแนวโนมที่จะยืนยันวา เขตแดนทางทะเล (Maritime Boundary) ควรจะถูกกําหนดขึ้นบนพื้นฐานของเสนมัธยะ (equidistance) ตามที่ศาลโลกตัดสินวาอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เป็นของมาเลเซีย อยางไรก็ตาม ศาลโลกไมไดตัดสินในประเด็นการกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลระหวาง อินโดนีเซียกับมาเลเซียอยางแตอยางใด ทําใหขอพิพาทแหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) ยังเป็น ปัญหาที่ตองการการแกไขจนถึงปัจจุบัน และเป็นที่นายินดีวามีแนวโนมที่ทั้งสองประเทศจะดําเนินการแกไข ปัญหาดังกลาวโดยเปลี่ยนพื้นที่พิพาท (Disputed Area) ใหเป็นพื้นที่พัฒนารวม (Joint Development Zone – JDZ)
192
4.12 ข้อพิพาทหิน 3 ก้อน ระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์
ขอพิพาทหิน 3 กอน153 ระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ เป็นขอพิพาทที่เกิดขึ้นเหนือพื้นที่ทางภูมิศาสตรแ ในบริเวณ 3 แหง ไดแก 1.เกาะเพอดรา บรังกา (Pedra Branca) หรือ เกาะบาตู ปูเต฿ะ (Pulau Batu Puteh) 2. มิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) และ 3. เซาทแ เลดจแ (South Ledge) ซึ่งในวันที่ 23 พฤษภาคม 2008/2551 ศาลโลกมีคําพิพากษาตัดสินใหอธิปไตยเหนือเกาะเพอดรา บรังกา (Pedra Branca) เป็นของ สิงคโปรแ สวนมิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) เป็นของมาเลเซีย ในขณะที่เซาทแ เลดจแ (South Ledge) ถูก แบงเป็นสองสวนใหแตประเทศเทาๆ กันขึ้นอยูกับการกําหนดเขตทางทะเลของทั้งสองฝุายที่จะตองตกลง รวมกัน ซึ่งทั้งมาเลเซียและสิงคโปรแตางมีแถลงการณแยอมรับคําตัดสินของศาลโลก โดยนาย เอส. ชัยกุมาร (S. Jayakumar) รองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปรแกลาววาสิงคโปรแรูสึกพอใจกับคําตัดสินของศาลโลกในครั้งนี้ ในขณะที่ฝุายมาเลเซียโดยนายราอีส ยาติม (Rais Yatim) รัฐมนตรีวาการกระทรวงตางประเทศของมาเลเซียก็ แถลงวาคําพิพากษาของศาลโลกถือเป็น “ตัดสินแหงชัยชนะของทั้งสองฝุาย (a “win-win” judgment)”154 ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝุายคาดหวังจากการที่ทั้งสองประเทศไดตกลงวาการยื่นคํารองแกศาลโลกในปี 2003/2546 โดย มีเปูาหมายเพื่อนําไปสูการะงับขอพิพาทโดยสันติวิธี
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เกาะเพอดรา บรังกา (Pedra Branca) หรือ เกาะบาตู ปูเต๊ะ (Pulau Batu Puteh)155 เป็นเกาะ หินแกรนิตขนาดกวาง 60 เมตร ยาว 137 เมตร เมื่อระดับน้ําลงต่ําสุดจะมีพื้นที่ประมาณ 8,560 ตารางเมตร ตั้งอยูที่ตําแหนงพิกัดละติจูด 1 องศา 19 ลิปดา 48 ฟิลิปดา เหนือ และ ลองจิจูด 104 องศา 24 ลิดา 27 ฟิลิป ดา ตะวันออก (1°19′48″N, 104°24′27″E) หรือบริเวณทางทิศตะวันออกของทางเขาชองแคบสิงคโปรแ ซึ่งเป็น ทางเดินเรือเขาสูนานน้ําทะเลจีนใต เกาะแหงนี้ตั้งอยูหางจากทางตะวันออกของสิงคโปรแประมาณ 24 ไมลแ ทะเล หรือจากทางตอนใตของรัฐยะโฮรแ (Johor) ของมาเลเซียประมาณ 7.7 ไมลแทะเล และตั้งอยูทางตอน เหนือของเกาะบินตัน (Pulau Bintan) ของอินโดนีเซียประมาณ 7.6 ไมลแทะเล คําวา “เพอดรา บรังกา (Pedra Branca)” มาจากภาษาโปรตุเกส และคําวา “บาตู ปูเต฿ะ (Batu Puteh)” มาจากภาษามาเลยแ (Malay) ทั้งสองคํานี้แปลวา “หินขาว (white rock)” บนเกาะแหงนี้มีประภาคาร “ฮอรแสเบิรแก (Horsburgh lighthouse)” ถูกสรางขึ้นเมื่อประมาณกลางคริสตแศตวรรษที่ 19 ตั้งอยูดวย
มิดเดิล ร็อคส์ (Middle Rocks) ตั้งอยูทางทิศใตของเกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) เป็นระยะทาง 0.6 ไมลแทะเล โดยมีลักษณะเป็นกอนหินขนาดเล็ก 2 กอนตั้งอยู แยกออกจากกันเป็นระยะประมาณ 250 เมตร มีความสูงถาวรพนจากระดับน้ําทะเล 0.6 ถึง 1.2 เมตร
153 ผูวิจัยใชคําวา “หิน 3 กอน” เนื่องจากเป็นคําที่สั้นกระชับตามงานศึกษาของ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุแ ภาควิชาความสัมพันธแระหวางประเทศ คณะรัฐศาสตรแ จุฬาลงกรณแมหาวิทยาลัย ใน พวงทอง ภวัครพันธุแ. “กรณีพิพาท ระหวางมาเลเซียและสิงคโปรแ: กรณีหินสามกอน,” ใน อุษาคเนยแที่รัก (กรุงเทพฯ: โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใตศึกษา คณะ ศิลปศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2553), หนา 218-239. 154 Strachan, Anna Louise. Ibid. 155 ชื่อของเกาะนี้เรียกแตกตางกันขึ้นอยูกับประเทศที่อางสิทธิ์ ไดแก สิงคโปรแ เรียกวา เกาะเพอดรา บรังกา (Pedra Branca) สวนมาเลเซีย เรียกวา ปูเลา บาตู ปูเต฿ะ (Pulau Batu Puteh) หรือเป็นที่รูจักกันของบรรดาทหารเรือในชื่อ ประภาคาร/กระโจมไฟฮอรแสเบิรแก (Horsburgh lighthouse) 193
เซาท์ เลดจ์ (South Ledge) ตั้งอยูทางทิศตะวันตกเฉียงใตของเกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) เป็นระยะทาง 2.2 ไมลแทะเล โดยเป็นโขดหินที่สามารถมองเห็นไดใน ขณะที่ระดับน้ําทะเลลดลงต่ําสุดเทานั้น156
เนื่องจากทิศตะวันออกของชองแคบสิงคโปรแ มีชองทางเดินเรือ 3 ชองทาง ไดแก ชองเหนือ (North Channel) ชองกลาง (Middle Channel) ซึ่งใชเป็นชองทางหลักในการขนสงทางเรือ และชองใต (South Channel) โดย หิน 3 ก้อน ตั้งอยูบริเวณระหวางชองกลาง (Middle Channel) และชองใต (South Channel) (โปรดดูภาพที่ 4.24 และ 4.25)
156 International Court of Justice. Concerning Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge (Malaysia/Singapore), Judgment of 23 May 2008 (Report of Judgments, Advisory Opinions and Orders, 23 May 2008), p. 22. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Nu5VYs 194
ภาพที่ 4.24 แผนที่แสดงตําแหนงขอพิพาทหิน 3 กอน ระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซีย (ที่มา: International Court of Justice. Case Concerning Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge (Malaysia/Singapore), Judgment of 23 May 2008 (Report of Judgments, Advisory Opinions and Orders, 23 May 2008), p. 23. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Nu5VYs)
195
ภาพที่ 4.25 แผนที่แสดงตําแหนงหิน 3 กอน เกาะเพอดรา บรังกา (Pedra Branca) หรือ เกาะบาตู ปูเต฿ะ (Pulau Batu Puteh) มิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) และ เซาทแ เลดจแ (South Ledge) ตั้งอยูบริเวณระหวางชองกลาง (Middle Channel) และชอง ใต (South Channel) ทางตะวันออกของชองทางเดินเรือสูชองแคบสิงคโปรแ (ที่มา: เชนเดียวกับภาพที่ 4.23, Ibid, p. 24)
196
ประวัติศาสตร์ ระบอบสุลตานแหงยะโฮรแ (Sultanate of Johor) ถูกสถาปนาขึ้นโดยการยึดมะละกา (Malacca) ของ โปรตุเกสในปี 2054/1511 อํานาจการปกครองของอาณานิคมโปรตุเกสชวงปี 1500 ในอินเดียตะวันออก (East Indies) เริ่มเสื่อมถอยลงไปในชวงปี 1600 ซึ่งตอมาในชวงกลางยุค 1600 เนเธอรแแลนดแไดเขายึดและ ควบคุมดินแดนอาณานิคมตางๆ จากโปรตุเกส ในปี 2338/1795 ฝรั่งเศสเขายึดครองเนเธอรแแลนดแทําให อังกฤษสามารถเขาไปปกครองดินแดนหมูเกาะมลายูหลายแหงซึ่งเคยถูกปกครองโดยเนเธอรแแลนดแ ตอมาในปี 2356/1813 ฝรั่งเศสถอนกําลังออกจากเนเธอรแแลนดแ จึงทําใหเกิดสนธิสัญญาอังกฤษ-ดัตชแ (Anglo-Dutch Treaty) หรือ อนุสัญญาลอนดอน (Convention of London) ฉบับปี 2357/1814 โดยกําหนดวา สหราช อาณาจักรตกลงที่จะคืนดินแดนทั้งหลายในหมูเกาะมลายูใหแกเนเธอรแแลนดแ ในปี 2362/1819 เซอรแ สแตมฟอรแด ราฟเฟิล (Sir Stamford Raffles) ขาหลวงใหญแหงเบงกูลู (Governor-General of Bengkulu) ในเกาะสุมาตราของอังกฤษ ไดทําการตั้งสถานีการคาขึ้นบนเกาะสิงคโปรแ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นของยะโฮรแ โดยมีบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ทําหนาที่เป็นตัวแทน การคาของรัฐบาลอังกฤษในดินแดนตางๆ จากครึ่งหลังของศตวรรษที่ 17 ชวงถึงปลายศตวรรษที่ 19 มีการทํา สนธิสัญญาจํานวน 2 ฉบับ ไดแก ฉบับแรกลงนามเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2362/1819 ระหวาง บริษัทอินเดีย ตะวันออก (East India Company) กับ เตอเม็งกอง หรือ อัครเสนาบดีแหงยะโฮรแ (Temenggong of Johor)157 และ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธแ 2362/1819 ระหวาง เซอรแ สแตมฟอรแด ราฟเฟิล (Sir Stamford Raffles) กับ สุลตานฮุสเซนแหงยะโฮรแ (Sultan Hussein of Johor) และ เตอเม็งกอง หรือ อัคร เสนาบดีแหงยะโฮรแ (Temenggong of Johor) เพื่อการกอตั้งสถานีการคาของอังกฤษ สนธิสัญญาทั้งสองฉบับดังกลาวทําใหความขัดแยงระหวางอังกฤษกับเนเธอรแแลนดแเนื่องจากทั้งคูตาง แขงขันกันเพื่อใหฝุายตนมีอํานาจปกครองเหนือดินแดนตางๆ ในฐานะอาณานิคม เกิดความตึงเครียดภายใน ภูมิภาคเป็นอยางมาก ทําใหทั้งสองฝุายตองเริ่มมีการเจรจากันในปี 2363/1820 และนํามาซึ่งการลงนามใน “สนธิสัญญาระหวางพระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัวแหงอังกฤษกับพระมหากษัตริยแแหงเนเธอรแแลนดแ, วาดวย ดินแดนและการพาณิชยแใน หมูเกาะอินเดียตะวันออก (Treaty between His Britannic Majesty and the King of the Netherlands, Respecting Territory and Commerce in the East Indies)” เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2367/1824 หรือ “สนธิสัญญาอังกฤษ-ดัตชแ ฉบับ 2367/1824 (Anglo-Dutch Treaty 1824)” โดย กําหนดวา ฝุายเนเธอรแแลนดแตกลงที่จะถอนตัวออกจากเกาะสิงคโปรแ และฝุายอังกฤษตกลงที่จะไมทําการกอตั้ง สถานีการคาบนเกาะตางๆ ที่อยูทางตอนใตของชองแคบสิงคโปรแ นอกจานี้ยังสงผลในทางปฏิบัติตอการสราง ฐานอํานาจและอิทธิพลของทั้งสองฝุายในดินแดนอาณานิคมหมูเกาะอินเดียตะวันออก และทําใหดินแดนของ สุลตานแหงยะโฮรแตกอยูภายใตอิทธิพลของฝุายอังกฤษสวนหนึ่ง และอีกสวนหนึ่งก็ตกอยูภายใตอิทธิพลของ เนเธอรแแลนดแ
157 คําวา “เตอเม็งกอง (Temenggong)” เป็นตําแหนงขุนนางระดับสูงหรืออัครเสนาบดีในระบอบการปกครองของรัฐ สุลตานมาเลยแ ในรัฐยะโฮรแชวงแรกของคริสตแศตวรรษที่ 19 เกิดการแยงชิงและแขงอํานาจกันระหวางองคแสุลตานกับอัคร เสนาบดี ดังนั้นหากรัฐอื่นตองการที่จะเขาไปเจริญสัมพันธไมตรีหรือทําหนังสือสัญญาใดๆ กับรัฐสุลตานมาเลยแ จึงจําเป็นตอง ไดรับความยินยอมจากทั้งสองตําแหนงนี้ ตอมาในปี 2398/1855 อํานาจเต็มในรัฐยะโฮรแไดถูกโอนจากองคแสุลตานไปยังอัคร เสนาบดี อางใน International Court of Justice. Judgment of 23 May 2008. Ibid, p. 25. 197
วันที่ 2 สิงหาคม 2367/1824 มีการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพและพันธมิตร (Treaty of Friendship and Alliance) หรือ สนธิสัญญาครอวแเฟิรแด (Crawfurd Treaty) ระหวาง บริษัทอินเดีย ตะวันออก (East India Company) กับ สุลตานแหงยะโฮรแ (Sultan of Johor) และ อัครเสนาบดีแหงยะโฮรแ (Temenggong of Johor) โดยใหมีการยกดินแดน (cession) สิงคโปรแใหแกบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) พรอมกับหมูเกาะทั้งหมดภายในระยะทาง 10 ไมลแบก (geographical miles) จากเกาะ สิงคโปรแ โดยขอความในสนธิสัญญาระบุวา “องค์สุลต่าน ฮุสเซน โมฮัมเหม็ด ชาห์ และ อัครเสนาบดี ดาตู เตอมุงกอง อับดุล ระห์มาน ศรี มหา ราชาห์ โดยประการฉะนี้ ได้ยกอ านาจอธิปไตยสมบูรณ์และกรรมสิทธิ์ให้แก่บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ อันมีเกียรติ, รวมทั้งทายาทและผู้สืบทอดตลอดไป, เกาะสิงคโปร์, ตั้งอยู่ในช่องแคบมะละกา, รวมทั้งกับทะเลที่ อยู่ข้างเคียง, ช่องแคบ, และเกาะต่างๆ, ภายในระยะ 10 ไมล์บก, จากชายฝั่งของเกาะหลักดังกล่าวของ สิงคโปร์”158 นับตั้งแตการสวรรคตของสุลตานมะหะหมัดที่ 3 (Sultan Mahmud III) ในปี 2355/1812 พระโอรส ของพระองคแ คือ ฮุสเซน (Hussein) และ อับดุล ระหแมาน (Abdul Rahman) ตางแขงกันเพื่ออางสิทธิ์ในราช บัลลังกแสุลตานแหงยะโฮรแ ฝุายอังกฤษใหการสนับสนุนพระโอรสองคแโต คือ ฮุสเซน (Hussein) ซึ่งมีฐานอํานาจ อยูในสิงคโปรแ ในขณะที่ฝุายเนเธอรแแลนดแใหการสนับสนุนพระโอรสองคแเล็ก คือ อับดุล ระหแมาน (Abdul Rahman) ซึ่งมีฐานอํานาจอยูในริเอา (Riau) หรือ ปัจจุบัน คือ เกาะบินตัน (Pulau Bintan) ของอินโดนีเซีย โดยภายหลังจากการลงนามใน “สนธิสัญญาครอวแเฟิรแด (Crawfurd Treaty)” ปี 2367/1824 สุลตาน อับดุล ระหแมาน (Abdul Rahman) ไดสงจดหมายลงวันที่ 25 มิถุนายน 2368/1825 ไปยังพระเชษฐาของ พระองคแ ความวา “ในความตกลงอันสมบูรณ์ด้วยจิตวิญญาณและเนื้อหาของสนธิสัญญาระหว่างพระพระบาท เด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเขา, กษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร” โดย “การแบ่งดินแดนของยะ โฮร์, ปะหัง, ริเอา, และ ลิงกา ตามที่ก าหนดไว้”, ไดอุทิศใหแกสุลตานฮุสเซน “ส่วนของดินแดนที่ได้รับมอบ [ภายหลัง]”159 โดยเนื้อความในจดหมายกลาววา “ดินแดนของพระองค์, ดังนั้น, ครอบคลุมเหนือยะโฮร์และปะหังบนแผ่นดินใหญ่หรือบนคาบสมุทร มาเลย์ ดินแดนของพระอนุชา [อับดุล ระห์มาน] ครอบคลุมเหนือเกาะลิงกา, บินตัน, กาลัง, บุลัน, การิมอน และเกาะอื่นทั้งหมด อะไรก็ตามที่อาจจะอยู่ในทะเล, นี้คือเป็นดินแดนของพระอนุชาของพระองค์, และสิ่งที่ ตั้งอยู่บนแผ่นดินใหญ่จะเป็นของพระองค์”160
158 “Their Highnesses the Sultan Hussain Mahomed Shah and Datu Tumungong Abdul Rahman Sri Maharajah hereby cede in full sovereignty and property to the Honourable the English East India Company, their heirs and successors forever, the Island of Singapore, situated in the Straits of Malacca, together with the adjacent seas, straits, and islets, to the extent of ten geographical miles, from the coast of the said main Island of Singapore.” อางใน International Court of Justice. Judgment of 23 May 2008. Ibid, p. 45. 159 “in complete agreement with the spirit and the content of the treaty concluded between their Majesties, the Kings of the Netherlands and Great Britain” whereby “the division of the lands of Johor, Pahang, Riau and Lingga [was] stipulated”, he donated to Sultan Hussein “[t]he part of the lands assigned to [the latter]” อางใน International Court of Justice. Judgment of 23 May 2008. Ibid, p. 26. 160 “Your territory, thus, extends over Johor and Pahang on the mainland or on the Malay Peninsula. The territory of Your Brother [Abdul Rahman] extends out over the islands of Lingga, Bintan, Galang, Bulan, Karimon and all other islands. Whatsoever may be in the sea, this is the territory of Your Brother, and whatever is situated on the mainland is yours.” อางใน Ibid. 198
ในปี 2369/1826 บริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ไดจัดตั้ง สเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแส (Straits Settlements) ซึ่งเป็นการจัดกลุมดินแดนที่อยูภายใตการครอบครองของบริษัทฯ ประกอบดวย ปีนัง (Penang) สิงคโปรแ (Singapore) และ มะละกา (Malacca) ตอมาในเดือนมีนาคม 2393/1850 และเดือนตุลาคม 2394/1851 มีการสรางประภาคาร (lighthouse) บนเกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) ในปี 2410/1867 สเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแส (Straits Settlements) กลายเป็นดินแดนราชอาณานิคม ของอังกฤษ (British Crown Colony) ซึ่งจะถูกปกครองโดยขาหลวงที่ไดรับการแตงตั้งโดยตรงจากกระทรวง อาณานิคม (Colonial Office) ณ กรุงลอนดอน ในปี 2428/1885 รัฐบาลอังกฤษและรัฐยะโฮรแรวมกันลงนาม ใน “สนธิสัญญายะโฮรแ (Johor Treaty)” ซึ่งใหสิทธิแกอังกฤษสามารถทําการคาทางบกและขนสงสินคาผานรัฐ ยะโฮรแ รวมทั้งรับผิดชอบดานการตางประเทศและความมั่นคงของรัฐยะโฮรแ ในปี 2438/1895 รัฐบาลอังกฤษจัดตั้งสหพันธแมาเลยแ (Federated Malay States) ประกอบดวย ดินแดนในอารักขา (protectorate) บนคาบสมุทร 4 แหง ไดแก สลังงอ (Selangor) เประ (Perak) เนอกีรี เซมบีลัน (Negeri Sembilan) และ ปาหัง (Pahang) ทําใหยะโฮรแ (Johor) กลายเป็นรัฐนอกสหพันธแมาเลยแ (Unfederated Malay States) ในปี 2457/1914 อิทธิพลของอังกฤษในยะโฮรแเพิ่มมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมีการ แตงตั้งที่ปรึกษาชาวอังกฤษ ในวันที่ 19 ตุลาคม 2470/1927 ขาหลวงแหงสเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแส (Straits Settlements) และ สุลตานแหงยะโฮรแ ไดลงนามใน “ความตกลงระหวางสเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแสกับยะโฮรแวาดวยทะเลอาณาเขต (Straits Settlement and Johor Territorial Waters Agreement)” โดยกําหนดขอบเขตของทะเล ชอง แคบ และเกาะเล็กเกาะนอย ซึ่งยะโฮรแยกใหแกบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ภายใต “สนธิสัญญาครอวแเฟิรแด (Crawfurd Treaty)” ปี 2367/1824 ตอมาในปี 2489/1946 ระบอบสเตรทสแเซ็ท เทิลเมนทแส (Straits Settlements) ถูกยกเลิก โดยมีการจัดตั้งสหภาพมาลายา (Malayan Union) ซึ่ง ประกอบดวย ดินแดนสเตรทสแเซ็ทเทิลเมนทแส (Straits Settlements) ยกเวนสิงคโปรแ ดินแดนสหพันธแมาเลยแ (Federated Malay States) และดินแดนนอกสหพันธแมาเลยแ (Unfederated Malay States) จากนั้นเป็นตน มา สิงคโปรแ จึงมีฐานะเป็นดินแดนราชอาณานิคมของอังกฤษ (British Crown Colony) โดยตรง ในปี 2491/1948 สหภาพมาลายา (Malayan Union) เปลี่ยนสถานะเป็นสหพันธรัฐมาลายา (Federation of Malaya) ประกอบดวยดินแดนอาณานิคมเดิมของอังกฤษ ซึ่งตอมาเป็นเอกราชจากอังกฤษใน ปี 2500/1957 ทั้งนี้ยะโฮรแเป็นสวนหนึ่งของดินแดนสหพันธแดวย ในปี 2501/1958 สิงคโปรแกลายเป็นดินแดน อาณานิคมปกครองตนเอง (selfgoverning colony) ในปี 2506/1963 มีการสถาปนาสหพันธรัฐมาเลเซีย (Federation of Malaysia) ซึ่งประกอบดวย ดินแดนสหพันธรัฐมาลายา (Federation of Malaya) สิงคโปรแ ซาบาหแ (Sabah) หรือ บอรแเนียวเหนือ (North Borneo) และซาราวัก (Sarawak) และในที่สุดเมื่อปี 2508/1965 สิงคโปรแจึงแยกตัวออกจากสหพันธแ มาเลเซียกลายเป็นประเทศเอกราชและมีอธิปไตยสมบูรณแ
199
ก าเนิด พัฒนาการของข้อพิพาท และการตัดสินของศาลโลก เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2522/1979 ผูอํานวยการกรมแผนที่แหงชาติมาเลเซีย (Director of National Mapping) ไดตีพิมพแแผนที่ชื่อ “ทะเลอาณาเขตและไหลทวีปของมาเลเซีย (Territorial Waters and Continental Shelf Boundaries of Malaysia)” หรือ “แผนที่ฉบับ 2522/1979” ซึ่งแสดงเสนขอบเขตและ พิกัดทะเลอาณาเขตและไหลทวีปรวมเอาพื้นที่เกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) เขามาไวภายในอธิปไตยของมาเลเซีย ตอมาวันที่ 14 กุมภาพันธแ 2523/1980 สิงคโปรแจึงไดทําบันทึก ทางการทูต (diplomatic note) เพื่อประทวงการอางสิทธิ์ของมาเลเซียเหนือพื้นที่เกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) โดยขอใหฝุายมาเลเซียแกไข “แผนที่ฉบับ 2522/1979” ระหวางการเจรจารอบแรกในวันที่ 6 กุมภาพันธแ 2536/1993 มีการหยิบยกเอาปัญหาอธิปไตยเหนือ พื้นที่มิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) และเซาทแ เลดจแ (South Ledge) (ดูภาพที่ 4.27) ขึ้นมาเป็นประเด็นใน การเจรจาเพิ่มเติม และหลังจากนั้นทั้งสองประเทศจึงจัดใหมีการเจรจาอีกหลายครั้งระหวางปี 2536- 2357/1993-1994 แตก็ไมสามารถบรรลุขอตกลงรวมกันได ทําใหทั้งสองฝุายตัดสินใจที่จะนําขอพิพาทเขาสู กระบวนการระงับขอพิพาทโดยศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice) หรือ ศาล โลก โดยในเดือนกุมภาพันธแ 2546/2003 ทั้งสองประเทศไดลงนามในความตกลงพิเศษ (special agreement)161 และแจงตอศาลโลกในวันที่ 24 กรกฎาคม 2546/2003 ศาลโลกใหเหตุผลโดยสรุปวา162 ขอเท็จจริงที่เกิดขึ้นระหวางคูพิพาทในประเด็นอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) ซึ่งถูกสงผานจากอังกฤษไปยังสิงคโปรแ โดยเฉพาะการสรางประภาคารฮอรแ สเบิรแก (Horsburgh lighthouse) (ดูภาพที่ 4.26) โดยฝุายอังกฤษและสิงคโปรแ รวมทั้งการจัดการอุบัติเหตุทาง ทะเล การควบคุมการเขาถึงพื้นที่เกาะ การติดตั้งอุปกรณแสื่อสารทหารเรือ และแผนการพัฒนาพื้นที่ทั้งหมด เป็นการกระทําตามหลักการ “สิทธิอธิปไตย (à titre de souverain/ sovereign right)” นับตั้งแตปี 2496/1953 มาเลเซียไมไดตอบโตหรือปฏิเสธการกระทําดังกลาวของสิงคโปรแ
161 โปรดดู International Court of Justice. Special Agreement for Submission to the International Court of Justice of the Dispute between Malaysia and Singapore Concerning Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge, jointly notified to the Court on 24 July 2003. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JdOXcK 162 รายละเอียดการพิจารณาคดีของศาลโลก โปรดดูหัวขอ “ขอวินิจฉัยของศาล: การกระทําคือการอางสิทธิ์” ใน พวง ทอง ภวัครพันธุแ. “กรณีพิพาทระหวางมาเลเซียและสิงคโปรแ: กรณีหินสามกอน,” ใน อุษาคเนยแที่รัก (กรุงเทพฯ: โครงการเอเชียตะวันออกเฉียง ใตศึกษา คณะศิลปศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2553), หนา 223-226. 200
ภาพที่ 4.26 ประภาคารฮอรแสเบิรแก (Horsburgh lighthouse) บนเกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) (ที่มา: Singaporebirdgroup เขาถึงจาก http://bit.ly/1cigSMm)
ภาพที่ 4.27 ภาพเซาทแ เลดจแ (South Ledge) ตั้งอยูทางทิศตะวันตกเฉียงใตของเกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปู เต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) เป็นระยะทาง 2.2 ไมลแทะเล โดยเป็นโขดหินที่สามารถมองเห็นได ในขณะที่ระดับน้ําทะเลลดลงต่ําสุดเทานั้น (ที่มา: Puteralapismahang เขาถึงจาก http://bit.ly/1Fa9QjP)
201
นอกจากนี้ ฝุายสิงคโปรแยังมีการจัดการอุบัติเหตุทางทะเล การควบคุมการเขาถึงพื้นที่เกาะ การติดตั้ง อุปกรณแสื่อสารทหารเรือ รวมทั้งแผนการพัฒนาพื้นที่ทั้งหมด โดยกระทําของฝุายสิงคโปรแนี้เป็นไปตามหลักการ “สิทธิอธิปไตย (à titre de souverain/ sovereign right)” นับตั้งแตปี 2496/1953 มาเลเซียก็ไมไดตอบโต หรือปฏิเสธการกระทําดังกลาวของสิงคโปรแแตอยางใด นับตั้งแตเดือนมิถุนายน 2393/1850 และเมื่อฝุาย มาเลเซียจะตองเดินทางเขาไปเยือนพื้นที่อยางเป็นทางการ เชน ในปี 2513/1970 มาเลเซียก็มีการขออนุญาต ฝุายสิงคโปรแ นอกจากนี้ แผนที่อยางเป็นทางการของมาเลเซียในชวงคริสตแทศวรรษ 1960 และ 1970 ยังแสดง ใหเห็นวาสิงคโปรแมีอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) และมีหลักฐานของจดหมายโตตอบระหวางรักษาการเลขาธิการแหงรัฐยะโฮรแ (Acting Secretary of the State of Johor) ถึงเลขาธิการอาณานิคม (Colonial Secretary) ของสิงคโปรแ ลงวันที่ 21 กันยายน 2496/1953 วา “รัฐยะโฮรแไมไดอางสิทธิ์ความเป็นเจาของเพอดรา บรังกา (the Johore Government does not claim ownership of Pedra Branca)” (ดูภาพที่ 4.28) ซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสําคัญที่ทําใหศาลตัดสินวา เกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) เป็นของสิงคโปรแ
ภาพที่ 4.28 จดหมายของรักษาการเลขาธิการแหงรัฐยะโฮรแ (Acting Secretary of the State of Johor) ถึง เลขาธิการอาณานิคม (Colonial Secretary) ของสิงคโปรแ ลงวันที่ 21 กันยายน 2496/1953 วา “รัฐยะโฮรแ ไมไดอางสิทธแความเป็นเจาของเพอดรา บรังกา (the Johore Government does not claim ownership of Pedra Branca)” (ที่มา: Puteralapismahang เขาถึงจาก http://bit.ly/1Fa9QjP)
202
ในกรณีอํานาจอธิปไตยเหนือพื้นที่มิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) ศาลอธิบายวาแมกรรมสิทธิ์เหนือ พื้นที่เกาะเพอดรา บรังกา/บาตู ปูเต฿ะ (Pedra Branca/Pulau Batu Puteh) จะตกเป็นของสิงคโปรแ แต เหตุผลที่ศาลไดนํามาพิจารณาไวขางตนนั้น ไมสามารถนํามาใชกับกรณีมิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) ได เนื่องจากกรรมสิทธิ์ดั้งเดิมของมิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) ยังคงเป็นของมาเลเซียเพราะเกาะแหงนี้เป็น ของสุลตานยะโฮรแ และสิงคโปรแไมสามารถพิสูจนแหรือใหเหตุผลไดอยางชัดเจนวามิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) ควรเป็นของตน สวนกรณีของเซาทแ เลดจแ (South Ledge) ศาลพิจารณาวาควรเป็นไปตามขอ กฎหมายที่เกี่ยวกับคุณสมบัติทางภูมิศาสตรแวาดวยพื้นที่เหนือน้ําขณะน้ําลด (low-tide elevation) ตามขอ 13 ของ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ซึ่งกําหนดวา “1. พื้นที่เหนือน้ําขณะน้ําลด ไดแก บริเวณที่ดินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งลอมรอบดวยน้ําและโผลพน น้ําขณะน้ําลด แตจมอยูใตน้ําขณะน้ําขึ้น ในกรณีที่พื้นที่เหนือน้ําขณะน้ําลดทั้งหมดหรือบางสวนตั้งอยูใน ระยะหางจากผืนแผนดินหรือเกาะไมเกินความกวางของทะเลอาณาเขต อาจใชเสนแนวน้ําลดของพื้นที่เหนือน้ํา นั้นเป็นเสนฐานสําหรับวัดความกวางของทะเลอาณาเขตก็ได 2. ในกรณีที่พื้นที่เหนือน้ําขณะน้ําลดทั้งหมดตั้งอยูในระยะหางจากผืนแผนดินหรือเกาะเกินกวาความ กวางของทะเลอาณาเขต พื้นที่เหนือน้ําขณะนั้นไมมีทะเลอาณาเขตของตนเอง”163
ศาลจึงอางถึงขอตกลงพิเศษ (Special Agreement) ซึ่งคูพิพาททําขึ้นเพื่อใหศาลตัดสินแตเฉพาะ ประเด็นอํานาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ทั้ง 3 แหงเทานั้น ดังนั้น ในการพิจารณาคดีในครั้งนี้ศาลจึงไมมีอํานาจ ตัดสินเกินกวาสิ่งที่คูพิพาทรองขอมาตั้งแตตน ทําใหศาลไมมีอํานาจกําหนดเสนเขตแดนหรือทะเลอาณาเขต (territorial waters) ระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ ศาลจึงสรุปวาอธิปไตยเหนือพื้นที่เซาทแ เลดจแ (South Ledge) ซึ่งเป็นพื้นที่เหนือน้ําขณะน้ําลด (low-tide elevation) จะเป็นของรัฐที่มีทะเลอาณาเขตซึ่งเซาทแ เลดจแ (South Ledge) ตั้งอยูนั่นเอง ศาลโลกใชเวลาในการพิจารณาคดีเป็นเวลานานกวา 5 ปี164 และในที่สุด วันที่ 23 พฤษภาคม 2551/2008 ศาลโลกจึงมีคําตัดสินวา “ศาล, (1) โดยคะแนนสิบสองเสียงตอสี่เสียง ตัดสินวาอธิปไตยเหนือเกาะเพอดรา บรังกา/ปูเลา บาตู ปูเต฿ะ เป็นของสาธารณรัฐสิงคโปรแ (2) โดยคะแนนสิบหาเสียงตอหนึ่งเสียง ตัดสินวาอธิปไตยเหนือมิดเดิล ร็อคสแ เป็นของมาเลเซีย
163 “1. A low-tide elevation is a naturally formed area of land which is surrounded by and above water at low tide but submerged at high tide. Where a low-tide elevation is situated wholly or partly at a distance not exceeding the breadth of the territorial sea from the mainland or an island, the low-water line on that elevation may be used as the baseline for measuring the breadth of the territorial sea. 2. Where a low-tide elevation is wholly situated at a distance exceeding the breadth of the territorial sea from the mainland or an island, it has no territorial sea of its own.” จาก ขอ 13 ของ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับปี 2525/1982, กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. อางแลว, หนา 8. 164 สามารถเขาถึงเอกสารที่เกี่ยวของของทั้งสองฝุายไดที่ International Court of Justice. Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge (Malaysia/Singapore) เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1cXdOpw 203
(3) โดยคะแนนสิบหาเสียงตอหนึ่งเสียง ตัดสินวาอธิปไตยเหนือเซาทแ เลดจแ เป็นของรัฐในทะเลอาณาเขตซึ่งเซาทแ เลดจแ ตั้งอยู”165
อยางไรก็ตาม ถึงแมจะมีคําพิพากษาของศาลโลกแลว แตปัญหาก็ยังไมไดยุติลงโดยงายเนื่องจาก ประเด็นอธิปไตยเหนือพื้นที่เซาทแ เลดจแ (South Ledge) โดยสิงคโปรแและมาเลเซียยังไมสามารถตัดสินไดใจวา การกําหนดเขตแดนของทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) ระหวางกันจะดําเนินการอยางไร โดยจะมีการ แตงตั้งคณะกรรมการเทคนิครวม (joint technical committee) จากทั้งสองประเทศเพื่อรับผิดชอบในการ เจรจาเพื่อยุติปัญหาดังกลาวตอไป
165 “THE COURT, (1) By twelve votes to four, Finds that sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh belongs to the Republic of Singapore; (2) By fifteen votes to one, Finds that sovereignty over Middle Rocks belongs to Malaysia; (3) By fifteen votes to one, Finds that sovereignty over South Ledge belongs to the State in the territorial waters of which it is located.” ใน International Court of Justice. Concerning Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge (Malaysia/Singapore), Judgment of 23 May 2008 (Report of Judgments, Advisory Opinions and Orders, 23 May 2008), pp. 101-102. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Nu5VYs 204
4.13 หมู่เกาะสแปรตลีย์ (Spratlys) ระหว่างบรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม จีนและไต้หวัน
หมูเกาะสแปรตลียแ (Spratlys/Spratly Islands)166 ในทะเลจีนใต เป็นพื้นที่ซึ่งมีความสําคัญทั้งในเชิง ยุทธศาสตรแและความมั่นคง เป็นแหลงทรัพยากรปริมาณมหาศาล เชน ทรัพยากรประมง แหลงน้ํามันและก฿าช ธรรมชาติ รวมทั้งเป็นสวนหนึ่งของเสนทางเดินเรือเพื่อการขนสงระหวางประเทศที่สําคัญที่สุดของโลก จึงทําให ประเทศตางๆ ที่มีอาณาเขตทางทะเลอยูใกลกับหมูเกาะสแปรตลียแทําการอางสิทธิ์ความเป็นเจาของ โดยใน ปัจจุบันมีประเทศผูอางสิทธิ์จํานวน 5+1 ประเทศ ไดแก บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินสแ เวียดนาม จีนและ ไตหวัน167 ซึ่งประเด็นสําคัญที่ทําใหปัญหาขอพิพาทเหนือพื้นที่หมูเกาะสแปรตลียแมีความซับซอนคือ การที่แต ละประเทศใชเทคนิคในการอางสิทธิ์หลากหลายรูปแบบ เชน การอางสิทธิ์ในทางประวัติศาสตรแ (historic claim) ของจีนและไตหวัน การสงเรือลาดตระเวนและกองกําลังทหารเขาไปยึดพื้นที่ หรือแมกระทั่งการ กอสรางสิ่งปลูกสรางตางๆ เชน ลานบิน อาคารที่พัก และประภาคาร เป็นตน ขอพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแไมเพียงเกี่ยวของเฉพาะกับรัฐชายฝั่งจํานวน 5+1 ประเทศดังที่กลาวไป เทานั้น แตหมูกาะสแปรตลียแยังถือวาเป็นสมรภูมิทางอํานาจของประเทศภายนอกภูมิภาค โดยการแสดง แสนยานุภาพของประเทศมหาอํานาจผานการใหความสนับสนุนแกประเทศผูอางสิทธิ์บางประเทศซึ่งอาจบาน ปลายกลายเป็นความขัดแยงระดับโลกได หากประเทศคูพิพาทไมสามารถแสวงหาแนวทางแกไขปัญหาไดอยาง สันติโดยเร็ว ดังนั้น ในหัวขอนี้จึงจะนําเสนอลักษณะทางภูมิศาสตรแของหมูเกาะสแปรตลียแ การอางสิทธิ์ของ แตละประเทศ และการกําหนดอาณาเขตทางทะเล รวมทั้งประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวของกับขอพิพาท168 ดังนี้
166 คําวา Spratlys หรือ Spratly Islands เป็นชื่อของกลุมหมูเกาะ ไมใช Spratly ซึ่งเป็นชื่อของเกาะเพียงเกาะเดียว โดยการสะกดในงานเขียนภาษาไทยมีหลากหลายแบบ เชน สแปรตลี สแปรตลี่ สแปรตลียแ สแปรตลี่ยแ แตในการศึกษาครั้งนี้จะ ใชการสะกดวา “หมูเกาะสแปรตลียแ (Spratly Islands)” เพื่อหมายถึงหมูเกาะทั้งหมดในพื้นที่นี้ 167 การอางสิทธิ์เหนือหมูเกาะสแปรตลียแของจีนมีพื้นฐานมาจากการอางสิทธิ์ของไตหวัน ดังนั้น ในการศึกษาครั้งนี้จะ ใชคําวา จีนและไตหวัน เพื่อหมายถึงการอางสิทธิ์ของจีน 168 โปรดดูงานศึกษาของ สุรชัย ศิริไกร. รายงานวิจัยเรื่องความขัดแยงระหวางจีน ไตหวัน เวียดนาม ฟิลิปปินสแ มาเลเซีย และบรูไน ในการอางกรรมสิทธิ์ทับซอนเหนือหมูเกาะพาราเซล สแปรตลี่ และหมูเกาะอื่นๆ ในทะเลจีนใต. เสนอตอ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2544; ยศพนธแ นิติรุจิโรจนแ. ปัญหาหมูเกาะสแปรตลี่ยแในกฎหมาย ระหวางประเทศ. วิทยานิพนธแนิติศาสตรแมหาบัณฑิต สาขากฎหมายระหวางประเทศ คณะนิติศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ , 2555; จันตรี สินศุภฤกษแ. “กรณีพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแ: ทัศนะทางกฎมายและการเมือง,” ใน จุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับที่ 127-128, สุรชาติ บํารุงสุข บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ: โครงการความมั่นคงศึกษา จุฬาลงกรณแมหาวิทยาลัย, กรกฎาคม- สิงหาคม 2556. 205
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ หมูเกาะสแปรตลียแ (Spratly Islands) ตั้งอยูบริเวณตอนกลางและตอนใตของทะเลจีนใต169 วัดตาม แนวยาวของหมูเกาะที่กระจายอยูทางทิศตะวันตกเฉียงใตขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือระหวางตําแหนงพิกัด ที่ละติจูด 6 องศา เหนือ และ ลองจิจูด 109 องศา 30 ลิปดา ตะวันออก ถึงละติจูด 12 องศา เหนือ และ ลองจิจูด 117 องศา 50 ลิปดา ตะวันออก170 เป็นแนวยาวประมาณ 900 กิโลเมตร (ดูภาพที่ 4.29) หมูเกาะสแปรตลียแประกอบดวยลักษณะทางภูมิศาสตรแแบบตางๆ (geographical feature) มากกวา 170 ประเภท เชน เกาะ (island) เกาะเล็กเกาะนอย (islet) สันดอนหรือหาดทราย (bank/shoal) เกาะเตี้ย เล็กๆ สันดอน หรือ โขดหิน ที่เรียกวา เคยแ (cay) โขดหินหรือแนวปะการัง (reef) สันดอนจมน้ํา (submerged bank) แนวปะการังแบบวงแหวนหรือเกือกมา (atoll) และ พื้นที่เหนือน้ําขณะน้ําลด (low-tide elevation) หรือ “เกาะเทียม (pseudo-islands)” โดยพื้นที่ 37 แหง เป็นเกาะขนาดเล็ก (tiny island) และมีพื้นที่อีก ประมาณ 300-400 แหงที่ไมสามารถตั้งรกรากอาศัยอยูได นอกจากนี้ยังมีพื้นที่อีกประมาณ 230 แหงเป็นโขด หินหรือแนวปะการังและหาดทราย โดยมีการตั้งชื่อพื้นที่เหลานี้แลวจํานวนกวา 100 แหง แตมีเพียง 36 เกาะ เทานั้นที่มีความสูงมากกวาระดับน้ําทะเล โดยพื้นที่ทั้งหมดของหมูเกาะสแปรตลียแมีความยาวจากเหนือจรดใต ประมาณ 550 ไมลแทะเล และกวางจากตะวันออกถึงตะวันตกประมาณ 650 ไมลแทะเล อยูหางจากชายฝั่งทาง ทิศตะวันออกของเวียดนามประมาณ 650 กิโลเมตร อยูหางจากชายฝั่งทางทิศตะวันตกของฟิลิปปินสแประมาณ 100 กิโลเมตร อยูหางจากชายฝั่งทางทิศเหนือของซาบาหแ 250 กิโลเมตร และซาราวัก 160 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 800,000 ตารางกิโลเมตร171 หรือ ประมาณ 233,000 ตารางไมลแทะเล (ดูภาพที่ 4.30 และ 4.31)
169 ทะเลจีนใตมีลักษณะเป็นทะเลกึ่งปิด (semi-enclosed sea) ครอบคลุมอาณาบริเวณกวา 648,000 ตารางไมลแ ทะเล หรือ 2,222,000 ตารางกิโลเมตร ตั้งแตเกาะสิงคโปรแทางทิศตะวันตกเฉียงใตขึ้นไปยังเกาะไตหวันทางทิศตะวันตกเฉียง เหนือ และมีความกวางจากเวียดนามไปถึงบริเวณมาเลเซียตะวันออก หรือ ซาบาหแ (Sabah) 170 Asri Salleh, Che Hamdan Che Mohd Razali and Kamaruzaman Jusoff. “Malaysia‖s policy towards its 1963 - 2008 territorial disputes,” in Journal of Law and Conflict Resolution Vol. 1(5), (October, 2009), p. 112 เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Qcka16 171 สุรชัย ศิริไกร. รายงานวิจัยเรื่องความขัดแยงระหวางจีน ไตหวัน เวียดนาม ฟิลิปปินสแ มาเลเซีย และบรูไน ในการ อางกรรมสิทธิ์ทับซอนเหนือหมูเกาะพาราเซล สแปรตลี่ และหมูเกาะอื่นๆ ในทะเลจีนใต (เสนอตอสถาบันเอเชียตะวันออก ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2544), หนา 1. 206
ภาพที่ 4.29 แผนที่แสดงที่ตั้งหมูเกาะสแปรตลียแ (Spratly) ในทะเลจีนใต (ที่มา: Nationmaster เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1I50s2j)
207
ภาพที่ 4.30 แผนที่หมูเกาะสแปรตลียแทางตะวันตกของเสนลองจิจูด 155 องศา 18 ลิปดา ตะวันออก (ที่มา: David Hancox and Victor Prescott. “A Geographical Description of the Spratly Islands and an Account of Hydrographic Surveys Amongst Those Islands,” in Maritime Briefing Vol.1 No.6 (International Boundaries Research Unit, University of Durham, 1995), p. 22. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2557/2014 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Fi9oRE)
208
ภาพที่ 4.31 แผนที่หมูเกาะสแปรตลียแทางตะวันออกของเสนลองจิจูด 155 องศา 18 ลิปดา ตะวันออก (ที่มา: เชนเดียวกับภาพที่ 4.30, p. 23) 209
ในบรรดาเกาะทั้งหลาย เกาะอีตู อาบา (Itu Aba) หรือ ไทผิงตาว (Taiping Dao) เป็นเกาะที่มีขนาด ใหญที่สุด (ดูภาพที่ 4.32) โดยมีความยาว 1.4 กิโลเมตร (0.87 ไมลแ) และความกวาง 402 เมตร (0.25 ไมลแ) หรือคิดเป็นพื้นที่ขนาด 0.43 ตารางกิโลเมตร หรือ 106 เอเคอรแ และเป็นเกาะแหงเดียวที่มีแหลงน้ําจืด172 เกาะแหงนี้ถูกครอบครองโดยไตหวันตั้งแตปี 2489/1946 มีการกอสรางฐานทัพถาวรตั้งแตปี 2499/1956 ตอมาในปี 2546/2000 ไตหวันสงหนวยปูองกันชายฝั่ง (Coast Guard) เคลื่อนกําลังพลพรอมอาวุธจํานวน 100 นายไปยังเกาะอีดู อาบา (Itu Aba) เพื่อประจําการ และสรางทางวิ่งเครื่องบิน (airstrip) ขึ้นในปี 2551/2008 และมีการซอมบํารุงโดยใชงบประมาณกวา 100 ลานเหรียญสหรัฐ โดยขยายลานบินใหมีขนาด ยาว 1,200 เมตร เพื่อใหเครื่องบินซี 130 (C-130 cargo planes) สามารถลงจอดได โดยคาดวาจะสรางแลว เสร็จและพรอมใชงานในเดือนกุมภาพันธแ 2558/2015173 สวนเกาะอื่นๆ เชน เกาะสแปรตลียแ (Spratly) มีพื้นที่ 0.15 ตารางกิโลเมตร และมีอีก 5 เกาะที่มีขนาด ใหญกวา 0.1 ตารางกิโลเมตร ไดแก เกาะถิตู (Thitu) เกาะเวสตแยอรแก (West York) เกาะนอรแธอีสตแ เคยแ (Northeast Cay) เกาะเซาทแเวสตแ เคยแ (Southwest Cay) และเกาะแซนดแเคยแ (Sand Cay)174 สวนเกาะที่มี ความสูงที่สุดคือเกาะนามยิต (Namyit) โดยมีความสูงอยูที่ 6.2 เมตร175 เกาะที่มีตนไมขึ้นอยูตามธรรมชาติมี จํานวน 10 เกาะ ไดแก เกาะอีตู อาบา (Itu Aba) เกาะถิตู (Thitu) เกาะเวสตแยอรแก (West York) เกาะนอรแธ อีสตแ เคยแ (Northeast Cay) เกาะเซาทแเวสตแ เคยแ (Southwest Cay) เกาะแซนดแเคยแ (Sand Cay) เกาะ เลาอิตา (Loaita) เกาะนามยิต (Namyit) เกาะหนานชาน (Nanshan) และซินคาว (Sin Cowe) ในจํานวนนี้มี เพียงไมกี่เกาะสามารถแสวงประโยชนแจากปุยธรรมชาติที่สวนใหญประกอบดวยมูลจากนกทะเล (guano) ไดแก เกาะสแปรตลียแ (Spratly) เกาะอัมบอยญา เคยแ (Amboyna Cay) และ เกาะเซาทแเวสตแ เคยแ (Southwest Cay) โดยแหลงทํามาหากินของชาวประมงจากเกาะไหหลําและจากที่อื่นๆ อยูบริเวณเกาะอีตู อาบา (Itu Aba) และเกาะถิตู (Thitu)
172 สุรชัย ศิริไกร. อางแลว., หนา 1. 173 Mira Rapp-Hooper. “Before and After: The South China Sea Transformed,” in Asia Maritime Transparency Initiative. February 18, 2015 เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/17R5O6S 174 Jon M. Van Dyke. “Disputes Over Islands and Maritime Boundaries in East Asia,” in Maritime Boundary Disputes, Settlement Processes, and the Law of the Sea. (Leiden, Boston: Martinus Nijhoff Publishers, 2009), p. 68. 175 Prescott, J.R.V. Maritime Jurisdiction in Southeast Asia: Commentary and Map (Honolulu: East- West Center, 1981), p. 32. และ Ying Cheng Kiang, China‖s Boundaries (Northeastern Illinois University Institute of China Studies, 1984), p. 43. ระบุวาเกาะนามยิต (Namyit) มีความสูงมากถึง 19 เมตร 210
ภาพที่ 4.32 ภาพเกาะอีตู อาบา (Itu Aba) หรือ ไทผิงตาว (Taiping Dao) เป็นเกาะที่มีขนาดใหญที่สุดใน บรรดาหมูเกาะสแปรตลียแ มีความยาว 1.4 กิโลเมตร (0.87 ไมลแ) และความกวาง 402 เมตร (0.25 ไมลแ) หรือ คิดเป็นพื้นที่ขนาด 0.43 ตารางกิโลเมตร หรือ 106 เอเคอรแ และเป็นเกาะแหงเดียวที่มีแหลงน้ําจืด เกาะแหงนี้ ถูกครอบครองโดยไตหวันตั้งแตปี 2489/1946 มีการกอสรางฐานทัพถาวรตั้งแตปี 2499/1956 ตอมาในปี 2546/2000 ไตหวันสงหนวยปูองกันชายฝั่ง (Coast Guard) เคลื่อนกําลังพลพรอมอาวุธจํานวน 100 นายไป ยังเกาะอีดู อาบา (Itu Aba) เพื่อประจําการ และสรางทางวิ่งเครื่องบิน (airstrip) ในปี 2551/2008 ซึ่ง สามารถเห็นเป็นทางยาวพาดผานกลางเกาะ และมีการซอมบํารุงโดยใชงบประมาณกวา 100 ลานเหรียญสหรัฐ โดยขยายลานบินใหมีขนาดยาว 1,200 เมตร เพื่อใหเครื่องบินซี 130 (C-130 cargo planes) สามารถลงจอด ได โดยคาดวาจะสรางแลวเสร็จและพรอมใชงานในเดือนกุมภาพันธแ 2558/2015 (ที่มา: Asia Maritime Transparency Initiative เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/17R5O6S)
211
การอ้างสิทธิ์ของแต่ละประเทศ การอางสิทธิ์ความเป็นเจาของเหนือบรรดาลักษณะทางภูมิศาสตรแแบบตางๆ ในหมูเกาะสแปรตลียแมี ความนาสนใจและทาทายเป็นอยางยิ่ง ประเทศจีนและไตหวันอางสิทธิ์เหนือหมูเกาะสแปรตลียแทั้งหมด โดยให เหตุผลวาชาวจีนเป็นผูคนพบและใชอํานาจปกครองเป็นชาติแรก มีหลักฐานทางประวัติศาสตรแยาวนานมา ตั้งแตสมัยราชวงศแฮั่น และประเทศตางๆ ก็รับรองอํานาจอธิปไตยของจีนเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 20176 ในขณะที่เวียดนามสงทหารเขาไปควบคุมหลายพื้นที่ของหมูเกาะสแปรตลียแตั้งแตปี 2516/1973 โดย อางสิทธิ์ตั้งแตยุคที่อาณานิคมของฝรั่งเศสปกครองเวียดนาม เพราะฝรั่งเศสเคยใชอํานาจควบคุมหมูเกาะเล็กๆ 7 แหง ในชวงคริสตแทศวรรษที่ 1930 จนกระทั่งญี่ปุุนบุกเขามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตเมื่อเดือน สิงหาคม 2481/1938 ฝรั่งเศสจึงไดเขาไปครอบครองเกาะเหลานั้นอยางจริงจัง โดยญี่ปุุนใชเกาะอีตู อาบา (Itu Aba) เป็นฐานทัพเรือดําน้ํา แตญี่ปุุนตองถอนกําลังออกจากเกาะในปี 2489/1945 ตามสนธิสัญญาสันติภาพ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2494/1951 โดยญี่ปุุนประกาศสละสิทธิ์เหนือเกาะสแปรตลียแแตไมมีประเทศใดรับรองคํา ประกาศของญี่ปุุน177 ตอมาไตหวันจึงเขาครอบครองพื้นที่เกาะอีตู อาบา (Itu Aba) ระหวางปี 2489- 2493/1946-1950 และในปี 2499/1956 จนถึงปัจจุบัน ฟิลิปปินสแอางสิทธิ์เขายึดครองเกาะเล็กเกาะนอยบางสวนของหมูเกาะสแปรตลียแมาตั้งแตปี 2513/1970 ฟิลิปปินสแอางวาพื้นที่หมูเกาะดังกลาวไมมีเจาของและอางขอกฎหมายตามอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวย กฎหมายทะเล ปี 2525/1982 สวนมาเลเซียเขาไปควบคุมพื้นที่บางสวนทางตอนใตของหมูเกาะสแปรตลียแในปี 2520/1977 และ สามารถยึดพื้นที่ 3 แหง ไดแก แนวปะการังสวอลโล (Swallow Reef) แนวปะการังอารแดาเซียรแ (Ardasier Reef) แนวปะการังมาริวัลเลส (Marivales Reef) โดยการประกาศไหลทวีปตามที่กําหนดไวในกฎหมายทะเล ทั้งนี้บรูไนประกาศอางสิทธิ์เหนือแนวปะการังลุยซา (Louisa Reef) แตไมไดสงกองกําลังเขาไปประจําในพื้นที่ การอางสิทธิ์ความเป็นเจาของเหนือบรรดาลักษณะทางภูมิศาสตรแแบบตางๆ ในหมูเกาะสแปรตลียแ สามารถดูไดจากตารางที่ 4.5 และแผนผังตําแหนงกองทหาร (Outpost) และ ลานบิน (Airfield) ในพื้นที่หมู เกาะสแปรตลียแในภาพที่ 4.33 รวมทั้งแผนที่แสดงพื้นที่ทับซอนในทะเลจีนใตในภาพที่ 4.34
176 สุรชัย ศิริไกร. อางแลว., หนา 2. 177 Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 66. 212
ตารางที่ 4.5 แสดงการครอบครองพื้นที่หมูเกาะสแปรตลียแโดยบรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินสแ เวียดนาม จีนและไตหวัน ประเทศ ที่ ชื่อพื้นที่ (Feature) พิกัดภูมิศาสตร์ ปีที่เข้าครอบครอง บรูไน 1 แนวปะการังลุยซา (Louisa Reef) 06° 20′ 07″ 113° 16′ 47″ อางสิทธิ์ 2535/1992 มาเลเซีย 1 แนวปะการังสวอลโล (Swallow Reef) 07° 24′ 00″ 113° 48′ 00″ 2520/1977 2 แนวปะการังอารแดาเซียรแ (Ardasier Reef) 07° 37′ 00″ 113° 56′ 00″ 2520/1977 3 แนวปะการังมาริวัลเลส (Marivales Reef) 07° 58′ 30″ 113° 56′ 00″ 2522/1979 ฟิลิปปินสแ 1 เกาะหนานซาน (Nanshan Island) 10° 44′ 00″ 115° 48′ 00″ 2513/1970 2 เกาะแฟลท (Flat Island) 10° 49′ 00″ 115° 49′ 30″ 2513/1970 3 เกาะถิตู (Thitu Island) 11° 02′ 30″ 112° 16′ 30″ 2514/1971 4 เกาะเลาอิตา (Loaita or South Island) 10° 40′ 50″ 114° 25′ 00″ 2514/1971 5 เกาะนอรแธอีสตแ เคยแ (Northeast Cay) 11° 27′ 03″ 114° 21′ 01″ 2514/1971 6 เกาะเวสตแยอรแก (West York Island) 11° 05′ 00″ 115° 00′ 00″ 2514/1971 7 พานาตา (Panata) 10° 44′ 01″ 114° 21′ 00″ 2531/1978 8 แนวปะการังคอมโมดอรแ (Commodore Reef) 08° 22′ 00″ 115° 13′ 00″ 2533/1980 เวียดนาม 1 เกาะนามยิต (Namyit Island) 10° 11′ 00″ 114° 21′ 30″ 2516/1973 2 เกาะเซาทแเวสตแ เคยแ (Southwest Cay) 11° 25′ 30″ 114° 19′ 20″ 2516/1973 3 ตุนเชียน ซาโจว (Dunqian Shazhou) 10° 22′ 55″ 114° 28′ 00″ 2516/1973 4 เกาะสแปรตลียแ (Spratly Island) 08° 39′ 00″ 111° 54′ 40″ 2516/1973 5 เกาะซินคาว (Sin Cowe Island) 09° 54′ 00″ 114° 20′ 00″ 2516/1973 6 เกาะอัมบอยญา เคยแ (Amboyna Cay) 07° 54′ 00″ 112° 54′ 00″ 2516/1973 7 หรานชิง ซาโจว (Ranqing Shazhou) 09° 52′ 30″ 114° 34′ 40″ 2521/1978 8 แนวปะการังเซ็นทรัล (Central Reef) 08° 56′ 00″ 112° 22′ 00″ 2521/1978 9 แนวปะการังเพียสัน (Pearson Reef) 08° 58′ 00″ 113° 42′ 00″ 2521/1978 10 แนวปะการังบารแคแคนาดา (Bargue Canada Reef) 08° 10′ 00″ 113° 18′ 00″ 2530/1987 11 แนวปะการังเวสตแ (West Reef) 08° 52′ 00″ 112° 14′ 00″ 2531/1988 12 แนวปะการังเท็นเนนตแ (Tennent Reef) 08° 52′ 00″ 114° 39′ 00″ 2531/1988 13 แนวปะการังแลดดแ (Ladd Reef) 08° 39′ 00″ 111° 40′ 00″ 2531/1988 14 แนวปะการังดิสคัฟเวอรีเกรท (Discovery Great Reef) 10° 04′ 00″ 114° 52′ 00″ 2531/1988 15 แนวปะการังอีสตแ (East Reef) 08° 49′ 00″ 112° 36′ 00″ 2531/1988 16 แนวปะการังอลิสัน (Alison Reef) 08° 49′ 00″ 114° 00′ 00″ 2531/1988 17 แนวปะการังคอรแนวัลลิส เอส. (Cornwallis S. Reef) 08° 45′ 00″ 114° 13′ 00″ 2531/1988 18 แนวปะการังเพ็ทลียแ (Petley Reef) 10° 24′ 50″ 114° 34′ 00″ 2531/1988 19 แนวปะการังเซาทแ (South Reef) 11° 23′ 00″ 114° 18′ 00″ 2531/1988 20 แนวปะการังคอลลินสแ (Collins Reef) 09° 46′ 00″ 114° 15′ 00″ 2531/1988 21 โฉงเจียว (Qiong Jiao) 09° 46′ 00″ 114° 22′ 00″ 2532/1989 22 บอมเบยแแคสเซิล (Bombay Castle) 07° 56′ 00″ 111° 42′ 30″ 2532/1989 23 สันดอนปรินสแออฟเวลสแ (Prince of Wales Bank) 08° 08′ 00″ 110° 27′ 00″ 2533/1990
213
ประเทศ ที่ ชื่อพื้นที่ (Feature) พิกัดภูมิศาสตร์ ปีที่เข้าครอบครอง เวียดนาม 24 สันดอนแวงการแด (Vanguard Bank) 07° 32′ 00″ 109° 43′ 00″ 2533/1990 25 สันดอนปรินสแคอนสอรแท (Prince Consort Bank) 07° 55′ 00″ 109° 58′ 00″ 2534/1991 จีน/ไตหวัน 1 เกาะอิตู อาบา (Itu Aba Island) ไตหวัน 10° 22′ 55″ 114° 22′ 00″ 2499/1946 2 Fiery Cross/NW Investigator Reef 09° 32′ 30″ 112° 54′ 00″ 2531/1988 3 แนวปะการังจอหแนสัน (Johnson Reef) 09° 42′ 30″ 114° 16′ 00″ 2531/1988 4 ดงเหมิน เจียว (Dongmen Jiao) 09° 54′ 00″ 114° 29′ 15″ 2531/1988 5 แนวปะการังเกเฟิน (Gaven Reef) 10° 13′ 00″ 114° 14′ 00″ 2531/1988 6 แนวปะการังซูบี (Subi Reef) 10° 54′ 00″ 114° 06′ 00″ 2531/1988 7 แนวปะการังกัวรแเตอรอน (Guarteron Reef) 08° 54′ 00″ 112° 51′ 00″ 2531/1988 8 แนวปะการังมิสชีฟ (Mischief Reef) 09° 55′ 00″ 115° 32′ 00″ 2538/1995 ที่มาของตาราง: ปรับปรุงจาก Pan Shiying. “The Nansha Islands,” Window. September 3, 1993.178
ภาพที่ 4.33 แผนผังตําแหนงกองทหาร (Outpost) และ ลานบิน (Airfield) ในพื้นที่หมูเกาะสแปรตลียแ (ที่มา: Asia Maritime Transparency Initiative เขาถึงเมื่อ 28 พฤษภาคม 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1AvQ8Us)
178 สุรชัย ศิริไกร. อางแลว, ภาคผนวกที่ 29. 214
ภาพที่ 4.34 แผนที่แสดงพื้นที่ทับซอนในทะเลจีนใตและการอางสิทธิ์ครอบครองพื้นที่ในหมูเกาะสแปรตลียแของ ประเทศตางๆ (ที่มา: Velencia, Mark J. and Jon M. Van Dyke. Sharing The Resource of the South China Sea, University of Hawaii Press, 1999. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1I50KpV)
215
จีนและไต้หวัน การอางสิทธิ์ของจีนและไตหวันอยูบนพื้นฐานทางประวัติศาสตรแ (historic claim)179 เพราะเป็นผู คนพบ (discovery) และใชประโยชนแอยางตอเนื่อง (continuous usage) เพื่อประโยชนแทางเศรษฐกิจและ ทางทหารมาเป็นเวลายาวนานนับพันปี จนกระทั่งในปี 2490/1947 รัฐบาลพรรคชาตินิยมพรรคก฿กมินตั๋ง (Kuomintang) เผยแพรแผนที่หมูเกาะทะเลจีนใต (Nan-Hai-Zhu-Dao-Wei-Tz-Tu หรือ Map of Locations of South China Sea Islands) โดยใชเสนประจํานวน 11 เสน180 (ดูภาพที่ 4.35) เพื่อเป็นเสนเขตแดนของหมู เกาะ (islands) เกาะเล็กเกาะนอย (islets) แนวปะการัง (reef) สันดอน (bank) และนานน้ําโดยรอบ181 แต ตอมามีการลบเสนประจํานวน 2 เสนในอาวตังเกี๋ยออกไป ทําใหกลายเป็นแผนที่ 9 เสนประ (ดูภาพที่ 4.36) แผนที่นี้มีรูปรางคลายลิ้น (tongue-like configuration) หรือ เสนรูปตัวยู (U-Shape Line) ครอบคลุมหมู เกาะพาราเซล (Paracels) แตไมไดระบุหมูเกาะสแปรตลียแ (Spratlys) โดยมีขอความวา “รัฐบาลของ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะประกาศเสนฐานที่เหลือของทะเลอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนจีนในเวลา อื่น”182 และจีนประกาศเสนฐาน (baseline) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2539/1996 แตไมไดประกาศเขต เศรษฐกิจจําเพาะ (Exclusive Economic Zone – EEZ) ซึ่งแมวาการอางสิทธิ์ของจีนจะไมมีความชัดเจน ในแงกฎหมายระหวางประเทศ แตบอยครั้งที่ถอยแถลงและปฏิบัติการของจีนทําใหทราบวาจีนยังคงยืนยันการ อางสิทธิ์นานน้ําและทรัพยากรภายในขอบเขตของเสนประที่จีนประกาศเอาไว
