ร่าง กลยุทธ์ BIMSTEC สาขาประมง ปีงบประมาณ 2553-2555 เบื้องต้น

“ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลส าหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ” Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation-BIMSTEC

กลุํมบริหารการทําการประมงและเศรษฐกิจนอกนํานน้ํา กองประมงตํางประเทศ กรมประมง มีนาคม 2553

2

ค าน า

ตามที่กรมประมงเป็นหนํวยงานหลักในการดําเนินกิจกรรมภายใต๎กรอบความรํวมมือ BIMSTEC สาขาประมง ที่ผํานมาได๎นําเสนอกิจกรรม ตลอดจนเป็นเจ๎าภาพจัดประชุมในระดับ ตํางมาเป็นเวลากวํา 10 ปี ในการนี้ เพื่อให๎เกิดความเข๎าใจรํวมกันระหวํางข๎าราชการของกรม ประมง ตลอดจนเพื่อให๎เกิดประโยชน๑มากที่สุดตํอการดําเนินความรํวมมือภายใต๎กรอบความ รํวมมือ BIMSTEC สาขาประมง กองประมงตํางประเทศจึงเห็นสมควรจัดให๎มีการจัดทํา กลยุทธ๑ BIMSTEC สาขาประมง ปีงบประมาณ 2553-2555 ทั้งนี้ เอกสารฉบับนี้ เกิดจากการรวบรวมข๎อมูลเทําที่กลุํมบริหารการทําการประมงและ เศรษฐกิจนอกนํานน้ํา กองประมงตํางประเทศ มีอยูํ ณ วันที่ 15 มีนาคม 2553 สําหรับการนําไปใช๎ จัดการประชุมระดมความคิดเห็นของผู๎มีสํวนเกี่ยวข๎อง เพื่อการการจัดทํากลยุทธ๑ BIMSTEC สาขา ประมง ปีงบประมาณ 2553-2555 ฉบับสมบูรณ๑ ตํอไป

กลุํมบริหารการทําการประมงและเศรษฐกิจนอกนํานน้ํา กองประมงตํางประเทศ 15 มีนาคม 2553

3

สารบัญ

หน๎า คํานํา…………………………………………………………………………… 2 สารบัญ...... 3 บทที่ 1 วิวัฒนาการ กลไกความรํวมมือ BIMSTEC และบทบาทของไทยในกรอบ ความรํวมมือ BIMSTEC ……………………………………………………... 4 บทที่ 2 นโยบายรัฐบาลไทยที่เกี่ยวข๎อง………………………………………………... 13 บทที่ 3 สถานการณ๑ความรํวมมือประมงของประเทศไทยกับประเทศสมาชิก BIMSTEC 25 บทที่ 4 การดําเนินงานของประเทศไทยโดยกรมประมง...... 35 บทที่ 5 วิเคราะห๑บทบาทไทยในความรํวมมือ BIMSTEC สาขาประมง……………….. 49 บทที่ 6 แผนการดําเนินโครงการภายใต๎กรอบ BIMSTEC ในปีงบประมาณ 2553-2555 55 ภาคผนวก ก สาธารณรัฐประชาชนลังกลาเทศ...... 56 ข ราชอาณาจักรภูฏาน...... 72 ค สาธารณรัฐอินเดีย...... 93 ง สหภาพพมํา...... 113 จ สหพันธ๑สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล...... 129 ฉ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา...... 140 ช ราชอาณาจักรไทย...... 155 บรรณานุกรม...... 158

4 บทที่ 1 วิวัฒนาการ กลไกความร่วมมือ BIMSTEC และบทบาทของไทยในกรอบความร่วมมือ BIMSTEC

ที่มา: กรมเศรษฐกิจระหวํางประเทศ กระทรวงการตํางประเทศ1

วิวัฒนาการ ความเป็นมา และวัตถุประสงค์ ของ BIMSTEC

ความเป็นมา กรอบความรํวมมือทางเศรษฐกิจ BIMSTEC กํอตั้งขึ้นตามปฏิญญากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2540 มีสมาชิกเริ่มแรกประกอบด๎วย บังคลาเทศ ศรีลังกา อินเดียและไทย ภายใต๎ ชื่อ BIST-EC (Bangladesh-India--Thailand Economic Cooperation) ตํอมาได๎รับ สหภาพพมําเข๎าเป็นสมาชิกอยํางเป็นทางการในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2540 พร๎อมทั้งเปลี่ยนชื่อ กรอบความรํวมมือเป็น BIMST-EC (Bangladesh-India-Myanmar-Sri Lanka-Thailand Economic Cooperation) ปัจจุบันมีสมาชิกเพิ่มอีก 2 ประเทศได๎แกํ เนปาล และภูฏาน และ เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation-BIMSTEC) หรือ แปลเป็นภาษาไทยได๎วํา “ความริเริ่มแหํงอําวเบงกอล สําหรับความรํวมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ”

1 กรมเศรษฐกิจระหวํางประเทศ. (2552). เอกสาร BIMSTEC Fact Sheet. กระทรวงการ ตํางประเทศ.

5

วัตถุประสงค์การก่อตั้งกรอบความร่วมมือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่ริเริ่มการกํอตั้งกรอบความรํวมมือ BIMSTEC โดยคิดวํากรอบ ความรํวมมือ BIMSTEC จะชํวยประสานนโยบาย Look West ของไทยให๎เข๎ากับนโยบาย Look East ของอินเดีย และจะชํวยเน๎นจุดยืนนโยบายตํางประเทศแบบ Forward Engagement โดยการ มุํงเน๎นกระชับความสัมพันธ๑กับประเทศพันธมิตรเดิม และบุกเบิกความสัมพันธ๑กับพันธมิตรใหมํๆ และประเทศไทยหวังวําความรํวมมือที่ประสานจุดแข็งของแตํละประเทศเข๎าด๎วยกันใน BIMSTEC จะเป็นการสํงเสริมความริเริ่มของไทยที่นํามาใช๎ได๎ผลเป็นที่ยอมรับในหลายเวทีอื่นๆ ที่ไทยมีสํวน ริเริ่มกํอตั้ง อาทิ ACD และ ACMECS ความสําเร็จจากการดําเนินความรํวมมือในกรอบเหลํานี้จะ ถือเป็นตัวอยํางที่ดีของความรํวมมือระหวํางประเทศกําลังพัฒนา ( south-south cooperation) โดยทําให๎ประเทศไทยมีบทบาทสร๎างสรรค๑ในเวทีระหวํางประเทศตํอไป อยํางไรก็ตาม รัฐบาลไทยริเริ่มกรอบความรํวมมือ BIMSTEC โดยมีวัตถุประสงค๑ เพื่อการ สร๎างความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาคเอเชียใต๎ โดยสํงเสริมความรํวมมือที่ตั้งอยูํบน พื้นฐานความเทําเทียมกันและสํงเสริมผลประโยชน๑รํวมกันทางด๎านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี เพื่อให๎ความชํวยเหลือระหวํางประเทศสมาชิกในรูปของการฝึกอบรม การค๎นคว๎าวิจัย และกระชับ ความรํวมมือเพื่อใช๎ประโยชน๑จากภาคกสิกรรมและอุตสาหกรรม เพื่อขยายการค๎าและการลงทุน ปรับปรุงระบบการสื่อสารและการคมนาคม ตลอดจนเพื่อยกระดับความเป็นอยูํของประชาชนใน ภูมิภาคและสํงเสริมความรํวมมือที่ใกล๎ชิดกับองค๑การระหวํางประเทศ

กิจกรรมการด าเนินงานสาขา เมื่อแรกเริ่มการกํอตั้งกรอบความรํวมมือ BIMSTEC กําหนดให๎มีความรํวมมือในสาขาหลัก 6 สาขา ได๎แกํ สาขาการค๎าและการลงทุน สาขาเทคโนโลยี สาขาการคมนาคมและสื่อสาร สาขา พลังงาน สาขาการทํองเที่ยว สาขาประมง ตํอมา หลังจากการประชุมรัฐมนตรีตํางประเทศ BIMSTEC ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ณ กรุงธากา สาขาความรํวมมือใน BIMSTEC เพิ่มขึ้นจากเดิม 6 สาขาเป็น 13 สาขา โดยประเทศสมาชิกทั้ง 7 ประเทศ แบํงกันเป็น ประเทศนําในสาขาตํางๆ ดังตํอไปนี้

1) การค๎าและการลงทุน (ซึ่งแบํงเป็นอีก 3 สาขายํอย ได๎แกํ การค๎าสินค๎า การค๎าบริการ และการลงทุน) ประเทศนํา คือ บังกลาเทศ 2) การทํองเที่ยว ประเทศนํา คือ อินเดีย 3) การสื่อสารและคมนาคม ประเทศนํา คือ อินเดีย

6

4) พลังงาน ประเทศนํา คือ สหภาพพมํา 5) เทคโนโลยี ประเทศนํา คือ ศรีลังกา 6) ประมง ประเทศนํา คือ ประเทศไทย 7) เกษตร ประเทศนํา คือ สหภาพพมํา 8) การตํอต๎านการกํอกํอการร๎ายและอาชญากรรมข๎ามชาติ ประเทศนํา คือ อินเดีย 9) ปฏิสัมพันธ๑ในระดับประชาชน ประเทศนํา คือ ประเทศไทย 10) สาธารณสุข ประเทศนํา คือ ประเทศไทย 11) วัฒนธรรม ประเทศนํา คือ ภูฏาน 12) การจัดการด๎านสิ่งแวดล๎อมและภัยพิบัติ ประเทศนํา คือ อินเดีย 13) การลดความยากจน ประเทศนํา คือ เนปาล

กลไกการท างานของความร่วมมือ BIMSTEC

กลไกการทํางานภายใต๎กรอบความรํวมมือ BIMSTEC แบํงเป็นการประชุมในระดับตํางๆ ดังนี้ 1. การประชุมระดับผู๎นํา ( BIMSTEC Summit) เป็นการประชุมของผู๎นําประเทศของ ประเทศสมาชิก 2. การประชุมระดับรัฐมนตรี ( Ministerial Meeting) เป็นการประชุมของรัฐมนตรีวําการ กระทรวงตํางๆ ของประเทศสมาชิก โดยจะจัดขึ้นตามโอกาสที่ประเทศสมาชิกต๎องการผลักดัน นโยบายรํวมกัน โดยทั่วไปมีการประชุมหลัก 2 การประชุม คือ 2.1 การประชุมรัฐมนตรีตํางประเทศ (Ministerial Meeting: MM) ทําหน๎าที่เป็น prime mover ในการกําหนดนโยบายภาพรวมและให๎คําแนะนําแกํการประชุมผู๎นํา และได๎รับ มอบหมายจากที่ประชุมผู๎นําให๎ทําหน๎าที่เป็นผู๎ประสานงานหลักในกรอบ BIMSTEC อยํางไรก็ตาม ตั้งแตํการประชุมครั้งที่ 1 จนถึงการประชุมครั้งที่ 4 ได๎จํากัดอยูํเพียงระดับรัฐมนตรีชํวยวําการ กระทรวงการตํางประเทศ จนถึงการประชุมครั้งที่ 5 ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังการ เมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2545 ที่ได๎ยกระดับเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ 2.2 การประชุมรัฐมนตรีการค๎า/เศรษฐกิจ (Trade/Economic Ministerial Meeting: TEMM) เป็นการประชุมที่มีจุดประสงค๑เพื่อติดตามความคืบหน๎าของการดําเนินงานในสาขา การค๎าและการลงทุน และนโยบายเขตการค๎าเสรี BIMSTEC ตํอมาในการประชุมผู๎นําครั้งที่ 1 ได๎มี

7

การเสนอจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีในสาขาอื่นๆ ขึ้น ได๎แกํ สาขาการทํองเที่ยว สาขาพลังงาน สาขาการลดความยากจน และสาขาวัฒนธรรม เป็นต๎น 3. การประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส ( Senior Officials’ Meeting) ในระยะเริ่มต๎น กําหนดให๎จัดประชุมปีละ 1 ครั้ง โดยประเทศสมาชิกผลัดกันเป็นประเทศเจ๎าภาพตามตัวอักษร ตํอมาได๎มีการตกลงให๎จัดการประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโสเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2 ครั้ง โดย 1 ใน 2 ครั้ง นี้จะจัดขึ้นลํวงหน๎าการประชุมระดับรัฐมนตรีตํางประเทศ BIMSTEC 1 วัน ซึ่งการประชุม ระดับรัฐมนตรีตํางประเทศ BIMSTEC กําหนดให๎มีการจัดขึ้นในชํวงเดือนกุมภาพันธ๑ของทุกปี โดย การประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส แบํงเป็น 2 ด๎าน คือ 3.1 ด๎านการค๎าและเศรษฐกิจ (Senior Trade/Economic Officials’ Meeting: STEOM) เป็นการประชุมติดตามความก๎าวหน๎าของผลของการเจรจาเรื่องเขตการค๎าเสรี BIMSTEC หรือ BIMSTEC FTA ความรํวมมือในสาขาหลักด๎านการค๎าและการลงทุน และ 15 สาขายํอยของสาขาการค๎าและการลงทุน ซึ่งจะต๎องทํารายงานเสนอตํอที่ประชุมรัฐมนตรีการค๎า และเศรษฐกิจ 3.2 ด๎านตํางประเทศ ( Senior Official’s Meeting - SOM) เป็นการประชุมเพื่อ ติดตามความก๎าวหน๎าในการดําเนินความรํวมมือ BIMSTEC สาขาตํางๆ อีก 12 สาขา นอกเหนือจากสาขาการค๎าและการลงทุนโดยรับรายงานจากที่ประชุม BIMSTEC Working Group จากนั้นจะเสนอตํอที่ประชุมระดับรัฐมนตรีตํางประเทศตํอไป 4. การประชุมคณะทํางาน BIMSTEC ที่กรุงเทพฯ ( BIMSTEC Working Group in Bangkok หรือ BWG) ซึ่งเป็นการประชุมที่ประกอบด๎วยเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิก BIMSTEC ประจําประเทศไทย และกระทรวงการตํางประเทศในฐานะผู๎แทนประเทศไทย ทําหน๎าที่ ประสานงานคล๎ายฝ่ายเลขานุการของ BIMSTEC เพื่อติดตามและผลักดันความคืบหน๎าในแตํละ สาขาความรํวมมือและเพื่อศึกษาแนวทางและนโยบายของความรํวมมือกํอนเสนอรายการตํอที่ ประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส ตํอมา ประเทศไทยได๎จัดตั้งศูนย๑ BIMSTEC หรือ BIMSTEC Center ขึ้นเพื่อเป็นโครงการนํารํองและสนับสนุนการทํางานของ BWG โดย BIMSTEC Center ตั้งอยูํที่ สถาบันยุทธศาสตร๑การค๎า มหาวิทยาลัยหอการค๎าไทย 5. การประชุมคณะผู๎เชี่ยวชาญ ( Expert Group Meeting) เป็นการประชุมในระดับสาขา ความรํวมมือตํางๆ โดยหนํวยงานภาครัฐที่รับผิดชอบดําเนินความรํวมมือสาขานั้นๆ ของประเทศ สมาชิก จะจัดให๎มีการประชุมหรือดําเนินกิจกรรมรํวมกันตามวาระและโอกาสที่กําหนดขึ้น ประเทศนําของสาขาหลักและสาขายํอยจะเป็นเจ๎าภาพในการจัดประชุมผู๎เชี่ยวชาญในสาขาที่ รับผิดชอบอยํางสม่ําเสมอและรายงานผลการประชุมตํอคณะทํางาน BIMSTEC (BWG) ที่

8

กรุงเทพฯ ผํานสถานเอกอัครราชทูต BIMSTEC ประจําประเทศไทย ผลการประชุมดังกลําวจะถูก นําเสนอตํอที่ประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโสตํอไป 6. การประชุม Business Forum และ Economic Forum เป็นการประชุมของภาคเอกชน เป็น 2 การประชุมภายใต๎สาขาการค๎าและการลงทุน ซึ่งเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให๎ภาคเอกชนได๎เข๎า มามีสํวนรํวม โดย Business Forum เป็นเวทีหารือระหวํางภาคเอกชนของประเทศ BIMSTEC ด๎วยกันเอง สํวน Economic Forum จะเป็นเวทีที่ภาคเอกชนและภาครัฐบาลรํวมกันหารือใน โอกาสที่เหมาะสม ทั้งนี้ผลการประชุมทั้งสอง Forum จะถูกนํามารายงานตํอที่ประชุม STEOM ตํอไป

ผลการประชุมผู้น า ในการดําเนินความรํวมมือภายใต๎กรอบความรํวมมือใดๆนั้น แม๎วําจะมีการวางกลไกการทํางาน อยํางเป็นระบบแล๎ว แตํผลความสําเร็จและความก๎าวหน๎าในเรื่องใดๆ ยํอมมีผลมาจากการผลักดันใน ระดับผู๎นําประเทศเป็นสํวนใหญํ ความรํวมมือภายใต๎กรอบBIMSTEC ก็เชํนเดียวกัน เมื่อเริ่มกํอตั้งไมํได๎ กําหนดให๎มีการประชุมระดับผู๎นําขึ้น จะเห็นได๎วําการประชุมระดับผู๎นํา BIMSTEC ครั้งแรกเกิดขึ้น ภายหลังจากการกํอตั้งความรํวมมือมาแล๎วถึง7 ปี การประชุมระดับผู๎นําBIMSTEC ครั้งที่ 1 จัดขึ้น ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทยเมื่อวันที่31 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ในครั้งนั้นมีการเปลี่ยนชื่อกรอบความรํวมมือเป็น BIMSTEC เพื่อสะท๎อนถึงความรํวมมือ ทางภูมิภาค แทนการใช๎ชื่อประเทศสมาชิกรวมกัน และมีการออกปฏิญญาการประชุมผู๎นํา การประชุมระดับผู๎นํา BIMSTEC ครั้งที่ 2 จัดขึ้น ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ในการประชุมครั้งนี้มีสาระสําคัญของการประชุม ดังตํอไปนี้ 1. มีการยืนยันเจตนารมณ๑ที่จะดําเนินความรํวมมือในกรอบ BIMSTEC เพื่อสํงเสริมการ เจริญเติบโตทางด๎านเศรษฐกิจและการพัฒนารํวมกัน 2. มีการทบทวนและติดตามความคืบหน๎าและผลสําเร็จของการดําเนินความรํวมมือทั้ง 13 สาขา 3. มีการเสนอแนะข๎อคิดเห็นสําหรับการกระชับและขยายความรํวมมือในสาขาตํางๆ ใน อนาคต 4. มีการพิจารณาหารือเอกสารที่อินเดียซึ่งเป็นประเทศเจ๎าภาพ ประสงค๑ให๎มีการลงนาม ในการประชุม ได๎แกํ 4.1 MoU เพื่อจัดตั้ง BIMSTEC Cultural Industries Observatory (BCIO) และ BIMSTEC Cultural Industries Commission (BCIC)

9

4.2 MoA เพื่อจัดตั้ง BIMSTEC Energy Centre 4.3 MoA เพื่อจัดตั้ง BIMSTEC Centre for Weather and Climate 4.4 BIMSTEC Convention on Cooperation in Combating International Terrorism, Organized Crime and Illicit Drug Trafficking แตํก็ยังไมํเกิดการลงนามในเอกสารทั้ง 4 ฉบับ ข๎างต๎น เนื่องจากยังมีปัญหาติดค๎างเกี่ยวกับข๎อบท ในเรื่องโครงสร๎างขององค๑กรและข๎อผูกพันทางด๎านการเงิน และโดยที่เวลากระชั้นชิด ในชํวง ระหวํางการเตรียมการไปประชุมครั้งนี้ ประเทศไทยจึงยังไมํสามารถดําเนินการตามกระบวนการ ภายในของไทยให๎ทันตํอการที่จะลงนามในเอกสารทั้ง 4 ฉบับนี้ได๎ในการประชุมครั้งนั้น

บทบาทของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือ BIMSTEC

บทบาทของประเทศไทยต่อ BIMSTEC1 ประเทศไทยมีบทบาทนําในอนุภูมิภาคและมีการรวมกลุํมในลักษณะ Economic and Social Development Partnership คือมีการสร๎างความรํวมมือพันธมิตรเพื่อการพัฒนาผํานการ ให๎ความชํวยเหลือด๎านการศึกษา สาธารณสุข และสิ่งแวดล๎อมให๎มากขึ้น รวมทั้งสํงเสริมความ รํวมมือด๎านสังคมและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การให๎ความชํวยเหลือด๎านโครงสร๎างพื้นฐาน ที่สําคัญ เชํน พลังงานและทําเรือน้ําลึกในอนุภูมิภาคควรควบคูํไปกลับการสนับสนุนให๎ภาค รัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพ รวมทั้งสํงเสริมภาคเอกชนเข๎าไปลงทุนในธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อ สร๎างรายได๎ และยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ๎าน กลุํมประเทศ BIMSTEC มีประชากรรวมประมาณ 1,450 ล๎านคน เศรษฐกิจรวมกัน ประมาณ 1,700 ล๎านเหรียญสหรัฐ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2550 ประมาณร๎อยละ 6-7 (ยกเว๎นอินเดีย ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2550 เทํากับ 8.7 ภูฏาน 8.5 และ เนปาล 3) ทั้งนี้เป็นผลจากความแตกตํางทางปัจจัยการผลิต การพัฒนาเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และ ทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศไทยมียุทธศาสตร๑ความรํวมมือกับประเทศเพื่อนบ๎าน โดยมีจุดประสงค๑เพื่อเชื่อมโยง เศรษฐกิจและสังคม สร๎างผลประโยชน๑รํวมกัน สร๎างความไว๎เนื้อเชื่อใจ และเพื่อเป็นการลด

1 อาคม เติมพิทยาไพสิฐ. (2552). เอกสารประกอบการบรรยายของคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ. ใน งานครบรอบ BIMSTEC 12 ปี ณ กระทรวงการ ตํางประเทศ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2552.

10

ชํองวํางการพัฒนาประเทศในภูมิภาค รวมทั้งมีจุดประสงค๑เพื่อการพัฒนาสูํการเป็นผู๎นําของ เศรษฐกิจในอนุภูมิภาค ปรับบทบาทเป็น Donor Country ในกลุํมประเทศเพื่อนบ๎าน และการเป็น หุ๎นสํวนการพัฒนาในภูมิภาค ทั้งนี้ การดําเนินความรํวมมือของประเทศไทยที่มีตํอกรอบความ รํวมมือตํางๆ มีจุดเน๎นที่แตกตํางกัน ดังนี้ กรอบ GMS เน๎นที่ Connectivity Competitiveness Community กรอบ ACMECS เน๎นที่ Sister Cities, Contract Farming และ Narrowing Economic Gap กรอบ JDS เน๎นที่ Stability and Security กรอบ IMT-GT เน๎นที่ Avian Influenza, Energy, Natural Disaster and Earthquake Security สําหรับกรอบ BIMSTEC ประเทศไทยเน๎นที่ Culture, People to People contact และ Poverty Reduction บทบาทของไทยใน BIMSTEC จากนโยบายการมุํงตะวันตกของไทยผสานกับนโยบายมุํง ตะวันออกของอินเดีย นับวําเป็นแรงขับเคลื่อนที่สําคัญสําหรับกรอบความรํวมมือ BIMSTEC ใน ปัจจุบัน ทั้งนี้ทําให๎ประเทศเกิดโอกาสการขยายตัวทางการค๎า โดยมูลคําการค๎าของไทยกับกลุํม BIMSTEC ในชํวง 4-5 ปีที่ผํานมา ขยายตัวเฉลี่ยร๎อยละ 25.7 ตํอปี สําหรับปี 2550 การค๎ามีมูลคํา 8,892 ล๎านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการขยายตัวถึงร๎อยละ 21 เกิดโอกาสการมีบทบาทแขํงขันใน ฐานะเป็นผู๎ให๎ทางด๎านการเงินและวิชาการ รวมทั้งมีโอกาสทางด๎านความได๎เปรียบเชิง เปรียบเทียบที่โดดเดํนในการผลิตและสํงออกสินค๎าจําพวกที่ใช๎แรงงานมีฝีมือและใช๎วัตถุดิบที่มีใน ประเทศ เชํน ยางพาราและอาหาร และในระดับปานกลาง เชํน พลาสติกและอุสาหกรรมไม๎ อยํางไรก็ตาม จากความจริงที่วําประเทศจีนและอินเดียกําลังจะก๎าวสูํการเป็นประเทศ มหาอํานาจทางเศรษฐกิจโลกในอนาคต ทําให๎ประเทศไทยจําเป็นต๎องเรํงเกาะเกี่ยวประโยชน๑จาก สถานะประเทศหนึ่งในกลุํม BIMSTEC เพื่อให๎เกิดประโยชน๑ ดังตํอไปนี้ 1. พัฒนาระบบโลจิสติกส๑ให๎เชื่อมโยงภายในกลุํม BIMSTEC ทั้งทางบก (ถนนและรถไฟ) ทางน้ําและทางอากาศ 2. สนับสนุนการค๎าและหํวงโซกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหวํางไทย อินเดีย และเอเชียใต๎โดย กําหนดให๎การแก๎ไขอุปสรรคสําคัญให๎เป็น agenda หลักที่สามารถหารือกันได๎ในการประชุมตํางๆ ภายใต๎กรอบ BIMSTEC 3. สร๎างโอกาสการเชื่อมโยงทางประชากรและวัฒนธรรม โดยเน๎นศาสนาพุทธเพื่อสร๎าง ความใกล๎ชิด ทั้งในเชิงธุรกิจการค๎า การลงทุน การทํองเที่ยว และการสร๎างความสัมพันธ๑อันดี ระหวํางกัน 4. การถํวงดุลอํานาจระหวํางจีนและอินเดียในภูมิภาคเป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให๎ไทยได๎ ประโยชน๑จากทั้งสองฝ่าย

11

ประเด็นที่ประเทศไทยประสงค์จะผลักดันในกรอบ BIMSTEC1 สําหรับทิศทางการดําเนินความรํวมมือ BIMSTEC ของประเทศไทย ประเทศไทยประสงค๑จะ ดําเนินความรํวมมือให๎เกิดความก๎าวหน๎าในทุกสาขา สําหรับเวลา ณ ปัจจุบัน (ระหวําง พ.ศ. 2550-2552) มีประเด็นที่ประเทศไทยประสงค๑จะผลักดันให๎เกิดความรํวมมือ ดังตํอไปนี้ 1. สาขาคมนาคมขนสํง ไทยสนับสนุนให๎มีการรับรอง BIMSTEC Transport Infrastructure and Logistics Study - BTILS ที่จัดทําโดย ADB 2. สาขาการค๎าการลงทุน 2.1 ผลักดันการจัดทํา BIMSTEC FTA 2.2 ผลักดันให๎มีการจัดตั้ง BIMSTEC Joint Business Council เพื่อเสริมสร๎างความ รํวมมือระหวํางภาคธุรกิจของประเทศสมาชิก ซึ่งมีกรอบความรํวมมืออื่น 3. สาขาการเกษตร ผลักดันให๎มีความรํวมมือด๎านฮาลาล โดยให๎สํงเสริมให๎มีความรํวมมือด๎าน วิทยาศาสตร๑ฮาลาล ผลักดันความรํวมมือเรื่อง Contract farming และ การบริหารจัดการแหลํงน้ํา 2. สาขาการจัดการสิ่งแวดล๎อมและภัยพิบัติ ใช๎ประโยชน๑จาก BIMSTEC Weather and Climate Centre ที่อินเดียเสนอจัดตั้งขึ้น โดยเฉพาะในการเตือนภัยและแลกเปลี่ยนข๎อมูลในการ จัดการด๎านภัยพิบัติธรรมชาติภายในอนุภูมิภาค รวมทั้งการป้องกันและแก๎ไขปัญหาสิ่งแวดล๎อม บริเวณชายฝั่งทะเลด๎วย 3. สาขาตํอต๎านการกํอการร๎ายและอาชญากรรมข๎ามชาติ ไทยอาจเสนอให๎บรรจุเรื่อง ความรํวมมือในการป้องกันการค๎ามนุษย๑ในระเบียบวาระของ JWG-CTTC เพื่อใช๎เวที BIMSTEC ในการชํวยแก๎ไขปัญหาชาวโรฮินญา โดย TORs ของคณะทํางานรํวมวําด๎วยการตํอต๎านการกํอ การร๎ายและอาชญากรรมข๎ามชาติ ซึ่งครอบคลุมถึงเรื่อง illegal movement of persons ด๎วย

ประเด็นที่ควรพัฒนาในกลุ่ม BIMSTEC1

1 กรมเศรษฐกิจระหวํางประเทศ. (2552). เอกสาร BIMSTEC Fact Sheet. กระทรวงการ ตํางประเทศ.

12

ข๎อเสนอประเด็นการพัฒนาของประเทศในกลุํม BIMSTEC โดยการวิเคราะห๑ของสํานักงาน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ มองวํา ควรสํงเสริมให๎เกิดความรํวมมือในกลุํม BIMTECS ดังนี้ ควรเรํงพัฒนาโครงสร๎างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาโดยเฉพาะอยํางยิ่งในสาขา IT ควรมีการบูรณาการผลการดําเนินงานที่เป็นรูปธรรมระหวํางสาขา ซึ่งได๎แกํ สาขาเกษตร สาขา ประมง สาขาคมนาคม สาขาพลังงาน สาขาการทํองเที่ยว และสาขาการค๎าการลงทุน ควรมีการ กําหนดทิศทางความรํวมมือในบางสาขาให๎มีความชัดเจนขึ้น เชํน สาขาการลดความยากจน และ ควรมีการจัดลําดับความสําคัญของสาขาที่มีการมุํงเน๎น เป็นต๎น นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ ยังเสนอแนะ ประเด็นหํวงใย 4 ข๎อ ได๎แกํ 1) ความไมํแนํนอนทางการเมืองภายในและระหวํางประเทศ 2) ต๎องใช๎ งบประมาณจํานวนมากในการปรับปรุงโครงสร๎างพื้นฐานเพื่อการพัฒนา 3) การเติบโตทาง เศรษฐกิจอยํางยั่งยืนเทํานั้นจึงจะกระจายผลประโยชน๑ให๎เข๎าถึงประชาชนได๎มากที่สุด และ 4) ภัย พิบัติทางธรรมชาติและการกํอการร๎ายเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งการพัฒนา ข๎อประเด็นที่ควรผลักดันในระยะเรํงดํวน สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแหํงชาติ มีความเห็นวํา ประเด็นที่ควรผลักดันให๎เกิดความรํวมมืออยํางเป็นรูปธรรม ได๎แกํ 1. ประเด็นด๎านการคมนาคมและโลจิสติกส๑ โดยควรมีการเรํงรัดเชื่อมโยงทั้งทางอากาศ และทางทะเล 2. ประเด็นด๎านพลังงาน ควรเรํงรัดพัฒนาระบบกริด และใช๎ประโยชน๑จากกาซธรรมชาติใน อําวเบงกอล สนับสนุนแหลํงพลังงานใหมํ พลังงานหมุนเวียน รวมทั้งเทคโนโลยีและพลังงาน สะอาด 3. ประเด็นทรัพยากรทางทะเล ควรเพิ่มความรํวมมือทางการใช๎ประโยชน๑จากทรัพยากร ทางทะเลอยํางยั่งยืนในอําวเบงกอล ตลอดจนควรสนับสนุนให๎มีการทําการประมงอยํางยั่งยืน 4. ประเด็นการจัดทําข๎อตกลงการค๎าเสรี ควรผลักดันการเจรจาให๎สําเร็จ เพื่อประโยชน๑ใน เรื่องแหลํงกําเนิดสินค๎า 5. ประเด็นตลาดผลิตภัณฑ๑และบริการฮาลาล ควรสร๎างมาตรฐานให๎เป็นที่ยอมรับทั้งใน ตลาดมุสลิมและไมํใชํมุสลิม พัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข๎อง เชํน สปา ยา และเครื่องสําอาง

1 อาคม เติมพิทยาไพสิฐ. (2552). เอกสารประกอบการบรรยายคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ. ใน งานครบรอบ BIMSTEC 12 ปี ณ กระทรวงการตํางประเทศ เมื่อ วันที่ 5 มิถุนายน 2552.

