ราชมงคลสัญลักษณ์ TH-ENG A5 Final.Pdf

Total Page:16

File Type:pdf, Size:1020Kb

ราชมงคลสัญลักษณ์ TH-ENG A5 Final.Pdf ราชมงคลสัญลักษณ Rajamangala Emblem ศํกดิ์นรินทร ชาวงิ้ว Saknarin Chao-ngiw แปลโดย นักศึกษารายวิชา วิชา Business Translation (BOAEC130) อาจารยผูสอน นายเฉลิมชัย พาราสุข ปการศึกษา ๒๕๖๒ โครงการจัดทําเอกสารเผยแพรองคความรูวิชาการดานศิลปวัฒนธรรม ชื่อหนังสือ : ราชมงคลสัญลักษณ Rajamangala Emblem เจาของ : ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ที่ปรึกษา: รศ.ศีลศิริ สงาจิตร ผูปฏิบัติหนาที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา รศ.สมชาติ หาญวงษา รองอธิการบดีฝายกิจการพิเศษ ผศ.ชัยปฐมพร ธนพัฒนปวงวัน ผูอํานวยการศูนยวัฒนธรรมศึกษา .อ.เฉลิมชัย พาราสุข อาจารยประจํารายวิชา Business Translation (BOAEC130) ผูเขียน : ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว แปลโดย : นักศึกษารายวิชา วิชา Business Translation (BOAEC130) บรรณาธิการ: อุไรพร ดาวเมฆลับ กองบรรณาธิการ: ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว รจนา ราชญา วันทนา มาลา พิสูจนอักษร: อุไรพร ดาวเมฆลับ ออกแบบและจัดหนา: อัษฎาวุฒิ ดวงจิต จํานวน: ๕๐๐ เลม พิมพที่: ศิริวัฒนา กราฟฟค โทร. ๐๕๓-๒๓๑๒๐๑, ๐๕๓-๒๒๑๐๙๗ ๓/๒๔ ถ.รัตนโกสินทร ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม ๕๐๒๐๐ กันยายน ๒๕๖๓ ๒ คํานํา “ราชมงคลสัญลักษณ” หมายถึงสัญลักษณแหงราชมงคล โดยมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ทั้ง ๙ แหงทั่วประเทศไทย ใชตราสัญลักษณ เชนเดียวกันนี้ เพียงแตเปลี่ยนชื่อเปนมหาวิทยาลัยตาง ๆ โดยหนึ่งในนั้นก็คือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา เริ่มตนจากโครงการคลังความรูดานศิลปวัฒนธรรมลานนา (กิจกรรมถอด องคความรู พอครู แมครู) ประจําปงบประมาณ ๒๕๖๐ โดยการถอดองคความรู จากตัวของพอครูผูมีความรูความเชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถรูถึงประวัติ การสั่งสมวิชา ความรูของพอครู ซึ่งจะเปนแนวทางในการสรางงานตาง ๆ ของคนรุนตอไปได โดยเนื้อหาสาระที่ถอดความรูเปนเรื่องการจัดออกแบบตราสัญลักษณของสถาบัน ตั้งแตเปนสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มาสูมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง ๙ แหง เปนปฐม ดังนั้นในโครงการจัดทําเอกสารเผยแพรองคความรูวิชาการดาน ศิลปวัฒนธรรม ในปงบประมาณ ๒๕๖๓ นี้ จึงไดจัดพิมพงานดังกลาวเพื่อใหทุก คนไดเขาถึงความรูนั้นไดกวางขึ้น และเปนประโยชนในการศึกษา และสามารถ นําไปใชประโยชนตอไป กองบรรณาธิการ ๓ สารบัญ คํานํา ๓ สารบัญ ๔ ราชมงคลสัญลักษณ บทนํา ๖ บทที่ ๑ ประวัติและผลงาน ๘ บทที่ ๒ หลอหลอมความเชี่ยวชาญ ๑๔ บทที่ ๓ กวาจะมาเปนตราสัญลักษณ ๒๖ บทที่ ๔ ขอสรุปและขอเสนอแนะ ๔๙ บรรณานุกรม ๕๑ Rajamangala Emblem Introduction 54 Chapter 1 History and Portfolio 55 Chapter 2 Accumulation of the Expertise 61 Chapter 3 Before to be the emblem 69 Chapter 4 Conclusions and recommendations 92 References 94 ๔ ราชมงคลสัญลักษณ์ ๕ บทนํา จากพันธกิจของมหาวิทยาลัยในการที่จะทํานุบํารุง อนุรักษ และ เผยแพรศิลปวัฒนธรรม อันดีงาม และในบริเวณที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลลานนา ครอบคลุมในกลุมภาคเหนือทั้ง ๑๗ จังหวัด ซึ่งทั้งหมดตางมี ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามที่เปนเอกลักษณ และนักปราชญที่มีภูมิปญญาอันเปนที่ ประจักษอยูหลายคน ซึ่งนับวันก็มีอายุมาก ขาดขวัญและกําลังใจในการทํางาน ดานศิลปวัฒนธรรม นอกจากนี้องคความรูตางๆ มักอยูตัวของผูคนที่ทํางานดาน ศิลปวัฒนธรรม จากความรูที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ ความรูจากการสั่งสม ประสบการณมาหลายป หากความรูเหลานั้นไมไดรับการถายทอดออกมาแลว ก็ จะหายไปกับตัวของผูที่ทํางานนั้นเอง และความรูก็จะสูญหายไป ก็นับวาเสียดาย อยางยิ่งหากจะเปนอยางนั้น ฉะนั้นทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา จึงไดจัดทําโครงการถอดองคความรูจากตัวคนออกมา แยกตามสาขางานศิลป เพื่อที่จะใหองคความรูนั้นสืบทอดเอาไว ฝากไวกับแผนดิน และลมหายใจของ ศิลปวัฒนธรรมจะมีผูสืบทอดตอไป ไมเพียงเทานั้น ภูมิปญญายังกระจายตัวอยูทั้ง ในกลุมคนตางๆ ทั้งชาติพันธุใหญนอยในแผนดิน และความเชื่อมโยงสัมพันธ ระหวางบานเมืองตางๆ ที่อยูในภูมิภาคใกลเคียงที่มีความสัมพันธกันมาแตเดิม ดังนั้นการเก็บรวบรวมองคความรูภูมิปญญาทองถิ่น เขาไวเปนคลัง ความรู นับวาเปนสิ่งที่รวบรวมความรูเอาไวอยางเปนระบบ สามารถคนควาหา ขอมูลไดงาย เปนประโยชนตอเยาวชนคนรุนหลังที่จะใชเปนแหลงศึกษาหาความรู ไดตอไปในอนาคต ในการนี้ ศูนยวัฒนธรรมศึกษา มีความสนใจที่จะเก็บและถายองค ความรูดานการออกแบบตราประจํามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ที่ใช ตรามหาพิชัยมงกุฎเปนสัญลักษณประจํามหาวิทยาลัย โดยใชตั้งแตเมื่อครั้งเปน ๖ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล โดยไดมีการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให เชิญพระราชลัญจกรและพระมหาพิชัยมงกุฎเปนเครื่องหมายของสถาบัน และสง ตอมาถึงมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ทั้ง ๙ แหง โดย มีอาจารยนัฏจักร ณ เชียงใหม เปนผูออกแบบ และประสานงานในการขอพระราชทานพระบรมรา ชานุญาต จนไดมาเปนตราสัญลักษณของมหาวิทยาลัย ดังนั้นในครั้งนี้ จึงจําเปนที่จะตองทําการศึกษา ถอดความรูและขอวัตร อันพึงปฏิบัติในการปฏิบัติงานตางๆ ของผูออกแบบ อันถือวาเปน “ครู” แกลูก ศิษย และผูที่สนใจในดานศิลปะ และวัฒนธรรมของประเทศชาติ โดยนําเสนอ ประวัติและผลงานของครู คือ อาจารยนัฏจักร ณ เชียงใหม ตลอดถึงเบื้องหลังใน การหลอหลอมองคความรู อันไปสูการสรางและพัฒนาผลงานของตนตอไป และทายสุด จะเปนเรื่องความเปนมาของตราสัญลักษณมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคล อันเปนที่เคารพยิ่งของชาวราชมงคล ทั้ง ๙ แหง ๗ บทที่ ๑ ประวัติและผลงาน นายนัฏจักร ณ เชียงใหม ๘ ชื่อ นายนัฏจักร ณ เชียงใหม (ชื่อเดิม นายมนัส) ชาติภูมิ วันอาทิตย ที่ ๖ กันยายน ๒๔๘๕ ณ จังหวัดเชียงใหม ชื่อคูสมรส รองศาสตราจารย นิตยา ณ เชียงใหม การศึกษา - ม.๖ พ.ศ.๒๕๐๒ โรงเรียนอนุสารบํารุงวิทยา จังหวัดเชียงใหม - ปป.ช. พ.ศ. ๒๕๐๕ โรงเรียนเพาะชาง กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐ - ปม.ช.(จิตรกรรม) พ.ศ. ๒๕๐๗ โรงเรียนเพาะชาง (สถาบันเทคโนโลยีราช มงคลวิทยาเขตเพาะชาง) - กศ.บ. (ศิลปศึกษา) พ.ศ.๒๕๑๕ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒวิทยาเขต ประสานมิตร หนาที่การงาน - เริ่มรับราชการ ๑ มิถุนายน ๒๕๐๗ ณ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขต เพาะชาง กรุงเทพมหานคร ๑๐๒๐๐ - สอนวิชาวาดเขียน , วิชาลายไทย , วิชาศิลปะประจําชาติ , วิชาเครื่องรัก - อดีตหัวหนาแผนกวิชาจิตรกรรมไทย คณะวิชาศิลปะประจําชาติ ,วิทยาเขต เพาะชาง - อาจารย ๓ ระดับ ๘ หัวหนาแผนกวิชาเครื่องรัก สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเพาะชาง และสถานศึกษาที่มีการเรียนการสอนวิชาศิลปะ - อดีตผูอํานวยการสถาบันวัฒนธรรมราชมงคลเฉลิมพระเกียรติ ๙ ปจจุบัน - ขาราชการบํานาญ ผูเชี่ยวชาญการสอนชางศิลปไทย ระดับ ๙ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคล-รัตนโกสินทร (เพาะชาง) - ภาคีสมาชิกราชบัณฑิต ศิลปะไทย ผลงานทางวิชาการ - หนังสือความรูสําหรับกลุมการงานและพื้นฐานอาชีพ “งานเครื่องรัก” - หลักสูตรรายวิชาศิลปกรรม “เครื่องรัก” - ภาพประกอบเรื่องหนังสือ FOLK TALER FROM ASIA FOR CHILDREN EVERYWHERE (ASIA CULTURAL CENTER FOR UNESCO ) - ภาพปะกอบเรื่องหนังสือวรรณคดีไทย จํานวน ๓ เลม (ดาหลังหรืออิเหนานอย , สังขทอง , พระอภัยมณี ของกองตํารา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ) - ภาพประกอบเรื่องหนังสือสําหรับเด็ก (CUESS! WHAT I’M DOING)ของศูนย วัฒนธรรมแหงเอเชียยูเนสโก(ปแหงการรูหนังสือสากล พ.