179 โปรดดู “บทที่ 2 เหตุผลและหลักฐานการอางกรรมสิทธิ์ของประเทศที่เกี่ยวของ” ของ สุรชัย ศิริไกร. อางแลว, หนา 20-41. 180 คําวา เสนประ ในเอกสารวิชาการที่กลาวถึงเสนเขตแดนในทะเลจีนใต อาจพบเห็นการใชคําในภาษาอังกฤษวา interrupted line, dotted line หรือ dashed line เชนกัน 181 โปรดดู Pan Shiying, South China Sea and the International Practice of the Historic Title (Paper delivered to American Enterprise Institute conference on the South China Sea, September 7-9, 1994), p. 5; Pan Shiying, The Nansha Islands: A Chinese Point of View, Window (Hong Kong: September 3, 1993), p. 35; Steven Kuan- Tsyh Yu. “Who Owns the Paracels and Spratlys? An Evaluation of the Nature and Legal Basis of the Conflicting Territorial Claims,” in Fishing in Troubled Waters: Proceeding of an Academic Conference on Territorial Claims in the South China Sea (R. D. Hill, Norman G. Owen and E.V Roberts, eds., Hong Kong: Centre of Asian Studies, University of Hong Kong, 1991). pp. 48-55. 182 “The Government of the People's Republic of China will announce the remaining baselines of the territorial sea of the People's Republic of China at another time” ใน Declaration of the Government of the People‖s Republic of China on the Baselines of the Territorial Sea of the People‖s Republic of China. (May 15, 1996), p. 3. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1lsPYyv 216
ภาพที่ 4.35 แผนที่อางสิทธิ์ทะเลจีนใตฉบับทางการของไตหวันหรือสาธารณรัฐจีน (Republic of China) ตีพิมพแ เมื่อธันวาคม 2489/1946 เผยแพรเมื่อปี 2490/1947 (ที่มา: Nien-Tsu Alfred Hu, South China Sea: Troubled Waters or a Sea of Opportunity? (Ocean Development & International Law, 41:3, 2010), p. 208.) 217
ภาพที่ 4.36 แผนที่ 9 เสนประซึ่งจีนนําสงใหแกคณะกรรมาธิการกําหนดขอบเขตของไหลทวีป (Commission on the Limits of the Continental Shelf – CLCS) (ที่มา: CML/17/2009 – Submission by the PRC to the UN Commission on the Limits of the Continental shelf, United Nations. (May 7, 2009), p. 2. เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/QKlRLV) 218
ในบทความของพาน สืออิง (Pan Shiying) นักวิจัยอาวุโสแหงสถาบันเพื่อการศึกษาเทคโนโลยีเศรษฐกิจ ระหวางประเทศ (Institute for International Technological Economic Studies) ณ กรุงปักกิ่ง ซึ่ง เผยแพรเมื่อปี 2537/1994 ไดอธิบายวาเสนประเหลานี้เป็น “การอางสิทธิ์ทางประวัติศาสตรแ (historic title)”183 ซึ่งเป็นการอธิบายตามเป็นแนวคิดของกองทัพปลดปลอยประชาชน หรือ People's Liberation Army – Navy (PLAN) ที่ถือวาการอางสิทธิ์ของจีนเป็นไปตามกฎหมายระหวางประเทศที่มีอยูในชวงเวลานั้น และระบุวาหลังจากที่มีการประกาศเสนประแลวก็มีประเทศใดโตแยงหรือประทวงจีนเป็นเวลายาวนานหลายปี และมีนักวิชาการอีกหลายคนผลิตซ้ําแผนที่ฉบับนี้ ทั้งนี้ พาน สืออิง (Pan Shiying) ยังตั้งขอสังเกตอีกวา เสนประของจีนมีจุดออนตรงที่ไมใชเสนตรงเนื่องจากการลากเสนเขตแดนไมสามารถเกิดจากเสนประในแบบ ของจีนได แตก็ชี้ใหเห็นวาแนวเสนประของจีนยังสามารถนําไปสูการสรางพื้นที่พัฒนารวมกันของภูมิภาคได บทความชิ้นที่สองเสนอโดยนักวิชาการชาวไตหวันชื่อ ซง เยี่ยนฮุย (Song Yann-Huei)184 อธิบายวาจีน มีการอางสิทธิ์แตเพียงดินแดนทางบก โดยไมไดสรุปอยางชัดเจนวาสถานะของนานน้ําภายในเสนประเหลานี้คือ อะไร ซึ่งทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China – PRC) และรัฐบาลไตหวัน ไมเคยกีด กันหรือตอตานการเดินเรือของประเทศตางๆ ที่ผานเขาออกในเขตนานน้ําของจีนตามเสนประดังกลาวเลยและ จีนไมเคยอางวานานน้ําตามแนวเสนประ คือ ทะเลประวัติศาสตรแ (Historic Waters)185 แตจีนอาจลากเสน ฐานเชื่อมตอกับหมูเกาะสแปรตลียแ (Spratly Islands) เพื่ออางวาเสนฐานนี้กําหนดเขตนานน้ําภายใน โดยนอก เสนฐานก็จะมีสถานะเป็นเขตเศรษฐกิจจําเพาะ ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2538/1995 นายเฉิน กวเอฟุาง (Shen Guofang) โฆษกกระทรวงการตางประเทศของจีน ระบุวาจีนใหความสําคัญกับการเดินเรือที่ปลอดภัยและเสรี ในชองทางเดินเรือนานาชาติในทะเลจีนใต และการอางสิทธิ์ของจีนจะเป็นปัญหาในอนาคต186 แตก็ไมสามารถ อธิบายไดวาการอางสิทธิ์ของจีนหมายความวาอะไร ตอมาภายหลังเดือนพฤษภาคม 2538/1995 มีการระบุวา จีนไดละทิ้งการอางสิทธิ์อันคลุมเครือกอนหนานี้ โดยเปลี่ยนมาเป็นการอางสิทธิ์นานน้ําในทะเลจีนใตโดยใช แผนที่เสนประ 9 เสน แตความตองการที่แทจริงของฝุายจีนก็ยังไมชัดเจน เพราะการอางสิทธิ์ทาง ประวัติศาสตรแยอมไมมีเหตุผลหนักแนนเพียงพอ แตการที่จีนยืนกรานอางสิทธิ์ดังกลาวก็สงผลใหเกิดความ ยากลําบากในการปักปันเขตแดนในทะเลจีนใตอยางยิ่ง นอกจากนี้ การที่ไตหวันเขามามีบทบาทเกี่ยวของกับ ขอพิพาทในทะเลจีนใตยิ่งทําใหความซับซอนของปัญหาเพิ่มมากขึ้น เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2536/1993 ไตหวันประกาศใช “แนวนโยบายตอทะเลจีนใต (Policy Guidelines for the South China Sea)” ซึ่งยืนยันอํานาจอธิปไตยเหนือหมูเกาะสแปรตลียแ หมูเกาะพารา เซล (Paracels Islands) สันดอนแมคเคิลฟีลดแ (Macclesfield Bank) และหมูเกาะปราตาส (Pratas Island) พรอมทั้งระบุวาอาณาบริเวณของทะเลจีนใตในเขตทะเลประวัติศาสตรแ คือ เขตแดนภายใตอํานาจการ
183 Pan Shiying, South China Sea and the International Practice of the Historic Title (Paper delivered to American Enterprise Institute Conference on the South China Sea, September 7-9, 1994), p. 23. 184 Yann-huei Song, The Issue of Historic Waters in the South China Sea Territorial Sea Dispute (Paper delivered to the American Enterprise Institute Conference on the South China Sea, September 7- 9, 1994), p. 23. 185 Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 64. 186 “China had always attached great importance to the safety and freedom of navigation through international lanes in the South China Sea, and that there would not be problems in this regard in the future” จาก Patrick E. Tyler. “China Pledges Safe Passage for All Foreign Ships Around Contested Islands,” in New York Times, May 19, 1995. และ “China Says Ready to Solve Spratly Dispute by Law,” in Reuters, July 30, 1995. อางใน Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 64. 219
บังคับใชกฎหมายของสาธารณรัฐจีน (Republic of China) ซึ่งมีสิทธิและผลประโยชนแโดยสมบูรณแ และใน เดือนเมษายน 2538/1995 กระทรวงการตางประเทศของไตหวันไดประกาศวา ไตหวันมีอํานาจอธิปไตยเหนือ เขตแดนตามเสนรูปตัวยู และเขาครอบครองอาณาบริเวณที่ใหญที่สุดของเกาะสแปรตลียแ คือ อีตู อาบา (Itu Aba) หรือ ไทผิงตาว (Taiping Dao) โดยสงนาวิกโยธินจํานวน 600 นายไปประจําการอยูบนเกาะแหงนี้187 ซึ่ง ปฏิบัติการของไตหวันเป็นไปเพื่อสนับสนุนจุดยืนของจีน และกองทหารของจีนที่อยูในพื้นที่ตางๆ ของหมู เกาะสแปรตลียแไดรับเสบียงอาหารและน้ําจืดจากกองกําลังของไตหวันบนเกาะอีตู อาบา (Itu Aba) และเมื่อไมนานมานี้ จีนไดเดินหนากอสรางมหากําแพงทราย (Great Wall of Sand)188 ในพื้นที่หมู เกาะสแปรตลียแที่จีนครอบครอง โดยนายหวัง ยี่ (Wang Yi) รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศของจีน ยืนยันวาเป็นการกอสรางสิ่งอํานวยความสะดวกที่จําเป็นบนเกาะและแนวปะการังซึ่งจีนเป็นเจาของ ซึ่งจะทํา ใหจีนสามารถค้ําจุนการเดินเรืออยางเสรีบนเสนทางขนสงสินคาทางเรือในทะเลจีนใตไดอยางมีประสิทธิภาพ มากขึ้น ระหวางเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน 2557/2014 จีนไดถมทรายลงบนพื้นที่แนวปะการังเฟียรี่ครอส (Fiery Cross) ขนาดยาว 3 กิโลเมตร กวาง 200-300 เมตร189 รวมทั้งพื้นที่อื่นๆ ดวย (ดูภาพที่ 4.37 และ 4.38)
ภาพที่ 4.37 ภาพถายดาวเทียมแสดงความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่แนวปะการังเกเฟิน (Gaven Reef) ในหมู เกาะสแปรตลียแ หลังจากมีการขยายการกอสรางของจีน รูปซายสุดคือวันที่ 30 มีนาคม 2557/2014 รูปกลาง คือวันที่ 7 สิงหาคม 2557/2014 และรูปขวาสุดคือวันที่ 30 มกราคม 2558/2015 (ที่มา: Clive Schofield. “Why the world is wary of China's 'great wall of sand' in the sea,” in CNN, May 14, 2015. เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://cnn.it/1GsSwKE)
187 Mark J. Valencia. “The Spratly Islands: Dangerous Ground in the South China Sea” in Pacific Review 1 (1988), pp. 382-395. 188 Clive Schofield. “Why the world is wary of China‖s ―great wall of sand‖ in the sea,” in CNN, May 14, 2015. เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://cnn.it/1GsSwKE 189 Simon Denyer. “U.S. Navy alarmed at Beijing‖s ―Great Wall of sand‖ in South China Sea,” in The Washington Post, April 1, 2015. เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://wapo.st/1Mz6q43 220
ภาพที่ 4.38 ภาพถายจากกองทัพอากาศฟิลิปปินสแแสดงใหเห็นการกอสรางบนพื้นที่แนวปะการังจอหแนสัน (Johnson Reef) ในหมูเกาะสแปรตลียแ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธแ 2558/2015 (ที่มา: Reuters in Beijing. “Land reclamation work in part of South China Sea is near completion, China says,” in The Guardian, Tuesday 16 June 2015. เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JTNhHU)
เวียดนาม การอางสิทธิ์เหนือหมูเกาะสแปรตลียแของเวียดนามมีพื้นฐานมาจากประวัติศาสตรแอันยาวนาน โดยกลาว วาชาวเวียดนามเป็นผูคนพบหมูเกาะสแปรตลียแและเรียกหมูเกาะแหงนี้วา เตรื่อง ซา (Truong Sa) มีการใช ประโยชนแในพื้นที่อยางตอเนื่อง (continuous usage) และมีการครอบครองอยางมีประสิทธิภาพ (effective occupation)190 มาตั้งแตปี 2358/1815 ซึ่งเวียดนามไดสงคณะสํารวจออกไปสํารวจเสนทางเดินเรือ จนกระทั่งปี 2501/1958 เวียดนามจึงทําแผนที่อากาศยานโดยรวมเอาหมูเกาะสแปรตลียแเขามาเป็นสวนหนึ่ง ของเวียดนาม นอกจากนี้ เวียดนามยังเคยประกาศอางสิทธิ์เหนือหมูเกาะสแปรตลียแในการประชุมสันติภาพที่ นครซานฟรานซิสโกในปี 2494/1951 และอางหลักการตกทอดของดินแดนจากเจาอาณานิคม (uti possidetis)191 ในสมัยที่เวียดนามเคยตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในปี 2327/1884 ซึ่งฝรั่งเศสเคยเขาไปยึด ครองบางสวนของหมูเกาะสแปรตลียแ โดยในวันที่ 23 เมษายน 2473/1930 กระทรวงการตางประเทศของ ฝรั่งเศสไดประกาศผนวกเกาะสแปรตลียแ (Spratly) ใหเป็นของฝรั่งเศส และในวันที่ 21 ธันวาคม 2476/1933 ขาหลวงใหญแหงอินโดจีนฝรั่งเศสก็ไดออกประกาศผนวกดินแดนในหมูเกาะสแปรตลียแเพิ่มเติมอีก 9 เกาะ192
190 โปรดดู สุรชัย ศิริไกร. อางแลว, หนา 41-50. 191 จันตรี สินศุภฤกษแ. “กรณีพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแ: ทัศนะทางกฎมายและการเมือง,” ใน จุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับที่ 127-128, สุรชาติ บํารุงสุข บรรณาธิการ (กรุงเทพฯ: โครงการความมั่นคงศึกษา จุฬาลงกรณแมหาวิทยาลัย, กรกฎาคม- สิงหาคม 2556), หนา 42. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2557 เขาถึงจาก http://bit.ly/1fG8EjI 192 สุรชัย ศิริไกร. อางแลว, หนา 43. 221
ความนาสนใจคือ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2501/1958 รัฐบาลจีนหรือสาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China) ประกาศอางสิทธิ์ทะเลอาณาเขต (territorial sea) เป็นระยะ 12 ไมลแทะเล รวมถึงหมู เกาะตางๆ ในทะเลจีนใต รัฐบาลเวียดนามเหนือหรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม (Democratic Republic of Vietnam – DRVN) โดยนายฟาม วัน ดง (Pham Van Dong) นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม เหนือไดสงบันทึกทางการทูต (diplomatic note) ลงวันที่ 14 กันยายน 2501/1958 ไปยังนายโจว เอินไหล (Zhou Enlai) นายกรัฐมนตรีของจีน เพื่อรับรองการประกาศทะเลอาณาเขตและหมูเกาะตางๆ ในทะเลจีนใต ของจีนความวา “รัฐบาลเวียดนามรับรองคําประกาศ...และจะใหทุกองคแกรของรัฐรวมกันมุงไปยังการสรางความเคารพ เชื่อมั่นตอทะเลอาณาเขตของจีนในระยะ 12 ไมลแทะเล ในทุกความสัมพันธแกับจีนทางทะเล”193 (ดูภาพที่ 4.39)
193 Vietnamese Recognition and Support for China's Sovereignty Over Spratly Islands and Paracel Islands Prior to 1975,” in Vietnamese Claims on the Spratly Islands (Quan Dao Truong Sa). เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1LhMaPy 222
ภาพที่ 4.39 บันทึกทางการทูต (diplomatic note) นายฟาม วัน ดง (Pham Van Dong) นายกรัฐมนตรีของ เวียดนามเหนือ ลงวันที่ 14 กันยายน 2501/1958 รับรองการประกาศทะเลอาณาเขตและหมูเกาะตางๆ ใน ทะเลจีนใตของจีน (ที่มา: “Vietnamese Recognition and Support for China's Sovereignty Over Spratly Islands and Paracel Islands Prior to 1975,” in Vietnamese Claims on the Spratly Islands (Quan Dao Truong Sa). เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1BnbbbQ)
223
ตอมาในปี 2525/1982 เวียดนามไดประทวงแผนที่ใหม (New Map) หรือ เปอตา บารู (Peta Baru) ของมาเลเซีย หลังจากนั้นเป็นตนมาก็มีการแลกเปลี่ยนเอกสารบันทึกการประทวงอยางเป็นทางการระหวาง สองประเทศ ตามมาดวยการประกาศทะเลอาณาเขต (territorial water) ของเวียดนามซึ่งอางสิทธิ์เหนือพื้นที่ แนวปะการังสวอลโล (Swallow Reef) ในเดือนพฤศจิกายน 2525/1982 ตอมาอีก 2 เดือน คือ ในเดือน มกราคมปี 2526/1983 มาเลเซียไดสงบันทึกทางการทูตเพื่อปฏิเสธเสนฐาน (baseline) ของเวียดนาม และใน วันที่ 25 มีนาคม 2526/1983 เวียดนามจึงมีเอกสารตอบกลับไปยังมาเลเซียโดยระบุวาเสนฐานไหลทวีป (Continental Shelf Baseline) ของเวียดนามนั้นถูกตองเนื่องจากสอดคลองกับหลักกฎหมายระหวางประเทศ194 ในปี 2521/1978 มีการเผชิญหนาที่เกือบจะนําไปสูการปะทะกันเมื่อคณะของวิศวกรชาวมาเลเซียเดิน ทางเขาไปยังหมูเกาะอัมบอยญา เคยแ (Amboyna Cay) เพื่อปักเสาหินเป็นเครื่องหมายไวในบริเวณใกลกับเสา หินของเวียดนามซึ่งปักเอาไวกอนหนานั้น เนื่องจากเวียดนามเคยเขาไปครอบครองเกาะอัมบอยญา เคยแ (Amboyna Cay) ถึง 2 ครั้ง คือ ในปี 2499/1956 และ 2516/1973 แตไมเคยมีการอาศัยอยูอยางถาวร และ เมื่อมาเลเซียทําการปักเสาหินในปี 2521/1978 เวียดนามก็ไดกลับเขามายังเกาะนี้อีกครั้งในปี 2522/1979 และถอนเสาหินของมาเลเซียออก ทําใหเวียดนามไมถอนกําลังออกจากเกาะนับตั้งแตนั้นเป็นตนมา และยังทํา การกอสรางสิ่งอํานวยความสะดวกทางเรือและทางอากาศรวมถึงการสรางลานบินไวดวย โดยรวมแลวนับตั้งแต ปี 2539/1996 เวียดนามไดเขาไปครอบครองพื้นที่ในหมูเกาะสแปรตลียแจํานวน 25 แหง พรอมทั้งมีสิ่งปลูก สรางตางๆ และกองกําลังประจําการจํานวนกวา 600 นาย195
ฟิลิปปินส์ การอางสิทธิ์เหนือหมูเกาะสแปรตลียแของฟิลิปปินสแมีพื้นฐานมาจากความสนใจตอผลประโยชนแดาน ความมั่นคงและแหลงน้ํามันในนานน้ําทะเลจีนใตมาตั้งแตภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอางวาเกาะเหลานี้ เป็นดินแดนที่ไมมีเจาของ (terra nullius) หรือละทิ้งการครองครองไปนานแลว และไดประกาศอางสิทธิ์อยาง เป็นทางการในปี 2522/1979196 ฟิลิปปินสแอางถึงหลักการคนพบ (discovery) และความใกลเคียงในทาง ภูมิศาสตรแ (geographic contiguity)197 เมื่อนายทอมัส คลอมา (Thomas Cloma) ชาวฟิลิปปินสแอางวาเป็นผูคนพบมาตั้งแตปี 2490/1947 โดยมีคําแถลงการณแในวันที่ 16 พฤษภาคม 2499/1956 วาเขาไดครอบครองและใชประโยชนแหมูเกาะตางๆ จํานวน 33 เกาะ มีการทํามาหากินอยางตอเนื่องในพทนที่หมูเกาะสแปรตลียแเป็นพื้นที่รวมกวา 64,976 ตาราง ไมลแทะเล และตั้งชื่อหมูเกาะเหลานี้วากาลายาอัน (Kalayaan) ซึ่งแปลวา อิสระ (Freedom)198 ตอมาในเดือน เมษายน 2515/1972 ฟิลิปปินสแประกาศใหหมูเกาะกาลายาอัน (Kalayaan) เป็นเขตการปกครองสวนหนึ่งของ จังหวัดปาลาวัน (Palawan) และแตงตั้งใหนายนายทอมัส คลอมา (Thomas Cloma) เป็นที่ปรึกษาพิเศษของ เขตการปกครองแหงนี้ดวย199
194 Asri Salleh, Che Hamdan Che Mohd Razali and Kamaruzaman Jusoff. “Malaysia‖s policy towards its 1963 - 2008 territorial disputes,” Journal of Law and Conflict Resolution Vol. 1 (5) (October, 2009), p. 113. เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Qcka16 195 Ibid, p. 113. 196 โปรดดู สุรชัย ศิริไกร. อางแลว, หนา 51-57. 197 จันตรี สินศุภฤกษแ. อางแลว, หนา 7. 198 Thomas Cloma. Notice to the Whole World (May 15, 1956) อางใน สุรชัย ศิริไกร. อางแลว, หนา 51. 199 เพิ่งอาง, หนา 53. 224
ในชวงตนคริสตแทศวรรษ 1970 ฟิลิปปินสแเริ่มเขาไปครอบครองเกาะในหมูเกาะสแปรตลียแมากขึ้น เนื่อง เกิดจากความกังวลเรื่องความมั่นคงหลังจากเวียดนามรวมเป็นหนึ่งและปกครองในระบอบคอมมิวนิสตแอยาง สมบูรณแในปี 2518/1975 ตอมาในปี 2521/1978 ฟิลิปปินสแประกาศเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล ซึ่ง ครอบคลุมพื้นที่หมูเกาะกาลายาอัน (Kalayaan) นอกจากนี้ในวันที่ 11 มิถุนายน 2521/1978 ประธานาธิบดี เฟอรแดินานดแ มารแกอส (Ferdinand Marcos) ไดออกคําสั่งประธานาธิบดีหมายเลข 1596 (Presidential Decree No.1596) ประกาศใหเกาะจํานวน 33 แหงในหมูเกาะสแปรตลียแเป็นอาณาเขตของประเทศฟิ ลิปินสแ200 ในเดือนมีนาคมปี 2531/1998 ทหารฟิลิปปินสแพบวามาเลเซียไดสรางสิ่งปลูกสรางไวในพื้นที่ 2 แหง คือ สันดอนอินเวสติเกเตอรแ (Investigator Shoal) และ แนวปะการังเอริกา (Erica Reef) แตฟิลิปปินสแก็ไมไดทํา การประทวงอยางเป็นการ เนื่องจากไดรับคํายืนยันจากรัฐมนตรีตางประเทศของมาเลเซียในขณะนั้น คือ นาย อับดุลลาหแ บาดาวี (Abdullah Badawi) วา สิ่งปลูกสรางเหลานี้ไมใชการกระทําโดยรัฐบาลมาเลเซียและตอมา ในเดือนมิถุนายนปี 2532/1999 มาเลเซียไดทําการสรางอาคาร 2 ชั้น ลานจอดเฮลิคอปเตอรแ ทาเรือ และเสา อากาศเรดารแ ในพื้นที่ 2 แหงนี้เพิ่มเติม201 แตครั้งนี้ เวียดนามจีน และไตหวัน ไดประทวงการกระทําของ มาเลเซีย ตามมาดวยเหตุการณแปี 2531-2532/1998-1999 ซึ่งฟิลิปปินสแประทวงทางการทูตไปยังมาเลเซีย ระบุวามาเลเซียทําการลวงล้ําเขาไปยังสันดอนอินเวสติเกเตอรแ (Investigator Shoal) ซึ่งฟิลิปปินสแถือวาอยูใน เขตแดนของตน และกลาวหาวาการกระทําเชนนี้ของมาเลเซียเป็นการละเมิด “ปฏิญญาอาเซียนวาดวยทะเล จีนใต (ASEAN Declaration on The South China Sea)”เมื่อปี 2535/1992 ซึ่งลงนามที่มะนิลา หรือ ปฏิญญามะนิลา (Manila Declaration) ซึ่งตกลงกันวาประเทศสมาชิกจะยับยั้งปฏิบัติการตางๆ ของรัฐใน พื้นที่หมูเกาะสแปรตลียแ โดยฟิลิปปินสแเรียกรองใหแกปัญหาอยางสันติตามกลไก “สนธิสัญญามิตรภาพและ ความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC)” ปี 2519/1976 การปะทะกันระหวางมาเลเซียกับฟิลิปปินสแดําเนินไปดวยการใชคารมที่รุนแรงจากทั้งสองฝุาย จากนั้น นายมหาเธรแ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ไดกลาวย้ําวามาเลเซียไมไดบุกรุกเขา ไปในดินแดนของประเทศใด และกลาววาสิ่งปลูกสรางเหลานี้ทําขึ้นเพื่อการวิจัยสภาพภูมิอากาศ การศึกษา ชีวิตทางทะเล และการใหความชวยเหลือและสนับสนุนทางการเดินเรือ ทําใหนายโจเซฟ เอสตราดา (Joseph Estrada) ประธานาธิบดีฟิลิปปินสแ ตอบโตวาถาเป็นเชนนั้นจริง ฟิลิปปินสแก็อาจพิจารณาการเขาไปสรางสิ่ง ปลูกสรางของฝุายตนบาง202 ซึ่งฝุายมาเลเซียก็ตอบโตวาการกระทําของตนถูกตองแลวเพราะเป็นพื้นที่ซึ่งอยู ภายในเขตเศรษฐกิจจําเพาะของมาเลเซีย รัฐบาลฟิลิปปินสแไมเห็นดวยกับขอโตแยงของมาเลเซียและขูวาจะนํา เรื่องนี้เขาไปยังที่ประชุมสหประชาชาติ และตั้งแตปี 2539/1996 ฟิลิปปินสแสงกองกําลังจํานวน 595 นาย เขา ไปประจําในหมูเกาะสแปรตลียแ203 และในปัจจุบันฟิลิปปินสแยังคงครอบครองพื้นที่ทั้งหมดจํานวน 8 แหง ไดแก เกาะหนานซาน (Nanshan Island) เกาะแฟลท (Flat Island) เกาะถิตู (Thitu Island) เกาะเลาอิตา (Loaita or
200 โปรดดู ภาคผนวก 3 ตารางแสดงการอางสิทธิ์เสนฐานตรง (Straight Baseline) รัฐหมูเกาะ (Archipelagic Sate) การอางสิทธิ์ประวัติศาสตรแ (Historic Claim) ของประเทศตางๆ ในอาเซียน (ยกเวนลาว พมา และไทย) 201 Chung, Christopher. The Spratly Island Dispute: Decision Units and Domestic Politics unpublished doctoral dissertation (New South Wales University, New South Wales: 2004), p. 121. เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JX7JYk 202 Ibid, p. 122. 203 Asri Salleh, Che Hamdan Che Mohd Razali and Kamaruzaman Jusoff. Ibid, p. 112. 225
South Island) เกาะนอรแธอีสตแ เคยแ (Northeast Cay) เกาะเวสตแยอรแก (West York Island) พานาตา (Panata) และแนวปะการังคอมโมดอรแ (Commodore Reef) โดยยังไมมีการดําเนินการเพื่อระงับขอพิพาทใดๆ
มาเลเซีย มาเลเซียเริ่มตนการอางสิทธิ์เหนือลักษณะทางภูมิศาสตรแบางสวนของเกาะสแปรตลียแ โดยการอางสิทธิ์ ไหลทวีปตั้งแตวันที่ 28 กรกฎาคม 2509/1966204 และตอมาในวันที่ 21 ธันวาคม 2522/1979 ซึ่งมีการ จัดพิมพแแผนที่ใหม (New Map) หรือ เปอตา บารู (Peta Baru) โดยมาเลเซียถือวาลักษณะทางภูมิศาสตรแ เหลานี้อยูภายในไหลทวีปและเขตเศรษฐกิจจําเพาะของมาเลเซีย แตก็ถูกประทวงในทันทีจาก เวียดนาม ฟิลิปปินสแ บรูไน จีนและไตหวัน นอกจากนี้มาเลเซียยังอางหลักการตกทอดของดินแดนจากเจาอาณานิคม (uti possidetis) อังกฤษที่เคยครอบครองเกาะดังกลาวมากอน จนกระทั่งในวันที่ 19 พฤษภาคม 2526/1983 มาเลเซียแถลงอยางเป็นทางการวา สิทธิของมาเลเซียเหนือเกาะอัมบอยญา เคยแ (Amboyna Cay) และ แนว ปะการังสวอลโล (Swallow Reef) เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นจากลักษณะทางภูมิศาสตรแ แมจะมีการอางสิทธิ์ของ เวียดนามในแนวปะการังสวอลโล (Swallow Reef) แตมาเลเซียก็ยังเขายึดครองพื้นที่ในวันที่ 4 กันยายน 2526/1983 ทําใหฝุายเวียดนามทําการประทวงทันทีในวันที่ 7 กันยายน 2526/1983 ตอมาในปี 2531/1988 นายอับดุลลาหแ เช วาน (Abdullah Che Wan) รัฐมนตรีชวยวาการกระทรวงการตางประเทศของมาเลเซีย แถลงวาการอางสิทธิ์ของมาเลเซียนั้นถูกตองเนื่องจากสอดคลองกับหลักกฎหมายระหวางประเทศ และในปี 2535/1992 ยัง ดิเปอรแตวน อากง (Yang Dipertuan Agong) หรือ องคแประมุขของประเทศมาเลเซีย ได เดินทางเขาไปเยือนพื้นที่แนวปะการังสวอลโล (Swallow Reef) ซึ่งมีการสรางสิ่งปลูกสรางตางๆ เชน ลานบิน (airstrip) รีสอรแทประดาน้ํา (dive resort) และมีทหารประจําอยูจํานวนประมาณ 70 นาย205 ในปี 2540/1997 มาเลเซียยังอางสิทธิ์บริเวณสันดอนลูโคเนีย (Luconia Shoal) แตไมไดเขาครอบครอง โดยสันดอนนี้ ประกอบดวย 3 สวน ไดแก สันดอนลูโคเนียเหนือ (North Luconia Shoals/Gugusan Beting Raja Jarum) สันดอนลูโคเนียใต (South Luconia Shoals/Gugusan Beting Patinggi Ali) และพื้นน้ําลูโคเนียกลาง (Central Luconia Field) ซึ่งเป็นบริเวณที่มาเลเซียอนุญาตใหมีกิจกรรมดําน้ําของนักทองเที่ยวและยังทําการ วางทอก฿าซผานไปยังเมืองตันจุง กิดูรอง (Tanjung Kidurong) ในรัฐซาราวักดวย เนื่องจากมาเลเซียมีความ กังวลตอขอพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแ จึงไดยุติกิจกรรมในการครอบครองพื้นที่เพิ่มเติมตั้งแตปี 2542/1999 ปัจจุบันมาเลเซียเขาครอบครองพื้นที่ทั้งหมดจํานวน 11 แหง (ดูตารางที่ 4.6) มีการใหสัมปทานการขุดเจาะ น้ํามันแกบริษัทจากสหรัฐอเมริกา รวมทั้งพัฒนากองกําลังทหารและยุทโธปกรณแอยางตอเนื่อง มีกองเรือติดตั้ง ปูอมปืน มีการสรางสนามบินและโรงแรมสําหรับนักทองเที่ยว มาเลเซียไดรับงบประมาณในสวนนี้เป็นจํานวน มาก206
204 โปรดดู สุรชัย ศิริไกร. อางแลว. หนา 57-60. 205 Asri Salleh, Che Hamdan Che Mohd Razali and Kamaruzaman Jusoff. Ibid, p. 116. 206 จันตรี สินศุภฤกษแ. อางแลว, หนา 9. 226
ตารางที่ 4.6 แสดงลักษณะทางภูมิศาสตรแในหมูเกาะสแปรตลียแที่ถูกครอบครองโดยมาเลเซียในปัจจุบัน ลักษณะทางภูมิศาสตร์ (Features) ปีที่เข้าครอบรอง แนวปะการังอารแดาเซียรแ (Ardasier Reef/Terumbu Ubi) 2529/1986 ทหาร 20 นาย แนวปะการังดัลลัส (Dallas Reef/Terumbu Laya) 2530/1987 แนวปะการังเอริกา (Erica Reef/Terumbu Siput) 2541/1998 แนวปะการังลุยซา (Louisa Reef/Terumbu Semarang Barat Kecil) 2530/1987 แนวปะการังมาริวัลเลส (Marivales Reef/Terumbu Mantanani) 2529/1986 1 หมูทหาร(platoon) แนวปะการังรอยัลชารแลอตตแ (Royal Charlotte Reef/Terumbu Semarang Barat Besar) ไมปรากฏปี แนวปะการังสวอลโล (Swallow Reef/Terumbu Layang–Layang) 2526/1983 สันดอนลูโคเนียเหนือ (North Luconia Shoals/Gugusan Beting Raja Jarum) 2540/1997 สันดอนลูโคเนียใต (South Luconia Shoals/Gugusan Beting Patinggi Ali) 2540/1997 พื้นน้ําลูโคเนียกลาง (Central Luconia Field) 2540/1997 สันดอนอินเวสติเกเตอรแ (Investigator Shoal/Terumbu Peninjau) 2532/1999 ที่มา: Asri Salleh, Che Hamdan Che Mohd Razali and Kamaruzaman Jusoff. (2009), pp. 113.207
บรูไน บรูไนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจพึ่งพิงอยูกับการผลิตและสงออกน้ํามันและก฿าซธรรมชาติเป็นอันดับตนๆ ของโลก ดังนั้น เพื่อการปกปูองแหลงผลประโยชนแและความมั่นคงของประเทศจึงจําเป็นตองประกาศอางสิทธิ์ เหนือลักษณะทางภูมิศาสตรแบางสวนในหมูเกาะสแปรตลียแจํานวน 2 แหง ไดแก แนวปะการังลุยซา (Louisa Reef) และ แนวปะการังไรเฟิลแมน (Rifleman Reef) โดยอางวาอยูภายในเขตไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended Continental Shelf) เป็นระยะ 350 ไมลแทะเล โดยในเดือนกรกฎาคม 2536/1993 บรูไนได ประกาศเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล แตก็ไมไดสงกําลังทหารไปยึดครองพื้นที่เหลานั้น เนื่องจากขาด กําลังทหาร แตก็มีโครงการพัฒนาศักยภาพทางทหารทั้งทางเรือและทางอากาศ208
207 Ibid, p. 113. 208 จันตรี สินศุภฤกษแ. อางแลว, หนา 9. 227
จากที่กลาวมา สามารถสรุปเหตุผลที่แตละประเทศนํามาใชในการอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือหมูเกาะสแปรต ลียแไดตามตารางที่ 4.7 ดังนี้
ตารางที่ 4.7 สรุปเหตุผลที่ใชอางสิทธิ์อธิปไตยเหนือหมูเกาะสแปรตลียแของแตละประเทศ ประเทศ เหตุผลที่ใช้ในการอ้างสิทธิ์อธิปไตย จีนและไตหวัน อางสิทธิ์ประวัติศาสตรแ (historic claim) การคนพบ (discovery) การครอบครอง (occupation) การใชประโยชนแอยางตอเนื่อง (continuous usage) ประกาศทะเลอาณาเขตและเขตตอเนื่องตามแผนที่เสนประรูปตัวยู (U-Shape Line) เวียดนาม อางสิทธิ์ประวัติศาสตรแ (historic claim) การคนพบ (discovery) การครอบครอง (occupation) การใชประโยชนแอยางตอเนื่อง (continuous usage) การตกทอดของดินแดนจากเจาอาณานิคม (uti possidetis) ฟิลิปปินสแ ดินแดนที่ไมมีเจาของ (terra nullius) หรือละทิ้งการครองครองไปนานแลว การคนพบ (discovery) การครอบครอง (occupation) ความใกลเคียงในทางภูมิศาสตรแ (geographic contiguity) มาเลเซีย การตกทอดของดินแดนจากเจาอาณานิคม (uti possidetis) การอางสิทธิ์ไหลทวีป และ เขตเศรษฐกิจจําเพาะ การครอบครอง (occupation) บรูไน เขตเศรษฐกิจจําเพาะ และ ไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended Continental Shelf)
228
การก าหนดอาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ปัญหาสําคัญที่ทําใหเกิดขอพิพาทอธิปไตยเหนือบรรดาลักษณะภูมิศาสตรแในหมูเกาะสแปรตลียแ มักเกิด จากการอางสิทธิ์ “หลักการคนพบ (discovery)” และ “หลักการครอบครอง (occupation)” แมวาบางครั้ง ประเทศผูอางสิทธิ์ไมเคยมีกิจกรรมใดๆ ในหลายพื้นที่ของเกาะเหลานี้ เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศของเกาะ ไมเอื้ออํานวยตอการอยูอาศัย แตหลายประเทศก็ประกาศอางสิทธิ์อยางเป็นทางการวาเกาะเหลานี้อยูภายใต อธิปไตยของตน ทั้งนี้ ไมปรากฏวามีประเทศใดสามารถโนมนาวใหประเทศอื่นยอมรับเหตุผลในการอางสิทธิ์ ของตนไดอยางหนักแนนเพียงพอ แมวาจีนและไตหวันจะเคยโตแยงวาวิธีการกําหนดเสนเขตแดนแบบตะวันตก ไมควรนํามาใชในภูมิภาคเอเชีย แตก็ย้ําอีกหลายครั้งวาควรจะแกปัญหาทะเลจีนใตโดยใชหลักกฎหมายระหวาง ประเทศและหลักการในอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982209 และหากยึดตามหลักกฎหมายระหวางประเทศแลว การอางสิทธิ์ของแตละประเทศก็ไมคอย สมเหตุสมผล เนื่องจากประเทศผูอางสิทธิ์ไมสามารถแสดงใหเห็นไอยางชัดเจนถึงการใชประโยชนแในพื้นที่อยาง ตอเนื่อง (continuous usage) และมีการครอบครองอยางมีประสิทธิภาพ (effective occupation) เชนเดียวกับการแสดงความนิ่งเฉยของประเทศผูอางสิทธิ์รายอื่นซึ่งรูดีอยูแกใจวาหากขอพิพาทถูกนําเขาสู กระบวนระงับขอพิพาทโดยศาลหรืออนุญาโตตุลาการ ฝุายตนก็อาจจะไมไดรับชัยชนะ เพราะไมมีเหตุผลที่ หนักแนนเหนือกวาอีกฝุาย ดังนั้น ในระยะยาวประเทศผูอางสิทธิแตละรายอาจจะตองตัดสินใจละทิ้งประเด็น อํานาจอธิปไตยเอาไวกอน แลวหันมารวมกับประเทศผูอางสิทธิ์รายอื่นในการสรางขอตกลงพหุภาคีเพื่อการ พัฒนาทรัพยากรในพื้นที่พิพาท วิธีการดังกลาวไมใชการปฏิเสธการอางสิทธิ์อยางทางการ แตจะชวยรักษา สถานภาพทางกฎหมายและสามารถเปิดพื้นที่ใหมีการพัฒนาทรัพยากรเพื่อใหเกิดประโยชนแสูงสุดแก ประเทศชาติและประชาชนในภูมิภาค ประเทศคูพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแตางเป็นภาคีของอนุสัญญา สหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982210 ซึ่งหลายประเทศแสดงทาทีวาจะสามารถนําไปใชเพื่อแกไขปัญหาได หลักการกําหนดอาณาเขตทางทะเลของลักษณะทางภูมิศาสตรแในหมูเกาะสแปรตลียแ ตามที่ระบุไวใน ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 และหลักการดั้งเดิมของกฎหมายจารีตประเพณี ระหวางประเทศ มีดังตอไปนี้
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่จมอยู่ใต้ผิวน้ าในขณะน้ าขึ้นสูงสุด (submerged features) ไม่สามารถใช้ เพื่อก าหนดอาณาเขตทางทะเลได้ ขอ 121 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 กําหนดวา ระบบของเกาะ คือ 1. เกาะคือบริเวณแผนดินที่กอตัวขึ้นตามธรรมชาติ โดยมีน้ําลอมรอบ ซึ่งอยูเหนือน้ําในขณะน้ําขึ้นสูงสุด 2. เวนแตที่ไดบัญญัติไวในวรรค 3 ทะเลอาณาเขต เขตตอเนื่อง เขตเศรษฐกิจจําเพาะและไหลทวีปของ เกาะ ใหพิจารณากําหนดตามบัญญัติแหงอนุสัญญานี้ซึ่งบังคับใชกับอาณาเขตทางบกอื่น
209 Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 66. 210 โปรดดู ภาคผนวก 8 ตารางแสดงการลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 ปี 2525/1982 (UNCLOS II) ของประเทศในอาเซียน (ยกเวนลาวและพมา) 229
3. โขดหินซึ่งโดยสภาพแลวมนุษยแไมสามารถอยูอาศัยหรือยังชีพทางเศรษฐกิจได จะไมมีเขตเศรษฐกิจ จําเพาะหรือไหลทวีป211 ดังนั้น การที่แตละประเทศอางสิทธิ์อาณาเขตทางทะเลโดยใชลักษณะทางภูมิศาสตรแ เชน สันดอนหรือ หาดทราย (bank/shoal) เกาะเตี้ยเล็กๆ สันดอน หรือ โขดหิน ที่เรียกวา เคยแ (cay) โขดหินหรือแนวปะการัง (reef) สันดอนจมน้ํา (submerged bank) หรือ แนวปะการังแบบวงแหวนหรือเกือกมา (atoll) ซึ่งจมใตผิวน้ํา ในขณะน้ําขึ้นสูงสุด (submerged water at high tide) และแมวาที่แหงนั้นจะมีสิ่งปลูกสรางที่ไมไดเกิดขึ้น ตามธรรมชาติตั้งอยูก็ตาม ก็ถือวาไมสามารถใชเพื่อกําหนดอาณาเขตทางทะเลโดยชอบดวยกฎหมายได แตปรากฏวาในบรรดาเกาะเล็กเกาะนอยของหมูเกาะสแปรตลียแมีจํานวน 25 – 35 เกาะ ของทั้งหมด ราว 80 –90 เกาะ ที่อยูพนผิวน้ําในขณะน้ําขึ้นสูงสุด ทําใหลักษณะภูมิศาสตรแเหลานี้ก็มีคุณสมบัติเป็น “เกาะ” ตามขอ 121 อยางไรก็ตาม ขอยอยที่ 3 ของขอ 121 ดังกลาว ก็ระบุเอาไวดวยวา “โขดหินซึ่งโดยสภาพแลว มนุษยแไมสามารถอยูอาศัยหรือยังชีพทางเศรษฐกิจได จะไมมีเขตเศรษฐกิจจําเพาะหรือไหลทวีป” เป็นที่ทราบตลอดมาวาบรรดาลักษณะภูมิศาสตรแในหมูเกาะสแปรตลียแไมเคยมีใครอาศัยอยู จะมีก็เพียง ชาวประมงซึ่งแวะเวียนเขามาพักพิงเป็นครั้งคราว แตก็ไมมีการตั้งถิ่นฐานอาศัยอยูอยางถาวรเพราะในพื้นที่ของ เกาะตางๆ นั้นไมสามารถปักหลักเพื่อการยังชีพทางเศรษฐกิจไดดวยตนเอง ถอยคําตามขอยอยที่ 3 ของขอ 121 นั้นกําหนดใหมีการอาศัยอยูและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ตองสามารถยังชีพอยูไดดวยตนเอง ดังนั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจเทียมซึ่งตองอาศัยการสนับสนุนจากประชากรที่อยูหางไกล เพื่อประโยชนแในการ ครอบครองอาณาเขตทางทะเลยอมไมมีเหตุผลเพียงพอ212 งานศึกษาของกิเดล (Gidel) ใหคํานิยามวาลักษณะภูมิศาสตรแแบบเกาะที่สามารถนํามาใชเพื่อกําหนด อาณาเขตทางทะเลไดคือพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการดํารงชีวิตของผูคนจํานวนอยางนอย 50 คน และหมู เกาะสแปรตลียแไมมีคุณสมบัติตามคํานิยามดังกลาว213 ทําใหไมสามารถกําหนดเขตเศรษฐกิจจําเพาะและไหล ทวีปได สิ่งที่สําคัญมากกวานั้นคือปฏิบัติการของรัฐ เชน เวียดนามในขณะนี้ดูเหมือนวาจะยอมรับเหตุผลที่วา ลักษณะภูมิศาสตรแของหมูเกาะสแปรตลียแไมสามารถกําหนดเขตเศรษฐกิจจําเพาะและไหลทวีปได เชนเดียวกับ เอกอัครราชทูตฮัสจิม จาลาล (Hasjim Djalal) ของอินโดนีเซียซึ่งก็ไดกลาวถึงปัญหาดังกลาวดวย214 แตจีน และไตหวันยังยืนยันวาลักษณะภูมิศาสตรแของหมูเกาะสแปรตลียแสามารถใชเพื่อขยายอาณาเขตทางทะเลได โดยสรุปแลว ถาลักษณะภูมิศาสตรแของหมูเกาะสแปรตลียแไมสามารถใชเพื่อกําหนดอาณาเขตทางทะเล ได ดังนั้น ทางออกที่นาจะเป็นไปไดคือการยอมใหลักษณะภูมิศาสตรแเหลานี้กําหนด “อาณาเขตทางทะเล ภูมิภาค (regional maritime zone)” ซึ่งทุกประเทศผูอางสิทธิ์สามารถรวมกันใชประโยชนแและบริหารจัดการ โดยการเปลี่ยนชื่อทะเลแหงนี้เป็น “ทะเลกลางอาเซียน (ASEAN Middle Sea)” เพราะอยางนอยบรรดาเกาะ ตางๆ ในหมูเกาะสแปรตลียแมีผูคนภายในของภูมิภาคเดินทางแวะเวียนเขามาใชประโยชนแอยูตลอดเป็นเวลา
211 กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการตางประเทศ, หนังสืออนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล 1982 (พิมพแครั้งที่ 1 กันยายน 2548), หนา 51. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1KkOSmG และ ฉบับภาษาอังกฤษเขาถึงไดจาก http://bit.ly/1dSph2X 212 Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 68. 213 Jon M. Van Dyke & Dale L. Bennett. “Islands and the Delimitation of Ocean Space in the South China Sea,” in Ocean Yearbook 10 (1993), pp. 75-80, 89. 214 ดูเพิ่มเติมใน Summary of Proceedings of the First Technical Working Group Meeting on Legal Matters in the South China Sea (Phuket, Thailand: July 2-5, 1995), p. 10. อางใน Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 69. 230
ยาวนานหลายศตวรรษ ดวยการมองวาเป็นแหลงทรัพยากรที่มนุษยแสามมารถใชรวมกัน ตัวอยางเชน ในกรณี อาวฟอนเซคา (Gulf of Fonseca) ระหวาง ฮอนดูรัส นิการากัว และ เอลซัลวาดอรแ ซึ่งยอมรับหลักการ “คอนโดมีเนียม (condominium)” ซึ่งทุกประเทศมีกรรรมสิทธิ์รวมกันในทะเลประวัติศาสตรแ (historic water) แหงนี้215
สถานะทางกฎหมายของลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะเทียม (Artificial lslands) ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ขอยอยที่ 8 ของขอ 60 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ระบุเอาไวอยางชัดเจนวา “เกาะเทียม สิ่งติดตั้ง และสิ่งกอสรางที่ไมมีสถานะเป็นเกาะ สิ่งเหลานี้ไมมีอาณาเขตทางทะเลของ ตนเอง และการที่มีสิ่งเหลานี้อยูไมกระทบกระเทือนการกําหนดขอบเขตของทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจ จําเพาะ หรือไหลทวีป”216 จีนและไตหวันเขายึดครอง แนวปะการังซูบี (Subi Reef) แนวปะการังจอหแนสัน (Johnson Reef) และ แนวปะการังมิสชีฟ (Mischief Reef) ในขณะที่มาเลเซียยึดครอง แนวปะการังดัลลัส (Dallas Reef) และ บริเวณสันดอนอินเวสติเกเตอรแ (Investigator Shoal)217 สวนเวียดนามก็เขายึดครอง สันดอนแวงการแด (Vanguard Bank) และ สันดอนปรินซแออฟเวลสแ (Prince of Wales Banks) โดยลักษณะทางภูมิศาสตรแที่ กลาวมาทั้งหมดตรงกับนิยาม “เกาะเทียม” ในขอยอยที่ 8 ของขอ 60 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งกําหนดขึ้นเพื่อ ปูองกันไมใหประเทศตางๆ สรางสิ่งปลูกสรางตามแนวปะการังหรือพื้นที่ซึ่งอยูพนผิวน้ําในขณะน้ําลดต่ําสุด แลวนําไปใชอางสิทธิ์เพื่อกําหนดอาณาเขตทางทะเลของตน
การก าหนดทะเลอาณาเขต (Territorial Water) ของลักษณะทางภูมิศาสตร์ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ขอ 3 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 กําหนด ความกว้างของทะเลอาณาเขต วา “รัฐทุก รัฐมีสิทธิกําหนดความกวางของทะเลอาณาเขตของตนไดจนถึงขอบเขตหนึ่งซึ่งไมเกิน 12 ไมลแทะเล โดยวัดจาก เสนฐานที่กําหนดขึ้นตามอนุสัญญานี้”218 รวมทั้งขอ 121 ก็ระบุชัดเจนวาภูมิประเทศซึ่งอยูพนผิวน้ําในขณะน้ํา ขึ้นสูงสุดสามารถนํามาใชเพื่อกําหนดทะเลอาณาเขต (Territorial Water) ได เวียดนามออกแถลงการณแวาดวยทะเลอาณาเขต 12 ไมลแทะเลรอบเกาะสแปรตลียแในปี 2520/1977 และจีนก็ออกกฎหมายวาดวยทะเลอาณาเขตในปี 2535/1992219 สวนมาเลเซียประกาศอางสิทธิ์ทะเลอาณา
215 โปรดดู International Court of Justice. Case concerning the Land, Island and Maritime Frontier Dispute (El Salvador/Honduras: Nicaragua intervening) (El Salvador v. Honduras), Judgment of 11 September 1992. เขาถึงเมื่อ 19 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1LnIjR8 216 กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. อางแลว, หนา 27. 217 สันดอนอินเวสติเกเตอรแ (Investigator Shoal) หรือรูจักในชื่ออื่นๆ เชน จีน เรียกวา หวียา อานซา (Yuya Ansha - 榆亚暗沙) มาเลเซีย เรียกวา เตอรัมบู เปินนินเจา (Terumbu Peninjau) ฟิลิปปินสแ เรียกวา ปาวิกัน (Pawikan) และ เวียดนาม เรียกวา บเาย ถาม เหี่ยม (bãi Thám hiểm) ซึ่งตั้งอยูพิกัดที่ละติจูด 8 องศา 10 ลิปดา เหนือ และ ลองจิจูด 114 องศา 40 ลิปดา ตะวันออก มีสวนที่อยูพนผิวน้ําในขณะน้ําลดต่ําสุด มีหินขนาดใหญหลายกอนลอมรอบอยูทางดานตะวันตก สุด ซึ่งทําใหเกิดลักษณะของภูมิประเทศแบบทะเลสาบบนเกาะหินปะการัง หรือ ลากูน (lagoon) 218 กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. อางแลว, หนา 5. 219 เวียดนามออกแถลงการณแในวันที่ 12 พฤษภาคม 2520/1977 และจีนออกกฎหมายวาดวยทะเลอาณาเขต และเขตตอเนื่อง (Law on the Territorial Sea and the Contiguous Zone of February 25, 1992) ในวันที่ 25 231
เขต 12 ไมลแทะเล รอบแนวปะการังสวอลโลว (Swallow Reef) และเกาะอัมบอยญา เคยแ (Amboyna Cay) แตไมมีการประกาศรอบเกาะอื่นๆ ของหมูเกาะสแปรตลียแซึ่งมาเลเซียอางสิทธิ์ แมวาของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 จะรับรองการประกาศทะเลอาณาเขต 12 ไมลแทะเล รอบชายฝั่งและหมูเกาะ แตก็ไมจําเป็นที่จะตองใชตัวเลข 12 ไมลแทะเลตามที่ระบุไวเสมอไป เพราะใน อนุสัญญาฯ ขอ 300 วาดวยเรื่อง “ความสุจริตและการใชสิทธิในทางที่ผิด”220 ไดย้ําเตือนใหประเทศตางๆ ตองไมใชสิทธิภายใตอนุสัญญาฯ ในลักษณะที่เป็นการเอาเปรียบประเทศอื่นๆ ตัวอยางที่สามารถพบไดในกรณี ที่รัฐไดทําความตกลงที่จะกําหนดทะเลอาณาเขตนอยกวา 12 ไมลแทะเลรอบหมูเกาะ เชน การประกาศทะเล อาณาเขต 3 ไมลแทะเล กรณีเกาะอิสลา ปาตอส (Isla Patos) ระหวางเวเนซุเอลา (Venezuela) กับตรินิแดด และโตเบโก (Trinidad and Tobago) หรือ กรณีเกาะเดญิญนาหแ (Dayyinah) ระหวางอาบูดาบี (Abu Dhabi) กับกาตารแ (Qatar) และ กรณีหมูเกาะในชองแคบตอรแเรส (Torres Strait) ระหวางออสเตรเลียกับ ปาปัวนิวกินี เชนเดียวกับหมูเกาะในทะเลอีเจียน (Aegean Sea) ก็กําหนดทะเลอาณาเขตเพียง 6 ไมลแทะเล221 เอกอัครราชทูตฮัสจิม จาลาล (Hasjim Djalal) ตั้งขอสังเกตวาลักษณะทางภูมิศาสตรแในหมูเกาะสแปรต ลียแไมนาจะมีสิทธิ์กําหนดทะเลอาณาเขตได แตก็ควรจะไดรับการสงวนสิทธิ์เพื่อกําหนด “เขตปลอดภัย (safety zones)”222 ซึ่งประเทศผูอางสิทธิ์นาจะตกลงกันไดบนพื้นฐานแนวคิดที่วาทรัพยากรในพื้นที่ควรจะถูกนํามาใช รวมกันเพื่อประโยชนแของประชาคมอาเซียนโดยรวม
แนวทางการก าหนดไหล่ทวีปของประเทศผู้อ้างสิทธิ์ ลักษณะทางภูมิศาสตรแของทะเลจีนใตมีความทาทายตอการตีความและการใชขอ 76223 ของอนุสัญญา สหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ซึ่งเป็นที่แนชัดแลววาลําพังเพียงลักษณะทางภูมิศาสตรแของหมู เกาะสแปรตลียแนั้นไมสามารถนํามาใชเพื่อกําหนดเขตเศรษฐกิจจําเพาะหรือไหลทวีปได ดังนั้น อาณาเขตทาง ทะเลอาจถูกกําหนดไดโดยการใชอาณาเขตทางบกหรือผืนแผนดินบนเกาะใหญของประเทศผูอางสิทธิ์ ไหลทวีปทางดานตะวันออกเฉียงใตของเวียดนาม และทางดานตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐซาราวักของ มาเลเซีย หรือ อาณาเขตทางทะเลของบรูไนขยายออกไปเกิน 200 ไมลแทะเล จากชายฝั่งที่ไมตอเนื่อง (irrespective coasts) ซึ่งบทบัญญัติในขอยอยที่ 5 ของขอ 76 ของอนุสัญญาฯ เปิดชองใหเวียดนามและ มาเลเซียสามารถอางสิทธิ์ในทรัพยากรบนไหลทวีปขยายออกไปไดถึง 350 ไมลแทะเล ในกรณีที่ไมปรากฏวามี การอางสิทธิ์ซอนทับโดยประเทศอื่น ไหลทวีปของมาเลเซียขยายออกไปทางทิศเหนือและทิศตะวันออก สวน
กุมภาพันธแ 2535/1992 และคําสั่งประธานาธิบดีแหงสาธารณรัฐประชาชนจีน หมายเลข 55 (Order of the President of the People‖s Republic of China No.55) 220 มาตรา 300 ความสุจริตและการใชสิทธิในทางที่ผิด “ใหรัฐภาคีปฏิบัติตามพันธกรณีที่ยอมรับตามอนุสัญญานี้โดย สุจริต และใหใชสิทธิ เขตอํานาจและเสรีภาพที่ไดรับการรับรองในอนุสัญญานี้ ในลักษณะซึ่งจะไมเป็นการใชสิทธิในทางที่ผิด” กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. อางแลว, หนา 128. 221 Jon M. Van Dyke. “An Analysis of the Aegean Dispues Ynder International Law,” Ocean Development and International Law 63 (2005), pp. 83-85. 222 Summary of Proceedings of the First Technical Working Group Meeting on Legal Matters in the South China Sea (Phuket, Thailand: July 2-5, 1995), p. 10. อางใน Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 71. 223 โปรดดู ขอ 76 อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982, กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. อางแลว, หนา 36-37. 232
ไหลทวีปของบรูไนนั้นไมสามารถอางสิทธิ์ไดเนื่องจากมีรองน้ําปาลาวันตะวันออก (East Palawan Trough) อยูใกลแนวชายฝั่ง การอางสิทธิ์ไหลทวีปของฟิลิปปินสแก็ไมสามมารถทําไดเชนกัน เนื่องจากรอยตัดชั้นความลึก (deep indentation) ในพื้นทะเลอยูทางตะวันตกของขอบทวีปหลักของฟิลิปปินสแ224
คณะกรรมาธิการก าหนดขอบเขตของไหล่ทวีป (Commission on the Limits of the Continental Shelf – CLCS) ขอ 76 และภาคผนวก 2 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 กําหนดใหมี คณะกรรมาธิการกําหนดขอบเขตของไหลทวีป (Commission on the Limits of the Continental Shelf – CLCS) จํานวน 21 คน มีหนาที่รับผิดชอบในการพิจารณาการอางสิทธิ์ไหลทวีปของรัฐชายฝั่งที่กําหนดไหลทวีป ของตนเกินกวา 200 ไมลแทะเล เนื่องจากหลักเกณฑแที่คอนขางซับซอนของขอ 76 จึงมีความจําเป็นที่จะตองมี องคแกรกลางเพื่อพิจารณาการอางสิทธิ์ไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended Continental Shelf - ECS) แตก็ ไมมีความชัดเจนวาคณะกรรมาธิการฯ ควรจะปฏิบัติอยางไรในกรณีที่มีการอางสิทธิ์ทับซอนกัน แมแตขอยอยที่ 6 ของขอ 76 ซึ่งกลาวถึง “การใหขอเสนอแนะ (recommendation)” ซึ่งคําตัดสินของคณะกรรมาธิการฯ ตองไดรับการยอมรับโดยประเทศคูพิพาท หากมีประเทศใดในทะเลจีนใตยื่นคํารองตอคณะกรรมาธิการฯ คํา ตัดสินของคณะกรรมาธิการฯ จะตองเกิดผลโดยจะกลายเป็นหลักการที่มีนัยสําคัญตอการปักปันเขตแดน ภายในภูมิภาคอยางเป็นมาตรฐานเดียวกัน ในเดือนพฤษภาคม 2552/2009 มาเลเซียและเวียดนามรวมกันเสนอรายงานไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended Continental Shelf - ECS) เกินกวา 200 ไมลแทะเล ในทะเลจีนใต ใหแกคณะกรรมาธิการฯ แตยังไมได รับการรับรอง225 (ดูภาพที่ 4.40) ตอมาจีนไดสงสารบันทึกวาจา (Note Verbale) เลขที่ CML/17/2009 ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2552/2009 เพี่อประทวงการนําเสนอรายงานรวมของมาเลเซียและเวียดนาม หลังจากนั้นประเทศตางๆ ที่เกี่ยวของก็สงสารบันทึกวาจาเพื่อประทวงรายงานรวมของมาเลเซียและเวียดนามดังแสดงในตารางที่ 4.8
ตารางที่ 4.8 แสดงสารบันทึกวาจา (Note Verbale) เพื่อประทวงรายงานไหลทวีปรวมของมาเลเซียและเวียดนาม ประเทศ วันที่ เนื้อหาของสารบันทึกวาจา (Note Verbale) เข้าถึงเอกสารได้ที่ จีน 7 พฤษภาคม จีนมีอธิปไตยเหนือหมูเกาะในทะเลจีนใต และเรียกรอง http://bit.ly/QKlRLV 2551/2009 คณะกรรมการฯ ไมใหพิจารณารายงานรวมของมาเลเซีย และเวียดนาม เวียดนาม 8 พฤษภาคม เกาะพาราเซล และสแปรตลียแเป็นสวนหนึ่งของดินแดน http://bit.ly/1H3FaYS 2551/2009 เวียดนาม และมีอธิปไตยเหนือหมูเกาะเหลานี้ การอางสิทธิ์ ของจีนตามบันทึกวาจาดังกลาวไมถูกตองตามขอเท็จจริง ทางกฎหมายและประวัติศาสตรแ
224 Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 71. 225 โปรดดู Commission on the Limits of the Continental Shelf (CLCS). “Outer limits of the continental shelf beyond 200 nautical miles from the baselines: Submissions to the Commission: Joint submission by Malaysia and the Socialist Republic of Viet Nam,” in Division for Ocean Affairs and the Law id the Sea, United Nations, Updated on May 3, 2011. เขาถึงเมื่อ 19 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1dFX7zg 233
ประเทศ วันที่ เนื้อหาของสารบันทึกวาจา (Note Verbale) เข้าถึงเอกสารได้ที่ มาเลเซีย 20 พฤษภาคม มาเลเซียไดแจงใหจีนทราบกอนที่จะมีการนําเสนอรายงาน http://bit.ly/1FrItSa 2551/2009 รวมระหวางมาเลเซียกับเวียดนามแลว ฟิลิปปินสแ 4 สิงหาคม ฟิลิปปินสแขอเรียกรองใหคณะกรรมการฯ ระงับการพิจารณา http://bit.ly/1Swk0Vo 2551/2009 รายงานรวมระหวางมาเลเซียกับเวียดนาม จนกวาจะสามารถ แกปัญหาขอพิพาทไดสําเร็จ เวียดนาม 18 สิงหาคม รายงานของเวียดนามไมเกี่ยวกับการกําหนดเสนเขตแดน http://bit.ly/1RhclYx 2551/2009 ของรัฐที่มีชายฝั่งตรงขามหรือประชิดกันซึ่งจะไมกระทบกับ สิทธิของรัฐคูพิพาทเขตแดนทางบกและทางทะเล มาเลเซีย 21 สิงหาคม มาเลเซียไดแจงใหฟิลิปปินสแทราบกอนที่จะมีการนําเสนอรายงาน http://bit.ly/1TBvfx4 2551/2009 รวมระหวางมาเลเซียกับเวียดนามแลว และยังเสนอใหฟิลิปปินสแรวม เสนอดวย และอางอิงคําตัดสินศาลโลกกรณีการคัดคานคดีสิปาดัน-ลิ กิตัน ซึ่งขี้วาการอางสิทธิ์ของฟิลิปปินสแเหนือดินแดนบอรแเนียว เหนือไมอยูภายใตหลักกฎหมายระหวางประเทศ ดังนั้นจึงขอให คณะกรรมการฯ พิจารณารายงานรวมระหวางมาเลเซียกับเวียดนาม อินโดนีเซีย 8 กรกฎาคม อินโดนีเซียไมไดเป็นคูพิพาทในปัญหาหมูเกาะในทะเลจีนใต และเป็น http://bit.ly/1MSxTt1 2553/2010 ผูพยายามไกลเกลี่ยดวยแนวทางสันติมาตั้งแตปี 2533/1990 อินโดนีเซียเห็นวา “แผนที่ 9 เสนประ” ของจีนขาดไมถูกตองตาม หลักกฎหมายระหวางประเทศและยังเป็นการคว่ําอนุสัญญา สหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ปี 2525/1982 ดวย ฟิลิปปินสแ 5 เมษายน 1. ฟิลิปปินสแมีอธิปไตยเหนือหมูเกาะกาลายาอัน http://bit.ly/UIt1Cp 2554/2011 2. ฟิลิปปินสแมีอธิปไตยเหนือนานน้ําของหมูเกาะนี้ 3. จีนไมมีสิทธิ์เหนือทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจําเพาะ และไหลทวีปของลักษณะภูมิศาสตรแตางๆ ตามหลัก กฎหมายระหวางประเทศ จีน 14 เมษายน จีนมีสิทธิอธิปไตยเหนือหมูเกาะหนานชาหรือสแปลตลียแ http://bit.ly/1ITHorj 2554/2011 รวมทั้งทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจําเพาะ และไหลทวีป ตามที่ เคยประกาศไวตั้งแตปี 2535/1992 และ 2541/1998 เวียดนาม 3 พฤษภาคม หมูเกาะพาราเซล และ สแปรตลียแเป็นสวนสําคัญของเขต http://bit.ly/1IoYmLu 2554/2011 แดนเวียดนาม และเวียดนามมีหลักฐานทางประวัติศาสตรแ และกฎหมายที่จะยืนยันสิทธิอธิปไตยเหนือหมูเกาะทั้งสองนี้
234
ภาพที่ 4.40 แผนที่แสดงพื้นที่ที่กําหนดทางตอนใตของทะจีนใต (Defined Area in the southern part of the South China Sea) ตามรายงานรวมระหวางมาเลเซียกับเวียดนามวาดวยไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended Continental Shelf - ECS) เกินกวา 200 ไมลแทะเล (ที่มา: Excutive Summary, Joint Submission to the Commission on the Limits of the Continental Shelf เขาถึงเมื่อ 19 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1GWteWX)
235
เส้นมัธยะ (Equidistance) กับการก าหนดอาณาเขตทางทะเล ขอ 6 ของอนุสัญญาวาดวยไหลทวีป (Convention on the Continental Shelf) ปี 2501/1958 และ ขอ 12 ของอนุสัญญาวาดวยทะเลอาณาเขตและเขตตอเนื่อง (Convention on the Territorial Sea and the Contiguous Zone) ปี 2501/1958226 กําหนดหลักการเรื่อง “เสนมัธยะ (equidistance)” โดยใหถือ เป็นวิธีการเพื่อแกปัญหาการอางสิทธิ์บริเวณนานน้ําโดยรอบ ภายใตหลักการนี้ พื้นที่พิพาทจะแบงตามแนว เสนมัธยะระหวางประเทศคูพิพาท แตในอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 จะหลีกเลี่ยง การใช “เสนมัธยะ (equidistance)” แตใชขอยอยที่ 1 ของขอ 74 และขอยอยที่ 1 ของขอ 83 ซึ่งกําหนด หลักเกณฑแในการแกไขขอพิพาทโดยตรง “การกําหนดขอบเขตของเขตเศรษฐกิจจําเพาะระหวางรัฐที่มีฝั่งทะเล ตรงขามหรือประชิดกัน ใหกระทําโดยความตกลงบนมูลฐานของกฎหมายระหวางประเทศ ตามที่อางถึงในขอ 38 แหงธรรมนูญศาลยุติธรรมระหวางประเทศ เพื่อใหบรรลุผลอันเที่ยงธรรม”227 จุดประสงคแของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ก็เพื่อใหบรรลุผลตาม “หลักการความเที่ยงธรรม (equitable principle)” ซึ่งเกี่ยวของโดยตรงมากที่สุดกับขอพิพาทในทะเลจีนใต เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตรแในหมูเกาะสแปรตลียแไมมีคุณสมบัติที่จะสามารถนําไปกําหนดอาณาเขตทาง ทะเลได และแมวาในบางกรณีเกาะบางแหงในหมูเกาะสแปรตลียแจะถูกเขาใจวาสามารถนําไปใชเพื่อกําหนด อาณาเขตทางทะเลไดก็ตาม แตก็ไมสามารถทําไดอยางเทาเทียมกับอาณาเขตทางทะเลที่เกิดจากการกําหนด โดยการใชอาณาเขตทางบกหรือผืนแผนดินบนเกาะใหญ