13 บทที่ 2 นโยบายของรัฐบาลไทยที่เกี่ยวข้อง

นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นโยบายการตํางประเทศและเศรษฐกิจระหวํางประเทศ1 ที่นายกรัฐมนตรีได๎แถลงนโยบาย ตํอรัฐสภา เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2551 มีดังตํอไปนี้ 1. สํงเสริมและพัฒนาความสัมพันธ๑กับประเทศเพื่อนบ๎าน โดยสํงเสริมความรํวมมือทั้ง ภาครัฐ เอกชน ประชาชน และสื่อมวลชน เพื่อเสริมสร๎างความเข๎าใจอันดีและความใกล๎ชิดระหวําง กัน อันจะนําไปสูํการขยายความรํวมมือทางเศรษฐกิจ การค๎า การลงทุน การสํงเสริมการทํองเที่ยว การขยายการคมนาคมขนสํง และความรํวมมือด๎านอื่นๆ ภายใต๎กรอบความรํวมมืออนุภูมิภาค เชํน ยุทธศาสตร๑ความรํวมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ๎าพระยา-แมํโขง ( ACMECS) แผนงานความ รํวมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุํมแมํน้ําโขง ( GMS) แผนงานความรํวมมือทางเศรษฐกิจ อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย ( IMT-GT) และความริเริ่มแหํงอําวเบงกอลสําหรับความรํวมมือ หลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) เป็นต๎น 2. สํงเสริมความรํวมมือกับประเทศในเอเชีย กรอบความรํวมมือเอเชีย และเพิ่มบทบาทใน การสร๎างความแข็งแกรํงของอาเซียนเพื่อให๎บรรลุเป้าหมายในการจัดตั้งประชาคมอาเซียน และ ผลักดันบทบาทอาเซียนในเวทีระหวํางประเทศในวาระที่ไทยเป็นประธานอาเซียน 3. มีบทบาทที่สร๎างสรรค๑ในองค๑กรระหวํางประเทศ โดยเฉพาะเวทีสหประชาชาติและ องค๑กรระดับภูมิภาคตํางๆ เพื่อรักษาสันติภาพ ความมั่นคง สํงเสริมกระบวนการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม ตลอดจนรํวมมือในการแก๎ไขประเด็นปัญหาข๎ามชาติทุกด๎านที่สํงผล กระทบตํอความมั่นคงของมนุษย๑ 4. กระชับความรํวมมือและความเป็นหุ๎นสํวนทางยุทธศาสตร๑กับประเทศและกลุํมประเทศ ที่มีบทบาทสําคัญของโลก จัดทําข๎อตกลงการค๎าเสรีในกรอบพหุภาคีและกับประเทศตํางๆ เพื่อ ประโยชน๑สูงสุดของประเทศโดยรวม สร๎างกลไกเพื่อชํวยเหลือผู๎ประกอบการให๎สามารถปรับตัวรับ ผลกระทบและสํงเสริมการใช๎ประโยชน๑จากความตกลงการค๎าเสรี 5. ดําเนินงานเชิงรุกทางการทูตเพื่อประชาชน วัฒนธรรม และการศึกษา ตลอดจนการ แลกเปลี่ยนในระดับประชาชนกับนานาประเทศ พร๎อมทั้งสํงเสริมความรํวมมือทางวิชาการกับ

1 นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ. (2551).ค๎นเมื่อ 25 มกราคม 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2662.php?id=23726

14

ประเทศกําลังพัฒนา และสานตํอความรํวมมืออยํางใกล๎ชิดเพื่อความเข๎าใจอันดีกับองค๑กรทาง ศาสนาอื่นๆ - คุ๎มครองผลประโยชน๑ของคนไทย ดูแลคนไทยและแรงงานไทยในตํางประเทศ โดยเฉพาะคนไทยที่ประกอบอาชีพและมีถิ่นฐานในตํางประเทศ สํงเสริมบทบาทของชุมชนชาวไทย ในการรักษาเอกลักษณ๑และความเป็นไทย

นโยบายมองตะวันตก (Look West Policy)1 เป็นนโยบายที่มีแนวความคิดหลัก คือ การชํวยให๎ประเทศไทยสามารถเผชิญกับการ เปลี่ยนแปลงในทางการเมืองและเศรษฐกิจระหวํางประเทศอยํางมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยสอดคล๎องกับความเป็นจริงของยุคหลังสงครามเย็น มีวัตถุประสงค๑ ได๎แกํ การกระชับ ความสัมพันธ๑ทวิภาคีกับประเทศเป้าหมาย และการแสวงหาตลาดการค๎าและลูํทางการลงทุนใน ตํางประเทศ พร๎อมกับสํงเสริมให๎มีการลงทุนจากตํางประเทศในประเทศไทย ประเทศเป้าหมาย ได๎แกํ ประเทศตํางๆ ในภูมิภาคเอเชียใต๎ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งรัฐบาลไทยเห็นวําจะ เป็นผลประโยชน๑ที่สําคัญตํอประเทศไทยในการนํานโยบายมองตะวันตกไปปฏิบัติอยํางมี ประสิทธิภาพ โดยสํงเสริมความสัมพันธ๑ทางการเมืองและกระชับความรํวมมือทางเศรษฐกิจที่ สร๎างสรรค๑ในด๎านตํางๆ ที่เป็นประโยชน๑รํวมกันกับรัฐเป้าหมาย รัฐบาลไทยจึงดําเนินการหลายวิธี เพื่อให๎เป็นไปตามนโยบายนี้ ได๎แกํ การจัดสํงคณะบุคคลระดับสูงของภาครัฐบาลไปเยือนรัฐ เป้าหมายเพื่อแสวงหาโอกาสสําหรับไทยและรัฐเป้าหมายในการขยายความรํวมมือทางเศรษฐกิจ ที่มีระหวํางกัน และการจัดตั้งกรอบความรํวมมือทางเศรษฐกิจระหวํางภูมิภาคเพื่อเป็นอีก มาตรการหนึ่งสําหรับประเทศไทยที่จะพัฒนาความรํวมมือกับประเทศเป้าหมายได๎

นโยบายต่างประเทศเชิงรุกของไทย (Forward Engagement Policy)2 ไทยมองตนเองเป็นหุ๎นสํวนยุทธศาสตร๑สําหรับหลายๆ ประเทศ ได๎ทํา FTA กับ จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด๑ บาห๑เรน เพิ่งจะสรุปการเจรจากับญี่ปุ่น รวมทั้งกําลังเจรจากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังให๎ความสําคัญกับการรํวมมือกับประเทศเพื่อนบ๎านในASEAN ใน 3 ด๎านได๎แกํ ด๎าน

1 กรมเอเชียใต๎ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา. (2544). นโยบายมองตะวันตก. ค๎นเมื่อ 25 มกราคม 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/43.php 2 วิทวัส ศรีวิหค. (2548). บทบาทของกระทรวงการตํางประเทศในการเชื่อมไทยกับภูมิภาค และโลก. ค๎นเมื่อ 25 มกราคม 2553 จาก http://www.nesdb.go.th/Portals/0/news/annual_meet/48/.../07.ppt

15

ความมั่นคง ด๎านสังคม และด๎านเศรษฐกิจ พยายามดําเนินนโยบายอยํางบูรณาการเพื่อไปสูํความเป็น community อยํางแท๎จริงภายในปี พ.ศ. 2563 ที่สําคัญ ในทศวรรษหน๎า ภูมิภาคที่จะเป็นแรงขับเคลื่อน เศรษฐกิจโลกคือเอเชีย ในปัจจุบันประเทศตํางๆ ก็ประจักษ๑ถึงการเติบโตของจีนและอินเดียแล๎ว ในอีก 5 ปีข๎างหน๎าเป็นที่คาดวํารายได๎ประชาชาติจีนจะเติบโตในอัตราร๎อยละ 8-9 ตํอปี จํานวนประชากรของ ทั้ง 2 ประเทศเมื่อรวมกันแล๎วได๎ถึง 1 ใน 3 ของประชากรโลก ไทยอยากให๎ประเทศทั้งหลายในเอเชีย รํวมมือกันใกล๎ชิดยิ่งขึ้นเพื่อชํวยขจัดความยากจน เอเชียมีประชากรและทุนสํารองเงินตราตํางประเทศ มากกวําครึ่งหนึ่งของโลก มีศักยภาพการพัฒนาสูง

นโยบายของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการจัดการประมงทะเล1 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ ได๎จัดทําแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแหํงชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 - 2554) แล๎วเสร็จและมีการเผยแพรํแผนดังกลําวให๎ ผู๎เกี่ยวข๎องทุก สํวนได๎ทราบทั่วกัน เพื่อให๎มีความเข๎าใจในเป้าหมายหลักของแผนดังกลําว ซึ่งได๎ให๎ ความสําคัญกับปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งได๎บรรจุไว๎ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 มาเป็น ปรัชญานําทางในการพัฒนา และใช๎ใน การบริหารประเทศ โดยที่ไมํลืมกระบวนการพัฒนาที่ มุํงเน๎นคนเป็นศูนย๑กลางการพัฒนา ในแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ ฉบับที่ 8 มาใช๎ ควบคูํกันด๎วย โดยในแผนพัฒนาฯ 10 นี้ ได๎จัดทําวิสัยทัศน๑ของ ประเทศไทยใหมํโดย “มุํงพัฒนาสูํ สังคมอยูํเย็นเป็นสุขรํวมกัน (Green and Happiness Society) คนไทยมี คุณธรรมนําความรอบรู๎ รู๎เทําทันโลก ครอบครัวอบอุํน ชุมชนเข๎มแข็ง สังคมสันติสุข เศรษฐกิจมีคุณภาพ เสถียรภาพและ เป็นธรรม สิ่งแวดล๎อมมีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืนภายใต๎ระบบบริหารจัดการ ประเทศ ที่มีธรรมาภิบาล ดํารงไว๎ซึ่งระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย๑ทรงเป็นประมุขและอยูํใน ประชาคมโลกได๎อยํางมีศักดิ์ศรี” โดยกํอนหน๎าที่จะมีการกําหนดวิสัยทัศน๑ดังกลําว ได๎มีการศึกษาทบทวนถึงสถานะด๎าน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อมในด๎านตํางๆ พบวํา ด๎านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งลด ความอุดม สมบูรณ๑ลงโดยป่าชายเลนลดลงจาก 2,000,000 ไรํ เหลือ 1,500,000 ไรํ อัตราการจับ สัตว๑น้ําลดลง 3 เทํา แหลํงปะการังและหญ๎าทะเลมีสภาพเสื่อมโทรม สําหรับทรัพยากร ความ หลากหลายทางชีวภาพก็กําลังถูก ทําลายอยํางรวดเร็ว สาเหตุมาจากการดําเนินกิจกรรมของ

1 กรมประมง. (2553). แผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย. กองแผนงาน. กรมประมง.

16

มนุษย๑ที่ทําลายถิ่นที่อยูํอาศัยสิ่งมีชีวิตตํางๆ และ สํงผลตํอการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศ ทําให๎ อัตราการสูญพันธุ๑ของสิ่งมีชีวิตเพิ่มขึ้น ในสํวนของการกําหนดวัตถุประสงค๑และเป้าหมายหลัก ในด๎านที่เกี่ยวข๎องกับการประมง ทะเล ของไทย อาจมีความเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค๑หลักของแผนฯ 10 ในเรื่องของการเพิ่ม ศักยภาพของชุมชน ในการกําหนดเป้าหมายของแผนฯ ฉบับที่ 10 ได๎กําหนดเป้าหมายไว๎เป็นด๎านๆ โดยสํวนที่ จะมา เกี่ยวข๎องกับการจัดการประมงของไทยมีดังนี้ (1) เป้าหมายด๎านการพัฒนาคุณภาพคน ให๎คนไทยทุกคนได๎รับการพัฒนาทั้งทางรํางกาย จิตใจ ความรู๎ ความสามารถ ทักษะการประกอบอาชีพและมีความมั่นคงในการดํารงชีวิต (2) เป้าหมายการพัฒนาชุมชนและแก๎ไขปัญหาความยากจน พัฒนาให๎ทุกชุมชนมีแผน ชุมชน แบบมีสํวนรํวมและองค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่นนําแผนชุมชนไปใช๎ประกอบการจัดสรร งบประมาณ (3) เป้าหมายการสร๎างความมั่นคงของฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล๎อม รักษาความอุดม สมบูรณ๑ ของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ โดยให๎มีพื้นที่ป่าไม๎ไว๎ไมํน๎อยกวํา ร๎อย ละ 33 และต๎องเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ๑ไมํน๎อยกวําร๎อยละ 18 ของพื้นที่ประเทศ

สํวนในเรื่องการกําหนดยุทธศาสตร๑ในแผนฯ 10 ได๎กําหนดยุทธศาสตร๑ที่เกี่ยวข๎องกับการ จัดการประมงทะเล มีทั้งหมด 4 ยุทธศาสตร๑ ดังนี้ (1) ยุทธศาสตร๑การสร๎างความเข๎มแข็งของชุมชนและสังคมให๎เป็นรากฐานที่มั่นคงของ ประเทศ โดยให๎ความสําคัญกับ - การบริหารจัดการกระบวนการชุมชนเข๎มแข็ง - การสร๎างความมั่นคงของเศรษฐกิจชุมชน - การเสริมสร๎างศักยภาพของชุมชนในการอยูํรํวมกันกับทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล๎อมอยํางสันติและเกื้อกูล (2) ยุทธศาสตร๑การปรับโครงสร๎างเศรษฐกิจให๎สมดุลและยั่งยืน โดยให๎ความสําคัญกับ - การปรับโครงสร๎างการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพและคุณคําของสินค๎าและบริการบน ฐานความรู๎และความเป็นไทย โดยปรับโครงสร๎างภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาค บริการที่ใช๎กระบวนการพัฒนาคลัสเตอร๑และหํวงโซํอุปทาน รวมทั้ง เครือขํายชุมชนบน รากฐานของความรู๎สมัยใหมํ ภูมิปัญญาท๎องถิ่นและ วัฒนธรรมไทย และความ หลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร๎างสินค๎าที่มีคุณภาพ

17

และมูลคําสูง การพัฒนาโครงสร๎าง พื้นฐานและระบบโลจิสติกส๑ การปฎิรูป องค๑กร การปรับปรุงกฎระเบียบและพัฒนาระบบ - การสร๎างภูมิคุ๎มกันของระบบเศรษฐกิจ - การสนับสนุนให๎เกิดการแขํงขันที่เป็นธรรมและการกระจายผลประโยชน๑จากการ พัฒนาอยํางเป็นธรรม (3) ยุทธศาสตร๑การพัฒนาบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพและการสร๎างความมั่นคง ของ ฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล๎อม โดยให๎ความสําคัญกับ - การรักษาฐานทรัพยากรและความสมดุลของระบบนิเวศ - การสร๎างสภาพแวดล๎อมที่ดีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการพัฒนาที่ยั่งยืน - การพัฒนาคุณคําความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท๎องถิ่น (4) ยุทธศาสตร๑การเสริมสร๎างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการประเทศ โดยให๎ความสําคัญ กับ - การเสริมสร๎างและพัฒนาวัฒนธรรมประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลให๎เป็นสํวนหนึ่ง ของวิถีการดําเนินชีวิตในสังคมไทย - เสริมสร๎างความเข๎มแข็งของภาคประชาชนให๎สามารถเข๎ารํวมในการบริหารจัดการ ประเทศ - สร๎างภาคราชการที่มีประสิทธิภาพและมีธรรมาธิบาล เน๎นการบริการแทนการกํากับ ควบคุมและทํางานรํวมกับหุ๎นสํวนการพัฒนา - การกระจายอํานาจการบริหารจัดการประเทศสูํภูมิภาค ท๎องถิ่น และชุมชนเพิ่มขึ้น ตํอเนื่อง - สํงเสริมภาคธุรกิจเอกชนให๎เกิดความเข๎มแข็ง สุจริต และมีธรรมาภิบาล - การปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบและขั้นตอน กระบวนการเกี่ยวกับการพัฒนา เศรษฐกิจ และสังคม เพื่อสร๎างความสมดุลในการจัดสรรประโยชน๑จากการพัฒนา - การรักษาและเสริมสร๎างความมั่นคง เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการประเทศสูํดุลย ภาพและความยั่งยืน

แผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย1 วิสัยทัศน์

1 กรมประมง. (2553). แผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย. กองแผนงาน. กรมประมง.

18

“พัฒนาการประมงทะเลอยํางยั่งยืน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีคนเป็นศูนย๑กลาง ” อธิบายความวิสัยทัศน๑ มุํงพัฒนาการประมงทะเล โดยให๎มีการทําการประมงอยํางมีความรับผิดชอบและนํา ทรัพยากร สัตว๑น้ําขึ้นมาใช๎ประโยชน๑อยํางยั่งยืน และอยูํในระดับที่พึงประสงค๑โดยต๎องสร๎างสมดุล ของปัจจัยตํางๆ ระหวํางความสามารถในการผลิต ทรัพยากร ระบบนิเวศน๑ เศรษฐกิจและสังคม โดยใช๎หลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัว เป็น แนวทางปฏิบัติ กลําวคือ ให๎มีการนําทรัพยากรสัตว๑น้ําขึ้นมาใช๎ในปริมาณที่เหมาะสม เป็นไปตาม หลักวิชาการ และไมํกํอให๎เกิดการใช๎ทรัพยากร สัตว๑น้ํามากเกินกําลังการทดแทนจากธรรมชาติ หรือเกินจุดสมดุลที่กําหนด โดยหลีกเลี่ยงการทําประมงสัตว๑น้ํา วัยอํอนมากเกินควร ทั้งนี้เพื่อรักษา ศักยภาพการผลิตไว๎ในระดับที่สามารถให๎ผลผลิตในระยะยาว อันเป็นการ สร๎างภูมิคุ๎มกันให๎แกํ ชาวประมงและผู๎มีสํวนได๎สํวนเสีย ทั้งที่เป็นปัจเจกบุคคล กลุํมบุคคลหรือองค๑กรให๎มี ความมั่นคง ในอาชีพ และให๎มีสํวนรํวมในกระบวนการวางแผนการจัดการประมงทะเลให๎ยั่งยืนสืบไป พันธกิจ 1) บริหารจัดการการใช๎ทรัพยากรสัตว๑น้ํา ฟื้นฟู ดูแลและรักษาสิ่งแวดล๎อมทางทะเล ให๎คง ความ อุดมสมบูรณ๑ โดยคํานึงถึงปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากร/ระบบนิเวศน๑ 2) พัฒนาศักยภาพคน องค๑กร และองค๑ความรู๎ ในการจัดการทรัพยากรประมงและ สิ่งแวดล๎อม ทางทะเล 3) สํงเสริมการทําประมงตามหลักจรรยาบรรณในการทําประมงอยํางรับผิดชอบ รวมทั้งการ สร๎างเครือขํายความรํวมมือในทุกระดับ วัตถุประสงค์ 1) เพื่อบริหารจัดการให๎เกิดการใช๎ประโยชน๑ทรัพยากรประมงทะเลอยํางรับผิดชอบและ เหมาะสมคุ๎มคํา 2) เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว๑น้ําและระบบนิเวศน๑ให๎มีความสมบูรณ๑และคงความสมดุล 3) เพื่อพัฒนาศักยภาพองค๑กรประมงและสํงเสริมการมีสํวนรํวม และสร๎างเครือขํายความ รํวมมือจากทุกภาคสํวน ในการบริหารจัดการประมงทะเล 4) เพื่อเสริมสร๎างขีดความสามารถในการประกอบกิจการประมงในทุกระดับให๎สอดคล๎อง กับ สถานการณ๑การเปลี่ยนแปลงและข๎อกําหนดที่เป็นที่ยอมรับ 5) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวประมง 6) เพื่อสร๎างความมั่นคงและปลอดภัยของอาหารที่ได๎จากการประมงทะเล

19

เป้าหมาย 1) การประมงทะเลของไทยมีความยั่งยืนและมั่นคง โดยรักษาระดับการจับสัตว๑น้ําใน นํานน้ําให๎ได๎ระหวําง 1.7 - 2.0 ล๎านตันตํอปี โดยมีสัตว๑น้ําเศรษฐกิจไมํต่ํากวําร๎อยละ 80 และการ จับ สัตว๑น้ําจากนอกนํานน้ําระหวําง 1.0 - 1.5 ล๎านตันตํอปี 2. มีองค๑กรของชาวประมงที่มีสํวนรํวมดําเนินกิจกรรมกับภาครัฐอยํางน๎อย 1 องค๑กรตํอ จังหวัด และสร๎างเครือขํายความรํวมมือระหวํางจังหวัดหรือพื้นที่ใกล๎เคียง 3. มีการบริหารจัดการประมงโดยชุมชนมีสํวนรํวมอยํางน๎อยร๎อยละ 10 ของชุมชนประมง ชายฝั่ง ระยะเวลาด าเนินการ การดําเนินการตามแผนแมํบทการจัดการประมงทะเลไทย เป็นระยะเวลา 10 ปี (ตั้งแตํปี 2552 ถึงปี 2561)โดยแบํงการดําเนินการออกเป็น 2 ระยะ ได๎แกํ ระยะแรก 5 ปี (ปี 2552-2556) และระยะที่สอง 5 ปี (ปี 2557 - 2561) ยุทธศาสตร์การจัดการประมงทะเลไทย เพื่อให๎บรรลุวัตถุประสงค๑และเป้าหมายภายใต๎ วิสัยทัศน๑และพันธกิจ ได๎มีการกําหนด ยุทธศาสตร๑การจัดการประมงทะเลไทย ซึ่งประกอบด๎วย 5 กล ยุทธ๑ ซึ่งกลยุทธ๑ที่เกี่ยวข๎องกับการดําเนินการประมงนอกนํานน้ําไทย คือ กลยุทธ๑ที่ 5. สํงเสริม และ พัฒนาการประมงนอกนํานน้ําไทย ประเด็นสําคัญของกลยุทธ๑ เพื่อให๎บรรลุวัตถุประสงค๑ที่กําหนด การดําเนินการในกลยุทธ๑ที่ 5 ต๎องมุํงใช๎จุดแข็ง ของการประมงไทยและโอกาสที่ดีกวําประเทศเพื่อน บ๎าน เข๎าไปรํวมทําการประมงนอกนํานน้ําหรือในทะเล หลวงอยํางถูกต๎องตามหลักการสากล เพื่อลด การใช๎ประโยชน๑จากทรัพยากรประมงในนํานน้ําไทย โดยจะต๎อง เรํงพัฒนาการจัดทําฐานข๎อมูลให๎ ครอบคลุมทุกด๎าน เชํน จํานวน ประเภท ขนาดของเรือประมง ลูกเรือ ตลอดจนนโยบายการใช๎ ทรัพยากรและเงื่อนไขตํางๆ เพื่อนํามาปรับโครงสร๎างในการพัฒนาศักยภาพของ ภาครัฐและเอกชน โดยอาจดําเนินการจัดตั้งกองทุนสําหรับพัฒนาการประมงนอกนํานน้ํา นอกจากนี้การจัด ระเบียบ การทําประมงนอกนํานน้ําจะชํวยให๎มีการดําเนินการที่เหมาะสมเพื่อจําแนกผู๎ทําการประมงนอก นํานน้ําไทยกับในนํานน้ํา นอกจากนี้การจัดทําข๎อตกลงทําการประมงนอกนํานน้ําควรตรวจสอบ เงื่อนไขและ ข๎อตกลงกํอนได๎รับอนุญาต โดยภาครัฐต๎องเข๎าไปรํวมมือในการควบคุมให๎มีการทํา ประมงนอกนํานน้ําเป็นไปตามระเบียบเงื่อนไขที่กําหนดและเป็นหลักประกันความเชื่อถือเพื่อให๎เกิด ความยั่งยืนตํอไป

20

มาตรการและแนวทางของกลยุทธ์ กลยุทธ์ที่ 5. ส่งเสริม และพัฒนาการประมงนอกน่านน้ าไทย มาตรการ แนวทาง หน่วยงานที่รับผิดชอบ 1. จัดทําฐานข๎อมูลด๎านการ 1.1 พัฒนาระบบบริหาร กรมประมง ประมงนอกนํานน้ําไทย จัดการเกี่ยวกับ ฐานข๎อมูลเรือ กระทรวงการ ตํางประเทศ ลูกเรือ และเครื่องมือประมง กระทรวง คมนาคม สมาคม สําหรับการทําการประมงนอก การ ประมงแหํงประเทศ ไทย นํานน้ํา รวมทั้งสนับสนุนให๎ ผู๎ประกอบการและ องค๑กร ชาวประมงนอกนํานน้ําให๎ ความ รํวมมือในการรวบรวม ข๎อมูล 1.2 จัดทําฐานข๎อมูลแหลํง กรมประมง ทรัพยากร นโยบาย และ กระทรวงการ ตํางประเทศ ข๎อกําหนดเงื่อนไขของประเทศ กระทรวง คมนาคม สมาคม ที่เป็น เป้าหมายรวมทั้งข๎อมูล การ ประมงแหํงประเทศ ไทย ขององค๑การบริหาร จัดการ ประมงในระดับภูมิภาคที่ดูแล การ ประมงในทะเลหลวง 1.3 จัดทําข๎อมูลความต๎องการ กรมประมง วัตถุดิบ ภายในประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย๑ 2. ปรับโครงสร๎างและพัฒนา 2.1 จัดตั้งคณะกรรมการรํวม กรมประมง, ศักยภาพองค๑กรภาครัฐและ ภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาการ สมาคมการประมงฯ ภาคเอกชนในการพัฒนาสูํ ประมงนอกนํานน้ํา โดยมี วัตถุประสงค๑ในการสนับสนุนการ การทําประมงนอกนํานน้ํา เจรจาทําประมงรํวมกับ อยํางยั่งยืน ตํางประเทศ พิทักษ๑ปกป้อง ความ ปลอดภัยและให๎ความคุ๎มครองแกํ เรือ และลูกเรือ

21

มาตรการ แนวทาง หน่วยงานที่รับผิดชอบ 2.2 พัฒนาบุคลากรภาครัฐให๎ กรมประมง, กระทรวง การ มีความสามารถใน การเจรจา ตํางประเทศ , กระทรวง ระดับนานาชาติ โดยต๎องมี พาณิชย๑, สภาหอการค๎าแหํง ความรู๎ ด๎านการประมงและ ประเทศไทย, สมาคม การ สิ่งแวดล๎อม ประมงแหํง ประเทศไทย 2.3 สํงเสริมการประสานงาน กรมประมง, กระทรวงการ และความรํวมมือ ระหวําง ตํางประเทศ, กระทรวง หนํวยงานภาครัฐตํางๆ เพื่อ คมนาคม, สมาคมการประมง สร๎าง ภาพลักษณ๑และให๎การ แหํง ประเทศไทย, สมาคม สนับสนุนการทําการ ประมง ประมงนอกนําน้ําไทย สมาคม นอกนํานน้ําอยํางยั่งยืน ฯ ,ศูนย๑พัฒนา การประมงแหํง เอเชีย ตะวันออกเฉียงใต๎, กระทรวง ศึกษาธิการ, กระทรวงการคลัง, สํานักงาน ตํารวจ แหํงชาติ, กองทัพเรือ 2.4 จัดตั้งกองทุนพัฒนา กรมประมง, กระทรวงการคลัง ศักยภาพการทําการ ประมง นอกนํานน้ํา 2.5 สํงเสริมและสนับสนุนการ กรมประมง, สมาคม การ ทําประมงรํวมกับ ตํางประเทศ ประมงแหํง ประเทศไทย , กระทรวงคมนาคม, สมาคม ประมงนอก นํานน้ําไทย, กระทรวงการตําง ประเทศ, สํานักงาน สํงเสริมการลงทุน, กระทรวงพาณิชย๑, สมาคม อาหาร สําเร็จรูป, สมาคมแชํ เยือกแข็งไทย

22

มาตรการ แนวทาง หน่วยงานที่รับผิดชอบ 2.6 สํงเสริมและสนับสนุนการ กรมประมง, สมาคม การ ปรับปรุง เรือประมงให๎สามารถ ประมงแหํง ประเทศไทย, ไปทําการประมงนอก นํานน้ํา กระทรวงคมนาคม, สมาคม ประมงนอก นํานน้ําไทย, องค๑การ สะพานปลา 2.7 ปรับปรุงทําเทียบเรือและ องค๑การสะพานปลา, กรม สิ่งอํานวยความ สะดวกเพื่อ ประมง, สมาคม การประมง รองรับการประมงนอกนํานน้ํา แหํง ประเทศไทย, สมาคม ประมงนอกนํานน้ําไทย, สมาคมอาหาร สําเร็จรูป, สมาคมแชํ เยือกแข็งไทย, กระทรวงคมนาคม 2.8 สํงเสริมให๎มีการเผยแพรํ กรมประมง, กระทรวงการ ให๎ความรู๎ความ เข๎าใจแกํ ตํางประเทศ, กระทรวงพาณิชย๑ ผู๎ประกอบการและลูกเรือใน , กระทรวงศึกษาธิการ, สมาคม การทําประมงของรัฐอื่นๆ และ การประมงแหํง ประเทศไทย, ในทะเลหลวง ใน ด๎าน สมาคม ประมงนอกนํานน้ํา กฎหมายระหวํางประเทศ ไทย, สมาคมอาหาร สําเร็จรูป, กฎระเบียบ ข๎อกําหนดและ สมาคมแชํ เยือกแข็งไทย เงื่อนไขในการทําประมง รวมทั้งมาตรการตามเกณฑ๑ที่ สากลของ ความปลอดภัยใน ทะเล 2.9 สนับสนุนกิจกรรมของ กรมประมง, สํานัก องค๑การบริหาร จัดการประมง งบประมาณ ระดับภูมิภาคและที่เกี่ยวข๎อง

23

มาตรการ แนวทาง หน่วยงานที่รับผิดชอบ 3. จัดระเบียบการประมงนอก 3.1 จัดให๎มีการขึ้นทะเบียน กรมประมง, นํานน้ําไทย ผู๎ประกอบการหรือ ขึ้น สมาคมประมงนอก นํานน้ํา ทะเบียนผู๎ที่มีความประสงค๑จะ ไทย, ประกอบ กิจกรรมการประมง กระทรวงการ ตํางประเทศ นอกนํานน้ําไทย รวมทั้งขึ้น ทะเบียนผู๎ประกอบการที่มี สัมปทานหรือข๎อตกลงทางการ ประมงกับ ตํางประเทศอยูํแล๎ว 3.2 ตรวจสอบเงื่อนไขและ กรมประมง, ข๎อตกลงตํางๆ ที่มี การลงนาม สมาคมประมงนอก นํานน้ํา แล๎ว กํอนที่จะอนุญาตให๎มีการ ไทย, สํงเรือประมงออกไปทําการ กระทรวงการ ตํางประเทศ ประมง 3.3 กําหนดมาตรการป้องกัน กรมประมง, ไมํให๎เรือนอก นํานน้ําเข๎ามา สมาคมประมงนอก นํานน้ํา ทําประมงในประเทศ ไทย, กระทรวงการ ตํางประเทศ 3.4 ควบคุมการทําประมงนอก กรมประมง, นํานน้ําตาม กฎระเบียบและ สมาคมประมงนอก นํานน้ํา เงื่อนไขที่กําหนด (เชํน จํานวน ไทย, และขนาดเรือ เครื่องมือประมง กระทรวงการ ตํางประเทศ มาตรฐานความปลอดภัย) รวมทั้งการ กําหนดบทลงโทษ และเพิ่มความเข๎มข๎นใน การ ลงโทษผู๎ประกอบการ ไต๎ก๐งเรือ หรือผู๎ ควบคุมเรือประมงที่ฝ่า ฝืนกฎหมาย

24

มาตรการ แนวทาง หน่วยงานที่รับผิดชอบ 3.5 พัฒนาระบบติดตาม กรมประมง, กระทรวงการ ควบคุม และเฝ้าระวัง ตํางประเทศ, กระทรวงการคลัง (Monitoring Control and , กระทรวงคมนาคม, Surveillance: MCS) ที่มี กองทัพเรือ, สํานักงาน ตํารวจ ประสิทธิภาพโดยรวมถึงการ แหํงชาติ, องค๑การสะพานปลา ติดตั้งระบบติดตามเรือ (Vessel Monitoring System: VMS) และการควบคุมของรัฐ ทําเรือ (port state control) 3.6 ประสานหนํวยงานของ กรมประมง และ หนํวยงานอื่นใน รัฐบาลที่เรือประมง เข๎าไป กระทรวงเกษตรและ สหกรณ๑, ประกอบกิจการอยํางใกล๎ชิด กระทรวง การตํางประเทศ, กระทรวงกลาโหม, เพื่อเป็น หลักประกันความ กระทรวงมหาดไทย, สมาคมประมง ปลอดภัย รวมทั้งให๎ความ นอก นํานน้ําไทย, สมาคม การ คุ๎มครองแกํเรือประมง ประมงแหํง ประเทศไทย 3.7 สนับสนุนให๎มีการจัดทํา กรมประมง, ข๎อตกลงรํวมในการ จัดการ กระทรวงการ ตํางประเทศ, ประมงทะเลกับประเทศเพื่อน สมาคมประมงนอก นํานน้ํา บ๎านใน ระดับทวิหรือพหุภาคี ไทย 3.8 สร๎างกลไกการดําเนินการ กรมประมง, เพื่อให๎เกิดความ เป็นธรรมและ กระทรวงการ ตํางประเทศ, ให๎ความชํวยเหลือกรณี สมาคม ประมงนอก เรือประมงและลูกเรือถูกจับ นํานน้ําไทย หรือถูกปฏิบัติ อยํางไมํเป็น ธรรม