ศ. ๒๕๓๓) - หนังสือตํารา “เครื่องรัก” (ผลงานวิชาการอาจารย ๓ ระดับ ๘) ป ๒๕๓๐ - รูปแบบผลงานสถาปตยกรรมไทย “บุษบกมาลาฯ” งานแกะสลักลงรักปดทอง ประดับกระจก , ประดับรักพิมพลาย,ประดับพลอย,รักสี (สําหรับใชเปนสื่อการ สอน,ประดิษฐานพระวิษณุกรรมเทพศิลป) - ตํารา “สมุดลายไทย” ผลงานป ๒๕๓๗ - งานศึกษาคนควาภาพจิตรกรรมลายเสน “สมุดภาพไทย ” ผลงานที่ ๑๕๓๗ งานบริหารสังคม - ครูสอนพิเศษ สอนการเขียนลาย โครงการสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ ศูนย ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา - อาจารยพิเศษ สอนวิชาศิลปะไทย คณะศิลปกรรม สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล คณะศิลปกรรมศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย , สถาบันราชภัฏธนบุรี ๑๐ - เปนคณะกรรมการดําเนินการจัดสรางพระอนุสาวรีย สมเด็ดเจาฟาจุฑาธุชธรา ดิลกฯ ,สมเด็จพระราชชายา เจาดารารัศมี พระมเหสีในรัชกาลที่ ๕ (ราชการ ตํารวจ) - เปนคณะกรรมการทํางานดานอาคารประกอบพิธี และจารึกนามผูกลาหาญกอง ประวัติศาสตร และพิพิธภัณฑทหาร (กองบัญชาการทหารสูงสุด) - ชวยราชการของจังหวัดเชียงใหม ซอมสรางพระเจดียวัดชมพู อําเภอ เมือง เชียงใหม - เปนคณะกรรมการจัดทําหนังสือเชียงใหม ๗๐๐ ป - พจนานุกรมศัพทลายไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ราชตระกูล เจานายฝายเหนือ “เจาเจ็ดตน” (สายที่ ๑) ๑๑ ๑. เจาพระยาสุรวะไชยสงคราม (พระเจาติ๊บจาง) หรือทิพจักร ตั้งพิธีอภิเษกสรงเปนเจาพญานครลําปาง พ.ศ. ๒๒๗๕ เสด็จทิวงคต พ.ศ. ๒๓๐๒ ๒. เจาฟาหลวงชายแกว มีพระราชบุตร ๗ องค เรียกวา “เจาเจ็ดตน” (นับเฉพาะพี่ชาย) และมีพระราชธิดา ๓ องค องคใหญ เปนพระมเหสีวังหนา รัชกาลที่ ๑ แหงกรุงสยาม พระเจาบรมราชาธิบดีฯ กาวิละ พระเจาเชียงใหมที่ ๑ เจาเจ็ดตน องคที่ ๑ เคยครองนครลําปาง เวียงปาซางลําพูน ผูเปนใหญในลานนาประเทศ ๕๗ หัวเมือง ปฐมวงศราชสกุล “ณ เชียงใหม” เจาสุริยะฆาฎ พระราชบุตรองคที่ ๑ เจาราชบุตรเชียงใหมที่ ๑ เริ่มนับเชื้อ เจ็ดตนลําดับที่ ๑ พระเชษฐาพระเจาเชียงใหมที่ ๖ มีราชบุตร ๑ องค ราชธิดา ๒ องค ๓. เจาราชแผนฟา ราชบุตรองคที่ ๑ เจาราชภาคินัยเชียงใหมที่ ๑ เปนพระราชบุตรบุญธรรม ผูสําเร็จราชการ ในพระเจาเชียงใหมที่ ๒ กาวิโรรสฯ แบงใหกินเมืองเชียงใหมกึ่งหนึ่ง ๖. เจาศรีนํ้าเผิ้ง ๖. เจาสมมนุษย (บุตรคนที่ ๑) ๖. แมเจาจามรีวงษใน (เจาศรีนํ้าเผิ้ง หรือ เจาผึ้ง) บุตรคนที่ ๑๒ (สุดทาย) เจานครเชียงใหมองค ๗. เจากาบคํา ณ เชียงใหม อนุชาเจาแมจามรีวงศในเจาแกวนวรัฐ เจานครเชียงใหมที่ ๙ สุดทาย บุตรบุญธรรมเจานอยไชยลังกา และเจาหญิงสีวิลาเทวี ณ เชียงใหม ๘. เจาสุริยฉาย และเจาชื่นสิโรรส ๗. เจาราชบุตร วงศตะวัน ณ เชียงใหม ๗. เจาสุริสา ๙. พี่ชาญ, พี่ปุก, พี่ชูศรี, พี่แอ หรือเจาสา ธิดาคนที่ ๑ แมเจาจามรีวงศ มีบัญชาใหเปนธิดาบุญธรรมเจานางยอดเฮือน เม็งราย (สิโรรส) ญาติเจานายฝายเชียงตุง ๑๒ นัฏจักร ณ เชียงใหม (สมนัส) บุตรคนที่ ๖ นายละมอม ศรีสําอาง เปนบิดา (หลานเจาเมืองสระบุรี เชื่อสายเจานายฝาย เวียงจันทร – หลวงพระบาง) เปนบุตรบุญธรรมทิพผสมศักดิ์ ธิดาเจามหาอุปราขหนอคํา เชียงใหม พลตรีเจาราชบุตร (วงศตะวัน) ทายาทเจาผูครองนครเชียงใหม ลงนามใหเปนผูสืบสกุล “ณ เชียงใหม” สมรสกับ รองศาสตรจารยนิตยา (ชิงชัย) ณ เชียงใหม และมีธิดา ๑ คน นางสาวปานปง ณ เชียงใหม ๑๓ บทที่ ๒ หลอหลอมความเชี่ยวชาญ จากประวัติโดยยอ และสายสาแหรกตระกูล จะเห็นวา อาจารยนัฏจักร มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธกับเจานายฝายเหนือหลายทาน ดังเชนที่อาจารยนัฏจักร เลาไววา “หลานพระเจามโหตรประเทศ หลานเจาชางเผือก เจาทิพยผสมศักดิ์ เลี้ยงมาเปนลูกเก็บ เจานาไขแกว หลานพระเจามโหตรประเทศ เจาราชบุตรวงศ ตวัน หลานพระเจาอินทวิชยานนท เลี้ยงดูเราและใหใชนามสกุล “ณ เชียงใหม” ดวยแมเปนลูกพี่ลูกนองกับเจาราชบุตร โดยเปนสายพระเจากาวิละ สวนทางพอ เปนเชื้อสายเจานายทางเวียงจันทน ซึ่งแตกอน จะไมเสนอตัววาเปน “เจา” ดวย เกรงวาจะมีอันตราย” อาจารยนัฏจักร หรือนามเดิมวา สมมนัส เลาวา ตนเองโชครายตั้งแต เด็ก ดวยกําพราทั้งบิดา และมารดาตั้งแตอายุ ๘ ขวบ แตในความโชคราย ก็สงผล ดีในภายหลัง ฉะนั้นอาจารยนัฏจักร จึงถูกเลี้ยงดูมาในสายขนบเจานาย กอปรกับมีผู เอ็นดูสงสาร และสนับสนุนอยูตลอดเวลา ดังที่อาจารยนัฏจักรพูดเสมอวาตนเอง นั้น เปน “หมาหลายเจา ขาวหลายไห” คือการมีผูอุปการะหลายคน และสายสกุล ณ เชียงใหมก็เปนสายสกุลใหญ มีเครือขายความสัมพันธอันกวางขวาง ฉะนั้นจึง ถูกสั่งสมสรรพความรูจากเจานาย โดยเฉพาะไดรับการสนับสนุนดานการศึกษา จาก เจาราชบุตร (เจาวงศตวัน ณ เชียงใหม)
Recommended publications
  • The Development of the Southeast Asian-Chinese Border Zone
    The Development of the Southeast Asian Border Zone A Social Theory Inaugural-Dissertation zur Erlangung der Doktorwürde der Philosophischen Fakultät der Rheinischen Friedrich-Wilhelms-Universität zu Bonn vorgelegt von Florian Anderhuber aus Graz Bonn, 2019 Gedruckt mit der Genehmigung der Philosophischen Fakultät der Rheinischen Friedrich- Wilhelms-Universität Bonn Zusammensetzung der Prüfungskommission: Prof. Dr. Stephan Conermann, Institut für Orient- und Asienwissenschaften (Vorsitzende/Vorsitzender) Prof. Dr. Christoph Antweiler, Institut für Orient- und Asienwissenschaften (Betreuerin/Betreuer und Gutachterin/Gutachter) Prof. Dr. Dr. Manfred Hutter, Institut für Orient- und Asienwissenschaften (Gutachterin/Gutachter) Prof. Dr.Ralph Kauz, Institut für Orient- und Asienwissenschaften (weiteres prüfungsberechtigtes Mitglied) Tag der mündlichen Prüfung: 30.10.2019 Table of contents I. Theoretical background………………………………………………………………………… 7 1. Introduction and questions………………………………………………………….………….7 1.1. Terminology…………………………………………………………………….……….11 1.2. Theoretical background…………………………………………………………...……..12 1.2.1. The state of border studies…………………………………………………...…...12 1.2.1.1. Basic constructivism and spatial dimensions in border studies……..........13 1.2.1.2. Temporal dimension of border studies……………………………….......20 1.2.1.3. Criteria of demarcating space…………………………………………….23 1.2.2. Considerations of the role of the state……………………………………………27 1.2.3. The nexus between social and state borders……………………………….……..29 1.2.4. Borders as result of state-formation and territorialization………………………..32 1.2.5. State-sanctioned performance of otherness…………………………………........36 1.3. States and borders as social actions……………………………………………………...38 1.4. Agency of borders…………………………………………………………………….…39 1.5. Integrating borderlands: state-action within the national and international system……..44 1.6. The nexus of border-creation and institutionalization………………………..………….48 1.7. The case for Southeast-Asian – Chinese borderlands: a global perspective………...…..51 1.7.1.