การจัดการทะเลหลวง (High Seas) หลังจากมีการก าหนดอาณาเขตทางทะเล ถาหากสามารถกําหนดอาณาเขตทางทะเลตามอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยอนุสัญญาสหประชาชาติ วาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ไดสําเร็จแลว พื้นที่ซึ่งอยูเลยออกไปจากอํานาจอธิปไตยของประเทศตางๆ ยอมจะยังคงอยูบริเวณตอนกลางของทะเลจีนใต ทรัพยากรประมงในพื้นที่นี้จะไดรับการดูแลตามขอ 116 – 119 ของอนุสัญญาและความตกลงวาดวยทรัพยากรสัตวน้ําครอมเขตและอพยพยายถิ่น (Agreement on Straddling and Migratory Stocks) ปี 2538/1995 แรธาตุและแหลงทรัพยากรไฮโดรคารแบอนในทองทะเล และในพื้นที่เกินกวาเขตอํานาจอธิปไตยของรัฐซึ่งมีความสําคัญมากกวาขอพิพาทเขตแดน จะไดรับการ ควบคุมดูแลโดย องคแการพื้นสมุทรระหวางประเทศ (International Sea-Bed Authority) แตก็ยังไมมีความ ชัดเจนวา องคแกรนี้จะมีวิธีดําเนินการอยางไรในพื้นที่ทะเลกึ่งปิดอยางทะเลจีนใต เพราะการสํารวจและใช
226 อนุสัญญากรุงเจนีวาวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 1 (United Nations Convention on the Law of the Sea – UNCLOS I) ปี 2501/1958 ประกอบดวยกฎหมาย 4 ฉบับ ไดแก 1.อนุสัญญาวาดวยทะเลอาณาเขตและเขตตอเนื่อง (Convention on the Territorial Sea and the Contiguous Zone) 2. อนุสัญญาวาดวยทะเลหลวง (Convention on the High Seas) 3. อนุสัญญาวาดวยการทําประมงและการอนุรักษแทรัพยากรที่มีชีวิตในทะเลหลวง (Convention on Fishing and Conservation of the Living Resources of the High Seas) และ 4. อนุสัญญาวาดวยไหลทวีป (Convention on the Continental Shelf) ราชกิจจานุเบกษา (เลมที่ 86 ตอนที่ 44 วันที่ 20 พฤษภาคม 2512) เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EObU2c 227 ขอยอยที่ 1 ของขอ 74 การกําหนดขอบเขตของเขตเศรษฐกิจจําเพาะระหวางรัฐที่มีฝั่งทะเลตรงขามหรือประชิดกัน อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 ปี 2525/1982 กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. อางแลว, หนา 34. 236
ประโยชนแจากทรัพยากรที่พบในพื้นทะเลตองไดรับการอนุมัติจาก องคแการพื้นสมุทรระหวางประเทศ (International Sea-Bed Authority) แตการมีคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับภูมิภาคยอมเป็นผลดีตอการมี สวนรวมในการตัดสินใจระดับภูมิภาค
ประเทศผู้อ้างสิทธิ์มีหน้าที่ให้ความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรและการปกป้องสิ่งแวดล้อมใน พื้นที่ทะเลกึ่งปิด (Semi-Enclosed Sea) ขอ 122 และ 123 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ไดวางแนวคิดเรื่อง “ทะเลกึ่ง ปิด (Semi-Enclosed Sea)” และเรียกรองใหประเทศที่มีอาณาเขตติดตอกับทะเลกึ่งปิดตองใหความรวมมือใน การจัดการกิจกรรมและปัญหาตางๆ ที่จะเกิดขึ้น ซี่งทะเลจีนใตมีลักษณะทางภูมิศาสตรแสอดคลองตามคํานิยาม ของขอ 122 ที่กลาววา “ทะเลปิดหรือกึ่งปิด หมายถึง อาว แอง หรือทะเลที่ลอมรอบโดยรัฐสองรัฐหรือ มากกวา และเชื่อมกับอีกทะเลหนึ่งหรือมหาสมุทร โดยชองทางออกแคบ หรือประกอบขึ้นทั้งหมดหรือสวน ใหญดวยทะเลอาณาเขตและเขตเศรษฐกิจจําเพาะของรัฐชายฝั่งสองรัฐหรือมากกวา” และ ขอ 123 กําหนดให รัฐชายฝั่ง “จะเพียรพยายามโดยตรงหรือโดยผานองคแกรระดับภูมิภาค ที่เหมาะสมที่จะ (เอ) ประสานงานการ จัดการ การอนุรักษแ การสํารวจ และการแสวงประโยชนแจากทรัพยากรมีชีวิตในทะเล (บี) ประสานงานการใช สิทธิและการปฏิบัติหนาที่ของตนในสวนที่เกี่ยวกับการปูองกันและการรักษาสิ่งแลวลอมทางทะเล (ซี) ประสาน นโยบายการวิจัยทางวิทยาศาสตรแของตน และดําเนินโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตรแรวมกันตามความเหมาะสม ในบริเวณนั้น (ดี) เชิญรัฐอื่นหรือองคแการระหวางประเทศที่เกี่ยวของ เทาที่เหมาะสม เพื่อรวมมือกับตนในการ ปฏิบัติตามบทบัญญัติแหงขอนี้”228
มรดกร่วมแห่งภูมิภาค (A Shared Reginal “Common Heritage”) แมอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 จะไมมีหลักการเพื่อรองรับแนวคิด “มรดกรวม แหงภูมิภาค” แตประเทศทั้งหลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตก็สามารถแสดงทาทีที่จะยืนยันการอาง สิทธิ์ความเป็นเจาของทรัพยากรในทะเลจีนใตรวมกันได ขอเท็จจริงทางประวัติศาสตรแที่วาจีนนั้นมีอิทธิพลในหมูเกาะสแปรตลียแมาอยางยาวนาน เพราะเคยเป็น ประเทศที่ผูมีอํานาจเหนือดินแดนตางๆ ในภูมิภาคนี้ แตเมื่ออิทธิพลของจีนเริ่มลดลงเนื่องจากการเขามาของ ลัทธิอาณานิคมตะวันตก ดินแดนตางๆ ก็เป็นผูรับสิทธิ์สืบทอดอํานาจของจีนเชนกัน แตเนื่องจากไมสามารถ แบงปันดินแดนของหมูเกาะสแปรตลียแไดงาย เพราะจีนยังคงอางสิทธิ์ความเป็นเจาของอยู ดังนั้น แนวคิดเรื่อง การสรางพื้นที่มรดกรวมระหวางประเทศโดยเปลี่ยนพื้นที่พิพาทรวม (joint disputed area) ใหเป็นพื้นที่ พัฒนารวม (joint development area) ซึ่งนาจะเป็นแนวทางที่เหมาะที่สุดในการแกปัญหาขอพิพาทเขต แดนทางทะเลในหมูเกาะสแปรตลียแ โฮเซ เดอ เวเนเซีย (Jose de Venecia) ที่ปรึกษาประธานาธิบดีฟิเดล รามอส (Fidel Ramos) และ สมาชิกรัฐสภาคนสําคัญของฟิลิปปินสแไดเสนอแนวคิดเรื่อง “ระบบคอนโดมีเนียม (condominium system)” ในทะเลจีนใต นอกจากนี้เมื่อเวเนเซียไดรับตําแหนงที่ปรึกษากฎหมายของกระทรวงการตางประเทศฟิลิปปินสแ (Philippine Department of Foreign Affairs) ก็ไดกลาววาทรัพยากรทางทะเลของภูมิภาคนี้ “ควรจะ
228 กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. อางแลว, หนา 52. 237
ไดรับการสํารวจ ใชประโยชนแ และบริหารจัดการโดยความรวมมือของทุกชาติเพื่อใหเกิดผลประโยชนแตอ ประชาชนทุกคน”229 ในปี 2533/1990 นาย หลี่ เผิง (Li Peng) นายกรัฐมนตรีของจีน ไดแถลง ณ ประเทศสิงคโปรแ “ปัญหา ขอพิพาทในทะเลจีนใตตองยุติลงแลวหันมารวมกันพัฒนาทรัพยากรในทะเลจีนใต”230 และตอมาในเดือน สิงหาคม 2538/1995 นายลี เต็งฮุย (Lee Teng-hui) ประธานาธิบดีไตหวัน มีขอเสนอวาประเทศตางๆ จํานวน 12 ประเทศ ที่มีผลประโยชนแหรือมีอาณาเขตติดกับทะเลจีนใตตองยกเลิกการอางสิทธิ์หมูเกาะสแปรต ลียแ และตองลงทุนเป็นเงิน 1 หมื่นลานเหรียญสหรัฐเพื่อรวมกันกอตั้งและพัฒนา “บริษัททะเลจีนใตพัฒนา จํากัด (The South China Sea Development Company)”231 อยางไรก็ตามแนวคิดนี้ก็ยังคงเป็นแนวคิด กวางๆ มากกวาจะมีการลงมือทํากันอยางจริงจัง
โดยสรุป ขอพิพาทเขตแดนทางทะเลที่ยังไมสามารถหาขอยุติไดยอมเป็นอุปสรรคกีดขวางการใช ประโยชนแจากทรัพยากรในพื้นที่ และเกี่ยวของกับความรูสึกชาตินิยมที่เกิดจากความเขาใจผิดทาง ประวัติศาสตรแ ซึ่งปัญหาขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศเหลานี้มีความซับซอน แตก็ไมเกินความสามารถ และสติปัญญาของมนุษยแที่จะมองเห็นแนวทางในการแกปัญหาใหยุติลงไดอยางสันติ เพราะการเกิดขอถกเถียง และการศึกษาขอมูลเพื่อนํามาโตแยงกันหลายตอหลายครั้งทําใหคูพิพาทมองเห็นขอมูลและมุมมองที่ หลากหลายและชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจนําไปสูการแกปัญหาไดอยางถาวร และการแกไขปัญหาจะเกิดขึ้นไดก็ ตอเมื่อแตละประเทศพบวาขอพิพาทเขตแดนเหลานี้ไดฉุดรั้งผลประโยชนแของประเทศไปแลวมากมายเพียงใด
229 “…should be explored, exploited and managed by all nations jointly for the benefit of all peoples.” House of Representatives Resolution No.1010 introduced by Congressman Jose de Venecia อางใน Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 74. 230 Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 75. 231 Kyodo. “Lee Urges Joint Venture Plan for South China Sea Works,” Japan Times (Aug. 22, 1995), p. 4. อาง ใน Jon M. Van Dyke. Ibid, p. 74. 238
บทที่ 5 กลไกจัดการข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศของอาเซียน
ขอพิพาทเขตแดนระหวางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไดสรางความทาทายตอกระบวนการจัดการปัญหา ผานความรวมมือและบูรณาการภายในภูมิภาค (regional integration) นับตั้งแตประเทศตางๆ ในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใตเป็นเอกราชหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดความพยายามในการสรางรัฐชาติ (nation sate) ของตนใหมีเสถียรภาพและความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510/ 1967 มีการลงนามใน “ปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration)” วาดวยความรวมมือของภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตในนาม “สมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Association of South East Asian Nations)” หรือ “อาเซียน (ASEAN)” โดยมีประเทศสมาชิกเริ่มแรก 5 ประเทศ ไดแก อินโดนิเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินสแ สิงคโปรแ และไทย ตอมาในปี 2527/1984 บรูไน ไดเขาเป็นสมาชิกลําดับที่ 6 และปี 2538/ 1995 เวียดนาม ไดเขาเป็นสมาชิกลําดับที่ 7 และในปี 2540/1997 ลาว กับ พมา ไดเขารวมเป็น สมาชิกลําดับที่ 8 กับ 9 จนกระทั่งในปี 2542/ 1999 กัมพูชา จึงไดเขารวมเป็นประเทศสมาชิกลําดับที่ 10 ซึ่ง ในปัจจุบันอาเซียนมีเลขาธิการอาเซียนเป็นผูบริหารสํานักงานที่กรุงจาการแตา ประเทศอินโดนีเซีย อาเซียน เกิดขึ้นในยุคแหงการเผชิญหนาทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต บนความแตกตางทาง เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตรแ ดังนั้น อาเซียน จึงเป็นองคแการความรวมมือทางภูมิศาสตรแ การเมือง และองคแการความรวมมือทางเศรษฐกิจ มีวัตถุประสงคแเพื่อรวมมือกันในการเพิ่มอัตราการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม การพัฒนาวัฒนธรรมในกลุมประเทศสมาชิก และการธํารงรักษา สันติภาพและความมั่นคงในพื้นที่ และเป็นการเปิดโอกาสใหคลายขอพิพาทระหวางประเทศสมาชิกอยางสันติ จนกระทั่งในยุคปัจจุบัน อาเซียน มี “กฏบัตรอาเซียน (Asian Charter)” ซึ่งเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีที่ทํา รวมกันระหวางประเทศสมาชิก ลงนามอยางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน.2551/ 2007 เป็น เครื่องมือในการวางกรอบทางกฎหมายและโครงสรางองคแกร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนในการ ดําเนินการตามวัตถุประสงคแและเปูาหมาย โดยเฉพาะอยางยิ่งการขับเคลื่อนการรวมตัวเป็น “ประชาคม อาเซียน (ASEAN Community)” ในปี 2558/ 2015 นับตั้งแตมีการจัดตั้งองคแกรอาเซียนเป็นตนมา ประเทศสมาชิกไดสรางความเชื่อมั่น ความคุนเคย และ ความเขาใจในสถานะของกันและกันในประเด็นตางๆ ผานทั้งการพบปะพูดคุยที่ไมเป็นทางการและการประชุม ที่เป็นทางการทั้งในระดับผูนําประเทศ รัฐมนตรี และเจาหนาที่อาวุโสของประเทศสมาชิก ซึ่งอาจกลาวไดวา ประสบความสําเร็จอยางสูงในดานการมีปฏิสัมพันธแ การประสานงาน และความเขาใจระหวางประเทศสมาชิก ผูกอตั้งของอาเซียน การตัดสินใจรวมกันโดยเฉพาะการการสงเสริมความสําเร็จในระดับภูมิภาค บนพื้นฐาน ของความยืดหยุนภายในของแตละประเทศสมาชิกผานการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะสงผลตอเสถียรภาพทาง การเมืองระหวางประเทศที่เพิ่มขึ้นดวย ทั้งนี้ วิธีการของอาเซียนในการบริหารจัดการความขัดแยงสวนใหญมัก ดําเนินการในรูปแบบของการหลีกเลี่ยงขอพิพาทและไมยินยอมใหขอพิพาทที่มีอยูทําลายความสัมพันธแระหวาง ประเทศ องคแประกอบที่สําคัญของวิธีการนี้ คือ กระบวนการใหคําปรึกษาที่เรียกวา มัสยาวาระหแ (Musyawarah) หรือ การปรึกษาหารืออยางไมเป็นทาง (informal consultation) เพื่อปูองกันไมใหเกิด
239
ปัญหาขึ้น232 และใหสามารถบรรลุการตัดสินใจที่เป็นเอกฉันทแ หรือ “ฉันทามติ (consensus/Mufakat)” ซึ่ง เป็นกลไกสําคัญในกระบวนการจัดการความขัดแยงในแบบของอาเซียน เนื่องจากมีจุดมุงหมายเพื่อที่จะรักษา ความสัมพันธแอันดีและสันติภาพระหวางประเทศสมาชิกโดยหลีกเลี่ยงเงื่อนไขที่อาจนําไปสูความขัดแยง ซึ่งหาก ความสําเร็จของการจัดการความขัดแยงระหวางประเทศสมาชิกอาเซียนวัดจากการปูองกันการกระทบกระทั่ง กันทางทหารแลว ผลงานที่ผานมาของอาเซียนถือวาอยูในระดับที่นาพอใจ เนื่องจากยังไมมีขอพิพาทใดที่ทํา ไปสูการเผชิญหนาทางทหารอยางจริงจังถึงขั้นมีการประกาศสงครามระหวางประเทศสมาชิกผูกอตั้ง อยางไรก็ ตาม วิธีการเชนนี้ของอาเซียนก็ไมไดทําใหขอพิพาทที่มีอยูไดรับการแกไขใหยุติลงอยางถาวร หรือสามารถ หยุดยั้งไมใหมีขอพิพาทอื่นๆ เกิดเพิ่มมากขึ้น ขอพิพาทบางกรณีไดรับการแกไข ในขณะที่ขอพิพาทอีกหลายกรณียังคงไมไดรับการแกไข แตกรณี พิพาทอื่นๆ ก็มีการหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกัน และมีกระบวนการคลี่คลายผานกลไกการจัดการความขัดแยง ตางๆ แมจะเป็นความจริงที่วาการขยายตัวของการเขารวมเป็นสมาชิกอาเซียนในปี 2533/1990 ไดทําใหเกิด ขอพิพาทเขตแดนเพิ่มเติมภายในสมาคม ซึ่งกระทบโดยตรงตอความทาทายในการบริหารจัดการความขัดแยง ภายในภูมิภาคเพิ่มขึ้นดวย ในขณะที่สมาชิกสวนใหญของอาเซียนแสดงทาทีที่จะจํากัดกรอบการเจรจาทวิภาคี และพยายามใชวิธีการปรึกษาหารือเป็นการภายในเฉพาะคูกรณี เพื่อการระงับขอพิพาทตางๆ ที่เกิดขึ้นในชวง หลายปีที่ผานมา แตก็มีกรณีพิพาทระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ และกรณีพิพาทเขตแดนระหวางอินโดนีเซียกับ มาเลเซีย ที่ไดนําขอพิพาทเขตแดนเขาสูกระบวนการพิจารณาคดีของศาลโลก ซึ่งแสดงใหเห็นวาประเทศ สมาชิกอาเซียนบางประเทศพยายามแสวงหากลไกลการระงับขอพิพาทดวยวิธีอนุญาโตตุลาการระหวาง ประเทศภายนอกภูมิภาค ดังนั้น อาจกลาวไดวาความพยายามในระดับทวิภาคีเพื่อการแกปัญหาขอพิพาทเขตแดนไมเพียงพอที่จะ แกปัญหาได แตความพยายามในระดับทวิภาคีในการจัดการขอพิพาทเขตแดนก็สามารถที่จะไดรับการอํานวย ความสะดวกไดดวยกลไกที่ถูกสรางขึ้นภายในกรอบอาเซียน โดยการเพิ่มประสิทธิภาพและความจริงจังในการ ใชกลไกเหลานี้ใหมากขึ้นระหวางประเทศสมาชิกดวยกันเอง ซึ่งจะสงผลโดยตรงตอบทบาทของอาเซียนใน ฐานะ “ผูอํานวยความสะดวก (facilitator)” มากกวาการเป็น “ผูไกลเกลี่ยซึ่งเป็นบุคคลที่สาม (third-party mediator)” อยางไรก็ตาม บทบาทของอาเซียนในฐานะคนกลางนั้นใชวาจะเป็นไมไดเสียทีเดียว แตตราบ เทาที่อาเซียนไดปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ตนไดกําหนดขอบเขตเอาไว ซึ่งอุปสรรคที่สําคัญคือการถูกจํากัดดวย กรอบความรวมมือของอาเซียนเอง โดยเฉพาะกลไกในการจัดการความขัดแยงที่ตองอาศัย “ฉันทามติ” ของ ประเทศสมาชิกทุกประเทศ โดยเฉพาะบริบทของการเกิดขอพิพาทเขตระหวางประเทศสมาชิกซึ่งเป็นคูพิพาท ระหวางกันเองภายในองคแกร ประเด็นที่สําคัญคือการทําใหอาเซียนสามารถตอบสนองตอความทาทายของขอ พิพาทเขตแดนที่กําลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ในบทนี้จึงจะนําเสนอกลไกกรอบความรวมมือที่มีบทบัญญัติหรือขอความเกี่ยวของกับการจัดการขอ พิพาทระหวางประเทศ โดยพิจารณาจากกรอบความรวมมือและกลไกภายในองคแกรอาเซียนจํานวนรวม 12 กลไกและกลไกภายนอกอาเซียนจํานวน 3 กลไก ดังนี้
232 Amer, Ramses. “The Association of South-east Asian Nations and the Management of Territorial Disputes.” in IBRU Boundary and Security Bulletin Winter 2001-2002 (2002), p. 87. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1V4Fkm4 240
5.1 กลไกจัดการข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศภายในกรอบอาเซียน กรอบความรวมมือฉบับตางๆ ของอาเซียนมีบทบัญญัติหรือขอความที่เกี่ยวของกับการจัดการขอพิพาท ระหวางประเทศในอาเซียน เพื่ออํานวยความสะดวกและเป็นแนวทางในการแกไขปัญหาระหวางประเทศ สมาชิกอาเซียน ซึ่งแตละประเทศไดลงนามรับรองกรอบความรวมมือที่เกี่ยวของกับการจัดการขอพิพาท ระหวางกันจํานวน 12 กลไก ไดแก 5.1.1 ปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) หรือ ปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ปี 2510/1967 5.1.2 ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน I (Declaration of ASEAN Concord I) หรือ บาหลี 1 (Bali Concord I) ปี 2519/1976 5.1.3 สนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ปี 2519/1976 5.1.4 ปฏิญญาอาเซียนวาดวยทะเลจีนใต (ASEAN Declaration on The South China Sea) ปี 2535/1992 5.1.5 การประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดานการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF) ปี 2535/1992 5.1.6 ระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรีของสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออก เฉียงใต (Rules of Procedure of the High Council of the Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia) ปี 2544/2001 5.1.7 ปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต (Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC) ปี 2545/2002 5.1.8 ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน II (Declaration of ASEAN Concord II) หรือ บาหลี 2 (Bali Concord II) ปี 2546/2003 5.1.9 แผนปฏิบัติการประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community Plan of Action) ปี 2547/2004 5.1.10 กฎบัติอาเซียน (Charter of the Association of Southeast Asian Nations – ASEAN Charter) ปี 2550/2007 5.1.11 แผนการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint) 5.1.12 พิธีสารของกฎบัตรอาเซียนวาดวยกลไกระงับขอพิพาท (Protocol to the ASEAN Charter on Dispute Settlement Mechanisms - DSMP) ปี 2553/2010
ซึ่งกลไกแตละฉบับมีรายละเอียดและบทบัญญัติที่เกี่ยวของกับการจัดการขอพิพาทระหวางประเทศ สมาชิกอาเซียน ดังนี้
241
5.1.1 ปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) หรือ ปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration)
ปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) หรือ ปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) เกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 8 สิงหาคม 2510/1967 ณ พระราขวังสราญรมยแ กรุงเทพมหนาคร เพื่อกอตั้งสมาคมประชาชาติแหง เอเชียตะวันออกเฉียงใต (Association of Southeast Asian Nations) หรือ อาเซียน (ASEAN) โดยผูแทน จาก 5 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไดแก นายอาดัม มาลิค (Adam Malik) รัฐมนตรีฝุาย การเมือง/รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศอินโดนีเซีย ตุน อับดุล ราซัค (Tun Abdul Razak) รอง นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงพัฒนาการแหงชาติมาเลเซีย นายนารแซิโซ รา มอส (Narciso Ramos) รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศฟิลิปปินสแ นาย เอส. ราชารัตนัม (S. Rajaratnam) รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศสิงคโปรแ และ พันเอก (พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตรแ รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศไทย233 เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติและเนื้อหาทั้งหมดของปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) หรือ ปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) แลว ไมพบกลไกโดยตรงเพื่อการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวาง ประเทศ แตมีความ “ปรารถนา ที่จะกอตั้งรากฐานอันมั่นคง เพื่อกระทําการรวมกันในอันที่จะสงเสริมความ รวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ดวยเจตนารมณแแหงความเสมอภาคและรวมมือรวมใจ และโดย ประการนั้นก็จะชวยใหมีสันติภาพ ความกาวหนา และความเจริญรุงเรืองในภูมิภาค”234 ซึ่งเป็นการประกาศ หลักการของความรวมมือระหวงประเทศเอาไวอยางกวางๆ ไมไดเจาะจงเกี่ยวกับการสรางกลไกหรือการ จัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศแตอยางใด นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติวาดวยจุดหมายและความมุง ประสงคแของสมาคมในขอที่ 2 วา “เพื่อสงเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยเคารพอยางแนวแนใน ความยุติธรรมและหลักนิติธรรม ในการดําเนินความสัมพันธแระหวางประเทศในภูมิภาคและยึดมั่นในหลักการ แหงกฎบัตรสหประชาชาติ”235 โดยสรุป ปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) หรือ ปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) เกิดขึ้นเพื่อใหประเทศสมาชิกดําเนินนโยบายตามแนวทาง “สันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค (regional peace and stability)” โดยอาศัยหลักการของกฎบัติสหประชาชาติเป็นกลไกในการแกปัญหาขอพิพาทที่ เกิดขึ้นระหวางกัน โดยยึดหลัก “ความยุติธรรมและหลักนิติธรรม (justice and the rule of law)” อยางไรก็ ตาม ปฏิญญาฉบับนี้ก็ไมไดกําหนดกลไกพิเศษเฉพาะ เพื่อการระงับขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศภายใน ภูมิภาคอาเซียน แตอยางใด
233 โปรดดู ภาคผนวกที่ 1 คําแปลภาษาไทย ปฏิญญาสมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต (ปฏิญญา กรุงเทพ) รับรองโดยรัฐมนตรีวาการตางประเทศในการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 1 ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510/1967 234 เพิ่งอาง. 235 เรื่องเดียวกัน. 242
5.1.2 ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน I (Declaration of ASEAN Concord I) หรือ บาหลี 1 (Bali Concord I)
ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน I (Declaration of ASEAN Concord I) หรือ บาหลี I (Bali Concord I)236 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธแ 2519/1976 ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 1 ณ เกาะ บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยผูนําประเทศสมาชิกอาเซียน 5 ประเทศ ไดแก ประธานาธิบดีซูฮารแโต (Soeharto) แหงอินโดนีเซีย ดร.ฮุสเซน ออน (Dr.Hussien Onn) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประธานาธิบดี เฟอรแดินานดแ อี. มารแกอส (Ferdinand Marcos) แหงฟิลิปปินสแ นายลี กวน ยู (Lee Kuan Yew) นายกรัฐมนตรีสิงคโปรแ และ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีประเทศไทย เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติและเนื้อหาทั้งหมดของปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน I (Declaration of ASEAN Concord I) หรือ บาหลี I (Bali Concord I) แลว จะพบขอความที่เกี่ยวของกับการ จัดการขอพิพาทหรือการระงับ (settlement) ความแตกตาง/ขอพิพาท (difference/dispute) เป็นครั้งแรก โดยประกาศให “รัฐสมาชิกโดยจิตวิญญาณของความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน จะยึดมั่นใน กระบวนการสันติวิธีเพื่อระงับความแตกตางกันภายในภูมิภาค (settlement of intra-regional differences)”237 นอกจากนี้ยังกําหนดใหมีกรอบความรวมมือทางการเมืองอาเซียน (framework for ASEAN Political Cooperation) โดยให “ระงับขอพิพาทภายในภูมิภาค (settlement of intra-regional disputes) โดยสันติวิธี ดวยความรวดเร็วเทาที่จะเป็นไปได”238 รวมทั้งการขยายกรอบความรวมมือระหวางประเทศ สมาชิกที่จะสราง “เขตสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality – ZOPFAN)” ขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ที่สําคัญคือ การปรากฏคําวา “ประชาคมอาเซียน (ASEAN community)” ขึ้นเป็นครั้งแรก โดย กําหนดให “รัฐสมาชิกจะตองพัฒนาอยางจริงจังถึงความตระหนักในอัตลักษณแของภูมิภาค และทุมเทความ พยายามทั้งหมดเพื่อสรางประชาคมอาเซียนที่แข็งแกรง ใหความเคารพทุกประเทศบนพื้นฐานของ ความสัมพันธแที่มีผลประโยชนแรวมกัน และใหสอดคลองกับหลักการอํานาจในการตัดสินใจอยางอิสระ อํานาจ อธิปไตยที่เสมอภาคกัน และหลักการไมแทรกแซงกิจการภายในของประเทศ”239 ซึ่งภายใตกรอบความรวมมือทางการเมืองอาเซียน (framework for ASEAN Political Cooperation) ไดกําหนดแนวทางปฏิบัติไว 7 ขอ ไดแก 1. ใหมีการประชุมของประมุขของรัฐหรือหัวหนารัฐบาลเมื่อมีเหตุจําเป็น 2. ลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) 3. ระงับขอพิพาทภายในภูมิภาคโดยสันติวิธี ดวยความรวดเร็วเทาที่จะเป็นไปได
236 “ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน (Declaration of ASEAN Concord)” หรือ ปฏิญญาบาหลี (Bali Concord) บางแหงแปลเป็นภาษาไทยวา “ปฏิญญาสมานฉันทแอาเซียน (Declaration of ASEAN Concord)” หรือ ปฏิญญา บาหลี I (Bali Concord I) โปรดดู Declaration of ASEAN Concord. Adopted by the Heads of State/Government at the 1st ASEAN Summit in Bali, Indonesia on 24 February 1976 จาก เอกสารสําคัญอาเซียน กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Sj4YQT 237 เพิ่งอาง. 238 เรื่องเดียวกัน. 239 เรื่องเดียวกัน. 243
4. พิจารณาทันทีเกี่ยวกับขั้นตอนเพื่อรับรองและเคารพตอ “เขตสันติภาพ เสรีภาพ และความเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality – ZOPFAN)” 5. ปรับปรุงกลไกอาเซียนเพื่อกระชับความรวมมือทางการเมืองใหเขมแข็งมากขึ้น 6. ศึกษาวิธีการพัฒนาความรวมมือทางการพิจารณาคดี รวมทั้งความเป็นไปไดของ “สนธิสัญญาการสง ผูรายขามแดนอาเซียน (ASEAN Extradition Treaty)” 7. เสริมสราง ความเป็นปึกแผนทางการเมือง โดยการสงเสริมการสอดประสานกันของวิสัยทัศนแ ตําแหนงการประสานงาน และความเป็นไปไดและเป็นที่นาพอใจของการปฏิบัติการรวมกัน”240
โดยสรุป ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน I (Declaration of ASEAN Concord I) หรือ บาหลี I (Bali Concord I) เป็นกรอบความรวมมือภายในอาเซียนที่ใหความสําคัญกับ “ขอพิพาท (dispute)” และมี การแบงหมวดหมูของกรอบความรวมมืออาเซียน (framework for ASEAN cooperation) ออกเป็น 6 หมวด ไดแก การเมือง (Political) เศรษฐกิจ (Economic) สังคม (Social) วัฒนธรรมและขอมูลขาวสาร (Cultural and Information) ความมั่นคง (Security) และ การปรับปรุงกลไกขับเคลื่อนอาเซียน (Improvement of ASEAN Machinery) ทั้งนี้ สิ่งสําคัญที่สุดประการหนึ่งที่เกิดขึ้นภายใตปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน I (Declaration of ASEAN Concord I) หรือ บาหลี I (Bali Concord I) คือ การลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพ และความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ซึ่งเกี่ยวของโดยตรงกับการจัดการขอพิพาทระหวางประเทศอาเซียน โดยจะอธิบายรายละเอียด ในหัวขอตอไป
240 เรื่องเดียวกัน. 244
5.1.3 สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC)
สนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC)241 เกิดขึ้นภายใตปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน I (Declaration of ASEAN Concord I) หรือ บาหลี 1 (Bali Concord I) ตามขอ 2 ของแนวทางปฏิบัติตามกรอบความรวมมือทาง การเมืองอาเซียน (framework for ASEAN Political Cooperation) ซึ่งอาจกลาวไดวาเป็นกรอบความ รวมมือของอาเซียนที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงคแในการระงับขอพิพาทระหวางประเทศโดยเฉพาะ โดยยังคง มุงเนนหลักการระงับขอพิพาทโดยสันติวิธี และในเวลาตอมามีพิธีสารเพื่อแกไขเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ไดแก ครั้งที่ 1 วันที่ 15 ธันวาคม 2530/1987 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินสแ เพื่อเปิดโอกาสสําหรับการ ภาคยานุวัติโดยรัฐนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต และมีประเทศบรูไนเขารวมเป็นอัครภาคี ครั้งที่ 2 วันที่ 25 กรกฎาคม 2541/1998 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินสแ เพื่อใหการภาคยานุวัติโดย รัฐอื่นนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใตจะตองไดรับความยินยอมของทุกประเทศอัครภาคีซึ่งเป็นรัฐในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต และมีประเทศกัมพูชา ลาว พมา เวียดนาม และปาปัวนิวกีนี เขารวมเป็นอัครภาคี และครั้งที่ 3 วันที่ 23 กรกฎาคม 2553/2010 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เพื่อใหองคแการระดับ ภูมิภาคซึ่งมีสมาชิกเป็นรัฐอธิปไตยสามารถภาคยานุวัติสนธิสัญญาได และมีประเทศออสเตรเลีย บังคลาเทศ จีน เกาหลีเหนือ ฝรั่งเศส อินเดีย ญี่ปุุน มองโกเลีย นิวซีแลนดแ ปากีสถาน เกาหลีใต รัสเซีย ศรีลังกา ติมอรแ- เลสเต ตุรกี สหรัฐอเมริกา เขารวมเป็นอัครภาคี ในปัจจุบัน สนธิสัญญาฉบับนี้มีประเทศสมาชิกจํานวน 27 ประเทศ ไดแก บรูไนดารุสซาลาม ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย สหภาพพมา สาธารณรัฐฟิลิปปินสแ สาธารณรัฐสิงคโปรแ ราชอาณาจักรไทย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เครือรัฐ ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี สาธารณรัฐฝรั่งเศส สาธารณรัฐอินเดีย ญี่ปุุน มองโกเลีย นิวซีแลนดแ สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ปาปัวนิวกีนี สาธารณรัฐเกาหลี สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐสังคมนิยม ประชาธิปไตยศรีลังกา สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอรแ-เลสเต สาธารณรัฐตุรกี และสหรัฐอเมริกา เขารวมเป็น อัครภาคี เพื่อชวยสรางความไวเนื้อเชื่อใจและสงเสริมมาตรการการดําเนินความสัมพันธแระหวางภาคีสมาชิกให มีมากยิ่งขึ้น ตอมาในปี 2544/2001 มีการบัญญัติใชระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรีของสนธิสัญญามิตรภาพ และความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Rules of Procedure of the High Council of the Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia) เพื่อสรางความเขาใจถึงวิธีการในการจัดการขอพิพาท ระหวางรัฐตามสนธิสัญญา242 เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติและเนื้อหาของสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) จะพบวา ในบทที่ 1 วาดวย “ความประสงคแและหลักการ (Purpose and Principles)” ขอ 1 กําหนดไววา “ความมุงประสงคแแหง
241 กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. สนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (กันยายน 2554) เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1CzLrtF 242 เพิ่งอาง. 245
สนธิสัญญานี้ ไดแก การที่จะสงเสริมสันติภาพนิรันดร มิตรภาพ และความรวมมือกันตลอดกาลระหวาง ประชาชนของตน ซึ่งจะชวยเกื้อกูลใหเกิดความเขมแข็งความเป็นปึกแผน และสัมพันธภาพที่ใกลชิดกันยิ่งขึ้น” ในขณะที่ขอ 2 กําหนดวา “ในความสัมพันธแระหวางกันอัครภาคีผูทําสัญญาจักรับเอาหลักการขั้นมูล ฐานดังตอไปนี้เป็นแนวทาง คือ ก. การเคารพซึ่งกันและกันในเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแหงดินแดน และเอกลักษณแ แหงชาติของประชาชาติทั้งปวง ข. สิทธิของทุกรัฐที่จะนําความคงอยูของชาติตนใหปลอดจากการแทรกแซง การบอนทําลาย หรือการขู บังคับจากภายนอก ค. การไมแทรกแซงในกิจการภายในของกันและกัน ง. การระงับขอขัดแยงหรือกรณีพิพาทโดยสันติวิธี จ. การเลิกคุกคามหรือใชกําลัง ฉ. ความรวมมือระหวางอัครภาคีดวยกันอยางมีประสิทธิผล”
นอกจากนี้ ยังกําหนดใหประเทศสมาชิกตองดําเนินการตอไปนี้ ไดแก
“บทที่ 2 มิตรภาพ ขอ 3 โดยอนุวัติตามความมุงประสงคแแหงสนธิสัญญานี้ อัครภาคีผูทําสัญญาจักพยายามพัฒนาและ กระชับความผูกพันในความเป็นมิตรตอกันตาม ประเพณี วัฒนธรรม และประวัติศาสตรแความเป็นเพื่อนบานที่ ดีและความรวมมือซึ่งผูกพันตนไวดวยกัน และจะปฏิบัติใหถูกตองตามขอผูกพันที่รับวาจะปฏิบัติตาม สนธิสัญญานี้โดยสุจริต เพื่อที่จะสงเสริมความเขาใจระหวางกันใหใกลชิดยิ่งขึ้น อัครภาคีผูทําสัญญาจัก สนับสนุนและอํานวยความสะดวกแกการติดตอ และความเกี่ยวพันกันระหวางประชาชนของตน
บทที่ 3 ความรวมมือ ขอ 4 อัครภาคีผูทําสัญญาจักสงเสริมใหมีความรวมมือกันอยางจริงจังในดานเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิชาการ วิทยาศาสตรแ และการบริหาร กับทั้งในเรื่องใดๆ อันเกี่ยวกับอุดมคติ และประณิธานรวมกันเกี่ยวกับ สันติภาพและเสถียรภาพระหวางประเทศในภูมิภาค และเรื่องอื่นๆ ทั้งปวงอันเป็นผลประโยชนแรวมกัน ขอ 5 โดยอนุวัติตามขอ 4 อัครภาคีผูทําสัญญาจักใชความพยายามมากที่สุด ทั้งที่เป็นการ หลายฝุาย และสองฝุายตามมูลฐานแหงความเสมอภาพ การไมเลือกปฏิบัติ และเกิด คุณประโยชนแแกกันและกัน ขอ 6 อัครภาคีผูทําสัญญาจักรวมกันเพื่อเรงรัดใหเกิดความเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเพื่อที่จะ เสริมสรางรากฐานประชาคมของประชาชาติใหมีความไพบูลยแและมีสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต เพื่อ จุดมุงหมายนี้ อัครภาคีผูทําสัญญาจักสงเสริมใหมีการใชประโยชนแจากเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น ใหมีการขยายตัวทางการคาและปรับปรุงพื้นฐานทางเศรษฐกิจใหดีขึ้นเพื่อคุณประโยชนแซึ่งกันและกันของ ประชาชนของตน ในการนี้อัครภาคีผูทําสัญญาจักคนหาหนทางทั้งปวงสืบไปเพื่อความรวมมืออยางใกลชิดและ อํานวยประโยชนแกับรัฐอื่นๆ ทั้งกับองคแการระหวางประเทศและองคแการสวนภูมิภาคซึ่งอยูภายนอกภูมิภาคนี้ ดวย ขอ 7 อัครภาคีผูทําสัญญาจักขยายความรวมมือกันในทางเศรษฐกิจเพื่อใหบรรลุถึงความยุติธรรมทาง สังคมและเพื่อยกมาตรฐานการครองชีพของประชาชนในภูมิภาคเพื่อความมุงประสงคแนี้จักรับยุทธศาสตรแที่ เหมาะสมของภูมิภาคเพื่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และการชวยเหลือซึ่งกันและกัน 246
ขอ 8 อัครภาคีผูทําสัญญาจักพยายามใหบรรลุถึงความรวมมือกันอยางใกลชิดที่สุด ตามมาตรสวนที่ กวางขวางยิ่ง และจะหาทางใหความชวยเหลือแกกันและกัน ในรูปการใหความสะดวกเกี่ยวกับการฝึกอบรม และการวิจัยในดาน สังคม วัฒนธรรม วิชาการวิทยาศาสตรแและการบริหาร ขอ 9 อัครภาคีผูทําสัญญาจักพยายามสนับสนุนใหมีความรวมมือกันยิ่งขึ้นเพื่อชวยสงเสริมอุดมการณแ แหงสันติภาพ ความสมัครสมาน และเสถียรภาพในภูมิภาค และเพื่อจุดมุงหมายนี้ อัครภาคีผูทําสัญญาจักดํารง ไวซึ่งการติดตอและการปรึกษาหารือกันเป็นประจําในเรื่องตางๆ เกี่ยวกับการระหวางประเทศและเกี่ยวกับ ภูมิภาคเพื่อประสานทัศนคติ การกระทํา และนโยบายของตนเขาดวยกัน ขอ 10 อัครภาคีผูทําสัญญาแตละฝุายจักไมเขามีสวนรวมไมวาในทํานองหรือรูปแบบใดๆ ในกิจกรรมซึ่ง จะกอใหเกิดการคุกคามตอเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ อธิปไตย หรือบูรณภาพแหงดินแดนของอัคร ภาคีผูทําสัญญาอีกฝุายหนึ่ง ขอ 11 อัครภาคีผูทําสัญญาจักพยายามเสริมสรางพลังอันเขมแข็งของชาติของตนแตละฝุายทั้งในดาน การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม กับทั้งในดานความมั่นคง ใหเป็นการสอดคลองกับอุดมคติและ ประณิธานของแตละฝุาย เพื่อใหปลอดจากการแทรกแซงจากภายนอก และปลอดจากกิจกรรมในทางบอน ทําลายภายใน เพื่อรักษาไวซึ่งเอกลักษณแแหงชาติของแตละฝุาย ขอ 12 ในความพยายามที่จะบรรลุความไพบูลยแและความมั่นคงในภูมิภาค อัครภาคีผูทําสัญญาจัก พยายามรวมมือกันในทุกดานเพื่อสงเสริมพลังอันเขมแข็งของภูมิภาคตามมูลฐานแหงหลักการวาดวยความ เชื่อมั่นในตนเอง การพึ่งตนเองการเคารพซึ่งกันและกัน ความรวมมือและความเป็นปึกแผน ซึ่งจะสรางรากฐาน ความแข็งแกรงและการดํารงความมั่นคงใหแกประชาคมของประชาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต”
บทที่ 4 การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ ขอ 13 อัครภาคีผูทําสัญญาจักมีความมุงมั่นและมีความสุจริตใจที่จะปูองกันมิใหเกิดกรณีพิพาทขึ้นได ในกรณีที่กรณีพิพาทในเรื่องที่กระทบกระเทือนตนโดยตรงเกิดขึ้น โดยเฉพาะอยางยิ่งกรณีพิพาทที่นาจะกอ ความระส่ําระสายตอสันติภาพ และความสมัครสมานในภูมิภาคอัครภาคีผูทําสัญญาจะละเวนจากการคุกคาม หรือการใชกําลัง และในทุกขณะจักระงับกรณีพิพาทระหวางกันเชนวานั้น โดยการเจรจากันอยางเป็นฉันทแมิตร ขอ 14 ในการระงับกรณีพิพาทโดยกรรมวิธีใดๆ ของภูมิภาค อัครภาคีผูทําสัญญาจะตั้งคณะอัครภาคีใน ฐานะองคแคณะที่คงอยูตลอดไปขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบดวยผูแทนระดับรัฐมนตรีจากอัครภาคีผูทําสัญญาแตละ ฝุาย เพื่อรับทราบกรณีพิพาทที่มีอยูหรือรับทราบสถานการณแที่นาจะกอความระส่ําระสายตอสันติภาพและ ความสมัครสมานกันในภูมิภาค243 ขอ 15 ในกรณีที่ไมสามารถตกลงกันไดโดยการเจรจาโดยตรง คณะอัครมนตรีจักรับทราบกรณีพิพาท หรือสถานการณแ และจักทําขอเสนอแนะใหคูกรณีพิพาททราบวิธีระงับกรณีที่เหมาะสม เชน การใหบริการ ประสานไมตรี การไกลเกลี่ย การไตสวน หรือ การประนอม อยางไรก็ตาม คณะอัครมนตรีอาจเสนอตนเป็นผู ใหบริการประสานไมตรี หรือเมื่อคูกรณีในกรณีพิพาทไดตกลงกัน คณะอัครมนตรีอาจตั้งตนเองเป็น คณะกรรมการไกลเกลี่ยคณะกรรมการไตสวน หรือคณะกรรมการประนอมได เมื่อเห็นวาจําเป็น คณะอัคร มนตรีจะไดเสนอแนะมาตรการที่เหมาะสมเพื่อปูองกันการเสื่อมทรามลงของกรณีพิพาทหรือสถานการณแนั้น
243 ตอมาในวันที่ 15 ธันวาคม 2530/1987 ในการประชุมที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินสแ มีการแกไขขอ 14 โดยเพิ่ม ขอความวา “อยางไรก็ตามขอนี้ใหใชบังคับกับรัฐนอกเอเชียตะวันออกเฉียงใตซึ่งไดภาคยานุวัติสนธิสัญญา เฉพาะในกรณีที่ รัฐ นั้นมีสวนเกี่ยวของโดยตรงในกรณีพิพาทที่จะรับการตัดสินโดยกรรมวิธีใดๆ ของภูมิภาค” 247
ขอ 16 ความในบทบัญญัติที่กลาวมาแลวในบทนี้จะไมใชบังคับกรณีพิพาท เวนแตคูกรณีในกรณีพิพาท ทั้งหมดยินยอมใหใชบังคับ อยางไรก็ตาม ขอหามนี้จะไมกีดกันอัครภาคีผูทําสัญญาอื่นๆ ซึ่งมิไดเป็นคูกรณีใน กรณีพิพาทที่จะเสนอความชวยเหลือทุกวิถีทางที่เป็นไปได เพื่อระงับกรณีพิพาทดังกลาว คูกรณีในกรณีพิพาท ควรเห็นดวยกับขอเสนอเชนวานั้น ขอ 17 ความในสนธิสัญญานี้มิใหเป็นอันกีดกันการอาศัยวิธีระงับกรณีโดยสันติที่มีอยูในขอ 33 (1) แหง กฎบัตรสหประชาชาติ อัครภาคีผูทําสัญญาซึ่งเป็นคูกรณีในกรณีพิพาทจักไดรับความสนับสนุนใหใชความริเริ่ม เพื่อระงับกรณีพิพาทนั้น โดยการเจรจาฉันทแมิตรกอนที่จะอาศัยกระบวนอื่นๆ ตามที่บัญญัติไวในกฎบัตร สหประชาชาติ”
โดยสรุป สนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ไดกําหนดใหประเทศคูสัญญาหรืออัครภาคี ตองยอมรับใน หลักการ 3 ประการ ไดแก มิตรภาพ ความรวมมือ และ การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ โดยในบทที่ 3 ซึ่งวา ดวย “ความรวมมือ” ก็ไดกําหนดขอบเขตความรวมมือระหวางกันและระบุความสามารถที่จะจัดตั้งและขยาย ความรวมมือและความเชื่อมโยงระหวางการทํางานรวมกัน ความสัมพันธแที่ดีและการไมแทรกแซงกิจการ ภายใน โดยเฉพาะเรื่องการไมแทรกแซงกิจการภายใน ไดระบุไวอยางชัดเจนในขอ 12 วา “ในความพยายามที่ จะบรรลุความไพบูลยแและความมั่นคงในภูมิภาค อัครภาคีผูทําสัญญา จักพยายามรวมมือกันในทุกดานเพื่อ สงเสริมพลังอันเขมแข็งของภูมิภาคตามมูลฐานแหงหลักการวาดวยความเชื่อมั่นในตนเอง การพึ่งตนเอง การ เคารพซึ่งกันและกัน ความรวมมือและความเป็นปึกแผน ซึ่งจะสรางรากฐานความแข็งแกรงและการดํารงความ มั่นคงใหแก ประชาคมของประชาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต” ที่สําคัญที่สุดคือบทที่ 4 ซึ่งกําหนดใหมีขั้นตอนและกระบวนการใน “การระงับกรณีพิพาทโดยสันติ (Pacific Settlement of Disputes)” ขึ้นเป็นครั้งแรก จากขอ 13 ซึ่งเป็นขอแรกของบทนี้ ไดแสดงวิธีการที่ ควรปฏิบัติในสถานการณแที่มีความเสี่ยงวาปัญหาความขัดแยงอาจจะเกิดขึ้นหรือไดเกิดขึ้นแลว โดยบัญญัติวา “อัครภาคีผูทําสัญญาจักมีความมุงมั่นและมีความสุจริตใจที่จะปูองกันมิใหเกิดกรณีพิพาท ขึ้นได ในกรณีที่กรณี พิพาทในเรื่องที่กระทบกระเทือนตนโดยตรงเกิดขึ้น โดยเฉพาะอยาง ยิ่งกรณีพิพาทที่นาจะกอความ ระส่ําระสายตอสันติภาพ และความสมัครสมานในภูมิภาค อัครภาคีผูทําสัญญาจะละเวนจากการคุกคามหรือ การใชกําลัง และในทุกขณะจักระงับกรณี พิพาทระหวางกันเชนวานั้น โดยการเจรจากันอยางเป็นฉันทแมิตร” ในขณะที่ขอ 14 เป็นการรองรับการสรางและการวางบทบาทของสภาสูงหรือ “คณะอัครมนตรี (High Council)” ที่ประกอบดวยผูแทนในระดับรัฐมนตรีจากแตละประเทศภาคีสมาชิก โดยตองมี “การพิจารณา (cognizance)” การมีอยูของขอพิพาท หรือ สถานการณแที่เกิดขึ้นซึ่งอาจเป็นภัยคุกคาม “ตอสันติภาพและ ความสมัครสมานกัน (peace and harmony)” โดยการสรางสภาสูงหรือคณะอัครมนตรี (High Council) ให มีลักษณะเป็นองคแกรที่ถาวร โดย “...จะตั้งคณะอัครภาคีในฐานะองคแคณะที่คงอยูตลอดไปขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบดวยผูแทนระดับรัฐมนตรีจากอัครภาคีผูทําสัญญาแตละฝุาย เพื่อรับทราบกรณีพิพาทที่มีอยู หรือ รับทราบสถานการณแที่นาจะกอความระส่ําระสาตอสันติภาพและความสมัครสมานกันในภูมิภาค” ในขอ 15 มีสาระสําคัญเกี่ยวกับบทบาทของสภาสูงหรือคณะอัครมนตรี (High Council) ในฐานะ “องคแกรกลาง” โดยหากการไกลเกลี่ยโดยตรงหรือการเจรจาทวิภาคีระหวางคูพิพาทเกิดความลมเหลว การเป็น องคแกรกลางเพื่อไกลเกลี่ยขอพิพาท สามารถใชรูปแบบของการใหคําแนะนําหรือการเสนอแนะวิธีการที่ เหมาะสมในการระงับขอพิพาทโดยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง เชน การจัดใหมีการเจรจา (good offices) การไกล
248
เกลี่ย (mediation) การตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อสอบสวนขอเท็จจริง (inquiry) หรือ การประนีประนอม (conciliation) ก็ได ในขณะที่ขอ 16 อธิบายเพิ่มเติมวา มีเพียงสภาสูงหรือคณะอัครมนตรี (High Council) ที่จะสามารถ ตัดสินใจที่จะไกลเกลี่ยขอพิพาท ในกรณีที่คูพิพาททั้งสองฝุายตกลงที่จะยื่นคําประสงคแตามความในขอ 14 และ ขอ 15 ซึ่งสภาสูงหรือคณะอัครมนตรี (High Council) จะมีบทบาทในฐานะองคแกรกลางไดก็ตอเมื่อประเทศ คูพิพาทยินยอมที่จะนําขอพิพาทเขาสูกระบวนการของสภาสูงหรือคณะอัครมนตรี (High Council) และยัง ระบุอีกวาอัครภาคีสมาชิกที่ไมไดเป็นสวนหนึ่งของคูขอพิพาท สามารถใหความชวยเหลือในการระงับขอพิพาท โดยความตกลงของคูพิพาทตอขอเสนอดังกลาว อยางไรก็ตาม ยังไมมีบทบัญญัติที่เป็นรูปธรรมในการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศที่จะ สามารถระงับขอพิพาทใหยุติลงได เนื่องจากสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ไมมีสภาพบังคับและการลงโทษ ที่มีประสิทธิภาพหากประเทศคูสัญญาไมปฏิบัติตาม
249
5.1.4 ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยทะเลจีนใต้ (ASEAN Declaration on The South China Sea)
ปฏิญญาอาเซียนวาดวยทะเลจีนใต (ASEAN Declaration on The South China Sea) เกิดขึ้นในการ ประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน (ASEAN Ministerial Meeting) ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2535/1992 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินสแ โดยผูแทนจาก 6 ประเทศ รวมลงนามในปฏิญญาฉบับนี้ ไดแก เจาชายโมฮัม เม็ด โบลเกียหแ (Prince Mohamed Bolkiah) รัฐมนตรีตางประเทศบรูไน นายอาลี อาลาตัส (Ali Alatas) รัฐมนตรีตางประเทศอินโดนีเซีย ดาโต฿ะ อับดุลลาหแ บิน ฮาจี อาหมัด บาดาวี (Datuk Abdullah Bin Haji Ahmad Badawi) รัฐมนตรีตางประเทศมาเลเซีย นายราอูล เอส. มังลาปัส (Raul S. Manglapus) รัฐมนตรี ตางประเทศฟิลิปปินสแ นายหวอง กัน เส็ง (Wong Kan Seng) รัฐมนตรีตางประเทศสิงคโปรแ และ นายอาสา สารสิน รัฐมนตรีตางประเทศไทย ซึ่งปฏิญญาอาเซียนวาดวยทะเลจีนใต มีเนื้อหาและสาระสําคัญดังนี้ “รัฐมนตรีวาการกระทรวงตางประเทศของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียง ใต ระลึกถึงความสัมพันธแทางประวัติศาสตรแ วัฒนธรรม และสังคมที่ผูกพันประชาชนของรัฐซึ่งตั้งอยูติดกับ ทะเลจีนใต ประสงคแที่จะสงเสริมจิตวิญญาณของความเป็นญาติ มิตรภาพ และความสามัคคีในหมูประชาชนผู รวมประเพณีและมรดกความเป็นเอเชียอันคลายคลึงกัน ปรารถนาที่จะสงเสริมบรรยากาศที่จําเป็นเพื่อความ รวมมือทางเศรษฐกิจและการเจริญเติบโตใหมากขึ้น รับทราบวาจะตองปฏิบัติตามอุดมการณแเดียวกันโดยความ เคารพซึ่งกันและกัน เสรีภาพ อํานาจอธิปไตย และขอบเขตอํานาจของภาคีที่เกี่ยวของโดยตรง ตระหนักวา ประเด็นทะเลจีนใตเกี่ยวของกับปัญหาที่มีความออนไหวตออํานาจอธิปไตยและขอบเขตอํานาจของภาคีที่ เกี่ยวของโดยตรง ตระหนักวาพัฒนาการอันไมพึงประสงคแใดๆ ในทะเลจีนใตสงผลกระทบโดยตรงตอสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาค ดังนั้น จึงไดตกลงกันดังตอไปนี้ 1. มุงเนนตอความจําเป็นที่จะตองแกไขประเด็นอํานาจอธิปไตยและปัญหาที่เกี่ยวของกับขอบเขต อํานาจที่เกี่ยวของกับทะเลจีนใตโดยสันติวิธี ปราศจากการใชกําลัง 2. เรียกรองทุกฝุายที่เกี่ยวของใหใชความยับยั้งชั่งใจในการสรางบรรยากาศเชิงบวกเพื่อนําไปสูแนว ทางการแกไขปัญหาขอพิพาททุกกรณีในที่สุด 3. แกไขปัญหาโดยไมกระทบตอสิทธิ์อธิปไตยและขอบเขตอํานาจของประเทศผูมีสวนไดเสียโดยตรงใน พื้นที่ เพื่อคนหาความเป็นไปไดที่จะสรางความรวมมือในทะเลจีนใตดานความปลอดภัยในการเดินเรือและการ ติดตอสื่อสาร การปูองกันมลพิษของสิ่งแวดลอมทางทะเล การประสานงานดานการคนหาและการดําเนินการ กูภัย ความพยายามเพื่อตอตานการละเมิดลิขสิทธิ์และปลนโดยใชอาวุธ รวมทั้งการทํางานรวมกันในการ รณรงคแตอตานการคายาเสพติดผิดกฎหมาย 4. มอบความไววางใจใหทุกฝุายที่เกี่ยวของที่จะใชหลักการที่มีอยูในสนธิสัญญามิตรภาพและความ รวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) เป็น พื้นฐานในการสรางแนวปฏิบัติระหวางประเทศในพื้นที่ทะเลจีนใต 5. ขอเชิญชวนทุกฝุายที่เกี่ยวของเขารวมเป็นภาคีในหลักการแหงปฏิญญานี้”244
โดยสรุป บทบัญญัติที่กําหนดไวในปฏิญญาฉบับนี้เป็นความมุงมั่นที่จะแกไขปัญหาขอพิพาทโดยสันติวิธี ตามหลักการของอาเซียนที่เคยปฏิบัติสืบตอกันมาเชนเดียวกับปฏิญญาฉบับอื่นๆ โดยยึดเอาสนธิสัญญา
244 ปฏิญญาอาเซียนวาดวยทะเลจีนใต หรือ ASEAN Declaration on The South China Sea. Adopted by the Foreign Ministers at the 25th ASEAN Ministerial Meeting in Manila, Philippines on 22 July 1992. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1q2JD1C 250
มิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) เป็นพื้นฐาน โดยไมไดมีการกําหนดขั้นตอนเพื่อการระงับขอพิพาทโดยเฉพาะ และเนื่องจากมี ประเทศภาคีนอกภูมิภาคอาเซียน ยิ่งทําใหการดําเนินการตองระมัดระวังเป็นอยางมาก โดยดูไดจากการ กําหนดหลักการอยางกวางเอาไว คือ จะแกไขขอพิพาททะเลจีนใตโดยสันติวิธี ปราศจากการใชกําลัง และใน ตอมาจะนําไปสูการบัญญัติ “ปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต (Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC)” ในปี 2545/2002 ซึ่งจะไดกลาวถึงในหัวขอตอไป
251
5.1.5 การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย- แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF)
การประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดานการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF) เกิดขึ้นจากมติของที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 4 ระหวางวันที่ 27-29 มกราคม 2535/1992 ที่ประเทศสิงคโปรแ โดยไดออก “ปฏิญญาสิงคโปรแ” (Singapore Declaration) ซึ่งระบุถึงการให ความรวมมืออยางใกลชิดระหวางอาเซียนกับสหประชาชาติและองคแการระหวางประเทศอื่นๆ เพื่อปฏิบัติตาม ความตกลงสันติภาพ และแยกการหารือโดยใชเวทีการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนกับประเทศคูเจรจา (ASEAN Post Ministerial Conferences – PMC) ออกเป็นอีกเวทีหนึ่งสําหรับการหารือดานการเมืองและความมั่นคง ในภูมิภาคเป็นการเฉพาะ เพื่อใหสามารถหารือในรายละเอียด และไดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยเป็นกลไกที่จะ ดึงประเทศที่สําคัญภายนอกภูมิภาคเขามารวมมือกับอาเซียนดานการสงเสริมความมั่นคง ซึ่งการประชุมระดับ รัฐมนตรีการประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดานการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF) จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2537/1994 ปัจจุบันการประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดานการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF) มีประเทศตางๆ เขารวมแลวจํานวน 26 ประเทศ กับอีก 1 กลุมประเทศ ไดแก ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนดแ จีน ญี่ปุุน สาธารณรัฐเกาหลี รัสเซีย อินเดีย และสหภาพยุโรป โดยมีประเทศผูสังเกตการณแพิเศษของอาเซียน (Special Observer) 1 ประเทศ คือ ปาปัวนิวกินี และประเทศอื่นในภายภูมิภาค 6 ประเทศ ไดแก มองโกเลีย สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ปากีสถาน ติมอรแ-เลสเต บังกลาเทศ และ ศรีลังกา กลไกในการประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดานการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF) มีขั้นตอนการดําเนินการ 3 ระดับ คือ ระดับที่ 1 การสงเสริมมาตรการไว เนื้อเชื่อใจ (Confidence Building Measures - CBMs) ระดับที่ 2 การทูตในเชิงปูองกัน (Preventive Diplomacy - PD) และ ระดับที่ 3 แนวทางชวยแกไขปัญหาความขัดแยง (Approaches to Conflict) โดยใน ปัจจุบันการประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดานการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF) กําลังเขาสูขั้นตอนการดําเนินการระดับที่ 2 โดยสรุป แมวากลไกการประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดานการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF) จะมีโครงสรางการประชุมวาดวยเรื่องความมั่นคงทาง ทะเล (Inter-sessional Meeting on Maritime Security) แตก็เป็นการประชุมที่ใหความสําคัญกับการเพิ่ม ความรวมมือระดับภูมิภาคและระหวางประเทศเพื่อปกปูองและพิทักษแความมั่นคงของเสนทางคมนาคมทาง ทะเล (the Sea Lanes of Communication – SLOC) ในเชิงพาณิชยแเทานั้น245 ซึ่งทําใหเห็นวากลไกการ ประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดานการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF) ยังไมสามารถเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศใน อาเซียนได
245 กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ, รายงานของไทยเกี่ยวกับมุมมองความมั่นคงในภูมิภาค ประจําปี 2555 ใน กรอบ ASEAN Regional Forum (พฤศจิกายน 2555), หนา 29. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1NM8mT7 252