25 บทที่ 3 สถานการณ์ความร่วมมือประมงของประเทศไทย กับประเทศสมาชิก BIMSTEC

ประเทศไทย มีอาณาเขตติดตํอกับประเทศเพื่อนบ๎านซึ่งเป็นสมาชิกของ BIMSTEC เพียงประเทศเดียวคือ ประเทศพมํา แตํมีอาณาเขตติดตํอกับประเทศสมาชิกในกลุํม ASEAN คือสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว กัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งรวมความยาวของชายฝั่งทะเลทั้งฝั่งด๎าน ทะเลอําวไทยและด๎านทะเลอันดามันสองด๎าน 2,815 กิโลเมตร โดยหมูํเกาะอันดามันของอินเดีย อยูํหํางจากชายฝั่งด๎านตะวันตกเพียง 300 กิโลเมตร มีประชากรมากเป็นลําดับ 3 คือมีประมาณ 64,865,523 คน โดยที่มากกวํา95% เป็นคนเชื้อ ชาติไทย สํวนที่เหลือได๎แกํ จีน อินเดีย และชนกลุํมน๎อยตํางๆ

ประทศไทยกับบังกลาเทศ ประเทศบังกลาเทศ ตั้งอยูํทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเอเซียใต๎ ทางเหนือและตะวันตก ติดตํอกับอินเดีย ทางตะวันออกติดตํอกับอินเดียและพมํา ทางใต๎ติดตํอกับอําวเบงกอล มี ทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ๑มากคล๎ายกับอินเดีย เชํน มีป่าไม๎ แรํธาตุน้ํามัน ก๏าซธรรมชาติและ ทรัพยากรทางทะเล หินปูน หินแข็ง ถํานหิน ลิกไนต๑ ซิลิกา ทราย ดินขาว Radio-active Sand นอกจากนั้น ยังมีดินที่อุดมสมบูรณ๑อยูํบริเวณปากน้ํา มีการผลิตไฟฟ้าพลังน้ําและทําเขื่อนกั้นน้ํา เพื่อใช๎ในฤดูแล๎ง รวมทั้งมีการอนุรักษ๑ก๏าซธรรมชาติไว๎เป็นจํานวนมาก ซึ่งบางสํวนมาจาก ปิโตรเลียม และถํานหินเกรดต่ํา มีประชากรมากเป็นลําดับ 2 (ประมาณ 133.4 ล๎านคน) มากเป็นอันดับ 7 ของโลก นับวํามี ประชากรหนาแนํนมากที่สุดและสํวนใหญํอยูํในชนบท แหลํงประมงในนํานน้ําบังกลาเทศแถบบริเวณอําวเบงกอล นับเป็นแหลํงประมงที่มีสัตว๑น้ําที่ มีคุณคําทางเศรษฐกิจสูง เชํน กุ๎ง และสัตว๑น้ํากรํอยอื่นๆ อุดมสมบูรณ๑ จึงเป็นแหลํงประมงที่ดึงดูด ใจชาวประมงไทยมากที่สุดแหลํงประมงหนึ่ง ความสัมพันธ๑ทางการประมงระหวํางไทยกับ บังกลาเทศ นั้น คือ ประเทศบังกลาเทศเป็นประเทศแรกในเอเชียใต๎ที่มีข๎อตกลงแมํบทวําด๎วยความ รํวมมือทางการประมงกับประเทศไทย โดยเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2521 รัฐบาลไทยและรัฐบาล บังกลาเทศได๎ลงนามในข๎อตกลงความรํวมมือทางการประมงระหวํางกัน ( Agreement between the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of Bangladesh

26 on Cooperation on Fisheries) ภายใต๎ข๎อตกลงดังกลําว รัฐบาลทั้งสองเห็นชอบที่จะจัดให๎มีการ รํวมลงทุนทําการประมง (Joint Venture in Fisheries) ระหวํางเอกชนของทั้งสองประเทศ และ ความตกลงฉบับนี้จัดเป็นการตกลงรํวมทุนทําการประมงฉบับเดียวที่เป็นการลงนามโดยผู๎แทน รัฐบาล และได๎ให๎สัตยาบันเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 และบริษัทได๎เริ่มดําเนินการในปี พ.ศ. 2522 อายุข๎อตกลงมีกําหนด 3 ปี หากครบกําหนดแล๎วทั้งสองฝ่ายไมํมีหนังสือขอยกเลิก ข๎อตกลงอยํางเป็นทางการ ก็ให๎ถือวําข๎อตกลงนี้จะใช๎ได๎ตลอดไปโดยไมํกําหนดระยะเวลา ภายใต๎ ข๎อตกลงแมํบทวําด๎วยความรํวมมือทางการประมงนี้ รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได๎ให๎ความเห็นชอบในการ จัดตั้งบริษัทรํวมลงทุนทําการประมง ระหวํางภาคเอกชนประมงทั้ง 2 ประเทศ ดังนั้น ในชํวงเวลา ดังกลําวได๎มีบริษัทรํวมทุนทําการประมงไทยกับบังกลาเทศเกิดขึ้นมากมายหลายบริษัท ดําเนินการขอรับใบอนุญาตทําการประมงจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศนํา เรือประมงไทยประมาณ 100-150 ลํา ไปทําการประมงในนํานน้ําบังกลาเทศ แตํความรํวมมือ ดังกลําวมีอายุสั้นมาก เพราะเกิดความขัดแย๎งระหวํางหุ๎นสํวนอยํางรุนแรง จนรัฐบาลบังกลาเทศ ไมํพิจารณาตํออายุใบอนุญาตทําการประมงให๎แกํเรือประมงไทย กองเรือประมงดังกลําวจึง จําเป็นต๎องออกจากแหลํงประมงในนํานน้ําบังกลาเทศหรืออาจจะกลับเข๎าไปในแหลํงประมงเดิมก็ ได๎ แตํต๎องแอบแฝงใช๎ใบอนุญาตทําการประมงจากประเทศอื่น เชํน ประเทศสิงคโปร๑ หรือประเทศ มาเลเซีย เป็นต๎น ระหวํางเดือนตุลาคม พ.ศ. 2522 ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2523 รัฐบาลบังกลาเทศได๎ออก ใบอนุญาตให๎เรือประมงไทย จํานวน 75 ลํา (12 บริษัท) เข๎าไปทําการประมงในนํานน้ําของ บังกลาเทศอีก แตํตํอมาการออกใบอนุญาตดังกลําวได๎ยุติลงอยํางสิ้นเชิง และไมํตํอใบอนุญาตให๎ เรือประมงไทย เนื่องจากมีปัญหาและข๎อขัดแย๎งตํางๆ มากมายที่ไมํอาจหาข๎อยุติได๎ เนื่องจากการ รํวมลงทุนทําการประมงระหวํางเอกชนของสองประเทศเป็นกิจกรรมใหมํที่ทั้งสองฝ่ายตํางขาด ความรู๎และประสบการณ๑ การรํวมมือกันจัดตั้งบริษัทรํวมทุนจึงมีแนวโน๎มที่จะแสวงหาผลประโยชน๑ ให๎มากที่สุด มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน เกิดความไมํไว๎วางใจกัน อีกทั้งระเบียบ ข๎อกําหนดและการปฏิบัติของทางการบังกลาเทศไมํเอื้ออํานวยตํอการดําเนินการของฝ่ายไทย จึง มีผลทําให๎บริษัทรํวมทุนชุดแรกที่เกิดขึ้นภายใต๎สัญญาความรํวมมือทางการประมงนี้ ต๎องล๎มเลิก อยํางสิ้นเชิง ระหวํางเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ไมํมีเรือประมงไทย ได๎รับใบอนุญาตให๎เข๎าไปทําการประมงในนํานน้ําเขตเศรษฐกิจจําเพาะของบังกลาเทศภายใต๎ ข๎อตกลงความรํวมมือทางการประมงไทย-บังกลาเทศ แตํประเทศบังกลาเทศยังคงออกใบอนุญาต

27

ทําการประมงแกํเรือประมงตํางชาติ การอนุญาตให๎เรือตํางชาติเข๎าไปทําการประมงในนํานน้ํา บังกลาเทศนั้น แบํงเป็น 3 ลักษณะ คือ 1) การรํวมลงทุนทําการประมง (Joint Venture) 2) การ เชําเรือ (Charter Vessel) 3) การเชําซื้อเรือ (Hire Purchase) โดยจนถึงปัจจุบันมีเพียงการรํวมทุน ทําการประมงเทํานั้นที่ยังคงดําเนินการอยูํ ในชํวงปี พ.ศ. 2543 เป็นต๎นมา เรือประมงไทยบางลํา ได๎ลํวงล้ํานํานน้ําบังกลาเทศอยํางตํอเนื่อง และพบวําเรือลักลอบเพิ่มจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทางการบังกลาเทศสามารถจับกุมเรือประมงและลูกเรือไทยเป็นจํานวนมาก เหตุการณ๑ดังกลําวได๎ สร๎างปัญหาให๎แกํทางการบังกลาเทศ แม๎วําจะได๎มีการห๎ามปรามเรือประมงไทยมิให๎ลํวงล้ํา นํานน้ําบังกลาเทศอยํางผิดกฎหมายแล๎วก็ตาม เนื่องจากลูกเรือประมงที่ถูกจับจะได๎รับการปลํอย ตัวจึงไมํหลาบจํา และไมํฟังคําเตือนจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงธากา ซึ่งได๎แจ๎งให๎ เรือประมงไทยลักลอบทําการประมงในนํานน้ําสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ซึ่งในมุมมองของ ผู๎ประกอบการเห็นวําคุ๎มที่จะเสี่ยงนําเรือออกไปลับลอบด๎วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ หาก ทางการบังกลาเทศตรวจพบวําเรือประมงไทยขนอาวุธสงครามหรือสินค๎าต๎องห๎ามอื่นๆ ก็จะสํงผล กระทบตํอความสัมพันธ๑อันดีระหวํางสองประเทศอยํางหลีกเลี่ยงไมํได๎ ปัจจุบันรัฐบาลบังกลาเทศ แจ๎งวํายังไมํสามารถจัดเก็บข๎อมูลด๎านการประมงของตนได๎อยํางครบถ๎วน โดยเฉพาะอยํางยิ่ง ปริมาณสัตว๑น้ําที่สามารถนําขึ้นมาใช๎ประโยชน๑ได๎สูงสุดและมีความอยํางยั่งยืน ( Maximum Sustainable Yield, MSY) โดยขณะนี้อยูํระหวํางการสํารวจแหลํงประมงเพื่อจัดเก็บข๎อมูล รวมทั้ง การศึกษาแนวทางการดําเนินงานในอนาคต

ประเทศไทยกับภูฏาน ประเทศภูฏาน เป็นภูเขาทั้งประเทศและไมํมีทางออกสูํทะเล ตั้งอยูํบนพื้นที่สูงของเทือกเขา หิมาลัย มีทรัพยากร เหมือนกับประเทศเนปาล ได๎แกํ ป่าไม๎ น้ํา แรํธาตุ โดยเฉพาะอยําง ยิ่งมีพลัง น้ํามากมหาศาลและมีราคาถูก ทําให๎อุตสาหกรรมด๎านนี้เติบโตอยํางรวดเร็ว เป็นประเทศที่มีประชากรน๎อยที่สุด (ประมาณ 2 ล๎านกวําคน) ประชากรมีหลายชนชาติ เชํน กลุํมดรุกปาส (มีมากที่สุดคือ 67%) กลุํมเนปาลี และกลุํมอื่นๆ ประเทศไทยและภูฏานยังไมํได๎ดําเนินความรํวมมือด๎านการประมงในลักษณะทวิภาคี และ ประเทศภูฏานไมํได๎เป็นสมาชิกขององค๑กรความรํวมมือด๎านการประมงใดๆ ประเทศไทยและภูฏา นจึงยังไมํได๎เริ่มต๎นความสัมพันธ๑ทางการประมงระหวํางกัน

28

ประเทศไทยกับอินเดีย ประเทศอินเดีย มีฐานที่ตั้งอยูํในภูมิภาคเอเชียใต๎ อาณาเขตทางทะเลกว๎างขวาง มีเขต ติดตํอกับประเทศตํางๆ 6 ประเทศ ได๎แกํ บังกลาเทศ (ภาคตะวันออก) พมํา (ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ) จีน เนปาล ภูฏาน (ภาคเหนือ) และปากีสถาน (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ) และมีดินแดนในอาณัติคือหมูํเกาะอันดามัน อินเดียอยูํในเขตที่ได๎รับภัยธรรมชาติหลายอยําง ทั้งที่ เป็นภัยแห๎งแล๎ง น้ําทํวมฉับพลันและแผํนดินไหว มีทรัพยากรธรรมชาติหลายชนิด เชํน ถํานหิน (ซึ่ง มีปริมาณสํารองมากเป็นอันดับ 4 ของโลก) แรํเหล็ก แมงกานิส ไมก๎า บ็อคไซต๑ ไททาเนี่ยม โคร ไมต๑ แก๏สธรรมชาติ เพชร หินปูนและปิโตรเลี่ยม มีประชากรมากเป็นอันดับ 1 คือ 1,080,264,388 คน ประชากรมีหลายเชื้อชาติ สํวนใหญํ เป็นอินโด-อารยัน ที่เหลือเป็นดราวิเดียน (Dravidian) อารยัน (Aryan) มองโกลอยด๑ (Mongoloid) และอื่นๆ เนื่องจากประเทศอินเดียมีอาณาเขตทางทะเลกว๎างใหญํไพศาล และมีสัตว๑น้ําอุดมสมบูรณ๑ ประกอบกับการพัฒนาการจับสัตว๑น้ําล๎าหลังกวําชาวประมงไทย ดังนั้น ทรัพยากรสัตว๑น้ําจึงคง ความอุดมสมบูรณ๑จนปัจจุบัน ฉะนั้น นํานน้ําของประเทศอินเดียจึงเป็นแหลํงการประมงที่นําสนใจ แหลํงหนึ่งของชาวประมงไทย ประมาณ พ.ศ. 2521-2522 บริษัท TATA แหํงประเทศอินเดียได๎ตกลงทําการประมงรํวมกับ บริษัท Thailand Marine Product จํากัด แหํงประเทศไทย จัดสํงเรือประมงอวนลากไปทําการ ประมงในนํานน้ําประเทศอินเดีย โดยการเสียคําใบอนุญาตใช๎เรือธงไทย เจ๎าของเรือประมงจํายคํา ประโยชน๑ให๎กับบริษัท Thailand Marine Product อัตราร๎อยละ 20 ของผลจับทั้งหมดในแตํละ เที่ยว สํวนบริษัทฝ่ายไทยจํายผลประโยชน๑ให๎กับบริษัทฝ่ายอินเดีย จํานวนเทําใดไมํระบุ เพราะถือ วําเป็นข๎อมูลลับของบริษัท สํวนจํานวนเรือเป็นเทําใด ก็ไมํมีตัวเลขยืนยันเชํนกัน หลังจากที่ได๎ทําการประมงรํวมกันประมาณ 1 ปี ประเทศอินเดียได๎แจ๎งให๎หยุดและยกเลิก การทําประมงรํวม เพราะมีข๎อขัดแย๎งในการแบํงปันผลประโยชน๑ระหวํางกัน คือ บริษัท Thailand Marine Product จํากัด ตัวแทนฝ่ายไทยเป็นเพียงบริษัทคนกลาง ไมํมีเรือประมงของตนเอง และ ขาดประสบการณ๑ในธุรกิจการประมง ทําให๎ไมํสามารถควบคุมชาวประมงที่เข๎ารํวมโครงการได๎ ซึ่ง มีผลทําให๎การจัดเก็บเงินผลประโยชน๑ที่จะต๎องแบํงให๎กับบริษัทในประเทศอินเดียไมํเป็นไปตาม ข๎อตกลงได๎ ซึ่งเป็นเหตุให๎บริษัท TATA ยกเลิกข๎อตกลงทําการประมงรํวมและแจ๎งวําบริษัทฝ่าย ไทยยักยอกเงินผลประโยชน๑ ข๎อกลําวหานี้ ทําให๎ความรํวมมือทางการประมงระหวํางไทยและ อินเดียต๎องสิ้นสุดลงจนถึงทุกวันนี้

29

ความรํวมมืออื่นๆ เนื่องจากประเทศอินเดีย มีนโยบายที่จะพัฒนาการประมงทะเล และการ เพาะเลี้ยงสัตว๑น้ําให๎เจริญรุดหน๎าขึ้น ประเทศอินเดียจึงประสงค๑จะได๎รับความชํวยเหลือด๎านการ ถํายทอดเทคโนโลยีดังกลําวจากประเทศไทย เฉพาะอยํางยิ่งทางด๎าน การเพาะเลี้ยงกุ๎งน้ําจืด การ เพาะเลี้ยงกุ๎งกุลาดํา และ โรงงานผลิตอาหารสัตว๑น้ํา ในรอบ หลายปีที่ผํานมา ทั้งภาครัฐบาลและ เอกชนของอินเดียได๎พยายามเป็นอยํางมากในการติดตํอกับฝ่ายไทย เพื่อขอความรํวมมือในด๎าน การเพาะเลี้ยงกุ๎ง

ประเทศไทยกับสหภาพพม่า ที่ตั้งสหภาพพมําเป็นประเทศที่มีภูเขาเป็นป่าเรียงกันไปสามภูเขาใหญํจากเหนือไปถึงใต๎ มี ความยาวชายฝั่งทะเล 2,832 กิโลเมตร มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ๑มาก ได๎แกํ ป่าไม๎ (ครอบคลุมถึง 50.87% ของพื้นที่ทั้งหมด) น้ํามันและก๏าซธรรมชาติ สัตว๑น้ํา อัญมณีประเภท ทับทิม พลอย ไขํมุก หยก สินแรํจําพวกถํานหิน แรํนิกเกิ้ล แรํเหล็ก แรํสังกะสี ยิปซั่ม และตะกั่วที่มี มากเป็นอันดับ 6 ของโลก มีมากในรัฐฉาน มีประชากรเป็นลําดับ 4 คือประมาณ 48 ล๎านคน มีเผําพันธุ๑ประมาณ 135 เชื้อชาติ แตํ ประชากรเชื้อสาย Bamars มีจํานวนมากที่สุดคือ 68.96 % ประชาชนสํวนใหญํอาศัยอยูํบริเวณ เทือกเขาบริเวณที่ลุํมปากแมํน้ํา และบริเวณที่ราบสูง โดยจะมีชนเผําจํานวน 7 ชนกลุํม อาศัยอยูํ ในที่ตํางๆ กันและมีพูดและเขียนเป็นภาษาพมําแตํสําเนียงจะแตกตํางกันแล๎วแตํสําเนียงของแตํ ละรัฐ นํานน้ําประเทศสหภาพพมําถือวําเป็นแหลํงประมงที่สําคัญอีกแหํงหนึ่งของประเทศไทย ใน ปี พ.ศ. 2547-2548 บริษัทไทยจํานวน 10 บริษัท ทําการประมงรํวมกับสหภาพพมํา แตํยังไมํมี เรือประมงไทยไปทําการประมง เนื่องจากเงื่อนไขไมํเหมาะสมและขาดความเป็นไปได๎ในเชิงธุรกิจ นอกจากนี้ สหภาพพมํายังคงยืนยันรูปแบบและเงื่อนไขการทําประมงรํวมที่คณะรัฐมนตรีสหภาพ พมํามีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2544 อนึ่ง เรือประมงไทยประมาณ 200-300 ลํา ซื้อตั๋วบริษัทประมงชาวพมําและจดทะเบียนเป็นเรือสองสัญชาติ เพื่อทําการประมงในนํานน้ํา สหภาพพมํา ในระดับรัฐบาล กรมประมงไทยและกรมประมงพมําได๎ลงนามในบันทึกหารือวําด๎วยความ รํวมมือด๎านการประมง เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2544 เพื่อให๎เกิดความรํวมมือด๎านการประมง อยํางยั่งยืน ผํานโครงการการทําประมงรํวม (Joint Venture Fisheries Programme) และกรม ประมงได๎ออกหนังสือรับรองให๎แกํบริษัทที่จะไปยื่นขอรับสัมปทานประมงกับทางการพมํา

30

ความรํวมมือทางวิชาการประมงระหวํางไทยกับสหภาพพมํา ได๎ดําเนินการภายใต๎กรอบความ รํวมมือทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคีที่ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิกอยูํ เชํน FAO, SEAFDEC, NACA เป็นต๎น โดยความรํวมมือในระดับทวิภาคี รัฐบาลไทยโดยกรมประมงได๎ให๎ความชํวยเหลือทาง วิชาการประมงแกํพมําภายใต๎โครงการจัดตั้งสถานีสาธิตการเพาะเลี้ยงกุ๎งทะเลในจังหวัดสิตเว รัฐยะ ไขํ ระยะเวลา 3 ปี (พ.ศ. 2541-2543) ในวงเงิน 25 ล๎านบาท ประกอบด๎วย การกํอสร๎างสถานีสาธิต การเพาะเลี้ยงกุ๎งทะเล การจัดหาเครื่องมืออุปกรณ๑และยานพาหนะ การจัดสํงผู๎เชี่ยวชาญไปให๎ คําปรึกษา และการจัดฝึกอบรม /ดูงานให๎แกํผู๎บริหารและนักวิชาการพมํา ซึ่งโครงการประสพ ผลสําเร็จเป็นอยํางดี ตํอมาเนื่องจากการเดินทางไปเยือนพมําของอธิบดีกรมประมงและคณะ ระหวํางวันที่ 18-20 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2547 พมําขอให๎ฝ่ายไทยจัดฝึกอบรมการเพาะเลี้ยงสัตว๑น้ําแกํ นักวิจัยพมําด๎วย กรมประมงจึงได๎จัดฝึกอบรมหลักสูตรการเพาะเลี้ยงปลากะพงขาวให๎กับนักวิจัย พมํา จํานวน 8 คน ซึ่งประเทศไทยได๎ดําเนินการจัดให๎เรียบร๎อยแล๎ว

ประเทศไทยกับเนปาล ประเทศเนปาลมีลักษณะเป็นประเทศบนภูเขาเป็นประเทศเล็กๆ ที่ไมํมีทางออกทะเล ตั้งอยูํ บนที่สูงของเทือกเขาหิมาลัย มีอาณาเขตติดกับแคว๎นทิเบตของประเทศจีนทางตอนเหนือและ ประเทศอินเดียทางตอนใต๎ มีทรัพยากร ได๎แกํป่าไม๎ น้ํา แรํธาตุ โดยเฉพาะอยําง ยิ่งมีพลังน้ํามาก มหาศาลและมีราคาถูก ทําให๎อุตสาหกรรมด๎านนี้เติบโตอยํางรวดเร็ว มีประชากรมากเป็นลําดับ 5 (ประมาณ 24 ล๎านคน) ประชากรประกอบด๎วยหลายชาติพันธุ๑ ที่สําคัญคือมองโกลอยด๑ซึ่งมาจากธิเบตสิกขิม และบริเวณภูเขาในอัสสัมและเบงกอล และกลุํมที่ สืบเชื้อสายมาจากอินโดอารยัน การแบํงชนชั้นของกลุํมชนเผําทําให๎สํงผลตํอสังคม วัฒนธรรม ภาษา และการเมืองของประเทศ ทั้งนี้คนเนปาลรู๎หนังสือเพียง 39% ซึ่งสํวนใหญํเป็นผู๎ชาย ประเทศไทยและเนปาลยังไมํได๎ดําเนินความรํวมมือด๎านการประมงในลักษณะทวิภาคี อยํางไรก็ตาม ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิกในองค๑การขํายงานศูนย๑เพาะเลี้ยงสัตว๑น้ําแหํงเอเชียและ แปซิฟิก (NACA) ซึ่งทําให๎ประเทศทั้งสองมีโอกาสพบปะ หารือและดําเนินความรํวมมือรํวมกันใน ลักษณะความรํวมมือหลายประเทศ หรือแบบพหุภาคี

ประเทศไทยกับศรีลังกา ประเทศศรีลังกา มีที่ตั้งอยูํทางตอนใต๎ของอินเดียประมาณ 80 กิโลเมตร แตํมีสภาพเป็น เกาะในมหาสมุทรอินเดีย มีทรัพยากรธรรมชาติที่สําคัญคล๎ายอินเดียในสํวนที่มีพลอยดิบ

31

(Gueda) และอัญมณีเป็นจํานวนมาก จนถึงขนาดวํารัฐบาลศรีลังกามีนโยบายที่จะสํงเสริมให๎ ประเทศเป็นศูนย๑กลางของการค๎าอัญมณีที่สําคัญของโลก มีประชากรมากเป็นลําดับ 6 (ประมาณ 19.4 ล๎านคน) ประกอบด๎วยหลายเชื้อชาติ คือ สิงหล (74%) ทมิฬศรีลังกา (12.6%) ทมิฬอินเดีย (5.5%) แขกมัวร๑ (มุสลิมจากอินเดียและตะวันออก กลาง 7.1%) และอื่น ๆ ระหวํางการจัดประชุมคณะกรรมาธิการรํวมวําด๎วยความรํวมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ ไทย-ศรีลังกา ครั้งที่ 1 (Joint Commission on Economic and Technical Cooperation between the Kingdom of Thailand and the Democratic Socialist Republic of Sri Lanka) เมื่อวันที่ 2-4 มิถุนายน พ.ศ. 2543 ได๎มีการลงนามในบันทึกข๎อตกลงรํวมกัน (Agreed Minutes) ด๎านการประมง โดยมีสาระ 4 ข๎อ ได๎แกํ 1. ไทยและศรีลังกาจะรํวมมือกันสํารวจและวิจัยด๎านทรัพยากรทางทะเลในมหาสมุทร อินเดีย 2. ฝ่ายศรีลังกาเสนอให๎มีความรํวมมือและรํวมลงทุนด๎านการประมงและอุตสาหกรรม ปลากระป๋อง โดยจะสํงกฎระเบียบในการลงทุนให๎ฝ่ายไทยพิจารณา 3. กรมประมงรํวมกับกรมวิเทศสหการ (ในขณะนั้น) และ JICA จะจัดสรรทุนให๎บุคลากร ของศรีลังกาเข๎ารับการฝึกอบรมในสาขาการเพาะเลี้ยงสัตว๑น้ําจืดในประเทศไทย ระหวํางปี พ.ศ. 2543-2547 ปีละ 1 ทุน 4. ศรีลังกาสนับสนุนไทยในการเป็นเจ๎าภาพจัดประชุม BIMSTEC Sectorial Committee on Fisheries ครั้งที่ 1 ตํอมา ในรัฐบาลสมัยปี พ.ศ. 2546 ไทยมีนโยบายในด๎านการเพิ่มขีดความสามารถในการ แขํงขันของภาคเกษตรในตลาดโลก จึงได๎จัดคณะเดินทางไปเยือนประเทศศรีลังกา ระหวํางวันที่ 14-15 สิงหาคม พ.ศ. 2546 และมีการเจรจาทําความตกลงแบบทวิภาคีกับรัฐบาลศรีลังกา ในการ พัฒนาความรํวมมือในด๎านตําง ๆ โดยเฉพาะในด๎านการประมง ซึ่งเน๎นการทําการประมงรํวมใน นํานน้ําศรีลังกา การเพาะเลี้ยง การแปรรูป พัฒนาทําเรือ ลงทุนสร๎างอูํตํอเรือ โดยประเทศศรีลังกา ต๎องการให๎ภาคเอกชนไทยเข๎าไปลงทุนตํางๆ ในประเทศศรีลังกามากขึ้น ในครั้งนั้นนายกรัฐมนตรี ของไทยจึงได๎พิจารณาเห็นวํารัฐบาลไทยควรจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดตั้งกองทุนให๎ภาคเอกชน ไทยกู๎ยืม เพื่อสํงเสริมและสนับสนุนให๎ภาคเอกชนไทยเข๎าไปลงทุนทําธุรกิจด๎านการประมงใน ประเทศศรีลังกา ได๎แกํ การทําการประมงน้ําลึก อุตสาหกรรมตํอเนื่อง โรงงานปลากระป๋องหรือ ปลาซาร๑ดีน กระทรวงเกษตรและสหกรณ๑โดยกรมประมง ได๎รับมอบหมายให๎ดําเนินความรํวมมือ ด๎านการประมงระหวํางไทยกับศรีลังกาให๎เป็นรูปธรรม กรมประมงจึงได๎จัดประชุมผู๎เกี่ยวข๎องทั้ง

32

ภาครัฐและเอกชนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2546 เพื่อรํวมกันพิจารณาแนวทางในการ ดําเนินโครงการรํวมธุรกิจด๎านประมงในประเทศศรีลังกา และที่ประชุมมีมติดังนี้ 1. จัดสํงคณะไปสํารวจข๎อมูลเบื้องต๎นด๎านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ตลอดจน กฎระเบียบในการทําการประมง เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของภาคเอกชนไทย 2. จัดตั้งกองเรือสํารวจและศึกษาความอุดมสมบูรณ๑ของทรัพยากรในนํานน้ําศรีลังกา อัน จะเป็นประโยชน๑ตํอการเข๎าไปทําการประมงรํวมกับศรีลังกา โดยใช๎เรือมหิดลเป็นเรือพี่เลี้ยงของ เรือประมงอวนลอยและเบ็ดราวจากภาคเอกชนไทย โดยกรมประมง จะเชําเรือโดยให๎นักวิชาการ ไทย-ศรีลังกา และกลาสีจากศรีลังกาลงฝึกงาน เพื่อการสํารวจทรัพยากรสัตว๑น้ําในนํานน้ําศรีลังกา ประมาณ 5 ลํา โดยจะใช๎เรืออวนลอยและเรือเบ็ดราว และจะขอให๎ศรีลังกาสํงข๎าราชการและ ชาวประมงลงเรือ เพื่อทําการฝึกอบรมการทําประมงด๎วย ในการพัฒนาพํอแมํพันธุ๑กุ๎งนั้น ในขั้นต๎น จะต๎องมีการสํารวจศึกษาทรัพยากรพํอแมํพันธุ๑กุ๎งกํอนเชํนกัน โดยจะเชําเรืออวนลากแคระ ไปทํา การทดลองจับพํอแมํพันธุ๑กุ๎งในบริเวณชายฝั่งทะเลของศรีลังกา 3. การลงทุนในอุตสาหกรรมประมง ยังไมํสามารถดําเนินการได๎ในขณะนั้น เนื่องจาก จําเป็นต๎องพิจารณาองค๑ประกอบหลายๆ ด๎าน เชํน ชนิดและปริมาณทรัพยากรหรือวัตถุดิบสําหรับ ป้อนโรงงาน และระบบสาธารณูปโภคตํางๆ ที่จําเป็น แตํการลงทุนโรงงานน้ําแข็งมีความเป็นไปได๎ สูง เนื่องจากศรีลังกาขาดแคลนน้ําแข็งที่จะใช๎ในการถนอมคุณภาพสัตว๑น้ําที่จับได๎และที่ขายใน ตลาดสด 4. ควรวางแผนโครงการในการพัฒนาเรือประมงพื้นบ๎าน ซึ่งเป็นเรือประมงขนาดเล็ก ให๎มี ประสิทธิภาพทําการประมงสูงขึ้น ซึ่งในภายภาคหน๎าไทยอาจสามารถทําธุรกิจอูํตํอเรือ ถักอวนใน ศรีลังกาได๎ตํอไป โดยผลจากการประชุมในครั้งนี้ กรมประมงจึงได๎จัดคณะข๎าราชการและเอกชน นําโดยรอง อธิบดีกรมประมงในขณะนั้น เดินทางไปเยือนประเทศศรีลังกาในระหวํางวันที่ 11- 17 มกราคม พ.ศ. 2547 เพื่อศึกษาความเป็นไปได๎ในการทําการประมงรํวมและรํวมทุนทําธุรกิจตํอเนื่องทางการ ประมงในประเทศศรีลังกา ตลอดจนพัฒนาความรํวมมือทางวิชาการ โดยในการเดินทางเยือนศรี ลังกาครั้งนี้ ได๎มีการลงนามในบันทึกข๎อตกลงรํวม (Agreed Minutes) ซึ่งสรุปได๎เป็นความรํวมมือ 2 ประเภท คือ ความรํวมมือทางด๎านวิชาการ และความรํวมมือทางด๎านเศรษฐกิจ ซึ่งมีสาระสรุป ได๎ดังนี้ ความรํวมมือทางด๎านวิชาการ 1. รํวมกันศึกษาและประเมินสภาวะทรัพยากรสัตว๑น้ําและการประมงในนํานน้ําเขต เศรษฐกิจจําเพาะของศรีลังกา

33

2. รํวมกันสํารวจทรัพยากรปลาหมึกและสัตว๑น้ําหน๎าดิน ในนํานน้ําเขตเศรษฐกิจ จําเพาะ พร๎อมกับรํวมวิจัยและพัฒนาเครื่องมือในการจับสัตว๑น้ําประเภทดังกลําว 3. รํวมกันวิจัยการเลี้ยงกุ๎งกุลาดําพื้นเมืองชนิด Penaeus monodon เพื่อใช๎เป็นพํอ แมํพันธุ๑ 4. ให๎ความชํวยเหลือทางวิชาการในการสํงเสริมเทคโนโลยีการเพาะพันธุ๑สัตว๑น้ําจืด ที่มีมูลคําสูง เชํนปลา และกุ๎งน้ํากรํอย 5. ให๎ความชํวยเหลือทางวิชาการในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมนากุ๎ง 6. ให๎ความชํวยเหลือในการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมแกํสถาบันการประมงและ วิศวกรรมการเดินเรือแหํงชาติ 7. จัดเตรียมหลักสูตรการฝึกอบรมนักเพาะพันธุ๑สัตว๑น้ําในไทย 8. ให๎ความชํวยเหลือในการปรับปรุงการเก็บรักษา การขนสํง และการจัดการ ผลผลิตสัตว๑น้ําหลังการเก็บเกี่ยว อื่นๆ ความรํวมมือทางด๎านเศรษฐกิจ เป็นที่ตกลงกันวํานักธุรกิจไทยสามารถลงทุนธุรกิจในประเทศศรีลังกาในรูปแบบการลงทุน ตํางชาติ หรือลงทุนรํวมกับนักธุรกิจชาวศรีลังกา ในหัวข๎อดังตํอไปนี้ 1. การทําประมงทะเลลึกเพื่อการแปรรูปและสํงออก 2. เพาะเลี้ยงสัตว๑น้ําในทะเลสาบที่มีศักยภาพ 3. เพาะเลี้ยงกุ๎งในนาที่ตําบล Hambantota 4. สร๎างทําเรือประมงภายใต๎ข๎อกําหนด BOI 5. โรงงานเครื่องมือประมงสําหรับตลาดภายในและสํงออก 6. อูํตํอเรือ 7. การค๎าสินค๎าสัตว๑น้ําและผลิตภัณฑ๑ประมงรวมทั้งปลาสวยงาม ผลของความรํวมมือในครั้งนี้ กระทรวงการประมงและทรัพยากรทางทะเลแหํงศรีลังกาจะ จัดเตรียมรํางความตกลงและนําเสนอตํอรัฐมนตรีวําการกระทรวงเกษตรและสหกรณ๑ของไทย โดย ผํานชํองทางการทูต ประมาณวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2547 หลังจากพิจารณาเป็นขั้นตอนสุดท๎าย แล๎ว ทั้งสองฝ่ายจะนําเสนอเพื่อให๎ผํานความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเพื่อลงนามใน ความตกลงดังกลําวตํอไป นอกจากนี้ จากการสํารวจและศึกษาสภาวะการทําประมงของศรีลังกาพบวํา ภาครัฐและ เอกชนของศรีลังกามีความต๎องการที่จะพัฒนาการทําการประมงปลาทูนําของตน แตํชาวประมง ศรีลังกามีขีดจํากัดในการพัฒนาเนื่องจากขาดแคลนเงินทุนและเทคนิคในการเก็บรักษาคุณภาพ

34

สัตว๑น้ํา การทําการประมงปลาทูนําหรือสัตว๑น้ําประเภทอื่นโดยเรือประมงตํางชาติในเขตเศรษฐกิจ จําเพาะของศรีลังกาไมํสามารถกระทําได๎ เนื่องจากศรีลังกามีนโยบายไมํให๎เรือตํางชาติมาทําการ ประมงในนํานน้ําของตน ทั้งๆ ที่ศรีลังกายังใช๎ประโยชน๑ทรัพยากรสัตว๑น้ําได๎ไมํเต็มที่ เป็นเหตุผลให๎ ไทยพยายามให๎มีการเจรจาขอให๎ศรีลังกาอนุญาตเรือประมงไทยเข๎าไปทําการประมงในนํานน้ําศรี ลังกาได๎เป็นกรณีพิเศษ โดยมีความชํวยเหลือทางด๎านวิชาการและเทคนิคเป็นการแลกเปลี่ยน สํวน การลงทุนทําธุรกิจอื่นๆ ในศรีลังกานั้น รัฐบาลศรีลังกามีนโยบายสนับสนุนให๎ตํางชาติมาลงทุนใน ประเทศศรีลังกาโดยจะได๎รับสิทธิพิเศษตําง ๆ มากมาย ไทยจึงมีโอกาสที่จะเข๎าไปลงทุนทําธุรกิจ ในศรีลังกาได๎

35 บทที่ 4 การด าเนินงานของประเทศไทยโดยกรมประมง

สาขาประมงเป็นสาขาที่ถูกบรรจุไว๎ในความรํวมมือ BIMSTEC ตั้งแตํแรกเริ่มกํอตั้ง โดย ประเทศไทยทําหน๎าที่เป็น Lead Country ทําให๎กรมประมงในฐานะหนํวยงานหลักด๎านการประมง ของประเทศมีหน๎าที่รับผิดชอบในกิจกรรมความรํวมมือของสาขา ตั้งแตํ ปี พ.ศ. 2544 ถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2553) ลําดับเหตุการณ๑การประชุมและกิจกรรมที่เกี่ยวข๎องกับพัฒนาการความรํวมมือสาขาประมง

ปี พ.ศ. 2541 มีการกําหนดให๎ประเทศไทยเป็นประเทศนํา สาขาประมง ในการประชุมระดับรัฐมนตรี ตํางประเทศ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 17-19 ธันวาคม พ.ศ. 2541 ณ กรุงธากา ประเทศบักลาเทศ

ปี พ.ศ. 2544 มีการจัดตั้งคณะกรรมการสาขาประมง โดยประเทศไทยเป็นเจ๎าภาพจัดการประชุม The First Meeting of BIMSTEC Sectoral Committee in Fisheries ในระหวํางวันที่ 5-7 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2544 ณ โรงแรมรามาการ๑เด๎นส๑ กรุงเทพฯ เป็นการประชุมที่เชิญผู๎แทนระดับผู๎กําหนด นโยบายด๎านการประมงของประเทศสมาชิกซึ่งในขณะนั้น มีประเทศสมาชิกอยูํ 5 ประเทศ คือ ประเทศบังคลาเทศ อินเดีย สหภาพพมํา ศรีลังกา และไทย ผลการประชุมสรุปได๎ดังตํอไปนี้ 1. มีการเห็นชอบกับรํางขอบเขตและอํานาจหน๎าที่ของคณะกรรมการด๎านประมง (Term of Reference of the BIMSTEC Sectoral Committee on Fisheries) ซึ่งเสนอโดยฝ่ายไทย โดยไทย จะเป็นประเทศนําในสาขาประมงและเป็นเจ๎าภาพจัดประชุมคณะกรรมการฯ เป็นระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแตํการประชุมครั้งแรก 2. มีการเห็นชอบในหัวข๎อความรํวมมือด๎านตํางๆ ดังนี้ 2.1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย๑ อาทิ สํงเสริมการแลกเปลี่ยนการฝึกอบรม /การดูงาน และผู๎เชี่ยวชาญด๎านประมงและด๎านการเพาะเลี้ยงสัตว๑น้ําโดยในชั้นต๎นให๎ประเทศสมาชิกจะต๎อง จัดสํงรายการฝึกอบรม/ดูงานรวมทั้งรายชื่อผู๎เชี่ยวชาญของตนให๎ฝ่ายไทยทราบเพื่อแจ๎งเวียนให๎ ประเทศสมาชิกอื่นๆทราบ เพื่อดําเนินการในขั้นตอนตํอไป 2.2 ความรํวมมือทางวิชาการ ให๎มีการแลกเปลี่ยนข๎อมูลโครงการอนุรักษ๑เตําทะเล ข๎อมูลผลกระทบจากการนําเข๎าพันธุ๑สัตว๑น้ําจากตํางประเทศของประเทศสมาชิก

36

2.3 การจัดการทรัพยากรประมงอยํางยั่งยืน ให๎มีการสํารวจทรัพยากรประมงรํวมกัน 2.4 ความรํวมมือด๎านเศรษฐกิจการประมง ดําเนินการรวบรวมข๎อมูลเกี่ยวกับรายชื่อ และที่อยูํของบริษัทที่ประกอบธุรกิจด๎านประมง กฎหมายที่เกี่ยวข๎อง และ กฎ ระเบียบการนําเข๎า / สํงออก ของประเทศสมาชิกฯในรูปแบบของหนังสือหรือเผยแพรํใน Web site ของ BIMSTEC ทั้งนี้ เพื่ออํานวยความสะดวกด๎านการค๎า การลงทุนด๎านการประมงระหวํางประเทศสมาชิก 2.5 ริเริ่มความรํวมมือโครงการประกันคุณภาพสินค๎าประมง เพื่อสํงเสริมการค๎า ประมงระหวํางประเทศสมาชิก รวมทั้งการปรับปรุงทําเรือเพื่อให๎ได๎มาตรฐาน ตระหนักถึงผลจาก กระแสโลกที่อาจกระทบตํอการค๎าสินค๎าประมงและพิจารณาทําทีรํวมกันเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม ประมงของภูมิภาค ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกจะจัดสํงข๎อมูลตํางๆให๎ประเทศไทย เพื่อรวบรวมและ จัดทํารูปเลํมตํอไป ภายหลังจากการประชุมฯ ประเทศไทยทําหน๎าที่ประสานขอรับข๎อมูลเกี่ยวกับ บริษัทที่ทํา ธุรกิจด๎านการประมง รายชื่อหลักสูตรการฝึกอบรมในสาขาวิชาด๎านการประมง รายชื่อผู๎เชี่ยวชาญ ในสาขาประมง ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับ กฎ ระเบียบการทําการประมงของประเทศสมาชิก BIMSTEC ทุกประเทศ และได๎จัดทํารํางเอกสารเผยแพรํ จํานวน 3 เลํม คือ 1) Directory on Fisheries Business Company of the BIMSTEC Countries 2) Fisheries Experts and Fisheries Training Programme for the BIMSTEC Member Countries 3) Laws and Regulations on Fisheries for the BIMSTEC Member Countries อยํางไรก็ตาม เอกสารเผยแพรํทั้ง 3 เลํม ไมํได๎ถูกจัดพิมพ๑เป็นฉบับสมบูรณ๑ เนื่องจากมี เพียงบางประทศเทํานั้น ที่จัดสํงข๎อมูลตามที่ระบุมายังประเทศไทย

ปี พ.ศ. 2547 ในการประชุมระดับรัฐมนตรีตํางประเทศ ครั้งที่ 6 ในเดือนกุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2547 ณ จังหวัด ภูเก็ต ประเทศไทย ได๎มีรับรองโครงการ 3 โครงการที่ประเทศสมาชิก BIMSTEC เห็นพ๎องกันวําจะ รํวมกันดําเนินการ โครงการทั้ง 3 โครงการ ได๎แกํ 1) โครงการ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal เสนอโดยประเทศไทย 2) โครงการ Study of Impact of offshore Oil and Gas Drilling on the Marine Fisheries Resource in Bay of Bengal เสนอโดยประเทศบังกลาเทศ

37

3) โครงการ Marine Fisheries Stock Assessment, Management, and Development of New Fisheries in the Bay of Bengal เสนอโดยประเทศ บังกลาเทศ ในการประชุมผู๎นํา BIMSTEC ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ณ กรุงเทพฯ ผู๎นํา ทั้ง 7 ประเทศ มีแถลงการณ๑แสดงความมุํงมั่นในการสํงเสริมความรํวมมือด๎านการประมง1

ปี พ.ศ. 2548 กรมประมงในฐานะ Lead Country สาขาประมง เป็นเจ๎าภาพจัดประชุมหารือระหวําง นักวิจัยด๎านการประมง เพื่อหาแนวทางรํวมกันดําเนินโครงการทั้ง 3 โครงการให๎เป็นรูปธรรม การ ประชุมครั้งนี้ใช๎ชื่อวํา การประชุมผู๎เชี่ยวชาญ ( BIMSTEC Technical Meeting) เมื่อวันที่ 5-7 กันยายน พ.ศ. 2548 ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยการประชุมเปิดโอกาสให๎ประเทศผู๎เสนอ โครงการบรรยายสรุปเกี่ยวกับวิธีการดําเนินโครงการที่ตนเองเสนอ และ เปิดรับฟังข๎อคิดเห็นของ ผู๎แทนที่มาจากประเทศสมาชิก BIMSTEC เสนอแนะวิธีการที่เห็นควรปรับปรุง หรือ วิธีการที่ ประเทศสมาชิกจะสามารถเข๎ารํวมดําเนินการได๎ ทั้งนี้ ปัญหาอุปสรรคในการดําเนินการทั้ง 3 โครงการคือปัญหาเรื่องงบประมาณ ผลการประชุม สามารถระบุรูปแบบการดําเนินโครงการได๎ เพียงโครงการเดียว คือ โครงการ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal ซึ่งประเทศไทยเป็นผู๎เสนอ สํวนอีก 2 โครงการ คือ โครงการ Study of Impact of offshore Oil and Gas Drilling on the Marine Fisheries Resource in Bay of Bengal และ โครงการ Marine Fisheries Stock Assessment, Management, and Development of New Fisheries in the Bay of Bengal ซึ่งประเทศบังกลาเทศเป็นผู๎เสนอยังไมํมีข๎อสรุปวิธีการ ดําเนินการที่ชัดเจน และที่ประชุมมอบหมายให๎ผู๎แทนของบังกลาเทศจัดสํงวิธีการดําเนินการ โครงการทั้งสองมายังประเทศไทยเพื่อให๎ประเทศไทยดําเนินการประสานขอข๎อคิดเห็นเพิ่มเติมไป ยังประเทศสมาชิกอื่นๆ ในลําดับตํอไป

1 สุรศักด์ เจือสุคนธ์ทิพย์ (2552) ความเป็นมาของกรอบความร่วมมือ BIMSTEC ความก้าวหน้าสาขาและบทบาทของประเทศไทยในฐานะ Lead Country สาขาประมง. ใน การ สัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อการจัดท าแผนปฏิบัติการและงบประมาณความร่วมมือประมงภายใต้ กรอบ BIMSTEC (ปีงบประมาณ 2553-2555) วันที่ 31 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน พ.ศ. 2552 ณ จังหวัดอุทัยธานี.

38

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีการจัดตั้ง Network ระหวํางผู๎ประสานงานประมงของประเทศสมาชิก โดย แตํงตั้ง BIMSTEC Fisheries Focal Point ของแตํละประเทศในการทําหน๎าที่เป็นผู๎ประสานงานใน กิจกรรมด๎านประมงให๎แกํประเทศตนเองกับประเทศไทย เพื่อให๎งํายตํอการประสานงานในการ ดําเนินกิจกรรมตํางๆ รํวมกันตํอไป นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได๎มีการหารือกันเกี่ยวกับการขยายความรํวมมือด๎านการประมงให๎ ครอบคลุมสาขาเพาะเลี้ยงสัตว๑น้ํา (Aquaculture) และประมงน้ําจืด (Inland Fisheries) โดยเน๎น ให๎ประเทศสมาชิกดําเนินโครงการที่ไมํซ้ําซ๎อนกับกิจกรรมขององค๑กรอื่น ทั้งนี้ ประเทศเนปาลแจ๎ง วําจะนําเสนอ concept paper ที่จะเป็นประเทศนําในสาขายํอยด๎านประมงน้ําจืด ( Inland Fisheries) โดยประเทศเนปาลมีศักยภาพที่จะถํายทอดความรู๎ด๎านการเพาะเลี้ยงและอนุบาลสัตว๑ น้ําให๎แกํประเทศสมาชิก ตลอดจนสามารถจัดหาพันธุ๑ปลา rainbow trout, ปลาตระกูลปลาไน และ ปลาพื้นเมืองตํางๆได๎

ปี พ.ศ. 2549 กรมประมงในฐานะ Lead Country ได๎ดําเนินการกิจกรรมตํางๆ ดังนี้ 1. ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2549 BIMSTEC Fisheries Focal Point ของประเทศไทย ได๎สํง หนังสือถึง BIMSTEC Fisheries Focal Point ของประเทศสมาชิก โดยจัดสํง Project Proposal: โครงการ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal กําหนดวันที่สํารวจ ในระหวํางเดือนกุมภาพันธ๑-มีนาคม พ.ศ. 2549 โดยประเทศอินเดีย สหภาพพมํา เนปาล และศรี ลังกาแจ๎งตอบวําประเทศตนเองมีความสนใจเข๎ารํวมโครงการสํารวจฯ และกําลังอยูํระหวํางการ พิจารณารายชื่อนักวิทยาศาสตร๑ที่จะเข๎ารํวมโครงการฯ 2. ประเทศเนปาล จัดสํง Concept paper ในการเป็นประเทศนําสาขายํอยด๎านการประมง น้ําจืดและการเพาะเลี้ยงสัตว๑น้ํา ภายใต๎สาขาหลักประมง มายังประเทศไทย และกรมประมงตอบ รับทราบ Concept paper ของเนปาลด๎วยความยินดีและแสดงความปรารถนาที่จะรับทราบ ขั้นตอนหรือข๎อเสนอการดําเนินการของเนปาลตํอไป 3. ในเดือนกุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2549 BIMSTEC Fisheries Focal Point ของประเทศไทย ได๎ สํงหนังสือถึง Focal Point ของประเทศสมาชิกโดยจัดสํง Project Proposal: โครงการ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal ฉบับใหมํ ไปให๎พิจารณาอีก ครั้งหนึ่งเนื่องจากประเทศสมาชิกมิได๎ตอบรับยืนยันและจัดสํงรายชื่อนักวิทยาศาสตร๑เข๎ารํวม สํารวจฯ ประเทศไทยจึงแจ๎งเลื่อนกําหนดวันที่สํารวจทรัพยากรฯ ของจากกําหนดเดิมในระหวําง เดือนกุมภาพันธ๑-มีนาคม พ.ศ. 2549 เป็นเดือนกุมภาพันธ๑-มีนาคม พ.ศ. 2550โดยขอให๎ประเทศ

39

สมาชิกตอบรับ Project Proposal ฉบับใหมํนี้ พร๎อมกับให๎จัดสํงรายชื่อนักวิทยาศาสตร๑ที่จะรํวม ลงเรือสํารวจฯ มายังประเทศไทยภายในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2549 4. พร๎อมกับการดําเนินการตามข๎อ 3 BIMSTEC Fisheries Focal Point ของประเทศไทย ได๎ขอให๎ BIMSTEC Fisheries Focal Point ของประเทศสมาชิกพิจารณาจัดสํงข๎อมูลของประเทศ ตนเองในสํวนที่เกี่ยวข๎องกับโครงการที่บังกลาเทศเสนอไว๎ 2 โครงการที่ชื่อ โครงการ The impact of oil and gas extraction to fishery resource and environment และโครงการThe relevant data and information on resource survey and stock assessment เพื่อ BIMSTEC Fisheries Focal Point ของประเทศไทยรวบรวมจัดสํงให๎กับ BIMSTEC Fisheries Focal Point ของประเทศ บังกลาเทศสําหรับนําไปดําเนินการจัดทํา Regional Project เพื่อให๎เป็นไปตามมติที่ประชุม ผู๎เชี่ยวชาญ ( BIMSTEC Technical Meeting) ที่จัดขึ้นในประเทศไทย ตั้งแตํวันที่ 5-7 กันยายน พ.ศ. 2548 5. ประเทศภูฏานมีหนังสือตอบไมํขอเข๎ารํวมโครงการสํารวจรํวม Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal โดยแจ๎งเหตุผลวําประเทศภูฏานเป็น Landlock Country จึงไมํขอสํงนักวิทยาศาสตร๑เข๎ารํวมการสํารวจโครงการดังกลําว ซึ่งเป็นโครงการที่ ดําเนินการในทะเลอําวเบงกอล ทั้งนี้ กรมประมงได๎มีหนังสือแจ๎งตอบไมํขัดข๎องตํอการไมํเข๎ารํวม โครงการฯ ให๎กระทรวงเกษตรของประเทศภูฏานทราบ 6. กรมประมงสํงผู๎แทนเข๎ารํวมการประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส ( SOM) ครั้งที่ 11 และ การประชุมระดับรัฐมนตรีตํางประเทศ ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 8-9 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ซึ่งในครั้งนั้นหัวหน๎าคะผู๎แทนไทยได๎รายงานผลความก๎าวหน๎าในการดําเนินการ ของประเทศไทยทั้ง 13 สาขา สําหรับสาขาประมง ได๎รายงานวําประเทศไทยกําลังพยายามอยําง มากในการดําเนินการโครงการ 3 โครงการ ซึ่งได๎แกํ 1) The project on Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal 2) The study of Impact of off shore Oil and Gas Drilling on the Marine Fisheries Resources in the Bay of Bengal และ 3) Fisheries Stock Assessment, Management and Development of New Fisheries in the Bay of Bengal ที่เห็นชอบจากการประชุมเจ๎าหน๎าที่อาวุโส ( SOM) ครั้งที่ 10 และการประชุมรัฐมนตรี (MM) ครั้งที่ 8 ให๎สําเร็จเป็นรูปธรรม โดยที่ประชุมเห็นชอบให๎ประเทศไทยจัด Workshop on Fisheries Cooperation เพื่อให๎ทุกประเทศได๎รํวมกันจัดทําขั้นตอนการดําเนินโครงการทั้งหมด และรวมทั้งเพื่อให๎เกิดการหารือกันเกี่ยวกับความรํวมมือด๎านประมงน้ําจืดใน Workshop ครั้งนี้ ด๎วย

40

7. ในที่ประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส ครั้งที่ 10 ได๎มีการหารือกันถึงกิจกรรม The project on Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal โดยผู๎แทน ประเทศไทยได๎กลําวขอให๎ประเทศสมาชิกที่จะเข๎ารํวมการสํารวจดําเนินการเพื่ออนุญาตให๎เรือ สํารวจสามารถเข๎าทํางานในเขตเศรษฐกิจจําเพาะ ( EEZ) ของประเทศตนเองด๎วย นอกจากนี้ ผู๎แทนไทยเสนอให๎ภาคเอกชนของประเทศสมาชิก BIMSTEC เข๎ารํวมมีบทบาทในความรํวมมือ กรอบนี้ด๎วย ทั้งนี้ ได๎เสนอกิจกรรมการรํวมทุนด๎านการประมง (Joint venture for fishing in the member’s water) โดยบริษัทของไทยจะจัดหาเรือประมง ความรู๎ในการจับปลา (Know-how) และ ผู๎ควบคุมเรือ ( Shipmasters) ในขณะที่จะใช๎ลูกเรือจากประเทศที่รํวมทุน ผลผลิตสัตว๑น้ําที่จับได๎ จะเป็นของบริษัทคนไทยเมื่อสิ้นสุดสัญญาเรือจะเป็นของประเทศที่รํวมทุน ผู๎แทนไทยกลําววําการ จัดทํา “Contract fishing” นี้จะสามารถนําประโยชน๑มาสูํประเทศที่เข๎ารํวม อยํางไรก็ตาม ที่ ประชุมมีมติให๎การดําเนินการเกี่ยวกับการจัดทํา “Contract fishing” นี้ในระหวํางกลุํมประเทศ สมาชิก BIMSTEC ควรให๎มีการดําเนินการอยํางระมัดระวังโดยให๎คํานึงถึงมิติด๎านเศรษฐศาสตร๑ ความปลอดภัย และสิ่งแวดล๎อมด๎วย 8. ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี (MM) ครั้งที่ 9 รับทราบและเห็นชอบตามมติที่ประชุมระดับ เจ๎าหน๎าที่อาวุโส (SOM) ครั้งที่ 11 โดยในสาขาประมงที่ประชุมเห็นชอบให๎ประเทศสมาชิกรํวมมือ กันดําเนินโครงการโดยคํานึงถึงการอนุรักษ๑และจัดการทรัพยากรทะเลในอําวเบงกอลอยํางยั่งยืน และเป็นไปตามหลักกฎหมายระหวํางประเทศ ( International Law) ทั้งนี้ ความรํวมมือด๎านการ ประมงให๎รวมถึงภาคเอกชนด๎วย นอกจากนั้นที่ประชุมมีมติเห็นชอบให๎ประเทศไทยจัด Workshop on Fisheries Cooperation เพื่อหารือในการกําหนดทิศทางการดําเนินการรํวมกันในอนาคต ตลอดจนเพื่อหารือถึงบทสรุปการดําเนินการโครงการ Ecosystem-Based Fisheries Management in the Bay of Bengal

ปี พ.ศ. 2550 กรมประมงเป็นเจ๎าภาพจัดกิจกรรม 2 กิจกรรม ในปี พ.ศ. 2550 กิจกรรมที่ 1 ได๎แกํ การประชุมเชิงปฏิบัติการด๎านการประมง (Workshop on Fisheries Cooperation) ระหวํางวันที่ 8-10 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ณ โรงแรมคลับอันดามันบีชรีสอร๑ท จังหวัดภูเก็ต เป็นการประชุมที่จัดเพื่อเป็นเวทีหารือระหวํางประเทศสมาชิก BIMSTEC ทั้ง 7 ประเทศเกี่ยวกับแผนการดําเนินความรํวมมือสาขาประมงในอนาคต มีการปรับปรุง TOR รํวมกัน พิจารณาแนวทางการดําเนินโครงการ 3 โครงการที่เคยได๎รับการเห็นชอบไว๎แล๎ว และหารือเกี่ยวกับ ความรํวมมือสาขาประมงทะเลและประมงน้ําจืด ผู๎เข๎ารํวมประชุมประกอบด๎วยผู๎แทนจากประเทศ

41

สมาชิก BIMSTEC 5 ประเทศ ได๎แกํ บังกลาเทศ ภูฏาน เนปาล ศรีลังกา และประเทศไทย ผู๎ สังเกตการณ๑ จากกรมเศรษฐกิจระหวํางประเทศ สํานักพัฒนาความรํวมมือกับตํางประเทศ กระทรวงการตํางประเทศ และ SEAFDEC สาระการประชุมประกอบด๎วยการบรรยาย ความก๎าวหน๎าสาขาประมงภายใต๎กรอบ BIMSTEC การบรรยายสถานภาพทางการประมงพร๎อม ลําดับความสําคัญสาขาที่ต๎องการให๎มีความรํวมมือประมงในกรอบ BIMSTEC โดยผู๎แทนจาก ประเทศที่มาเข๎ารํวมการประชุม การบรรยายขั้นตอนการดําเนินโครงการสํารวจตามโครงการ The Ecosystem-Based Fisheries Management in the Bay of Bengal ซึ่งได๎เปลี่ยนจากกําหนด เดิมมาดําเนินการในระหวํางวันที่ 25 ตุลาคม – 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 โดยผู๎แทนไทย การหารือ เพื่อหาข๎อสรุปโครงการ 2 โครงการที่บังกลาเทศเป็นผู๎นําเสนอไว๎ มีการหารือเกี่ยวกับการปรับปรุง TOR ของคณะกรรมการสาขาประมง และหารือเกี่ยวกับการจัดทําแผนการดําเนินงานใน ระยะเวลา 3 ปี ถัดไป ซึ่งประเทศไทยเสนอโครงการใหมํจํานวน 5 โครงการ ได๎แกํ 1) Adaptive learning in tsunami early warning system for fishermen and marine occupations 2) Harvesting of under-exploited fishery resources along the continental shelf in the Bay of Bengal by bottom vertical long line and deep-sea traps. 3) Study visit of expert on highland aquaculture 4) Exchange of improved strain of freshwater fish 5) Exchange of improved strain of the giant freshwater prawn ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ยังไมํได๎นําเสนอรายละเอียดโครงการใหมํ ที่ประชุมให๎เวลาประเทศสมาชิก สามารถสํงข๎อเสนอโครงการใหมํมายัง BIMSTEC Fisheries Focal Point ของประเทศไทยใน โอกาสตํอไปได๎ การประชุมจัดให๎ผู๎เข๎ารํวมประชุมดูงาน ณ ฟาร๑มเลี้ยงเปาฮื้อในจังหวัดภูเก็ต และ กิจกรรมตลาดกลางซื้อขายสัตว๑น้ํา บ๎านคลองเคียน จังหวัดพังงา และจบลงด๎วยการจัดทํารํางสรุป การประชุมแจกให๎ผู๎เข๎ารํวมการประชุมพิจารณาแก๎ไขโดยขอให๎จัดสํงคืนมายังกรมประมงภายใน วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 และกรมประมงได๎จัดพิมพ๑เป็นรายงานการประชุมฉบับสมบูรณ๑ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 กิจกรรมที่ 2 ได๎แกํ โครงการ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal เป็นโครงการที่ได๎รับงบประมาณสนับสนุนจากโครงการสนับสนุนภารกิจตํางประเทศแบบ บูรณาการ หรือ FMIP ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2551 ลักษณะโครงการเป็นการ สํารวจทรัพยากรประมงในอําวเบงกอล โดยใช๎เรือสํารวจชื่อ MV.SEAFDEC ระหวํางวันที่ 25 ตุลาคม ถึง 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550 โดยเชิญประเทศสมาชิก BIMSTEC สํงนักวิจัยมารํวมลงเรือ

42

สํารวจ ในครั้งนั้น มีประเทศสมาชิก BIMSTEC เข๎ารํวมโครงการทั้งหมด 6 ประเทศ ได๎แกํ บังกลาเทศ อินเดีย สหภาพพมํา ศรีลังกา เนปาล สํงนักวิจัยมารํวมโครงการประเทศละ 2 คน สําหรับประเทศไทยมีนักวิชาการจากสถาบันวิจัยและพัฒนาประมงทะเลลึก รํวมโครงการด๎วย 16 คน ผลจากข๎อมูลที่ได๎จากการสํารวจในโครงการนี้ นักวิชาการของกรมประมงได๎เชิญนักวิจัยจาก SEAFDEC จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร๑ มารํวมเขียนเป็นงานวิจัยได๎ทั้งหมดจํานวน 17 เรื่อง ดังนี้ 1. Large pelagic fisheries resources survey by pelagic longline in the Bay of Bengal. 2. Marine resources survey by drift gillnet in the Bay of Bengal. 3. Efficiency of the circle hook in comparison with J-hook in longline fishery. 4. Distribution, abundance and distribution of oceanic squid, Sthenoteuthis oualaniensis in the Bay of Bengal. 5. Abundance, composition and distribution of fish larvae in the Bay of Bengal. 6. Diversity and distribution of shark in the Bay of Bengal 7. Distribution and abundance of cephalopod paralarvae in the Bay of Bengal. 8. Abundance, composition and distribution of zooplankton in the Bay of Bengal. 9. Species composition, abundance and distribution of phytoplankton in the Bay of Bengal. 10. Biological aspects of economic fish in the Bay of Bengal. 11. Stomach content of the sword fish in the Bay of Bengal 12. Age and maturation of Sthenoteuthis oualaniensis in the Bay of Bengal. 13. Oceanographic condition of the Bay of Bengal during November-December 2007. 14. Spatial distribution of nutrients in the Bay of Bengal. 15. Sub-thermocline chlorophyll maxima in the Bay of Bengal. 16. Comparison of total nitrogen and total phosphorous contents in seawater of different compartments in the Bay of Bengal. 17. An assessment of mercury concentration in fish tissues caught from three compartments of the Bay of Bengal.