    [Show full text]
  • Jao Jan Phom Hom: Nirat Phrathat In-Khwaen”
    The Analysis of History, Story and Narrative; A Case Study of Contemporary Performing Arts, “Jao Jan Phom Hom: Nirat Phrathat In-Khwaen”. Mutjarin Ittiphong, Silpakorn University, Thailand The Asian Conference on Arts & Humanities 2017 Official Conference Proceedings Abstract Jao Jan Phom Hom: Nirat Phrathat In Khwaen by Mala Khamchan (Mr.Charoen Malaroj), is a famous Thai literature Awarded by The Southeast Asian Writers Award (S.E.A. Write Award) in 1991. The literature imagined the portrait about sentimentality and emotion of an unfamiliar princess in an antecedent, which it never been found or record in history. The story is an elegiac poetry, which is a mixture of folk tales from northern and central Thailand, on a pilgrimage to the Golden Rock in Burma. The researcher has adapted and presented the magnificent literature through the vision and forms of contemporary performing arts creature. The theme of the performance narrate by the main character; Princess Jan, as a solo performance. It also emphasizes on insignificant of life related to the belief on Buddhism. This creative research is the literature development to the contemporary performance, which retains on the history background and narrates through the story of the princess. The analysis of history, story and narrative will lead to the integration of the knowledge to create a contemporary performance. Keywords: Performing Arts, Contemporary Performance, Playwright iafor The International Academic Forum www.iafor.org Introduction The word history comes ultimately from Ancient Greek, meaning "inquiry”, “knowledge from inquiry" or "judge". Throughout its 800-year history, Thailand can boast the distinction of being the only country in Southeast Asia never to have been colonized.
    [Show full text]
  • Maha Sura Singhanat
    Maha Sura Singhanat Somdet Phra Bawornrajchao Maha Sura Singhanat (Thai: สมเด็จพระบวรราช Maha Sura Singhanat เจามหาสุรสิงหนาท; RTGS: Somdet Phra Boworaratchao Mahasurasinghanat) (1744–1803) was the younger brother of Phutthayotfa Chulalok, the first monarch of มหาสุรสิงหนาท the Chakri dynasty of Siam. As an Ayutthayan general, he fought alongside his brother in various campaigns against Burmese invaders and the local warlords. When his brother crowned himself as the king of Siam at Bangkok in 1781, he was appointed the Front Palace or Maha Uparaj, the title of the heir. During the reign of his brother, he was known for his important role in the campaigns against Bodawpaya of Burma. Contents 1 Early life 2 Campaigns against the Burmese Monument of Maha Surasinghanat 3 The Front Palace at Wat Mahathat 4 Death Viceroy of Siam 5 References Tenure 1782 – 3 November 1803 Early life Appointed Phutthayotfa Chulalok (Rama I) Bunma was born in 1744 to Thongdee and Daoreung. His father Thongdee was the Predecessor Creation for the new Royal Secretary of Northern Siam and Keeper of Royal Seal. As a son of aristocrat, he entered the palace and began his aristocratic life as a royal page. Thongdee was a dynasty, previously descendant of Kosa Pan, the leader of Siamese mission to France in the seventeenth Krom Khun Pornpinit century. Bunma had four other siblings and two other half-siblings. Bunma himself Successor Isarasundhorn (later was the youngest born to Daoreung. Rama II) Born 1 November 1744 Campaigns against the Burmese Ayutthaya, Kingdom In 1767, Ayutthaya was about to fall. Bunma fled the city with a small carrack to of Ayutthaya join the rest of his family at Amphawa, Samut Songkram.