5.1.6 ระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรีของสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ (Rules of Procedure of the High Council of the Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia)
เกิดจากการประชุมของประเทศที่เป็นอัครภาคีผูทําสัญญาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2544/2001 ณ กรุง ฮานอย ประเทศเวียดนาม โดยรับเอาระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรี (Rules of Procedure of the High Council) ซึ่งเป็นการอนุวัติตามขอ 14 ของสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออก เฉียงใต (TAC) เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธแ 2519/1976246 ซึ่งระบุวา “ในการระงับกรณีพิพาทโดยกรรมวิธีใดๆ ของภูมิภาค อัครภาคีผูทําสัญญาจะตั้งคณะอัครภาคีในฐานะองคแคณะที่คงอยูตลอดไปขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบดวยผูแทนระดับรัฐมนตรีจากอัครภาคีผูทําสัญญาแตละฝุาย เพื่อรับทราบกรณีพิพาทที่มีอยูหรือ รับทราบสถานการณแที่นาจะกอความระส่ําระสายตอสันติภาพและความสมัครสมานกันในภูมิภาค” บทบัญญัติและเนื้อหาของระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรีของสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Rules of Procedure of the High Council of the Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia) ประกอบดวยระเบียบของขั้นตอนจํานวน 10 สวน (Part) จํานวนทั้งหมด 25 ขอ (Rule)247 ดังนี้ สวนที่ 1 ความมุงประสงคแ ขอ 1 ภายใตบทบัญญัติของสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใตระเบียบนี้ จักปรับใชแกอัครภาคีผูทําสัญญาของสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต และใช บังคับโดยอนุโลมกับงานใดๆ ของคณะผูปฏิบัติงานในกรณีที่มีการขัดกันของระเบียบนี้กับบทบัญญัติใน สนธิสัญญาสนธิสัญญาจักอยูเหนือ
สวนที่ 2 นิยาม ขอ 2 เพื่อความมุงประสงคแของระเบียบนี้: ก. “สนธิสัญญา” หมายความถึงสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใตและที่ ซึ่งแกไขเพิ่มเติมในพิธีสาร และ ข. “คณะอัครมนตรี” หมายความถึงคณะอัครมนตรีในบทที่ 4 ของสนธิสัญญา และ ค. “ประธานคณะอัครมนตรี” หมายความถึงประธานของคณะอัครมนตรีซึ่งไดรับการแตงตั้งโดย ระเบียบนี้ และ ง. “อัครภาคีผูทําสัญญา” หมายความถึงอัครภาคีผูทําสัญญาตามสนธิสัญญา
สวนที่ 3 องคแประกอบ ขอ 3 คณะอัครมนตรีจักประกอบดวย
246 กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. ระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรีของสนธิสัญญามิตรภาพและความ รวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (กันยายน 2554), หนา 36-74. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1CzLrtF 247 Rules of Procedure of the High Council of the Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia. Done in Hanoi on 23 July 2001 เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1DahICf 253
ก. ผูแทนระดับรัฐมนตรีหนึ่งคนจากแตละอัครภาคีผูทําสัญญา ซึ่งเป็นรัฐในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียง ใต ไดแก บรูไนดารุสซาลาม ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ลาว สาธารณรัฐมาเลเซีย สหภาพพมาสาธารณรัฐฟิลิปปินสแ สาธารณรัฐสิงคโปรแ ราชอาณาจักรไทย และ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และ ข. ผูแทนระดับรัฐมนตรีหนึ่งคนจากแตละอัครภาคีผูทําสัญญา ซึ่งเป็นรัฐนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใตและมีสวนเกี่ยวของโดยตรงกับขอพิพาทซึ่งอยูภายใตอํานาจพิจารณาของคณะอัครมนตรีตาม สนธิสัญญาและระเบียบนี้
ขอ 4 อัครภาคีผูทําสัญญาจักตองติดตอสื่อสารกับอัครภาคีผูทําสัญญาอื่นโดยผานชองทางทางการทูต เกี่ยวกับการแตงตั้งและการเปลี่ยนแปลงใดๆในการแตงตั้ง: ก. ตัวแทนของอัครภาคีผูทําสัญญาตามขอ 3 ก และ ข. กรณีที่อัครภาคีผูทําสัญญาตามขอ 3 ข จะไดแก ผูที่จะเป็นผูแทนของอัครภาคี ผูทําสัญญานั้น ถา อัครภาคีผูทําสัญญานั้นเกี่ยวของโดยตรงกับขอพิพาทซึ่งคณะอัครมนตรีไดรับไวพิจารณา
ขอ 5 จักตองมีประธานในคณะอัครมนตรี ตามขอ 21 ประธานจักตองเป็น: ก. ผูแทนของอัครภาคีผูทําสัญญาซึ่งในขณะนั้นเป็นประธานคณะกรรมาธิการของสมาคมประชาชาติ เอเชียตะวันออกเฉียงใต หรือ ข. ผูแทนอื่นในอัครภาคีผูทําสัญญาซึ่งเป็นรัฐในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตตามที่คณะอัครมนตรีได เลือกตามระเบียบนี้
สวนที่ 4 การเริ่มตนขั้นตอนการระงับขอพิพาท ขอ 6 1. อัครภาคีผูทําสัญญาอาจมีอํานาจในการพิจารณาขอพิพาทหรือสถานการณแตามขอ 14 ถึงขอ 16 ของ สนธิสัญญา 2. วิธีการระงับขอพิพาทของคณะอัครมนตรีสามารถอุทธรณแไดโดยอัครภาคีผูทําสัญญาซึ่งมีสวน เกี่ยวของโดยตรงกับขอพิพาทนั้นเทานั้น
ขอ 7 1. อัครภาคีผูทําสัญญาจักอุทธรณแวิธีการระงับขอพิพาทของคณะอัครมนตรีโดยลายลักษณแอักษรโดย ผานชองทางทางการทูตไปที่ประธานคณะอัครมนตรีและที่อัครภาคีผูทําสัญญาอื่นๆ โดยจักตองมีขอความ ดังตอไปนี้: ก. ลักษณะของขอพิพาทหรือสถานการณแที่สงถึงคณะอัครมนตรี ข. คูพิพาทและขอเรียกรอง ค. หลักเกณฑแที่ทําใหคณะอัครมนตรีมีอํานาจเหนือขอพิพาทหรือสถานการณแตามสนธิสัญญา 2. อัครภาคีผูทําสัญญาจักสงหนังสือลายลักษณแอักษรตามวรรค 1 ใหกับอัครภาคีผูทําสัญญาอื่นอันเป็น คูกรณีในกรณีพิพาท โดยผานชองทางทางการทูตกอนอุทธรณแวิธีการระงับขอพิพาทของคณะอัครมนตรี 14 วัน 254
ขอ 8 1. เมื่อไดรับหนังสือลายลักษณแอักษรตามที่ระบุไวในขอ 7 ประธานคณะอัครมนตรีจักรวมกันหาการ รับรองเป็นลายลักษณแอักษรจากทุกฝุายในขอพิพาท ตามที่ระบุไวในขอ 7 ข วา คูกรณีในขอพิพาทจะยอมรับ ระเบียบของคณะอัครมนตรีตามที่ไดบัญญัติไวตามขอ 16 ของสนธิสัญญา 2. ในการเสนอการรับรองเป็นลายลักษณแอักษร อัครภาคีผูทําสัญญาซึ่งเป็นคูกรณีในขอพิพาทนั้นอาจ จัดเตรียมคําชี้แจงรายละเอียดที่นอกเหนือไปจากการรับรองเป็นลายลักษณแอักษรดังนี้ ก. ลักษณะของขอพิพาทหรือสถานการณแที่สงถึงคณะอัครมนตรี ข. คูพิพาทและขอเรียกรอง ค. หลักเกณฑแที่ทําใหคณะอัครมนตรีมีอํานาจเหนือขอพิพาทหรือสถานการณแ ตามสนธิสัญญา
ขอ 9 หากวาคูกรณีในขอพิพาทนั้นไมไดรับการรับรองเป็นลายลักษณแอักษรตามขอ 8 คณะอัครมนตรีจะ ไมสามารถดําเนินการตอไปได
สวนที่ 5 การประชุม ขอ 10 เมื่อไดรับทราบการรับรองเป็นลายลักษณแอักษรตามขอ 9 แลวประธานคณะอัครมนตรีจัก ก. เริ่มการประชุมคณะอัครมนตรีภายใน 6 สัปดาหแ และ ข. แจงผูแทนและผูที่เกี่ยวของตามระเบียบในการประชุมลวงหนาเป็นเวลา 3 สัปดาหแ โดยในการแจง เตือนนั้นจะตองแนบสําเนาของหนังสือลายลักษณแอักษรและการรับรองเป็นลายลักษณแอักษร ขอ 11 การประชุมของคณะอัครมนตรีจักจัดขึ้นที่รัฐของอัครภาคีผูทําสัญญาซึ่งดํารงตําแหนง ประธานอัครมนตรี หรืออาจเป็นสถานที่อื่นตามการตัดสินใจของคณะอัครมนตรี สวนที่ 6 การดําเนินการประชุมบทบัญญัติทั่วไป ขอ 12 องคแประชุมของคณะอัครมนตรี ไดแก ผูแทนคณะอัครมนตรี ขอ 13 ผูแทนอาจมาจากตัวแทนที่ไดรับอนุญาตถูกตอง และอาจมีตัวแทนและที่ปรึกษาเขารวมดวย ขอ 14 รัฐอัครภาคีผูทําสัญญาที่อยูนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต และไมไดเกี่ยวของกับขอพิพาท โดยตรงมีสิทธิที่จะเขารวมการประชุมของคณะอัครภาคีผูทําสนธิสัญญาไดในฐานะผูสังเกตการณแ โดยยื่นคําขอ อยางเป็นลายลักษณแอักษรตอประธานคณะอัครมนตรี เวนแตคณะอัครมนตรีจะมีการตัดสินใจเป็นอยางอื่น ผู สังเกตการณแมีสิทธิใหความเห็นในการประชุมหากคณะอัครมนตรีมอบสิทธิให ขอ 15 หากคณะอัครมนตรีไมมีการตัดสินใจเป็นอยางอื่น อัครภาคีผูทําสัญญาจะเป็นผูเตรียม เลขาใน การประชุมแตละครั้ง โดยอัครภาคีผูทําสัญญาอาจขอความชวยเหลือจากสํานักเลขาธิการอาเซียน ขอ 16 หากคณะอัครมนตรีไมมีการตัดสินใจเป็นอยางอื่น อัครภาคีผูทําสัญญาที่เป็นเจาภาพเป็น ผูรับผิดชอบคาใชจายในการจัดการประชุม ขอ 17 ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในการทํางานของคณะอัครมนตรี ขอ 18 บันทึกเป็นลายลักษณแอักษรของการดําเนินการในการประชุมแตละครั้งจักถูกจัดเตรียมและ นํามาปรับใชโดยคณะอัครมนตรี
สวนที่ 7 กระบวนการตัดสินใจ ขอ 19 กระบวนการตัดสินใจของอัครภาคีผูทําสัญญาจะเป็นไปโดยเอกฉันทแในการประชุม 255
ขอ 20 เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น แมวาบุคคลที่อางถึงในขอ 4 ข จะเป็นตัวแทนตามขอ 3 ข บุคคลนั้น จะไม ถือเป็นผูแทนในการกําหนดทาที่และกระบวนการตัดสินใจในปัญหานั้น อยางไรก็ตามบุคคลนั้นจะไดรับโอกาส ในการแสดงความเห็นกอนการตัดสินใจ
สวนที่ 8 การตัดสินใจในการประชุม ประเด็นเบื้องตน ขอ 21 หากประธานคณะอัครมนตรีเป็นผูแทนของอัครภาคีผูทําสัญญาซึ่งเกี่ยวของโดยตรงในขอพิพาท ที่สงถึงคณะอัครมนตรีตามขอ 7 ในตอนเริ่มตนการประชุมตามที่ไดอางแลวบุคคลนั้นจักตองลงจากตําแหนง ประธานคณะอัครมนตรี โดยการรับรองของผูแทนของอัครภาคีผูทําสัญญาคนอื่น ซึ่งไดแกรัฐในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต ตามที่ไดตัดสินโดยคณะอัครมนตรี ขอ 22 กอนที่จะตัดสินใจในการเสนอแนะ และจัดใหมีการดําเนินการอื่นๆ ภายใตสนธิสัญญา, คณะ อัครมนตรี จะตองทําใหเป็นที่พึงพอใจใน: ก. ขอพิพาท หรือสถานการณแ ซึ่งเป็นหนึ่งในความรูความเขาใจตามสนธิสัญญา และ ข. เงื่อนไขกําหนดโดยสนธิสัญญาเพื่อนําเสนอการดําเนินการเป็นไปตามที่กําหนดไว
สวนที่ 9 อํานาจอื่นๆ ขอ 23 ภายใตบทบัญญัติในสนธิสัญญาและระเบียบนี้ คณะอัครมนตรีอาจตัดสินใจ และนําระเบียบอื่น มาใชสําหรับการประชุม ขอ 24 คณะอัครมนตรีอาจจัดตั้งคณะทํางานในลักษณะเฉพาะกิจเทาที่จําเป็นเพื่อชวยในการปฏิบัติ หนาที่ และรับผิดชอบในเรื่องตางๆ
สวนที่ 10 การแกไข ขอ 25 ระเบียบนี้อาจแกไขไดโดยขอตกลงที่เป็นเอกฉันทแของอัครภาคีผูทําสัญญา
โดยสรุปแลว กระบวนการจัดการขอพิพาทของระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรีของสนธิสัญญา มิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Rules of Procedure of the High Council of the Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia) โดยในขั้นแรกจะตองมีการจัดตั้งสภาสูงหรือคณะ อัครมนตรี (High Council) ซึ่งแสดงใหเห็นวาความรวมมือทางการเมืองและความมั่นคงระหวางประเทศ สมาชิกอาเซียนทั้งในระดับที่เป็นทางการและไมเป็นทางการมีแนวโมที่จะเพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่จะตองนํามา พิจารณาคือ คณะอัครมนตรีอาจตัดสินใจทําหนาที่เป็นผูใชอํานาจเพื่อการระงับขอพิพาท หรือ ในกรณีที่เกิด ขอพิพาทขึ้นแลว ประเทศคูพิพาททั้งสองฝุายอาจรองขอใหคณะอัครมนตรีเขามาใชอํานาจขึ้นอยูกับการ ตีความบทบัญญัติที่เกี่ยวของ นอกจากนี้ยังอาจตีความไดวา ขอพิพาททวิภาคีอาจกลายเป็นขอพิพาทพหุภาคี เนื่องจากการตัดสินใจของคณะอัครมนตรีจะเพิ่มระดับความเขมขนของความเป็นสถาบันภายในองคแกรอาเซียน มากขึ้น และเป็นขั้นตอนที่มีความเป็นทางการมากขึ้นของอาเซียนเองดวย248 อยางไรก็ตาม ระเบียบขั้นตอน ของคณะอัครมนตรีของสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Rules of
248 Amer, Ramses. “The Association of Southeast Asian Nations‖ (ASEAN) Conflict Management Approach Revisited: Will the Charter Reinforce ASEAN‖s Role?” In Current Research on South-East Asia, pp. 11-12. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JrGEao 256
Procedure of the High Council of the Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia) ได แสดงใหเห็นถึงความมุงมั่นในการจัดตั้งคณะอัครมนตรีของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเสริมสรางความ เขมแข็งของกลไกการจัดการขอพิพาทภายในภูมิภาค อยางไรก็ตาม กลไกที่ถูกกําหนดเอาไวในระเบียบขั้นตอนดังกลาว ดูเหมือนวาจะไมสามารถเกิดขึ้นได จริง เนื่องจากในยอหนาที่ 2 ของขอที่ 6 ระบุไววา “วิธีการระงับขอพิพาทของคณะอัครมนตรีสามารถอุทธรณแ ไดโดยอัครภาคีผูทําสัญญาซึ่งมีสวนเกี่ยวของโดยตรงกับขอพิพาทนั้นเทานั้น” และยังใหความสําคัญกับประเทศ คูพิพาทอยางมากโดยในขอที่ 9 กําหนดวา “หากวาคูกรณีในขอพิพาทนั้นไมไดรับการรับรองเป็นลายลักษณแ อักษรตามขอ 8 คณะอัครมนตรีจะไมสามารถดําเนินการตอไปได” ซึ่งขอที่ 8 ไดกําหนดหลักการเอาไววา “ประธานคณะอัครมนตรีจักรวมกันหาการรับรองเป็นลายลักษณแอักษรจากทุกฝุายในขอพิพาท…คูกรณีในขอ พิพาทจะยอมรับระเบียบของคณะอัครมนตรีตามที่ไดบัญญัติไวตามขอ 16 ของสนธิสัญญา” ดังนั้น การที่คณะ อัครมนตรีจะสามารถเริ่มตนขั้นตอนระงับขอพิพาทไดก็ตอเมื่อคูกรณีที่เกี่ยวของกับขอพิพาทยินยอมที่จะเขาสู กระบวนการของคณะอัครมนตรีเทานั้น นอกจากนี้ คูกรณีฝุายหนึ่งจะตองนําเรื่องเสนอใหคณะอัครมนตรี พิจารณา และถาหากมีฝุายที่ไมเห็นดวยกับการยื่นเรื่องตอคณะอัครมนตรีแลว ขั้นตอน “เพื่อรับทราบกรณี พิพาทที่มีอยู (to take cognizance of the existence of disputes) ” ก็เป็นอันตกไปดวย สิ่งสําคัญอีกประการหนึ่งของกลไกฉบับนี้คือ สวนที่ 7 “กระบวนการตัดสินใจ (Decision-Making)” โดยขอที่ 19 กําหนดไววา “กระบวนการตัดสินใจของอัครภาคีผูทําสัญญาจะเป็นไปโดยเอกฉันทแในการ ประชุม” ซึ่งสมาชิกอาเซียนทุกประเทศมีสิทธิ์ที่จะเป็นหนึ่งในผูแทนของคณะอัครมนตรี ดังนั้น การตัดสินใจ ใดๆ ก็ตามจึงไมสามารถขัดตอความตองการของฝุายใดฝุายหนึ่งในขอพิพาทได โดยในทางปฏิบัติแลวตอง ยอมรับวาเงื่อนไขที่คณะอัครมนตรีจะสามารถเริ่มขั้นตอนการระงับขอพิพาทได คูกรณีตองใหความเห็นชอบตอ ตัดสินใจที่จะเกิดขึ้นดวย ดังนั้นในที่สุด กลไกคณะอัครมนตรีจึงไมสามารถเกิดขึ้นเพื่อตอตานประเทศคูกรณีซึ่ง เป็นสมาชิกอาเซียนดวยกันเอง ยกเวนแตประเทศคูกรณีจะใหความยินยอม ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไดไมงายนักหรือ อาจจะไมเกิดขึ้นเลยตลอดไป เพราะไมมีประเทศใดอยากใหขอพิพาททวิภาคีกลายเป็นขอพิพาทพหุพาคีซึ่งฝุาย ตนยอมจะเสียเปรียบในการเจรจาตอรอง
257
5.1.7 ปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC)
ปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต (Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC) เกิดขึ้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2545/2002 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยมีผูแทนจาก 11 ประเทศ รวมลงนามในปฏิญญาฉบับนี้ ไดแก เจาชายโมฮัมเม็ด โบลเกียหแ (Prince Mohamed Bolkiah) รัฐมนตรีตางประเทศบรูไน นายฮอรแ นัมฮง (HOR Namhong) รัฐมนตรีอาวุโสและรัฐมนตรีความสัมพันธแและความรวมมือระหวางประเทศกัมพูชา ดร. ฮัสซัน วิรายุดา (Dr.Hassan Wirayuda) รัฐมนตรีตางประเทศอินโดนีเซีย นายสมสวาด เลงสวัสดิ์ (Somsavat Lengsavad) รัฐมนตรีตางประเทศ สปป.ลาว ดาโต฿ะ เสรี ซาเย็ด ฮามิด อัลบารแ (Datuk Seri Syed Hamid Albar) รัฐมนตรีตางประเทศมาเลเซีย นายวิน ออง (Min Aung) รัฐมนตรีตางประเทศสหภาพพมา นายดิแอส เอฟ. โอเปิล (Dias F. Ople) รัฐมนตรีตางประเทศฟิลิปปินสแ ศาสตราจารยแ เอส. ชัยกุมาร (Prof. S. Jayakumar) รัฐมนตรีตางประเทศสิงคโปรแ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีตางประเทศไทย นายเหวงียน ดี เหนียน (Nguyen Dy Nien) รัฐมนตรีตางประเทศเวียดนาม และ นายหวัง ยี่ (Wang Yi) ทูตพิเศษและ รัฐมนตรีชวยวาการประทรวงตางประเทศจีน โดยรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนและรัฐบาลแหงสาธารณรัฐประชาชนจีน ยืนยันความมุงมั่นที่จะ รวมกันพัฒนามิตรภาพและความรวมมือที่มีอยูระหวางประชาชนและรัฐบาลของกันและกัน ดวยวิสัยทัศนแใน การสงเสริมความเป็นหุนสวนกันในศตวรรษที่ 21 ของความเพื่อนบานที่ดีและมีความไววางใจซึ่งกันและกัน รูเทาทันความจําเป็นที่จะสงเสริมสันติภาพ ในบรรยากาศของความเป็นมิตรและความสามัคคีในทะเลจีนใต ระหวางอาเซียนกับจีน เพื่อการเสริมสรางสันติภาพ เสถียรภาพ การเติบโตทางเศรษฐกิจ และความ เจริญรุงเรืองในภูมิภาค โดยมีภาระที่จะเสริมสรางหลักการและวัตถุประสงคแของแถลงการณแรวมการประชุม ของประมุขของรัฐและหัวหนารัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนและประธานาธิบดีแหงสาธารณรัฐประชาชน จีน (Joint Statement of the Meeting of the Heads of State/Government of the Member States of ASEAN and President of the People's Republic of China) เมื่อปี 2540/1997249 ปรารถนาที่จะ เสริมสรางบรรยากาศที่ดีในการแกปัญหาดวยสันติวิธีและความยั่งยืนทามกลางความแตกตางและขอพิพาท ระหวางประเทศเกี่ยวของ จึงไดประกาศดังตอไปนี้250 1. ภาคียืนยันอีกครั้งถึงพันธสัญญาที่มีตามเปูาหมายและหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ (the Charter of the United Nations) อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 สนธิสัญญามิตรภาพ และความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ปี 2519/1976 หลัก 5 ประการแหงการอยูรวมกันอยางสันติ (Five Principles of Peaceful
249 โปรดดู Joint Statement of the Meeting of Heads of State/Government of the Member States of ASEAN and the President of the People's Republic of China Kuala Lumpur, Malaysia, 16 December 1997 เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1RwMgtO 250 ปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต หรือ Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC จาก เอกสารสําคัญอาเซียน กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1HrnSDG 258
Coexistence)251 และหลักการสากลอื่นซึ่งไดรับการยอมรับในแงกฎหมายระหวางประเทศซึ่งจะทําหนาที่เป็น บรรทัดฐานขั้นพื้นฐานของความสัมพันธแระหวางรัฐตอรัฐ 2. ภาคีมุงมั่นที่จะมองหาแนวทางเพื่อสรางความไววางใจและความเชื่อมั่นตามหลักการดังกลาวขางตน บนพื้นฐานของความเสมอภาคและความเคารพซึ่งกันและกัน 3. ภาคียืนยันอีกครั้งถึงความเคารพและพันธสัญญาที่มีตอเสรีภาพในการเดินเรือและการเดินอากาศ เหนือพื้นที่ทะเลจีนใตใหเป็นไปตามหลักการสากลที่ไดรับการยอมรับของกฎหมายระหวางประเทศ รวมถึง หลักการของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 4. ภาคีที่เกี่ยวของจะดําเนินการแกไขขอพิพาทเขตแดนและขอบเขตอํานาจโดยสันติวิธี ไมใชการ คุกคามหรือการใชกําลัง ผานการปรึกษาหารืออยางเป็นมิตร และการเจรจาตอรองโดยรัฐอธิปไตยที่เกี่ยวของ โดยตรง ตามหลักการสากลที่ไดรับการยอมรับของกฎหมายระหวางประเทศ รวมถึงหลักการของอนุสัญญา สหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 5. ภาคีจะใชความอดทนอดกลั้นในการดําเนินการใดๆ ที่อาจทําใหขอพิพาทเกิดความซับซอนหรือบาน ปลาย และสงผลกระทบตอสันติภาพและความมั่นคง รวมทั้งจะละเวนจากการเขาไปตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่ยังไมมี ใครอาศัยอยูในปัจจุบัน บนหมูเกาะ แนวสันดอน แนวปะการัง และลักษณะทางภูมิศาสตรแอื่นๆ และจะ ดําเนินการจัดการกับความแตกตางในแนวทางที่สรางสรรคแ ในขณะที่รอดําเนินการระงับขอพิพาทเขตแดนและ ขอบเขตอํานาจ ภาคีที่เกี่ยวของจะพยายามอยางยิ่งยวดในการหาวิธี ดวยจิตวิญญาณแหงความรวมมือและ ความเขาใจ เพื่อสรางความไววางใจและความเชื่อมั่นระหวางกัน ดังนี้ ก. จัดใหมีการหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นตามความเหมาะสมระหวางเจาหนาที่ทางการทหาร ของกันและกัน ข. สรางความมั่นใจในความเที่ยงธรรมและการปฏิบัติอยางมีมนุษยธรรมตอทุกคนที่กําลังตกอยูใน อันตรายหรือกําลังอยูในความทุกขแยาก ค. แจงใหภาคีอื่นที่เกี่ยวของทราบบนพื้นฐานของความสมัครใจในกิจกรรมรวมทางการทหารที่กําลังจะ เกิดขึ้น และ ง. แลกเปลี่ยนขอมูลที่เกี่ยวของบนพื้นฐานของความสมัครใจ
251 หลัก 5 ประการแหงการอยูรวมกันอยางสันติ (Five Principles of Peaceful Coexistence) หรือ สนธิสัญญา ปัญจศีล (Panchsheel Treaty) ระหวางจีนกับอินเดีย ปี 2497/1954 หรือ “ความตกลง (พรอมการแลกเปลี่ยนบันทึก) วา ดวยการคาและการแลกเปลี่ยนระหวาง (Agreement (with exchange of notes) on trade and intercourse between Tibet Region of China and India” ลงนาม ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2497/1954 โดยมีหลักการดังนี้ 1.การเคารพตอบูรณภาพแหงดินแดนและอํานาจอธิปไตยของกันและกัน (Mutual respect for each other's territorial integrity and sovereignty) 2.การไมรุกรานกัน (Mutual non-aggression) 3.การไมแทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน (Mutual non-interference in each other's internal affairs) 4.ความเสมอภาคและความรวมมือเพื่อผลประโยชนแรวมกัน (Equality and cooperation for mutual benefit.) 5.การอยูรวมกันอยางสันติ (Peaceful co-existence) ใน United Nations, Treaty Series Vol.299 (Treaties and international agreements registered or filed and recorded with the Secretariat of the United Nations), pp. 57-81. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึง จาก http://bit.ly/1CC0frC 259
6. ในขณะที่รอการดําเนินการระงับขอพิพาทที่สมบูรณแและยั่งยืน ภาคีที่เกี่ยวของอาจสํารวจหรือดําเนิน กิจกรรมความรวมมือ ซึ่งอาจรวมถึงกิจกรรมดังตอไปนี้ ก. การปกปูองสิ่งแวดลอมทางทะเล ข. การวิจัยวิทยาศาสตรแทางทะเล ค. ความปลอดภัยในการเดินเรือและการติดตอสื่อสารในทะเล ง. ปฏิบัติการคนหาและการกูภัย และ จ. การตอตานอาชญากรรมขามชาติ รวมถึงการลักลอบคายาเสพติด การละเมิดลิขสิทธิ์ และปลนอาวุธ ในทะเล และลักลอบคาอาวุธผิดกฎหมาย รูปแบบวิธีการ ขอบเขต และตําแหนงที่ตั้ง ในสวนของความรวมมือทวิภาคีและพหุภาคีจะตองตกลงกัน โดยภาคีที่เกี่ยวของกอนที่จะมีปฏิบัติการระหวางกัน
7. ภาคีที่เกี่ยวของพรอมที่จะทําการปรึกษาหารือและการเจรจาในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวของ โดยใช วิธีการที่จะมีการตกลงกัน รวมทั้งการปรึกษาหารือทั่วไปวาดวยการปฏิบัติตามปฏิญญานี้ เพื่อจุดประสงคแใน การสงเสริมการเป็นเพื่อนบานที่ดีและความโปรงใส สรางความสามัคคี ความเขาใจซึ่งกันและกันและความ รวมมือ และอํานวยความสะดวกเพื่อการแกไขปัญหาขอพิพาทระหวางกันอยางสันติ 8. ภาคียอมรับที่จะเคารพบทบัญญัติของปฏิญญานี้และดําเนินการใหสอดคลองกัน 9. ภาคีจะสงเสริมใหประเทศอื่นๆ เคารพหลักการที่มีอยูในปฏิญญานี้ 10. ภาคีที่เกี่ยวของยืนยันวาจะมีการรับรอง “แนวปฏิบัติในทะเลจีนใต (code of conduct in the South China Sea)” ซึ่งจะสงเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคและเห็นดวยกับการดําเนินงานบน พื้นฐานของฉันทามติเพื่อนําไปสูความสําเร็จในตามวัตถุประสงคแของปฏิญญานี้
โดยสรุป ปฏิญญาฉบับนี้ เป็นปฏิญญาฉบับแรกที่ทุกประเทศอาเซียนรวมทั้งจีนประกาศเจตนารมณแ รวมกันเพื่อจะมุงมั่นและรวมกันแกไขปัญญาขอพิพาททะเลจีนใตอยางสันติวิธี อยางไรก็ตาม มีการวิเคราะหแ เกี่ยวกับปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต (Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC) ซึ่งไดรับการยกยองวาเป็นหมุดหมายที่สําคัญระหวางประเทศสมาชิกอาเซียนกับ จีน แตก็ยังไมสามารถสรางความไววางใจหรือปูองกันไมใหขอพิพาทรัฐที่อางสิทธิ์ในทะเลจีนใตลุกลามได เนื่องจากมีบทบาทเป็นเพียงการเรียกรองใหคูกรณีมีความยับยั้งชั่งใจตอกัน แตอยางนอยที่สุด ปฏิญญาฉบับนี้ก็ ยังมีประโยชนแในแงของการเป็นบรรทัดฐานอางอิงเมื่อเกิดปัญหาและความตึงเครียด รวมทั้งเป็นพื้นฐานสําหรับ การเจรจาโดยถือเป็นระเบียบปฏิบัติ (Code of Conduct – COC) อยางเป็นทางการ252 แมกระทั่งปัจจุบันก็ ไมปรากฏวามีรัฐที่อางสิทธิ์รัฐใดที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต (Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC) อยางเครงครัด ซึ่งหลังจาก มีการลงนามรับรองกลไกฉบับนี้แลว โครงการความรวมมือทวิภาคีหรือพหุภาคีในทะเลจีนใตเกิดขึ้นนอยมาก เนื่องจากไมมีอํานาจทางกฎหมายในการยับยั้งพฤติกรรมของฝุายที่อางสิทธิ์ในทะเลจีนใต และขาดกลไกการ
252 Mingjiang Li. การจัดการดานความมั่นคงในทะเลจีนใต: จาก DOC ถึง COC. (แปลโดย ภัควดี วีระภาสพงษแ) The South China Sea. Kyoto Review of Southeast Asia. Issue 15 (March 2014). เขาถึงเมื่อ 20 ธันวาคม 2557/2014 เขาถึงจาก http://bit.ly/1V081jS 260
สอดสองดูแล และขอบังคับใหปฏิบัติตาม อีกทั้งการที่ฝุายจีนแสดงทาทีไมสนใจและไมมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติ ตามขอกําหนดที่เคยตกลงกันไว เพราะกลัววาจะสงผลเสียตอการอางอํานาจอธิปไตยในทะเลจีนใต253 แมวาจะมีการประชุมเจาหนาที่อาวุโสอาเซียน-จีน (ASEAN-China Senior Officials‖ Meeting – SOM) เพื่อกํากับดูแลการนํากลไกฉบับนี้ไปใชปฏิบัติ โดยมีการแตงตั้งคณะทํางานรวมเพื่อจัดการกับขอพิพาท เฉพาะกรณี นับตั้งแตเดือนธันวาคม 2547/2004 ซึ่งมีการจัดประชุมเจาหนาที่อาวุโสอาเซียน-จีน เป็นครั้งแรก ณ กรุงกัวลาลัมเปอรแ โดยกําหนดใหมีคณะทํางานรวมและนําเสนอเอกสารที่กําหนดรายละเอียดโครงสราง บทบาทหนาที่และความรับผิดชอบของคณะทํางานรวมใหมีภาระหนาที่ในดานการศึกษาและวางมาตรการเชิง นโยบายที่เฉพาะเจาะจงสําหรับการปฏิบัติ รวมทั้งระบุพฤติกรรมที่กอใหเกิดขอพิพาทหรือการบานปลาย ตอมาในวันที่ 4-5 สิงหาคม 2548/2005 จึงมีการประชุมคณะทํางานรวมครั้งแรกขึ้น ณ กรุงมะนิลา เพื่อ นําเสนอรางเอกสารแนวทางปฏิบัติ 7 ขอ ซึ่งขอที่ 2 กําหนดวา “อาเซียนจะยังคงปฏิบัติตามแนวทางปัจจุบัน ในการหารือกันเองกอนจัดประชุมกับจีน” ซึ่งฝุายจีนคัดคานขอนี้ โดยอางวาทะเลจีนใตไมใชปัญหาของชาติ สมาชิกอาเซียนทุกชาติ แตเกี่ยวของกับประเทศสมาชิกอาเซียนสวนนอยเทานั้น โดยฝุายจีนยืนยันวาจะทําการ หารือกับ “ฝุายที่เกี่ยวของ” เทานั้น ไมใชการหารือกับกลุมประเทศอาเซียนทั้งหมด254 ในที่สุด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554/2011 อาเซียนและจีนตัดสินใจที่จะจัดทําแนวทางการปฏิบัติตาม กลไกฉบับนี้ได ซึ่งในการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554/2011 อดีตนายกรัฐมนตรี ของจีน กลาววาจีนจะยังคงเป็นเพื่อนมิตรและหุนสวนที่ดีของอาเซียน โดยเต็มใจทํางานกับประเทศสมาชิก อาเซียนเพื่อกาวไปสูการปฏิบัติตามปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต (Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC) และจีนเต็มใจที่จะหารือเกี่ยวกับการรางระเบียบ ปฏิบัติ (Code of Conduct – COC) อีกดวย โดยฝุายจีนรับปากวาจะจัดสรรเงินกูจํานวน 1 หมื่นลานเหรีญ ดอลลารแสหรัฐ (รวมวงเงินกูดอกเบี้ยต่ํา 4 พันลาน) เพื่อกอสรางโครงสรางพื้นฐานในกลุมประเทศอาเซียน ตอมานายหยางเจี๋ยฉือ อดีตรัฐมนตรีวาตางประเทศของจีน ย้ําวาการประชุมหารือเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติ (Code of Conduct – COC) ควรวางอยูบนพื้นฐานการอนุโลมตามปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีใน ทะเลจีนใต (Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC) โดยกลาววา “จีนหวังวาทุกฝุายจะดําเนินการมากกวานี้เพื่อขยายความไววางใจซึ่งกันและกัน สงเสริมความรวมมือและสราง เงื่อนไขที่จําเป็นเพื่อการวางกรอบ COC”255 ในเดือนสิงหาคม 2556/2013 นายหวังอี้ รัฐมนตรีตางประเทศคนใหมของจีน ไดเสนอทัศนะ 4 ประการเกี่ยวกับกระบวนการรางระเบียบปฏิบัติ (Code of Conduct – COC) ไดแก 1. อาจตองใชเวลายาวนานพอสมควรกวาจะจัดทําระเบียบปฏิบัติ (Code of Conduct – COC) ได สําเร็จ เนื่องจากความซับซอนของปัญหา 2. กระบวนการรางระเบียบปฏิบัติ (Code of Conduct – COC) ควรคํานึงถึงฉันทามติใหมากที่สุดและ เคารพความสบายใจของแตละฝุายที่อางสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต 3. ควรหลีกเลี่ยงการแทรกแซงอื่นๆ และ
253 Ibid. 254 Ibid. 255 Chinese FM: Trust and co-op essential to COC, Xinhua, July 13, 2012. เขาถึงเมื่อ 20 ธันวาคม 2557/2014 เขาถึงจาก http://on.china.cn/1NMd0Re 261
4. การเจรจาควรดําเนินไปในลักษณะคอยเป็นคอยไป โดยพื้นฐานแลว กระบวนการรางระเบียบปฏิบัติ (Code of Conduct – COC) ควรดําเนินไปควบคูกับการปฏิบัติตามปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีใน ทะเลจีนใต (Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC) ทั้งนี้ ในวันที่ 15 กันยายน 2556/2013 มีการจัดการประชุมเจาหนาที่อาวุโสจีน-อาเซียน วาดวย กระบวนการรางระเบียบปฏิบัติ (Code of Conduct – COC) ขึ้นเป็นครั้งแรก ณ เมืองซูโจว โดยทุกฝุายเห็น พองตองกันบนหลักการที่จะตองคํานึงถึงฉันทามติและใชวิธีการแบบคอยเป็นคอยไป ซึ่งกระบวนการราง ระเบียบปฏิบัติ (Code of Conduct – COC) ยอมไปอยางยากลําบากและยาวนาน ซึ่งตรงกันขามกับความ คาดหวังของหลายประเทศในภูมิภาคและมหาอํานาจภายนอกภูมิภาคอยางสหรัฐอเมริกา256
256 Mingjiang Li. Ibid. 262
5.1.8 ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน II (Declaration of ASEAN Concord II) หรือ บาหลี II (Bali Concord II)
ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน II (Declaration of ASEAN Concord II)257 ไดรับการรับรองขึ้น เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2546/2003 ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 9 ระหวางวันที่ 7-8 ตุลาคม 2546/2003 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ซึ่งประกอบดวย 3 เสาหลัก ไดแก ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community – ASC) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) และ ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio – Cultural Community – ASCC) ภายในปี 2563/2020 ซึ่งเป็นการแสดงความตอเนื่องของการพัฒนาความสัมพันธแและการทํางานรวมกันภายในประเทศ สมาชิกอาเซียน โดยสรุป กลไกฉบับนี้ไดใหความสําคัญกับการยืนยันคานิยมพื้นฐานและหลักการรวมตัวกันเป็นองคแกร อาเซียน โดย “ยืนยันอีกครั้งถึงความสําคัญขั้นมูลฐานที่จะยึดมั่นในหลักการไมแทรกแซงและฉันทามติภายใน กรอบความรวมมืออาเซียน”258 และยังย้ําถึงกลไกสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ปี 2519/1976 โดย ระบุเอาในขอที่ 5 วา “แนวทางปฏิบัติที่สําคัญในการดําเนินความสัมพันธแทางการปกครอง ระหวางรัฐ และ เป็นวิธีการทางการทูตเพื่อสงเสริมสันติภาพและเสถียรภาพภายในภูมิภาค” นอกจากนี้ ยังเนนพันธสัญญาระหวางประเทศสมาชิกอาเซียน ตามที่ระบุไวในขอที่ 4 วาจะ “ตกลงใจ ในการระงับขอพิพาทที่มีมายาวนานดวยแนวทางสันติวิธี (resolve to settle long-standing disputes through peaceful means)” และยังระบุถึงการที่ประเทศสมาชิกจะรับรองกรอบการดําเนินงานเพื่อใหบรรลุ “ประชาคมอาเซียนที่มีพลวัตร เป็นอันหนึ่งอันเดียว มีความยืดหยุน และมีบูรณาการ (dynamic, cohesive, resilient and integrated ASEAN community)” อยางไรก็ตาม อาเซียนจะยังคงสงเสริมความเป็นปึกแผน และความรวมมือในระดับภูมิภาค โดย “ประเทศสมาชิกจะใชสิทธิของตนเพื่อนําไปสูการดํารงอยูของชาติตน ใหเป็นอิสระจากการแทรกแซงจากภายนอกตอกิจการภายในของประเทศ” และจะตองปฏิบัติตามกฎบัตร สหประชาชาติและหลักการอื่นๆ ของกฎหมายระหวางประเทศ แตก็ยังจําเป็นตองสงเสริมหลักการไม แทรกแซง ฉันทามติในการตัดสินใจ ความยืดหยุนในระดับชาติและระดับภูมิภาค เคารพในอํานาจอธิปไตยของ ชาติ การไมคุกคามหรือการใชกําลัง และการระงับความแตกตางและขอพิพาทขอพิพาทโดยสันติวิธี ที่นาสนใจคือ ขอที่ 7 ภายใตกรอบประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community – ASC) ไดเนนไปที่สภาสูงหรือคณะอัครมนตรี (High Council) โดยระบุวา “คณะอัครมนตรีที่จัดตั้งขึ้นภายใต กลไกสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) จะเป็นองคแประกอบที่สําคัญในประชาคมความมั่นคงอาเซียน เพราะสะทอนใหเห็นถึงความมุงมั่นของอาเซียนที่จะแกปัญหาความแตกตาง ขอพิพาท และความขัดแยงโดย สันติ
257 ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน II (The Declaration of ASEAN Concord II) หรือ ปฏิญญาบาหลี II (Bali Concord II) Done in Bali, Indonesia on 7 October 2003 จาก เอกสารสําคัญอาเซียน กรมอาเซียน กระทรวงการ ตางประเทศ เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Dqauu1 258 “REAFFIRMING the fundamental importance of adhering to the principle of non-interference and consensus in ASEAN cooperation;” Ibid. 263
และในทายที่สุดกลไกปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน II (Declaration of ASEAN Concord II) ยังพยายามที่จะแสวงหานวัตกรรมหรือการมองไปขางหนาเพื่อจัดใหมีเวทีสําหรับการพัฒนากลไกในการจัดการ ขอพิพาทระหวางประเทศสมาชิกอาเซียน ตามขอที่ 12 วา “อาเซียนจะแสวงหานวัตกรรมหรือวิธีการใหมๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของตน และสรางวิธีการสําหรับสําหรับประชาคมความมั่นคงอาเซียน ซึ่งรวมถึง องคแประกอบตอไปนี้ ไดแก การจัดตั้งบรรทัดฐาน การปูองกันขอพิพาท แนวทางในการแกปัญหาความขัดแยง และการสรางสันติภาพภายหลังความขัดแยง”259
259 “12. ASEAN shall explore innovative ways to increase its security and establish modalities for the ASEAN Security Community, which include, inter alia, the following elements: norms-setting, conflict prevention, approaches to conflict resolution, and post-conflict peace building.” Ibid. 264
5.1.9 แผนปฏิบัติการประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community Plan of Action)
แผนปฏิบัติการประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community Plan of Action) ไดรับ การรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 10 ระหวางวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2547/2004 ณ กรุง เวียงจันทนแ ประเทศลาว ซึ่งกระบวนการสรางประชาคมความมั่นคงอาเซียนเริ่มเป็นรูปธรรม โดยเป็นเคาโครง ในการดําเนินงานดานความมั่นคงของอาเซียนวาควรขึ้นอยูกับ “บรรทัดฐานและกฎระเบียบรวมของการปฏิบัติ ที่ดีในความสัมพันธแระหวางประเทศ การปูองกันความขัดแยงที่มีประสิทธิภาพและกลไกในการแกปัญหา และ กิจกรรมในการสรางสันติหลังจากเกิดขอพิพาท”260 นอกจากนี้ยังมีความชัดเจนยิ่งขึ้นวาประชาคมความมั่นคง อาเซียนจะสงเสริม “ความมั่นคงและความรวมมือทางการเมืองของอาเซียนในวงกวาง เพื่อใหสอดคลองกับ วิสัยทัศนแอาเซียน 2020 มากกวาสนธิสัญญาการปูองกัน พันธมิตรทางการทหาร หรือนโยบายรวมในทางการ ตางประเทศ”261 ซึ่งกระบวนการเป็นประชาคมความมั่นคงอาเซียนตองมีลักษณะที่ “กาวหนา/เชิงรุก (progressive)” ตามหลักการไมแทรกแซง การตัดสินใจโดยใชหลักฉันทามติ การมีความความยืดหยุนใน ระดับชาติและระดับภูมิภาค หลักการเคารพตออธิปไตยของชาติ และหลักการไมคุกคามหรือการใชกําลังทาง ทหาร รวมทั้งการระงับความแตกตางและขอพิพาทโดยสันติวิธี แผนการที่ชัดเจนแสดงใหเห็นระดับของความ ตอเนื่องและยึดมั่นในการทํางานรวมกันระหวางประเทศสมาชิกอาเซียน นอกจากนี้ ยังระบุวาอาเซียนไม เพียงแตจะเสริมสราง “แนวคิดแรกเริ่ม (initiative)” ที่มีอยูใหเขมแข็ง แตควรเสนอแนวทางใหมๆ และจัดตั้ง “กรอบการดําเนินงานที่เหมาะสม (appropriate implementation frameworks)” ดวย แผนปฏิบัติการประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community Plan of Action) ประกอบดวย 7 สวน ไดแก 1. การเสริมสรางพัฒนาการทางการเมือง (Political Development) ระหวางประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสงเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ ประชาธิปไตย และความมั่งคั่งในภูมิภาค เชน การสงเสริมสถาบัน ประชาธิปไตยและการมีสวนรวมของประชาชน การคุมครองสตรี เด็ก ผูพิการและแรงงานอพยพ เป็นตน 2. การเสริมสรางบรรทัดฐานรวมกัน (Shaping and Sharing of Norms) ระหวางประเทศสมาชิก อาเซียน เพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินความสัมพันธแที่ดีระหวางประเทศสมาชิก เชน การไมฝักใฝุฝุายใด (Non-alignment) สงเสริมทัศนคติที่มุงเนนสันติภาพของประเทศสมาชิกอาเซียน (Fostering of peace- oriented attitudes of ASEAN Member Countries) การแกไขความขัดแยงโดยวิธีการไมใชความรุนแรง (Conflict resolution through non-violent means) การยกเลิกอาวุธนิวเคลียรแและอาวุธอื่นๆ ที่มีอํานาจ การทําลายลางสูง และหลีกเลี่ยงการแขงขันทางดานอาวุธในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Renunciation of nuclear weapons and other weapons of mass destruction and avoidance of arms race in Southeast Asia) และ การยกเลิกการคุกคามหรือการใชกําลัง (Renunciation of the threat or the use of force) รวมถึงการสงเสริมใหประเทศนอกอาเซียนเขามาเป็นภาคีในสนธิสัญญาตางๆ ของอาเซียน และการ จัดทํากฎบัตรอาเซียน เป็นตน 3. การปูองกันความขัดแยง (Conflict Prevention) โดยการเสริมสรางความไวเนื้อเชื่อใจและความ เชื่อมั่นในประชาคมอาเซียน ลดความตึงเครียดและปูองกันการเกิดขอพิพาท อีกทั้งปูองกันไมใหขอพิพาททวี ความรุนแรงยิ่งขึ้น เชน การจัดการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน การสงเสริมความสัมพันธแและความ
260 แผนปฏิบัติการประชาคมความมั่นคงอาเซียน หรือ ASEAN Security Community Plan of Action เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1VkMweU 261 Ibid. 265
รวมมือระหวางทหารและพลเรือน การสงเสริมความรวมมือในประเด็นภัยคุกคามรูปแบบใหมซึ่งรวมถึงการกอ การราย อาชญากรรมขามชาติ โรคติดตอ ปัญหาสิ่งแวดลอม เป็นตน 4. การแกไขปัญหา (Conflict Resolution) ขอพิพาทในภูมิภาคโดยใชกลไกสันติวิธี เชน การสราง เครือขายระหวางศูนยแรักษาสันติภาพขอประเทศสมาชิก เป็นตน 5. การสรางสันติภาพภายหลังความขัดแยง (Post-Conflict Peace Building) โดยการสราง สภาพแวดลอมที่จําเป็นตอสันติภาพที่ยั่งยืนในบริเวณที่ไดรับผลกระทบจากสงครามและปูองกันการเกิดขอ พิพาทอีกในอนาคต ซึ่งรวมถึง การใหความชวยเหลือดานมนุษยธรรม การฟื้นฟูและบูรณะประเทศ เชน การ จัดตั้งกลไกระดมทรัพยากรที่จําเป็นในการสรางสรรคแสันติภาพภายหลังความขัดแยง เป็นตน 6. การบังคับใชกลไกตางๆ ใหเกิดผลในทางปฏิบัติ (Implementing Mechanisms) โดยการจัดตั้ง กลไกติดตามการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community Plan of Action) โดยมอบหมายใหเลขาธิการอาเซียนติดตามและทบทวนความคืบหนาในเรื่องดังกลาว ทั้งนี้ รัฐมนตรีตางประเทศอาเซียนจะรายงานความคืบหนาของการดําเนินการทุกๆ ปีตอที่ประชุมสุดยอดอาเซียน 7. พื้นที่และกิจกรรม (Areas of Activities) ซึ่งมีรายละเอียดในภาคผนวกสําหรับแผนการสราง ประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ANNEX for ASEAN Security Community Plan of Action)262
โดยสรุปแลว ในแงของการจัดการขอพิพาท กลไกตามแผนปฏิบัติการประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community Plan of Action) ไดเนนวา ขอพิพาทและความขัดแยงที่เกี่ยวของกับ ประเทศสมาชิกอาเซียนจะตองไดรับการแกไขโดย “สันติวิธี (peaceful way)” ในขณะที่ยังคงใชกลไกใน ระดับชาติ ในระดับทวิภาคี และในระดับนานาชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนจะตองพยายามใชกลไกที่มีอยูใน การระงับขอพิพาทในระดับภูมิภาค รวมทั้งการเตรียมการรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค เพื่อ ผลประโยชนแโดยรวมของประเทศสมาชิกทั้งหมด นอกจากนี้ ยังกําหนดใหมี “สนธิสัญญาวาดวยการชวยเหลือ ทางกฎหมายระหวางกัน (ASEAN Treaty on Mutual Legal Assistance (MAL) Agreement)” และ “สนธิสัญญาสงผูรายขามแดนอาเซียน (ASEAN Extradition Treaty)” ตามที่ไดวางเปูาหมายเอาไวใน “ปฏิญญาความรวมมืออาเซียน (ASEAN Concord)” ฉบับปี 2519/1976 รวมทั้งการจัดตั้ง “อนุสัญญา อาเซียนวาดวยการตอตานการกอการราย (ASEAN Convention on Counter Terrorism)”263 และใหมี “การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers Meeting – ADMM)” เป็นประจําทุกปี เพื่อเสริมสรางมาตรการการปูองกันและสรางความเขมแข็งใหแก “การประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดาน การเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF)” เพื่อสนับสนุนและ เสริมสรางความรวมมือในประเด็นความมั่นคงในรูปแบบใหม (non-traditional security issues) มุงเนนที่จะ การรักษาหลักการความเคารพในอธิปไตยของบูรณภาพแหงดินแดนและความสามัคคีของประเทศสมาชิก (efforts in maintaining respect for territorial integrity sovereignty and unity of member countries) และการเสริมสรางความรวมมือเพื่อรับมือตอ “ภัยคุกคามและความทาทาย (threats and challenges)” จากลัทธิการแบงแยกดินแดน (separatism)
262 โปรดดู ANNEX for ASEAN Security Community Plan of Action เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1I2Vinm 263 ASEAN Convention on Counter Terrorism. Done at Cebu, Philippines on 13 January 2007 เขาถึง เมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1OhnojJ 266
โดยระบุกลไกในการระงับขอพิพาท ไดแก การใชวิธีระงับขอพิพาทโดยสันติวิธีที่มีอยูแลว เชน การ เจรจา และ การปรึกษาหารือ การจัดใหมีการใชคนกลางที่นาเชื่อถือ การตอรองและการไกลเกลี่ย หรือใชกลไก “คณะอัครมนตรี (High Council)” เป็นตัวเลือกที่ควรใหความสําคัญเป็นอันดับแรก และหากมีความ จําเป็นตองใชกลไกคณะอัครมนตรี อาจการแตงตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะกิจ (ad hoc) โดยมี “คณะกรรมการ ผูเชี่ยวชาญและที่ปรึกษา (Experts Advisory Committee – EAC)” หรือ “คณะผูทรงคุณวุฒิ (Eminent Persons Group – EPG)” ซึ่งอาจขยายความชวยเหลือแกคณะอัครมนตรีที่จะใหคําแนะนําหรือใหคําปรึกษา เพื่อระงับขอพิพาทตามที่มีการรองขอ เพื่อใหสอดคลองกับ “ระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรีของ สนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Rules of Procedure of the High Council of the Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia)” นอกจากนี้ ยังมีมาตรการใน การพัฒนาความรวมมือในระดับภูมิภาคเพื่อการรักษาสันติภาพและความมั่นคง เชน ความเป็นไปไดในการ จัดตั้ง “สถานบันอาเซียนเพื่อสันติภาพและความสมานฉันทแ (ASEAN Institute for Peace and Reconciliation)” และในภาคผนวกสําหรับแผนการสรางประชาคมความมั่นคงอาเซียน (ANNEX for ASEAN Security Community Plan of Action) ยังเรียกรองใหมีการเสริมสรางความชวยเหลือดานมนุษยธรรมของ อาเซียน เพื่อพัฒนาความรวมมือในการการสรางสันติภาพภายหลังความขัดแยง และการฟื้นฟู รวมทั้งการ จัดตั้งกลไกในการระดมทรัพยากรอีกดวย
267
5.1.10 กฎบัติอาเซียน (Charter of the Association of Southeast Asian Nations – ASEAN Charter)
กฎบัติอาเซียน (Charter of the Association of Southeast Asian Nations – ASEAN Charter) ไดรับการรับรองเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550/2007 ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 13 ระหวางวันที่ 18-22 พฤศจิกายน 2550/2007 ณ ประเทศสิงคโปรแ ซึ่งถือเป็นความตกลงฉบับประวัติศาสตรแ ในวาระที่ อาเซียนกอตั้งมาครบ 40 ปี โดยมีความเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เชน กําหนดใหมีการประชุมสุดยอดปีละ 2 ครั้ง มีการแตงตั้งผูแทนถาวรอาเซียนของแตละประเทศสมาชิกในคณะกรรมการผูแทนถาวร ณ กรุงจาการแตา และ มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการระหวางรัฐบาลอาเซียนวาดวยสิทธิมนุษยชน เป็นตน ทั้งนี้กฎบัติอาเซียนมีผล บังคับใชตั้งแตเดือนธันวาคม 2551/2008 เป็นตนมา ที่สําคัญคือบทบัญญัติที่เกี่ยวของกับการระงับขอพิพาท ในหมวดที่ 8 วาดวยการระงับขอพิพาท ขอ 22-28 ไดแก “หมวด 8 การระงับขอพิพาท264 ขอ 22 หลักการทั่วไป 1. รัฐสมาชิกตองพยายามที่จะระงับขอพิพาททั้งปวงอยางสันติใหทันทวงที โดยผานการสนทนา การปรึกษาหารือ และการเจรจา 2. ใหอาเซียนจัดตั้งและธํารงไวซึ่งกลไกการระงับขอพิพาทในทุกสาขาความรวมมือของอาเซียน
ขอ 23 คนกลางที่มีตําแหนงหนาที่นาเชื่อถือ การประนีประนอม และการไกลเกลี่ย 1. รัฐสมาชิกที่เป็นคูกรณีในขอพิพาทอาจจะตกลงกันเมื่อใดก็ไดที่จะใชคนกลางที่มีตําแหนงหนาที่ นาเชื่อถือ การประนีประนอม หรือการไกลเกลี่ย เพื่อระงับขอพิพาทภายในระยะเวลาที่ตกลงกัน 2. คูกรณีในขอพิพาทอาจรองขอใหประธานอาเซียน หรือเลขาธิการอาเซียน ทําหนาที่โดยตําแหนง ในการเป็นคนกลางที่มีตําแหนงหนาที่นาเชื่อถือ การประนีประนอม หรือการไกลเกลี่ย
ขอ 24 กลไกระงับขอพิพาทตามตราสารเฉพาะ 1. ใหระงับขอพิพาทที่เกี่ยวของกับตราสารเฉพาะของอาเซียนโดยกลไกและขั้นตอนการดําเนินการที่ กําหนดไวในตราสารนั้นๆ 2. ใหระงับขอพิพาทที่ไมเกี่ยวของกับการตีความหรือการใชตราสารอาเซียนใดๆ โดยสันติตาม สนธิสัญญาทางไมตรีและความรวมมือแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใตและตามกฎวาดวยขั้นตอนการดําเนินงาน ของสนธิสัญญาดังกลาว 3. ในกรณีที่มิกําหนดไวเป็นอยางอื่นเป็นการเฉพาะ ใหระงับขอพิพาทที่เกี่ยวของกับการตีความหรือการ ใชความตกลงทางเศรษฐกิจของอาเซียนตามพิธีสารวาดวยกลไกระงับขอพิพาทของอาเซียน
ขอ 25 การจัดตั้งกลไกระงับขอพิพาท ในกรณีที่มิไดกําหนดไวเป็นอยางอื่นเป็นการเฉพาะ ใหมีการจัดตั้งกลไกระงับขอพิพาทที่เหมาะสม รวมถึงอนุญาโตตุลาการ สําหรับขอพิพาทที่เกี่ยวของกับการตีความหรือการใชกฎบัตรนี้ และตราสารอาเซียน อื่นๆ
264 กฎบัติอาเซียน หรือ Charter of the Association of Southeast Asian Nations. Done in Singapore on 20 November 2007 จาก เอกสารสําคัญอาเซียน กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1fY2hbM 268
ขอ 26 ขอพิพาทที่มิอาจระงับได ในกรณีที่ยังคงระงับขอพิพาทมิได ภายหลังการใชบทบัญญัติกอนหนานี้ในหมวดนี้แลว ใหเสนอขอ พิพาทนั้นไปยังที่ประชุมสุดยอดอาเซียน เพื่อตัดสิน
ขอ 27 การปฏิบัติตาม 1. เลขาธิการอาเซียนโดยการชวยเหลือจากสํานักเลขาธิการอาเซียน หรือ องคแกรอาเซียนอื่นๆ ที่ไดรับ แตงตั้ง จะสอดสองดูแลการปฏิบัติตามผลการวินิจฉัย ขอเสนอแนะ หรือขอตัดสินใจ ซึ่งเป็นผลจากกลไกระงับ ขอพิพาทของอาเซียน และสงรายงานไปยังที่ประชุมสุดยอดอาเซียน 2. รัฐสมาชิกที่ไดรับผลกระทบจากการไมปฏิบัติตามผลการวินิจฉัย ขอเสนอแนะ หรือขอตัดสินใจ ซึ่ง เป็นผลจากกลไกระงับขอพิพาทของอาเซียน อาจสงเรื่องไปยังที่ประชุมสุดยอดอาเซียนเพื่อตัดสิน
ขอ 28 บทบัญญัติของกฎบัตรสหประชาชาติ และกระบวนการระหวางประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวของ หากมิไดระบุไวเป็นอยางอื่นในกฎบัตรนี้ รัฐสมาชิกยังคงไวซึ่งสิทธิที่จะใชวิธีการระงับขอพิพาทอยาง สันติที่ระบุไวในขอ 33(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ หรือตราสารทางกฎหมายระหวางประเทศอื่นๆ ที่รัฐ สมาชิกคูพิพาทเป็นภาคี”
โดยสรุป กฎบัติอาเซียนเป็นการยืนยันหลักการพื้นฐานของความสัมพันธแระหวางประเทศสมาชิก อาเซียน ตามวรรคที่ 7 ของบทนํา ซึ่งระบุวา “เคารพความสําคัญพื้นฐานของมิตรภาพและความรวมมือ และ หลักการแหงอธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแหงดินแดน การไมแทรกแซงในกิจการภายใน ฉันทามติและ เอกภาพในความหลากหลาย”265 ซึ่งยังคงเนนความสําคัญของสันติภาพ ดังที่ระบุเอาไวอยางชัดเจนในขอ 1 “วัตถุประสงคแ (Purposes)” ของบทที่ 1 “วัตถุประสงคแและหลักการ (Purposes and Principles)” วา จุดประสงคแแรกของอาเซียน คือ “เพื่อธํารงรักษาและเพิ่มพูนสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพ กับทั้ง เสริมสรางคุณคาทางสันติภาพในภูมิภาคใหมากขึ้น” รวมทั้ง ขอที่ 2 ของ “หลักการ (Principles)” โดยประเทศสมาชิกอาเซียนจะ “ปฏิบัติตามหลักการ ดังตอไปนี้” (ก) การเคารพเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค บูรณภาพแหงดินแดน และอัตลักษณแแหงชาติ ของรัฐสมาชิกอาเซียนทั้งปวง (ข) ความผูกพันและความรับผิดชอบรวมกันในการเพิ่มพูนสันติภาพ ความมั่นคง และความมั่งคั่งของภูมิภาค (ค) การไมใชการรุกราน และการขมขูวาจะใชหรือการใชกําลังหรือการกระทําอื่น ใดในลักษณะที่ขัดตอกฎหมายระหวางประเทศ (ง) การอาศัยการระงับขอพิพาทโดยสันติ (จ) การไมแทรกแซง กิจการภายในของรัฐสมาชิกอาเซียน (ฉ) การเคารพสิทธิของรัฐสมาชิกทุกรัฐในการธํารงประชาชาติของตนโดย ปราศจากการแทรกแซง การบอนทําลาย และการบังคับ จากภายนอก และ (ฎ) การละเวนจากการมีสวนรวม ในนโยบายหรือกิจกรรมใดๆ รวมถึงการใชดินแดนของตน ซึ่งดําเนินการโดยรัฐสมาชิกอาเซียนหรือรัฐที่มิใช สมาชิกอาเซียนหรือผูกระทําที่ไมใชรัฐใดๆ ซึ่งคุกคามอธิปไตย บูรณภาพแหงดินแดน หรือเสถียรภาพทาง การเมืองและเศรษฐกิจของรัฐสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ หลักการไมแทรกแซงยังคงเป็นหลักการที่ชัดเจนที่สุดของ อาเซียน การยึดมั่นอยางเครงครัดตอบทบัญญัติของกฎบัตรสหประชาชาติ ที่เกี่ยวของกับขอหามในการ “การ คุกคามหรือการใชกําลัง (threat or use of force)”
265 Ibid. 269
5.1.11 แผนการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint)
แผนการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint) ไดรับการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2552/2009 ณ ชะอํา/หัวหิน ประเทศไทย โดยเป็นการกําหนดแผนงาน 6 ปี ระหวางปี 2552-2558/2009-2015 เพื่อสราง ความรวมมือทางการเมืองและความมั่นคงระหวางประเทศสมาชิกอาเซียน มีจุดมุงหมายเพื่อใหเกิดความมั่นใจ วาประเทศสมาชิกอาเซียนจะสามารถอยูรวมกันไดอยางสันติภายในบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตยและความ สามัคคี ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนจะยึดมั่นในหลักการสันติวิธี เพื่อการระงับความแตกตางและขอพิพาทที่ เกิดขึ้นภายในภูมิภาค ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนสนับสนุนแนวทางดานความมั่นคงที่ ครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงตอพัฒนาการดานการเมือง เศรษฐกิจและสังคมอยางใกลชิด ยึดหลักใน การละเวนการรุกรานหรือการขูใชใชกําลัง และการกระทําใดๆที่ไมสอดคลองกับกฎหมายระหวางประเทศและ การพึ่งพาการแกไขปัญหาความขัดแยงโดยสันติวิธี ในการนี้ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนยึดมั่น ตามความตกลงทางการเมืองของอาเซียน อาทิ ปฏิญญาวาดวยเขตสันติภาพ อิสรภาพ และการวางตัวเป็น กลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality Declaration – ZOPFAN) หรือ สนธิสัญญามิตรภาพ และความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) เป็นตน ซึ่งมีบทบาทสําคัญในดานมาตรการสงเสริมความไวเนื้อเชื่อใจ การทูตในเชิงปูองกัน และ แนวทางแกไขปัญหาโดยสันติวิธี อีกทั้งแกไขประเด็นความมั่นคงในรูปแบบใหม ทั้งนี้ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนประกอบดวยคุณลักษณะ 3 ประการ ไดแก ก) ประชาคมที่มีกติกาและมีการพัฒนาคานิยมและบรรทัดฐานรวมกัน (A rules-based community of shared values and norms) ข) ประชาคมที่ทําใหภูมิภาคมีความเป็นเอกภาพ มีความสงบสุข มีความแข็งแกรง พรอมทั้งมีความ รับผิดชอบรวมกันเพื่อแกไขปัญหาความมั่นคงที่ครอบคลุมในทุกมิติ (A cohesive, peaceful, and resilient region with shared responsibility for comprehensive security) ค) ประชาคมที่ทําใหเป็นภูมิภาคที่มีพลวัตรและมองไปยังโลกภายนอกที่มีการรวมตัวและลักษณะพึ่งพา ซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น (A dynamic and outward looking region in an increasingly integrated and interdependent world)266 โดยสรุปแลว แผนการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint) ไดตั้งเปูาหมายวาจะสามารถจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนไดใน ปี 2558/2015 นอกจากนี้ ยังสรางแผนงานที่มีความยืดหยุนเพื่อใหเกิดการดําเนินงานตามโครงการหรือ กิจกรรมที่มีไดอยางตอเนื่องภายหลังปี 2558/2015 โดยจะทําใหเกิดประชาคมการเมืองและความมั่นคงที่มี คุณภาพและความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ดวยการกําหนดบทบัญญัติที่เกี่ยวของกับการจัดการขอพิพาทระหวาง ประเทศ ไดแก “ข.1 ปูองกันความขัดแยงและมาตรการการสรางความไวเนื้อเชื่อใจ” กําหนดวา ขอ 18 มาตรการการสรางความไวเนื้อเชื่อใจและการทูตเชิงปูองกันเป็นเครื่องมือ สําคัญในการปูองกัน ความขัดแยง ชวยลดความตึงเครียดและปูองกันไมใหเกิดขอพิพาทระหวางประเทศสมาชิกอาเซียน และ
266 ASEAN Political-Security Community Blueprint เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงฉบับ ภาษาอังกฤษไดจาก http://bit.ly/1IeCIiG หรือฉบับภาษาไทยไดจาก http://bit.ly/1Rud11Y 270
ระหวางประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศที่ไมใชสมาชิกอาเซียน ตลอดจนชวยปูองกันการขยายความรุนแรง ของความขัดแยงที่มีอยูแลว ขอ 19 ในสวนของการหารือดานการปูองกันหรือการเมืองในภูมิภาค เจาหนาที่กลาโหมอาเซียนไดมี สวนรวมในการเจรจาดานความมั่นคงของอาเซียนตั้งแตปี 1996/2539 ภายใตกรอบความรวมมือของเวทีการ การประชุมอาเซียนวาดวยความรวมมือดานการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum – ARF) อาเซียนไดทําการรายงานโดยสมัครใจในเรื่องพัฒนาการดานการเมืองและความ มั่นคงในภูมิภาคและจัดประชุมเจาหนาที่กลาโหมระดับสูงโดยสม่ําเสมอภายใตการหารือของเจาหนาที่กลาโหม เออารแเอฟ (ARF Defence Officials‖ Dialogue – DOD) และการประชุมนโยบายความมั่นคงเออารแเอฟ (ARF Security Policy Conference – ASPC) อาเซียนยังไดจัดตั้งการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ประจําปี (ASEAN Defence Ministers Meeting – ADMM) และการประชุมเจาหนาที่อาวุโสอาเซียนดาน กลาโหม (ASEAN Defence Senior Officials‖ Meetings) นอกจากนี้ยังกําหนดให มีขอ “ข.2 การแกไขความขัดแยงและการระงับขอพิพาทโดยสันติ” ขอ 20 โดยเชื่อมั่นวาการระงับความแตกตางหรือขอพิพาทควรกํากับโดยกระบวนการที่มีเหตุผล มี ประสิทธิภาพ และยืดหยุนเพียงพอ เพื่อหลีกเลี่ยงแนวคิดในทางลบซึ่งอาจเป็นอันตรายหรือเป็นอุปสรรคตอ ความรวมมืออาเซียน จึงสนับสนุนสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ซึ่งพยายามรักษาสันติภาพและอยู รวมกันอยางเป็นสุขในภูมิภาคและบัญญัติใหประเทศสมาชิกระงับการขมขูวาจะใชหรือการใชกําลัง ขอ 21 สนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ใหบทบัญญัติสําหรับการระงับขอพิพาทโดยสันติ ตลอดเวลา โดยผานการเจรจาฉันทแมิตรและหลีกเลี่ยงการขมขูวาจะใชหรือการใชกําลังเพื่อแกไขขอพิพาทยุทธศาสตรแ สําหรับการแกไขความขัดแยงจะเป็นสวนหนึ่งของแนวทางที่ครอบคลุมในทุกมิติ วัตถุประสงคแสําหรับ ยุทธศาสตรแเหลานี้เป็นไปเพื่อปูองกันขอพิพาทและความขัดแยงไมใหเกิดขึ้นระหวางประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีศักยภาพที่จะสรางภัยคุกคามตอสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ขอ 22 อาเซียน สหประชาชาติและองคแการอื่นไดจัดกิจกรรมความรวมมือจํานวนมากรวมกันภายใต ความพยายามในการสงเสริมสันติภาพและเสถียรภาพ มีความจําเป็นที่จะมีความพยายามที่มากขึ้นในการ เสริมสรางวิธีการระงับขอพิพาทโดยสันติที่มีอยูเพื่อหลีกเลี่ยงหรือระงับขอพิพาทในอนาคต และการดําเนินการ ในการจัดการความขัดแยงและการศึกษาวิจัยเรื่องการแกไขความขัดแยง อาเซียนอาจจัดตั้งกลไกการระงับขอ พิพาทที่เหมาะสมไดเชนกันภายใตกฎบัตรอาเซียน ทั้งนี้ มีการกําหนดกิจกรรมเอาไวในขอ “ข.2.1 พัฒนารูปแบบการระงับขอพิพาทโดยสันติเพิ่มเติมจาก รูปแบบที่มีอยูและพิจารณาเสริมสรางรูปแบบดังกลาวใหเขมแข็งขึ้นดวยกลไกเพิ่มเติมตามที่จําเป็น” ไดแก 1) ศึกษาและวิเคราะหแรูปแบบการระงับขอพิพาทโดยสันติที่มีอยู และ/หรือกลไกเพิ่มเติม เพื่อเสริมสราง กลไกในภูมิภาคในการระงับขอพิพาทโดยสันติ 2) พัฒนารูปแบบ คนกลางที่นาเชื่อถือ การประนีประนอมและการไกลเกลี่ยของอาเซียน 3) จัดตั้งกลไกการระงับขอพิพาทโดยสันติที่เหมาะสม รวมทั้งอนุญาโตตุลาการตามกฎบัตรอาเซียน
271
5.1.12 พิธีสารของกฎบัตรอาเซียนว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาท (Protocol to the ASEAN Charter on Dispute Settlement Mechanisms – DSMP)
พิธีสารของกฎบัตรอาเซียนวาดวยกลไกระงับขอพิพาท (Protocol to the ASEAN Charter on Dispute Settlement Mechanisms – DSMP)267 เกิดขึ้นจากการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 16 ระหวาง วันที่ 8-9 เมษายน 2553/2010 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ตามที่ระบุไวในกฎบัตรอาเซียนขอที่ 25 วา ดวย การจัดตั้งกลไกระงับขอพิพาท “ในกรณีที่มิไดกําหนดไวเป็นอยางอื่นเป็นการเฉพาะ ใหมีการจัดตั้งกลไก ระงับขอพิพาทที่เหมาะสม รวมถึงอนุญาโตตุลาการ สําหรับขอพิพาทที่เกี่ยวของกับการตีความหรือการใชกฎ บัตรนี้ และตราสารอาเซียนอื่นๆ” ซึ่งสถานะในปัจจุบันยังอยูระหวางรอใหรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียน แตละประเทศประกาศใหสัตยาบันรับรองกลไกฉบับนี้อยู พิธีสารของกฎบัตรอาเซียนวาดวยกลไกระงับขอพิพาท (Protocol to the ASEAN Charter on Dispute Settlement Mechanisms – DSMP) เป็นการกําหนดขั้นตอนและกระบวนการระงับขอพิพาท ภายใตบทบัญญัติของกฎบัตรอาเซียนซึ่งมีบทบัญญัติทั้งหมด 21 ขอ และภาคผนวกอีก 4 ฉบับ ที่สําคัญๆ เชน ขอ 5 วาดวยการปรึกษาหารือ (consultation) ซึ่งประเทศคูพิพาทตองยื่นคํารองที่ระบุเหตุผลของความ จําเป็นที่จะใหมีกระบวนการปรึกษาหารือแกเลขาธิการอาเซียน (Secretary-General of ASEAN) โดย ประเทศคูพิพาทอีกฝุายตองทําการตอบกลับ (reply) การยื่นคํารองภายใน 30 วัน และตองเริ่มกระบวนการ ปรึกษาหารือภายใน 60 วัน และกระบวนการปรึกษาหารือจะสิ้นสุดลงภายใน 90 วัน หรือภายในระยะเวลาที่ คูพิพาทตกลงรวมกัน เป็นตน ขอ 6 วาดวยการจัดใหมีการเจรจา (good office) การไกลเกลี่ยโดยคนกลาง (mediation) และการ ประนีประนอม (conciliation) ซึ่งมีรายละเอียดขั้นตอนตามที่ระบุไวขอที่ 7 วาดวยหนาที่ (functions) และใน ภาคผนวกแนบทายพิธีสารฉบับนี้ ขอ 8 วาดวยการรองขอใหมีกระบวนการอนุญาโตตุลาการ (request for arbitration) ขอ 9 การอางอิงถึงคณะมนตรีประสานงานอาเซียน (Reference to the ASEAN Coordinating Council) ขอ 10 วาดวยกระบวนการอนุญาโตตุลาการ (arbitration) ขอ 11 ผูที่จะมาทําหนาที่อนุญาโตตุลาการ (arbitrators) และขอ 12 หนาที่ของคณะอนุญาโตตุลาการ (functions of arbitral tribunal) ขอ 13 วาดวยการระงับขอพิพาทโดยบุคคลที่สาม (third party) ขอ 14 วาดวยการนํากฎหมายมาใชบังคับ (applicable law) โดยในขอ 15 ไดกําหนดเอาไวอยาง ชัดเจนวา “คําตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการถือวาสิ้นสุดและผูกพันภาคีคูพิพาท และจะตองปฏิบัติตามโดย ภาคีคูพิพาท (The award of the arbitral tribunal shall be final and binding on the Parties to the dispute. It shall be fully complied with by the Parties to the dispute)” ขอ 16 วาดวยการปฎิบัตรตามคําตัดสินของอนุญาโตตุลาการและความตกลงระงับขอพิพาท (compliance with arbitral award and settlement agreement) ขอ 17 คาใชจาย (costs) โดยกําหนดใหภาคีคูพิพาทเป็นผูออกคาใชจายตามที่กําหนดไวในภาคผนวก ของกฎวาดวยอนุญาโตตุลาการ (rules of arbitration)
267 Protocol to the ASEAN Charter on Dispute Settlement Mechanisms. Done in Hanoi on 8 April 2010 เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1KgakdE 272
ขอ 18 วาดวยหนาที่ของสํานักงานเลขาธิการอาเซียน (function of the ASEAN Secretariat) ซึ่ง กําหนดใหสํานักงานเลขาธิการอาเซียนมีหนาที่รับผิดชอบในการใหความชวยเหลือคณะอนุญาฌตตุลาการ และ ผูที่ทําหนาที่ในการเจรจา เป็นคนกลาง การไกลเกลี่ย และประนีประนอม โดยเฉพาะดานกฎหมาย ประวัติศาสตรแ และดานอื่นๆ ที่เกี่ยวของ และทําหนาที่เป็นเลขานุการเพื่อสนับสนุนทางดานเทคนิคดวย ทั้งนี้ พิธีสารของกฎบัตรอาเซียนวาดวยกลไกระงับขอพิพาท (Protocol to the ASEAN Charter on Dispute Settlement Mechanisms – DSMP) มีภาคผนวกแนบทายจํานวน 4 ฉบับ ไดแก ภาคผนวก 1 (Annex 1) กฎวาดวยการจัดใหมีการเจรจา (Rules of Good Offices) เป็นการกําหนด รายละเอียดตางๆ ที่จะชวยอํานวยความสะดวกในการเจรจาระหวางประเทศคูพิพาท เชน การชวยโทรศัพทแ ประสานงาน หรือการจัดหาสถานที่เพื่ออํานวยความสะดวกในการเจรจา เป็นตน ภาคผนวก 2 (Annex 2) กฎวาดวยการไกลเกลี่ยโดยคนกลาง (Rules of Mediation) ไดกําหนด รายละเอียดเกี่ยวกับผูทําหนาที่ไกลเกลี่ย และวิธีการไกลเกลี่ย ซึ่งอาจจะเป็นการพบปะหารือกับประเทศ คูพิพาททั้งสองโดยพรอมกัน หรือแยกพบกันคนละคราวเพื่อชวยไกลเกลี่ยขอพิพาทก็ได ภาคผนวก 3 (Annex 3) กฎวาดวยการประนีประนอม (Rules of Conciliation) ซึ่งกําหนดใหประเทศ คูพิพาทตองจัดทําคําชี้แจงใหแกผูทําหนาที่ประนีประนอม และกําหนดใหผูทําหนาที่ประนีประนอมซึ่งโดยปกติ จะมีเพียง 1 คน ดําเนินการจัดทําขอเสนอสําหรับการระงับขอพิพาท ภาคผนวก 4 (Annex 4) กฎวาดวยอนุญาโตตุลาการ (Rules of Arbitration) กําหนดใหคําตัดสินของ อนุญาโตตุลาการเป็นที่สุดและผูกพันคูพิพาท รวมทั้งกําหนดรายละเอียดเกี่ยวกับจํานวนและที่มาของ อนุญาโตตุลาการผูทําหนาที่ รวมทั้งกรอบระยะเวลาในการดําเนินการตางๆ ที่เกี่ยวของ เป็นตน268 โดยสรุปแลว หากเกิดขอพิพาทขึ้น ประเทศคูกรณีจะตองระงับขอพิพาทโดยวิธี “ปรึกษาหารือ (consultation)” เป็นอันดับแรกกอนวิธีอื่น แตหากกลไกนี้ไมประสบความสําเร็จประเทศคูพิพาทสามารถใช กลไก “อนุญาโตตุลาการ (arbitration)” แตหากประเทศคูพิพาทฝุายหนึ่งฝุายใดปฏิเสธการใชกลไก อนุญาโตตุลาการ ประเทศคูพิพาทอีกฝุายสามารถยื่นคํารองให “คณะมนตรีประสานงานอาเซียน (ASEAN Coordinating Council – ACC)” ตัดสินวาจะใหประเทศคูพิพาทใชวิธีใดในการระงับขอพิพาท ตามที่กําหนด ไวในพิธีสารของกฎบัตรอาเซียนวาดวยกลไกระงับขอพิพาท (Protocol to the ASEAN Charter on Dispute Settlement Mechanisms – DSMP)
268 เพลินตา ตันรังสรรคแ. สรุปการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “กลไกระงับขอพิพาทของอาเซียนและกฎสําหรับการเสนอ เรื่องการไมปฏิบัติตามใหที่ประชุมสุดยอดอาเซียนตัดสิน” จัดโดย กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ วันอังคารที่ 24 มกราคม 2555/2012 ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนดแ ถนนวิภาวดี กรุงเทพมหานคร. จุลนิติ ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 (มี.ค.-เม.ย.2555) 273
5.2 กลไกจัดการข้อพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศภายนอกกรอบอาเซียน
กลไกจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศภายนอกกรอบอาเซียน หรือ กลไกที่รัฐคูพิพาทเคยใช บริการเพื่อการระงับขอพิพาทเขตแดนระหวางกัน หมายถึง กลไกที่มีบทบัญญัติเกี่ยวของกับการแกปัญหาขอ พิพาทเขตแดนระหวางประเทศซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นตามความตกลงระหวางประเทศภายนอกกรอบอาเซียน ซึ่ง ประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นภาคีสมาชิก และเคยใชกลไกดังกลาวในการระงับขอพิพาทเขตแดนระหวาง ประเทศ ประกอบดวยกลไกจํานวน 3 กลไก ไดแก 5.2.1 ศาลประจําอนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration – PCA) 5.2.2 ศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก 5.2.3 อนุญาโตตุลาการระหวางประเทศวาดวยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) หรือ ศาลโลกทะเล
ตารางที่ 5.1 การระงับขอพิพาทเขตแดนโดยใชกลไกภายนอกภูมิภาคอาเซียน วันที่ก่อตั้ง กลไก ข้อพิพาท ปีที่เกิดข้อพิพาท ใช้เวลา 29 กรกฎาคม ศาลประจํา 1.ขอพิพาทเกาะปาลมัส (Palmas) หรือ มิอังกัส 2468-2471/ 4 ปี 2442/1899 อนุญาโตตุลาการ (Miangas) ระหวางเนเธอรแแลนดแกับ 1925-1928 (PCA) สหรัฐอเมริกา (อินโดนีเซียกับฟิลิปปินสแ)
2. ขอพิพาทถมทรายในและรอบพื้นที่ชองแคบ 2546-2548/ 2 ปี ยะโฮรแ ระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ 2003-2005
3. ขอพิพาทเขตอํานาจในพื้นที่ทะเลฟิลิปปินสแ 2556/2013 ยังไมระงับ ตะวันตก (ทะเลจีนใต) ระหวางฟิลิปปินสแกับจีน 24 ตุลาคม ศาลยุติธรรมระหวาง 1. ปราสาทพระวิหาร 2502-2505/ 4 ปี 2488/1945 ประเทศ ไทยกับกัมพูชา 1959-1962 (ICJ) 2. เกาะลิกิตัน-สิปาดัน 2541-2545/ 4 ปี มาเลเซียกับอินโดนีเซีย 1998-2002
3. ขอพิพาทหิน 3 กอน 2546-2551/ 5 ปี มาเลเซียกับสิงคโปรแ 2003-2008
4. ตีความคําพิพากษาปราสาทพระวิหาร 2544-2546/ 2 ปี ไทยกับกัมพูชา 2011-2013 10 ธันวาคม อนุญาโตตุลาการ 1. ขอพิพาทถมทราย กันยายน-ตุลาคม 1 เดือน 2525/1982 ระหวางประเทศวาดวย มาเลเซียกับสิงคโปรแ 2546/2003 กฎหมายทะเล (ITLOS) 2. ฟิลิปปินสแยื่นฟูองจีนในขอพิพาททะเลจีนใต มกราคม ยังไมระงับ ฟิลิปปินสแกับจีน 2556/2013
274
5.2.1 ศาลประจ าอนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration – PCA)
ศาลประจําอนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration – PCA) มีที่ตั้งอยูที่วังสันติภาพ (Peace Palace) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอรแแลนดแ เป็นองคแกรระหวางประเทศดานตุลาการที่เกาแกที่สุด กอตั้งขึ้นโดย “อนุสัญญาเพื่อการระงับโดยสันติของขอพิพาทระหวางประเทศ (Convention for the Pacific Settlement of International Disputes)” เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2442/1899269 ในการประชุมสันติภาพ ครั้งที่ 1 (The First Peace Conference) ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอรแแลนดแ ซึ่งมีพระเจาซารแนิโคลัสที่ 2 (Tsar Nicholas II) แหงรัสเซีย เป็นผูริเริ่มการประชุมดังกลาว ศาลประจําอนุญาโตตุลาการนี้มิไดมีสถานะเป็นศาล (Court) ตามความหมายที่เขาใจกันโดยทั่วไป แต เป็นองคแกรที่ทําหนาที่ใหบริการแกประเทศสมาชิกโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ (Arbitration) และวิธีการอื่นๆ เชน การสอบสวนขอเท็จจริง (Fact-finding) หรือ การประนีประนอม (Conciliation) เป็นตน270 ในปัจจุบันศาล ประจําอนุญาโตตุลาการมีสมาชิกจํานวน 117 ประเทศ271 ใหบริการดานการแกปัญหาขอพิพาทระหวางคูกรณีที่ เป็นรัฐ (state entities) องคแกรระหวางประเทศ (intergovernmental organizations) และ เอกชน (private parties) มีเลขาธิการใหญ (Secretary-General) ประจําสํานักเลขาธิการศาลประจําอนุญาโตตุลาการ (PCA‖s Secretariat) ทําหนาที่อํานวยความสะดวกและบริหารงานเพื่อสนับสนุนคณะอนุญาโตตุลาการและ คณะกรรมการตางๆ โดยจํานวนการพิจารณาคดีสะทองถึงความกวางขวางของศาลประจําอนุญาโตตุลาการที่มี ตอการระงับขอพิพาทระหวางประเทศ ซึ่งครอบคลุมกรณีพิพาทเขตแดน ขอพิพาทสนธิสัญญา ขอพิพาทสิทธิ มนุษยชน ขอพิพาททางการคาและการลงทุน รวมทั้ง ขอพิพาทที่เกิดขึ้นภายใตสนธิสัญญาการลงทุนทวิภาคี และพหุภาคี สํานักเลขาธิการศาลประจําอนุญาโตตุลาการสามารถใหคําแนะนําและชวยเหลือในการเลือก อนุญาโตตุลาการและอาจมีการเรียกรองใหกําหนดหรือทําหนาที่เป็นผูมีอํานาจในการแตงตั้งอนุญาโตตุลาการ ได ทั้งยังเป็นศูนยแกลางการศึกษา การตีพิมพแ และการอภิปรายทางกฎหมาย “ดวยวัตถุประสงคแในการแสวงหา แนวทางที่เป็นหลักประกันความมั่นคงเพื่อผลประโยชนแของสันติภาพอันแทจริงและสถาพรของประชาชน และ เหนือสิ่งอื่นใดเพื่อจํากัดความกาวหนาดานการพัฒนาอาวุธยุทธภัณฑแที่มีอยูในปัจจุบัน”272 ตามอนุสัญญาเพื่อ การระงับโดยสันติของขอพิพาทระหวางประเทศ (Convention for the Pacific Settlement of International Disputes) ปี 2442/1899 ซึ่งไดรับการปรับปรุงลาสุดในการประชุมสันติภาพเฮก (Hague Peace Conference) ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2450/1907273
269 United Nations. “Dispute Settlement,” 1.3 Permanent Court of Arbitration (Conference on Trade and Development, 2003), p. 5. เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1SB2wXZ 270 พนัส ทัศนียานนท. “ศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice) และ ศาลประจํา อนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration),” ใน ศาลโลก-ศาลประจําอนุญาโตตุลาการ กับ ขอพิพาทระหวาง ประเทศ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ, 2554), หนา 6. 271 Permanent Court of Arbitration, About Us (2009) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1N1wikM 272 “…with the object of seeking the most objective means of ensuring to all peoples the benefits of a real and lasting peace, and above all, of limiting the progressive development of existing armaments.” History of Permanent Court of Arbitration (2009) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1IuvJMV 273 Ibid. 275
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีผูเชี่ยวชาญสําหรับขอพิพาทดานสิ่งแวดลอม (Experts for Environmental Disputes) ในศาลประจําอนุญาโตตุลาการ คือ อาจารยแพนัส ทัศนียานนทแ ซึ่งไดรับการแตงตั้งเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2545/2002 (ตออายุเมื่อ 27 มีนาคม 2556/2013)274
5.2.1.1 ข้อพิพาทเกาะปาลมัส (Palmas) หรือ มิอังกัส (Miangas) ระหว่างเนเธอร์แลนด์กับ สหรัฐอเมริกา (อินโดนีเซียกับฟิลิปปินส์)
ดังที่กลาวไปแลวในบทที่ 4 หัวขอ 4.9 เกาะมิอังกัส (Miangas Island) ระหวางอินโดนีเซียกับฟิลิปปินสแ ซึ่งในวันที่ 23 มกราคม 2468/1925 สหรัฐอเมริกาและเนเธอรแแลนดแไดตกลงนําปัญหาขอพิพาทเหนือเกาะ ปาลมัส (Palmas) หรือ มิอังกัส (Miangas) เขาสูกระบวนการระงับขอพิพาทของศาลประจําอนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration – PCA) โดยมี แมกซแ ฮิวเบอรแ (Max Huber) ชาวสวิสเซอรแแลนดแทํา หนาที่เป็นอนุญาโตตุลาการ (Arbitrator) โดยประเด็นขอพิพาทที่อนุญาโตตุลาการตองตัดสิน คือ “เกาะมิ อังกัสเป็นดินแดนสวนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาหรือเนเธอรแแลนดแ” ขอโตแยงของสหรัฐอเมริกา 2 ประการแรก คือ สหรัฐอเมริกาเป็นเจาของกรรมสิทธิ์เกาะแหงนี้เนื่องจาก ไดรับโอนดินแดนโดยชอบธรรมตามสนธิสัญญาที่ทําไวกับสเปน และ กรรมสิทธิ์ควรเป็นของสเปนเนื่องจากเป็น ฝุายคนพบและตั้งชื่อเกาะปาลมัส (Palmas) ซึ่งในขณะนั้นเป็นดินแดนที่ไมมีเจาของ (Terra Nullius) สเปนยก ดินแดนใหแกสหรัฐอเมริกาตามสนธิสัญญาปารีสปี 2441/1898 หลังสิ้นสุดสงครามสเปน-อเมริกัน (Spanish- American War) ในปีเดียวกัน อนุญาโตตุลาการตั้งขอสังเกตวาไมมีกฎหมายระหวางประเทศใดที่ทําใหการโอนดินแดนผานการยกให กลายเป็นโมฆะ อยางไรก็ตาม อนุญาโตตุลาการยังตั้งขอสังเกตอีกวาการยกกรรมสิทธิ์ดินแดนของสเปนใหแก สหรัฐอเมริกาไมไดเป็นไปตามกฎหมายเนื่องจากไมมีการระบุชื่อของดินแดนเอาไวในขอความของสนธิสัญญา ปารีส ทําใหการยกดินแดนใหไมสมบูรณแ อนุญาโตตุลาการ สรุปวา แมสเปนจะอางการ “คนพบ” และตั้งชื่อ เกาะแหงนี้วา “ปาลมัส (Palmas)” แตการรักษาอธิปไตยโดยใหเหตุผลของการคนพบเป็นครั้งแรกซึ่งผูคนพบ ไมเคยใชอํานาจที่แทจริง ไมแมแตการปักธงของตนเองลงบนชายหาด ในกรณีนี้ สเปนไมไดใชอํานาจภาย หลังจากการอางสิทธิ์ครั้งแรกโดยการคนพบ และดังนั้นเหตุผลในการอางสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาจึงคอนขางออน สหรัฐอเมริกายังคงโตแยงตอไปอีกวาเกาะปาลมัส (Palmas) ควรเป็นกรรมสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีตําแหนงที่ตั้งอยูใกลกับฟิลิปปินสแมากกวาอินโดนีเซียซึ่งเคยถูกปกครองโดยอินเดียตะวันออกของ เนเธอรแแลนดแ (Netherlands East Indies) อนุญาโตตุลาการแยงวา ไมมีบทบัญญัติของกฎหมายระหวาง ประเทศที่สนับสนุนเหตุผลของสหรัฐอเมริกาในประเด็นระยะทางที่ใกลที่สุดของทวีปหรือเกาะซึ่งนําไปสูการถือ วามีกรรมสิทธิ์ในดินแดนพิพาท อนุญาโตตุลาการกลาวอีกวา แคเพียงความใกลกันของระยะทางยอมไมมี เหตุผลเพียงพอที่จะทําการอางสิทธิ์ในดินแดนได และถาหากประชาคมระหวางประเทศทําตามขออางของ สหรัฐอเมริกายอมจะนําไปสูการกระทําตามอําเภอใจ เนเธอรแแลนดแสมควรเป็นเจาของกรรมสิทธิ์เหนือเกาะแหงนี้ดวยเหตุผลของการใชอํานาจบนเกาะมา ตั้งแตปี 2220/1677 อนุญาโตตุลาการตั้งขอสังเกตวา สหรัฐอเมริกาไมสามารถแสดงเอกสารเพื่อพิสูจนแอํานาจ อธิปไตยของสเปนบนเกาะ ยกเวนเอกสารเกี่ยวกับการคนพบเกาะแหงนี้ นอกจากนี้ ยังไมมีหลักฐานที่ชี้ใหเห็น ไดชัดเจนวาเกาะปาลมัสเคยเป็นสวนหนึ่งของการบริหารงานของรัฐบาลสเปนในฟิลิปปินสแ อยางไรก็ตาม
274 Panels of Arbitrators and Experts for Environmental Disputes. Annex 2 Specialized Panel of Arbitrators (Thailand). Permanent Court of Arbitration เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1GiTqXW 276
เนเธอรแแลนดแกลับสามารถแสดงใหเห็นวาบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) เคยมีการเจรจา ตอรองสนธิสัญญากับผูมีอํานาจปกครองในทองถิ่นของเกาะแหงนี้ตั้งแตคริสตแศตวรรษที่ 17 และใชสิทธิอํานาจ อธิปไตย รวมทั้งหลักฐานของการเขาไปของคณะนักบวชนิกายโปรเตสแตนตแและการหามไมใหชาติอื่นๆ เขาไป บนเกาะแหงนี้ดวย อนุญาโตตุลาการชี้ใหเห็นวา หากสเปนเป็นฝุายที่ใชอํานาจอยูจริงก็จะตองปรากฏขอพิพาท ระหวางกันบางไมมากก็นอย แตในขอเท็จจริงแลวไมมีขอพิพาทใดเกิดขึ้นเลยระหวางสเปนและเนเธอรแแลนดแ ภายในพื้นที่ของเกาะแหงนี้ จากเหตุผลดังกลาวทําใหเกิดหลักเกณฑแการตัดสินเพื่อระงับขอพิพาทจากประเด็น ที่สําคัญ 3 ประการ ดังนี้ ประการแรก กรรมสิทธิ์ที่เกิดจากการมีที่ตั้งอยูใกลกัน (contiguity) ไมมีอยูในหลัก กฎหมายระหวางประเทศ ประการที่สอง กรรมสิทธิ์ที่เกิดจากการคนพบเป็นเพียงกรรมสิทธิ์ในขั้นตน (inchoate title) และประการสุดทาย หากมีการใชอํานาจอธิปไตยของรัฐอยางตอเนื่อง โดยการอางกรรมสิทธิ์ นั้นตองเปิดเผยและเป็นสาธารณะ และรัฐฝุายที่อางเหตุผลบนพื้นฐานของการคนพบดินแดนไมไดทําการ ประทวงการอางกรรมสิทธิ์ดังกลาว การอางกรรมสิทธิ์โดยเหตุผลการใชอํานาจอธิปไตยยอมมีน้ําหนักมากกวา การอางสิทธิ์บนพื้นฐานของคนพบดินแดน ในที่สุดวันที่ 4 เมษายน 2471/1928 ศาลประจําอนุญาโตตุลาการ จึงมีคําตัดสินวา “ดวยเหตุผลเหลานี้ อนุญาโตตุลาการ, ในความสอดคลองกับมาตรา 1 ของขอตกลงพิเศษเมื่อ 23 มกราคม 2468/1925, ตัดสินวา: เกาะปาลมัส (Palmas) หรือ มิอังกัส (Miangas) เป็นสวนหนึ่งของดินแดนเนเธอรแแลนดแโดย สมบูรณแ”275 จนกระทั่งในปัจจุบัน สมาชิกสภานิติบัญญัติแหงชาติของฟิลิปปินสแยังถือวาเกาะมิอังกัสไมใชสวนหนึ่ง ของอินโดนีเซีย โดยใหเหตุผลวากลุมชาติพันธุแที่อาศัยอยูในเกาะแหงนี้มีภาษาที่มีความสัมพันธแกับชาวซารังกานี (Sarangani) ในมินดาเนามากกวากลุมชาติพันธุแอื่นใดในอินโดนีเซีย แตรายงานลาสุดกลาววา นายฮัซซัน วิราจู ดา (Hassan Wirajuda) อดีตรัฐมนตรีวาการกระทรวงตางประเทศของอินโดนีเซีย ปฏิเสธขาวลือเรื่องการเขา ยึดพื้นที่เกาะของอินโดนีเซียโดยฟิลิปปินสแ เนื่องจากรัฐบาลฟิลิปปินสแรับทราบอยูวาอธิปไตยเหนือเกาะมิอังกัส (Miangas Island) เป็นของอินโดนีเซีย276 โดยกลาววาการตื่นตูมเรื่องเกาะมิอังกัสเป็นเรื่องที่เสียเวลา เนื่องจากรัฐบาลฟิลิปปินสแไมเคยทําการอางสิทธิ์เหนือเกาะแหงนี้อยางเป็นทางการมากอน ประเด็นขาว ดังกลาวเกิดขึ้นหลังจากที่ การทองเที่ยวแหงประเทศฟิลิปปินสแ (Philippine Tourism Authority) ไดจัดพิมพแ แผนพับประชาสัมพันธแการทองเที่ยวโดยแสดงที่ตั้งของเกาะมิอังกัสใหอยูในเขตแดนของฟิลิปปินสแ ทางดาน นายเตอูกู ไฟซาสยาหแ (Teuku Faizasyah) โฆษกกระทรวงตางประเทศของอินโดนีเซีย กลาววานาจะเป็น เพียงความผิดพลาดของผูจัดพิมพแแผนที่ทองเที่ยวฉบับดังกลาว และไมคิดวารัฐบาลฟิลิปปินสแตั้งใจที่จะเขามา ยึดเอาเกาะมิอังกัสไปเป็นของตน เพราะอยางไรเสียการจัดพิมพแแผนที่โดยเอกชนก็ไมมีผลกระทบใดๆ ตอการ
275 “FOR THESE REASONS the Arbitrator, in conformity with Article I of the Special Agreement of January 23rd, 1925, DECIDES that: THE ISLAND OF PALMAS (or MIANGAS) forms in its entirety a part of Netherlands territory.” in Permanent Court of Arbitration. “The Island of Palmas Case (or Miangas) United States of America v. The Netherlands,” Award of the Tribunal (The Hague: April 4, 1928), p. 37. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1WMWvKN 276 “Private Mapmaker Suspected in Border Blunder,” The Jakarta Post, 14 February 2009. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1LfotJB 277
อางสิทธิ์เหนือดินแดนอยางเป็นทางการ และยังใหขอมูลวาในปี 2519/1976 รัฐบาลฟิลิปปินสแเคยลงนามใน ขอตกลงสงผูรายขามแดนกับอินโดนีเซียโดยยอมรับวาพื้นที่เกาะมิอังกัสอยูภายใตอธิปไตยของอินโดนีเซีย277 ฝุายอินโดนีเซียมอบหมายใหกงสุลใหญอินโดนีเซีย (Indonesian Consulate General) แหงเมืองดา เวา (Davao City) เป็นผูรับผิดชอบ นอกจากนี้ นายเฟรดดี้ นัมเบอรี (Freddy Numberi) รัฐมนตรีวาการ ทะเลและการประมงของอินโดนีเซีย กลาววาเกาะมิอังกัส (Miangas Island) เป็นสวนหนึ่งของจังหวัดสุลาเวสี เหนือ (North Sulawesi Province) ของอินโดนีเซีย และไดรับการขึ้นทะเบียนกับสหประชาชาติวาเป็นหนึ่งใน หมูเกาะที่อยูนอกสุดของประเทศ278 นอกจากนี้ สารานุกรมแผนที่บริแทนิกา (Britannica Atlas 1984) ฉบับปี 2527/1984 ไมมีชื่อของ เกาะมิอังกัส (Miangas) ปรากฏอยูในแผนที่ทั้งของอินโดนีเซีย (หนา 112-113) และฟิลิปปินสแ (หนา 116 - 117)279 จํานวนประชากรที่อาศัยอยูในเกาะมิอังกัสเมื่อปี 2546/2003 มีจํานวน 678 คน หรือ 150 ครอบครัว อยางไรก็ตาม การรับรูเกี่ยวกับรายละเอียดของการพิจารณาคดีดังกลาวในศาลประจําอนุญาโตตุลาการยังไม เป็นที่แพรหลายมากนัก แมกระทั่งผูคนที่อาศัยอยูในพื้นที่ก็เรียกเกาะแหงนี้วา “เกาะมิอังกัส (Pulau Miangas – Pulau ในภาษามาเลยแ แปลวา เกาะ)” ไมใช “ปาลมัส (Palmas)” และในปัจจุบันเกาะมิอังกัสยังคงเป็น พื้นที่หางไกลความเจริญ แตก็สามารถติดตอสื่อสารกับผูคนในเกาะไดโดยการใชเครื่องสงสัญญาณดาวเทียม ขนาดเล็ก (Very Small Aperture Terminal – VSAT) โดยเมื่อไมนานมานี้อินโดนีเซียประกาศวาบริษัทเตลกอม (Telkom) จะดําเนินการเชื่อมตอเครือขายโทรศัพทแเขาไปยังเกาะมิอังกัส แตก็ไมมีการยืนยันวาโครงการดังกลาวจะ เกิดขึ้นจริงหรือไม280
5.2.1.2 ข้อพิพาทถมทรายในและรอบพื้นที่ช่องแคบยะโฮร์ ระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์281
ในกรณีขอพิพาทระหวางมาเลเซียและสิงคโปรแภายใตบทบัญญัติของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวย กฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 โดยคณะอนุญาโตตุลาการจํานวน 5 คน ไดมาพบกันเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548/2005 ณ วังสันติภาพ (Peace Palace) พรอมกับผูแทนของคูกรณีทั้งสองฝุาย ตอกรณีพิพาทซึ่งริเริ่มโดยฝุายมาเลเซีย ภายใตบทบัญญัติของผนวกที่ 7 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 เกี่ยวกับกิจกรรมการ ถมทรายโดยสิงคโปรแซึ่งถูกกลาวหาวามีผลกระทบตอสิทธิของมาเลเซียในและรอบพื้นที่บริเวณชองแคบยะโฮรแ ในการประชุมครั้งนี้ คณะอนุญาโตตุลาการไดรับฟังการบรรยายสรุปจากผูแทนเกี่ยวกับความคืบหนาในการ เจรจาเพื่อแกไขปัญหาที่เกิดขึ้น และไดรับแจงวาคูกรณีสามารถบรรลุขอตกลงตามที่ระบุไวในรางความตกลง ระงับขอพิพาท (The Settlement Agreement)
277 Ibid. 278 Minister: Miangas Island belongs to Indonesia. TMC News, February 12, 2009. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1fY2P1h 279 Khan, Daniel-Erasmus. Ibid, p. 162. 280 Andreas Harsono. “Miangas, Nationalism and Isolation,” Tempo Magazine, No.13/V/November 30 – December 6, 2004. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1F9IG0Z 281 Permanent Court of Arbitration. Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (Malaysia v. Singapore) (Past Cases) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1N1COIn 278
โดยเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2546/2003 มาเลเซียไดยื่นฟูองสิงคโปรแตามขอ 287 ของอนุสัญญา สหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 และขอ 1 ของภาคผนวกที่ 12 ของอนุสัญญาฉบับนี้ โดยฝุาย มาเลเซียไดแจงใหสิงคโปรแทราบถึงกระบวนการรองขอมาตรการคุมครองชั่วคราว (provisional measures) แกศาลประจําอนุญาโตตุลาการแลว ตามบทบัญญัติขอ 290 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ไดระงับการพิจารณา ขอพิพาทดังกลาวเนื่องจากมีการนําขอพิพาทเขาสูกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหวางประเทศวาดวย กฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) หรือ ศาลโลกทะเล เพื่อรอง ขอมาตรการคุมครองชั่วคราวเชนเดียวกัน โดยมีการพิจารณาคดีที่เมืองฮัมบูรแก (Hamburg) ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 25-27 กันยายน 2546/2003 เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546/2003 อนุญาโตตุลาการระหวางประเทศวาดวยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) มีคําตัดสินโดยกําหนดมาตรการคุมครอง ชั่วคราว รวมทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการผูเชี่ยวชาญอิสระ (Group of Independent Experts – GEO) เพื่อ ดําเนินการศึกษากระทบที่เกิดจากการถมทราย และใหคําแนะนําที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับผลกระทบที่จะ เกิดขึ้นเป็นระยะเวลา 1 ปี ตอมาคณะกรรมการผูเชี่ยวชาญอิสระ (Group of Independent Experts – GEO) ไดนําสงรายงาน การศึกษาตอคูพิพาทเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547/2004 โดยมีการนําเสนอดวยวาจาตอหนาคูพิพาทในวันที่ 22 ธันวาคม 2547/2004 ซึ่งถือวาไดบรรลุภารกิจของคณะกรรมการชุดนี้โดยสมบูรณแ ตอมาคูพิพาทไดมีการ ประชุมรวมกันระหวางวันที่ 22-23 ธันวาคม 2547/2004 และวันที่ 7-9 มกราคม 2548/2005 กอนที่จะมีการ ประชุมรวมกับคณะอนุญาโตตุลาการ282 โดยคูพิพาทไดลงนามรวมกันในความตกลงระงับขอพิพาท (The Settlement Agreement) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2548/2005 และคณะอนุญาโตตุลาการถือวาเป็นการระงับ ขอพิพาทโดยสมบูรณแในวันที่ 1 กันยายน 2548/2005283 โดยคณะอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ประกอบดวย เอ็ม. ซี.ดับเบิ้ลยู (M.C.W. Pinto) เป็นประธาน กามาล ฮอสเซน (Kamal Hossain) เบอรแนารแด เอช. อ฿อกซแมาน (Bernard H. Oxman) อีแวน เชียเรอ (Ivan Shearer) และ เซอรแ อารแเธอรแ วัตตสแ (Sir Arthur Watts)
282 Permanent Court of Arbitration. Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (Malaysia v. Singapore). Press release (January 14, 2005) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1IuGWgv 283 Permanent Court of Arbitration. Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (Malaysia v. Singapore). Award on Agreed Terms (September 1, 2005) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Cp1Lrp 279
5.2.1.3 ข้อพิพาทเขตอ านาจในพื้นที่ทะเลฟิลิปปินส์ตะวันตก (ทะเลจีนใต้) ระหว่างฟิลิปปินส์กับจีน
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2556/2013 รัฐบาลฟิลิปปินสแไดเริ่มกระบวนการอนุญาโตตุลาการเพื่อฟูองรอง จีนภายใตบทบัญญัติของภาคผนวก 12 (Annex VII) ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 โดย “อางถึงขอพิพาทกับจีนเหนือเขตอํานาจในพื้นที่ทะเลฟิลิปปินสแตะวันตก (with respect to the dispute with China over the maritime jurisdiction of the Philippines in the West Philippine Sea.)” เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธแ 2556/2013 จีนไดสงสารบันทึกวาจา (Note Verbale) วาดวย “ทาทีของจีน ในทะเลจีนใต (the Position of China on the South China Sea issues)” ไปยังฟิลิปปินสแ เพื่อปฏิเสธคํา รองของฟิลิปปินสแ โดยศาลประจําอนุญาโตตุลาการไดดําเนินการรับคํารองของฟิลิปปินสแเพื่อเขาสูกระบวนการ พิจารณาของอนุญาโตตุลาการแลว และไดแตงตั้งคณะอนุญาโตตุลาการจํานวน 5 คน ไดแก ทอมัส เอ. เมน ซาหแ (Thomas A. Mensah) เป็นประธาน ฌอง-ปิแอรแ คอท (Jean-Pierre Cot) สแตนิชลอวแ พาวลัค (Stanislaw Pawlak) อัลเฟรด เอช. เอ. ซูนสแ (Alfred H. A. Soons) และ รุดดิเจอรแ วอลฟรุม (Rüdiger Wolfrum) และฝุายฟิลิปปินสแไดแตงตั้งผูแทน (agent) ตามขั้นตอนการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการแลว แตฝุาย จีนยังไมมีทาทีที่จะแตงตั้งผูแทนของฝุายตนแตอยางใด โดยในสารบันทึกวาจา (Note Verbale) ของจีน เมื่อ วันที่ 1 สิงหาคม 2556/2013 จีนไดย้ําวา “จุดยืนของฝุายจีนคือการไมยอมรับกระบวนการอนุญาโตตุลาการที่ ฟิลิปปินสแเริ่มขึ้น”284
284 Permanent Court of Arbitration, The Republic of the Philippines v. The People's Republic of China, Pending Cases เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Iaj4TE 280
5.2.2 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก
ศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก กอตั้งขึ้นตามกฎ บัตรสหประชาชาติ (United Nation Charter) ขององคแการสหประชาชาติ (United Nations – UN) กอตั้ง ขึ้นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2488/1945285 (ดูภาคผนวก 2 แสดงวันเอกราช/วันชาติ และวันที่เขาเป็นสมาชิก องคแการสหประชาชาติของประเทศอาเซียน) เป็น 1 ใน 6 องคแกรหลักของสหประชาชาติ (United Nations) เป็นองคแกรยุติธรรมมีหนาที่ 2 ประการหลัก คือ ระงับขอพิพาทที่ประเทศตางๆ ยื่นคํารองมายังศาล และ ให คําแนะนําหรือความเห็นทางกฎหมายตามที่องคแกรระหวางประเทศรองขอ โดยผูพิพากษาประจําศาลจํานวน 15 คน ซึ่งไดรับการคัดเลือกโดย สมัชชาใหญแหงสหประชาชาติ (UN General Assembly) และ คณะมนตรีความ มั่นคงแหงสหประชาชาติ (UN Security Council) โดยมีระยะเวลาการทํางาน 9 ปี286 กรณีพิพาทระหวางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใตซึ่งคูกรณีตกลงปลงใจที่จะเขาสูกระบวนการระงับ ขอพิพาทโดยกลไกศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก มี จํานวน 3 คูกรณี ไดแก คดีที่ 1 คือ ขอพิพาทระหวางกัมพูชากับไทย เมื่อปี 2502/1959 กรณีพิพาทปราสาท พระวิหาร ซึ่งไมไดอยูในขอบเขตของการศึกษาครั้งนี้ คดีที่ 2 คือ ขอพิพาทระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย เมื่อปี 2541/1998 กรณีอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ในทะเลสุลาเวสี (Sulawesi Sea) หรือ ทะเลเซเลเบส (Celebes Sea) คดีที่ 3 คือ ขอพิพาทระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ ในปี 2546/2003 กรณีขอพิพาทเขตแดนเหนือหิน 3 กอน ไดแก 1.เกาะเพอดรา บรังกา (Pedra Branca) หรือ เกาะบาตู ปูเต฿ะ (Pulau Batu Puteh) 2.มิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) และ 3.เซาทแ เลดจแ (South Ledge) ในปี 2545/2002 ศาลโลกตัดสินใหอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ตกเป็นของมาเลเซีย ซึ่งขอพิพาทนี้ถูกนํามาฟูองเป็นคดีในศาลโลกตั้งแตปี 2541/1998 โดย ความตกลงของคูกรณี อยางไรก็ตาม ศาลโลกไมไดตัดสินเกี่ยวกับประเด็นเสนเขตแดนทางทะเลระหวาง ประเทศมาเลเซียกับอินโดนีเซียในพื้นที่โดยรอบบริเวณเกาะทั้งสองแหงนี้ ซึ่งทําใหมีขอถกเถียงตามมาวาการใช กลไกศาลโลกในกรณีนี้ไมสามารถทําใหขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศสามารถยุติลงไดอยางสมบูรณแ ทั้งนี้ก็ มีสาเหตุมาจากศาลโลกไมไดถูกรองขอใหตัดสินในประเด็นเสนเขตแดนระหวางประเทศ แตถูกรองขอใหตัดสิน แตเฉพาะประเด็นอํานาจอธิปไตยเหนือเกาะทั้งสองวาเป็นของใครเทานั้น ตอมา ในเดือนพฤษภาคม 2551/2008 ศาลโลกมีคําพิพากษาใหอธิปไตยเหนือเกาะเกาะเพอดรา บรัง กา (Pedra Branca) หรือ เกาะบาตู ปูเต฿ะ (Pulau Batu Puteh) เป็นของสิงคโปรแ สวนอธิปไตยเหนือมิดเดิล ร็อคสแ (Middle Rocks) เป็นของมาเลเซีย และใหอธิปไตยเหนือเซาทแ เลดจแ (South Ledge) ตั้งอยูในอธิปไตย ของประเทศซึ่งมีทะเลอาณาเขตตั้งอยู โดยทั้งมาเลเซียและสิงคโปรแตางยอมรับคําตัดสินของศาลโลก ดวยการที่ นาย เอส. ชัยกุมาร (S. Jayakumar) รองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปรแ ไดแถลงแสดงความพอใจตอคําตัดสินของ ศาลโลก และฝุายมาเลเซียโดยนายราอีส ยาติม (Rais Yatim) รัฐมนตรีตางประเทศ ก็ไดแถลงวาคําพิพากษา
285 กรมองคแการระหวางประเทศ, กระทรวงการตางประเทศ. กฎบัตรสหประชาชาติ (ตุลาคม 2537) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Ld7F6p 286 โปรดดู พนัส ทัศนียานนท, ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนาพานิช และ วิพล กิติทัศนาสรชัย. ศาลโลก-ศาลประจําอนุญาโตตุลาการ กับ ขอพิพาทระหวางประเทศ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ, 2554), หนา 1-48. 281
ของศาลโลกถือเป็น “ชัยชนะของทั้งสองฝุาย”287 เพราะการนําขอพิพาทเขาสูกลไลของศาลนั้น มีเปูาหมาย เพื่อนําไปสูการระงับขอพิพาท อยางไรก็ตาม ถึงแมจะมีคําตัดสินของศาลโลกแลว แตปัญหาขอพิพาทก็ยังไม สามารถยุติลงทันที เนื่องจากสิงคโปรแและมาเลเซียยังไมมีการกําหนดเสนเขตแดนของทะเลอาณาเขตระหวาง กันในบริเวณพิพาท แตก็มีคณะกรรมการเทคนิครวมของทั้งสองประเทศเป็นผูรับผิดชอบดําเนินการตอไป ขอพิพาททั้งสองกรณีดังกลาวขางตน อาจพิจารณาไดวาคําพิพากษาของศาลโลกเป็นการจัดการขอ พิพาทไดมากกวาครึ่งและเป็นกลไกระงับขอพิพาทในทิศทางที่ถูกตอง ซึ่งยังคงตองอาศัยระยะเวลาอีกหลายปี ในการเจรจาเพื่อที่จะสามารถนําไปสูการระงับขอพิพาทใหยุติลงไดอยางสมบูรณแ ทั้งนี้ สิ่งสําคัญที่จะตองตั้ง ขอสังเกตไวคือ กลไกศาลโลกไดทําหนาที่บรรเทาปัญหาขอพิพาทใหลดความรุนแรงลงหรือสามารถปูองกันการ ปะทะกันโดยใชกําลังทางทหารได แตก็อาศัยกระบวนการพิจารณาที่ใชระยะเวลายาวนานในการตัดสินคดี และหลังจากมีคําพากษาแลวก็ตองกลับมาที่กลไกการเจรจาทวิภาคีระหวางคูพิพาทเชนเดิม ซึ่งกลาวโดยที่สุด แลว การเจรจาของคูพิพาทดวยความไวเนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันโดยการสรางความสัมพันธแที่ดีและบรรยากาศที่ เป็นมิตรในการแกปัญหาขอพิพาท อาจจะมีประสิทธิภาพและประหยัดงบประมาณมากกวาการนําขอพิพาท ไปสูกระบวนการพิจารณาของศาลโลกก็เป็นได
ตารางที่ 5.2 แสดงรายชื่อทนายความในคดีพิพาทเขตแดนระหวางประเทศอาเซียนในศาลยุติธรรมระหวาง ประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก เกาะลิกิตัน (Ligitan)-สิปาดัน (Sipadan) ข้อพิพาทหิน 3 ก้อน คดีตีความปราสาทพระวิหาร 2541-2545/1998-2002 (4 ปี) 2546-2551/2003-2008 (5 ปี) 2544-2546/2011-2013 (2 ปี) อินโดนีเซีย มาเลเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา ไทย Alain Pellet* James James Alain Pellet* Rodman R. Alain Pellet* Crawford*** Crawford*** Bundy** Rodman R. Nico Schrijver Nico Schrijver Rodman R. Jean-Marc James Bundy** Bundy** Sorel Crawford*** Loretta Elihu Elihu Loretta Franklin Donald Malintoppi Lauterpacht Lauterpacht Malintoppi Berman McRae Alfred H.A. Jean-Pierre Cot Penelope Ian Brownlie Thomas Soons Nevill Grant Arthur Watts Marcelo G. Alina Miron Kohen ที่มา: รวบรวมจาก 3 คดี ในศาลโลก (International Court of Justice)288
287 Strachan, Anna Louise. Ibid. 288 Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia). Ibid, pp. 627, 629; Case Concerning Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge (Malaysia/Singapore). Ibid, pp. 15-16; Request for Interpretation of the Judgment of 15 June 1962 in the Case Concerning the Temple of Preah Vihear (Cambodia v. Thailand). Ibid, pp. 284-285. 282
จากตารางที่ 5.2 พบวารายชื่อทนายความที่เกี่ยวของกับคดีขอพิพาทระหวางประเทศในอาเซียนนั้นมี รายชื่อที่ซ้ําซอนกันไมมากก็นอย โดยรายชื่อของทนายบางทานที่มีความนาสนใจอยางมีนัยสําคัญ เชน ในคดี ขอพิพาทเกาะลิกิตัน (Ligitan) สิปาดัน (Sipadan) เมื่อปี 2541-2545/1998-2002 คณะทนายของอินโดนีเซีย มีรายชื่อของ อลัน เปเลตแ (Alain Pellet*) และ รอดแมน อารแ. บันดี (odman R. Bundy**) ในขณะที่ทนาย ฝุายมาเลเซียมีชื่อของ เจมสแ ครอฟอรแด (James Crawford***) รวมอยูดวย ซึ่งปรากฏวาในคดีนี้มาเลเซียเป็น ฝุายชนะ ตอมาในปี 2546-2551/2003-2008 ก็เกิดคดีขอพิพาทหิน 3 กอน ระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ โดย คณะทนายของมาเลเซียยังคงมี เจมสแ ครอฟอรแด (James Crawford***) รวมอยูในคณะดวย ในขณะที่คณะ ทนายของฝุายสิงคโปรแมีรายชื่อของ อลัน เปเลตแ (Alain Pellet*) และ รอดแมน อารแ. บันดี (Rodman R. Bundy**) ซึ่งเคยวาความใหอินโดนีเซียรวมอยูดวย และในคดีนี้สิงคโปรแเป็นฝุายชนะ และที่นาสนใจไปกวานั้น คือในปี 2544-2546/2011-2013 เกิดขอพิพาทคดีตีความปราสาทพระวิหารระหวางกัมพูชากับไทย โดยคณะ ทนายของฝุายกัมพูชามีชื่อของ รอดแมน อารแ. บันดี (Rodman R. Bundy**) ในขณะที่ฝุายไทยมีชื่อของ อลัน เปเลตแ (Alain Pellet*) และ เจมสแ ครอฟอรแด (James Crawford***) รวมคณะเดียวกัน ซึ่งทั้งสองเคยวา ความอยูกันคนละฝุายในคดีขอพิพาทกอนหนานี้ เมื่อมีการนําขอพิพาทเขาสูศาลโลกก็แสดงใหเห็นวาศาลโลกเป็นกลไกที่มีศักยภาพในการแกปัญหาขอ พิพาทที่สําคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต เนื่องจากคําพิพากษาของศาลโลกเป็นที่ยอมรับของคูกรณี ทั้งในคดีระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซีย และ คดีระหวางสิงคโปรแกับมาเลเซีย (รวมทั้งกรณีพิพาทปราสาทพระ วิหารระหวางกัมพูชาและไทยดวย) แสดงใหเห็นวาศาลโลกเป็นกลไกลหรือองคแกรกลางที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ศาลโลกเป็นองคแกรยุติธรรมระหวางประเทศซึ่งในทางทฤษฎีแลวยอมมีความเป็นกลาง และถูก คาดหวังในเชิงอุดมคติวาจะทําการวินิจฉัยตัดสินขอพิพาทโดยไมเขาขางฝุายใดฝุายหนึ่ง อยางไรก็ตาม หลังจาก มีคําพิพากษาของศาลโลกออกมาทุกครั้ง ก็มักถูกวิพากษแวิจารณแอยางกวางขวางโดยเฉพาะประเทศคูพิพาทที่ เสียเปรียบตามคําพิพากษา รวมทั้งจากนักวิชาการ เชน ขอถกเถียงวาคําวินิจฉัยของศาลไมผูกพันประเทศ คูกรณี หรือ การวิจารณแในทํานองวาศาลโลกมีความลําเอียง และบางประเทศถึงกับประกาศไมยอมรับเขต อํานาจศาลโลก ซึ่งคําวิพากษแวิจารณแตางๆ เหลานี้ สมควรไดรับการศึกษาและพิจารณาในรายละเอียดเพื่อ ประเมินบทบาทของศาลโลกในฐานะกลไกการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศในเอเชียตะวันออก เฉียงใต นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับประเด็นความลําเอียงของศาลโลกโดย เอริค เอ. พอสเนอรแ (Eric A. Posner) และ มิกูเอล เอฟ. พี. เดอ ฟิกุยเรโด (Miguel F. P. de Figueiredo)289 ซึ่งสรุปวา ผูพิพากษารอยละ 90 มักลงคะแนนใหรัฐบานเกิดของตน และยังพบอีกวาในกรณีที่รัฐบานเกิดของผูพิพากษาไมมีสวนเกี่ยวของ กับคดี ผูพิพากษามักจะลงคะแนนใหกับรัฐที่มีความสัมพันธแใกลเคียงในแงฐานะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ประเพณี และระบอบการเมืองการปกครองกับรัฐบานเกิดของตน โดยชี้วาการลงคะแนนเสียงของผูพิพากษา จะเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชนแใหแกรัฐพันธมิตรที่มีความสัมพันธแทางยุทธศาสตรแกับรัฐบานเกิดของตนเอง แต หลักฐานที่ใชในการพิสูจนแขอกลาวหาเหลานี้คอนขางไมมีน้ําหนักเพียงพอ เนื่องจากเป็นการตั้งขอสังเกตตอผู พิพากษาเป็นรายบุคคล ดังนั้น จึงไมมีผลสรุปตอการศึกษาความลําเอียงของศาลโลกในฐานะที่เป็นสถาบัน ยุติธรรมระหวางประเทศ ทั้งนี้ คณะผูพิพากษาทั้ง 15 คน มีผูพิพากษาหลายคนมาจากประเทศที่ไมมีความ เชื่อมโยงกับประเทศคูกรณีเลย จึงไมนาเป็นไปไดตามขอสรุปของเอริค เอ. พอสเนอรแ (Eric A. Posner) และ มิ
289 Eric A. Posner and Miguel F. P. de Figueiredo. “Is the International Court of Justice Biased?” in Journal of Legal Studies, vol. 34 (June 2005), pp. 599-630. เขาถึงเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1hfYyqz 283
กูเอล เอฟ. พี. เดอ ฟิกุยเรโด (Miguel F. P. de Figueiredo) ที่ความลําเอียงสวนบุคคลของผูพิพากษาจะสง อิทธิพลตอคําวินิจฉัยขั้นสุดทายของศาลโลก ขอสรุปเชนนี้เป็นไปตามที่ เอริค เอ. พอสเนอรแ (Eric A. Posner) และ มิกูเอล เอฟ. พี. เดอ ฟิกุยเรโด (Miguel F. P. de Figueiredo) ไดชี้ใหเห็นเองวา หลักฐานที่แสดงใหเห็น ถึงความลําเอียงของศาลโลกนั้นมีไมเพียงพอที่จะครอบคลุมในทุกกรณี290 จากการศึกษาของ ไนทแ ดับบลิว. แอนดี้ (Knight W. Andy) พบวา แมศาลโลก “จะเป็นรากฐานสําคัญ ในการรักษาสันติภาพ แตก็ไมใชวารัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมดจะยอมรับเขตอํานาจศาลโลก และรัฐ เหลานั้นก็สามารถสงวนสิทธิ์ในการยอมรับคําพิพากษาที่จะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได”291 การกระทําเชนนี้ยอมเป็น การขัดขวางความนาเชื่อถือของคําพิพากษาศาลโลกอยางรุนแรง ดังนั้น ประเทศคูพิพาทจึงตองทําการประกาศ ยอมรับเขตอํานาจศาลโลกกอนหากประสงคแที่จะใหกระบวนการระงับขอพิพาทประสบผลสําเร็จ แมจะเป็น ความจริงที่วามีจํานวน 64 ประเทศ ที่ประกาศยอมรับเขตอํานาจศาลโลกและสนธิสัญญาพหุภาคีจํานวนมากที่ ใหอํานาจศาลโลกในการพิจารณาคดี แตก็มีคดีอีกจํานวนมากมายที่ประเทศคูพิพาทไดประกาศโตแยงไม ยอมรับเขตอํานาจศาลโลก หนึ่งในนั้นคือ คดีพิพาทปราสาทพระวิหาร ปรากฏวาประเทศไทยเคยยอมรับเขต อํานาจศาลโลกกอนที่จะมีกระบวนการพิจารณาคดี แตเมื่อมีคําตัดสินใหฝุายไทยแพคดีจึงประกาศไมยอมรับ อํานาจศาลโลกในเวลาตอมา ดังนั้น ประเทศสมาชิกอาเซียนอาจไมมีความจําเป็นที่จะตองใชองคแกรทางกฎหมายระหวางประเทศใน การแกไขปัญหาความขัดแยงภายในภูมิภาค เพราะอาเซียนควรจะตองมีบทบาทมากขึ้นในการระงับขอพิพาท ภายในภูมิภาค อยางไรก็ตาม ประเทศสมาชิกอาเซียนยังคงสนับสนุนหลักการ “ไมแทรกแซงกิจการภายในของ กันและกัน” แมวาในปี 2550/2007 จะมีการประกาศใชกฎบัตรอาเซียนอยางเป็นทางการ ซึ่งมีบทบัญญัติที่ เกี่ยวกับการระงับขอพิพาทตามหมวด 8 วาดวยการระงับขอพิพาท ซึ่งใหพยายามระงับขอพิพาททั้งปวงอยาง สันติใหทันทวงที โดยผานการสนทนา การปรึกษาหารือ และการเจรจา และใหจัดตั้งกลไกการระงับขอพิพาท ในทุกสาขาความรวมมือของอาเซียน และในขอ 23 ระบุวาคูกรณีในขอพิพาทอาจรองขอใหประธานอาเซียน หรือเลขาธิการอาเซียนทําหนาที่โดยตําแหนงเป็นคนกลางที่นาเชื่อถือ ประนีประนอม หรือไกลเกลี่ย รวมทั้ง แผนการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint) ไดรับการเปิดตัวในการประชุมสุดยอดอาเซียนในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2552/2009 โดย ประกาศวา “มีความจําเป็นที่จะมีความพยายามที่มากขึ้นในการเสริมสรางวิธีการระงับขอพิพาทโดยสันติที่มีอยู เพื่อหลีกเลี่ยงหรือระงับขอพิพาทในอนาคต”292 และมีแนวโนมที่จะสนับสนุนการแกปัญหาขอพิพาทโดยใช กลไกทวิภาคีในเอเชียตะวันออกเฉียงใตมากขึ้น
290 Strachan, Anna Louise. Ibid. 291 Knight, W. Andy. “The United Nations and International Security in the New Millennium.” Perspectives on Global Development and Technology. Vol. 4 (3-4). 2005, p. 521. 292 “More efforts are needed in strengthening the existing modes of pacific settlement of disputes to avoid or settle future disputes” in B.2. Conflict Resolution and Pacific Settlement of Disputes (22.) ASEAN Political-Security Community Blueprint, p. 10. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงฉบับภาษาอังกฤษ ไดจาก http://bit.ly/1IeCIiG หรือฉบับภาษาไทย ข.2 การแกไขความขัดแยงและการระงับขอพิพาทโดยสันติ (ขอ 22.) หนา 18. เขาถึงไดจาก http://bit.ly/1Rud11Y 284