43

ปี พ.ศ. 2551 สาธารณรัฐอินเดียซึ่งเป็นประธาน BIMSTEC ในปี พ.ศ. 2551 เป็นเจ๎าภาพจัดการประชุมที่ มีประเด็นเกี่ยวกับการประมงรวมอยูํด๎วย 3 การประชุม ได๎แกํ 1. การประชุมระดับผู๎นํา BIMSTEC หรือ BIMSTEC Summit ครั้งที่ 2 จัดขึ้น ณ กรุงนิวเดลี ในวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ในครั้งนี้มีแถลงการณ๑รํวมของผู๎นําในการสํงเสริมความรํวมมือ ด๎านการประมงน้ําจืด 2. การประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส BIMSTEC ครั้งที่ 12 วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551 โดยจัดขึ้นที่ Foreign Service Institute (FSI) กรุงนิวเดลี ในการประชุมนี้คณะผู๎แทนไทย ประกอบด๎วยนายนรชิต สิงหเสนี รองปลัดกระทรวงการตํางประเทศ เป็นหัวหน๎าคณะ รํวมด๎วย ข๎าราชการจากกรมเศรษฐกิจระหวํางประเทศ กรมสารนิเทศ สํานักงานความรํวมมือเพื่อการ พัฒนาระหวํางประเทศ กรมเอเชียใต๎ กระทรวงการตํางประเทศ ผู๎แทนจากสํานักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ กรมพัฒนาพลังงานทดแทน สํานักงาน นโยบายและแผนการขนสํงและจราจร สภาความมั่นคงแหํงชาติ และกรมประมง การประชุม ประกอบด๎วย การรายงานความก๎าวหน๎าสาขาตํางๆ ทั้งหมด 13 สาขา โดยประเทศที่เป็น Lead ของสาขา สําหรับประเทศไทยเป็น Lead 3 สาขา คือ สาขาประมง (Fisheries) สาขาสาธารณสุข (Public Health) และสาขาปฏิสัมพันธ๑ระหวํางประชาชน ( People to People Contact) สําหรับ สาขาประมง ที่ประชุม SOM มีมติรับทราบผลการดําเนินการของไทย ดังนี้ 1.) ความก๎าวหน๎าในการจัด TOR สาขาประมงตามรายงานที่ปรากฏใน Report of the BIMSTEC Workshop on Fisheries Cooperation ที่จัดขึ้น ณ จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทยเมื่อ วันที่ 8-10 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 2.) รับทราบความสําเร็จในการดําเนินโครงการ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal ซึ่งที่ประชุมเรียกอยําสั้นวํา โครงการสํารวจรํวม (The Joint Survey Project) ในอําวเบงกอล 3.) รับทราบ แผนการดําเนินการที่เป็นการตํอยอดจากโครงการสํารวจรํวม โดย ประเทศไทยเสนอจัดการประชุมระหวํางประเทศ BIMSTEC ชื่อ BIMSTEC Fisheries Meeting: Sustainable Fisheries in the Bay of Bengal ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 4.) ที่ประชุมเห็นชอบ ข๎อเสนอแนวทางความรํวมมือด๎านการประมงน้ําจืดตามที่ ปรากฏในหนังสือ Report of the BIMSTEC Workshop on Fisheries Cooperation 3. การประชุมระดับรัฐมนตรี BIMSTEC ครั้งที่ 10 ตํอจากการประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส ครั้งที่ 12 คือจัดในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ณ Foreign Service Institute (FSI) กรุงนิวเดลี

44

ในการประชุมนี้ ฯพณฯ รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ นายเตช บุนนาค ทําหน๎าที่ หัวหน๎าคณะผู๎แทนไทยรํวมด๎วย องค๑ประกอบผู๎แทนไทยคณะเดียวกับที่เข๎ารํวมประชุมระดับ เจ๎าหน๎าที่อาวุโส การประชุมประกอบด๎วยการกลําวถ๎อยแถลงของรัฐมนตรีจากประเทศตํางๆ และ การรายงานผลสรุปการประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส และที่ประชุมรํวมกันสรุปแถลงการณ๑ ตาม สาขาความรํวมมือตํางๆ โดยในสํวนของสาขาประมง ที่ประชุมรํวมกันสรุปแถลงการณ๑วํา “คณะรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศ BIMSTEC ยังคงยึดมั่นในข้อตกลงร่วมกันในอันที่จะพยายาม ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรในอ่าวเบงกอลร่วมกันอย่างยั่งยืนตาม Framework ที่ ได้มีการก าหนดกัน ไว้แล้ว คณะรัฐมนตรี BIMSTEC มีความยินดีและเห็นชอบกับความก้าวหน้าในสาขาประมง ที่ได้ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) และมีการด าเนินโครงการส ารวจร่วมในปี พ.ศ.2550”

ปี พ.ศ. 2552 กรมประมงดําเนินกิจกรรมภายใต๎กรอบ BIMSTEC 2 กิจกรรม 1. การประชุมระหวํางประเทศ BIMSTEC Fisheries Meeting1 จัดในระหวํางวันที่ 20-22 มกราคม พ.ศ. 2552 ณ โรงแรมวินเซอร๑ สวีทส๑ กรุงเทพฯ ผู๎เข๎ารํวมประชุมประกอบด๎วย ผู๎ทําหน๎าที่ เกี่ยวข๎องทางด๎านประมงจากหนํวยงานภาครัฐและภาคเอกชนจากประเทศในกลุํม BIMSTEC และอาจารย๑ นิสิต นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยตํางๆและผู๎ที่สนใจของประเทศไทยรวม 150 คน เป็นการประชุมที่มีวัตถุประสงค๑ เพื่อเป็นเวทีปรึกษาหารือเกี่ยวกับการทํากิจกรรมประมงอยําง ยั่งยืนในอําวเบงกอลในอนาคต ประกอบด๎วยการบรรยายในหัวข๎อ “Ecosystem Based Fisheries Management Approved” และ The Status of BOBLME and its future direction” โดยผู๎แทนจาก FAO การบรรยาย เรื่อง “สถานภาพทรัพยากรประมงในอําวเบงกอล โดย นักวิจัย จาก SEAFDEC การบรรยาย Country Profile เกี่ยวกับนโยบายด๎านการบริหารจัดการประมงใน อําวเบงกอลของบังกลาเทศ อินเดีย สหภาพพมํา และประเทศไทย การอภิปราย เรื่อง “สิ่งแวดล๎อม-นิเวศวิทยา และแนวทางการใช๎ทรัพยากร อยํางยั่งยืนในอําวเบงกอล ” โดยอาจารย๑ จากจุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑ ผู๎แทนผู๎ประกอบการประมงจาก สมาคมการประมงนอกนํานน้ําไทย โดยมีผู๎แทนของกรมประมงเป็นผู๎ดําเนินรายการ การบรรยาย สรุปโครงการ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal โดยนักวิชาการ ที่เข๎ารํวมโครงการ และการอภิปรายกลุํมยํอย ในหัวข๎อเรื่อง “จะใช๎ทรัพยากรประมงในอําวเบ

1 Fisheries Foreign Affairs Division. (2009) Report of the BIMSTEC Fisheries Meeting: Sustainable Fisheries in the Bay of Bengal. Department of Fisheries.

45

งกอลอยํางยั่งยืนได๎อยํางไร” โดยแบํงผู๎เข๎ารํวมประชุมออกเป็น 3 กลุํม ได๎แกํ กลุํมผู๎ประกอบการ ประมง กลุํมผู๎กําหนดนโยบายประมง และกลุํมนักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาด๎านการประมง ผลที่ได๎รับจากการประชุมครั้งนี้ สรุปเป็นข๎อเสนอแนะได๎ 7 หัวข๎อ ดังนี้ 1) ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการด๎านวิชาการประมง ( Fisheries Technical Advisory Committee) 2) ควรมีการเน๎นให๎มีการบูรณาการด๎านสิ่งแวดล๎อมประมง ( EAF) ในนโยบายของประเทศ สมาชิก ตลอดจนควรมีการสํงเสริมในเกิดกิจกรรมรํวมกันในกลุํม BIMSTEC 3) รํวมกันจัดทําข๎อแนะนําระดับภูมิภาคที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล๎อมประมง ( EAF) และการ จัดการประมงอยํางรับผิดชอบ ( CCRF) โดยสามารถจัดทํากรอบแผนงานการจัดการ ประมงที่ในระดับชายฝั่งและในทะเล 4) มีการดําเนินงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการประมงอยํางเหมาะสม ทั้งใน ระดับประเทศและภูมิภาค รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด๎านการประมง เพื่อลด ปัญหาอุปสรรคตํออุตสาหกรรมประมงของกลุํมประเทศ BIMSTEC 5) จัดทําโครงการเพื่อให๎เกิดมาตรฐานรํวมกันของกลุํมประเทศ BIMSTEC ในเรื่องการค๎า สัตว๑น้ํา ความปลอดภัยด๎านอาหาร และการตรวจสอบย๎อนกลับ(ระบบเอกสาร ประกอบการจับ) 6) ดําเนินการประเมินแหลํงทรัพยากรประมง ทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค ของกลุํม ประเทศ BIMSTEC เพื่อให๎สามารถทราบถึงสถานะของระบบนิเวศน๑ในบริเวณอําวเบ งกอล ตลอดจนเพื่อสํงเสริมศักยภาพของนักวิชาการประมง และนักวิทยาศาสตร๑ของ กลุํม BIMSTEC 7) พัฒนากลไกในการแลกเปลี่ยนและใช๎ข๎อมูลการประมงรํวมกันในกลุํม BIMSTEC ภายใต๎ความรํวมมือที่เกี่ยวข๎องทั้งระดับประเทศและภูมิภาค ซึ่งกรมประมงมีภารกิจที่จะต๎องนําข๎อเสนอแนะที่ได๎จากการประชุมครั้งนี้เสนอให๎กับรัฐบาลไทย และรัฐบาลของประเทศในกลุํม BIMSTEC พิจารณารํวมกันผลักดันให๎เกิดการดําเนินการอยําง เป็นรูปธรรมตํอไป 2. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อการจัดทําแผนปฏิบัติการและงบประมาณความรํวมมือ ประมง ภายใต๎กรอบ BIMSTEC (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2555) เป็นการประชุมภายในประเทศ โดยจัดขึ้นในระหวํางวันที่ 31 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน พ.ศ. 2552 ณ จังหวัดอุทัยธานี โดยมี วัตถุประสงค๑ของการสัมมนาเพื่อให๎ผู๎เข๎ารํวมสัมมนารับทราบและเข๎าใจการดําเนินงานความ รํวมมือสาขาประมงภายใต๎กรอบความรํวมมือ BIMSTEC มีโอกาสนําเสนอกิจกรรม หรือ โครงการ

46

เพื่อการจัดทําแผนปฏิบัติการและงบประมาณความรํวมมือประมงภายใต๎กรอบ BIMSTEC (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2555) และเพื่อรํวมกันจัดทําแผนปฏิบัติการและงบประมาณความ รํวมมือประมงภายใต๎กรอบ BIMSTEC (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2555) ที่สอดคล๎องกับภารกิจ ของกรมประมงและอยูํในความสนใจของประเทศสมาชิก BIMSTEC การสัมมนาครั้งนี้ใช๎ งบประมาณโครงการสนับสนุนภารกิจตํางประเทศแบบบูรณาการ(FMIP) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ภายใต๎โครงการความรํวมมือ BIMSTEC ด๎านการประมงในอําวเบงกอล ผู๎เข๎ารํวมสัมมนา ประกอบด๎วย ผู๎บริหาร ผู๎ทรงคุณวุฒิ ผู๎เชี่ยวชาญ นักวิชาการของกรมประมง กรมเศรษฐกิจ ระหวํางประเทศ กรมเอเชียใต๎ ตะวันออกกลางและแอฟริกา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สํานักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ มหาวิทยาลัยบูรพา จุฬาลงกรณ๑ มหาวิทยาลัย และ SEAFDEC รวม 70 คน เป็นชาย 36 คน และ หญิง 34 คน การสัมมนา ประกอบด๎วย การสัมมนาประกอบด๎วยการบรรยาย เรื่อง “ทิศทางการปรับปรุงการบริหารองค๑กร ให๎เป็นผู๎นําทางการประมงในภูมิภาค” โดย รองอธิบดีกรมประมง การบรรยาย เรื่อง “ความเป็นมา ของกรอบความรํวมมือ BIMSTEC ความก๎าวหน๎าสาขาและบทบาทของประเทศไทยในฐานะ Lead Country สาขาประมง” โดย รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหวํางประเทศ การบรรยาย เรื่อง “สถานภาพการให๎และรับความรํวมมือประมงภายใต๎กรอบ BIMSTEC” “ความรํวมมือทวิภาคี ระหวํางประเทศไทยกับประเทศสมาชิก BIMSTEC” และ “โอกาสการสร๎างความรํวมมือสาขา ประมง ภายใต๎กรอบ BIMSTEC ในอนาคต” โดย ผู๎แทนกองประมงตํางประเทศ กรมประมง การ บรรยาย เรื่อง “แนวทางการจัดทําแผนปฏิบัติการความรํวมมือ BIMSTEC ให๎สอดคล๎องกับภารกิจ ของกรมประมง” โดย ผู๎แทนกองแผนงาน กรมประมง และการแบํงกลุํมยํอยเพื่อการจัดทํา แผนปฏิบัติการและงบประมาณความรํวมมือประมง BIMSTEC โดยแบํงเป็น 2 กลุํม คือ 1) กลุํม Capture Fisheries และ 2) Aquaculture ผลการประชุมจากการแบํงกลุํม มีดังนิ้ กลุ่ม 1 ด้าน Capture Fisheries มีผู๎เสนอ 7 หัวข๎อโครงการ คือ 1. โครงการสํารวจและวิจัยทรัพยากรสัตว๑น้ําและสิ่งแวดล๎อมในอําวเบงกอล 2. โครงการพัฒนาศักยภาพบุคลากร 2.1 ขั้นตอนและการเก็บตัวอยําง 2.2 Stock Assessment 3. โครงการการจัดทําฐานข๎อมูลด๎านการประมง 3.1 ด๎านทรัพยากร 3.2 ด๎านสิ่งแวดล๎อม 3.3 ข๎อมูลเรือและเครื่องมือประมง

47

3.4 ธุรกิจ การค๎า 3.5 กฎระเบียบการทําประมง 4. โครงการการบริหารและจัดการทรัพยากรสัตว๑น้ํา 4.1 ศึกษาชีวประวัติ (วิทยา) ทรัพยากรสัตว๑น้ําที่มีคุณคําทางเศรษฐกิจ เพื่อการ จัดการทรัพยากรประมงอยํางยั่งยืน 4.2 พัฒนาทรัพยากรมนุษย๑ เรื่องการอนุรักษ๑ทรัพยากรสัตว๑น้ํา เชํน พะยูน โลมา เตํา ทะเล ฯลฯ 4.3 การพัฒนาระบบติดตาม ควบคุม เฝ้าระวัง (MCS) 4.4 การพัฒนามาตรการ Port State Measure 4.5 การพัฒนาระบบระบุตําแหนํงเรือ (VMS/ VPS) 5. โครงการการประเมินผลกระทบของกิจกรรมการใช๎ประโยชน๑ทางทะเลที่มีตํอระบบ นิเวศน๑ 6. โครงการพัฒนาคุณภาพสินค๎าประมง 6.1 Fish Handling at Sea 6.2 สุขอนามัยทําเทียบเรือ 7. โครงการการจัดการประมงชายฝั่งโดยชุมชนมีสํวนรํวม กลุ่ม 2 ด้าน Aquaculture มีผู๎เสนอ 9 โครงการ แบํงเป็น 2 สาขา คือ สาขาความสนใจของประเทศสมาชิก การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 1. การฝึกอบรมการเพาะเลี้ยงสัตว๑น้ําจืด 2. การฝึกอบรมการเพาะเลี้ยงสัตว๑ปลาทะเล 3. การฝึกอบรมการเพาะเลี้ยงสัตว๑น้ําสวยงามและพรรณไม๎น้ํา 4. โครงการแลกเปลี่ยนปลาน้ําจืด 5. โครงการแลกเปลี่ยนกุ๎งก๎ามกราม 6. โครงการแลกเปลี่ยนพันธุ๑สัตว๑น้ําชายฝั่ง 7. การฝึกอบรมการประเมินความเสี่ยงกํอนนําสัตว๑น้ํามีชีวิตเข๎าประเทศ สาขาความสนใจของประเทศสมาชิก ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการประมง 8. โครงการสํงเสริมการผลิตสัตว๑น้ําจากการเพาะเลี้ยง 9. โครงการสํงเสริมศักยภาพสุขอนามัยด๎านสินค๎าประมง ซึ่งผลจากการสัมมนาในครั้งนี้ ทําให๎กรมประมงสามารถจัดลําดับความรํวมมือที่หนํวยงานภายใน มีความพร๎อมที่จะให๎ความรํวมมือภายใต๎กรอบ BIMSTEC โดยเริ่มจากการจัดฝึกอบรมหลักสูตร

48

ด๎านการเพาะขยายพันธุ๑สัตว๑น้ํา พรรณไม๎น้ํา กํอน เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ประเทศไทยมีความ พร๎อมทางด๎านวิชาการและบุคลากร ประกอบกับโครงสร๎างการจัดยุทธศาสตร๑การปรับองค๑กรให๎ เป็นผู๎นํา จะสามารถเอื้ออํานวยให๎กรมประมงสามารถเสนอขอรับงบประมาณในการดําเนิน กิจกรรมในลักษณะนี้ได๎งํายกวํากิจกรรมอื่น โดยกรมประมงกําลังอยูํระหวํางการของบประมาณ สนับสนุนจาก สํานักงานความรํวมมือเพื่อการพัฒนาระหวํางประเทศ กระทรวงการตํางประเทศ หากได๎รับงบประมาณ จะจัดให๎มีการอบรมในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553

49 บทที่ 5 วิเคราะห์บทบาทไทยในความร่วมมือ BIMSTEC สาขาประมง

ความร่วมมือสาขาประมงในกลุ่มประเทศ BIMSTEC

กรอบความรํวมมือ BIMSTEC เป็นกรอบความรํวมมือทางเศรษฐกิจกรอบหนึ่งที่ประเทศ ไทยดําเนินการรํวมกับประเทศในภูมิภาคเอเชียใต๎ เป็นกรอบความรํวมมือที่จัดตั้งขึ้นโดยอาศัย หลักการพึ่งพากันระหวํางประเทศที่กําลังพัฒนา ในบรรดาสมาชิกทั้ง 7 ประเทศ ประเทศอินเดีย และไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทมากในการขับเคลื่อนความรํวมมือให๎ดําเนินตํอไป โดยดําเนินการ เพื่อให๎เกิดประโยชน๑ตํอเศรษฐกิจรํวมกันของภูมิภาค โดยที่สาขาประมงเป็นสาขาที่มีบทบาท สําคัญตํอเศรษฐกิจของภูมิภาค ดังนั้นสาขาประมงจึงถูกบรรจุไว๎ในกรอบความรํวมมือตั้งแตํ แรกเริ่มกํอตั้ง คือ ตั้งแตํปี พ.ศ. 2540 ที่ผํานมาประเทศสมาชิก BIMSTEC ให๎ความรํวมมือสํง ผู๎แทนมาเข๎ารํวมประชุมและเข๎ารํวมกิจกรรมที่เสนอโดยประเทศไทย ยังไมํจัดวําอยํางพร๎อมเพียง กัน กลําวคือ ในการประชุมแตํละครั้งมักจะมีบางประเทศที่ไมํสามารถมาเข๎ารํวมประชุมด๎วยได๎ ที่ เป็นเชํนนั้น อาจมาจากสาเหตุของระยะเวลาการเตรียมการประชุม การรับทราบขําวสารการ ประชุมอาจกระชั้นชิดจนประเทศสมาชิกไมํสามารถดําเนินการด๎านงบประมาณในการจัดสํงผู๎แทน เดินทางมาประชุมด๎วยได๎ นอกจากนี้ อาจเป็นเพราะความแตกตํางทางสภาวะการประมงของ ประเทศสมาชิกในกลุํม BIMSTEC มีความแตกตํางอยํางชัดเจน บางประเทศไมํสามารถ ตอบสนองตํอการดําเนินกิจกรรมรํวมกันได๎ อาทิ ประเทศภูฏานเป็นประเทศที่มีอาณาเขตไมํติดตํอ กับทะเล จึงไมํมาเข๎ารํวมกิจกรรมโครงการสํารวจทรัพยากรสัตว๑น้ําในอําวเบงกอล เป็นต๎น ซึ่งเรื่อง นี้กรมประมงกําลังอยูํระหวํางศึกษาหาวิธีแก๎ไข โดยกําลังศึกษาถึงปัจจัยรํวมหรือความสนใจรํวม สําหรับการกําหนดกิจกรรมเพื่อที่จะทําให๎ประเทศสมาชิกทุกประเทศสามารถเข๎ารํวมดําเนินการ รํวมกันได๎ และกรมประมงกําลังอยูํระหวํางการจัดทําแผนงานเพื่อแจ๎งให๎ประเทศสมาชิกทราบ ลํวงหน๎าในระยะเวลาที่นานเพียงพอเพื่อให๎สามารถจัดสํงผู๎แทนมาเข๎ารํวมกิจกรรมได๎ทุกประเทศ ตํอไป

บทบาทของไทยในฐานะ Lead Country สาขาประมง

รัฐบาลไทยมอบหมายให๎กรมประมงเป็นหนํวยงานหลักของประเทศไทย ทําหน๎าที่ในฐานะ Lead Country สาขาประมงภายใต๎กรอบความรํวมมือ BIMSTEC โดยมุํงหวังให๎กรมประมง

50

ดําเนินการความรํวมมือเพื่อการสานสัมพันธ๑ทางความรํวมมือประมงระหวํางกัน โดยเริ่มจากการ ทําความรํวมมือทางวิชาการ จะชํวยให๎เกิดความสัมพันธ๑ที่ดี ความเป็นมิตรไมตรีตํอกันในระหวําง กลุํมประเทศสมาชิก BIMSTEC อันจะนําไปสูํความรํวมมือกันในการทําการค๎าและธุรกิจประมง รํวมกัน โดยเฉพาะอยํางยิ่งประเทศในกลุํม BIMSTEC เป็นประเทศที่อยูํรอบมหาสมุทรอินเดีย ซึ่ง เป็นแหลํงทรัพยากรประมงที่สมบูรณ๑ จึงหวังวําการสํงเสริมความรํวมมือและความเข๎าใจในด๎าน การประมงรํวมกัน จะมีโอกาสสนับสนุนให๎เกิดผลดีตํอการเจรจาแหลํงทําการประมงของไทยใน อนาคตตํอไป และการที่กรอบความรํวมมือ BIMSTEC เป็นกรอบความรํวมมือที่มีความสําคัญตํอ บทบาทการเมืองของประเทศไทย คือ BIMSTEC ถือเป็น flagship ของนโยบาย Look West ของ ประเทศ การดําเนินความรํวมมือ BIMSTEC มีสํวนทําให๎ประเทศไทยแสดงบทบาทในฐานะตัว ประสานระหวําง ASEAN และกลุํมประเทศในเอเชียใต๎ ดังนั้น การทําหน๎าที่ Lead Country สาขา ประมงของไทยจึงเป็นโอกาสให๎ประเทศไทยสร๎างความเชื่อมโยงของความรํวมมือสาขาประมง ระหวําง ASEAN และเอเชียใต๎ด๎วย บทบาทที่ประเทศไทยได๎รับในการดําเนินการความรํวมมือสาขาประมง ตั้งแตํปี พ.ศ. 2544- 2553 สามารถแสดงให๎เห็นชัดเจน ดังนี้ 1. บทบาทการเป็นผู้น า โดยที่ประเด็นด๎านการประมงเป็นประเด็นที่มีความสําคัญในเวที โลกในปัจจุบัน การทําความรํวมมือตํอกันในระดับภูมิภาค ทั้งการแลกเปลี่ยนความรู๎ทางด๎าน วิชาการ การจัดเวทีหารือและการรวบรวมข๎อมูลที่เป็นประเด็นระดับสากลให๎ทันสมัยเป็นปัจจุบัน การรํวมมือกันในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งจะชํวยในเกิดความเข๎าใจรํวมกัน อาจสํงผลในทางที่จะ เป็นการลดข๎อขัดแย๎งในระหวํางกัน สนับสนุนการเป็นกลุํมเดียวกัน ดังนั้น ในการรักษาสถานภาพ ประเทศนําสาขาประมง จะชํวยให๎ประเทศไทยมีบทบาทและมีสํวนกําหนดทิศทางการทําความ รํวมมือทางด๎านการประมงในกลุํม BIMSTEC อันจะสามารถแสดงให๎เห็นถึงความสามารถในการ แบํงปัน ความรู๎ ประสบการณ๑ทางวิชาการ สาขาประมงในแขนงตํางๆ อาทิ การเพาะเลี้ยงสัตว๑น้ํา การแปรรูปสัตว๑น้ํา การอนุรักษ๑ทรัพยากรสัตว๑น้ํา นอกจากนี้ ยังจะเป็นโอกาสให๎ประเทศไทย สามารถแสดงให๎ประเทศสมาชิกเห็นถึงความสามารถในการจัดการ และความพยายามในการใช๎ ทรัพยากรสัตว๑น้ําทะเลอยํางยั่งยืน โดยเห็นได๎จากการดําเนินการสํารวจโครงการ Ecosystem- Based Fishery Management in the Bay of Bengal ซึ่งเปิดโอกาสให๎นักวิจัยจากประเทศ สมาชิกรํวมลงเรือสํารวจ ถือเป็นโอกาสให๎ผู๎แทนของประเทศสมาชิก BIMSTEC เข๎าใจถึงขั้นตอน การทํางานด๎านการจับสัตว๑น้ําของไทยได๎อยํางชัดเจนขึ้น 2. บทบาทผู้สร้างโอกาส ที่ผํานมา กรมประมงได๎ทําหน๎าที่เป็นผู๎สร๎างโอกาสให๎เกิดการ พบปะ หารือกันในระหวํางผู๎เกี่ยวข๎องทางด๎านการประมง ดังจะเห็นได๎จาก การเป็นเจ๎าภาพจัด

51

ประชุมระหวํางประเทศสมาชิกมาแล๎วทั้งหมด 4 การประชุม ได๎แกํ 1) การประชุม The First Meeting of BIMSTEC Sectoral Committee in Fisheries ในปี พ.ศ. 2544 2) การประชุม ผู๎เชี่ยวชาญ (BIMSTEC Technical Meeting) ในปี พ.ศ. 2548 3) การประชุมเชิงปฏิบัติการด๎าน การประมง (Workshop on Fisheries Cooperation) ในปี พ.ศ. 2550 และ 4) การประชุมระหวําง ประเทศ BIMSTEC Fisheries Meeting ในปี พ.ศ. 2552 และเป็นเจ๎าภาพจัดการดําเนินโครงการ 1 โครงการ คือ โครงการ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal ในปี พ.ศ. 2550 โดยที่ยังไมํมีประเทศสมาชิกใดเสนอที่จะเป็นเจ๎าภาพจัดการประชุม หรือจัดกิจกรรมใด เลย แม๎วํา ประเทศบังกลาเทศจะเคยเสนอโครงการ ถึง 2 โครงการ แตํก็ยังไมํมีดําริที่จะแสดง ความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการจัดกิจกรรมทั้งสองแตํอยํางใด นอกจากนี้ แม๎วําประเทศเนปาลจะ เสนอตนเองเป็น Lead Country ในสาขายํอยด๎านการประมงน้ําจืดและแสดงความพร๎อมใน ศักยภาพด๎านการประมงให๎ประเทศสมาชิกทราบแล๎วนั้น แตํก็ยังไมํได๎เสนอวิธีการที่จะสร๎างโอกาส ในการดําเนินกิจกรรมรํวมกันได๎อยํางชัดเจนได๎อยํางไร ทั้งนี้ เชื่อวํา ในการแสดงบทบาทประเทศ นํา สาขาประมง กรมประมง หรือรัฐบาลไทยคงต๎องรับหน๎าที่การเป็นเจ๎าภาพในการจัดประชุม หรือจัดกิจกรรมรํวมกันตํอไป 3. บทบาทผู้ประสานงาน ในการดําเนินกิจกรรมระหวํางประเทศ กรมประมงตระหนักดีวํา เพื่อให๎เกิดผลในระดับภูมิภาครํวมกันอยํางเป็นรูปธรรมนั้น จําเป็นต๎องมีการประสานงานอยําง ใกล๎ชิดกับประเทศสมาชิก และโดยที่ระบบราชการของแตํละประเทศมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน กันมารับผิดชอบทําหน๎าที่ตํางๆอยํางสม่ําเสมอ โดยเฉพาะในระดับผู๎บริหาร ดังนั้น เพื่อให๎การ ประสานงานระหวํางประเทศเกิดความราบรื่นและตํอเนื่อง กรมประมงจึงได๎ดําเนินการจัดตั้ง BIMSTEC Fisheries Focal Point เพื่อให๎ประเทศสมาชิกสํงรายชื่อผู๎มีหน๎าที่รับผิดชอบในการ ทํางานภายในกรอบความรํวมมือ BIMSTEC สาขาประมงของแตํละประเทศไว๎เพื่อการ ประสานงานทั้งในรูปแบบเป็นทางการ และไมํเป็นทางการอยํางใกล๎ตํอไป

บทสรุป

กรอบความรํวมมือ BIMSTEC หรือ “ความริเริ่มแหํงอําวเบงกอลสําหรับความรํวมมือ หลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ” เป็นความรํวมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียใต๎ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศริเริ่มกํอตั้ง มาตั้งแตํวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 254 0 ประกอบด๎วยประเทศ สมาชิก 7 ประเทศ คือ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย สหภาพพมํา เนปาล ศรีลังกา และประเทศไทย บทบาทของประทศไทยในสาขาประมง คือ เป็นประเทศนําสาขา ในการนี้ ประเทศไทยดําเนินการ

52

ตามบทบาทที่ได๎รับผํานการทํางานของกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ๑ ซึ่งที่ผํานมา กรม ประมงได๎ดําเนินการในบทบาทที่ชัดเจนหลายบทบาท อาทิ บทบาทผู๎นํา บทบาทผู๎สร๎างโอกาส และบทบาทผู๎ประสานงาน โดยทําให๎เกิดการปฏิสัมพันธ๑ทางการประมงระหวํางประเทศสมาชิก BIMSTEC ในรูปแบบการเข๎ารํวมประชุมระหวํางประเทศ ซึ่งกรมประมงเป็นเจ๎าภาพมาแล๎ว จํานวน 4 การประชุม และโดยการดําเนินโครงการรํวมกัน 1 โครงการ คือ โครงการสํารวจ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal จากการแสดงบทบาทประเทศนําสาขา ตามภารกิจที่ประเทศมอบหมายให๎ตามที่ได๎ระบุ ข๎างต๎น พบวํา ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคตํอการดําเนินการของกรมประมง และของประเทศไทย ในอันที่จะกํอให๎เกิดความรํวมมือด๎านการประมงรํวมกันระหวํางประเทศสมาชิก BIMSTEC อยําง แท๎จริงและอยํางเป็นรูปธรรมอยูํหลายประการ อาทิ ปัญหาความพร๎อมด๎านงบประมาณ ความ พร๎อมในการประสานงาน ความจริงจังในการเสนอโครงการของประเทศสมาชิก ความสามารถใน การนําหัวข๎อความสนใจของประเทศสมาชิกมาจัดทําเป็นโครงการระดับภูมิภาค ( Regional Project) เพื่อการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากตํางประเทศหรือจากองค๑การระหวําง ประเทศที่เป็น Donor เป็นต๎น อยํางไรก็ตาม การทําหน๎าที่ของประเทศไทยในบทบาทประเทศนําสาขาประมง ซึ่งได๎สร๎าง โอกาสให๎เกิดการประชุมระหวํางประเทศและการดําเนินโครงการสํารวจรํวมแล๎ว ยังพบวํา ไมํเพียง มติที่ประชุมที่เกิดขึ้นจากการประชุมตํางๆ สามารถนํามาเป็นประเด็นในการสร๎างความรํวมมือ รํวมกัน และไมํเพียงงานวิจัยหรือผลงานทางวิชาการที่ได๎รับจากการดําเนินโครงการสํารวจรํวม เทํานั้น แตํโอกาสจากการมีปฏิสัมพันธ๑กันระหวํางกัน สามารถทําให๎เกิดเครือขําย หรือ Network ระหวํางนักวิชาการ นักวิจัย นักการศึกษา ด๎านการประมงของประเทศในกลุํม BIMSTEC ด๎วย

ข้อเสนอแนะ

1. ตามที่ประเทศไทย โดยกรมประมงทําหน๎าที่เป็นหนํวยงานหลักในการเป็น Lead Country สาขาประมง ภายใต๎กรอบความรํวมมือ BIMSTEC โดยการทําหน๎าที่ดังกลําว กรม ประมงได๎จัดให๎มีการประชุม Workshop on Fisheries Cooperation และจัดให๎มีการดําเนิน โครงการ Ecosystem-Based Fishery Management in the Bay of Bengal เห็นสมควร กําหนดให๎เป็นนโยบายของกรมประมง ในอันที่จะสํงเสริมการทําหน๎าที่บทบาทนําในสาขาประมง ภายใต๎กรอบความรํวมมือ BIMSTEC โดยควรให๎มีการบรรจุแผนการดําเนินการภายใต๎กรอบ BIMSTEC ในแผนงานประจําของกองประมงตํางประเทศ โดยแนวทางการกําหนดกิจกรรมควร