    [Show full text]
  • No. 5 Thai-Yunnan Project Newsletter June 1989
    [Last updated: 28 April 1992] ----------------------------------------------------------------------------- No. 5 Thai-Yunnan Project Newsletter June 1989 This NEWSLETTER is edited by Gehan Wijeyewardene and published in the Department of Anthropology, Research School of Pacific Studies; printed at Central Printery; the masthead is by Susan Wigham of Graphic Design (all of The Australian National University ).The logo is from a water colour , 'Tai women fishing' by Kang Huo Material in this NEWSLETTER may be freely reproduced with due acknowledgement. Correspondence is welcome and contributions will be given sympathetic consideration. (All correspondence to The Editor, Department of Anthropology, RSPacS, ANU, Box 4 GPO, Canberra, ACT 2601, Australia.) Number Five June 1989 ISSN 1032-500X it is with great sorrow that we extend our condolences to the families and friends of those murdered on the fourth of june in tiananmen square and on subsequent dates and other places. we grieve with the chinese people. there can be nothing but condemnation for the perpetrators of these massacres and the repression that has followed. CONTENTS Classifications and Origins 2 The Soviet View on Southeast Asia 2 Chinese Names for Tai 5 Tai Names 6 Ethnic Groups in Yunnan 8 Black Thai-White Thai 10 Rock art of Zuojiang River valley 11 Translations Relations betwen ancient Xishuangbanna and Lanna 12 Economic development in Xishuangbanna 21 News 24 Correspondence 24 Southeast Asian Legal Texts 24 Tang Administration of non-Han 25 About the Newsletter 26 The Prince and the Moulmein Market Girl 26 Map of Yunnan (notice) 28 Classifications and Origins This issue contains documents prepared for a two day seminar held by the project, concerned with the problems of 1.
    [Show full text]
  • The Participatory We-Self: Ethnicity and Music In
    THE PARTICIPATORY WE-SELF: ETHNICITY AND MUSIC IN NORTHERN THAILAND A DISSERTATION SUBMITTED TO THE GRADUATE DIVISION OF THE UNIVERSITYOF HAWAI‘I AT MĀNOA IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF DOCTOR OF PHILOSOPHY IN MUSIC AUGUST 2017 By Benjamin Stuart Fairfield Dissertation Committee: Frederick Lau, Chairperson Ricardo D. Trimillos R. Anderson Sutton Paul Lavy Barbara W. Andaya Keywords: Northern Thailand, Participatory Music, Lanna, Karen, Lahu, Akha i ABSTRACT The 20th century consolidation of Bangkok’s central rule over the northern Lanna kingdom and its outliers significantly impacted and retrospectively continues to shape regional identities, influencing not just khon mueang northerners but also ethnic highlanders including the Karen, Akha, Lahu, and others. Scholars highlight the importance and emergence of northern Thai “Lanna” identity and its fashioning via performance, specifically in relation to a modernizing and encroaching central Thai state, yet northern-focused studies tend to grant highland groups only cursory mention. Grounded in ethnographic field research on participatory musical application and Mihalyi Csikszentmihalyi’s notion of “flow”, this dissertation examines four case studies of musical engagements in the north as it specifically relates to ethnic, political, and autoethnographic positioning, narratives, and group formulation. In examining the inclusive and exclusive participatory nature of musical expression within various ethnic and local performances in the north, I show how identity construction and social synchrony, achieved via “flow,” sit at the heart of debates over authenticity, continuity, and ethnic destiny. This especially happens within and is complicated by the process of participatory musical traditions, where Thongchai Winichakul’s “we-self” is felt, synchronized, distinguished, and imagined as extending beyond the local performance in shared musical space across borders and through time—even as the “other” is present and necessary for the distinguishing act of ethnic formalization.
    [Show full text]
  • THE IMAGE of CHIANG Mal: the MAKING of a BEAUTIFUL CITY
    Ronald D. Renard THE IMAGE OF CHIANG MAl: THE MAKING OF A BEAUTIFUL CITY Chiang Mai conjures up images of pretty girls, by the Asia Training Centre on Ageing and flowers, pleasing customs, striking scenery, and Care International in Thailand and sponsored gracious manners. Thais from elsewhere in the by the Australian International Development country popularly contend that the local language Assistance Bureau, could avoid such pre­ spoken in Chiang Mai is more melodious than conceptions. At its 1995 workshop, a handout the national Thai language. To many in Thailand, entitled, "Useful Information About Chiang Chiang Mai is all things good about Thai culture, Mai", told "Many lowland Thais regard the city the epitome of the Thai way oflife. as being a national Shangrila thanks to So pervasively has Chiang Mai been extolled beautiful women, distinctive festivals ...". [Asia that persons around the world envision the city Training Centre 1995, p. 6] in the same way. Even such a presumably Such views contrast markedly with those of unromanticizable observer as the American the nineteenth century, when Bangkok Thai Presbyterian missionary, Margaretta Wells, disdained Chiang Mai. To the people of the begins her 1963 guidebook to Chiang Mai with capital, Chiang Mii was a place of homely the statement that the city was "an altogether women who smoked heavily, chewed betel to enchanting place". [1963 p. 1] Later guidebooks excess, and ate so muchpa ha (fermented fish) were even more eloquent. One written in 1989 that they fouled the air. Moreover, these women evoked visions of Shangrila. of high odor were, if the description in old central Thai classics like Khun Chang Khun northern Thailand retains a charm that is hard to Phaen of Chiang Mai's lady, Nang Soi Fa, can express in words and indeed must be experienced be believed, were none too intelligent.