นอกจากนี้ งานการศึกษาของ ทอมมี่ โก฿ะ (Tommy Koh) และ โจลีน ลิน (Jolene Lin)293 ไดยืนยันวา กระบวนการฝุายที่สาม (third-party) เป็นกลไกที่มีประโยชนแในการระงับขอพิพาทอยางฉันทแมิตร โดยระบุวา กระบวนการดังกลาวเป็นวิธีเดียวที่จะผาทางตัน สิงคโปรแเคยนําขอพิพาทเขาสูกลไกระหวางประเทศหลายครั้ง และไดชี้ใหเห็นวาวิธีการแกไขปัญหาโดยฝุายที่สาม (third-party) สามารถใชระงับขอพิพาทระหวางสิงคโปรแ กับมาเลเซียกรณีขอพิพาททางรถไฟสายมลายา (Malayan Railway) ซึ่งแสดงใหเห็นวาสิงคโปรแเชื่อมั่นตอ กลไกกฎหมายระหวางประเทศเป็นอยางมาก ดังนั้น จึงมีความจําเป็นที่จะตองเพิ่มระดับความเชื่อมั่นของ ประเทศสมาชิกอาเซียน หากศาลโลกจะเขามามีบทบาทมากขึ้นในการระงับขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศ โดยสรุปแลว ศาลโลกเป็นกลไกที่มีศักยภาพและบทบาทสําคัญตอการระงับขอพิพาท หากกลไกระงับขอ พิพาทในรูปแบบอื่นๆ เกิดความลมเหลว แมวาการเจรจาทวิภาคีจะยังเป็นกลไกระงับขอพิพาทที่ดีที่สุด แตก็ อาจไมประสบความสําเร็จเสมอไป และกลไกระงับขอพิพาทภายในภูมิภาคอาเซียนอื่นๆ ก็ยังไมสามารถ ดําเนินการไดอยางมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเงื่อนไขจากบทบัญญัติของตัวกลไกเอง รวมทั้ง ประเทศสมาชิก ยังคงมีความรูสึกหวาดระแวงตอผูที่จะมาทําหนาที่คนกลางซึ่งมักถูกตั้งคําถามวาอาจมีสวนไดเสียในขอพิพาท
293 Koh, Tommy and Jolene Lin. “The Land Reclamation Case: Thoughts and Reflections,” Singapore Year Book of International Law and Contributors Vol. X 10 SYBL (2006), p.1-7. เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Lsh4ov 285
5.2.3 อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) หรือ ศาลโลกทะเล
อนุญาโตตุลาการระหวางประเทศวาดวยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) หรือ ศาลโลกทะเล เป็นกลไกที่ถูกจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมาย ทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 โดยเป็นองคแกรตุลาการอิสระที่จัดตั้งขึ้นเพื่อตัดสินขอพิพาทที่เกิดจากการตีความและการใช บทบัญญัติของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล อนุญาโตตุลาการประกอบดวยกรรมการอิสระ 21 ทาน ซึ่งไดรับการเลือกตั้งจากบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีความสามารถในกระบวนการยุติธรรมซึ่งไดรับการ ยอมรับวามีความชํานาญทางดานกฎหมายทะเล294 อนุญาโตตุลาการมีอํานาจในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับขอพิพาทใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการตีความหรือการใช อนุสัญญา รวมทั้งปัญหาขอพิพาทเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นจากความตกลงภายใตอํานาจที่ระบุไวในบทบัญญัติขอที่ 21 ตามธรรมนูญ (Statue) ของอนุญาโตตุลาการ โดยเปิดโอกาสใหรัฐภาคี (States Parties) ของอนุสัญญา เชน รัฐ และองคแกรระกวางประเทศ (international organizations) ซึ่งเป็นภาคีในอนุสัญญา นอกจากนี้ ยัง เปิดโอกาสใหหนวยงานอื่นที่ไมใชภาคี เชน รัฐ (state) องคแกรระหวางรัฐบาล (intergovernmental organizations) ที่ไมไดเป็นภาคีในอนุสัญญา และรัฐวิสาหกิจ (state enterprises) และหนวยงานภาคเอกชน (private entities) “ในกรณีใดๆ ที่ถูกระบุไวในสวนที่ 11 (Part XI) หรือ กรณีที่มีการนําเสนอขอพิพาทซึ่ง ไดรับการตกลงกันภายในเขตอํานาจของอนุญาโตตุลาการซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทุกฝุายที่เกี่ยวของกับขอพิพาท นั้น” ที่ระบุไวในบทบัญญัติขอที่ 20 ตามธรรมนูญ (Statue) ของอนุญาโตตุลาการ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 เปิดโอกาสใหมีการเขาเป็นภาคีที่อาวมอนเตเนโก (Montego Bay) ประเทศจาไมกา (Jamaica) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2525/1982 โดยมีผลบังคับใชในอีก 12 ปีตอมาคือวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537/1994 ความตกลงที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามสวนที่ 11 (Part XI) ของ อนุสัญญาถูกนําไปปฏิบัติ (adopted) เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2537/1994 และมีผลบังคับใชเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2539/1996 ความตกลงและการปฏิบัติตามสวนที่ 11 (Part XI) ของอนุสัญญาจะไดรับการตีความ และนําไปใชรวมเป็นกลไกลเดียวกัน จุดกําเนิดของอนุสัญญาเริ่มมาตั้งแตเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2510/1967 เมื่อเอกอัครราชทูตอารแฟิด ปารแโด (Arvid Pardo) แกงมอลตา (Malta) ไดแถลงในที่ประชุมสมัชชาใหญแหงสหประชาชาติโดยเรียกรอง ให “ระบอบการปกครองของระหวางประเทศที่มีประสิทธิภาพเหนือพื้นดินทองทะเลและพื้นมหาสมุทรเกินวา ขอบเขตอํานาจของรัฐมีอยูอยางชัดเจน (an effective international regime over the seabed and the ocean floor beyond a clearly defined national jurisdiction)” นําไปสูการประชุมเมื่อปี 2516/1973 ของการประชุมสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเลครั้งที่ 3 (The Third United Nations Conference on the Law of the Sea) หลังจากการเจรจาเพื่อการนําบทบัญญัติของมาบังคับใชเป็นระยะเวลา 9 ปี อนุสัญญาไดกําหนดกรอบกฎหมายเพื่อควบคุมการใชทรัพยากรที่มีอยูในพื้นที่มหาสมุทร โดยมี บทบัญญัติที่เกี่ยวของกับทะเลอาณาเขต (territorial sea) เขตตอเนื่อง (contiguous zone) ไหลทวีป (continental shelf) เขตเศรษฐกิจพิเศษ (exclusive economic zone) และทะเลหลวง (high seas)
294 International Tribunal for the Law of the Sea, The Tribunal. เขาถึงเมื่อ 22 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึง จาก http://bit.ly/1JGM9Cc 286
นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการปูองกันและการรักษาสภาพแวดลอมทางทะเล การวิจัยวิทยาศาสตรแทาง ทะเล รวมทั้งการพัฒนาและถายทอดเทคโนโลยีทางทะเล สวนที่สําคัญที่สุดประการหนึ่งของอนุสัญญา คือ บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการสํารวจและการใชประโยชนแจากทรัพยากรในพื้นทองทะเล (seabed) และชั้นใตผิวดิน (subsoil) ที่อยูเกินกวาขอบเขตอํานาจของรัฐชาติ อนุสัญญาไดกําหนด “พื้นที่ที่กําหนด (Area)” และทรัพยากรที่มีอยูในพื้นที่ใหเป็น “มรดกรวมของ มนุษยชาติ (common heritage of mankind)” องคแกรพื้นดินทองทะเลระหวางประเทศ (International Seabed Authority – ISA) จัดตั้งขึ้นภายใตอนุสัญญา เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรใน “พื้นที่ที่กําหนด” สวนที่ 15 (Part XV) ของอนุสัญญา ไดกําหนดกลไกการระงับขอพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในการตีความและ การใชบทบัญญัติของอนุสัญญา โดยกําหนดใหรัฐภาคีระงับขอพิพาทที่เกี่ยวของกับการตีความหรือการใช อนุสัญญาโดยสันติวิธีซึ่งไดระบุเอาไวในกฎบัตรสหประชาชาติ แตหากรัฐคูพิพาทไมสามารถระงับขอพิพาทโดย สันติวิธีได รัฐคูพิพาทที่เป็นภาคีในอนุสัญญานี้ตองใชวิธีระงับขอพิพาทภาคบังคับซึ่งมีผลผูกพันที่มีอยูภายใต อนุสัญญาฉบับนี้ กลไกที่จัดตั้งขึ้นโดยอนุสัญญานี้ไดใหทางเลือกในการระงับขอพิพาท ไดแก อนุญาโตตุลาการระหวาง ประเทศวาดวยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) ศาลยุติธรรม ระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) ซึ่งเป็นกลไกตุลาการตามภาคผนวกที่ 7 (Annex VII) ของอนุสัญญา และเป็นกลไกตุลาการพิเศษตามภาคผนวกที่ 8 (Annex VIII) ของอนุสัญญา โดยรัฐภาคีมี อิสระที่จะเลือกกลไกอยางใดอยางหนึ่งหรือมากกวาโดยการประกาศเป็นลายลักษณแอักษรตามขอที่ 287 ของ อนุสัญญา และเสนอตอเลขาธิการสหประชาชาติ หากคูพิพาทยังไมแสดงทาทียอมรับขั้นตอนการระงับขอ พิพาทเดียวกัน ขอพิพาทนั้นอาจจะถูกนําเสนอตออนุญาโตตุลาการตามภาคผนวกที่ 7 (Annex VII) เวนแต คูพิพาททั้งสองฝุายไดตกลงกันเป็นอยางอื่น ตามบทบัญญัติของธรรมนูญศาล กระบวนการอนุญาโตตุลาการไดจัดตั้งคณะกรรมการ (Chamber) ชุด ตางๆ ดังตอไปนี้ ไดแก คณะกรรมการของขั้นตอนการสรุปผล (Chamber of Summary Procedure) คณะกรรมการเพื่อขอพิพาทประมง (Chamber for Fisheries Disputes) คณะกรรมการเพื่อขอพิพาท สิ่งแวดลอมทางทะเล (Chamber for Marine Environment Disputes) และ คณะกรรมการเพื่อขอพิพาท การกําหนดอาณาเขตทางทะเล (Chamber for Maritime Delimitation Disputes) และตามคํารองของคูพิพาท อนุญาโตตุลาการยังไดจัดตั้งคณะกรรมการพิเศษ (special chamber) เพื่อ พิจารณาขอพิพาทวาดวยการอนุรักษแและการใชอยางยั่งยืนของมวลปลากระทงดาบในมหาสมุทรแปซิฟิก ตะวันออกเฉียงใต (ชิลี/ประชาคมยุโรป) (Case concerning the Conservation and Sustainable Exploitation of Swordfish Stocks in the South-Eastern Pacific Ocean (Chile/European Community) รวมทั้ง ขอพิพาทเกี่ยวกับการกําหนดเขตแดนทางทะเลระหวางกานาและโกตดิวัวรแใน มหาสมุทรแอตแลนติก (กานา/โกตดิวัวรแ) (Dispute Concerning Delimitation of the Maritime Boundary between Ghana and Côte d'Ivoire in the Atlantic Ocean (Ghana/Côte d'Ivoire) ขอพิพาทที่เกี่ยวของกับกิจกรรมในพื้นที่กนทะเลระหวางประเทศ (International Seabed Area) จะ ถูกนําสงไปยังคณะกรรมการขอพิพาทกนทะเล (Seabed Disputes Chamber) ซึ่งประกอบดวย อนุญาโตตุลาการจํานวน 11 คน คูพิพาทฝุายใดฝุายหนึ่งซึ่งคณะกรรมการมีคําตัดสินแลวสามารถรองขอให คณะกรรมการขอพิพาทกนทะเล (Seabed Disputes Chamber) แตงตั้งกรรมการเฉพาะกิจ (ad hoc chamber) ซึ่งประกอบดวยสมาชิกจํานวน 3 คน จากคณะกรรมการขอพิพาทกนทะเล (Seabed Disputes Chamber) 287
ขั้นตอนอนุญาโตตุลาการจะเปิดใหรัฐภาคีของอนุสัญญา และในบางกรณีหนวยงานอื่นที่ไมใชรัฐภาคี เชน องคแกรระหวางประเทศ และบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลตามกฎหมาย สามารถเขาสูกระบวนการ พิจารณาคดีของอนุญาโตตุลาการได เขตอํานาจของคณะอนุญาโตตุลาการประกอบดวยขอพิพาททั้งหมดที่ สอดคลองกับบทบัญญัติของอนุสัญญา นอกจากนี้ยังขยายครอบคลุมไปถึงทุกกรณีที่อยูภายใตความตกลงที่ เกี่ยวของกับเขตอํานาจของอนุญาโตตุลาการ โดยในปัจจุบัน มีความตกลงพหุภาคีจํานวน 10 ฉบับ ที่เกี่ยวของ กับเขตอํานาจของคณะอนุญาโตตุลาการ ยกเวนในกรณีที่รัฐภาคียอมรับเขตอํานาจของอนุญาโตตุลาการ โดยมี ผลบังคับใชในกรณีที่เกี่ยวของตามขอที่ 292 ของอนุสัญญา และมาตรการคุมครองชั่วคราวที่อยูระหวางรอ ดําเนินการภายใตบทบัญญัติของธรรมนูญคณะอนุญาโตตุลาการตามขอที่ 290 วรรค 5 ของอนุสัญญา คณะกรรมการขอพิพาทกนทะเล (Seabed Disputes Chamber) มีอํานาจที่จะใหความเห็นทาง กฎหมายตอขอพิพาทที่เกิดขึ้นภายในขอบเขตขององคแกรพื้นทะเลระหวางประเทศ (International Seabed Authority) คณะอนุญาโตตุลาการอาจพิจารณาใหความเห็น (advisory opinion) ในกรณีพิพาทที่อยูภายใต ความตกลงระหวางประเทศซึ่งเกี่ยวของกับเปูาประสงคแของอนุสัญญา ขอพิพาทที่นําเขาสูกระบวนการ อนุญาโตตุลาการจะตองทําการอยางใดอยางหนึ่งโดยการนําสงหนังสือที่เป็นลายลักษณแอักษร (written application) หรือโดยการแจงใหทราบดวยการทําความตกลงพิเศษ (special agreement) โดยขั้นตอนตอมา คือการดําเนินการตามบทบัญญัติที่กําหนดไวในธรรมนูญและระเบียบของอนุญาโตตุลาการ
5.2.3.1 ข้อพิพาทถมทราย (Land Reclamation) ระหว่างมาเลเซียกับสิงคโปร์
เนื่องจากประชากรของสิงคโปรแเพิ่มขึ้นจาก 1.63 ลานคนในปี 2503/1960 เป็น 4.84 ลานคน ในปี 2553/2010 ดังนั้น สิงคโปรแจึงจําเป็นตองถมทรายขยายพื้นที่ (land reclamation) เพื่อสรางสาธารณูปโภค รองรับการขยายตัวของประชากร และถมทะเลไปแลวเป็นพื้นที่รวมกวา 130 ตารางกิโลเมตร โดยนําเขาทราย จากทั่วโลกมากกวา 517 ลานตัน ถือวาเป็นประเทศที่นําเขาทรายสูงที่สุดในโลก295 ทั้งนี้ ขอพิพาทถมทราย (Land Reclamation) ระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ เกิดจากสิงคโปรแถมทรายเพื่อขยายดินแดนออกไปในทะเล บริเวณพื้นที่ 2 แหง ไดแก โครงการพัฒนาทูอัส (Tuas Development) ซึ่งอยูทางทิศตะวันตกเฉียงใตของ เกาะสิงคโปรแ และ เกาะเตอกอง (Pulau Tekong) ทางตะวันออกเฉียงเหนือในชองแคบยะโฮรแ (ดูภาพที่ 5.1) แมวาการถมทรายบนเกาะเตอกอง (Pulau Tekong) จะไมไดรุกล้ําเขาไปในนานน้ําอาณาเขต (territorial water) ของมาเลเซีย แตมาเลเซียกังวลวาการถมทรายจํานวนมากเกินไปอาจสงผลกระทบตอการเดินเรือและ สภาพแวดลอมในชองแคบยะโฮรแ ซึ่งเป็นนานน้ําที่ทั้งสองประเทศใชประโยชนแรวมกัน มาเลเซียกลาหาวาโครงการพัฒนาทูอัส (Tuas Development) ของสิงคโปรแถมทรายรุกล้ําเขาไปใน บริเวณที่เรียกวา “จุด 20 รูปเศษไม (Point 20 sliver)” (ดูภาพที่ 5.2) โดยพื้นที่รูปเศษไม (sliver) ดังกลาว เกิดขึ้นจากการประกาศใชแผนที่ฝุายเดียวของมาเลเซียชื่อ “ทะเลอาณาเขตและไหลทวีปของมาเลเซีย (Territorial Waters and Continental Shelf Boundaries of Malaysia)” หรือ “แผนที่ฉบับ 2522/1979” ซึ่งจุด 20 ดังกลาวยื่นออกไปทางตะวันออกของไหลทวีประหวางจุด 19 และจุด 21 ทําใหเกิด พื้นที่สามเหลี่ยมรูปเศษไม (sliver) แตฝุายสิงคโปรแเคยรับรองการประกาศใช “แผนที่ฉบับ 2522/1979” ของ มาเลเซีย ดังนั้น จึงไมยอมรับวาพื้นที่บริเวณ “จุด 20 รูปเศษไม (Point 20 sliver)” อยูภายใตอธิปไตยของ
295 UNEP, Global Environmental Alert Service (GEAS). “Thematic focus: Ecosystem management, Environmental governance, Resource efficiency,” (March 2014) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1uqsYFH 288
มาเลเซีย ตอมาในวันที่ 4 กันยายน 2546/2003 มาเลเซียจึงยื่นคํารองตออนุญาโตตุลาการระหวางประเทศวา ดวยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) หรือ ศาลโลกทะเล เพื่อ ขอมาตรการคุมครองชั่วคราว (provisional measures) ตอกิจกรรมการถมทรายของสิงคโปรแ296 รวมทั้งกรณี “จุด 20 รูปเศษไม (Point 20 sliver)” และในที่สุดวันที่ 8 ตุลาคม 2546/2003 อนุญาโตตุลาการจึงมีคําตัดสิน297 วามาเลเซียยังไมสามารถแสดงใหเห็นไดวามีความจําเป็นเรงดวนหรือมีความเสี่ยงใดที่กระทบตอสิทธิในทะเล อาณาเขตซึ่งเกิดความเสียหายจนไมสามารถกลับมาดังเดิมได ดังนั้น อนุญาโตตุลาการจึงไมพิจารณากําหนด มาตรการชั่วคราวเกี่ยวกับการถมทรายของสิงคโปรแในพื้นที่ตูอัส (Tuas)298 สวนพื้นที่การถมทรายที่เกาะเตอกอง (Pulau Tekong) อนุญาโตตุลาการมีคําสั่งใหทั้งสองฝุายรวมกัน แตงตั้งคณะกรรมการผูเชี่ยวชาญอิสระ (Group of Independent Experts – GEO) เพื่อจัดทํารายงาน ผลกระทบที่เกิดจากการถมทรายของสิงคโปรแ และเสนอมาตรการที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับผลกระทบเหลานั้น ภายในเวลาไมเกิน 1 ปี จากวันที่มีคําสั่งนี้ และอีก 13 เดือนตอมา คือวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547/2004299 คณะกรรมการผูเชี่ยวชาญอิสระดังกลาวไดนําเสนอรายงานผลกระทบที่เกิดจากการถมทรายของสิงคโปรแ จํานวน 57 ผลกระทบ ในจํานวนนี้มี 40 ผลกระทบที่สามารถตรวจพบไดในแบบจําลองคอมพิวเตอรแแตไม นาจะตรวจพบในพื้นที่จริง สวนอีก 17 ผลกระทบสามารถบรรเทาใหหมดไปไดโดยการกําหนดมาตรการเพื่อ การบรรเทาผลกระทบ โดย ศาสตราจารยแทอมมี่ โก฿ะ (Tommy Koh)300 ผูแทนของสิงคโปรแกลาววา คณะ ผูแทนของทั้งสองประเทศเห็นดวยกับมาตรการที่เหมาะสมในการบรรเทาผลกระทบตามรายงานของ คณะกรรมการผูเชี่ยวชาญอิสระดังกลาวโดยทั้งสองประเทศจะดําเนินการแกปัญหาอยางฉันทแมิตร301 และตอมาในวันที่ 26 เมษายน 2548/2005 ทั้งสองประเทศจึงลงนามใน “ความตกลงระงับขอพิพาท (The Settlement Agreement)” สวนกรณี “จุด 20” นั้น คณะกรรมการผูเชี่ยวชาญอิสระไมไดนําเขามา เกี่ยวของเนื่องจากเป็นประเด็นปัญหาในกําหนดอาณาเขตทางทะเลระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแ ซึ่งทั้งสอง ประเทศบรรลุความตกลงโดยไมเกี่ยวกับจุด 20 โดยจะมีการเจรจาในโอกาสอื่นเพื่อการระงับขอพิพาทโดยสันติ เพื่อรักษาสิทธิและผลประโยชนแของประเทศตนภายใตหลักกฎหมายระหวางประเทศ
296 โปรดดู Request for Provisional Measures, In the Dispute Concerning Land Reclamation Activities by Singapore Impinging upon Malaysia‖s Rights in and around the Straits of Johor Inclusive of the Areas around Point 20 Malaysia v. Singapore (4 September 2003) เขาถึง เมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1BviAFZ 297 โปรดดู International Tribunal for the Law of the Sea. Case concerning Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (Malaysia v. Singapore), Case No. 12 เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1eAxsJh 298 โปรดดู International Tribunal for the Law of the Sea, Case Concerning Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (Malaysia v. Singapore) List of case: No.12, Report of Judgment Advisory Opinions and Orders, Order of 8 October 2003. เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1cYvC3a 299 โปรดดู Report of the Group of Independent Experts in the Matter of the Order of 8 October 2003 (5 November 2004) เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1MXjETU 300 โปรดดู Koh, Tommy and Jolene Lin. Ibid, pp.1-7. 301 โปรดดู Remarks In Parliament By Singapore Foreign Minister George Yeo On The Settlement Agreement Between Singapore And Malaysia On Land Reclamation (16 May 2005) เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1SAIf4H 289
ช่องแคบยะโฮร์ (Strait of Johor) เกาะเตอกอง (Pulau Tekong)
โครงการพัฒนาทูอัส (Tuas Development)
ภาพที่ 5.1 แผนที่แสดงพื้นที่พิพาทการถมทะเล (Land Reclamation) ระหวางสิงคโปรแกับมาเลเซีย (ที่มา: UNEP, Global Environmental Alert Service (GEAS) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1IqBon8)
โครงการพัฒนาทูอัส (Tuas Development)
20
21
19
ภาพที่ 5.2 แผนที่แสดงพื้นที่พิพาท “จุด 20 รูปเศษไม (Point 20 sliver)” (ที่มา: Response of Singapore, Case concerning Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (Malaysia v. Singapore) (20 September 2003), p. 312. เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1TDP1rQ) 290
ภาพที่ 5.3 แผนที่แสดงการถมทรายในพื้นที่เกาะเตอกอง (Pulau Tekong) (ที่มา: Report of the Group of Independent Experts in the Matter of the Order of 8 October 2003 (5 November 2004), p. 101. เขาถึง เมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1MXjETU)
291
การลงนามใน “ความตกลงระงับขอพิพาท (The Settlement Agreement)” นั้น มีสิงคโปรแเป็น เจาภาพ และลงนามโดย ตัน ศรี อาหมัด ฟูซี ฮัจ อับดุล ราซัก (Tan Sri Ahmad Fuzi Hj Abdul Razak) ผูแทนฝุายมาเลเซีย กับ ศาสตราจารยแทอมมี่ โก฿ะ (Tommy Koh) ผูแทนฝุายสิงคโปรแ และมีสักขีพยาน ไดแก ดาโต฿ะ เสรี ไซดแ ฮามิด อัลบารแ (Dato' Seri Syed Hamid Albar) รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ มาเลเซีย และ จอรแจ เยโอะ (George Yeo) รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศของสิงคโปรแ302 และ ภายใตความตกลงฉบับนี้ รัฐบาลของทั้งสองประเทศจะดําเนินการตามมาตรการที่คณะกรรมการผูเชี่ยวชาญ อิสระ (Group of Independent Experts – GEO) เสนอไวเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547/2004 ดังนั้น ความตกลงฉบับนี้จึงถือเป็นการยุติขอพิพาทของทั้งสองประเทศอยางสิ้นเชิง โดยจะรวมกันสงความตกลงฉบับ นี้ไปยังอนุญาโตตุลาการระหวางประเทศวาดวยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) ณ เมืองฮัมบูรแก (Hamburg) ประเทศเยอรมนี เพื่อรับรองวาทั้งสองประเทศไดปฏิบัติตาม คําตัดสินของอนุญาโตตุลาการเป็นที่เรียบรอยแลว และความตกลงฉบับนี้ถือเป็นกระบวนการแกไขปัญหา ขั้นตอนสุดทาย ซึ่งรัฐบาลของทั้งสองพิจารณาแลววาจะเกิดผลประโยชนแที่เหมาะสมและเที่ยงธรรมบนพื้นฐาน ของความปรารถนาดีตอกันฉันทแมิตรประเทศ303
5.2.3.2 ฟิลิปปินส์ยื่นฟ้องจีนในข้อพิพาททะเลจีนใต้
เมื่อ 22 มกราคม 2556/2013 นายอัลเบิรแต เดล โรซาริโอ (Albert del Rosario) รัฐมนตรีวาการ กระทรวงการตางประเทศของฟิลิปปินสแแถลงตอกรณีพิพาทกับจีนเรื่องการอางกรรมสิทธิ์บริเวณทะเล ฟิลิปปินสแตะวันตก (West Philippine Sea) หรือ ทะเลจีนใต โดยฟิลิปปินสแจะขอใหอนุญาโตตุลาการระหวาง ประเทศวาดวยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) หรือ ศาลโลก ทะเล ประกาศวาการอางกรรมสิทธิ์ของจีนไมถูกตอง และการบริหารจัดการพื้นที่ในทะเลดังกลาวควรเป็นไป ตามอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 โดยกระทรวงการตางประเทศของฟิลิปปินสแไดเชิญ นางหมา เกเอจิ้ง (Ma Keqing) เอกอัครราชทูตจีนประจําฟิลิปปินสแเขาพบเพื่อแจงใหทราบถึงการดําเนินการ ดังกลาวแลว304 แตฝุายจีนปฏิเสธความตองการของฟิลิปปินสแมาตั้งแตปี 2554/2011 เนื่องจากจีนสงวนสิทธิไม ยอมรับเขตอํานาจของศาลโลกทะเล (ITLOS) แมวาจะใหสัตยาบันในอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 แลวก็ ตาม305
302 Joint Press Statement on the Case concerning Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (April 26, 2005) เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Jc8A7u 303 Singapore and Malaysia sign Land Reclamation Settlement Agreement (May 17, 2005) เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1BEDYsX 304 สํานักขาวกรองแหงชาติ. “ฟิลิปปินสแจะยื่นเรื่องตอศาลระหวางประเทศกรณีพิพาทกับจีนเรื่องการอางกรรมสิทธิ์ บริเวณทะเลจีนใต” (23 มกราคม 2556/2013) เขาถึงเมื่อ 16 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1SkKVTM 305 Roberto Tofani. “Legality waves lap South China Sea,” Asia Times Online, February 8, 2013.เขาถึง เมื่อ 16 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1hBso97 292
บทที่ 6 สรุปผลการวิจัย ปัจจัยแห่งความส าเร็จ ความล้มเหลว และข้อเสนอแนะ
ดังที่ไดนําเสนอไปแลวในบทที่ 3 และ 4 วาดวยเสนเขตแดนทางบกและทางทะเลระหวางประเทศใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต (ยกเวนไทย) จากอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมจํานวนทั้งสิ้น 20 คูกรณี โดยขอพิพาทที่ ระงับได 13 คูกรณี (ดูตารางที่ 6.1) ขอพิพาทที่ยังดําเนินการแกปัญหาอยู 7 คูกรณี ซึ่งไดอธิบายความเป็นมา ทางประวัติศาสตรแของกําเนิดและพัฒนาการของเสนเขตแดนระหวางประเทศตางๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต โดยมุงเนนไปที่การสํารวจเอกสารสนธิสัญญา อนุสัญญา ขอตกลง แผนที่ และเอกสารทางกฎหมาย อื่นๆ ที่เกี่ยวของกับการกําหนดเสนเขตแดน ซึ่งถูกจัดทําขึ้นในยุคที่ดินแดนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตเริ่ม พัฒนาขึ้นมาจากรัฐราชอาณาจักร ซึ่งเอาเขาจริงแลว “เสนเขตแดน” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต เป็น ปรากฏการณแที่คอนขางใหม เพราะเพิ่งจะถูกกําหนดใหมีขึ้นราวคริสตศตวรรษที่ 19 โดยผานกระบวนการ สรางสรรคแของสิ่งที่เรียกวา “แผนที่” เป็นเครื่องกําหนดอาณาเขตอํานาจทางการเมืองระหวางผูปกครองกลุม ตางๆ ใหชัดเจน มั่นคง ตายตัว ตามรูปแบบการปกครองสมัยใหม ที่เรียกวา “รัฐชาติ หรือ รัฐประชาชาติ (nation state)” แตกอนหนาที่จะมีการกําหนดและการปักปันเขตแดนในรูปแบบของการทําแผนที่สมัยใหม นั้น ผูปกครองกลุมตางๆ เชน อาณาจักรทั้งหลาย มักรับรูปริมณฑลอํานาจของตนวา ครอบคลุมพื้นที่ไมชัดเจน และไมมั่นคง เพราะขอบเขตอํานาจอาจเปลี่ยนแปลงขยายกวางออกหรือหดแคบเขา มากบางนอยบางขึ้นอยู กับอํานาจบารมีและอิทธิพลทางการทหาร และในบางครั้งพรมแดนอาจผลัดเปลี่ยนไปอยูใตอํานาจของ อาณาจักรอื่นๆ ได หรือ บางพื้นที่อาจไมมีอิทธิพลอํานาจของอาณาจักรใดเลย ที่จะเคยแผเขาไปถึงมากอน จนกระทั่งเขาสูยุคอาณานิคม ซึ่งการที่ประเทศตะวันตกเขามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต เบื้องตน เป็นไปเพื่อการแสวงหาแหลงทรัพยากรซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตที่สําคัญ รวมทั้งแรงงานและที่ดิน เพื่อขยายฐาน การผลิตและตลาดสินคาตามแนวทางอุตสาหกรรมและพานิชยกรรมนิยม ความตองการ “ที่ดิน/ดินแดน” นี่เอง ที่ทําใหเกิดความจําเป็นตองมีการ “กําหนดเขตแดน” ใหมีความ “ชัดเจน แนนอน ตายตัว” เพื่อ ผลประโยชนแทางการคา การปกครอง และความคลองตัวในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยูภายในขอบเขต อํานาจของตน นําไปสูการสรางเครื่องมือที่เป็นแบบแผนและอุดมคติที่จะทําใหทราบวาเสนเขตแดนที่แนนอน อยูที่ใด และเป็นชวงเวลาที่เอกสารและขอตกลงสวนใหญมักจะมีผลโดยตรงในการกําหนดขอบเขตและอํานาจ อธิปไตยของแตละรัฐ ทั้งนี้ หลังจากการเป็นเอกราชจากเจาอาณานิคมและการสืบสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะ เลือกใชเอกสารฉบับตางๆ เพื่อนําไปสูการกําหนดสัณฐานของเสนเขตแดนที่แทจริงใหชัดเจน ก็เป็นปัจจัย สําคัญที่ทําใหเกิดปัญหาความขัดแยงกับรัฐที่มีพรมแดนติดกันดังที่เป็นอยูในปัจจุบัน จากการศึกษาพบวา หากเกิดขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศขึ้น ก็มีการใชกลไกระหวางรัฐในระดับ ตางๆ เพื่อนําไปสูการระงับขอพิพาท ไดแก กลไกระดับรัฐบาล เชน ขอตกลงทวิภาคี (Bilateral – Treaty / Agreement / MOU) คณะกรรมาธิการเขตแดนรวม (Joint Border Commission) ระดับกระทรวง (Inter- Ministerial Level) รวมทั้งการมีคณะทํางานระดับปฏิบัติการ (Technical / Working Group Level) ซึ่งเป็น กลไกที่ไดผลและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการดําเนินการเจรจาแกไขปัญหาขอพิพาท แตกลไกระดับภูมิภาค เชน กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ยังไมมีการใชเพื่อหวังผลในทางปฏิบัติมากนัก แตก็เป็นกลไกที่ สามารถชะลอปัญหาความขัดแยงระหวางประเทศคูพิพาทไมใหเกิดความรุนแรงถึงขั้นประกาศภาวะสงคราม ระหวางประเทศได สวนกลไกระดับนานาชาติ เชน ศาลประจําอนุญาโตตุลาการระหวางประเทศ (Permanent Court of Arbitration – PCA) ศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก และ ศาลยุติธรรมระหวางประเทศวาดวยกฎหมายทะเล (International 293
Tribunal for the Law of the Sea – ITLOS) ก็เป็นกลไกที่ประเทศคูพิพาทสามารถอาศัยกระบวนการระงับ ขอพิพาทเพื่อลดระดับความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นไดเชนกัน โดยสรุปแลว ขอพิพาทเขตแดนในอาเซียน สามารถแกปัญหาใหยุติลงไดดวยปัจจัยสําคัญ 3 ประการ ไดแก 1. ความชัดเจนของขอตกลงระหวางกันของประเทศตางๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากเอกสารทางประวัติศาสตรแ เชน สนธิสัญญา หรือแผนที่ ซึ่งทั้งสองฝุายยอมรับ 2. ความไวเนื้อเชื่อใจของคูเจรจา โดยขอพิพาทแตละกรณีมักไดรับการแกไขไดโดยงายดวยความตกลง ทวิภาคีหากมีการสรางความสัมพันธแที่ดีระหวางประเทศ 3. รัฐบาลเองมีแนวโนมที่จะนําขอพิพาทเขตแดนกับประเทศเพื่อนบานมาใชเป็นอาวุธทางการเมืองใน ภาวะที่รัฐบาลไมมีเสถียรภาพเพียงพอ แตทายที่สุดก็ไมสามารถจะควบคุมขอพิพาทไมใหกลายเป็นประเด็น สาธารณะได ซึ่งหากรัฐบาลที่มีนโยบายมุงมั่นที่จะแกปัญหาขอพิพาทเสนเขตแดนอยางแทจริงยอมสามารถ อํานวยความสะดวกใหแกคณะกรรมาธิการคูเจรจาปฏิบัติทําหนาที่ไดโดยไมตองกังวลตอผลกระทบทาง การเมืองที่จะตามมาในภายหลัง แมวาจะมีการนําขอพิพาทเขาสูกลไกของศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก แตในทายที่สุดขอพิพาทเหลานั้นก็ยังไมสามารถยุติลงไดอยางสมบูรณแจนถึง ปัจจุบัน แตอยางนอยก็สามารถทําใหขอพิพาทเหลานั้นอยูในสถานะเสมือนระงับ (semi-settlement) หรือทํา ใหคูพิพาทมีแนวทางในการจัดการความขัดแยงตอไปได ในทํานองเดียวกัน กรณีพิพาทเขตแดนที่ไมสามารถบรรลุขอตกลงเพื่อระงับความขัดแยงไดนั้น มักเกิด จากปัจจัยสําคัญอยางนอย 2 ประการ ไดแก 1. ความไมลงรอยกันในการตีความเอกสารทางประวัติศาสตรแ เชน สนธิสัญญา หรือ แผนที่ ซึ่งเป็น หลักฐานที่สืบทอดมาตั้งแตยุคกอนการเป็นเอกราชของรัฐชาติตางๆ ตัวอยางเชน กรณีการตีความคําหรือ ขอความในสนธิสัญญาระหวางฟิลิปปินสแกับมาเลเซีย กรณีดินแดนซาบาหแ เป็นตน 2. กระบวนการเจรจาระงับขอพิพาทถูกนํามาเป็นประเด็นทางการเมืองภายในประเทศ เชน กรณีขอ พิพาทเสนเขตแดนระหวางกัมพูชากับเวียดนามตลอดทั้งแนวเสนเขตแดนทางบก โดยฝุายที่ไมเห็นดวยกับ รัฐบาลกัมพูชามักหยิบยกกรณีดินแดนขะแมรแกรอม (Khmer Krom) ขึ้นมาโจมตีรัฐบาล วาไมดําเนินการเพื่อ ยึดเอาดินแดนกลับคืนมาหรือรัฐบาลไมรักชาติ จนทําใหกระบวนการในการเจรจาเพื่อดําเนินการแกปัญหาถูก ผลกระทบจนทําใหไมสามารถระงับขอพิพาทได หรือดังเชนกรณีการใชขอพิพาทเขตแดนเพื่อสรางฐานความ นิยมทางการเมืองใหแกฝุายตน โดยละเลยที่จะมุงเนนการแกปัญหาอยางจริงจังของกลุมการเมืองทองถิ่น เชน สุสุลตาน จามาลุล กีแรม ที่ 3 (Sultan Jamalul Kiram III) ซึ่งสงกองกําลังติดอาวุธจากเกาะซูลูในฟิลิปปินสแ บุกเขาไปยังดินแดนซาบาหแซึ่งอยูภายในขอบเขตอํานาจอธิปไตยของมาเลเซีย จนบานปลายกลายเป็นปัญหา ระหวางประเทศ เป็นตน ในบทนี้จึงจะทําการวิเคราะหแปัจจัยแหงความสําเร็จและความลมเหลวในการจัดการ ขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศในอาเซียน ตลอดจนขอสังเกตและขอแนะนําเพื่อการจัดการขอพิพาทเขต แดนระหวางประเทศในอาเซียนตอไป จากการศึกษาในบทที่ 3 และบทที่ 4 วาดวยการกําหนดเสนเขตแดนทางบกและทางทะเลระหวาง ประเทศในอาเซียน เราสามารถพิจารณาไดตามตารางที่ 6.1 เปรียบเทียบขอพิพาทที่ยังไมระงับและขอพิพาทที่ สามารถระงับไดแลว
294
ตารางที่ 6.1 เปรียบเทียบขอพิพาทที่ยังไมระงับกับขอพิพาทที่ระงับแลวในอาเซียน (ยกเวนไทยกับเพื่อนบาน)
ที่ ข้อพิพาทที่ยังไม่ระงับ ที่ ข้อพิพาทที่ระงับแล้ว ระงับเมื่อ 1 เสนเขตแดนเกาะบอรแเนียว 1 ดินแดนลิมบัง (Limbang) ระงับชั่วคราว มาเลเซีย-อินโดนีเซีย มาเลเซีย-บรูไน 16 มี.ค. 2009/2552 2 ดินแดนซาบาหแ (Sabah) 2 เสนเขตแดนทางบก 1 มี.ค. 2533/1990 มาเลเซีย-ฟิลิปปินสแ ลาว-เวียดนาม 3 เสนเขตแดนทางบก 3 เสนเขตแดนตามแนวแมน้ําโขง 11 มิ.ย. 2537/1994 ลาว-กัมพูชา ลาว-พมา 4 เสนเขตแดนทางบก 4 ไหลทวีปในชองแคบมะละกาและ 27 ต.ค. 2512/1969 กัมพูชา-เวียดนาม ทะเลจีนใต อินโดนีเซีย-มาเลเซีย 5 เกาะมิอังกัส (Miangas Island) 5 ทะเลอาณาเขตในชองแคบมะละกา 8 ต.ค. 2514/1971 อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินสแ อินโดนีเซีย-มาเลเซีย 6 แหลงน้ํามันอัมบาลัท อินโดนีเซีย- 6 ทะเลอาณาเขตในชองแคบสิงคโปรแ 25 พ.ค. 2516/1973 มาเลเซีย อินโดนีเซีย-สิงคโปรแ 7 หมูเกาะสแปรตลียแ (Spratlys) 7 ทะเลประวัติศาสตรแ (historic waters) 7 ก.ค. 2525/1982 บรูไน-มาเลเซีย-ฟิลิปปินสแ-เวียดนาม- กัมพูชา-เวียดนาม จีน-ไตหวัน 8 พื้นที่พัฒนารวมบริเวณไหลทวีป 5 มิ.ย. 2535/1992 มาเลเซีย-เวียดนาม 9 ชองแคบยะโฮรแ (Strait of Johor) 7 ส.ค. 2538/1995 มาเลเซีย-สิงคโปรแ 10 ไหลทวีปถึงเกาะนาทูนา (Natuna 26 มิ.ย. 2546/2003 Islands) อินโดนีเซีย-เวียดนาม 11 เสนเขตแดนทางทะเล 16 มี.ค. 2009/2552 บรูไน-มาเลเซีย 12 เกาะลิกิตัน (Ligitan) และ เกาะสิปาดัน ศาลโลกตัดสิน (Sipadan) อินโดนีเซีย-มาเลเซีย 17 ธ.ค. 2545/2002 13 ขอพิพาทหิน 3 กอน ศาลโลกตัดสิน มาเลเซีย-สิงคโปรแ 23 พ.ค. 2551/2008
295
ปัจจัยประการหนึ่งที่ทําใหการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศเป็นไปคอนขางยากลําบาก คือ ความไมมีเสถียรภาพของรัฐบาลและความขัดแยงทางการเมืองภายในของแตละประเทศ เชน ในชวงคริสตแ ทศวรรษที่ 1980 มีการทําขอตกลงเกี่ยวกับปัญหาเขตแดนระหวางสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา (People‖s Republic of Kampuchea – PRK) กับเวียดนามหลายฉบับ เชน ในปี 2525/1982 ปี 2526/1983 และปี 2528/1985306 (ในชวงเวลาเดียวกันนี้ ไมมีความคืบหนาในการเจรจาขอพิพาทเขตแดนระหวางกัมพูชากับ ไทย) ทั้งนี้ ความขัดแยงทางการเมืองภายในกัมพูชาเองสงผลโดยตรงตอความคืบหนาในการเจรจาขอพิพาท เขตแดนระหวางปี 2522/1979 ถึงปี 2534/1991 แมวาสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาจะมีความสัมพันธแที่ดีกับ ลาว แตก็ไมมีกระบวนการใดๆ ที่เกี่ยวของกับการแกปัญหาเสนเขตแดนระหวางกัน ในชวงคริสตแทศวรรษที่ 1990 เมื่อความขัดแยงภายในกัมพูชาชวงปลายปี 2534/1991 สิ้นสุดลง ภายหลังจากที่มีการจัดการเลือกตั้ง โดยสหประชาชาติในชวงกลางปี 2536/1993 และมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมของกัมพูชา ก็ทําใหขอพิพาทเขต แดนระหวางกัมพูชากับประเทศเพื่อนบานถูกนํากลับมาเป็นประเด็นขอถกเถียงอีกครั้ง โดยกัมพูชาไดกลาวหา วาลาว ไทย และเวียดนาม ทําการละเมิดดินแดนที่อยูภายใตอธิปไตยของกัมพูชา โดยเฉพาะอยางยิ่งกรณีขอ พิพาทเขตแดนกับเวียดนามที่ทําใหความสัมพันธแระหวางทั้งสองประเทศมีความตึงเครียดเป็นอยางมาก307 และ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นที่บริเวณแนวชายแดน จึงมีการเริ่มตนการเจรจาระหวางกัมพูชากับเวียดนามอีกครั้ง ในปี 2525/1982 ปี 2526/1983 และปี 2528/1985 ซึ่งทั้งสองฝุายตกลงใหมีกระบวนการกําหนดกรอบการเจรจา ระหวางกัน308 แตการเจรจาทวิภาคีก็ไมมีความคืบหนาจนกระทั่งเวียดนามไดประกาศอยางเป็นทางการวา จะตองดําเนินการใหบรรลุความตกลงเพื่อระงับขอพิพาทกับกัมพูชากอนสิ้นปี 2543/2000 แตเมื่อถึงเวลา ดังกลาวก็ไมมีความคืบหนาใดๆ แตก็มีการเจรจาระหวางกันมากขึ้นเป็นระยะๆ และในที่สุดทั้งสองประเทศจึง จัดใหมีการเจรจาเพื่อแกปัญหาขอขอพิพาทดินแดนตามสนธิสัญญาเพิ่มเติม (Supplementary Treaty) เมื่อ วันที่ 10 ตุลาคม 2548/2005 โดยมีการแลกเปลี่ยนเอกสารการใหสัตยาบันของสนธิสัญญาเพิ่มเติม (Supplementary Treaty) ในวันที่ 6 ธันวาคม 2548/2005 และมีผลบังคับใชทันที ทําใหกระบวนการระงับ ขอพิพาทระหวางทั้งสองประเทศไดสําเร็จ ปัจจุบัน มีการทําขอตกลงระหวางนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาและ เวียดนาม เพื่อดําเนินงานในขั้นตอนการปักปันเขตแดน (demarcation) และการปักหลักเขต (marker planting) ตามแนวเสนเขตแดนทางบก โดยตั้งเปูาวาจะใหเสร็จสิ้นภายในปี 2555/2012309 ในกรณีขอพิพาทเขตแดนทางบกระหวางกัมพูชากับลาว พบวามีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนรวม กัมพูชา-ลาว (Cambodia-Laos Joint Boundary Commission – CLJBC) และ คณะกรรมาธิการเขตแดน รวมลาว-กัมพูชา (Laos-Cambodia Joint Boundary Commission – LCBJC) ซึ่งมีการประชุมกันเป็นครั้ง แรกระหวางวันที่ 20-22 พฤศจิกายน 2538/1995 ณ กรุงเวียงจันทนแ โดยมีการจัดทํารายงานผลการสํารวจ
306 Amer, Ramses. “Managing Border Disputes in Southeast Asia.,” in Journal of Malaysian Studies, Special Issue on Conflict and Conflict Management in Southeast Asia, (Kajian Malaysia XVIII (1-2), 2000), p. 40-43. เขาถึงเมื่อ 20 สิงหาคม 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1NZgaku 307 Ibid. 308 โปรดดูใน Amer, Ramses. “Vietnam and Its Neighbours: The Border Dispute Dimension,” in Contemporary Southeast Asia, (17(3), 1995), pp. 299-301 และ Amer, Ramses. “The Border Conflicts Between Cambodia and Vietnam,” in Boundary and Security Bulletin, (5(2), 1997), pp.80-91 309 Ministry of Foreign Affairs, Socialist Republic of Vietnam. “Vietnam, Cambodia push for border security,” 2009. เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1LBn1k7 296
และการปักปันเขตแดน รวมถึงขอตกลงวาดวยจุดบรรจบ 3 ประเทศ กัมพูชา-ลาว-เวียดนาม ในปี 2551/2008 แตในปัจจุบันขอพิพาทเสนเขตแดนทางบกระหวางลาวกับกัมพูชาก็ยังไมไดรับการแกไขใหแลวเสร็จ310 ในกรณีระหวางลาวกับเวียดนามนั้นไมปรากฏวามีความขัดแยงหรือเกิดการโตเถียงกันอยางเป็นทางการ ในประเด็นขอพิพาทเขตแดน และสามารบรรลุขอตกลงเกี่ยวกับเสนเขตแดนทางบกระหวางกันไดในชวงครึ่ง หลังของคริสตแทศวรรษ 1970 โดยดําเนินการปักปันเขตแดนระหวางกันไดสําเร็จในปี 2533/1990 แตก็ยังมีขอ พิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซอนบริเวณแนวชายแดน ซึ่งไดรับการแกไขไดดวยกระบวนการเจรจากันอีกครั้งใน เดือนกันยายน 2551/2008 โดยการวางแผนดําเนินการที่จะพัฒนาพื้นที่ชายแดนใหเป็นสถานที่ดึงดูด นักทองเที่ยวและนักลงทุน ซึ่งไดดําเนินงานไปแลวระหวางปี 2551/2008 – 2557/2014 และจะมีการปักหลัก เขตจํานวนกวา 800 หลักตามแนวชายแดนความยาว 2,067 กิโลเมตร311 นับตั้งแตตนคริสตแทศวรรษ 1990 เวียดนามกลายเป็นประเทศที่มีบทบาทอยางมากตอการระงับขอ พิพาทเขตแดนโดยสันติวิธี เวียดนามสามารถบรรลุขอตกลงเกี่ยวกับขอพิพาทเขตแดนทางบกกับจีนและ กัมพูชา รวมทั้งขอพิพาททางทะเลกับมาเลเซีย ไทย จีน และอินโดนีเซีย นอกจากนี้ เวียดนามยังบรรลุขอตกลง “code of conduct” กับฟิลิปปินสแในประเด็นขอพิพาททะเลจีนใต และเมื่อไมนานมานี้เวียดนามและ มาเลเซีย ไดมี “ขอเสนอรวม (Joint Submission)” ตอคณะกรรมาธิการกําหนดขอบเขตของไหลทวีป (Commission on the Limits of the Continental Shelf) ซึ่งเป็นความสําเร็จของการระงับขอพิพาทเขต แดนในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต เวียดนามไดพัฒนาแนวคิดและนําหลักกฎหมายระหวางประเทศ เชน การประยุกตแใชหลักการสืบทอดดินแดนจากเจาอาณานิคม (uti possidetis) และ หลักความเที่ยงธรรม (equitable principle) หลักการกําหนดเขตทางทะเล (maritime delimitation) มาใชเพื่อการจัดการขอ พิพาทเขตแดนระหวางประเทศของตน จากตารางที่ 6.3 จะพบวา ขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศที่ สามารถระงับไดนั้น เกิดจากขอถกเถียงหรือปัจจัยที่ทําใหเกิดขอพิพาทนั้นมีความไมซับซอน รวมทั้งความ มุงมั่นของคูพิพาทที่จะพยายามระงับปัญหาที่มีอยูเพื่อใหเกิดผลประโยชนแตอความสัมพันธแระหวางประเทศ มากกวาการตกอยูในวังวนของปัญหาที่เกิดขึ้นจากขอพิพาทซึ่งไมกอใหเกิดประโยชนแกับฝุายใดเลย จากงานศึกษาของ อัสลี ซัลเลหแ (Asri Salleh) และคนอื่นๆ312 เกี่ยวกับนโยบายของของมาเลเซียในการ จัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางปี 2506/963 – 2551/2008 โดยไดวิเคราะหแนโยบายของมาเลเซียตอการ ระงับขอพิพาท สถานะของขอพิพาท และปัจจัยที่อยูเบื้องหลังนโยบายของมาเลเซีย ในกรณีของมาเลเซียนั้น ประกอบดวยดินแดน 2 สวนใหญๆ มีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 330,252 ตารางกิโลเมตร ไดแก ดินแดน มาเลเซียตะวันตกหรือคาบสมุทรมาเลเซีย และ มาเลเซียตะวันออกบนเกาะบอรแเนียว ทั้งสองดินแดนแยกออก จากกันโดยทะเลจีนใต ดวยระยะทางการบินคิดเป็นระยะทาง 920 ไมลแทะเล หรือ 1,711 กิโลเมตร มีความ ยาวของแนวชายฝั่ง 4,675 กิโลเมตร โดยมาเลเซียตะวันตก 2,068 กิโลเมตร และมาเลเซียตะวันออก 2,607 กิโลเมตร สภาพทางภูมิศาสตรแของประเทศมาเลเซียเป็นตัวอยางที่แสดงใหเห็นขอพิพาทเขตแดนที่อาจพบมาก ที่สุด เนื่องจากมีชายฝั่งทะเลติดตอกับเขตแดนของประเทศตางๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต ทําใหมาเลเซียมี ขอพิพาทและทําการอางสิทธิ์ในพื้นที่ทับซอนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบานเกือบทุกประเทศ ขอพิพาทเขต
310 Amer, Ramses. Ibid. (2000), p. 42-43. 311 Ministry of Foreign Affairs, Socialist Republic of Vietnam. “Preparations for Vietnam-Laos border landmark upgrade,” 2008. เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1KTeYfv 312 Asri Salleh, Che Hamdan Che Mohd Razali and Kamaruzaman Jusoff. “Malaysia‖s policy towards its 1963 - 2008 territorial disputes,” in Journal of Law and Conflict Resolution Vol. 1(5), (October, 2009), pp. 107-116. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Qcka16 297
แดนของมาเลเซียมีทั้งทางบกและทางทะเล เริ่มตั้งแตบริเวณอาวไทย ทะเลอันดามัน ชองแคบมะละกา ชอง แคบสิงคโปรแ ทะเลจีนใต ทะเลซูลู และทะเลเซเลเบส มาเลเซียไดนําวิธีการที่หลากหลายมาใชเพื่อการจัดการขอพิพาทเขตแดนเหลานี้ เชน มาเลเซียกับ อินโดนีเซียไดลงนามความตกลงวาดวยไหลทวีประหวางกันเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2512/1969 ตามมาดวย ขอตกลงไตรภาคีกับอินโดนีเซียและไทยในการกําหนดไหลทวีประหวางกัน ในบริเวณทางตอนเหนือของชอง แคบมะละกาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2515/1972 และมีการลงนามในความตกลงระหวางมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย เพื่อการพัฒนาทรัพยากรรวมกันในอาวไทย (joint resource development) ในปี 2521/1978 นอกจากนี้ ยังมีการลงนามในความตกลงวาดวยการกําหนดเสนเขตแดนในชองแคบยะโฮรแ (Straits of Johor) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2538/1995 รวมทั้ง การที่มาเลเซียเลือกใชกลไกการระงับขอพิพาทโดยศาลยุติธรรม ระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก ในกรณีขอพิพาทกับอินโดนีเซีย ใน ปี 2541/1998 และกับสิงคโปรแ ในปี 2546/2003 สวนขอพิพาทเขตแดนอื่นๆ เชน กับบรูไนกรณีดินแดนลิม บัง (Limbang) ก็สามารถบรรลุความตกลงดวยการแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญาระหวางบรูไนกับมาเลเซีย ในปี 2552/2009 ซึ่งไดยุติขอพิพาทของทั้งสองประเทศที่มีมาอยางยาวนาน ดวยความเป็นมิตรที่ดีตอกัน ในขณะที่ กรณีขอพิพาทเหนือหมูเกาะสแปรตลียแ เชน เกาะอัมบอยญา เคยแ (Amboyna Cay) ก็ยังคงเป็นปัญหาอยู ซึ่ง มาเลเซียไดพิจารณาแลววาขอพิพาทเหนือดินแดนซาบาหแ และเกาะบางแหงในหมูเกาะสแปรตลียแ เชน ลายัง- ลายัง (Layang-Layang) ตองไดรับการแกไขเพื่อใหสามารถระงับความขัดแยงที่มีระหวางประเทศใหได โดยภาพรวมแลว ขอพิพาทเขตแดนทําใหทราบปัจจัยพื้นฐานของระบบราชการซึ่งมีบทบาทสําคัญและมี อิทธิพลตอนโยบายของมาเลเซียในการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศ
ส านักนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Department) และ หน่วยความมั่นคงแห่งชาติ (National Security Division – NSD) สํานักนายกรัฐมนตรี เป็นหนวยงานหลักดานนโยบายของรัฐบาลซึ่งทําหนาที่กําหนดทิศทางในการ จัดการขอพิพาทเขตแดนทั้งหมด ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จึงเป็นผูตัดสินใจขั้นสุดทายของแนวนโยบายตางๆ ที่ ถูกนําเสนอขึ้นในรัฐบาล ในกรณีขอพิพาทเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) และ ขอพิพาทหิน 3 กอน นั้น นายกรัฐมนตรี มหาเธรแ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) คือผู ตัดสินใจวามาเลเซียจะนําขอพิพาทเขาสูกลไกการะงับขอพิพาทโดยผานบุคคลที่สาม (third party) นั่นคือ ศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก เนื่องจากความลมเหลว ของการเจรจาทวิภาคี ดังที่นายกรัฐมนตรีมหาเธรแ โมฮัมหมัด กลาววา “เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนแลววา ทั้งสอง ฝุายไมสามารถยอมรับการอางสิทธิ์ของกันและกัน และไมสามารถบรรลุการตัดสินใจได จึงเป็นธรรมดาที่เราไป หาที่บุคคลที่สาม (ศาลโลก)”313 ขอพิพาทเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ไดแสดงใหเห็นถึง บทบาทที่สําคัญของหนวยความมั่นคงแหงชาติ (National Security Division – NSD) เชนการยืนยันตาม คําสั่งของปลัดกระทรวงตางประเทศมาเลเซีย ซึ่งไมใชเรื่องบังเอิญเมื่อปลัดกระทรวงไดออกแถลงการณแฉบับ
313 “Since it is very clear that both parties cannot accept each other‖s claims and cannot reach a decision, it is natural that we go to a third party (the ICJ)” Straits Times, 14 September 1994. อางจาก Renate, Haller-Trost. “The Territorial Dispute between Indonesia and Malaysia over Pulau Sipadan and Pulau Ligitan in the Celebes Sea: A Study in International Law,” (Boundary and Territory Briefing Vol.2 No.2. Department of Geography, University of Durham, 1995.), p. 31. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1hmOFH5 298
วันที่ 13 กันยายน 2537/1994 และนายกรัฐมนตรี ออกคําสั่งหลังจากนั้นเพียง 1 วัน คือ วันที่ 14 กันยายน 2537/1994 ซึ่งทําใหเห็นวานายกรัฐมนตรีไดตัดสินใจเพียง 1 วันหลังจากที่ปลัดกระทรวงตางประเทศออก แถลงการณแ เป็นตัวบงชี้ความสําคัญของสภาความมั่นคงแหงชาติในการจัดการขอพิพาทเขตแดนของมาเลเซีย
กระทรวงกลาโหมมาเลเซีย (Ministry of Defense – MINDEF) กระทรวงกลาโหมมาเลเซีย เป็นหนวยงานหลักในการรับผิดชอบดานการทหารเพื่อสนับสนุนการอาง สิทธิ์เหนือดินแดนตางๆ ของมาเลเซีย ดังนั้น อาจกลาวไดวากระทรวงกลาโหมมาเลเซียเป็นหนวยงานที่มี อิทธิพลครอบงํานโยบายตางประเทศมากกวาหนวยงานอื่นของรัฐบาล แมวาจะไมมีการปะทะกันทางทหาร เกิดขึ้นระหวางมาเลเซียกับประเทศคูพิพาท แตกระทรวงกลาโหมก็ยังมีบทบาทนําตอนโยบายเกี่ยวกับขอ พิพาทเขตแดนของมาเลเซียอยูไมนอย ตัวอยางเชน บทบาทของกองทัพเรือมาเลเซีย (Malaysian Royal Navy Force – MRNF) ซึ่งออกลาดตระเวนในพื้นที่รอบหมูเกาะที่มีขอพิพาทอยางตอเนื่อง โดยเฉพาะอยางยิ่ง กรณีขอพิพาทเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) และ ขอพิพาทหิน 3 กอน ทั้งๆ ที่มีความไมมั่นคงดานการรักษาความปลอดภัย การดําเนินงานในลักษณะดังกลาวไดพิสูจนแวา กองทัพมีอิทธิพลตอมุมมองดานนโยบายของมาเลเซียที่มีตอปัญหาขอพิพาทเขตแดน ผลกระทบที่สําคัญซึ่ง กองทัพเรือทําใหเกิดขึ้นในกรณีขอพิพาทหิน 3 กอน คือ เหตุการณแที่สิงคโปรแขอใหมาเลเซียหยุดสงเรือตรวจ การเขามาในนานน้ําบริเวณพื้นที่พิพาท แตสิงคโปรแกลับอนุญาตใหชาวประมงมาเลเซียสามารถเขาไปทําการ ประมงในนานน้ําใกลเคียงได ในทํานองเดียวกับกรณีขอพิพาทเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ซึ่งฝุายมาเลเซียรองขอใหอินโดนีเซียดําเนินการลดปริมาณการแสดงตนของจํานวนทหารใน นานน้ําของเกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ในขอพิพาทนี้บทบาทของกระทรวงกลาโหมมาเลเซียแสดงใหเห็น ไดอยางชัดเจนโดยเฉพาะอยางยิ่งเมื่อ นายนาจิบ ราซัค (Najib Razak) รัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหม มาเลเซียกลาเดินทางเขาไปในพื้นที่เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) ในชวงที่ความขัดแยงกําลังอยูในขั้นวิกฤต ชวงปี 2537/1994 แมวาสถานการณแทางการทหารกําลังมีความตึงเครียด แตการเดินทางเขาไปในพื้นที่พิพาท ก็จบลงอยางสันติ การกระทําดังกลาวเป็นสิ่งที่จะสนับสนุนการอางสิทธิ์อธิปไตยและเป็นการแสดงอํานาจของ ฝุายมาเลเซียที่มีบนเกาะอยางมีนัยสําคัญ เชนเดียวกับในปี 2535/1992 ยุทธศาสตรแในการเดินทางเขาไปใน พื้นที่พิพาทก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อ ยัง ดิเปอรแตวน อากง (Yang Dipertuan Agong) หรือ องคแประมุขของ ประเทศมาเลเซีย314 เดินทางเขาไปเยือนพื้นที่เกาะลายัง-ลายัง (Layang-Layang) หรือ แนวปะการังสวอลโล (Swallow Reef) ซึ่งเป็นพื้นที่สวนหนึ่งของขอพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแในทะเลจีนใตระหวางมาเลเซียกับ ฟิลิปปินสแ จีน และไตหวัน
สถาบันยุทธศาสตร์และนานาชาติศึกษา (Institute of Strategic and International Studies – ISIS) และ สถาบันกิจการทางทะเลแห่งมาเลเซีย (Malaysian Institute of Maritime – MIMA) สถาบันยุทธศาสตรแและนานาชาติศึกษา (Institute of Strategic and International Studies – ISIS) และ สถาบันกิจการทางทะเลแหงมาเลเซีย (Malaysian Institute of Maritime – MIMA) เป็นหนวยงานที่ เกี่ยวของกับการกําหนดนโยบายเพื่อจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวงประเทศ โดยมีบทบาทมากในสมัยของ นายฮัมซาหแ อาหมัด (Hamzah Ahmad) เนื่องจากเคยทํางานที่วิทยาลัยกองทัพบกมาเลเซีย (Armed Forces College) ในปี 2527/1984 และเป็นรองผูอํานวยการของสถาบันยุทธศาสตรแและนานาชาติศึกษา (Institute
314 ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญของมาเลเซียนั้น ยัง ดิเปอรแตวน อากง (Yang Dipertuan Agong) มีสถานะเป็นผู บัญชาการทหารสูงสุด หรือ จอมทัพของกองทัพมาเลเซียทั้งหมดดวย 299 of Strategic and International Studies – ISIS) ในปี 2533/1990 และจากนั้นจึงเป็นผูอํานวยการสถาบัน กิจการทางทะเลแหงมาเลเซีย (Malaysian Institute of Maritime – MIMA) ในปี 2540/1997 ซึ่งในชวงที่ เขาดํารงตําแหนงไดผลิตผลงานและสรางองคแความรูดานกิจการทางทะเลและเสนเขตแดนของมาเลเซีย ซึ่ง ไดรับการตีพิมพแเผยแพรเป็นจํานวนมาก เชน Malaysia and the Law of the Sea: Post-UNCLOS III Issues, (Honolulu, 1984), Malaysia’s Exclusive Economic Zone, (Petaling Jaya, 1988), The Spratlys: What Can Be Done To Enhance Confidence, (ISIS, 1990), The Oil Sultanate-Political History of Oil in Brunei Darussalam, (Seremban, 1991), Straits of Malacca; International Co- operation in Trade, Funding and Navigational Safety, (Petaling Jaya, 1997), Current Issues of Marine and Coastal Affairs in Malaysia, (KL, 1997), and finally, Jurisdictional Issues and Conflicting Claims in the Spratlys, (Manila, 1990). นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารของสถาบันยุทธศาสตรแและนานาชาติศึกษา (Institute of Strategic and International Studies – ISIS) และ สถาบันกิจการทางทะเลแหงมาเลเซีย (Malaysian Institute of Maritime – MIMA) ยังเป็นสมาชิกของสภาความมั่นคงแหงชาติ (National Security Council – NSC) เชน นายฮามิด โอธมาน (Hamid Othman) จากหนวยความมั่นคงแหงชาติ (National Security Division – NSD) นายคาลิด รามลี (Khalid Ramli) ผูอํานวยการกองประสานงานสํานักนายกรัฐมนตรี (Implementation Coordination Unit of the Prime Minister) และ นายอิลยาส ดิน (Ilyas Din) ผู บัญชาการทหารบก (Chief of the Armed Forces) ผลงานวิจัยของสถาบันยุทธศาสตรแและนานาชาติศึกษา (Institute of Strategic and International Studies – ISIS) และ สถาบันกิจการทางทะเลแหงมาเลเซีย (Malaysian Institute of Maritime – MIMA) มีบทบาทและอิทธิพลอยางมากตอการตัดสินใจในกรณีขอ พิพาทเขตแดนตางๆ ของมาเลเซีย นโยบายดานการตางประเทศและปัจจัยภายนอกมีบทบาทสําคัญในการตัดสินใจของมาเลเซียตอการนํา ขอพิพาทเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) และ ขอพิพาทหิน 3 กอน เขาสูกลไกศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก แมวา นายกรัฐมนตรีจะมีบทบาทสําคัญตอการตัดสินใจดานนโยบายตางประเทศของมาเลเซีย แตระบบราชการก็ยังมี อิทธิพลในเบื้องตนกอนที่จะมีการตัดสินใจเพื่อดําเนินการจัดการขอพิพาทในขั้นตอไป อยางไรก็ตาม หนวยงาน ที่มีอิทธิพลมาก ไดแก กองทัพบก กระทรวงตางประเทศ และสถาบันวิชาการ โดยเฉพาะผูดํารงตําแหนง ระดับบนของรัฐ ซึ่งหากพิจารณาจากลําดับเหตุการณแแลวจะพบวานายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะตัดสินใจหลังจาก ที่ขาราชการจากหนวยงานขางตนไดนําเสนอแนวทางอยางใดอยางหนึ่งแลว นอกจากนี้ ขาราชการที่ทํางาน ดานโยบายตางประเทศยังประกอบดวยกลุมของผูเชี่ยวชาญในประเด็นขอพิพาทเขตแดน ซึ่งดูเหมือนวา นายกรัฐมนตรีจะใหน้ําหนักกับขอเสนอแนะและขอคิดเห็นของบุคคลเหลานี้กอนที่จะมีการตัดสินใจดําเนินการ อยางไดอยางหนึ่ง ทั้งนี้ การที่มาเลเซียตัดสินใจที่จะใชกลไกศาลในการระงับขอพิพาททั้งๆ ที่นายกรัฐมนตรีไม เห็นดวยกับนโยบายที่ถูกเสนอมาจากหนวยงานเหลานี้ ก็เป็นสิ่งที่พิสูจนแใหเห็นถึงอิทธิพลของหนวยงาน ราชการที่มีตอการตัดสินใจขั้นสุดทายของนายกรัฐมนตรี แตก็ปฏิเสธไมไดวา นายกรัฐมนตรี คือ ผูตัดสินใจใน ขั้นสุดทาย หรืออาจกลาวอีกอยางหนึ่งไดวา แมหนวยงานราชการดานนโยบายตางประเทศของมาเลเซียจะ ไมใชผูตัดสินใจดานการจัดการขอพิพาทเขตแดน แตก็ทําหนาที่เป็นผูจัดการและดําเนินการนําการตัดสินใจขั้น สุดทายของนายกรัฐมนตรีไปปฏิบัติใหเกิดผล และนายกรัฐมนตรีก็ไมไดเป็นผูตัดสินใจในนโยบายเพียงผูเดียว แตเกิดจากการรับทราบขอมูลผานกระบวนการวิเคราะหแและความเขาใจในสถานการณแของหนวยงานราชการ ประจํา นอกจากนี้ ยังแสดงใหเห็นวากลไกการจัดการขอพิพาทของอาเซียนทั้งที่ไมเป็นทางการและเป็น 300