53

เริ่มที่การตรวจสอบ TOR จากรายงานการประชุม Workshop on Fisheries Cooperation โดย เลือกหัวข๎อกิจกรรมที่ตรงกับ Priority งานของกรมประมงเพื่อให๎เกิดการตั้งงบประมาณรองรับการ ทํางานในกรอบ BIMSTEC ตํอไป 2. จากผลการประชุมระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส ครั้งที่ 14 และการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 12 ณ สหภาพพมํา เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 ที่ประชุมรับทราบการจัดการประชุมระหวําง ประเทศ BIMSTEC Fisheries Meeting .ซึ่งมีหัวข๎อความเห็นเกี่ยวกับความรํวมมือด๎านการ ประมงรํวมกัน 7 ข๎อ ประเทศไทยในฐานะเจ๎าภาพการประชุมและประเทศนําสาขา ควรเรํง ดําเนินการเพื่อการนําเสนอผู๎บริหารระดับประเทศ พิจารณาผลักดันให๎เกิดเป็นนโยบายความ รํวมมือด๎านการประมงรํวมกันอยํางเป็นรูปธรรมและถาวรตํอไป 3. กรมประมงมีหน๎าที่เสนอโครงการเพื่อให๎และรับความรํวมมือกับประเทศสมาชิกของแตํ ละกรอบความรํวมมือ อยํางไรก็ตาม กรมประมงยังไมํเคยกําหนดทิศทางในการให๎และรับความ รํวมมือกับประเทศตํางๆ หรือภายใต๎กรอบความรํวมมือตํางๆมากํอน หนํวยงานและนักวิชาการ ประมงจึงมักไมํทราบแนวทางในการเสนอความรํวมมือระหวํางประเทศ เมื่อถึงวาระที่กรมประมง จะต๎องเสนอโครงการเพื่อนําเข๎าสูํการประชุมตามกรอบความรํวมมือตํางๆ จึงต๎องเรํงสอบถาม ความต๎องการจากหนํวยงานในเวลากระชั้นชิด ซึ่งหลายครั้งเป็นเหตุให๎ข๎อเสนอโครงการไมํ สอดคล๎องและไมํตอบรับตํอจุดประสงค๑การดําเนินการรํวมมือภายใต๎กรอบนั้นๆอยํางแท๎จริง เพื่อ เป็นการนําเสนอแนวทางการจัดทําความรํวมมือให๎กับหนํวยงานและข๎าราชการทั้งจากสํวนกลาง และสํวนภูมิภาคในการเตรียมพร๎อมข๎อเสนอโครงการความรํวมมือไว๎ลํวงหน๎า ตลอดจนเพื่อ อํานวยความสะดวกตํอผู๎ปฏิบัติงานด๎านการประสานความรํวมมือ จึงควรจัดให๎มีการระดมความ คิดเห็นของข๎าราชการทุกระดับทุกหนํวยงาน ให๎ความคิดเห็นตํอการดําเนินกิจกรรมด๎านการ ตํางประเทศ เพื่อให๎เห็นภาพรวมตลอดจนควรมีการจัดทําการวิเคราะห๑จุดอํอน -จุดแข็ง (SWOT Analysis) ของศักยภาพในการทําการประมงของประเทศสมาชิก BIMSTEC อันจะเป็นแนวทาง ตํอการกําหนดการดําเนินความรํวมมือของกรมประมงให๎เป็นไปตามวัตถุประสงค๑ของกรอบความ รํวมมือ และกํอให๎เกิดประโยชน๑ตํอภาคการประมงของไทย และตํอภูมิภาคเอเชียใต๎อยํางแท๎จริง สืบตํอไป 4. ควรมีการวิเคราะห๑บทบาทและผลการดําเนินโครงการของหนํวยงานอื่นๆของไทยที่เข๎า รํวมในการดําเนินความรํวมมือในกรอบ BIMSTEC นี้ด๎วย หนํวยงานเหลํานั้น ได๎แกํ กระทรวงการ ตํางประเทศ กระทรวงพาณิชย๑ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม ฯลฯ เป็นต๎น การศึกษา เปรียบเทียบบทบาทการทํางานของหนํวยงานตํางๆ จะทําให๎เกิดการเรียนรู๎เปรียบเทียบขั้นตอน

54

การทํางาน ปัญหา อุปสรรคและแนวทางการแก๎ไขปัญหาเพื่อการเตรียมพร๎อมในการดําเนินการ ความสัมพันธ๑ระหวํางประเทศให๎เกิดประโยชน๑ตํอประเทศไทยตํอไป 5. ทั้งนี้ เมื่อทราบบทบาทที่ประเทศไทยในฐานะ Lead Country สาขาประมง โดยผํานการ ทํางานของกรมประมงแล๎ว ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให๎สามารถนําโอกาสจากบทบาทที่ ประเทศไทยได๎รับนี้มาใช๎ให๎เกิดประโยชน๑ตํอกิจกรรมการประมงนอกนํานน้ําของไทย โดยควร ศึกษาปัจจัยที่จะกํอให๎เกิดผลดีตํอการเจรจาหาแหลํงทําการประมงในนํานน้ําของประเทศในกลุํม BIMSTEC

55 บทที่ 6 แผนการด าเนินโครงการภายใต้กรอบ BIMSTEC ในปีงบประมาณ 2553-2555

ปี 2553 1. ดําเนินโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการเพาะขยายพันธุ๑พรรณไม๎น้ํา ให๎กับประเทศ BIMSTEC (งบ 650,470 บาท, จาก สพร.)

ปี 2554 1. การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง การจัดการทรัพยากรสัตว๑น้ําภายใต๎ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (งบประมาณ 1,00,000 บาท กําลังหา แหลํงงบประมาณ)

ปี 2555 1. ความรํวมมือ BIMSTEC ด๎านประมงน้ําจืด (งบประมาณ 3,230,700 บาท กําลังหาแหลํงงบประมาณ)

ทั้งนี้ แผนการดําเนินงานในปีงบประมาณ 2554-2555 ที่ระบุนี้ จัดทําโดยนําข๎อมูลที่หนํวยงานเคย แสดงความจํานงไว๎แล๎ว แตํยังไมํมีแหลํงงบประมาณ มานําเสนอไว๎ เพื่อใช๎พิจารณาในการ ดําเนินการสําหรับการ จัดทํากลยุทธ๑ BIMSTEC สาขาประมง ปีงบประมาณ 2553-2555 ซึ่ง จะต๎องมีการจัดให๎มีการประชุมระดมความคิดเห็นระหวํางผู๎มีสํวนเกี่ยวข๎อง รวมทั้งจัดการประชุม ระดมความคิดเห็นในการจัดทํา SWOT ความสัมพันธ๑ด๎านการประมงระหวํางประเทศไทยกับ ประเทศสมาชิก BIMSTEC ตํอไป

56

ภาคผนวก ก สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ

57

สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ1 (People’s Republic of Bangladesh)

ข้อมูลทั่วไปที่ตั้ง ตั้งอยูํในภูมิภาคเอเชียใต๎ ทิศเหนือ ตะวันตก และตะวันออกตอนบนติด กับอินเดีย (มีแนวชายแดนยาวติดตํอกันประมาณ 4,053 กิโลเมตร) ทิศตะวันออกตอนลํางติดกับ พมํา (มีแนวชายแดนยาว 193 กิโลเมตร) และทิศใต๎ติดกับอําวเบงกอล พื้นที่ 144,000 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวง กรุงธากา (Dhaka) เมืองส าคัญต่างๆ เมืองจิตตะกอง (Chittagong) เป็นเมืองใหญํอันดับสองและเป็นเมืองทํา ที่ใหญํที่สุดของบังกลาเทศ เป็นเมืองธุรกิจและมีสนามบินนานาชาติ ภูมิอากาศ ร๎อนชื้น พื้นที่เกือบทั้งหมดเป็นที่ราบลุํม ในฤดูมรสุมมักเกิดอุทกภัย ประชากร 140.6 ล๎านคน (ปี พ.ศ. 2551) ประกอบด๎วยเชื้อชาติเบงกาลี (Bengalee) ร๎อยละ 98 ที่เหลือเป็นชนกลุํมน๎อยเผําตํางๆ ภาษา ภาษาบังกลา ( Bangla) เป็นภาษาราชการ ภาษาอังกฤษใช๎สื่อสารในหมูํผู๎มี การศึกษาดี และมีภาษาท๎องถิ่นของชนกลุํมน๎อย ศาสนา ประชากร ร๎อยละ 88 นับถือศาสนาอิสลาม ร๎อยละ 10 นับถือศาสนาฮินดู ร๎อยละ 0.6 นับถือศาสนาพุทธ ร๎อยละ 0.3 นับถือศาสนาคริสต๑ และประชากรที่เหลือนับถือศาสนาอื่น ๆ วันส าคัญ 26 มีนาคม พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1871) เป็นวันที่ปากีสถานตะวันออกประกาศ แยกตัวเป็นเอกราชจากปากีสถานตะวันตก และใช๎ชื่อวําบังกลาเทศ การปกครอง ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีเพียงสภาเดียว คือ Jatiya Sangsad หรือสภาแหํงชาติ ซึ่งประกอบด๎วยสมาชิก 300 คน มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน อยูํในตําแหนํงคราวละ 5 ปี มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ และมีนายกรัฐมนตรีเป็น หัวหน๎าฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดี นายซิลลู ราห๑มาน (H.E. Mr. Zillur Rahman) นายกรัฐมนตรี นางชีค ฮาสินา (H.E. Mrs. Sheikh Hasina) รมว.กต. ดร. ดีปู โมนี (H.E. Dr. Dipu Moni)

การเมืองการปกครอง

1 กองเอเชียใต๎ กรมเอเชียใต๎ ตะวันออกกลางและแอฟริกา. 2552. สาธารณรัฐประชาชน บังกลาเทศ. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=298

58

การเมืองการปกครอง บังกลาเทศปกครองด๎วยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มี ประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน๎าฝ่ายบริหาร โดยมีพรรค สําคัญ 2 พรรค คือพรรค Bangladesh National Party (BNP) นําโดยนาง Khaleda Zia และ พรรค Awami League (AL) นําโดยนาง Sheikh Hasina ทั้งสองพรรคได๎ผลัดกันขึ้นเป็นรัฐบาล และฝ่ายค๎านตลอดมา มีความขัดแย๎งกันสูง เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได๎รับเลือกให๎เป็นรัฐบาล อีกฝ่าย ก็จะพยายามที่จะหาทางทําลายชื่อเสียงเพื่อโคํนล๎มอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งแตํการนําการประท๎วง การ โจมตีโดยใช๎สื่อตํางๆ นอกจากนี้ ความขัดแย๎งยังนําไปสูํความไมํตํอเนื่องของนโยบายของชาติ โดย เมื่อฝ่ายตรงข๎ามได๎รับเลือกตั้ง นโยบายหรือโครงการที่อีกฝ่ายทําไว๎ก็จะถูกละเลยหรือถูกยกเลิกไป ซึ่งเป็นผลให๎เกิดความเสียหายตํอการพัฒนาประเทศ และความเชื่อมั่นของนานาชาติ ฝ่ายตุลาการ บังกลาเทศใช๎ระบบศาลแบบอังกฤษ โดยมีทั้งศาลแพํงและศาลอาญา โดย ศาลฎีกา(Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดซึ่งแบํงเป็นสองสํวนคือ Appellate Division และ High Court Division และยังมีศาลระดับลํางได๎แกํ district courts thana courts และ village courts นอกจากนี้ยังมีศาลพิเศษอื่นๆ เชํน ศาลครอบครัว ศาลแรงงาน เป็นต๎น

ประวัติศาสตร์โดยสังเขป ดินแดนที่เป็นประเทศบังกลาเทศในปัจจุบันมีประวัติศาสตร๑อันยาวนานกวํา 1,000 ปี เดิม เป็นสํวนหนึ่งของชมพูทวีป (อินเดีย) เคยเป็นดินแดนที่เจริญรุํงเรืองของศาสนาพราหมณ๑และ ศาสนาพุทธมากํอน ตํอมาพํอค๎าชาวอาหรับได๎นําศาสนาอิสลามเข๎ามาเผยแพรํจนชาวบังกลาเทศ สํวนใหญํนับถือศาสนาอิสลามมาจนถึงทุกวันนี้ ในปี พ.ศ. 2300 อังกฤษได๎เข๎าไปยึดครองชมพูทวีป และดินแดนแหํงนี้ได๎ตกเป็นอาณานิคม ของ อังกฤษเกือบ 200 ปี ตํอมาในปี พ.ศ. 2490 ดินแดนแถบนี้ได๎รับเอกราช แตํบังกลาเทศก็ยังคง เป็นสํวนหนึ่งของปากีสถาน เรียกกันวําปากีสถานตะวันออก ตํอมาชาวเบงกาลีในปากีสถาน ตะวันออกไมํพอใจการบริหารงานของรัฐบาลกลาง ซึ่งอยูํในปากีสถานตะวันตก เนื่องจากถูก แสวงหาประโยชน๑และได๎รับการปฏิบัติอยํางไมํเทําเทียม ซึ่งสร๎างความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจ ระหวํางปากีสถานตะวันตกและปากีสถานตะวันออก นอกจากนี้ปากีสถานทั้งสองยังมีความ แตกตํางด๎านภาษา วัฒนธรรมและเชื้อชาติอีกด๎วย ชาวเบงกาลีจึงจัดตั้งพรรค Awami League (AL) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2492 เพื่อปกป้องผลประโยชน๑ของชาวเบงกาลี โดยมี Sheikh Mujibur Rahman เป็นหัวหน๎า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2514 ปากีสถานตะวันออกได๎ประกาศแยกตัวเป็นเอกราช ภายใต๎ชื่อ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ทําให๎ปากีสถานตะวันตกสํงกองกําลังทหารเข๎า

59

ปราบปราม อินเดียได๎สํงทหารเข๎าไปชํวยเหลือปากีสถานตะวันออก ในที่สุดฝ่ายปากีสถาน ตะวันตกพํายแพ๎ในการรบและยินยอมให๎เอกราชแกํบังกลาเทศเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2514 มีนาย Sheikh Mujibur Rahman หัวหน๎าพรรค AL ดํารงตําแหนํงประธานาธิบดีคนแรกของ บังกลาเทศ โดยเป็นประมุขของรัฐและฝ่ายบริหารคนแรก (Father of the Nation) พัฒนาการทางการเมืองของบังกลาเทศภายหลังเอกราช ประธานาธิบดี Sheikh Mujibur Rahman ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2518 โดยฝีมือนายทหารกลุํมหนึ่ง การปกครองในระยะแรกนี้มีการกํอรัฐประหารหลายครั้ง และลอบ สังหารประธานาธิบดีจนเสียชีวิตหลายคน สถานการณ๑ทางการเมืองของบังกลาเทศตกอยูํใน สภาวะระส่ําระสายและเป็นการปกครองโดยผู๎นําทางทหารตลอดมากวํา 20 ปี และพลโท Hussain Mohammad Ershad ประธานาธิบดี (ดํารงตําแหนํงระหวํางปี พ.ศ. 2525 – 2533) ได๎ ถูกฝ่ายค๎านกดดันให๎แก๎ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อถํายโอนอํานาจการบริหารจากประธานาธิบดีไปให๎ นายกรัฐมนตรี พลโท Ershad ได๎ลาออกจากตําแหนํงประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2533 และถูกจําคุก ในข๎อหาฉ๎อราษฎร๑บังหลวง ในปี พ.ศ. 2533 บังกลาเทศได๎จัดการเลือกตั้งทั่วไปภายใต๎รัฐธรรมนูญ ฉบับแก๎ไขเป็นครั้งแรก โดยผลการเลือกตั้งปรากฏวํา พรรค Bangladesh Nationalist Party (BNP) นําโดยนาง Khaleda Zia ได๎รับชัยชนะ และเมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปอีกครั้งในปี พ.ศ. 2535 นาง Khaledia Zia ก็ได๎ดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่ง และเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2539 ประธานาธิบดีบังกลาเทศได๎ประกาศยุบสภาและจัดให๎มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ภายหลังความวุํนวายจากการประท๎วงของพรรคฝ่ายค๎านซึ่งประกอบด๎วย พรรค Awami League พรรค Jatiya Party (JP) และพรรค Jamaat-e-Islami (JI) ที่ต๎องการให๎ นาง Khaleda Zia ลาออก ผลการเลือกตั้งปรากฏวํา พรรคฝ่ายค๎านได๎รับชัยชนะและนาง Sheikh Hasina หัวหน๎าพรรค AL (บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดี Sheikh Mujibur Rahman )ได๎ดํารง ตําแหนํงนายกรัฐมนตรี ภายใต๎รัฐบาลผสมครั้งแรกของบังกลาเทศ ระหวํางพรรค AL และพรรค JP ที่มีพลโท Ershad อดีตประธานาธิบดีเป็นหัวหน๎าพรรค และได๎ปฏิญาณตนเข๎ารับตําแหนํง นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2539 แตํตํอมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2540 พรรค JP ได๎ถอนตัวออกจากรัฐบาลและเข๎าเป็นแนวรํวมฝ่ายค๎านกับพรรค BNP ตามรัฐธรรมนูญของบังกลาเทศ คณะรัฐมนตรีจะอยูํในตําแหนํงคราวละ 5 ปี ดังนั้น ในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 รัฐบาลของนาง Sheikh Hasina จึงได๎หมดวาระลง และเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 ประธานาธิบดี Shahabuddin Ahmed ได๎ประกาศยุบสภาตามคําแนะนํา ของนายกรัฐมนตรี และเมี่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 รัฐบาลของนาง Sheikh Hasina ได๎ ถํายโอนอํานาจไปยังรัฐบาลรักษาการที่จะต๎องมีหน๎าที่ จัดให๎มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน 90 วัน

60

และในการนี้ประธานาธิบดี Shahabuddin Ahmed ได๎แตํงตั้ง Justice Latifur Rahman อดีต หัวหน๎าผู๎พิพากษาศาลฎีกาให๎ดํารงตําแหนํง Chief Advisor ของรัฐบาลรักษาการหรือเทียบเทํา นายกรัฐมนตรีและนาย Latifur Rahman ได๎สาบานตนเข๎ารับตําแหนํงเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Shahabuddin Ahmed ได๎แตํงตั้งคณะที่ปรึกษา ( Council of Advisors) จํานวน 10 คน ตามคําแนะนําของนาย Latifur Rahman เพื่อปฎิบัติหน๎าที่เทียบเทํา รัฐมนตรีในคณะรัฐบาล ตํอมาในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 พรรค BNP ได๎ชัย ชนะในการเลือกตั้งและ นาง Khaleda Zia ได๎เข๎ารับตําแหนํงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2544 เเละได๎สิ้นสุดวาระลงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2549 สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Khaledia Zia ได๎สิ้นสุดวาระลงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2549 โดยรัฐธรรมนูญกําหนดให๎ประธานาธิบดีเเตํงตั้งอดีตประธานศาลฎีกาเป็นหัวหน๎าที่ปรึกษารัฐบาล รักษาการเพื่อจัดการการเลือกตั้ง เเตํพรรครํวมฝ่ายค๎านได๎คัดค๎านการเเตํงตั้งดังกลําว เนื่องจาก เห็นวําอดีตประธานศาลฎีกามีความใกล๎ชิดกับพรรครัฐบาล ประธานาธิบดี Iajuddin Ahmed ได๎ ตัดสินใจดํารงตําแหนํงเป็นหัวหน๎าที่ปรึกษารัฐบาลรักษาการเองทํามกลางเสียงคัดค๎านของพรรค ฝ่ายค๎าน ซึ่งเห็นวํารัฐบาลรักษาการและคณะกรรมการการเลือกตั้งไมํมีความเป็นกลางทางการ เมือง พรรครํวมฝ่ายค๎านได๎นําประชาชนออกมาชุมนุมประท๎วงและกํอการจลาจลอยํางตํอเนื่อง และประกาศถอนตัวจากการเลือกตั้ง สํงผลให๎เกิดภาวะชะงักงันของการเมือภายในประเทศและ ผลกระทบตํอเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ในที่สุดประธานาธิบดีฯ จึงตัดสินใจประกาศ สถานการณ๑ฉุกเฉิน ( State of Emergency) และลาออกจากตําแหนํงหัวหน๎าที่ปรึกษารัฐบาล รักษาการเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2550 (ภายใต๎แรงกดดันของกองทัพบังกลาเทศที่ต๎องการให๎ ประเทศพ๎นจากสภาวะที่การเมืองมาสูํทางตัน) พร๎อมทั้งประกาศเลื่อนการเลือกตั้งซึ่งเดิมกําหนด ไว๎ในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2550 และได๎แตํงตั้งให๎ ดร. Fakhruddin Ahmed ดํารงตําแหนํงหัว หน๎าที่ปรึกษารัฐบาลรักษาการ (เทียบเทําตําแหนํงนายกรัฐมนตรี) ตั้งแตํวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2550 ขณะนี้บังกลาเทศอยูํภายใต๎การปกครองของรัฐบาลรักษาการโดยได๎รับการสนับสนุนจาก กองทัพบังกลาเทศ มีภารกิจหลัก คือ 1) จัดตั้งคณะกรรมการตํอต๎านการทุจริต ( Anti-Corruption Commission) เพื่อตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นของนักการเมืองข๎าราชการและนักธุรกิจ รวมทั้ง กวาดล๎างกลุํมอันธพาลและผู๎สร๎างความวุํนวายในสังคม และจัดระเบียบสังคมและการเมืองใน ประเทศให๎สงบเรียบร๎อย 2) ปฏิรูปคณะกรรมการการเลือกตั้งให๎มีความเป็นกลาง เข๎มแข็ง โปรํงใส และเป็นอิสระ เพื่อให๎

61

สามารถจัดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม และทําให๎บังกลาเทศกลับสูํระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว รัฐบาลรักษาการกําหนดจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 หลังจากจัดทํา บัตรประจําตัว (National ID Cards) ให๎แกํชาวบังกลาเทศทุกคนแล๎วเสร็จ 3) ปฏิรูประบบราชการ ให๎ปลอดการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง 4) แยกฝ่ายตุลาการออกจากฝ่ายบริหารเพื่อให๎เกิดระบบ ตรวจสอบและคานอํานาจ และ 5) สร๎างความเข๎มแข็งให๎แก๎องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น หลังจากที่รัฐบาลรักษาการชุดนี้ได๎ปกครองประเทศ เหตุการณ๑รุนแรงจากการประท๎วงของ กลุํมตํางๆ ในบังกลาเทศได๎ยุติลง จนกระทั่งวันที่ 21-22 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ได๎เกิดเหตุการณ๑ ปะทะกันระหวํางทหารและนักศึกษามหาวิทยาลัยธากา เนื่องจากทหารได๎ทําร๎ายรํางกายนักศึกษา 3 คน และพูดจาดูหมิ่นอาจารย๑ของมหาวิทยาลัย เหตุการณ๑ดังกลําวได๎ขยายวงออกไป โดยมี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นมารํวมประท๎วงทหารอีกด๎วย สํงผลให๎มีผู๎บาดเจ็บกวํา 150 คน เสียชีวิต 1 คน หลายฝ่ายเห็นวําเหตุการณ๑ดังกลําวมีกลุํมการเมืองอยูํเบื้องหลัง ตํอมา เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551 ประธานาธิบดี Iajuddin Ahmed ได๎ลงนามอภัยโทษให๎แกํนักศึกษาที่ศาล ตัดสินวํามีความผิด และศาลได๎ยกฟ้องอาจารย๑และนักศึกษาที่ถูกจับกุมอีกด๎วย อยํางไรก็ตาม เหตุการณ๑รุนแรงดังกลําวเป็นสํวนหนึ่งที่สํงผลให๎รัฐบาลรักษาการยังไมํประกาศยกเลิกสภาวะ ฉุกเฉิน เพื่อที่รัฐบาลจะได๎มีอํานาจเพียงพอในการรักษาความสงบเรียบร๎อยภายในประเทศได๎ ลําสุด ประธานาธิบดี Iajuddin Ahmed ซึ่งได๎รับการตั้งแตํงให๎เป็นประธานาธิบดี ตั้งแตํวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2545 ได๎ครบวาระดํารงตําแหนํง 5 ปีแล๎ว ในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550 แตํ ประธานาธิบดีประกาศวําจะยังคงดํารงตําแหนํงตํอไปจนกวําจะมีการเลือกตั้งและการแตํงตั้ง ประธานาธิบดีคนใหมํ วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551 ที่ปรึกษารัฐบาลรักษาการ (เทียบเทําตําแหนํง รัฐมนตรี) 4 คนได๎ยื่นหนังสือลาออก และกํอนหน๎านี้ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่ปรึกษา รัฐบาลรักษาการลาออก 1 คน ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อวํา หัวหน๎าที่ปรึกษา ดร.Fakhruddin Ahmed ต๎องการจะปรับคณะที่ปรึกษาที่ถูกวิพากษ๑วิจารณ๑ด๎านผลงานออก เพื่อลดแรงกดดันทางการเมือง

ด้านเศรษฐกิจ แม๎บังกลาเทศจะเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศที่มีการพัฒนาน๎อยที่สุด (LDCs) แตํก็ถือวําเป็น ประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจซึ่งไทยไมํควรมองข๎าม โดยเป็นแหลํงทรัพยากรก๏าซธรรมชาติ และทรัพยากรทางทะเล พร๎อมกันนี้ยังสามารถเป็นตลาดสินค๎าตํางๆ ของไทย เชํน สินค๎าอุปโภค บริโภคและ การบริการ ได๎อยํางมีประสิทธิภาพ ถึงแม๎วําภาคธุรกิจบริการจะทํารายได๎ให๎กับ บังกลาเทศ คิดเป็นสัดสํวนถึงร๎อยละ 50 ของ GDP แตํประชาชนบังกลาเทศสํวนใหญํยังมีฐานะ ยากจน และประกอบอาชีพเกษตรกร รัฐบาลบังกลาเทศให๎ความสําคัญเรื่องเสรีภาพทางเศรษฐกิจ

62

(economic freedom) โดยใช๎การทูตเชิงเศรษฐกิจ ( economic diplomacy) ให๎ความสําคัญกับ การดึงการลงทุนจากตํางชาติ (อนุญาตให๎คนตํางชาติลงทุนถือหุ๎นได๎ทั้งหมดเชํนเดียวกับชาว บังกลาเทศ) ต๎องการสร๎างความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหุ๎นของนักลงทุนทั้งภายในและจาก ตํางประเทศ สนับสนุนการสํงออกโดยเฉพาะการเพิ่มโควต๎าการสํงออกเสื้อผ๎าสําเร็จรูปไปยัง ตํางประเทศ และสํงเสริมให๎แรงงานบังกลาเทศไปทํางานในตํางประเทศ รวมทั้งทบทวนการให๎ visa on arrival กับประเทศตํางๆ เพื่อสํงเสริมการทํองเที่ยว บังกลาเทศยึดหลักเศรษฐกิจ การตลาดและมีนโยบายสํงเสริมการสํงออก อยํางไรก็ตามโดยที่การสํงออกของบังกลาเทศขึ้นอยูํ กับสินค๎าเพียงไมํกี่ชนิดและมีตลาดสํงออกจํากัดเพียงไมํกี่ประเทศ (ร๎อยละ 76 ของปริมาณการ สํงออกทั้งหมดเป็นเสื้อผ๎าและสิ่งทอซึ่งสํงไปยังตลาดยุโรป) รัฐบาลบังกลาเทศจึงพยายามให๎ ความสําคัญกับการสร๎างความหลากหลายของสินค๎าและแสวงหาตลาดสํงออกใหมํๆ เพื่อเพิ่ม ปริมาณการสํงออกและลดการขาดดุลการค๎า บังกลาเทศต๎องพึ่งพาการนําเข๎าจากอินเดียเป็นสํวน ใหญํ คิดเป็นมูลคําปีละ 4 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ รัฐบาลบังกลาเทศจึงพยายามขยายปริมาณ การค๎ากับประเทศตํางๆ เพื่อลดการพึ่งพาอินเดียลง ตั้งแตํต๎นปี พ.ศ. 2533 บังกลาเทศได๎ปรับเปลี่ยนนโยบายหลายประการเพื่อกระตุ๎นและ สํงเสริมการลงทุนจากตํางประเทศ เชํน ไมํมีข๎อจํากัดเกี่ยวกับการถือหุ๎นของตํางชาติ อนุญาตให๎ สํงผลกําไรและรายได๎ออกไปตํางประเทศได๎โดยเสรี และมีมาตรการให๎ความสําคัญกับบริษัท ตํางชาติที่เข๎าไปลงทุนในประเทศ เป็นต๎น โดยสหรัฐอเมริกาเป็นนักลงทุนรายใหญํที่สุดใน บังกลาเทศ รองลงมา คือ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร อุตสาหกรรมที่นักลงทุนควรให๎ ความสนใจ ได๎แกํ การสํารวจแหลํงก๏าซธรรมชาติ ซึ่งมีมากถึง 11 ล๎านล๎านตารางฟุต ด๎าน สาธารณูปโภค ด๎านประมง (แตํปัจจุบันรัฐบาลบังกลาเทศยังไมํมีนโยบายที่จะเปิดให๎ตํางชาติเข๎า ไป จับปลาในบังกลาเทศ) การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ด๎านอุตสาหกรรม อาทิ เสื้อผ๎า เครื่อง หนัง อุตสาหกรรมเบา ด๎านบริการตํางๆ และด๎านการผลิตสินค๎าอุปโภคและบริโภคขั้นพื้นฐาน อุปสรรคหลักที่ขัดขวางการลงทุนในบังกลาเทศ ได๎แกํ ภัยจากพายุไซโคลนและอุทกภัย การขาด แคลนโครงสร๎างพื้นฐานด๎านตํางๆ และปัญหาการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะการเดินขบวน ประท๎วง ( hartal) ของพรรคฝ่ายค๎านที่มีอยูํเป็นประจํา สภาวะความรุนแรง และตัวเลขคดี อาชญากรรมในบังกลาเทศเพิ่มขึ้นสูงมาก สะท๎อนให๎เห็นถึงความไมํปลอดภัยในชีวิตและทรัพย๑สิน ของประชาชน อยํางไรก็ตาม รัฐบาลบังกลาเทศชุดที่แล๎วก็ได๎พยายามควบคุมสถานการณ๑ ดังกลําวโดยเรํงปราบปรามกลุํมที่ใช๎ความรุนแรงตํางๆ เพราะนอกจากจะเป็นการรักษา ความสงบ เรียบร๎อยในสังคมแล๎ว ยังเป็นการป้องกันปัญหาจากฝ่ายการเมืองเข๎าแทรก โดยเฉพาะจากพรรค

63

ฝ่ายค๎าน AL ที่มักกลําวหาวํารัฐบาลพรรค BNP ให๎ท๎ายกลุํมกํอการร๎ายและมีสํวนเกี่ยวข๎องกับ กลุํมทาลีบันอีกด๎วย รัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบันให๎ความสําคัญกับการแก๎ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัญหา ราคาข๎าวและราคาสิ่งของอุปโภคบริโภคหลักอื่นๆ ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลรักษาการยังประกาศที่ จะให๎ความสําคัญกับประเด็นด๎านสิทธิทางการเมืองของสตรี การขจัดความยากจนโดยอาศัย แนวทางที่เหมาะสม อาทิ microfinance และการไมํสํงเสริมการใช๎ความรุนแรง (marginalization of extremism)

ด้านต่างประเทศ รัฐบาลชุดที่แล๎วของบังกลาเทศ (อดีตนายกรัฐมนตรี Zia) ได๎ดําเนินนโยบายตํางประเทศ ที่ มุํงเสริมสร๎างผลประโยชน๑ทางเศรษฐกิจ และการดําเนินนโยบายตํางประเทศแบบมุํงตะวันออก (Look East) โดยกระชับความสัมพันธ๑ที่ใกล๎ชิดกับจีนและประเทศตํางๆ ในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต๎ อาทิ ไทย พมํา และกลุํมอาเซียน ซึ่งนับเป็นมิติใหมํของนโยบายตํางประเทศ บังกลาเทศ การเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียของนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศอยํางตํอเนื่องเพื่อ เสริมสร๎างนโยบายตํางประเทศที่มุํงสนับสนุนผลประโยชน๑ของบังกลาเทศในประเทศใหมํเหลํานี้ และการดําเนินนโยบายแบบมุํงตะวันออกของบังกลาเทศ นั้น สํวนหนึ่งเพื่อต๎องการลดอิทธิพลของ อินเดียที่มีตํอบังกลาเทศลงด๎วย ปัจจุบันบังกลาเทศเป็นสมาชิก Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation (BIMSTEC), Organization of the Islamic Conference (OIC), Asia Cooperation Dialogue (ACD), South Asia Association for Regional Cooperation (SAARC), Non-Aligned Movement (NAM) ลําสุดเข๎ารํวมเป็นสมาชิก ASEAN Regional Forum (ARF) เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549 รวมทั้งได๎ลงนามเป็นภาคีในสนธิสัญญาไมตรีและ ความรํวมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ หรือ Treaty of Amity and Cooperation (TAC) ในระหวํางการประชุม ARF ที่กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2550 รัฐบาลรักษาการชุดปัจจุบันยังคงบทบาทที่แข็งขันในเวทีระหวํางประเทศ โดยเฉพาะใน ประเด็น Climate change และการสํงกองกําลังรักษาสันติภาพเข๎าไปใน Darfur รวมทั้งพยายาม ใช๎ประโยชน๑จากการปฏิรูปการเมืองบังกลาเทศที่ถือวําเป็นผลงานที่มีความเป็นรูปธรรมมากที่สุด ของรัฐบาลรักษาการชุดนี้ในการสร๎างความนําเชื่อถือให๎กับบังกลาเทศในเวทีระหวํางประเทศ และ พยายามที่จะจัดการเลือกตั้งให๎เป็นไปตาม roadmap ที่รัฐบาลรักษาการได๎วางไว๎