    [Show full text]
  • Rebuilding Lanna: Constructing and Consuming the Past in Urban Northern Thailand
    REBUILDING LANNA: CONSTRUCTING AND CONSUMING THE PAST IN URBAN NORTHERN THAILAND A Dissertation Presented to the Faculty of the Graduate School Of Cornell University In Partial Fulfillment of the Requirements for the Degree of Doctor of Philosophy by Andrew Alan Johnson May 2010 ©2010 Andrew Alan Johnson REBUILDING LANNA: CONSTRUCTING AND CONSUMING THE PAST IN URBAN NORTHERN THAILAND Andrew Alan Johnson, Ph. D. Cornell University 2010 This dissertation is an ethnographic study of the perspective and treatment of the city as a space imbued with charismatic power in Northern Thailand. Reviving the city through channeling and re-imagining the perceived past prosperity of the city of Chiang Mai in the wake of the economic crash of 1997 became a matter of concern for architects, activists, city planners, and spirit mediums: each group respectively sought to control the negative effects of the economic downturn through reconstructing a latent potential within the city with explicit reference to Chiang Mai‟s “Lanna” past (approximately the 13th-19th centuries CE). The various methods ranged from the attempts to redesign public space using models of urban design adapted from the Lanna period to the efforts of spirit medium devotees, who sought to stave off misfortune through reviving the literal guardian spirits of Lanna. However, such attempts at rebuilding both the physical as well as the spiritual integrity of the city carried with them the uncanny trace of misfortune made manifest in the ruins of pre-1997 buildings. These ruins stood alongside the shells of new high- rise construction, providing an unwelcome resemblance that put a pall on the hope placed on the new buildings.
    [Show full text]
  • ASR V04 N01.Indd
    ASR: CMU Journal of Social Sciences and Humanities (2017) Vol.4 No.1 71 Political Issues Hidden in the 19th Century Chiang Mai Chronicle Suwipa Champawan* and Krirk Akarachinores Lan Na Research Center, Social Research Institute, Chiang Mai University, Chiang Mai 50200, Thailand *Corresponding author. E-mail: [email protected] https://doi.org/10.12982/CMUJASR.2017.0005 ABSTRACT Tamnan Phuen Muang Chiang Mai, or the Chiang Mai Chronicle, is regarded as an historical account of the Mangrai Dynasty during the 13-16th centuries, Chiang Mai during Burmese dominion (1558-1776), and Phraya Kawila’s revival of Chiang Mai in 1796. However, within this Chronicle, the Tamnan Phra Non Prua Prang, or story of the Reclining Buddha, which covers the Muang Chiang Mai restoration in the 18th century, is not consistent with historical evidence or the remainder of the Chronicle. This study aimed to analyze why the story of the Reclining Buddha was inserted into the Chiang Mai Chronicle. This study analyzes the Tamnan Phuen Muang Chiang Mai, Lan Na palm-leaf manuscripts, to study the concept of transforming a legend into historical authenticity. We found that these chronicles were copied and rewritten during the 18th and 19th centuries in the reign of King Kawila, ruler of Chiang Mai; he was not a hereditary descendant of the Mangrai Dynasty according to a century-old coherent tradition. Therefore, the Tamnan Phuen Muang Chiang Mai was written to legitimate his succession and demonstrate that he was worthy of ruling the Lan Na kingdom. Keywords: Historical authenticity, Chiang Mai Chronicle, Political issues, Kawila 72 ASR: CMU Journal of Social Sciences and Humanities (2017) Vol.4 No.1 INTRODUCTION In northern Thailand, or Lan Na, Tamnan, or folklore, is defined the Tamnan Phuen Muang Chiang Mai somewhat differently in the Lan Na is a well-known chronicle written on context; it incorporates two aspects palm-leaf; it is a collection of 37 titles according to Sommai Premchit (1997): written in the Lan Na language.