ทางการ เชน “คณะอัครมนตรีอาเซียน (ASEAN High Council)” ก็มีอิทธิพลตอการตัดสินใจของมาเลเซีย เชนกัน เนื่องจากผูกําหนดนโยบายรับทราบถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการระงับขอพิพาทกับ ประเทศเพื่อนบานหากใชกลไกสภาสูงหรือ “คณะอัครมนตรีอาเซียน (ASEAN High Council)” ทํามาเลเซีย เลือกที่จะใชแนวทางแกปัญหาดวยการพึ่งพากลไกอื่นๆ ภายนอกอาเซียน แตการเลือกใชกลไกภายนอกก็ เพื่อใหสอดคลองกับจิตวิญญาณของอาเซียนที่จะสรางความสัมพันธแที่ดีกับเพื่อนบานอาเซียนนั่นเอง เนื่องจาก โครงสรางความสัมพันธแทางอํานาจที่เกิดขึ้นใหมของ “สมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Association of South East Asian Nations)” หรือ “อาเซียน (ASEAN)” ยังไมมีความแนนอน การจัดการเพื่อแกปัญหาขอพิพาทเขตแดนของมาเลเซียในอดีตและปัจจุบัน จึงมีการใชกลไกแบบ ผสมผสานตั้งแต การกระทําเพียงฝุายเดียว (unilateralism) การเจรจาทวิภาคี (bilateralism) กรอบความ รวมมือพหุภาคี (multilateralism) และ การใชกลไกบุคคลที่สาม (third party adjudication) เชน การ กระทําเพียงฝุายเดียว (unilateralism) ในกรณีการจัดทําแผนที่ใหม (New Map) หรือ เปอตา บารู (Peta Baru) ในปี 2522/1979 เพื่อแสดงจุดยืนและความตองการของฝุายมาเลเซียในการจัดการขอพิพาทเขตแดน และเมื่อมีการทักทวงจากประเทศเพื่อนบานซึ่งมีสวนไดสวนเสียกับการดําเนินงานของมาเลเซีย มาเลเซียก็ไม ลังเลที่จะใชกลไกการเจรจาทวิภาคี (bilateralism) เพื่อใหเกิดประโยชนแแกประเทศทั้งทางดานการเมืองและ เศรษฐกิจ เชน การจัดใหมีการเจรจาในระดับทวิภาคีกรณีขอพิพาทเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) อยางไรก็ตาม ในกรณีขอพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแ (Spratlys) มาเลเซียกลับ ใชวิธีจัดการขอพิพาทดวยแนวทางการกระทําเพียงฝุายเดียว (unilateralism) เห็นไดจากการเขาไปยึดครอง แนวปะการังสวอลโล (Swallow Reef) และบริเวณสันดอนอินเวสติเกเตอรแ (Investigator Shoal) แตในกรณี เกาะอัมบอยญา เคยแ (Amboyna Cay) มาเลเซียกลับเรียกรองใหมีการแกปัญหาโดยใชกลไกพหุภาคี (multilateralism)
บทสรุปและข้อเสนอแนะ เพื่อใหการจัดการในการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศในอาเซียน มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีการนําเสนอ อาเซียนอาจจะตองมีการสรางความเป็นไปไดในการจัดตั้ง “ศาลอาเซียน (ASEAN Court)” เพื่อ เป็นกลไกในการระงับขอพิพาททุกประเภทระหวางประเทศสมาชิก แตก็ไมไดจําเป็นที่จะตองมีรูปแบบ เชนเดียวกับศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก315 ไมวา รูปแบบของศาลอาเซียนจะมีรูปแบบดานองคแกรอยางไร แตในเบื้องตนตองเป็นองคแกรที่สามารถทําหนาที่ไดมี ประสิทธิภาพมากกวา “คณะอัครมนตรีอาเซียน (ASEAN High Council)” และตองรองรับขอพิพาททุก ประเภทที่เกิดขึ้นภายในภูมิภาค ที่สําคัญที่สุดจะตององคแกรที่มีอํานาจในการควบคุมและมีสภาพบังคับทาง กฎหมาย เพื่อใหมีผลตอการระงับขอพิพาทไดอยางเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และประเทศสมาชิกควรตองมีสวนรวมใน กระบวนการระงับหรือตัดสินขอพิพาทดวย และตองมีกระบวนการคัดเลือกผูพิพากษาที่เป็นกลางและเป็น อิสระจากอิทธิพลและการครอบงําของประเทศใดประเทศหนึ่งในอาเซียน อีกทางเลือกหนึ่ง คือ อาเซียนอาจ ตองกําหนดบทบัญญัติใหศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาล โลก เป็นหนึ่งในกลไกที่เป็นทางการในการจัดการขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ อาเซียนตองประกาศใหชัดเจนดวยวา นอกจาก “คณะอัครมนตรีอาเซียน (ASEAN High Council)” แลว
315 Asri Salleh, Che Hamdan Che Mohd Razali and Kamaruzaman Jusoff. Ibid, p. 115. 301
อาเซียนยังรับรองและจะอํานวยความสะดวกใหแกคูพิพาทที่ตกลงปลงใจจะนํากรณีพิพาทเขาสูการตัดสินของ ศาลโลกดวย นอกจากนี้ เพื่อใหเกิดผลในทางปฏิบัติดานนโยบายการตางประเทศ ประเทศตางๆ อาจไมจําเป็นที่ จะตองนําขอพิพาทเขตแดนทั้งหมดที่มีอยูเขาสูกลไกศาลโลก แตควรที่จะเปิดพื้นที่ใหมากที่สุดในการพึ่งพา กลไกจัดการปัญหาผานการเจรจาในทวิภาคีหรือพหุภาคีภายในภูมิภาค เพื่อสงเสริมและยืนยันวาเจตนารมณแ ของการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกอาเซียน คือ ความสามารถในการจัดการปัญหาขอพิพาทเขตแดนภายใน ภูมิภาคไดดวยตนเอง ซึ่งในปัจจุบัน ขอพิพาทเขตแดนที่มีปัญหามากที่สุดคือ ขอพิพาทหมูเกาะสแปรตลี่ยแที่มี ความเสี่ยงสูงที่จะนําไปสูความรุนแรงระหวางกันเพราะมีปัจจัยของประเทศมหาอํานาจจากภายนอกภูมิภาค เขามาเกี่ยวของดวยทั้งทางตรงและทางออม เนื่องจากมีแหลงมรัพยากรน้ํามันอยูใกลกับแนวชายฝั่งของ ประเทศตางๆ และเชื่อวาจะเป็นฐานทรัพยากรที่สําคัญตอสถานะความเป็นอยูทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศผู อางสิทธิ์ ดังนั้น บรรดาประเทศผูมีสวนเกี่ยวของกับกระบวนการกําหนดนโยบายระหวางกัน จึงไมควรผลีผลาม ตัดสินใจที่จะเสนอใหนําขอพิพาทหมูเกาะสแปรตลี่ยแเขาสูกลไกระงับขอพิพาทในทันที แตควรเลือกใชกลไกการ เจรจาทวิภาคีหรือพหุภาคี เชน แนวทางการสรางความตกลงวาดวย “พื้นที่พัฒนารวม (Joint Development Area - JDA)” ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในทางเลือกที่มีประสิทธิภาพที่สุด
พื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Zone – JDZ) ขอพิพาทอธิปไตยเหนือดินแดนหมูเกาะและเสนเขตแดนทางทะเล เป็นปัญหาที่มีความซับซอนและ ยุงยากในการแกไขปัญหา และมักมีความตึงเครียดเนื่องจากนําไปสูการปะทะกันทางอาวุธระหวางประเทศผู อางสิทธิ์ แตเนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนไดลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ในปี 2519/1976 ซึ่ง หมายความวาทุกประเทศจะตองแสวงหาแนวทางในการระงับขอพิพาทโดยสันติวิธี ดังนั้น จึงมีผูเสนอแนวทาง ในการจัดการขอพิพาทดวยการสรางกรอบความตกลงวาดวย “พื้นที่พัฒนารวม (Joint Development Area - JDA)” ซึ่งที่ผานมาประเทศทั้งหลายในอาเซียนก็ตางมีประสบการในการดําเนินงานผานกรอบความรวมมือ ทํานองนี้มาแลว และพิสูจนแไดวาเป็นแนวทางที่ประสบความสําเร็จไดเป็นอยางดี ซึ่งประโยชนแประการแรกของ “พื้นที่พัฒนารวม (Joint Development Area - JDA)” คือ การหลีกเลี่ยงความลาชาอันเกินควรที่เกิดจาก การหยุดชะงักระหวางการเจรจาทวิภาคี และ ประการที่ 2 คือ หลีกเลี่ยงการเสียโอกาสและงบประมาณที่ คอนขางสูงซึ่งถูกนํามาใชเพื่อการจัดเวทีการเจรจา นอกจากนี้ พื้นที่พัฒนารวมยังมีความยืดหยุนในแงของพื้นที่ ระยะเวลา และทรัพยากร หรือขั้นตอนการทํางาน ซึ่งสอดคลองกับ 74 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวย กฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 เกี่ยวกับการกําหนดขอบเขตของเขตเศรษฐกิจจําเพาะระหวางรัฐที่มีฝั่งทะเลตรงขามหรือ ประชิดกัน ซึ่งกําหนดวา “การกําหนดขอบเขตของเขตเศรษฐกิจจําเพาะระหวางรัฐที่มีฝั่งทะเลตรงขามหรือ ประชิดกัน ใหกระทําโดยความตกลงบนมูลฐานของกฎหมายระหวางประเทศ..., เพื่อใหบรรลุผลอันเที่ยง ธรรม”316 และตามขอ 74 (3) “ระหวางที่ยังไมบรรลุความตกลงตามที่กําหนดไวในวรรค 1 รัฐที่เกี่ยวของจะ พยายามทุกวิถีทางที่จะจัดทําขอตกลงชั่วคราวซึ่งมีลักษณะที่ปฏิบัติไดดวยเจตนารมณแแหงความเขาใจและ
316 “The delimitation of the exclusive economic zone between States with opposite or adjacent coasts shall be effected by agreement on the basis of international law …, in order to achieve an equitable solution.” มาตรา 74 (1) ของ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับปี 2525/1982, กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. อางแลว, หนา 34. 302
ความรวมมือกัน และในชวงระยะเวลานี้จะพยายามทุกวิถีทางที่จะไมทําใหเสื่อมเสียหรือขัดขวางการบรรลุ ความตกลงสุดทาย ขอตกลงเชนวาจะไมเป็นการเสื่อมเสียตอการกําหนดขอบเขตขั้นสุดทาย”317 อยางไรก็ตาม ในทางกลับกัน แมวาการจัดตั้ง “พื้นที่พัฒนารวม (Joint Development Area - JDA)” จะมีประโยชนแหลายประการ แตก็เป็นเสมือนการนําเอาขอพิพาทเขตแดนนั้นๆ เก็บซอนเอาไวในลิ้นชัก เนื่องจากจะมีไมมีกระบวนการกําหนดเขตแดนทางทะเล (maritime boundary delimitation) ระหวาง ประเทศที่เกี่ยวของ และเป็นที่ทราบดีวาแนวทางของ “พื้นที่พัฒนารวม (Joint Development Area - JDA)” มักจะเป็นทางเลือกสุดทายหากประเทศคูพิพาทไมสามารถบรรลุขอตกลงใดๆ และมีทีทาวาขอพิพาทนั้นอาจ นําไปสูการปะทะกันทางทหาร ดังนั้น เปูาหมายของการจัดการขอพิพาทเขตแดน คือ การระงับขอพิพาทอยาง สันติ ซึ่งแมวา “พื้นที่พัฒนารวม (Joint Development Area - JDA)” อาจจะทําใหฝุายหนึ่งฝุายใด เสียเปรียบ เนื่องจากหากมีการกําหนดเสนเขตแดนทางทะเลตามหลักกฎหมายระหวางประเทศแลว ก็อาจทํา ใหความรวมมือ “พื้นที่พัฒนารวม (Joint Development Area - JDA)” ไมสอดคลองกับหลัก “ผลอันเที่ยง ธรรม (equitable solution)” ตัวอยางเชน ในกรณีขอพิพาทแหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) ระหวางมาเลเซียกับ อินโดนีเซีย โซระ โลกิตา (Sora Lokita) จากสํานักงานประสานงานแหงชาติเพื่อการสํารวจและจัดทําแผนที่ (National Coordinating Agency for Surveys and Mapping – BAKORSUTANAL) ของมาเลเซีย กลาว วา ทั้งสองประเทศไดกําหนดใหมีการจัดการเจรจาทุกๆ 3 เดือน เริ่มตั้งแตปี 2548/2005 ซึ่งชัดเจนวา กระบวนการเจรจานั้นอาจใชเวลายาวนาน ดังเชนกรณีการเจรจาเพื่อกําหนดเขตไหลทวีประหวางอินโดนีเซีย กับเวียดนามใชเวลายาวนานถึง 25 ปี318 ซึ่งขอ 83 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 แสดงใหเห็นวา “การกําหนดขอบเขตของไหลทวีปที่มีฝั่งทะเลตรงขามหรือประชิดกันจะกระทําโดยความตกลง ...”319 ซึ่งหมายความวา การเจรจาระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียเป็นไปตามขอกําหนดของอนุสัญญา สหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ทั้งอินโดนีเซียและมาเลเซียจะมีการเจรจาอยางตอเนื่อง เพื่อการ กําหนดเสนฐาน (baseline) ทะเลสุลาเวสี (Sulawesi) หรือ ทะเลเซเลเบส (Celebes) โดยทั้งสองประเทศมี หนาที่ที่จะตองกําหนดเขตเศรษฐกิจจําเพาะ (Exclusive Economic Zone – EEZ) และไหลทวีป (Continental Shelf Boundary) ของตน หลังจากที่ทั้งสองประเทศมีขอตกลงรวมกันแลว ก็จําเป็นที่จะตอง สงสําเนาแผนที่ไปยังเลขาธิการสหประชาชาติ ตามขอกําหนดในขอ 84 ของ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวย กฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 (The United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 – UNCLOS II) ปี 2525/1982 ซึ่งกําหนดวา “รัฐชายฝั่งจะตองเผยแพรแผนที่หรือรายการพิกัดทางภูมิศาสตรแเชนวานั้นให ทราบตามสมควร และจะตองสงมอบแผนที่หรือรายการเชนวานั้นใหเลขาธิการสหประชาชาติเก็บรักษาไวอยาง
317 “Pending agreement as provided for in paragraph 1, the states concerned, in a spirit of understanding and cooperation shall make every effort to enter into provisional arrangements of a practical nature and, during this transitional period, not to jeopardize or hamper the reaching of the final agreement. Such arrangements shall be without prejudice to the final delimitation.” Ibid. 318 Resistensia Kesumawardhani. Ibid, p.16. 319 “The delimitation of the continental shelf between States with opposite or adjacent coasts shall be effected by agreement….,” มาตรา 83 (1) ของ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับปี 2525/1982, กรมสนธิสัญญาและ กฎหมาย. อางแลว, หนา 39. 303
ละหนึ่งชุด และใหเลขาธิการขององคแกรดวยในกรณีที่แผนที่หรือรายการนั้นแสดงเสนขอบเขตดานนอกของ ไหลทวีป”320 ความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางพลังงานมีผลกระทบตอเสนเขตแดนทางทะเล และขอพิพาท เขตแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ซึ่งขอพิพาทแหลงน้ํามันอัมบาลัท (Ambalat Oil Block) ระหวางมาเลเซีย กับอินโดนีเซีย เกี่ยวของโดยตรงกับคําตัดสินของศาลโลกในดคีขอพิพาทเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และ เกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan) เมื่อปี 2545/2002 แตศาลก็ตัดสินโดยเปิดทางใหการกําหนดเสนเขต แดนทางทะเลและไหลทะทวีปตองกระทําบนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหวางประเทศ และคําตัดสินของศาล ก็เกี่ยวของโดยตรงกับขอ 83 ของอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล (UNLOSC) ซึ่งตองการให “บรรลุผลอันเที่ยงธรรม (to achieve an equitable solution)” ดังนั้น ทั้งสองประเทศจะตองดําเนินการ กําหนดเขตแดนทางทะเล (maritime boundary) บนพื้นฐานของกฎหมายระหวางประเทศ เพื่อที่จะสามารถ ยุติขอพิพาทและบรรลุการแกปัญหาอยางเป็นธรรม ดังที่ปรากฏใน ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน (Declaration of ASEAN Concord) สนธิสัญญา มิตรภาพและความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ปี 2519/1976 และตอกย้ําอีกครั้งใน ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน II (Declaration of ASEAN Concord II) ปี 2546/2003 ซึ่งเป็นกรอบขอตกลงที่สําคัญในการจัดการความสัมพันธแระหวาง ประเทศสมาชิกอาเซียน และยังเป็นจุดเริ่มตนของการสรางกรอบความรวมมือเพื่อการจัดขอพิพาทเขตแดนที่ เกิดขึ้นระหวางประเทศสมาชิกอาเซียนบนพื้นฐานของการไมแทรกแซงในกิจการภายใน การไมใชกําลัง การ ระงับขอพิพาทโดยสันติวิธี และการเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแหงดินแดนของประเทศสมาชิก ซึ่ง หลักการเหลานี้ไมไดแตกตางไปจากหลักการดานความมั่นคงภายในของภูมิภาคอื่นทั่วโลก แตสิ่งที่ปรากฏเป็น รูปแบบเฉพาะของอาเซียน คือ หลักการทํางานรวมกันภายในภูมิภาคที่ใหความสําคัญกับ การเจรจา (dialogue) การทูตแบบเงียบ (quiet diplomacy) การหลีกเลี่ยงการเผชิญหนา (an avoidance of confrontation) การแสดงความเห็นดวยเพื่อไมเห็นดวย (agree to disagree) และการลดรูปแบบของการ เป็นสถาบันใหนอยลง (minimal institutionalization) การประชุมทวิภาคีโดยเฉพาะอยางยิ่งแบบตัวตอตัว ระหวางผูนํา ยังคงเป็นสิ่งสําคัญในการสรางความไววางใจระหวางกัน321 เพื่อใหมีการประชุมระหวางผูนําที่ เกิดขึ้นโดยไมมีวาระการประชุมหรือลาม การดําเนินการในเชิงการทูตแบบเงียบ (quiet diplomacy) ถูก ออกแบบมาเพื่อจัดการความขัดแยง เป็นลักษณะเฉพาะของวิถีอาเซียน หรือ ASEAN Way ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม เป็นทางการในการเจรจา และในทายที่สุด หากผูนําของชาติสมาชิกอาเซียนอยากใหภูมิภาคนี้เป็นภูมิภาคที่ สามารถจัดการกับปัญหาขอพิพาทเขตแดนระหวางกันยุติลงได จักตองมีวิสัยทัศนแที่กวางไกล และมอง ผลประโยชนแของผูคนทองถิ่นซึ่งอาศัยอยูบริเวณชายแดนซึ่งเป็นผูไดรับผลกระทบโดยตรงจากปฏิบัติการตางๆ ที่เกิดขึ้นจากสวนกลาง ซึ่งโดยมากมักจะอยูหางไกลจากผลกระทบและความเดือดรอนที่เกิดขึ้นจากการปะทะ กันของกองกําลังติดอาวุธของทั้งสองฝุาย
320 “The coastal State shall give due publicity to such charts or lists of geographical coordinates and shall deposit a copy of each such chart or list with the Secretary-General of the United Nations and, in the case of those showing the outer limit lines of the continental shelf, with the Secretary-General of the Authority.” มาตรา 84 (2) ของ อนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมายทะเล ฉบับปี 2525/1982, กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย. อางแลว, หนา 22. 321 Munmun Majumdar. “ASEAN and Conflict management in the Spratlys,” in Third Global International Studies Conference at University of Porto, Portugal (17-20 August 2011). เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EgJuTC 304
ดังนั้น จะเห็นไดวา ปัญหาขอพิพาทเขตแดนระหวางประเทศในอาเซียน สงผลกระทบตอการขับเคลื่อน การรวมตัวเป็น “ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community)” ไมมากก็นอย โดยเฉพาะประชาคมการเมือง และความมั่นคง (ASEAN Political-Security Community - APSC) ซึ่งประเด็นที่สําคัญ คือ ผลประโยชนแที่ จะเกิดขึ้นทามกลางความแตกตางหลากหลายของแนวคิดและอุดมการณแทางการเมือง และสํานึกของความเป็น รัฐชาติที่จําเป็นตองตอสูเพื่อใหมีเสนแบงอาณาเขต (boundary line) ที่ชัดเจน แตในอีกแงหนึ่ง ขอพิพาทเขต แดนยอมเป็นอุปสรรคตอ “ประชาคมเดียวกัน” โดยเฉพาะการที่ยังคงมีปัญหาขอพิพาทเกี่ยวกับเขตแดน ระหวางประเทศตางๆ ในภูมิภาคอยูมาก แมในปัจจุบัน กระแสโลกาภิวัตนแ (globalization) ก็กอใหเกิด แนวคิดเรื่อง “โลกไรพรมแดน (borderless world)” สงผลให “เสนเขตแดน (borderline)” ถูกลดความ ความสําคัญลงไป และดูเหมือนวาจะมีแนวคิดที่พยายามทําใหเสนแบงเขตแดนคอยๆ เปิดออก จนกระทั่ง หายไปหมดสิ้น ตัวอยางเชน ปรากฏการณแที่ประเทศตางๆ รวมตัวกันเป็น สหภาพยุโรป (European Union) ก็ทําใหทั้งโลกเห็นวา ประชากรของประเทศสมาชิกในกลุมสหภาพยุโรป สามารถเดินทางขาม “เสนเขตแดน” ไดอยางอิสระ อยางไรก็ตาม มีขอสังเกตสําคัญประการหนึ่งกอนที่พรมแดนทางกายภาพของรัฐชาติเหลานั้นจะ บรรลุภาวะ “ไรพรมแดน” ไดนั้น ก็มีความจําเป็นอยางยิ่งที่จะตองมีกระบวนการกําหนดขอบเขตและขีดเสน เขตแดนใหชัดเจนเสียกอน หรือ อาจกลาวไดโดยสรุปวา “Borderline before Borderless”
305
บรรณานุกรม
กรมชลประทาน. อภิธานศัพทแเทคนิคดานการชลประทานและการระบายน้ํา. กรุงเทพฯ: กรมชลประทาน, 2553. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1O4dhPl กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย, กระทรวงการตางประเทศ. หนังสืออนุสัญญาสหประชาชาติวาดวยกฎหมาย ทะเล 1982, พิมพแครั้งที่ 1 กันยายน 2548. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1KkOSmG และฉบับภาษาอังกฤษเขาถึงไดจาก http://bit.ly/1dSph2X. กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. กฎบัติอาเซียน. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1fY2hbM กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. บันทึกการเดินทางอาเซียน. กรุงเทพฯ: บริษัท วิธิตา แอนิเมชั่น จํากัด, 2552. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EO7nwx กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน (Declaration of ASEAN Concord)” หรือ ปฏิญญาบาหลี (Bali Concord). เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Sj4YQT กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. ปฏิญญาวาดวยความรวมมืออาเซียน II (The Declaration of ASEAN Concord II) หรือ ปฏิญญาบาหลี II (Bali Concord II) เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Dqauu1 กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. ปฏิญญาวาดวยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต หรือ Declaration of the Conduct of Parties in the South China Sea – DOC. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1HrnSDG กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. ปฏิญญาอาเซียนวาดวยทะเลจีนใต. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1q2JD1C กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. ระเบียบขั้นตอนของคณะอัครมนตรีของสนธิสัญญามิตรภาพและ ความรวมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1CzLrtF กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. รายงานของไทยเกี่ยวกับมุมมองความมั่นคงในภูมิภาค ประจําปี 2555 ในกรอบ ASEAN Regional Forum. พฤศจิกายน 2555. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึง จาก http://bit.ly/1NM8mT7 กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. สนธิสัญญามิตรภาพและความรวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียง ใต (กันยายน 2554) เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1CzLrtF กรมองคแการระหวางประเทศ, กระทรวงการตางประเทศ. กฎบัตรสหประชาชาติ (ตุลาคม 2537) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Ld7F6p จันตรี สินศุภฤกษแ. “กรณีพิพาทหมูเกาะสแปรตลียแ: ทัศนะทางกฎมายและการเมือง,” ใน จุลสารความมั่นคง ศึกษา ฉบับที่ 127-128, สุรชาติ บํารุงสุข บรรณาธิการ. กรุงเทพฯ: โครงการความมั่นคงศึกษา จุฬาลงกรณแมหาวิทยาลัย, กรกฎาคม-สิงหาคม 2556. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2557 เขาถึงจาก http://bit.ly/1fG8EjI
306
ชาญวิทยแ เกษตรศิริ. ประมวลสนธิสัญญา อนุสัญญา ความตกลง บันทึกความเขาใจ และแผนที่ ระหวางสยาม ประเทศไทยกับประเทศอาเซียนเพื่อนบาน: กัมพูชา-ลาว-พมา-มาเลเซีย. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการ ตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ, 2554. ถนอม เจริญลาภ. “เขตแดนทางทะเลกับเขตทางทะเล” ใน นาวิกศาสตรแ. ราชนาวิกสภา. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JfPOXx ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช. คําอธิบายกฎหมายระหวางประเทศ. กรุงเทพฯ: คณะนิติศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2555. ประศาสนแ ตั้งมติธรรม. “การกําหนด การปักปัน และ การเขียนเสนเขตแดนระหวางประเทศ,” กรุงเทพธุกิจ, 3 กุมพาพันธแ 2557, เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2557/2014 เขาถึงจาก http://bit.ly/1I0asjG แปลจาก Alec McEwen. “The Demarcation and Maintenance of International Boundaries,” A paper prepared for the Canadian Commissions of the Canada/United States International Boundary Commission (July 2002) ดู เอกสารตนฉบับภาษาอังกฤษไดจาก http://bit.ly/1fzCZPY พนัส ทัศนียานนท. “ศาลยุติธรรมระหวางประเทศ (International Court of Justice) และ ศาลประจํา อนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration),” ใน ศาลโลก-ศาลประจําอนุญาโตตุลาการ กับ ขอพิพาทระหวางประเทศ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ, 2554. พินิจ ถาวรกุล. การอานแผนที่และรูปถายทางอากาศ. กรุงเทพฯ: โรงเรียนแผนที่ กรมแผนที่ทหาร, 2523. พวงทอง ภวัครพันธุแ. “กรณีพิพาทระหวางมาเลเซียและสิงคโปรแ: กรณีหินสามกอน,” ใน อุษาคเนยแที่รัก. กรุงเทพฯ: โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใตศึกษา คณะศิลปศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2553. เพลินตา ตันรังสรรคแ. สรุปการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “กลไกระงับขอพิพาทของอาเซียนและกฎสําหรับการ เสนอเรื่องการไมปฏิบัติตามใหที่ประชุมสุดยอดอาเซียนตัดสิน” จัดโดย กรมอาเซียน กระทรวงการ ตางประเทศ วันอังคารที่ 24 มกราคม 2555/2012 ณ โรงแรมมิราเคิลแกรนดแ ถนนวิภาวดี กรุงเทพมหานคร. จุลนิติ ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 (มี.ค.-เม.ย.2555) มัธยะ ยุวมิตร. การใหสถานที่หลบภัยแกเรือที่ตองการความชวยเหลือ. วิทยานิพนธแนิติศาสตรแมหาบัณฑิต สาขากฎหมายการคาระหวางประเทศ คณะนิคิศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตแ, 2555. ยศพนธแ นิติรุจิโรจนแ. ปัญหาหมูเกาะสแปรตลี่ยแในกฎหมายระหวางประเทศ. วิทยานิพนธแนิติศาสตรแมหาบัณฑิต สาขากฎหมายระหวางประเทศ คณะนิติศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2555. ราชกิจจานุเบกษา. “ประกาศ เรื่อง ใชอนุสัญญากรุงเจนีวาวาดวยกฎหมายทะเล” เลมที่ 86 ตอนที่ 44 วันที่ 20 พฤษภาคม 2512. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EObU2c ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพทแภูมิศาสตรแ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: หางหุนสวนจํากัด โรง พิมพแชวนพิมพแ, 2549. ราชบัณฑิตยสถาน. อักขรานุกรมภูมิศาสตรแไทย เลม 1 ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: หางหุนสวนจํากัด อรุณการพิมพแ, 2545. ศรันยแ เพ็ชรแพิรุณ. สมุทรกรณี. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพแมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรแ, 2549. สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชนฯ เลมที่ 32 เรื่องที่ 5 เสนแบงเขตแดนระหวางประเทศ, การแบงเขตทางทะเล. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EsMyFA สิทธา เลิศไพบูลยแศิริ. “พรมแดนอินโดนีเซีย-มาเลเซีย: ความทับซอนในจินตกรรมสูความขัดแยงรูปธรรม,” ใน อุษาคเนยแที่รัก. กรุงเทพฯ: โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใตศึกษา คณะศิลปศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2553. 307
สุรชัย ศิริไกร. รายงานวิจัยเรื่องความขัดแยงระหวางจีน ไตหวัน เวียดนาม ฟิลิปปินสแ มาเลเซีย และบรูไน ใน การอางกรรมสิทธิ์ทับซอนเหนือหมูเกาะพาราเซล สแปรตลี่ และหมูเกาะอื่นๆ ในทะเลจีนใต. เสนอตอ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2544. สํานักขาวกรองแหงชาติ. “ฟิลิปปินสแจะยื่นเรื่องตอศาลระหวางประเทศกรณีพิพาทกับจีนเรื่องการอาง กรรมสิทธิ์บริเวณทะเลจีนใต” (23 มกราคม 2556/2013) เขาถึงเมื่อ 16 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1SkKVTM เสาวนียแ แกวจุลกาญนแ. การอางอธิปไตยเหนือเกาะลิกิตัน (Pulau Ligitan) และเกาะสิปาดัน (Pulau Sipadan): ศึกษาและวิเคราะหแจากคําพิพากษาศาลยุติธรรมระหวางประเทศ. วิทยานิพนธแนิติศาสตรแ มหาบัณฑิต สาขากฎหมายระหวางประเทศ คณะนิติศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ, 2552. Amer, Ramses. “Managing Border Disputes in Southeast Asia.,” in Journal of Malaysian Studies, Special Issue on Conflict and Conflict Management in Southeast Asia, (Kajian Malaysia XVIII (1-2), 2000), p. 40-43. เขาถึงเมื่อ 20 สิงหาคม 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1NZgaku Amer, Ramses. “The Association of South-east Asian Nations and the Management of Territorial Disputes.” in IBRU Boundary and Security Bulletin Winter 2001-2002. เขาถึง เมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1V4Fkm4 Amer, Ramses. “The Association of Southeast Asian Nations‖ (ASEAN) Conflict Management Approach Revisited: Will the Charter Reinforce ASEAN‖s Role?” In Current Research on South-East Asia, เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JrGEao Andreas Harsono. “Miangas, Nationalism and Isolation,” Tempo Magazine, No.13/V/November 30 – December 6, 2004. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1F9IG0Z Artemio V. Panganiban. “Understanding the Sabah dispute,” Philippine Daily Inquirer, Saturday, March 2nd, 2013 เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2557/2014 เขาถึงจาก http://bit.ly/1cdfPhr Asri Salleh, Che Hamdan Che Mohd Razali and Kamaruzaman Jusoff. “Malaysia‖s policy towards its 1963 - 2008 territorial disputes,” in Journal of Law and Conflict Resolution Vol. 1(5), October, 2009. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Qcka16 Baroto, A. “Similarities and Difference in Malaysia-Indonesia Relations: Some Perspectives,” in Indonesian Quarterly, XXI, 2. 1993. “Border issues between Malaysia, Brunei solved,” Xinhua. May 04, 2010. เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1h60d1j Brunei and Malaysia move toward land and maritime boundary settlement, March 17, 2009. เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1FIPdjU Bunn Nagara, “Sipadan-Ligitan: Peaceful conclusion to a regional dispute,” in The Star, 18 December 2002. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1HkdHyJ Case Concerning Sovereignty Over Pualau Ligitan and Sipadan (Indonesia/Malaysia), Judgment of December 17, 2002. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1e7ChJu Chinese FM: Trust and co-op essential to COC, Xinhua, July 13, 2012. เขาถึงเมื่อ 20 ธันวาคม 2557/2014 เขาถึงจาก http://on.china.cn/1NMd0Re
308
Chung, Christopher. The Spratly Island Dispute: Decision Units and Domestic Politics unpublished doctoral dissertation. New South Wales University, New South Wales: 2004. เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JX7JYk Clive Schofield. “Why the world is wary of China‖s ―great wall of sand‖ in the sea,” in CNN, May 14, 2015. เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://cnn.it/1GsSwKE Colonial Boundaries Act, July 6, 1895. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556 เขาถึงจาก http://bit.ly/1HsBtZN Confirmatory Deed of 1903 เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1FLdG87 D. A. Colson & R. W. Smith (eds), International Maritime Boundaries Vol.VI The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 2011. Eric A. Posner and Miguel F. P. de Figueiredo, “Is the International Court of Justice Biased?” in Journal of Legal Studies, vol. 34 June 2005. เขาถึงเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึง จาก http://bit.ly/1hfYyqz Ewan W. Anderson, International Boundary: A Geopolitical Atlas. New York: Routledge, 2003. Grant by Sultan of Sulu of Territories and Lands on the Mainland of the Island of Borneo, January 22, 1878. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1AAimaM Grant by the Sultan of Brunei of Territories from the Paitan to Sibucco River, December 29, 1877. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1bsHObC Hafizah Kamaruddin, “Malaysia-Brunei Boundary Issues Formalised,” Bernama. Malaysian National News Agency, March 16, 2009. International Court of Justice, Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Memorial of Malaysia Volume 1 (2 November 1999) เขาถึง เมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1CC99W6 International Court of Justice, Case concerning the Land, Island and Maritime Frontier Dispute (El Salvador/Honduras: Nicaragua intervening) (El Salvador v. Honduras), Judgment of 11 September 1992. เขาถึงเมื่อ 19 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1LnIjR8 International Court of Justice, Application for Permission to Intervene by the Government of the Philippines file in the Registry of Court on 13 March 2001, Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia) เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JHZro6 International Court of Justice, Concerning Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge (Malaysia/Singapore), Judgment of 23 May 2008 (Report of Judgments, Advisory Opinions and Orders, 23 May 2008), p. 22. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Nu5VYs International Court of Justice, Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Judgment of 17 December 2002 (Report of Judgments, Advisory Opinions and Orders, 17 December 2002), pp. 627, 629. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1e7ChJu International Court of Justice, Concerning Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge (Malaysia/Singapore), Judgment of 23 May 2008 (Report 309
of Judgments, Advisory Opinions and Orders, 23 May 2008), pp. 101-102. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Nu5VYs International Court of Justice, Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Observations of Malaysia on the Application for Permission to Intervene by the Government of the Republic of the Philippines, 2 May 2001. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1I1151s International Court of Justice, Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Observations of the Government of the Republic of Indonesia on the Philippines‖s Application for Permission to Intervene, 2 May 2001. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1K6bbgX International Court of Justice, Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge (Malaysia/Singapore) เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1cXdOpw International Court of Justice, Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia) เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1IIwCoK International Court of Justice, Special Agreement for Submission to the International Court of Justice of the Dispute between Indonesia and Malaysia Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan, jointly notified to the Court on 2 November 1998. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1TAGrsN International Court of Justice, Special Agreement for Submission to the International Court of Justice of the Dispute between Malaysia and Singapore Concerning Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge, jointly notified to the Court on 24 July 2003. เขาถึงเมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JdOXcK International Court of Justice, Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia), Application by the Philippines for Permission to Intervene, Judgement of 23 October 2001 (Report of Judgments, Advisory Opinions and Orders, 23 October 2001), p. เขาถึง เมื่อ 30 พฤษภาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JtrA0f Jean Magdaraog Cordero, Territorial dispute over Sabah resurfaces, February 28, 2013. เขาถึง เมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Qf3Ezh John G. Bucher. “The International Court of Justice and the Territorial Dispute between Indonesia and Malaysia in the Sulawesi Sea,” in Contemporary Southeast Asia Vol.35 No.2 (2013) Jonathan I. Charney, Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.I The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 1993, 1996. Jonathan I. Charney and Lewis M. Alexander. International Maritime Boundaries Vol.III The Netherlands: Martinus Nijhoff Publishers, 2004. Jon M. Van Dyke. “An Analysis of the Aegean Dispues Ynder International Law,” Ocean Development and International Law 63, 2005. 310
Jon M. Van Dyke. “Disputes Over Islands and Maritime Boundaries in East Asia,” in Maritime Boundary Disputes, Settlement Processes, and the Law of the Sea. Leiden, Boston: Martinus Nijhoff Publishers, 2009. Jon M. Van Dyke & Dale L. Bennett. “Islands and the Delimitation of Ocean Space in the South China Sea,” in Ocean Yearbook 10, 1993. Khan, Daniel-Erasmus. Max Huber as Arbitrator: The Palmas (Miangas) Case and Other Arbitrations. The European Journal of International Law Vol. 18 No.1, 2007. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1cqr1XD Knight, W. Andy. “The United Nations and International Security in the New Millennium.” Perspectives on Global Development and Technology. Vol. 4 (3-4). 2005. Koh, Tommy and Jolene Lin. “The Land Reclamation Case: Thoughts and Reflections,” Singapore Year Book of International Law and Contributors Vol. X 10 SYBL, 2006. เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Lsh4ov Kriangsak Kittichaisaree. The Law of the Sea and Maritime Boundary Delimitation in South- East Asia. Oxford New York: Oxford University Press, 1987. Kurt Taylor Gaubatz, The Island of Palmas: Abridgement and Notes. Scott: Hague Court Reports, 1932. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Hd2NO9 Leong Shen Li. “Brunei drops claim over Limbang district, says Abdullah,” The Star Online, Friday March 20, 2009. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EOFnvU Leong Shen Li, “Brunei drops claim over Limbang in Sarawak,” The Star, March 16, 2009. Lina Puryanti., and Sarkawi B. Husain. “A people-state negotiation in a borderland: A Case Study of the Indonesia-Malaysia Frontier in Sebatik Island,” in Wacana Vol.13 No.1, April 2011. เขาถึงเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1hBqCEQ Macaskie judgement, “Should Malaysia Stop the Annual Cession Money?,” March 17, 2013. เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1GVmib2 Madrid Protocal หรือ British North Norneo, March 7, 1885. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1JlH7g3 Mark J. Valencia. “The Spratly Islands: Dangerous Ground in the South China Sea” in Pacific Review 1, 1988. Mingjiang Li. การจัดการดานความมั่นคงในทะเลจีนใต: จาก DOC ถึง COC. (แปลโดย ภัควดี วีระภาสพงษแ) The South China Sea. Kyoto Review of Southeast Asia. Issue 15 (March 2014). เขาถึงเมื่อ 20 ธันวาคม 2557/2014 เขาถึงจาก http://bit.ly/1V081jS Minister: Miangas Island belongs to Indonesia. TMC News, February 12, 2009. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1fY2P1h Ministry of Foreign Affairs, Socialist Republic of Vietnam. “Vietnam, Cambodia push for border security,” 2009. เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1LBn1k7
311
Ministry of Foreign Affairs, Socialist Republic of Vietnam. “Preparations for Vietnam-Laos border landmark upgrade,” 2008. เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1KTeYfv Mira Rapp-Hooper. “Before and After: The South China Sea Transformed,” in Asia Maritime Transparency Initiative. February 18, 2015 เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/17R5O6S Munmun Majumdar. “ASEAN and Conflict management in the Spratlys,” in Third Global International Studies Conference at University of Porto, Portugal (17-20 August 2011). เขาถึงเมื่อ 12 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EgJuTC No.8029 Manila Accord ลงนามเมื่อ 31 กรกฎาคม 2506/1963, Manila Declaration ลงนามเมื่อ 3 สิงหาคม 2506/1963 และ Joint Statement ลงนามเมื่อ 5 สิงหาคม 2506/1963 ใน United Nations – Treaty Series 1965, pp.344 – 360. เขาถึงเมื่อ 20 เมษายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1QfPhdV Nurbaiti Hamdan, “Limbang border to be set,” The Star Online. Friday March 20, 2009 เขาถึง เมื่อ 23 เมษายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1K3SVn2 Pan Shiying, South China Sea and the International Practice of the Historic Title. Paper delivered to American Enterprise Institute Conference on the South China Sea, September 7-9, 1994. Pan Shiying, The Nansha Islands: A Chinese Point of View, Window. Hong Kong: Sept. 3, 1993. Permanent Court of Arbitration. Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (Malaysia v. Singapore). Award on Agreed Terms (September 1, 2005) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Cp1Lrp Permanent Court of Arbitration. Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (Malaysia v. Singapore) (Past Cases) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1N1COIn Permanent Court of Arbitration. Land Reclamation by Singapore in and around the Straits of Johor (Malaysia v. Singapore). Press release (January 14, 2005) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1IuGWgv Permanent Court of Arbitration. “The Island of Palmas Case (or Miangas) United States of America v. The Netherlands,” Award of the Tribunal. The Hague: April 4, 1928. เขาถึงเมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1WMWvKN Permanent Court of Arbitration. The Republic of the Philippines v. The People's Republic of China, Pending Cases เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Iaj4TE Prescott, J.R.V Maritime Jurisdiction in Southeast Asia: Commentary and Map. Honolulu: East-West Center, 1981. Prescott, J.R.V. The Geography of Frontier and Boundaries. London: Hutchinson University Library, 1965. Prescott, J.R.V. and Boyes, G., “Undelimited Maritime Boundaries in the Pacific Ocean Excluding the Asian Rim,” in Maritime Briefing Vol.2 No.8 Durham: International Boundaries Research Unit, 2000. 312
Prescott, J.R.V., H. J. C., D.F. Prescott, Frontiers of Asia and Southeast Asia. Vitoria: Melbourne University Press, 1977. “Private Mapmaker Suspected in Border Blunder,” The Jakarta Post, 14 February 2009. เขาถึง เมื่อ 23 ตุลาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1LfotJB Renate, Haller-Trost. “The Territorial Dispute between Indonesia and Malaysia over Pulau Sipadan and Pulau Ligitan in the Celebes Sea: A Study in International Law,” Boundary and Territory Briefing Vol.2 No.2. Department of Geography, University of Durham, 1995. Report of the Commission of Enquiry, North Borneo and Sarawak, 1962. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1RwVw0Y Resistensia Kesumawardhani, “Dispute between Indonesia – Malaysia over Ambalat Block,” in Journal of Yuridika Vol.23 No.3, 2008. เขาถึงเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1GgUejP Roberto Tofani. “Legality waves lap South China Sea,” Asia Times Online, February 8, 2013. เขาถึงเมื่อ 16 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1hBso97 Simon Denyer. “U.S. Navy alarmed at Beijing‖s ―Great Wall of sand‖ in South China Sea,” in The Washington Post, April 1, 2015. เขาถึงเมื่อ 17 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://wapo.st/1Mz6q43 Sovereignty Over Pualau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia v. Malaysia) (Permission to intervene by the Philippines), Judgment of October 23, 2001. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1MGMl9A Steven Kuan-Tsyh Yu, “Who Owns the Paracels and Spratlys? An Evaluation of the Nature and Legal Basis of the Conflicting Territorial Claims,” in Fishing in Troubled Waters: Proceeding of an Academic Conference on Territorial Claims in the South China Sea. R. D. Hill, Norman G. Owen and E.V Roberts, eds., Hong Kong: Centre of Asian Studies, University of Hong Kong, 1991. Strachan, Anna Louise. “Resolving Southeast Asian Territorial Disputes: A Role for the ICJ,” Institute of Peace and Conflict Studies (IPCS), New Delhi. IPCS Issue Brief No.133 October 2009. เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1FX3sDn UNEP, Global Environmental Alert Service (GEAS). “Thematic focus: Ecosystem management, Environmental governance, Resource efficiency,” (March 2014) เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1uqsYFH United Nations Malaysia Mission Report, “Final Conclusions of the Secretary-General,” 14 September 1963, เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Pi8rgP United Nations, Treaty Series Vol.299 (Treaties and international agreements registered or filed and recorded with the Secretariat of the United Nations. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1CC0frC
313
U.S. Department of State, Office of the Geographer. Burma – Laos Boundary. International Boundary Study, No.33 of June 18, 1964. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1OaEtwj U.S. Department of State, Office of the Geographer. Cambodia – Laos Boundary. International Boundary Study, No.32 of June 12, 1964. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1WMTc69 U.S. Department of State, Office of the Geographer. Cambodia – Vietnam Boundary International Boundary Study, No.155 of March 5, 1976. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1V2hsPY U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Boundary. International Boundary Study, No.45 of March 15, 1965. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://fla.st/1CC6xYt U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Continental Shelf Boundary. International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.1 of January 21, 1970. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1hThUBN U.S. Department of State, Office of the Geographer. Indonesia – Malaysia Territorial Sea Boundary International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.50 of January 10, 1973. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1Ed73gj U.S. Department of State, Office of the Geographer. Laos – Vietnam Boundary. International Boundary Study, No.35 (revised) of June 3, 1966. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึง จาก http://fla.st/1f0bfE2 U.S. Department of State, Office of the Geographer. Straight Baselines Indonesia. International Boundary Study, Series A, Limits in the Seas, No.35 of July 20, 1971. เขาถึง เมื่อ 20 กันยายน 2556 เขาถึงจาก U.S. Department of State, Office of the Geographer. Territorial Sea Boundary: Indonesia- Singapore. International Boundary Study Limits in the Seas No.60, November 11, 1974. เขาถึงเมื่อ 20 ธันวาคม 2556/2013 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1LasWvi “Win-win situation for Brunei and Malaysia,” The Star Online, March 17, 2009. เขาถึงเมื่อ 23 เมษายน 2555/2012 เขาถึงจาก http://bit.ly/1bSgFj0 Wong, M.P., Sipadan: Borneo‖s Underwater Paradise. Singapore: Odyssey Publishing, 1991. Yann-huei Song, The Issue of Historic Waters in the South China Sea Territorial Sea Dispute. Paper delivered to the American Enterprise Institute Conference on the South China Sea, September 7-9, 1994. Ying Cheng Kiang, China‖s Boundaries. Northeastern Illinois University Institute of China Studies, 1984.