64

บังกลาเทศสํงทหารเข๎ารํวมกับกองกําลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติมากเป็นอันดับ สองของโลก (9,856 คน ข๎อมูลเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550) ซึ่งเป็นแหลํงรายได๎สําคัญของรัฐบาล บังกลาเทศ และบังกลาเทศก็สํงออกแรงงานจํานวนมากไปตํางประเทศ (โดยเฉพาะประเทศ สมาชิก OIC) ซึ่งรายได๎ที่แรงงานบังกลาเทศสํงกลับนับเป็นร๎อยละ 8.7 ของ GDP บังกลาเทศ

เศรษฐกิจการค้า หน่วยเงินตรา เงินตากา (Taka) อัตราแลกเปลี่ยน 62 ตากา เทํากับ 1 ดอลลาร๑สหรัฐ หรือ ประมาน 1.47 ตากา เทํากับ 1 บาท GDP 79 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ (ปี พ.ศ. 2551) อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร๎อยละ 6.2 (ปี พ.ศ. 2551) รายได้เฉลี่ยต่อหัว 1,335 ดอลลาร๑สหรัฐ (ปี พ.ศ. 2551) สกุลเงิน ตากา (0.60 ตากา ประมาณ 1 บาท) เงินทุนส ารอง 5,789 ล๎าน ดอลลาร๑สหรัฐ อัตราเงินเฟ้อ ร๎อยละ 8.9 มูลค่าการค้ารวม ปี 2551 596.30 ล๎าน USD ไทยสํงออก 574.38 ล๎าน USD นําเข๎า 21.92 ล๎าน USD สินค้าส่งออกของไทย ปูนซีเมนต๑ ผ๎าผืน ด๎ายและเส๎นใยประดิษฐ๑ เม็ดพลาสติก เครื่องจักรกลและเคมีภัณฑ๑ สินค้าน าเข้าจากบังกลาเทศ ปุ๋ยและยากําจัดศัตรูพืช สัตว๑น้ําสดแชํเย็นแชํแข็ง/แปรรูป และกึ่งสําเร็จรูป หนังดิบและหนังฟอก เครื่องมือและอุปกรณ๑เกี่ยวกับวิทยาศาสตร๑ ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม๎ ก๏าชธรรมชาติ ถํานหิน อุตสาหกรรมหลัก สิ่งทอ น้ําตาล กระดาษ ตลาดน าเข้าที่ส าคัญ อินเดีย จีน สิงคโปร๑ และญี่ปุ่น ตลาดส่งออกที่ส าคัญ สหรัฐฯ เยอรมนี สหราชอาณาจักร สินค้าน าเข้าที่ส าคัญ น้ําตาลทราย ข๎าว เครื่องจักร ปูนซีเมนต๑ เหล็ก เม็ดพลาสติก และ อาหารแห๎ง สินค้าส่งออกที่ส าคัญ เสื้อผ๎า หนังดิบและหนังฟอก เครื่องมือเครื่องใช๎เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร๑ และปุ๋ย

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ

65

ด้านการทูต ไทยกับบังกลาเทศสถาปนาความสัมพันธ๑ทางการทูตระหวํางกันเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2515 บังกลาเทศมีความสัมพันธ๑อันดีกับไทยมาโดยตลอด ทั้งในระดับรัฐบาลและ ประชาชน ปัจจุบันนายเฉลิมพล ทันจิตต๑ ดํารงตําแหนํงเอกอัครราชทูต ณ กรุงธากา (ซึ่งมีเขต อาณาครอบคลุมประเทศภูฏาน) และเอกอัครราชทูตบังกลาเทศประจําประเทศไทยคือนาย Mustafa Kamal ด้านการเมือง ปัจจุบันความสัมพันธ๑ระหวํางไทยและบังกลาเทศมีความใกล๎ชิดกันมากขึ้น โดยเฉพาะภายหลังการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู๎นําของทั้งสองประเทศในชํวงที่ผํานมา ทํา ให๎มีความรํวมมือระหวํางกันหลายโครงการ อาทิ โครงการเครือขํายถนนเชื่อม 3 ฝ่ายระหวํางไทย- พมํา-บังกลาเทศ โครงการปลูกมะพร๎าว 10 ล๎านต๎นเป็นกําแพงกันคลื่นลมตามแนวชายฝั่ง บังกลาเทศ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 ไทยได๎บริจาคข๎าวจํานวน 1,000 ตัน และเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2550 บริจาคเงินชํวยเหลือ 25,000 ดอลลาร๑สหรัฐ ให๎แกํบังกลาเทศซึ่งประสบอุทกภัยและ แผํนดินถลํม ลําสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550 รัฐบาลไทยได๎สํงเครื่องบิน C-130 นําสิ่งของ อุปโภคบริโภคไปบริจาคให๎แกํผู๎ประสบภัยจากพายุไซโคลน Sidr Sidr และเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551 ไทยได๎สํงมอบข๎าว 1,000 ตันให๎แกํผู๎ประสบภัยดังกลําวอีกด๎วย ด้านเศรษฐกิจ การลงทุน ปัจจุบันมีนักลงทุนไทยไปประกอบธุรกิจในบังกลาเทศประมาณ 13 บริษัท เชํน บริษัทซีพีผลิตอาหารสัตว๑ บริษัท Thai Classical Leathers ผลิตเครื่องหนัง และบริษัทผลิตน้ําดื่ม บังกลาเทศ-ไทยน้ําแรํ จํากัด เป็นต๎น ทั้งนี้ ยังมีโอกาสและศักยภาพที่จะรํวมธุรกิจลงทุนระหวํางกัน อีกมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร น้ําตาล เครื่องหนัง โดยนักลงทุน ไทยสามารถเข๎าไปลงทุนทั้งในรูปแบบไทยถือหุ๎นทั้งหมด หรือ การรํวมทุนทางธุรกิจ ( Joint Venture) ซึ่งบังกลาเทศเป็นประเทศที่ได๎รับสิทธิพิเศษทางการค๎าในฐานะประเทศพัฒนาน๎อยที่สุด (LDCs) จากสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ แตํยังมีกําลังการผลิตไมํถึงโควตาที่ได๎รับสิทธิพิเศษดังกลําว และนักลงทุนไทยยังสามารถใช๎บังกลาเทศเป็นฐานผลิตสํงออกไปยังประเทศเพื่อนบ๎านที่เป็น ตลาดใหญํ เชํน อินเดีย อีกด๎วย ในสํวนของภาคธุรกิจมีความรํวมมือกันระหวําง “สภาหอการค๎า แหํงประเทศไทย” กับ “Federation of Bangladesh Chambers of Commerce and Industry“จัดตั้งสภาธุรกิจรํวม ไทย -บังกลาเทศ (ลงนามเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2545) เพื่อเป็นผู๎ ประสานงานระหวํางนักธุรกิจของสองประเทศ ทั้งนี้ สาขาที่บังกลาเทศสนใจที่จะรํวมลงทุนกับไทย ใน ได๎แกํ การออกแบบและรับเหมากํอสร๎างโดยเฉพาะ โครงสร๎างพื้นฐานตํางๆ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง กับการทํองเที่ยว โรงพยาบาล อุตสาหกรรมยานยนต๑ อุตสาหกรรมน้ําตาล อุตสาหกรรมเครื่องหนัง และอุตสาหกรรมแปรรูปผลไม๎ เป็นต๎น

66

การประมง ไทยและบังกลาเทศลงนามในความตกลงวําด๎วยความรํวมมือทางการประมง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2521 ฝ่ายไทยได๎เสนอให๎มีการเจรจาเรื่องการทําประมงรํวมกันใน ลักษณะ joint venture ระหวํางบริษัทเอกชนไทยและบริษัทบังกลาเทศในอําวเบงกอล ในชํวงแรก บังกลาเทศได๎อนุญาตให๎เอกชนทําสัญญากับบริษัทไทยกวํา 20 บริษัท แตํตํอมา บังกลาเทศเห็น วําข๎อตกลงที่มีกับฝ่ายไทยทําให๎ฝ่ายบังกลาเทศเสียเปรียบ จึงเปลี่ยนแปลงนโยบายใหมํให๎ลงทุน ในลักษณะ joint venture โดยต๎องมีผู๎รํวมทุนฝ่ายบังกลาเทศไมํน๎อยกวําร๎อยละ 51 ตํางชาติไมํ เกินร๎อยละ 49 และให๎คํอยๆ เพิ่มทุนแบบก๎าวหน๎าจนเหลือสัดสํวนการถือหุ๎นชาวบังกลาเทศตํอ ชาวตํางชาติร๎อยละ 75 ตํอร๎อยละ 25 ทําให๎บริษัทของไทยเลิกกิจการไปเกือบทั้งหมด ปัจจุบัน คงเหลือบริษัท ฮาร๑ดฟอร๑ด จํากัด เพียงบริษัทเดียวที่ยังดําเนินกิจการอยูํจนถึงทุกวันนี้ โดยได๎รํวม ทุนกับบริษัท Sea Resources ของบังกลาเทศ ปัจจุบันบังกลาเทศไมํมีนโยบายให๎เรือประมง ตํางชาติเข๎าไปจับปลาในนํานน้ําบังกลาเทศแตํอยํางใด แตํไทยได๎เข๎าไปให๎ความชํวยเหลือในด๎าน วิชาการอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการประมงในบังกลาเทศ เชํน การเพาะเลี้ยงปลา/สัตว๑น้ําจืด และการ รํวมมือกับประเทศสมาชิก BIMSTEC สํงเรือไปสํารวจทรัพยากรธรรมชาติในอําวเบงกอล เป็นต๎น ปัญหาอุปสรรคในการท าการค้าและการลงทุนในบังกลาเทศ บังกลาเทศยังคงพึ่ง ระบบการจัดเก็บภาษี/ศุลกากรในการดําเนินนโยบายการค๎าตํางประเทศ ซึ่งเป็นรายได๎หลักของ ประเทศ โดยมีการเรียกเก็บภาษีสินค๎านําเข๎าเกือบทุกประเภท และมีการใช๎มาตรการที่ไมํใชํภาษี โดยตรงรํวมด๎วย ทั้งนี้ ปัญหาอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคในการทําการค๎าและการลงทุนในบังกลาเทศ คือ - ปัญหาเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเมืองในประเทศ - ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย๑สิน - การนัดหยุดงาน หรือการประท๎วงซึ่งมีขึ้นเป็นประจําทําให๎เกิดการชะงักงันของการดําเนิน ธุรกิจ - ปัญหาความลําช๎าในระบบราชการ - ปัญหาเกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ยังไมํได๎มาตรฐาน - ปัญหาการจัดระบบการคมนาคมขนสํงซึ่งรวมถึงความแออัดของทําเรือจิตตะกอง

ด้านสังคมและวัฒนธรรม ความร่วมมือทางวิชาการไทย - บังกลาเทศ ไทยให๎ความสําคัญกับความรํวมมือทาง วิชาการกับบังกลาเทศ โดยเน๎นความรํวมมือทางวิชาการในด๎านการฝึกอบรม หรือ ดูงานเพื่อ พัฒนาทรัพยากรมนุษย๑ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เชํน ด๎านการศึกษา สาธารณสุข การเกษตร อุตสาหกรรม การบริหาร เป็นต๎น โดยให๎อยูํในรูปของความรํวมมือแบบทวิภาคี ความรํวมมือ

67

ภายใต๎ทุนฝึกอบรมประจําปี ความรํวมมือภายใต๎โครงการฝึกอบรมประเทศที่สาม และความ รํวมมือแบบไตรภาคี ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2550 สพร. ได๎แจ๎งเวียนทุนหลักสูตรตํางๆ ให๎บังกลาเทศ เสนอชื่อผู๎สมัคร ซึ่งได๎รับอนุมัติทุนจํานวนทั้งสิ้น 33 ทุน จาก 17 หลักสูตร และสําหรับปี พ.ศ. 2551 สพร. ได๎กําหนดที่จะแจ๎งเวียนทุนให๎แกํบังกลาเทศภายใต๎กรอบตํางๆ ไว๎แล๎ว จํานวนทั้งสิ้น 64 หลักสูตร ลําสุด สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงธากา รํวมกับ UNDP ได๎จัดโครงการ Local Wisdom and Community ในกรุงธากาและเมืองจิตตะกอง เมื่อวันที่ 18-21 กันยายน พ.ศ. 2550 เพื่อนําคณะผู๎เชี่ยวชาญด๎านการพัฒนาชุมชนจากไทย (มูลนิธิแมํฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง และกรมพัฒนาชุมชน) ไปแลกเปลี่ยนประสบการณ๑กับบังกลาเทศ ความร่วมมือทางวัฒนธรรม ประเทศไทยพยายามสํงเสริมความสัมพันธ๑ในด๎านนี้อยําง ตํอเนื่อง นับตั้งแตํปี พ.ศ. 2547 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงธากา ได๎จัดการแสดงนาฏศิลป์และ เทศกาลอาหารขึ้นเป็นประจําทุกปี ในปี พ.ศ. 2551 มีการจัดเทศกาล Thai Exhibition เพื่อสํงเสริม อาหาร วัฒนธรรมและการทํองเที่ยวไทยที่กรุงธากา และงาน Thai Kitchen to Bangladesh เพื่อ สํงเสริมความนิยมอาหารไทยในกลุํมชาวบังกลาเทศอีกด๎วย การท่องเที่ยว คนบังกลาเทศเดินทางมาไทย 46,387 คน และคนไทยไปบังกลาเทศ ประมาณ 4,000 คน เที่ยวบินระหว่างไทย-บังกลาเทศ มี 26 เที่ยว/สัปดาห๑ 1) การบินไทยบินไปบังกลาเทศ 10 เที่ยว/สัปดาห๑ (เส๎นทางกรุงเทพ-ธากา 7 เที่ยว/สัปดาห๑ และเส๎นทางกรุงเทพ-จิตตะกอง 3 เที่ยว/ สัปดาห๑) 2) สายการบินพิมานบินมากรุงเทพ 4 เที่ยว/สัปดาห๑ (เส๎นทางกรุงเทพ-ธากา) 3) สายการ บิน GMG บินมาไทย 5 เที่ยว/สัปดาห๑ (เส๎นทางธากา-กรุงเทพ 3 เที่ยว/สัปดาห๑ และเส๎นทางจิตตะ กอง-กรุงเทพ 2 เที่ยว/สัปดาห๑) 4) สายการบิน Best Air คาดวําจะเริ่มทําการบินไทยมาในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 โดยกําหนดวําจะบินมาไทย 7 เที่ยว/สัปดาห๑ (เส๎นทางกรุงเทพ-ธากา) ทั้งนี้ ชาวบังกลาเทศยังคงนิยมใช๎บริการของการบินไทยมากที่สุดแม๎วําจะมีราคาสูงกวํา ทําให๎เที่ยวบิน ของการบินไทยเต็มทุกเที่ยวบิน

ความสัมพันธ์อื่นๆ ในระดับทวิภาคี ได๎มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการรํวมวําด๎วยความรํวมมือไทย-บังกลาเทศขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2525 ได๎มีการประชุมมาแล๎ว 6 ครั้ง (ครั้งที่ 6 จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2541) การ ประชุมครั้งตํอไป ซึ่งเดิมกําหนดไว๎ระหวํางวันที่ 1 - 2 มีนาคม พ.ศ. 2549 ที่บังกลาเทศได๎ถูกเลื่อน ออกไปในระดับพหุภาคี ไทยกับบังกลาเทศเป็นสมาชิกกํอตั้งกรอบความรํวมมือทางเศรษฐกิจ บังกลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา ไทย ( Bangladesh-India-Sri Lanka-Thailand Economic

68

Cooperation - BISTEC) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2540 ตํอมากลายเป็นกรอบความรํวมมือทาง เศรษฐกิจบังกลาเทศ อินเดีย พมํา ศรีลังกา ไทย ( Bangladesh-India-Myanmar-Sri Lanka- Thailand Economic Cooperation - BIMSTEC) เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2540 และเมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2546 ได๎พัฒนาเป็นกรอบความรํวมมือทางเศรษฐกิจบังกลาเทศ อินเดีย พมํา ศรี ลังกา ไทย ภูฏาน เนปาล ( Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation – BIMSTEC) ความตกลงที่ส าคัญกับประเทศไทย 1. ความตกลงทางการค๎า (ลงนามเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2520) 2. ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือทางการประมง (ลงนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2521) 3. ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือทางวัฒนธรรม การศึกษา และวิทยาศาสตร๑ (ลงนามเมื่อ วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2522) 4. ความตกลงเพื่อการเว๎นการเก็บภาษีซ๎อน (ลงนามเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2540) 5. ความตกลงเพื่อการสํงเสริมและคุ๎มครองการลงทุน (ลงนามเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2545) 6. สภาหอการค๎าแหํงประเทศไทย กับ Federation of Bangladesh Chambers of Commerce and Industry ได๎ลงนามบันทึกความเข๎าใจวําด๎วยการจัดตั้งสภาธุรกิจรํวม ไทย - บังกลาเทศ (ลงนาม เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2545)

การเยือนของผู้น าระดับสูง ฝ่ายไทย พระราชวงศ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร - วันที่ 16 – 21 มกราคม พ.ศ. 2535 เสด็จฯ เยือนบังกลาเทศอยํางเป็นทางการ

รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท๑ นายกรัฐมนตรี - วันที่ 8-10 สิงหาคม พ.ศ. 2526 เยือนบังกลาเทศอยํางเป็นทางการ นายพิชัย รัตตกุล รองนายกรัฐมนตรี - วันที่ 6 -9 กรกฎาคม พ.ศ. 2528 เยือนบังกลาเทศ ร.ต.ประพาส ลิมปะพันธุ๑ รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ

69

- วันที่ 29 – 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 เยือนบังกลาเทศ - วันที่ 19 - 21 ธันวาคม พ.ศ. 2532 เยือนบังกลาเทศ โดยเป็นหัวหน๎าคณะผู๎แทนฝ่ายไทย เพื่อรํวมการประชุมคณะกรรมาธิการรํวมวําด๎วยความรํวมมือไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ 3 น.ต.ประสงค๑ สุํนศิริ รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ - วันที่ 15 - 19 มิถุนายน พ.ศ. 2537 เยือนบังกลาเทศ โดยนําคณะผู๎แทนฝ่ายไทยไปรํวม การประชุมคณะกรรมาธิการรํวมวําด๎วยความรํวมมือไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ 5 นายพิทักษ๑ อินทรวิทยนันท๑ รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ - วันที่ 20 - 23 เมษายน พ.ศ. 2540 เยือนบังกลาเทศอยํางเป็นทางการ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ๑ บริพัตร รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ - วันที่ 8 - 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 เยือนบังกลาเทศอยํางเป็นทางการ นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี - วันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 เยือนบังกลาเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี - วันที่ 8 - 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 เดินทางเยือนบังกลาเทศอยํางเป็นทางการตามคําเชิญ ของนาง Khaleda Zia นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ - วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2545 เดินทางเยือนจิตตะกอง เพื่อเปิดเที่ยวบินเชียงใหมํ- จิตตะ กอง เที่ยวปฐมฤกษ๑ และนํานาง Khaleda Zia นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศเดินทางมาเยือนไทย อยํางเป็นทางการ - วันที่ 24 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2546 ได๎พบหารือทวิภาคีกับนาง Khaleda Zia นายกรัฐมนตรี บังกลาเทศในระหวํางการประชุมสุดยอด NAM ครั้งที่ 13 ที่มาเลเซีย - วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2547 เดินทางไปกลําวสุนพจน๑ตํอที่ประชุม International Chamber of Commerce ที่กรุงธากา และได๎พบหารือกับประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี บังกลาเทศ - วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2548 เดินทางเพื่อหารือทวิภาคีกับนาง Khaleda Zia นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศในระหวํางการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 60 ที่นคร นิวยอร๑ก นายกันตธีร๑ ศุภมงคล รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ - วันที่ 6 - 7 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เยือนบังกลาเทศ

ฝ่ายบังกลาเทศ

70

นาย Ziaur Rahman ประธานาธิบดีบังกลาเทศ และภริยา - วันที่ 8 – 10 เมษายน พ.ศ. 2522 เยือนไทยอยํางเป็นทางการในฐานะพระราชอาคันตุกะ ของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวและสมเด็จพระนางเจ๎าฯ พระบรมราชินีนาถ พลโท Hussain Mohammad Ershad ประธานาธิบดีบังกลาเทศ - วันที่ 22 – 23 มิถุนายน พ.ศ. 2528 แวะเยือนไทยอยํางไมํเป็นทางการ นาย Humayun Rasheed Choudhury รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ - วันที่ 26 – 28 สิงหาคม พ.ศ. 2530 เยือนไทยอยํางเป็นทางการ - วันที่ 6 - 18 มีนาคม พ.ศ. 2531 นาย Humayun Rasheed Choudhury เยือนไทย โดยนํา คณะผู๎แทนบังกลาเทศมารํวมการประชุมคณะกรรมาธิการรํวมวําด๎วยความรํวมมือไทย- บังกลาเทศ ครั้งที่ 2 พลโท Hussain Mohammad Ershad ประธานาธิบดีบังกลาเทศ และภริยา - วันที่ 28 – 31 มีนาคม พ.ศ. 2531 เยือนไทยอยํางเป็นทางการ ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัว พลโท Hussain Mohammad Ershad ประธานาธิบดีบังกลาเทศ - วันที่ 5 - 9 มีนาคม พ.ศ. 2533 เยือนไทยในฐานะอาคันตุกะพิเศษ เพื่อกลําวปราศรัยเปิด การประชุมเรื่องการศึกษาเพื่อปวงชน (World Conference on Education for All) นาย Kazi Zafar Ahmed นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ - วันที่ 21-25 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 เยือนไทยอยํางเป็นทางการ นาง Khaleda Zia นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ - วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2534 แวะเยือนไทยและหารือข๎อราชการกับนายอานันท๑ ปันยา รชุน นายกรัฐมนตรี วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2534 นาย Abul Hasan Chowdhury รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศบังกลาเทศ - วันที่ 4 – 6 มิถุนายน พ.ศ. 2540 เยือนไทยเพื่อรํวมการประชุมลงนามกํอตั้งกรอบความ รํวมมือทางเศรษฐกิจบังกลาเทศ–อินเดีย–ศรีลังกา–ไทย (BIST-EC) - วันที่ 21– 22 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เยือนไทยเพื่อประชุมระดับรัฐมนตรีของ BIST-EC นาย Abdus Samad Azad รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ - วันที่ 2-4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 เยือนไทยเพื่อเข๎ารํวมการประชุมคณะกรรมาธิการรํวม วําด๎วยความรํวมมือไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ 6

71

นาย Abdur Razzaq รัฐมนตรีวําการกระทรวงแหลํงน้ําบังกลาเทศ - วันที่ 29-31 มีนาคม พ.ศ. 2542 เยือนไทยและได๎มีการลงนามใน MOU ด๎านความรํวมมือกับ ไทยในการพัฒนาแหลํงน้ํา นาย Abdul Jalil รัฐมนตรีวําการกระทรวงพาณิชย๑บังกลาเทศ - วันที่ 12-19 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2543เข๎ารํวมการประชุม UNCTAD ครั้งที่ 10 นาย Abul Hasan Chowdhury รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศบังกลาเทศ - วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2543 เยือนไทยเพื่อรํวมพิธีการจัดตั้งกรอบความรํวมมือทาง เศรษฐกิจบังกลาเทศ-อินเดีย-พมํา-ศรีลังกา-ไทย (BIMST-EC) ที่กรุงเทพฯ ดร. Mohiuddin Khan Alamgir รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงวางแผนบังกลาเทศ - วันที่ 19- 25 เมษายน พ.ศ. 2544 เยือนไทยเพื่อเข๎ารํวมการประชุม ESCAP สมัยที่ 57 ที่ กรุงเทพฯ นาย Morshed Khan รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศบังกลาเทศ - วันที่ 18-19 มิถุนายน พ.ศ. 2545 เยือนไทยเพื่อเข๎ารํวมการประชุม ACD ครั้งที่ 1 ที่หัวหิน นาง Khaleda Zia รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศบังกลาเทศ - วันที่ 12-14 ธันวาคม พ.ศ. 2545 เยือนไทยอยํางเป็นทางการเพื่อตอบแทนการเยือนของ ฯพณฯ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่เดินทางเยือนบังกลาเทศอยํางเป็นทางการระหวําง วันที่ 8-10 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 นาย Morshed Khan รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศบังกลาเทศ - วันที่ 21 - 22 มิถุนายน พ.ศ. 2546 เยือนไทยเพื่อเข๎ารํวมการประชุม ACD ครั้งที่ 2 ที่เชียงใหมํ นาย Morshed Khan รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศบังกลาเทศ - วันที่ 5-9 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2547 เยือนไทย เพื่อเข๎ารํวมประชุม BIMST-EC ที่จังหวัดภูเก็ต นาง Khaleda Zia และนาย Morshed Khan รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ บังกลาเทศ - วันที่ 29 - 31กรกฎาคม พ.ศ. 2547 เยือนไทยเพื่อเข๎ารํวมการประชุมสุดยอด BIMST-EC ครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพฯ

72

ภาคผนวก ข ราชอาณาจักรภูฏาน

73

ราชอาณาจักรภูฏาน1 (Kingdom of Bhutan)

ข้อมูลทั่วไปที่ตั้ง ตั้งอยูํทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย ทิศเหนือและ ตะวันออกเฉียงเหนือติดกับทิเบต ที่เหลือติดกับอินเดีย ไมํมีทางออกทะเล พื้นที่ 38,394 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวง กรุงทิมพู (Thimphu) เมืองส าคัญต่างๆ เมืองพาโร ( Paro) เป็นที่ตั้งของสนามบินนานาชาติ เมืองพูนาคา (Punaka) เป็นเมืองที่มีความสําคัญ ทางประวัติศาสตร๑ เป็นที่ตั้งของพระราชวังฤดูหนาว และเป็น ที่ราบสําหรับทําการเกษตร ประชากร 634,982 คน (ปี พ.ศ. 2551) ประกอบด๎วย 3 เชื้อชาติ ได๎แกํ 1) ชาชอฟ (Sharchops) ชนพื้นเมืองดั้งเดิม สํวนใหญํอยูํทางภาคตะวันออก 2) นาล็อบ (Ngalops) ชนเชื้อ สายทิเบต สํวนใหญํอยูํทางภาคตะวันตก และ 3) โชซัม (Lhotshams) ชนเชื้อสายเนปาล สํวน ใหญํอยูํทางภาคใต๎ ศาสนา ศาสนาพุทธมหายาน นิกายกายุบปา (Kagyupa) ซึ่งมีลามะเชํนเดียวกับทิเบต ร๎อย ละ 75 (สํวนใหญํเป็นชนเชื้อชาติชาชอฟ และนาล็อบ) และศาสนาฮินดู ร๎อยละ 25 (สํวนใหญํเป็น ชนเชื้อชาติโชซัมทางภาคใต๎ของประเทศ) ภาษา ซงขํา ( Dzongkha) เป็นภาษาราชการ ภาษาอังกฤษใช๎เป็นสื่อกลางใน สถาบันการศึกษาและในการติดตํอธุรกิจ ภาษาทิเบตและภาษาเนปาลมีใช๎ในบางพื้นที่ การศึกษา อัตราการรู๎หนังสือโดยรวม ร๎อยละ 42.2 อัตราการรู๎หนังสือในเพศชายร๎อยละ 46.2 และเพศหญิงร๎อยละ 28.1 วันชาติ 17 ธันวาคม (พ.ศ. 2450 หรือ ค.ศ. 1907) ซึ่งเป็นวันคล๎ายวันสถาปนา สมเด็จ พระราชาธิบดี Ugyen Wangchuck ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย๑องค๑แรกของภูฏาน พระประมุข พระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร๑ นัมเกล วังชุก ( H.M. King Jigme Khesar Namgyel Wangchuk) นายกรัฐมนตรี เลียนเชน จิกมี ทินเลย๑ (Lyonchoen Jigmi Y. Thinley) รมว. กต. เลียนโป อูเกน เชริง (Lyonpo Ugyen Tshering)

1 กองเอเชียใต้ กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา. 2552. ราชอาณาจักร ภูฏาน. ค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=299

74

ระบบการปกครอง ราชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย๑เป็นพระประมุขปกครองประเทศ ปัจจุบัน คือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร๑ นัมเกล วังชุก ( His Majesty King Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) ทรงขึ้นครองราชย๑เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ที่ 5 แหํงราชวงศ๑วังชุก เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2549

การเมืองการปกครอง การเมืองการปกครอง เดิมภูฏานมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑ โดยมี พระมหากษัตริย๑เป็นทั้งประมุขของรัฐและหัวหน๎ารัฐบาล จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2541 สมเด็จ พระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ได๎ทรงเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารราชการแผํนดินให๎มีหัวหน๎า รัฐบาลและสภาคณะมนตรีขึ้นบริหารประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสําคัญของการเมืองภูฏาน เป็นการกระจายอํานาจการปกครองและลดการรวมศูนย๑ไว๎ที่พระมหากษัตริย๑เพียงพระองค๑เดียว และไมํทรงดํารงตําแหนํงหัวหน๎ารัฐบาลอีกตํอไป นับตั้งแตํปี พ.ศ. 2541 นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน๎ารัฐบาลคือผู๎ที่ดํารงตําแหนํงประธานสภา คณะมนตรี (Chairman of the Council of Ministers) โดยได๎รับการคัดเลือกจากสมาชิกสภาคณะ มนตรี (เทียบเทําคณะรัฐมนตรี) ซึ่งมีสมาชิกจํานวน 10 คน และอยูํในตําแหนํงวาระละ 5 ปี โดยผู๎ ที่ได๎รับคะแนนเสียงมากที่สุดลําดับ 1 - 5 จะสลับหมุนเวียนกันขึ้นดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรี และประธานสภาคณะมนตรีวาระละ 1 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นวันชาติภูฏาน สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ประกาศเปลี่ยนแปลงการ ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย๑เป็น ประมุขภายใต๎รัฐธรรมนูญ และได๎ประกาศจะสละราชบัลลังก๑ให๎กับมกุฎราชกุมารจิกมี เคซอร๑ นัม เกล วังชุก ในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งการประกาศสละราชบัลลังก๑ได๎สร๎างความตกตะลึงให๎กับชาวภูฏา นเป็นอยํางมาก เนื่องจากชาวภูฏานยังคงเชื่อมั่นและศรัทธาในระบบกษัตริย๑และยังต๎องการให๎ ภูฏานปกครองด๎วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑ตํอไป เพราะเกรงวําระบอบประชาธิปไตย อาจ กํอให๎เกิดปัญหาความวุํนวายและการฉ๎อราษฎร๑บังหลวงภายในประเทศเหมือนกับประเทศเพื่อน บ๎าน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2549 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ทรงประกาศสละราช สมบัติให๎แกํมกุฎราชกุมารจิกมี เคซอร๑ นัมเกล วังชุก ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ที่ 5 แหํง ราชวงศ๑วังชุก ซึ่งเร็วขึ้นจากเดิม 2 ปี เนื่องจากทรงเห็นวําภูฏานกําลังอยูํในชํวงเปลี่ยนผํานระบอบ