    [Show full text]
  • Lampangampang
    Community Identity Community Identity Community Identity CChiangmaihiangmai 155 Community Identity Community Identity 1. Ban Patan clay sculpture village, tourist a rac on of the local Moo. 4 Sanphakwan Sub-district, wisdom conserva on Hang Dong district, Chiang Mai 2. Pagoda (Buddha’s relics) of Wat La wanaram (Patan) Ancient furnaces Legend of brick Old Pagoda Memorial Tales of Patan Inherited wisdom Smiling clay dolls When the Ban Patan was established, nobody knows surly, but there is a story that was told by grandparent genera on con nuously. In the beginning there were only about 10 homes around 1667 or 341 years ago, before the village was set up, there was a legend told that there was a sugar palm tree in the south of Phra Chedi (Pagoda), and a tree called “Dook” was nearby that people used its root and fruits to make herbal medicine. But an interes ng thing is the sugar palm tree. When the 15th day of the waxing moon or waning moon came, there was the light emi ed from the trunk of the sugar palm tree at night. As the result, the area was ablaze with light. Later, a monk called Khru Bajan came to stay there. And he together with villagers helped to build As the people in the village or community perform expression a temple called “Wat Patan”. Later, the sugar palm tree disappeared of faith in the prac ce of religion, par cipate in ac vi es to develop an without a trace. Then the locals called it “Ton Tan Hin”. Later, the understanding of the teachings of the religion, build the trust and faith to temple was given an offi cial name as “Wat La wanaram (Patan)”, instruct the mind to fi t the social value such as par cipa on in religious while the village is s ll called colloquially “Ban Patan” to this day.
    [Show full text]
  • NEW Title Page
    “Light of A Northern Star: A ‘Foreign’ Concubine in the Siamese Palace, Princess Dara Rasami (1873-1933)” by Leslie Ann Woodhouse Woodhouse ~ Light of A Northern Star Table of Contents Introduction ................................................................................................................................. p. 1 Chapter 1. Becoming Lan Na: Constituting an Inland Constellation ..................................... 7 Appendix: Kings of Lan Na’s Chao Chet Ton Dynasty ...................................................... 63 Illustrations ............................................................................................................................ 64 Chapter 2. Into the Palace: Dara Rasami and Life in the Siamese Court ............................. 65 Illustrations ........................................................................................................................... 119 Chapter 3. Performing Lan Na: Dara Rasami and Ethnicity in the Siamese Court .......... 129 Illustrations .......................................................................................................................... 182 Chapter 4. After Bangkok: Dara Rasami and the Invention of Lan Na “Tradition” ....... 216 Illustrations ........................................................................................................................... 240 Chapter 5. Afterword: Problems of Post-Polygyny in Contemporary Thailand ............... 251 Bibliography Archives Consulted ...............................................................................................................
    [Show full text]
  • Thailand Chiang Mai Province (Chapter)
    Thailand Chiang Mai Province (Chapter) Edition 14th Edition, February 2012 Pages 62 PDF Page Range 232-293 Coverage includes: Chiang Mai, Northern Chiang Mai Province, Mae Sa Valley & Samoeng, Chiang Dao, Doi Ang Khang, Fang & Tha Ton, Southern Chiang Mai Province, Bo Sang & San Kamphaeng, Mae Kampong, Hang Dong, Ban Wan & Ban Thawai and Doi Inthanon National Park. Useful Links: Having trouble viewing your file? Head to Lonely Planet Troubleshooting. Need more assistance? Head to the Help and Support page. Want to find more chapters? Head back to the Lonely Planet Shop. Want to hear fellow travellers’ tips and experiences? Lonely Planet’s Thorntree Community is waiting for you! © Lonely Planet Publications Pty Ltd. To make it easier for you to use, access to this chapter is not digitally restricted. In return, we think it’s fair to ask you to use it for personal, non-commercial purposes only. In other words, please don’t upload this chapter to a peer-to-peer site, mass email it to everyone you know, or resell it. See the terms and conditions on our site for a longer way of saying the above - ‘Do the right thing with our content. ©Lonely Planet Publications Pty Ltd Chiang Mai Province Why Go? Chiang Mai ...................234 The province of Chiang Mai, with its cooling mist-shrouded Mae Sa Valley & mountains bursting with dense jungle, has long enticed Samoeng ......................284 travellers intent on exploring this southern slice of the great Chiang Dao ...................284 Himalayan mountain range. Doi Ang Khang ..............286 Highlights include the laid-back city of Chiang Mai, with Fang & Tha Ton ............
    [Show full text]
  • Payap University International College Chiang Mai, Thailand
    Payap University International College Chiang Mai, Thailand International Student Life Handbook 2014-2015 Welcome On behalf of the faculty and staff of the International College and the entire community of Payap University, we extend to you our warmest welcome. We are glad you have chosen to study here! While you are here, everyone in the International College and the Office of International Affairs will do their best to help you make the cultural, academic, and personal transition to university life in Thailand. If you need advice, assistance, or information, please come by Pentecost (PC) 103. Our office hours are Monday through Friday, 8:30 AM – 11:00 PM and 1:00 – 4:30 PM. We are here to help you! Whether you are a seasoned traveler who has already lived abroad, or someone moving to a distant place for the first time, we hope that you will find Chiang Mai a wonderful place to live. At once exotic and familiar, this northern city of temples is filled with sights, sounds, tastes and experiences, many of which can be found nowhere else in the world. Let us then welcome you to Payap University, to the city of Chiang Mai, and to the hills and valleys of Thailand’s northern region. The information in this handbook is designed to help you get started. However, paper and ink can only cover part of the information you will want to know. Please do come and talk with our staff about your questions and experiences at Payap University. We want to know you. In addition to your head of department, names and phone numbers of useful contacts are listed in this handbook.
    [Show full text]