314
ภาคผนวก
315
ภาคผนวก 1 ค าแปลภาษาไทย ปฏิญญาสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ปฏิญญากรุงเทพ) รับรองโดยรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศในการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 1 ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510/1967322
รัฐมนตรีฝุายการเมือง/รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศอินโดนีเซีย รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศฟิลิปปินสแ รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศสิงคโปรแและ รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศไทย ระลึกว่า มีผลประโยชนแและมีปัญหารวมกันอยูในบรรดาประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต และเชื่อมั่นวา มีความจําเป็นที่จะกระชับเกลียวสัมพันธแของความเป็นปึกแผนและความรวมมือภูมิภาคใหแนนแฟูนยิ่งขึ้น ปรารถนา ที่จะกอตั้งรากฐานอันมั่นคง เพื่อกระทําการรวมกันในอันที่จะสงเสริมความรวมมือในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต ดวยเจตนารมณแแหงความเสมอภาคและรวมมือรวมใจ และโดยประการนั้นก็จะชวย ใหมีสันติภาพ ความกาวหนา และความเจริญรุงเรืองในภูมิภาค ตระหนักว่า ในโลกที่ตองพึ่งพาอาศัยกันยิ่งขึ้นนี้ อุดมการณแอันพึงเทิดทูนเพื่อสันติภาพ เสรีภาพ ความ ยุติธรรมทางสังคม และความผาสุกในทางเศรษฐกิจจะบรรลุผลอยางดียิ่งได โดยการเสริมสรางความเขาใจอันดี ความเป็นเพื่อนบานที่ดี และความรวมมืออยางจริงจังในบรรดาประเทศในภูมิภาคซึ่งมีสายสัมพันธแในทาง ประวัติศาสตรแและวัฒนธรรมตอกันอยูแลว พิจารณาเห็นว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใตมีความรับผิดชอบรวมกันในอันดับแรก ที่จะสราง เสริมเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมระดับภูมิภาคใหมั่นคงและจัดหลักประกันการพัฒนาประเทศ ดําเนิน ไปโดยสันติและกาวหนา และเห็นวาประเทศเหลานี้มีความตั้งใจแนวแนที่จะใหเสถียรภาพและความมั่นคงของ ตนพนการแทรกแซงจากภายนอก ไมวาในรูปหรือลักษณะใด ทั้งนี้เพื่อที่จะธํารงรักษาไวซึ่งลักษณะความเป็น ชาติของแตละประเทศ ตามอุดมการณแและความมุงปรารถนาของประชาชนของตน ยืนยันว่า ฐานทัพตางชาติทั้งมวลที่มีอยูเป็นการชั่วคราว และคงอยูไดก็โดยความเห็นพองที่แสดงออก โดยชัดแจงของประเทศที่เกี่ยวของเทานั้น และมิไดมุงหมายที่จะใหใชโดยทางตรงหรือทางออม เพื่อบอน ทําลายเอกราชของชาติ และอิสรภาพของรัฐตางๆ ในอาณาบริเวณนั้น หรือทําใหกระบวนการพัฒนาประเทศ ตองเสื่อมเสียผันแปรไป จึงประกาศ ณ ที่นี้ว่า ประการที่หนึ่ง ใหกอตั้งสมาคมสําหรับความรวมมือระดับภูมิภาคระหวางประเทศในเอเชียตะวันออก เฉียงใต เรียกวา สมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต (อาเซียน) ประการที่สอง จุดหมายและความมุงประสงคแของสมาคม คือ
322 กรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. บันทึกการเดินทางอาเซียน (กรุงเทพฯ: บริษัท วิธิตา แอนิเมชั่น จํากัด, 2552), หนา 5-7. เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1EO7nwx หรือเขาถึงตนฉบับภาษาอังกฤษ ไดที่ The ASEAN Declaration (Bangkok Declaration) Adopted by the Foreign Ministers at the 1st ASEAN Ministerial Meeting in Bangkok, Thailand on 8 August 1967 จาก เอกสารสําคัญอาเซียน กรมอาเซียน กระทรวงการ ตางประเทศ เขาถึงเมื่อ 20 กันยายน 2556/2013 เขาถึงจาก http://bit.ly/1CS1zXg 316
1. เพื่อเรงรัดความเจริญทางเศรษฐกิจ ความกาวหนาทางสังคมและการพัฒนาทางวัฒนธรรมในภูมิภาค โดยความเพียรพยายามรวมกัน ดวยเจตนารมณแแหงความเสมอภาคและความรวมมือรวมใจ ทั้งนี้ เพื่อเสริม รากฐานสําหรับประชาคมที่มีความรุงเรืองและสันติสุขแหงประชาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต 2. เพื่อสงเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยเคารพอยางแนวแนในความยุติธรรมและหลักนิติธรรม ในการดําเนินความสัมพันธแระหวางประเทศในภูมิภาคและยึดมั่นในหลักการแหงกฎบัตรสหประชาชาติ 3. เพื่อสงเสริมใหมีความรวมมืออยางจริงจัง และความชวยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องที่มีผลประโยชนแ รวมกันทางดานเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิชาการ วิทยาศาสตรแ และการบริหาร 4. เพื่อใหมีความชวยเหลือซึ่งกันและกันในรูปแบบของการอํานวยความสะดวกในดานการฝึกอบรมและ การวิจัยทางดานการศึกษา วิชาชีพ วิชาการเทคนิค และการบริหาร 5. เพื่อรวมมืออยางมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในการใชประโยชนแดานการเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม การขยายการคา รวมทั้งการศึกษาปัญหาในเรื่องการคาระหวางประเทศเกี่ยวกับโภคภัณฑแ การปรับปรุงบริการ ความสะดวกเกี่ยวกับการขนสงและคมนาคม และการยกระดับการครองชีพของประชาชนของตน 6. เพื่อสงเสริมการศึกษาเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต 7. เพื่อธํารงความรวมมืออยางใกลชิดกับองคแการระหวางประเทศและระดับภูมิภาคที่มีความมุงหมายและความ มุงประสงคแคลายคลึงกัน และที่จะแสวงหาลูทางทั้งหลายเพื่อใหมีความรวมมืออยางใกลชิดขึ้นระหวางกัน ประการที่สาม เพื่อดําเนินการใหเป็นไปตามจุดหมายและความประสงคแดังกลาวจึงไดจัดตั้งกลไก ดังตอไปนี้ ก) การประชุมประจําปีของรัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ ซึ่งจะหมุนเวียนกันไป และเรียกวา การประชุมรัฐมนตรีสมาคมประชาชาติแหงเอเชียตะวันออกเฉียงใต การประชุมพิเศษของรัฐมนตรีวาการ กระทรวงการตางประเทศอาจมีขึ้นตามความจําเป็น ข) คณะกรรมการประจํา โดยมีรัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศของประเทศเจาภาพ หรือผูแทนเป็น ประธาน และมีสมาชิกประกอบดวยเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิกอื่นที่ประจําอยูในประเทศนั้นเป็น ผูดําเนินการของสมาคม ในระยะเวลาระหวางการประชุมรัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศแตละครั้ง ค) คณะกรรมการเฉพาะกิจ และคณะกรรมการถาวร ประกอบดวยผูเชี่ยวชาญและเจาหนาที่ในแตละเรื่อง ง) สํานักเลขาธิการแหงชาติในแตละประเทศสมาชิก เพื่อดําเนินงานของสมาคมในนามของประเทศนั้น และเพื่อจัดการประชุมประจําปี หรือการประชุมพิเศษของรัฐมาตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ คณะกรรมการประจําและคณะกรรมการอื่นๆ ซึ่งอาจจัดตั้งขึ้นภายหลัง ประการที่สี่ สมาคมจะเปิดใหรัฐทั้งมวลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ซึ่งยอมรับจุดหมายหลักการ และความมุงประสงคแดังกลาวเขารวมดวย ประการที่ห้า สมาคมเป็นสัญลักษณแของความตั้งใจรวมกันของประชาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ใน อันที่จะสมานความสัมพันธแฉันมิตร และความรวมมือกัน จะเพียรพยายามรวมกัน และเสียสละเพื่อให ประชาชนของตนและอนุชนไดรับประสาทพรแหงสันติภาพ เสรีภาพ และความเจริญรุงเรือง
ท าขึ้น ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2510 (ค.ศ.1967) สําหรับสาธารณรัฐอินโดนีเซีย อาดัม มาลิค รัฐมนตรีฝุายการเมือง/รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ สําหรับมาเลเซีย ตุน อับดุล ราซัค รัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงพัฒนาการแหงชาติ สําหรับสาธารณรัฐฟิลิปปินสแ นารแซิโซ รามอส รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ สําหรับสาธารณรัฐสิงคโปรแ เอส ราชารัตนัม รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ สําหรับราชอาณาจักรไทย ถนัด คอมันตรแ รัฐมนตรีวาการกระทรวงการตางประเทศ 317
ภาคผนวก 2 แสดงวันเอกราช/วันชาติ วันที่เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนและองค์การสหประชาชาติของประเทศอาเซียน
ประเทศ วันเอกราช/วันชาติ วันเข้าอาเซียน วันเข้าสหประชาชาติ บรูไน 23 กุมภาพันธแ 7 มกราคม 21 กันยายน 2527/1984 2527/1984 2527/1984 กัมพูชา 9 พฤศจิกายน 9 เมษายน 14 ธันวาคม 2498/1955 2496/1953 2542/1999 ประกาศรับเขตอํานาจศาลโลก 19 กันยายน 2500/1957323 อินโดนีเซีย 17 สิงหาคม 8 สิงหาคม 28 กันยายน 2493/1950 2488/1945 2510/1967 แตมีจดหมายลงวันที่ 20 มกราคม 2508/1965 ตัดสินใจ ถอนตัว (withdraw) ออกจากการเป็นสมาชิก แตตอมา ไดสงโทรเลขลงวันที่ 19 กันยายน 2509/1966 เพื่อ ขอกลับคืน (resume) สมาชิกสภาพ และในวันที่ 28 กันยายน 2509/19666 สมัช ช าใหญแหง สหประชาชาติ(General Assembly) มีมติรับรองใหที่ นั่งแกผูแทนอินโดนีเซีย ลาว 2 ธันวาคม 23 กรกฎาคม 14 ธันวาคม 2498/1955 2518/1975 2540/1997 มาเลเซีย 31 สิงหาคม 8 สิงหาคม 17 กันยายน 2500/1957 สหพันธรัฐมาลายา 2500/1957 2510/1967 (Federation of Malaya) เขาเป็นสมาชิก แตตอมา วันที่ 16 กันยายน 2506/1963 เปลี่ยนชื่อเป็น สหพันธรัฐมาเลเซีย(Federation of Malaya) ซึ่ง ประกอบดวยดินแดนสหพันธรัฐมาลายา (Federation of Malaya) สิงคโปรแ ซาบาหแ (Sabah) หรือ บอรแเนียวเหนือ (North Borneo) และซาราวัก (Sarawak) และวันที่ 9 สิงหาคม 2508/1965 สิงคโปรแไดแยกตัวเป็นเอกราช และเขาเป็นสมาชิก สหประชาชาติในวันที่ 21 กันยายน 2508/1965 พมา 4 มกราคม 23 กรกฎาคม 19 เมษายน 2481/1948 2491/1948 2540/1997 ฟิลิปปินสแ 4 กรกฎาคม 8 สิงหาคม 24 ตุลาคม 2488/1945 2489/1946 2510/1967 ประกาศยอมรับเขตอํานาจศาลโลก 18 มกราคม 2515/1972324
323 Declarations recognizing as compulsory the jurisdiction of the International Court of Justice under Article 36, paragraph 2, of the Statute of the Court. เขาถึงเมื่อ 22 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1eDTn2v 324 Ibid. 318
ประเทศ วันเอกราช/วันชาติ วันเข้าอาเซียน วันเข้าสหประชาชาติ สิงคโปรแ 9 สิงหาคม 8 สิงหาคม 21 กันยายน 2508/1965 2508/1965 2510/1967 ไทย 24 มิถุนายน 8 สิงหาคม 16 ธันวาคม 2489/1946 2475/1932 2510/1967 5 ธันวาคม 2503/1960 เวียดนาม 2 กันยายน 28 กรกฎาคม 20 กันยายน 2520/1977 2488/1945 2538/1995 30 เมษายน 2518/1975
* ติมอรแ-เลสเต (Timor-Leste) เขาเป็นสมาชิกวันที่ 27 กันยายน 2545/2002 และประกาศยอมรับเขต อํานาจศาลโลกวันที่ 21 กันยายน 2555/2012
ที่มา: United Nations. Member States, Growth in United Nations membership 1945-present เขาถึงเมื่อ 20 มิถุนายน 2558/2015 เขาถึงจาก http://bit.ly/1Ly0RA3
319
ภาคผนวก 3 แสดงรายชื่อผู้พิพากษาในคดีพิพาทเขตแดนระหว่างประเทศอาเซียน ณ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ) หรือ ศาลโลก
เกาะลิกิตัน (Ligitan)-สิปาดัน (Sipadan) ข้อพิพาทหิน 3 ก้อน คดีตีความปราสาทพระวิหาร 2541-2545/1998-2002 (4 ปี) 2546-2551/2003-2008 (5 ปี) 2544-2546/2011-2013 (2 ปี) มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา ไทย เห็นพอง 15 เห็นตาง 1 เห็นพอง 12/15/15 เห็นตาง 4/1/1 เห็นพอง 16 เสียง 0 ข้อ 1 (12 เสียง) (4 เสียง) Guillaume1 Franck* Guillaume1 Shi2 Shi2 Dugard* Greenwood Ranjeva3 Ranjeva3 Simma Donoghue Koroma4 Koroma4 Bhandari Parra-Aranguren5 Parra-Aranguren5 Yusuf Buergenthal6 Buergenthal6 Xue Herczegh Owada7 Owada7 Vereshchetin Tomka8 Tomka8 Higgins Keith9 Keith9 Oda Sepúlveda-Amor10 Sepúlveda-Amor10 Kooijmans Bennouna11 Bennouna11 Rezek Skotnikov12 Skotnikov12 Al-Khasawneh Sreenivasa Rao* Abraham13 Abraham13 Fleischhauer Al-Khasawneh Sebutinde Elaraby Gaja Weeramantry ข้อ 2 (15 เสียง) Sreenivasa Rao* Cançado Trindade ข้อ 3 (15 เสียง) Parra-Aranguren5 Cot * ผูพิพากษาเฉพาะคดี (judge ad hoc) ที่มา: รวบรวมจาก 3 คดี ในศาลโลก (International Court of Justice)325
325 Case Concerning Sovereignty over Pulau Ligitan and Pulau Sipadan (Indonesia/Malaysia). Ibid, p. 686; Case Concerning Sovereignty over Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks and South Ledge (Malaysia/Singapore). Ibid, pp. 101-102; Request for Interpretation of the Judgment of 15 June 1962 in the Case Concerning the Temple of Preah Vihear (Cambodia v. Thailand). Ibid, p. 318. 320
ภาคผนวก 4 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน (ยกเว้นลาว พม่า และไทย)
ประเทศ เมื่อ การด าเนินการ บรูไน กุมภาพันธแ ประกาศทะเลอาณาเขต (Territorial Water Enactment) 12 ไมลแทะเล 2526/1983 กัมพูชา กรกฎาคม พระราชกฤษฎีกา (Decree of the Council of State) ประกาศทะเลอาณาเขต 12 ไมลแทะเล โดย 2525/1982 ตองการการรับรองจากตางประเทศเพื่อใหมีผลเป็นที่ยอมรับ แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและยืนยัน อีกครั้งในปี 2529/1986, 2532/1989, 2535/1992 จนถึงปี 2538/1995, 2542/1999, และปี 2553/2010 (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1KqAWYK) อินโดนีเซีย กรกฎาคม ขอบังคับหมายเลข 8 (Regulation No. 8) โดยเรือรบตางชาติและเรืออื่นที่ไมใชเรือเพื่อ 2505/1962 การคาตองไดรับอนุญาตกอนเขาไปในทะเลอาณาเขต แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและยืนยันอีกครั้งในปี 2535/1992, 2536/1993, 2543/2000, 2544/2001, 2546/2003, 2547/2004, 2554/2011 และ 2555/2012
สิงหาคม พระราชบัญญัติหมายเลข 6 (Act No. 6) ประกาศทะเลอาณาเขต 12 ไมลแทะเล (เขาถึง 2539/1996 เอกสารไดที่ http://bit.ly/1HItAkI) มาเลเซีย สิงหาคม คําสั่งหมายเลข 7 (Ordinance No.7) ประกาศทะเลอาณาเขต 12 ไมลแทะเล (เขาถึง 2512/1969 เอกสารไดที่ http://bit.ly/1JSXbYO)
ตุลาคม เอกสารเงื่อนไข (Declaration Upon Ratification) ในอนุสัญญญาสหประชาชาติวาดวย 2539/1996 กฎหมายทะเลฉบับที่ 2 ปี 2525/1982 (UNCLOS II) แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและ ประทวงในปี 2540/1997 โดยยืนยันอีกครั้งในปี 2556/2013 ฟิลิปปินสแ มิถุนายน สาธารณรัฐบัญญัติหมายเลข 3046 (Republic Act No.3046) ประกาศทะเลอาณาเขต 2504/1961 จนถึงระยะ 285 ไมลแทะเล โดยมีการแกไขในปี 2552/2009 ซึ่งอางสิทธิ์ประวัติศาสตรแตาม สนธิสัญญาปารีส (2441/1898) สนธิสัญญาอเมริกา-สเปน (2443/1900) และสนธิสัญญา อเมริกา-อังกฤษ (2473/1930) (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1JT0Zco) แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและประทวงในปี 2504/1961, 2512/1969 และปี โดยยืนยัน อีกครั้งในปี จนถึงปี 2539/1996, 2544/2001 จนถึงปี 2550/2007 และปี 2555/2012 จนถึงปี 2556/2013
มกราคม รัฐธรรมนูญ มาตรา 1 อางสิทธิ์นานน้ําที่อยู “โดยรอบ, ระหวาง และเชื่อมตอเกาะตางๆ” 2516/1973 เป็นทะเลอาณาเขต (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1JT0VcG)
เมษายน สาธารณรัฐบัญญัติหมายเลข 9522 (Republic Act No.9522) ประกาศทะเลอาณาเขต 2552/2009 มากกวา 12 ไมลแทะเล (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1i81JzU)
321
ประเทศ เมื่อ ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) สิงคโปรแ 2421/1878 พระราชบัญญัติเขตอํานาจทะเลอาณาเขต (Territorial Waters Jurisdiction Act) ประกาศ 3 ไมลแ ทะเล โดยอังกฤษ (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1Go4Uf5)
พฤษภาคม อาณาเขตทางทะเล หมายเลข 1485 (No. 1485-Singapore Maritime Zones) ประกาศทะเลอาณา 2551/2008 เขต 12 ไมลแทะเล (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1GIbO1V) เวียดนาม มกราคม พระราชกฤษฎีกาหมายเลข 30/C (Decree No. 30/C) ประกาศทะเลอาณาเขต 12 ไมลแ 2523/1980 ทะเล โดยเรือรบตางชาติตองขออนุญาตกอนเขาไปในทะเลอาณาเขตและเขตตอเนื่อง ลวงหนา 30 วัน โดยจํากัดจํานวนเรือรบไมเกินครั้งละ 3 ลํา และตองปลดอาวุธกอนเขาใน บริเวณดังกลาวทุกครั้ง แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและประทวงในปี 2525/1982 โดยยืนยันอีกครั้งในปี 2525/1982, 2526/1983, 2528/1985, 2529/1986, 2531/1988 จนถึงปี 2545/2002 และปี 2553/2010 จนถึงปี 2555/2012
มิถุนายน กฎหมายทะเลเวียดนาม (Law of the Sea of Vietnam) ประกาศทะเลอาณาเขต 12 2555/2012 ไมลแทะเล โดยเรือของกองทัพตางๆ ที่จะผานทะเลอาณาเขตของเวียดนามตองแจงให ทางการเวียดนามอนุญาตกอนทุกครั้ง แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและประทวงในปี 2556/2013 โดยยืนยันอีกครั้งในปี 2556/2013
322
ภาคผนวก 5 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์เส้นฐานตรง (Straight Baseline) รัฐหมู่เกาะ (Archipelagic Sate) การอ้างสิทธิ์ประวัติศาสตร์ (Historic Claim) ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน (ยกเว้นลาว พม่า และไทย)
ประเทศ เมื่อ การด าเนินการ บรูไน กุมภาพันธแ ประกาศเสนฐานตรง (straight baseline) 2526/1983 กัมพูชา กรกฎาคม พระราชกฤษฎีกา (Decree of the Council of State) ประกาศกําหนดเสนฐานตรง 2525/1982 (straight baseline) แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและยืนยันอีกครั้งในปี 2529/1986, 2532/1989, 2535/1992, จนถึงปี 2537/1994, 2539/1996 จนถึงปี 2548/2005 และปี 2553/2010 จนถึงปี 2556/2013 อินโดนีเซีย สิงหาคม พระราชบัญญัติหมายเลข 6 (Act No.6) อางสิทธิ์สถานะรัฐหมูเกาะ และออกกฎหมายเพื่อ 2539/1996 ประกาศเสนฐานตรง
2541/1998 ขอบังคับหมายเลข 61 (Regulation No.61) กําหนดจุดฐาน (basepoint) ของเสนฐานหมู เกาะ (archipelagic baselines) ในทะเลนาทูนา (Natuna Sea) (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1GnpWuh)
มิถุนายน ขอบังคับหมายเลข 37 (Regulation No.37) กําหนดจุดพิกัดชองทางเดินเรืออยางเป็น 2546/2002 ทางการ (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1KRMeYb) แตสหรัฐอเมริกาประทวงในปี 2546/2003 และยืนยันอีกครั้งในปี 2548/2005 จนถึงปี 2555/2012 มาเลเซีย สิงหาคม คําสั่งหมายเลข 7 (Ordinance No.7) และออกกฎหมายเพื่อประกาศเสนฐานตรง 2512/1969 ฟิลิปปินสแ มิถุนายน สาธารณรัฐบัญญัติหมายเลข 3046 (Republic Act No.3046) โดยมีการแกไขในปี 2552/2009 2504/1961 ซึ่งกําหนดเสนฐานตรงเพื่อสรางระบบหมูเกาะ (archipelagic system) แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและประทวงในปี 2529/1986 โดยยืนยันอีกครั้งในปี 2536/1993 จนถึงปี 2539/1996, 2544/2001 จนถึงปี 2550/2007 และปี 2555/2012 จนถึงปี 2556/2013
กันยายน สาธารณรัฐบัญญัติหมายเลข 5446 (Republic Act No.5446) ปรับปรุงความถูกตองของระบบ 2511/1968 เสนฐาน (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1dFY5eY)
มิถุนายน คําสั่งประธานาธิบดีหมายเลข 1596 (Presidential Decree No.1596) ประกาศใหเกาะจํานวน 33 2521/1978 แหงในหมูเกาะสแปรตลียแเป็นอาณาเขตของประเทศฟิลิปินสแ (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1lvBvaQ) การประกาศอางสิทธิ์ดังกลาวทําใหเกิดขอพิพาทกับจีน ไตหวัน เวียดนาม และมาเลเซีย
323
ประเทศ เมื่อ การด าเนินการ ฟิลิปปินสแ เมษายน สาธารณรัฐบัญญัติหมายเลข 9522 (Republic Act No.5446) ปรับปรุงสวนที่ 1 ของสาธารณรัฐ (ตอ) 2552/2009 บัญญัติหมายเลข 3046 โดยกําหนดจุดฐานจํานวน 80 จุด (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1i81JzU อยูที่หนา 32) สิงคโปรแ ไมมี เวียดนาม พฤศจิกายน แถลงการณแวาดวยเสนฐานทะเลอาณาเขต (Statement on the Territorial Sea Baseline) 2525/1982 กําหนดเสนฐานตรงและอางสิทธิ์เหนืออาวตังเกี๋ยวาเป็นทะเลประวัติศาสตรแ (historic water) และอางสิทธิ์ทะเลอาณาเขต เขตตอเนื่อง ไหลทวีป เขตเศรษฐกิจจําเพาะ เพื่อใหครอบคลุมหมู เกาะตางๆ ที่อยูนอกเหนือทะเลอาณาเขต (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1BdIwpR) แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและประทวงในปี 2525/1982 และ 2530/1987 โดยยืนยันอีก ครั้งในปี 2539/1996, 2540/1997 จนถึงปี 2545/2002 และปี 2553/2010 จนถึงปี 2556/2013
324
ภาคผนวก 6 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์เขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone) ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน (ยกเว้นลาว พม่า และไทย)
ประเทศ เมื่อ การด าเนินการ บรูไน ไมมี กัมพูชา กรกฎาคม พระราชกฤษฎีกา (Decree of the Council of State) ประกาศเขตตอเนื่อง 24 ไมลแ 2525/1982 ทะเล อางสิทธิ์อธิปไตยเพื่อความมั่นคง โดยตองการการรับรองจากตางประเทศเพื่อใหมีผล เป็นที่ยอมรับ แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและยืนยันอีกครั้งในปี 2538/1995 จนถึงปี 2548/2005 และปี 2553/2010 จนถึงปี 2556/2013 (เขตความมั่นคง security zone) และปี 2542/1999 และปี 2553/2010 (ไดรับอนุญาต entry permission) อินโดนีเซีย กรกฎาคม ขอบังคับหมายเลข 8 (Regulation No.8) จํากัดการ “หยุดจอดและการทอดสมอเรือ และ/หรือ การ 2505/1962 เดินเรือที่ไมมีเหตุอันชอบธรรม” ในทะเลหลวงที่อยูติดกับทะเลอาณาเขตภายในระยะ 100 ไมลแ ทะเล แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองการอางสิทธิ์นี้ มาเลเซีย กันยายน พระบรมราชโองการ (Orders in Council 1517 & 1518) อังกฤษประกาศทะเลอาณาเขตและไหล 2501/1958 ทวีประหวางบอรแเนียวเหนือ (1517) ซาราวัก (1518) และบรูไน ฟิลิปปินสแ ไมมี สิงคโปรแ ไมมี เวียดนาม พฤษภาคม แถลงการณแวาดวยทะเลอาณาเขต เขตตอเนื่อง เขตเศรษฐกิจจําเพาะ และไหลทวีป (Statement on 2520/1977 the Territorial Sea, the Contiguous Zone, the Exclusive Economic Zone and the Continental Shelf) ประกาศเขตตอเนื่อง 24 ไมลแทะเล โดยอางสิทธิ์เหนือพื้นที่ความมั่นคง (เขาถึง เอกสารไดที่ http://bit.ly/1AzjIbo) แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและประทวงในปี 2525/1982 และ 2545/2002 โดยยืนยันอีกครั้งในปี 2539/1996 จนถึงปี 2543/2000, 2554/2011 และปี 2556/2013
มกราคม พระราชกฤษฎีกาหมายเลข 30/C (Decree No. 30/C) กําหนดใหในเขตตอเนื่อง เรือดําน้ํา 2523/1980 ตองแลนพนผิวน้ําและแสดงธงสัญลักษณแ รวมทั้งหามนําเครื่องบินขึ้นลงจากเรือบรรทุก เครื่องบิน กอนเขาสูทะเลอาณาเขตหรือเขตตอเนื่อง และตองปลดอาวุธกอนเขาในบริเวณ ดังกลาวทุกครั้ง แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองการอางสิทธิ์
325
ภาคผนวก 7 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์ไหล่ทวีป (Continental Shelf) ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน (ยกเว้นลาว พม่า และไทย)
ประเทศ เมื่อ การด าเนินการ บรูไน 2497/1954 พระบรมราชโองการ (Royal Proclamation) ประกาศอางสิทธิ์ไหลทวีป กัมพูชา กรกฎาคม พระราชกฤษฎีกา (Decree of the Council of State) ประกาศเขตไหลทวีป 200 ไมลแทะเล 2525/1982 อินโดนีเซีย กุมภาพันธแ ประกาศรัฐบาล (Government Announcement) 2513/1969
มิถุนายน เสนอรายงานไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended Continental Shelf - ECS) เกินกวา 2551/2008 200 ไมลแทะเล บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา (North West of Sumatra Island) ใหแกคณะกรรมาธิการกําหนดขอบเขตของไหลทวีป (Commission on the Limits of the Continental Shelf – CLCS) แตยังไมใหการรับรอง (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1dFMRqT) มาเลเซีย พฤษภาคม พระราชบัญญัติไหลทวีปหมายเลข 57 ปรับปรุงโดยพระราชบัญญัติหมายเลข 8 ปี 2509/1966 2515/1972 (Continental Shelf Act, No.57 as amended by Act No.8) (เขาถึง เอกสารไดที่ http://bit.ly/1LazSIP)
2527/1984 พระราชบัญญัติหมายเลข 311 (Act No. 311) โดยรวมเอาพระราชบัญญัติไหลทวีปหมายเลข 57 ปี 2509/1966 ไวดวย (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1dFWUfA)
พฤษภาคม มาเลเซียและเวียดนามรวมกันเสนอรายงานไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended 2552/2009 Continental Shelf - ECS) เกินกวา 200 ไมลแทะเล ใหแกคณะกรรมาธิการกําหนด ขอบเขตของไหลทวีป (Commission on the Limits of the Continental Shelf – CLCS) แตยังไมมีการรับรอง (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1dFX7zg) ฟิลิปปินสแ มีนาคม ประกาศประธานาธิบดี (Presidential Proclamation No.370) (เขาถึงเอกสารไดที่ 2511/1968 http://bit.ly/1IeYflq)
เมษายน เสนอรายงานไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended Continental Shelf - ECS) เกินกวา 2552/2009 200 ไมลแทะเล บริเวณเบนแฮม ไรสแ (Benham Rise – ดูที่หนาถัดไป*) (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1egil7H)
เมษายน คณะกรรมาธิการกําหนดขอบเขตของไหลทวีป (Commission on the Limits of the 2555/2012 Continental Shelf – CLCS) รับคํารองโดยพิจารณาการกําหนดขอบไหลทวีปบริเวณเบน แฮม ไรสแ (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1TntX8K) สิงคโปรแ ไมมี 326
ประเทศ เมื่อ การด าเนินการ เวียดนาม พฤษภาคม แถลงการณแวาดวยทะเลอาณาเขต เขตตอเนื่อง เขตเศรษฐกิจจําเพาะ และไหลทวีป 2520/1977 (Statement on the Territorial Sea, the Contiguous Zone, the Exclusive Economic Zone and the Continental Shelf) ประกาศขอบไหลทวีป 200 ไมลแทะเล
พฤษภาคม มาเลเซียและเวียดนามรวมกันเสนอรายงานไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended 2551/2009 Continental Shelf - ECS) เกินกวา 200 ไมลแทะเล ใหแกคณะกรรมาธิการกําหนด ขอบเขตของไหลทวีป (Commission on the Limits of the Continental Shelf – CLCS) แตยังไมมีการรับรอง (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1dFX7zg)
พฤษภาคม เสนอรายงานไหลทวีปที่ขยายออกไป (Extended Continental Shelf - ECS) เกินกวา 2551/2009 200 ไมลแทะเล ใหแกคณะกรรมาธิการกําหนดขอบเขตของไหลทวีป (Commission on the Limits of the Continental Shelf – CLCS) แตยังไมมีการรับรอง
* เบนแฮม ไรส์ (Benham Rise) เป็นชื่อของลักษณะทางภูมิศาสตรแทางตะวันออกของเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินสแ
ที่มา: 13 Million Hectares Benham Rise belongs to the Philippines, UN Approved! เขาถึงเมื่อ 20 กุมภาพันธแ 2557/2014 เขาถึงจาก http://bit.ly/1fcl2Y7
327
ภาคผนวก 8 ตารางแสดงการอ้างสิทธิ์เขตเศรษฐกิจจ าเพาะ (Economic Exclusive Zone) และเขตประมง (Fisheries Zone) ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน (ยกเว้นลาว พม่า และไทย)
ประเทศ เมื่อ การด าเนินการ บรูไน กรกฎาคม ประกาศเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล 2536/1993 กัมพูชา กรกฎาคม พระราชกฤษฎีกา (Decree of the Council of State) ประกาศเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 2525/1982 200 ไมลแทะเล อินโดนีเซีย มีนาคม ประกาศเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1BgyxQo) 2523/1980
ตุลาคม พระราชบัญญัติหมายเลข 5 (Act No.5) ประกาศเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล 2526/1983 (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1fbJx7S) มาเลเซีย 2527/1984 พระราชบัญญัติหมายเลข 311 (Act No. 311) ประกาศเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล
ตุลาคม เอกสารเงื่อนไข (Declaration Upon Ratification) ในอนุสัญญาสหประชาชาติวาดวย 2539/1996 กฎหมายทะเลฉบับที่ 2 ปี 2525/1982 (UNCLOS II) แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและประทวงในปี 2541/1998 โดยยืนยันอีกครั้งในปี 2541/1998 จนถึงปี 2546/2003 และปี 2556/2013 ฟิลิปปินสแ มิถุนายน 58 คําสั่งประธานาธิบดีหมายเลข 1599 (Presidential Decree No.1599) ประกาศเขต 2521/1978 เศรษฐกิจจําเพาะและเขตประมง 200 ไมลแทะเล (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1SDoGd1) สิงคโปรแ เมษายน พระราชบัญญัติประมง หมายเลข 14 (Fisheries Act, No. 14) ประกาศเขตประมง ออก 2509/1966 กฎขอบังคับกําหนดอาณาเขต ออกใบอนุญาต และระเบียบตางๆ เวียดนาม พฤษภาคม แถลงการณแวาดวยทะเลอาณาเขต เขตตอเนื่อง เขตเศรษฐกิจจําเพาะ และไหลทวีป 2520/1977 (Statement on the Territorial Sea, the Contiguous Zone, the Exclusive Economic Zone and the Continental Shelf) ประกาศเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล
มกราคม พระราชกฤษฎีกาหมายเลข 30/C (Decree No. 30/C) 2523/1980 เมษายน พระราชกฤษฎีกา – กฎหมายประมง 2533/1990 พฤศจิกายน พระราชกฤษฎีกาหมายเลข 437/HDBT (Decree No. 437/HDBT) 2533/1990 กําหนดใหเรือประมงตางชาติตองขออนุญาตทําประมงและแสดงธงสัญลักษณแในเขต เศรษฐกิจจําเพาะ และไมอนุญาตใหเรือตางชาติเขามาในเขตปลอดภัย (safety zone) เกิน กวาระยะ 500 เมตร 328
ประเทศ เมื่อ การด าเนินการ เวียดนาม มิถุนายน กฎหมายทะเลเวียดนาม (Law of the Sea of Vietnam) โดยกําหนดวาเมื่อใชสิทธิ (ตอ) 2555/2012 เดินเรือและการบินเสรีในเขตเศรษฐกิจจําเพาะและไหลทวีปของเวียดนาม องคแกรหรือ ปัจเจกบุคคลยอมไมไดรับอนุญาตใหกระทําการตอตานอํานาจอธิปไตย อํานาจการปูองกัน ตัว และความมั่นคงของเวียดนาม แตสหรัฐอเมริกาไมรับรองและประทวงในปี 2556/2013
329
ภาคผนวก 9 ตารางแสดงข้อก าหนดด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Regulation) ทางทะเล ของประเทศในอาเซียน (ยกเว้นลาวและพม่า)
ประเทศ เดือน/ปี ข้อก าหนดด้านสิ่งแวดล้อม บรูไน ไมมี ไมมี กัมพูชา กรกฎาคม กฤษฎีกาประกาศเขต 200 ไมลแทะเล (Decree of the Council of State 200 2525/1982 nautical miles) (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1KqAWYK) อินโดนีเซีย ไมมี ไมมี มาเลเซีย กุมภาพันธแ ความตกลงคณะมนตรีรวมเพื่อการจัดตั้งกับอินโดนีเซียและสิงคโปรแในการเดินเรือ 2518/1975 อยางปลอดภัยและมลพิษในชองแคบมะละกา (Agreement Joint Council established with Indonesia and Singapore on Navigation Safety and Pollution in Straits of Malacca) ใหการรับรองแผนงานแบงแยกการสัญจร (traffic separation schemes) ฟิลิปปินสแ 11 คําสั่งประธานาธิบดีหมายเลข 1599 อํานาจจําเพาะเพื่อการรักษาสิ่งแวดลอมใน มิถุนายน ทะเลภายในเขตเศรษฐกิจจําเพาะ 200 ไมลแทะเล 2521/1978 (Presidential Decree No. 1599 Exclusive jurisdiction for preservation of the marine environment within EEZ) (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1SDoGd1) สิงคโปรแ มกราคม กฎหมายปูองกันมลพิษทางทะเล (Prevention of Pollution of the Sea) 2514/1971 พระราชบัญญัติ หมายเลข 3 ทะเลอาณาเขตเพื่อบรรลุอนุสัญญานานาชาติวาดวย การปูองกันมลพิษทางทะเลโดยน้ํามัน ปี 2497/1954 (Act No.3 Territorial Sea Implemented the International Convention for the Prevention of Pollution in the Sea by Oil of 1954) ไทย ไมมี ไมมี เวียดนาม พฤษภาคม แถลงการณแเรื่องทะเลอาณาเขต, เขตตอเนื่อง, เขตเศรษฐกิจจําเพาะ และไหลทวีป 2520/1977 ระยะ 200 ไมลแทะเล (สวนของอางสิทธิ์เขตเศรษฐกิจจําเพาะ) (Statement on the Territorial Sea, the Contiguous Zone, the Exclusive Economic Zone and the Continental Shelf) (เขาถึงเอกสารไดที่ http://bit.ly/1AzjIbo)
330
ภาคผนวก 10 ตารางแสดงการลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ฉบับที่ 2 ปี 2525/1982 (UNCLOS II) ของประเทศในอาเซียน (ยกเว้นลาวและพม่า)
ประเทศ เดือน/ปี ด าเนินการ หมายเหตุ บรูไน ธันวาคม ลงนามในอนุสัญญา ใหความยินยอมที่จะผูกพันตามความตกลงเกี่ยวกับการ 2527/1984 บังคับใชภาคที่ 11 (bound by Part XI Agreement)
พฤศจิกายน ใหสัตยาบันอนุสัญญา 2539/1996 กัมพูชา กรกฎาคม ลงนามในอนุสัญญา ยังไมมีการใหสัตยาบันอนุสัญญา 2526/1983 อินโดนีเซีย ธันวาคม ลงนามในอนุสัญญา 2525/1982
กุมภาพันธแ ใหสัตยาบันอนุสัญญา 2529/1986
กรกฎาคม ลงนามในภาคที่ 11 2537/1994 (Part XI Agreement)
มิถุนายน ใหสัตยาบันภาคที่ 11 2543/2000 (Part XI Agreement) มาเลเซีย ธันวาคม ลงนามในอนุสัญญา ใหความยินยอมที่จะผูกพันตามความตกลงเกี่ยวกับการ 2525/1982 บังคับใชภาคที่ 11 (bound by Part XI Agreement)
สิงหาคม ลงนามในภาคที่ 11 2537/1994 (Part XI Agreement)
ตุลาคม ใหสัตยาบันอนุสัญญา 2539/1996 ฟิลิปปินสแ ธันวาคม ลงนามในอนุสัญญา แตสงวนสิทธิ์ภายใตสนธิสัญญาปารีส (Treaty of Paris of 2525/1982 1898) สนธิสัญญาวอชิงตัน (Treaty of Washington of 1930) และ สนธิสัญญาการปูองกันรวม (Mutual Defense Treaty of พฤษภาคม ใหสัตยาบันอนุสัญญา 1951) ยืนยันอธิปไตยเหนือทางเดินเรือหมูเกาะ (archipelagic 2527/1984 sea lanes) และนานน้ําหมูเกาะ (archipelagic waters) รวมทั้งนานน้ําภายใน (internal waters)
331
ประเทศ เดือน/ปี ด าเนินการ หมายเหตุ ฟิลิปปินสแ พฤศจิกายน ลงนามในภาคที่ 11 เพื่อใหสอดคลองกับภารผนวก 7 (Annex VII) เมื่อ 22 (ตอ) 2537/1994 (Part XI Agreement) มกราคม 2556/2013 ฟิลิปปินสแสงแถลงการณแ “วาดวยขอ พิพาทกับจีนเหนืออํานาจทางทะเลของฟิลิปปินสแในทะเล กรกฎาคม ใหสัตยาบันภาคที่ 11 ฟิลิปปินสแตะวันตก (with respect to the dispute with China 2540/1997 (Part XI Agreement) over the maritime jurisdiction of the Philippines in the West Philippine Sea)” ตอมา 19 กุมภาพันธแ 2556/2013 จีนตอบฟิลิปปินสแวาไมยอมรับ ขอเสนออนุญาโตตุลาการ ในเดือนสิงหาคม 2556/2013 จีนสง หนังสือ (Note Verbale) ไปยังศาลประจําอนุญาโตตุลาการ (Permanent Court of Arbitration – PCA) วาจีนปฏิเสธและตี กลับการแจงความของฟิลิปปินสแ ตอมาในเดือนมีนาคม 2557/2014 ฟิลิปปินสแยื่นเอกสาร 2 ชุดใหแกศาลประจํา อนุญาโตตุลาการ แตการไตสวนไมไดกระทําโดยเปิดเผย สิงคโปรแ ธันวาคม ลงนามในอนุสัญญา ใหความยินยอมที่จะผูกพันตามความตกลงเกี่ยวกับการ 2525/1982 บังคับใชภาคที่ 11 (bound by Part XI Agreement)
พฤศจิกายน ใหสัตยาบันอนุสัญญา 2537/1994 ไทย ธันวาคม ลงนามในอนุสัญญา ประกาศยอมรับความตกลงเกี่ยวกับการบังคับใชภาคที่ 11 2525/1982 (Acceded to Part XI Agreement)
พฤษภาคม ใหสัตยาบันอนุสัญญา สหรัฐอเมริกาไมรับรองและประทวงการอางสิทธิ์ในปี 2554/2011 2554/2011 เวียดนาม ธันวาคม ลงนามในอนุสัญญา ทําการประกาศเพื่อตอกย้ําการอางสิทธิ์เหนือพื้นที่พิพาท 2525/1982 เกาะเหืองซา (Hoang Sa) หรือ พาราเซล (Paracels) และ เตรื่องซา (Truong Sa) หรือ สแปรตลี่ยแ (Spratly) และอาง กรกฎาคม ใหสัตยาบันอนุสัญญา สิทธิ์เพื่อรับรองมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการและ 2537/1994 การปูองกันไหลทวีป (continental shelf) และอาณาเขต ทางทะเล (maritime zones) ของตนเอง
332
ภาคผนวก 11 ตารางแสดงความตกลงเส้นเขตแดนทางทะเล (Maritime Boundaries Agreement) ระหว่างประเทศในอาเซียน (ยกเว้นลาว พม่า และไทย)
ประเทศ วันที่ลงนาม ประเภท การด าเนินการ บรูไน กันยายน พระบรมราช ประกาศอาณาเขตทางทะเลกับมาเลเซียในพื้นที่บอรแเนียวเหนือ 2501/1958 โองการ (Orders (1517) และซาราวัก (1518) ดําเนินการโดยอังกฤษ in Council 1517 & 1518) กัมพูชา กรกฎาคม ความตกลง ความตกลงทะเลประวัติศาสตรแ (Historic Waters) ระหวางกัมพูชา 2525/1982 (Agreement) กับเวียดนาม โดยสหรัฐอเมริกาไมรับรองการอางสิทธิ์และประทวง การอางสิทธิ์ทางประวัติศาสตรแในปี 2525/1982 และยืนยันอีกครั้ง ในปี 2542/1999 อินโดนีเซีย ตุลาคม ความตกลง ความตกลงระหวางมาเลเซียกับอินโดนีเซียวาดวยการกําหนดขอบ 2512/1969 (Agreement) ไหลทวีป (เขาถึงที่ http://bit.ly/1GGhIic)
มีนาคม สนธิสัญญา สนธิสัญญาระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียเกี่ยวกับการกําหนดทะเล 2514/1971 (Treaty) อาณาเขตในชองแคบมะละกา (เขาถึงที่ http://1.usa.gov/1JPqGMy)
พฤษภาคม ความตกลง ความตกลงระหวางออสเตรเลียกับอินโดนีเซียเพื่อกําหนดเสนเขต 2514/1971 (Agreement) แดนทางทะเล (เขาถึงที่ http://bit.ly/1Qy0Q3S)
ธันวาคม ความตกลง ความตกลงระหวางไทยกับอินโดนีเซียเกี่ยวกับการกําหนดขอบไหลทวีป 2514/1971 (Agreement) ในชองแคบมะละกาและทะเลอันดามัน (เขาถึงที่ http://bit.ly/1La3Psn)
ธันวาคม ความตกลง ความตกลงระหวางอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เกี่ยวกับการ 2514/1971 (Agreement) กําหนดขอบไหลทวีปทางตอนเหนือของชองแคบมะละกา (เขาถึงที่ http://1.usa.gov/1fbXTVN)
ตุลาคม ความตกลง ความตกลงระหวางออสเตรเลียกับอินโดนีเซียเพื่อกําหนดเสนเขต 2515/1972 (Agreement) แดนพื้นดินทองทะเล (seabed) ในทะเลติมอรแ (Timor) และอาราฟู รา (Arafura) (เขาถึงที่ http://bit.ly/1FigTXB)
กุมภาพันธแ ความตกลง ความตกลงระหวางออสเตรเลียกับอินโดนีเซียวาดวยเสนเขตแดนระหวาง 2516/1973 (Agreement) ปาปัวนิวกีนีกับอินโดนีเซีย (เขาถึงที่ http://bit.ly/1L9Hz54)
สิงหาคม สนธิสัญญา สนธิสัญญาระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแเกี่ยวกับการกําหนดทะเลอาณา 2517/1974 (Treaty) เขตในชองแคบสิงคโปรแ (เขาถึงที่ http://bit.ly/1GntU67) 333
ประเทศ วันที่ลงนาม ประเภท การด าเนินการกับคู่ภาคี อินโดนีเซีย สิงหาคม ความตกลง ความตกลงระหวางไทยกับอินโดนีเซียเกี่ยวกับการกําหนดเสนเขต (ตอ) 2517/1974 (Agreement) แดนพื้นดินทองทะเล (seabed) ในทะเลอันดามัน (เขาถึงที่ http://bit.ly/1IerRzu)
ธันวาคม ความตกลง ความตกลงระหวางอินเดียกับอินโดนีเซียเกี่ยวกับการกําหนดขอบไหล 2518/1975 (Agreement) ทวีป (เขาถึงที่ http://bit.ly/1G6QooN)
มกราคม ความตกลง ความตกลงระหวางอินเดียกับอินโดนีเซียวาดวยการขยายขอบไหล 2520/1977 (Agreement) ทวีปเมื่อปี 1974 ในทะเลอันดามันและมหาสมุทนอินเดีย (เขาถึงที่ http://bit.ly/1KRVvzy)
มิถุนายน ความตกลง ความตกลงระหวางไทย อินเดีย และอินโดนีเซีย วาดวยการกําหนด 2521/1978 (Agreement) จุดรวม (trijuction point) และการกําหนดเสนเขตแดนที่เกี่ยวของ (เขาถึงที่ http://bit.ly/1IEzbHr)
กรกฎาคม ความตกลง ความตกลงระหวางอินโดนีเซียกัลปาปัวนิวกีนีวาดวยเสนเขตแดน 2525/1982 (Agreement) ทางทะเล
ธันวาคม สนธิสัญญา สนธิสัญญาระหวางออสเตรีเลียกับอินโดนีเซียวาดวยเขตความ 2532/1989 (Treaty) รวมมือในพื้นที่ระหวางจังหวัดติมอรแตะวันออกกับออสเตรเลียเหนือ หรือ หุบติมอรแ (Timor Gap) (เขาถึงที่ http://bit.ly/1JSM1TY)
มีนาคม สนธิสัญญา สนธิสัญญาระหวางออสเตรีเลียกับอินโดนีเซียเพื่อกําหนดเขต 2540/1997 (Treaty) เศรษฐกิจจําเพาะและเสนเขตแดนพื้นดินทองทะเล (seabed)
ธันวาคม คําพิพากษา ศาลโลก โดยคะแนนสิบหกเสียงตอหนึ่งเสียง ตัดสินวาอธิปไตยเหนือ 2545/2002 ศาลโลก (ICJ เกาะลิกิตันและเกาะสิปาดันเป็นของมาเลเซีย ทําใหมาเลเซียและ Judgment) อินโดนีเซียตองกําหนดเสนเขตแดนในพื้นที่นี้ (เขาถึงที่ http://bit.ly/1IEFFpE)
มิถุนายน ความตกลง ความตกลงระหวางเวียดนามกับอินโดนีเซียวาดวยการกําหนดขอบ 2546/2003 (Agreement) ไหลทวีป (เขาถึงที่ http://bit.ly/1MDt1YQ)
334
ประเทศ วันที่ลงนาม ประเภท การด าเนินการกับคู่ภาคี มาเลเซีย มีนาคม สนธิสัญญา สนธิสัญญาระหวางอินโดนีเซียกับมาเลเซียเกี่ยวกับการกําหนดทะเล 2514/1971 (Treaty) อาณาเขตในชองแคบมะละกา (เขาถึงที่ http://1.usa.gov/1JPqGMy)
ธันวาคม ความตกลง ความตกลงระหวางอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เกี่ยวกับการ 2514/1971 (Agreement) กําหนดขอบไหลทวีปทางตอนเหนือของชองแคบมะละกา (เขาถึงที่ http://1.usa.gov/1fbXTVN)
ตุลาคม สนธิสัญญา สนธิสัญญาระหวางไทยกับมาเลเซียเกี่ยวกับการกําหนดทะเลอาณา 2522/1979 (Treaty) เขต (เขาถึงที่ http://bit.ly/1Fin2D2)
ตุลาคม บันทึกความเขาใจ บันทึกความเขาใจระหวางไทยกับมาเลเซียวาดวยการกําหนดขอบ 2522/1979 (Memorandum ไหลทวีปในอาวไทย (เขาถึงที่ http://bit.ly/1KS48u2) of Understanding)
สิงหาคม ความตกลง ความตกลงระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแเพื่อกําหนดเสนเขตแดนของ 2538/1995 (Agreement) ทะเลอาณาเขตใหสอดคลองกับความตกลงระหวางสเตรทสแเซ็ทเทิล เมนทแสกับยะโฮรแวาดวยทะเลอาณาเขตปี 2470/1927
ธันวาคม คําพิพากษา ศาลโลก โดยคะแนนสิบหกเสียงตอหนึ่งเสียง ตัดสินวาอธิปไตยเหนือ 2545/2002 ศาลโลก (ICJ เกาะลิกิตันและเกาะสิปาดันเป็นของมาเลเซีย ทําใหมาเลเซียและ Judgment) อินโดนีเซียตองกําหนดเสนเขตแดนในพื้นที่นี้ (เขาถึงที่ http://bit.ly/1IEFFpE)
เมษายน ความตกลง ความตกลงระงับขอพิพาทกรณีอางสิทธิ์เหนือดินแดนโดยรอบชอง 2548/2005 (Agreement) แคบยะโฮรแโดยสิงคโปรแ (เขาถึงที่ http://bit.ly/1QZNKXZ)
พฤษภาคม คําพิพากษา ศาลโลก (1) โดยคะแนนสิบสองเสียงตอสี่เสียง ตัดสินวาอธิปไตย 2551/2008 ศาลโลก (ICJ เหนือเกาะเพอดรา บรังกา/ปูเลา บาตู ปูเต฿ะ เป็นของสาธารณรัฐ Judgment) สิงคโปรแ (2) โดยคะแนนสิบหาเสียงตอหนึ่งเสียง ตัดสินวาอธิปไตย เหนือมิดเดิล ร็อค เป็นของมาเลเซีย (3) โดยคะแนนสิบหาเสียงตอ หนึ่งเสียง ตัดสินวาอธิปไตยเหนือเซาทแ เลดจแ เป็นของรัฐในทะเล อาณาเขตซึ่งเซาทแ เลดจแ ตั้งอยู” (เขาถึงที่ http://bit.ly/1Bd22mr)
335
ประเทศ วันที่ลงนาม ประเภท การด าเนินการกับคู่ภาคี ฟิลิปปินสแ - - ยังไมมีเคยมีการดําเนินการใดๆ สิงคโปรแ พฤษภาคม ความตกลง ความตกลงระหวางอินโดนีเซียกับสิงคโปรแเกี่ยวกับการกําหนดทะเล 2516/1973 (Agreement) อาณาเขตในชองแคบสิงคโปรแ (เขาถึงที่ http://1.usa.gov/1LasWvi)
สิงหาคม ความตกลง ความตกลงระหวางมาเลเซียกับสิงคโปรแเพื่อกําหนดเสนเขตแดนของ 2538/1995 (Agreement) ทะเลอาณาเขตใหสอดคลองกับความตกลงระหวางสเตรทสแเซ็ทเทิล เมนทแสกับยะโฮรแวาดวยทะเลอาณาเขตปี 2470/1927
เมษายน ความตกลง ความตกลงระงับขอพิพาทกรณีอางสิทธิ์เหนือดินแดนโดยรอบชอง 2548/2005 (Agreement) แคบยะโฮรแโดยสิงคโปรแ (เขาถึงที่ http://bit.ly/1QZNKXZ)
พฤษภาคม คําพิพากษา ศาลโลก (1) โดยคะแนนสิบสองเสียงตอสี่เสียง ตัดสินวาอธิปไตย 2551/2008 ศาลโลก (ICJ เหนือเกาะเพอดรา บรังกา/ปูเลา บาตู ปูเต฿ะ เป็นของสาธารณรัฐ Judgment) สิงคโปรแ (2) โดยคะแนนสิบหาเสียงตอหนึ่งเสียง ตัดสินวาอธิปไตย เหนือมิดเดิล ร็อค เป็นของมาเลเซีย (3) โดยคะแนนสิบหาเสียงตอ หนึ่งเสียง ตัดสินวาอธิปไตยเหนือเซาทแ เลดจแ เป็นของรัฐในทะเล อาณาเขตซึ่งเซาทแ เลดจแ ตั้งอยู” (เขาถึงที่ http://bit.ly/1Bd22mr)
เวียดนาม กรกฎาคม ความตกลง ความตกลงทะเลประวัติศาสตรแ (Historic Waters) ระหวางกัมพูชา 2525/1982 (Agreement) กับเวียดนาม โดยสหรัฐอเมริกาไมรับรองการอางสิทธิ์และประทวง การอางสิทธิ์ทางประวัติศาสตรแในปี 2525/1982 และยืนยันอีกครั้ง ในปี 2542/1999
สิงหาคม ความตกลง ความตกลงระหวางไทยกับเวียดนามวาดวยการกําหนดเขตแดนทาง 2540/1997 (Agreement) ทะเลในอาวไทย (เขาถึงที่ http://bit.ly/1IXiFoS)
มิถุนายน ความตกลง ความตกลงระหวางเวียดนามกับจีนวาดวยการปักปันเขตทะเลอาณา 2547/2004 (Agreement) เขต เขตเศรษฐกิจจําเพาะ และไหลทวีปในอาวตังเกี๋ย (เขาถึงที่ http://bit.ly/1IEPHXG)
มิถุนายน ความตกลง ความตกลงระหวางเวียดนามกับอินโดนีเซียวาดวยการกําหนดขอบ 2546/2003 (Agreement) ไหลทวีป (เขาถึงที่ http://bit.ly/1MDt1YQ)
ข้อมูลเพิ่มเติมโปรดดู Office of Ocean and Polar Affairs, Bureau of Oceans and International Environmental and Scientific Affairs in the Department of State. Limits in the Seas เขาถึงเมื่อ 18 กุมภาพันธแ 2557/2014 เขาถึงจาก http://1.usa.gov/1Uhwy7j 336
ประวัติผู้วิจัย
นายอัครพงษแ ค่ําคูณ เกิดที่อําเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ เขาศึกษาในระดับชั้นอนุบาลที่โรงเรียน บานทาโพธิ์ มิตรภาพที่ 204 ปัจจุบันคือ โรงเรียนอนุบาลราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ จบการศึกษาชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนเทศบาล 2 “รัชมังคลานุสรณแ” อําเภอเมืองศรีสะเกษ โดยไดรับคัดเลือกให เป็นนักเรียนดีเดนรางวัลพระราชทานประจําปีการศึกษา 2536/1993 ตอมาเขาศึกษาตอในระดับชั้น มัธยมศึกษาที่โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย อําเภอเมืองศรีสะเกษ และไดรับคัดเลือกใหเป็นนักเรียนดีเดนรางวัล พระราชทานประจําปีการศึกษา 2540/1997 ตอมาในปี 2544/2001 สอบเขาศึกษาตอในโครงการเอเชีย ตะวันออกเฉียงใตศึกษา คณะศิลปศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ ทาพระจันทรแ เมื่อจบการศึกษาในปี 2548/2005 จึงสอบบรรจุเขาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยในตําแหนงอาจารยแประจําโครงการเอเชียตะวันออก เฉียงใตศึกษา คณะศิลปศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ ทาพระจันทรแ ตอมาในปี 2549/2006 จึงลาศึกษา ตอโดยไดรับทุนการศึกษาจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอรแ (Rockefeller Foundation) เพื่อเขาศึกษาตอในระดับ ปริญญาโทที่โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใตศึกษา (หลักสูตรนานาชาติ) บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณแ มหาวิทยาลัย และจบการศึกษาในปี 2551/2008 โดยทําวิทยานิพนธแในหัวขอ “การทองเที่ยวชายแดนระหวาง ไทยกับกัมพูชาถายหลังการสิ้นสุดของสงครามเย็น: อัตลักษณแ จิตจํานงคแ และโอกาส (BORDER TOURISM BETWEEN THAILAND AND CAMBODIA AFTER THE END OF THE COLD WAR: IDENTITY, SPIRIT, AND PROSPECT)” ตอมาในปี 2552/2009 จึงลาออกเพื่อสอบบรรจุเขาเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยใน ตําแหนงอาจารยแประจําวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงคแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ ทาพระจันทรแ โดยทํางาน สอนและงานวิจัยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังทําหนาที่กรรมการศูนยแเอเชียตะวันออกเฉียงใตศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ และกรรมการศูนยแอาเซียน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ โดยสนใจศึกษาวิจัยในประเด็น สหสาขาวิชาการทางสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ เชน ประวัติศาสตรแ ความสัมพันธแระหวางประเทศ การทองเที่ยว การจัดการเสนเขตแดนระหวางประเทศ และ วัฒนธรรมศึกษา โดยเฉพาะอาณาบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใตศึกษา (Southeast Asian Studies)
ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ของผู้วิจัย Groslier, Bernard-Philippe. 2545. นี่ เสียมกุก. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและ มนุษยศาสตรแ. ชาญวิทยแ เกษตรศิริ และอัครพงษแ ค่ําคูณ (บรรณาธิการ). 2552. แมน้ําโขง ณ นครพนม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิ โครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. อัครพงษแ ค่ําคูณ. 2546. "โพธิ์: เรื่องที่เรายังไม่รู้." หนา 53 – 146 ในหนังสือ พระศรีมหาโพธิ์: จากชมพูทวีปสู สุวรรณภูมิ, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและ มนุษยศาสตรแ. —. 2547. “การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์กับเจ็ดทศวรรษการเมืองไทย” ในหนังสือ ธรรมศาสตรแและ การเมืองเรื่องพื้นที่: สูทศวรรษที่ 7 ปฏิวัติ 2475 สถาปนา มธก. 2477 . ชาญวิทยแ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2549. "ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ าโขง (The Mekong Delta): แผ่นดิน ผืนน้ า ผู้คน ประวัติศาสตร์ และทรัพยากร." หนา 357 - 437 ในหนังสือ แมน้ําโขง: จากตาจู - ลานชาง - ตนเลธม ถึง กิ๋วลอง, 337
ชาญวิทยแ เกษตรศิริ และอัครพงษแ ค่ําคูณ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตํารา สังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2551. “ว่าด้วย สฺย ากุกฺ” ในหนังสือ สยามหรือไทย: นามนั้นสําคัญมากฉะนี้หรือ? กรุงเทพฯ : มูลนิธิ โครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2553. "การจัดการสิ่งแวดล้อมในประเทศกัมพูชา." หนา 430 - 468 ในหนังสือ การจัดการสิ่งแวดลอมใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต, สีดา สอนศรี (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: โครงการตําราและสิ่งพิมพแ คณะ รัฐศาสตรแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ. —. 2555. "กฎหมายระหว่างประเทศกับแม่น้ านานาชาติ." หนา 2 - 53 ในหนังสือ น้ําของ: แมน้ําโขง ณ นครพนม, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ และกาญจนี ละอองศรี (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการ ตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2556. "เขตแดน พรมแดน และชายแดน ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา." หนา 71 - 175 ในหนังสือ เขต แดนสยามประเทศไทยกับลาวและกัมพูชา, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิ โครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2549. "ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ าโขง (The Mekong Delta): แผ่นดิน ผืนน้ า ผู้คน ประวัติศาสตร์ และทรัพยากร." หนา 363 - 403 ในหนังสือ ลุมน้ําโขง: วิกฤต การพัฒนา และทางออก, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ และกัมปนาท ภักดีกุล (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและ มนุษยศาสตรแ. —. 2551. "เสียงจากท้ายน้ า เบื้องล่าง ตนเลสาบและเวียดนามใต้." หนา 378 - 440 ในหนังสือ สาละวิน-แม โขง, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและ มนุษยศาสตรแ. —. 2551. ฮีตสิบสอง. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2552. "ฮีตสิบสอง." หนา 430 - 474 ในหนังสือ แมน้ําโขง ณ นครพนม, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ และอัคร พงษแ ค่ําคูณ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2553. "แม่น้ ากก-เสียมกุก กับความเป็นมาของค า สยาม ไทย ลาว และขอม." หนา 172 – 222 ในหนังสือ เชียงราย ณ แมน้ําโขง, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ และกาญจนี ละอองศรี (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิ โครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2554. "การบริหารจัดการแม่น้ านานาชาติดานูบ." หนา 83 – 140 ในหนังสือ เขตแดนเบลเยียม - ฝรั่งเศส - เนเธอรแแลนดแ - แมน้ําดานูบ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2554. "เขตแดน พรมแดน และชายแดน ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา." หนา 295 – 399 ในหนังสือ เขตแดน สยามประเทศไทย - มาเลเซีย - พมา - ลาว -กัมพูชา, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2556. "เขตแดนทางบก-ทางทะเล กับเพื่อนบ้านอาเซียน." หนา 153 - 195 ในหนังสือ อาเซียนศึกษา, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ และกาญจนี ละอองศรี (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตํารา สังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. มิถุนายน 2551 - พฤษภาคม 2552. "ประวัติศาสตร์" และ "ชาติ" ฟิลิปปินส์ ในหนังสือเรียน "ประวัติศาสตร์ชนชาติฟิลิปปินส์ส าหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย". ใน จุลสารหอจดหมายเหตุ ธรรมศาสตรแ. ฉบับที่ 12
338
—. มิถุนายน 2547 – พฤษภาคม 2548 " ชาวธรรมศาสตร์ยุคแรก: เกร็ดจากเอกสารส านักทะเบียนและ ประมวลผล” ใน จุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตรแ. ฉบับที่ 8 อัครพงษแ ค่ําคูณ และคนอื่นๆ. 2556. 50 คํากุญแจไขอาเซียน. อรรถยุทธ ศรีสมุทร และพิภพ อุดร (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: สถาบันทรัพยากรมนุษยแ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ รวมกับกรมอาเซียน กระทรวงการตางประเทศ. —. 2555. อยุธยา: Discovering Ayutthaya. ชาญวิทยแ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการ ตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ และมูลนิธิโตโยตาประเทศไทย. อัครพงษแ ค่ําคูณ และชาญวิทยแ เกษตรศิริ. 2555. "แผนที่คดีเมือง แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระหว่างสยาม กับฝรั่งเศส พ.ศ.2446/47 (ค.ศ.1904) และ พ.ศ.2451 (ค.ศ.1908)." หนา 402 - 411 ในหนังสือ ประมวลแผนที่: ประวัติศาสตรแ-ภูมิศาสตรแ-การเมือง กับลัทธิอาณานิคมในอาเซียน-อุษาคเนยแ, ชาญ วิทยแ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแและมนุษยศาสตรแ. —. 2556. "แผนที่คดีเมือง แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส พ.ศ.2446/47 (ค.ศ.1904) และ พ.ศ.2451 (ค.ศ.1908)." หนา 186 - 310 ในหนังสือ สยามประเทศไทย: ไดดินแดน-เสียดินแดน กับลาวและกัมพูชา, ชาญวิทยแ เกษตรศิริ (บรรณาธิการ). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตําราสังคมศาสตรแ และมนุษยศาสตรแ.
339