75

การปกครองของประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑ไปสูํระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ดังนั้น จึงจําเป็นที่มกุฎราชกุมารฯ จะต๎องเรียนรู๎ประสบการณ๑ที่แท๎จริงในการปกครองประเทศ และการแก๎ไขปัญหาตํางๆ ในฐานะพระประมุข (รัฐบาลภูฏานจะจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ที่ 5 ในปี 2551) ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบคํอยเป็นคํอยไป ของภูฏานนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากภูฏานจําเป็นต๎องปรับตัวให๎สอดคล๎องกับสภาพแวดล๎อมโลกและ ปัญหาท๎าทายใหมํๆ เพื่อให๎สามารถตอบสนองกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกได๎อยํางมี ประสิทธิภาพ ภูฏานได๎รํางรัฐธรรมนูญฉบับแรกแล๎วเสร็จเมื่อต๎นปี พ.ศ. 2550 โดยพร๎อมประกาศใช๎ในปี พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นปีที่ภูฏานจะจัดพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี ภายใต๎การปกครองระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย๑ ซึ่งรัฐธรรมนูญดังกลําวกําหนดอํานาจหน๎าที่ของพระมหากษัตริย๑ และ อํานาจบริหารประเทศของคณะรัฐมนตรี โดยให๎มีระบบรัฐสภาที่มี 2 พรรคการเมืองสําคัญ ภูฏานได๎จัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551 ภูฏานได๎จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู๎เทนราษฎรครั้งแรก สํงผลให๎ภูฏานกลาย เป็นประชาธิปไตยอยํางสมบูรณ๑ การเลือกตั้งดังกลําวมีพรรคการเมืองลงแขํง 2 พรรค ได๎แกํ พรรค Druk Phuensam Tshogpa (DPT) นําโดย Lyonpo Jigmi Thinley (เคยดํารงตําแหนํง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีวําการกระทรวงมหาดไทยภูฏาน) และพรรค People’s Democratic Party (PDP) นําโดย Lyonpo Sangay Ngedup (เคยดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีวําการกระทรวงเกษตรภูฏาน) ผลปรากฏวําพรรค DPT ได๎รับชัยชนะอยํางทํวมท๎น (สมาชิกของพรรค DPT ได๎รับเลือกใน 45 เขต จากทั้งหมด 47 เขต โดยที่ Lyonpo Sangay Ngedup มิได๎รับเลือกในเขตของตน) Lyonpo Jigmi Thinley ได๎เข๎ารับตําแหนํงนายกรัฐมนตรีคน แรกของภูฏานที่มาจากการเลือกตั้ง และเปลี่ยนคํานําหน๎าชื่อเปลี่ยนเป็น Lyonchoen Jigmi Thinley (Lyonchoen เป็นคํานําหน๎าชื่อของนายกรัฐมนตรี) โดยมี Lyonpo Ugyen Tshering ดํารงตําแหนํงรัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศภูฏาน ประวัติศาสตร์โดยสังเขป ในสมัยศตวรรษที่ 17 นักบวช ซับดุง นาวัง นําเยล (Zhabdrung Ngawang Namgyal) ได๎รวบรวมภูฏานให๎เป็นปึกแผํนและกํอตั้งเป็นประเทศขึ้น และในปี พ.ศ. 2194 นักบวชซับดุงได๎ริเริ่มการบริหารประเทศแบบสองระบบ คือ แยกเป็นฝ่ายฆราวาสและฝ่าย สงฆ๑ ภูฏานใช๎ระบบการปกครองดังกลําวมาเป็นเวลากวําสองศตวรรษ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2450 พระคณะที่ปรึกษาแหํงรัฐ ผู๎ปกครองจากมณฑลตําง ๆ ตลอดจนตัวแทน ประชาชนได๎มารวมตัวกันที่เมืองพูนาคา และทําการเลือกอยํางเป็นเอกฉันท๑ให๎ อูเก็น วังชุก (Ugyen Wangchuck) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู๎ปกครองเมืองตองซา ( Trongsa) ขึ้นเป็นกษัตริย๑องค๑แรก

76

ของภูฏาน โดยดํารงตําแหนํงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑แรกแหํงราชวงศ๑วังชุก ( Wangchuck) เนื่องจากคุณสมบัติที่โดดเดํนของพระองค๑ตั้งแตํครั้งยังทรงดํารงตําแหนํงเป็นผู๎ปกครองเมือง Trongsa ทรงมีลักษณะความเป็นผู๎นําและเป็นผู๎นําที่เครํงศาสนาและมีความตั้งพระทัยแนํวแนํที่ จะยกระดับความเป็นอยูํของประชาชนให๎ดีขึ้น ราชวงศ๑ Wangchuck ปกครองประเทศภูฏานมา จนถึงปัจจุบันสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ปัจจุบันคือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร๑ นัมเกล วัง ชุก นโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน ภูฏานให๎ความสําคัญกับการรักษาความมั่นคงภายใน และ การปฏิรูปประเทศไปสูํระบอบประชาธิปไตย เพื่อให๎เอื้อตํอการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตาม แผนพัฒนาประเทศ (5 ปี) ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2551 - 2556) ซึ่งมีเป้าหมายสําคัญเพื่อยกระดับความ เป็นอยูํของประชาชนให๎ดีขึ้น โดยให๎ความสําคัญอยํางยิ่งในด๎านการศึกษา สาธารณสุข การเกษตร โครงสร๎างพื้นฐาน และการอนุรักษ๑สิ่งแวดล๎อม รวมทั้งได๎ให๎ความสําคัญกับการขยาย ความสัมพันธ๑กับประเทศตํางๆ โดยเฉพาะอยํางยิ่งประเทศในทวีปเอเชียและการมีบทบาทใน องค๑การระหวํางประเทศในภูมิภาค อาทิ SAARC, BIMSTEC และ ACD ด้านเศรษฐกิจ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ได๎ทรงดําเนินนโยบายเปิดประเทศ หรือนโยบายมองออกไปข๎างนอก ( outward-looking policy) โดยภูฏานได๎เริ่มดําเนินการแปรรูป รัฐวิสาหกิจ สํงเสริมการลงทุนจากตํางประเทศเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ปัจจุบันรัฐบาล ภูฏานอยูํระหวํางการรํางพระราชบัญญัติวําด๎วยการลงทุนเพื่อให๎มีความชัดเจนแกํนักธุรกิจ ตํางประเทศในการเข๎ามาลงทุนในภูฏานมากขึ้น อยํางไรก็ดี ภูฏาน ต๎องการที่จะพัฒนาประเทศ อยํางคํอยเป็นคํอยไป โดยไมํทําลายสภาพแวดล๎อมและวัฒนธรรมของประเทศ ในทางปฏิบัติจึงไมํ ต๎องการการลงทุนจากตํางประเทศมากจนเกินไป และปัจจุบันสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร๑ นัมเกล วังชุก ได๎ทรงสานตํอนโยบายเปิดประเทศแบบคํอยเป็นคํอยไปของพระราชบิดา โดยเน๎น การเพิ่มปริมาณด๎านการลงทุนจากตํางประเทศและการทํองเที่ยว ความสําเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของภูฏาน สํวนหนึ่งมาจากการมีธรรมรัฐ ( good governance) และการที่ข๎าราชการได๎รับคําตอบแทนสูง ภูฏานเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเก็บ ภาษีน๎อยที่สุด รายได๎จากการเรียกเก็บภาษีคิดเป็นเพียงร๎อยละ 0.3 ของรายได๎รัฐบาล และภาษี จากภาคธุรกิจคิดเป็นร๎อยละ 3 เทํานั้น สํวนรายได๎ที่เหลือเป็นรายได๎จากการขายกระแสไฟฟ้าจาก พลังน้ําให๎แกํอินเดีย เงินปันผล คําภาคหลวง ภาษีสรรพสามิต และรายได๎จากสาธารณูปโภค แม๎ภูฏานเป็นประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่คํอนข๎างมั่นคง และมีดุลการชําระเงินดี แตํ ภูฏานต๎องพึ่งพิงเงินชํวยเหลือจากตํางประเทศเป็นจํานวนมหาศาล ประมาณร๎อยละ 33 ของ GDP ขณะนี้ ภูฏานอยูํระหวํางการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ โดยเป็นการดําเนินการอยํางคํอยเป็นคํอยไป

77

ด๎วยความชํวยเหลือจากธนาคารโลก กองทุนการเงินระหวํางประเทศ และประเทศผู๎ให๎ความ ชํวยเหลือจากตะวันตกและญี่ปุ่น เศรษฐกิจของภูฏานยังคงมีความผูกพันกับอินเดีย ซึ่งเป็น ประเทศผู๎ให๎เงินชํวยเหลือแบบให๎เปลําและเงินกู๎แกํภูฏานอยูํมาก พลังงานเป็นสาขาเศรษฐกิจที่สําคัญที่สุดของภูฏาน โดยได๎สํงออกกระแสไฟฟ้าจากพลังงาน น้ํา ไปขายให๎แกํอินเดียซึ่งเป็นแหลํงรายได๎ที่สําคัญ ในอนาคตคาดวําภูฏานจะมีรายได๎เข๎าประเทศ มากขึ้น เนื่องจากมีเขื่อนสําคัญ 3 แหํงที่ถูกสร๎างขึ้นภายใต๎แผนพัฒนา (5 ปี) ฉบับที่ 8 ได๎แกํ เขื่อน คูริชู (Kurichhu) เขื่อนบาโชชู ( Bashochhu) และเขื่อนทาลา ( Tala) ซึ่งจะทําให๎สามารถผลิต กระแสไฟฟ้ารวมกันได๎เป็นปริมาณถึง 1,125.8 เมกกะวัตต๑ เพื่อขายให๎แกํอินเดียซึ่งจะเป็นรายได๎ หลักในการพัฒนาประเทศตํอไป สังคมและวัฒนธรรม สังคมของภูฏานเป็นสังคมเกษตรกรรมที่เรียบงําย ประชาชนดําเนิน ชีวิตตามวิถีทางพุทธศาสนานิกายมหายาน และยังคงไว๎ซึ่งวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มี มาช๎านาน ทั้งนี้ สํวนหนึ่งนั้นมาจากพระราโชบายของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก พระ ราชบิดาของสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ปัจจุบันที่ต๎องการให๎ภูฏานอนุรักษ๑วัฒนธรรมประเพณีของ ตนไว๎ เชํน การสํงเสริมให๎ประชาชนภูฏานใสํชุดประจําชาติ การอนุรักษ๑ภาษาท๎องถิ่น และ สถาปัตยกรรมแบบภูฏาน ทั้งนี้ แม๎จะมีนโยบายเปิดประเทศแตํภูฏานก็สามารถอนุรักษ๑จารีตทาง สังคมไว๎ได๎ สถาบันกษัตริย๑ยังคงเป็นสถาบันที่เป็นศูนย๑รวมจิตใจของชาวภูฏาน โดยเฉพาะสมเด็จ พระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก เป็นที่เคารพรักของประชาชนมาก เพราะนอกจากพระองค๑จะเป็น กษัตริย๑นักพัฒนาแล๎ว ความเป็นกันเองของพระองค๑ในการเสด็จเยี่ยมราษฎรและการเข๎าถึง ประชาชน ทําให๎พระองค๑ทรงเป็น “กษัตริย๑ของประชาชน” ของภูฏาน อาจกลําวได๎วําพระองค๑ทรง เป็นบุคคลสําคัญในการที่จะเปลี่ยนแปลงภูฏานให๎เป็นสังคมสมัยใหมํแบบคํอยเป็นคํอยไป โดย ทรงใช๎หลัก “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness) แทนการวัดการพัฒนา จากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ทฤษฎีความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) สมเด็จพระราชาธิบดีจิก มี ซิงเย วังชุก ทรงริเริ่มปรัชญาในการพัฒนาประเทศที่เรียกวํา “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” โดย ความคิดดังกลําวเน๎นการพัฒนาเพื่อให๎ประชาชนมีความสุขและความพึงพอใจมากกวําวัดการ พัฒนาด๎วยผลิตภัณฑ๑มวลรวมประชาชาติ ทั้งนี้ พระองค๑ได๎ข๎อสรุปจากบทเรียนความผิดพลาดใน การพัฒนาของโลกในรอบ 50 ปีที่ผํานมา และเห็นวําประเทศจํานวนมากเข๎าใจวําการพัฒนาคือ การแสวงหาความสําเร็จทางวัตถุเพียงอยํางเดียว ซึ่งประเทศเหลํานี้ได๎แลกความสําเร็จในการ

78

พัฒนาเศรษฐกิจกับการสูญเสียวัฒนธรรม สิ่งแวดล๎อมที่ดีทางธรรมชาติ และเอกลักษณ๑ของชาติ ซึ่งหลายประเทศได๎พิสูจน๑แล๎ววําประชาชนไมํได๎มีความสุขที่แท๎จริง อยํางไรก็ตาม ทฤษฎีความสุขมวลรวมประชาชาติก็มิได๎ปฏิเสธการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แตํ การพัฒนาด๎านตํางๆ จะต๎องสมดุลกัน โดยรัฐบาลภูฏานได๎พยายามสร๎างสิ่งแวดล๎อมที่จะทําให๎ ประชาชนสามารถแสวงหาและได๎รับความสุขโดยยึดหลักแนวคิดดังกลําวเป็นพื้นฐานเพื่อให๎ สามารถรับมือกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองตํอสิ่งท๎าทายของโลก โดยมีหลักสําคัญ 4 ประการ ได๎แกํ 1) การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอยํางยั่งยืน 2) การอนุรักษ๑สิ่งแวดล๎อม 3) การ สํงเสริมวัฒนธรรม และ 4) ธรรมรัฐ ซึ่งหลักการทั้ง 4ได๎ถูกบรรจุอยูํในนโยบายและแผนงานของ รัฐบาลทุกด๎าน ในทางปฏิบัติ ภูฏานได๎บรรจุแนวคิดนี้ให๎อยูํในแผนพัฒนาประเทศระยะ 5 ปี ตั้งแตํปี พ.ศ. 2542 (แผนพัฒนาประเทศ (5 ปี) ฉบับที่ 1 เริ่มดําเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2504) โดยเน๎นการพัฒนาใน ทุกสาขาของสังคมอยํางรอบด๎าน โดยเฉพาะอยํางยิ่งการให๎ความสําคัญด๎านสาธารณสุข การศึกษา โครงสร๎างพื้นฐาน การขจัดปัญหาสังคมและความยากจน พร๎อมกับการอนุรักษ๑ สิ่งแวดล๎อมและวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย๑ โดยทั้งหมดจะดํารงอยูํด๎วยกัน ในลักษณะกลมกลืนตามหลักพุทธศาสนามหายาน ด้านการต่างประเทศ ภูฏานมีเป้าหมายในการดําเนินนโยบายตํางประเทศ เพื่อรักษาบูรณ ภาพแหํงดินแดนของประเทศและสํงเสริมการพัฒนาประเทศ จากเป้าหมายดังกลําวภูฏานได๎ ดําเนินความสัมพันธ๑กับประเทศตํางๆ โดยยึดหลักนโยบาย Utilitarian Engagement โดยเลือกที่ จะมีความสัมพันธ๑กับเพียงบางประเทศที่ภูฏานเห็นวํามีความสําคัญ และให๎ประโยชน๑สูงสุดแกํ ชาวภูฏาน ทั้งนี้ จะเห็นได๎จากการตั้งสถานทูตประจําในประเทศเหลํานี้ ได๎แกํ อินเดีย บังกลาเทศ คูเวต และไทย และมีคณะทูตถาวรฯ ประจําองค๑การสหประชาชาติที่นครเจนีวา และนครนิวยอร๑ก เทํานั้น ในอดีต ภูฏานให๎ความสําคัญกับอินเดียสูงสุด นโยบายตํางประเทศของภูฏานตั้งอยูํบน พื้นฐานของสนธิสัญญาดาร๑จีลิง ( Darjeeling) หรือสนธิสัญญามิตรภาพอินเดีย-ภูฏาน ปี พ.ศ. 2492 ซึ่งระบุวํา อินเดียจะไมํแทรกแซงกิจการภายในของภูฏาน แตํภูฏานยินยอมที่จะได๎รับการ ชี้นําจากอินเดียในเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ๑กับตํางประเทศ ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติ อินเดียพยายาม ผูกขาดภูฏานทั้งด๎านเศรษฐกิจและการเมือง ดังนั้น ภูฏานจึงต๎องการเพิ่มความสัมพันธ๑ไปยัง ประเทศอื่นๆ มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอยํางยิ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เพื่อลดอิทธิพล ของอินเดียตํอภูฏานลง และในที่สุด เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2550 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี

79

เคซอร๑ นัมเกล วังชุก ได๎ทรงลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพอินเดีย-ภูฏานฉบับใหมํ ทําให๎ภูฏานมี อิสระจากอินเดียมากขึ้นในการดําเนินนโยบายการตํางประเทศ ภูฏานให๎ความสําคัญกับองค๑การสหประชาชาติ (UN) โดยเห็นวําการเข๎าเป็นสมาชิก UN (เดือนกันยายน พ.ศ. 2514) ทําให๎ภูฏานมีความสัมพันธ๑กับนานาประเทศและองค๑การระหวําง ประเทศได๎โดยมิต๎องมีการจัดตั้งสถานทูตในประเทศตํางๆ ทั่วโลก ซึ่งทําให๎สามารถใช๎ทรัพยากรที่ มีอยูํอยํางจํากัดให๎เป็นประโยชน๑ มากที่สุด รวมทั้งยังสามารถเรียนรู๎ประสบการณ๑ของประเทศ ตํางๆ โดยผํานการชํวยเหลือจากนานาประเทศและองค๑การระหวํางประเทศในเรื่องที่เป็นความ ต๎องการของทางภูฏานได๎ด๎วย โดยเฉพาะในด๎านของการพัฒนานอกจากนี้ ภูฏานเป็นสมาชิก สมาคมความรํวมมือแหํงภูมิภาคเอเชียใต๎ South Asian Association for Regional Cooperation (SAARC) โดยเห็นวําสมาคมดังกลําวเป็นเวทีสําหรับความรํวมมือในระดับภูมิภาคที่เป็นรูปธรรม เป็นการแสดงถึงเจตนารมณ๑รํวมกันของประเทศในภูมิภาคที่มีความแตกตํางกันในหลายๆ ด๎าน แตํประสงค๑จะมีความรํวมมือกันในเรื่องที่เป็นความสนใจรํวมกัน และมีวัตถุประสงค๑รํวมกัน คือ การสํงเสริมสันติภาพ ความก๎าวหน๎า และความเจริญรุํงเรืองของภูมิภาค นอกจากนั้น ภูฏานได๎ เป็นสมาชิกใน Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation (BIMSTEC) และ Asia Cooperation Dialogue (ACD) เพื่อขยายบทบาทและ ความรํวมมือของภูฏานในทวีปเอเชียให๎กว๎างขวางยิ่งขึ้น

เศรษฐกิจการค้า เศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 1,276.2 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ (ปี พ.ศ. 2551) การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร๎อยละ 21.4 (ปี พ.ศ. 2551) รายได้ประชาชาติเฉลี่ยต่อหัว 1,822.8 ดอลลาร๑สหรัฐ (ปี พ.ศ. 2551) เงินทุนส ารอง 764.80 ล๎าน USD (ปี พ.ศ. 2550) อัตราเงินเฟ้อ ร๎อยละ 6.4 มูลค่าการค้ารวม ปี 2551 5.91 ล๎าน USD สินค้าส่งออกของไทย เครื่องจักรกลและสํวนประกอบเครื่องจักรกล เครื่องใช๎ ในครัวและ บ๎านเรือน เตาอบ ไมโครเวฟและเครื่องใช๎ไฟฟ้า สายไฟฟ้า สายเคเบิ้ล รถยนต๑และอุปกรณ๑ สินค้าน าเข้าของไทย ผัก ผลไม๎ และของปรุงแตํงทําจากผัก ผลไม๎ สินค้าส่งออก ยิบซั่ม ไม๎ซุง สินค๎าหัตถกรรม ซีเมนต๑ ผลไม๎ ไฟฟ้าจากพลังน้ํา อัญมณี และ เครื่องเทศ

80

สินค้าน าเข้า น้ํามันเชื้อเพลิงและหลํอลื่น ธัญพืช เครื่องจักรและชิ้นสํวนรถบรรทุก ผ๎า และ ข๎าว ประเทศคู่ค้า อินเดีย บังกลาเทศ และญี่ปุ่น หน่วยเงินตรา 1 งุลตรัม ประมาณ 0.72 บาท (เงินงุลตรัมมีคําเทํากับเงินรูปีของอินเดีย และเงินรูปีของอินเดีย ก็สามารถใช๎ได๎ทั่วไปในภูฏาน)

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับราชอาณาจักรภูฏาน 1. ความสัมพันธ์ไทยและภูฏาน 1.1 ทั่วไป - ไทยดําเนินความสัมพันธ๑กับภูฏานในลักษณะประเทศผู๎ให๎และมิตรประเทศ โดยมี ความชํวยเหลือด๎านวิชาการแกํภูฏานเป็นกลไกหลักในการดําเนินความสัมพันธ๑ ในขณะที่ภูฏา นให๎ความสําคัญ เป็นพิเศษกับไทยและชื่นชมความสําเร็จในการพัฒนาประเทศของไทยและนํา ประสบการณ๑ในการพัฒนา ประเทศของไทยไปปรับใช๎ในการพัฒนาประเทศ ภูฏานให๎การ สนับสนุนไทยในเวทีระหวํางประเทศโดยดีเสมอมา - ไทยสถาปนาความสัมพันธ๑ทางการทูตกับภูฏานเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 ความสัมพันธ๑โดยทั่วไปมีความใกล๎ชิดในระดับราชวงศ๑ รัฐบาลและประชาชน โดยมีปัจจัย เชื่อมโยงความสัมพันธ๑ได๎แกํ การมีพระมหากษัตริย๑เป็นประมุข ศาสนาพุทธ และไมํเคยตกเป็น อาณานิคม - ปัจจุบันสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงธากา (บังกลาเทศ) ดูแลประเทศภูฏานซึ่ง เป็นเขตอาณา โดยมีนายเฉลิมพล ทันจิตต๑ ดํารงตําแหนํงเอกอัครราชทูตไทยประจําภูฏาน (ถิ่น พํานัก ณ กรุงธากา) และมีกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจํากรุงทิมพูคือ Dasho Ugen Tshechup Dorji (ได๎รับสัญญาบัตรตราตั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2546) - ไทยเป็นจุดหมายเดินทางที่สําคัญสําหรับชาวภูฏานที่มีฐานะดี รวมถึงสมาชิก ราชวงศ๑ของภูฏานที่เดินทางมาเพื่อจับจํายใช๎สอย และรับบริการตํางๆ ในไทยโดยเฉพาะการ รักษาพยาบาลเนื่องจากสายการบิน Druk Air มีเส๎นทางการบินมาไทยทุกวัน ขณะเดียวกัน มี นักศึกษาชาวภูฏานศึกษาระดับปริญญาตรี/โท ในไทยเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากคําใช๎จํายน๎อยกวํา การศึกษาในประเทศตะวันตก รวมทั้งยังมีทุนการศึกษาที่ไทยให๎การสนับสนุนเป็นจํานวนมาก - ในอดีตมีการเยือนภูฏานของพระราชวงศ๑ของไทย 3 ครั้ง คือ 1) สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราช นครินทร์ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2531

81

2) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 และ 3) สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนภูฏาน ตามคําเชิญของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร๑ นัมเกล วังชุก เมื่อวันที่ 18-27 มิถุนายน พ.ศ. 2550 เพื่อทรงบรรยายในการอบรมหลักสูตร “Environment Toxicology, Pollution Control and Management” และเพื่อเป็นการเริ่มต๎นความรํวมมือทางวิชาการระหวําง สถาบันวิจัยจุฬาภรณ๑และฝ่ายภูฏาน สํวนการเยือนของพระราชวงศ๑ของภูฏาน ได๎แกํ การเสด็จฯ เยือนไทย 2 ครั้งของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร๑ นัมเกล วังชุก (ขณะดํารงพระยศ มกุฎราชกุมาร) เมื่อปี พ.ศ. 2549 (พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี เมื่อมิถุนายน พ.ศ. 2549 และงานมหกรรมพืชสวนโลกเพื่อทรงรับการทูลเกล๎าฯ ถวายปริญญากิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย รังสิต เมื่อพฤศจิกายน พ.ศ. 2549) - เรื่องที่ภูฏานให๎ความสําคัญในขณะนี้ คือ โครงการ Dharma Project ซึ่งเป็น โครงการในพระราชดําริของสมเด็จพระราชาธิบดีฯ เมื่อปี พ.ศ. 2550 เพื่อบูรณะรักษางานศิลปะ และถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาของภูฏาน สร๎างพระพุทธรูป ฟื้นฟูชํางฝีมือภูฏาน และเป็นการสร๎าง งานให๎ประชาชน จึงประสงค๑จะขอให๎ไทยพิจารณาให๎ความชํวยเหลือในการจัดตั้งโรงหลํอ พระพุทธรูปและการฝึกอบรมชํางฝีมือขึ้นที่ภูฏาน เพื่อให๎ชํางฝีมือชาวภูฏานมีความเชี่ยวชาญด๎าน การหลํอพระพุทธรูปสําริด สามารถหลํอได๎เองและถํายทอดความรู๎ให๎ชํางฝีมือรุํนตํอๆ ไปได๎ และ จะให๎มีการดําเนินโครงการ Dharma Project ในลักษณะของความรํวมมือระหวํางโครงการหลวง ของสองประเทศ ( Two Kings’ Project) ตํอไปในอนาคต โดย เลียนโป ชางกับ ดอร๑จี ( Lyonpo Chenkyab Dorji) ประธานสภาองคมนตรีภูฏานได๎ยกเรื่องนี้กับรัฐมนตรีวําการกระทรวงการ ตํางประเทศในระหวํางการเยือนไทยเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552 - สองฝ่ายได๎ลงนามในความตกลง/บันทึกความเข๎าใจ/พิธีสาร รวม 7 ฉบับ (สถานะปี พ.ศ. 2552) ความตกลงที่สําคัญได๎แกํ ความตกลงยกเว๎นการตรวจลงตราสําหรับหนังสือเดินทาง ทูตและราชการ และ ความตกลงวําด๎วยกรอบความรํวมมือที่ครอบคลุมทุกด๎าน ซึ่งรวมความ รํวมมือสาขาตําง ๆ ระหวํางไทยและภูฏานมาไว๎ภายใต๎ความตกลงเดียวกัน เพื่อให๎การให๎ความ ชํวยเหลือทางวิชาการแกํภูฏานเป็นประโยชน๑สูงสุดและไมํเกิดการซ้ําซ๎อน 1.2 การให๎ความชํวยเหลือทางวิชาการของไทย - ไทยได๎ให๎ความชํวยเหลือด๎านวิชาการแกํภูฏานตั้งแตํปี พ.ศ. 2524 ในสาขาที่ไทยมี ศักยภาพ เชํน การแพทย๑ สาธารณสุข การศึกษา การทํองเที่ยว การเกษตร และการพัฒนาชนบท

82

เพื่อให๎ ภูฏานซึ่งเป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาน๎อยที่สุด ( LDC) สามารถยกระดับความเป็นอยูํ ของประชากรให๎ดีขึ้น - สํานักงานความรํวมมือเพื่อการพัฒนาระหวํางประเทศ ( Thailand International Development Cooperation Agency-TICA) เป็นหนํวยงานหลักที่ทําหน๎าที่ให๎ทุนการศึกษา/ ฝึกอบรมและดูงานแกํภูฏานในด๎านตําง ๆ ในชํวงปี พ.ศ. 2548-2551 ไทยได๎ประกาศการให๎ทุน ศึกษา และฝึกอบรม ในสาขาตํางๆ ตามความต๎องการของภูฏาน และสอดคล๎องกับศักยภาพของ ไทย จํานวน 181 ทุน รวมทั้งการให๎ความชํวยเหลืออื่น ๆ ตามความจําเป็น เชํน วัสดุอุปกรณ๑ ผู๎เชี่ยวชาญ และอาสาสมัครเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย๑ของภูฏาน ทั้งนี้ การให๎ ความชํวยเหลือของไทยแบํงออกเป็น 1) ความรํวมมือภายใต๎โครงการ Capacity Development ให๎แกํ Royal University of Bhutan เพื่อให๎ความชํวยเหลือในการพัฒนาศักยภาพให๎เป็นศูนย๑กลางการเรียนรู๎และการวิจัย ด๎านการเกษตร การพัฒนาชนบท และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอยํางยั่งยืน เพื่อการบรรลุ เป้าประสงค๑ Gross National Happiness ระยะเวลาดําเนินงาน 3 ปี (พ.ศ. 2551 – 2553 / ค.ศ. 2008 – 2010) วงเงินงบประมาณ 30 ล๎านบาท 2) การจัดหลักสูตรตามความต๎องการของภูฏาน อาทิ การฝึกอบรมด๎านพิธีการทูตให๎ เจ๎าหน๎าที่จากกรมพิธีการทูต กระทรวงการตํางประเทศภูฏาน การศึกษา/ดูงานด๎านรัฐสภา การ ตรากฎหมาย และการปกครองสํวนท๎องถิ่นของไทยให๎เจ๎าหน๎าที่จาก Royal Advisory Council จํานวน 3 คน 3) ทุนฝึกอบรมนานาชาติประจําปี (AITC) ในปี พ.ศ. 2551 ไทยให๎ทุนภูฏาน 24 ทุน จากจํานวน 27 หลักสูตร 4) ทุนศึกษาปริญญาโทนานาชาติ ในปี พ.ศ. 2551 ไทยให๎ทุนภูฏาน 6 ทุน 5) ทุนไตรภาคีรํวมกับแหลํงผู๎ให๎อื่น ๆ ปี พ.ศ. 2551 อนุมัติทุนให๎ภูฏาน จํานวน 6 ทุน (JICA 3 ทุน UNICEF 1 ทุน และ CPS 2 ทุน) 6) การจัดสํงอาสาสมัครไทยไปปฏิบัติงาน (Friends from Thailand) มีวัตถุประสงค๑ เพื่อสํงเสริมความสัมพันธ๑ในระดับประชาชนของไทยและภูฏาน รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของ ทรัพยากรบุคคลของไทย โดยอาสาสมัครรุํนแรกจํานวน 4 คน ได๎เดินทางไปปฏิบัติงานแล๎วเมื่อต๎น ปี พ.ศ. 2552 เป็นระยะเวลา คนละ 1 ปี ใน 4 สาขา คือ Product Development (Handicraft), IT (Web Design/Networking), Hotel Architect, และ Programme Officer (HIV/AIDS) - แนวทางการดําเนินงาน ในปี พ.ศ. 2552 คือการให๎ทุนภายใต๎กรอบความรํวมมือ ตําง ๆ ตํอไป พร๎อมทั้งกําหนดเป้าหมายการให๎ความรํวมมือที่ชัดเจน ในลักษณะ Programme

83

Approach รํวมกับหนํวยงานไทยอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานความรํวมมือใน ลักษณะ Institutional Linkage ระหวํางหนํวยงานของ 2 ประเทศ เพื่อพัฒนาบุคลากร และองค๑กร ของภูฏาน ผํานกิจกรรมตํางๆ เชํน การให๎ทุนศึกษา/ฝึกอบรม การสํงผู๎เชี่ยวชาญและอาสาสมัคร ไปปฏิบัติงาน เป็นต๎น ซึ่งจะชํวยลดความซ้ําซ๎อนของการให๎ความรํวมมือของหนํวยงานไทยแกํ ภูฏาน 1.3 การค๎าระหวํางไทยและภูฏาน - ในปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) มีปริมาณน๎อยมาก ภูฏานเป็น คูํค๎าลําดับที่ 165 ของ ไทย มีมูลคํารวม 5.91 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ ไทยสํงออก 5.83 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ และนําเข๎า 0.08 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐไทยสํงออก เครื่องจักรกลและสํวนประกอบเครื่องจักรกล เครื่องใช๎ในครัวและ บ๎านเรือน เตาอบ ไมโครเวฟและเครื่องใช๎ไฟฟ้า สายไฟฟ้า ไทยนําเข๎า ผัก ผลไม๎ และของปรุงแตํงที่ ทําจากผัก ผลไม๎ - อุปสรรคการค๎าที่สําคัญ คือ การขนสํงสินค๎าไปภูฏานถูกจํากัดเพียง 2 ทาง ได๎แกํ ทางอากาศโดยสายการบินภูฏาน ( Druk Air) ซึ่งมีขนาดเล็กและมีคําขนระวางสูง และทางเรือ ซึ่ง สํวนใหญํจะผํานทําเรือที่เมืองกัลกัตตาของอินเดียและลําเลียงตํอโดยทางบกผํานดํานเมือง Phuentshchling ซึ่งเป็นเมืองสําคัญทางการค๎าและตั้งอยูํทางตอนใต๎ของภูฏานติดกับชายแดน อินเดีย นอกจากนั้น ภูฏานมีความผูกพันทางการค๎าอยํางแนํนแฟ้นกับอินเดีย การเจาะตลาด ภูฏานที่มีขนาดเล็กจึงทําได๎ยาก อยํางไรก็ตาม สินค๎าไทยเริ่มเป็นที่นิยมของชาวภูฏานขึ้น ตามลําดับ เนื่องจากคุณภาพของสินค๎าดีกวําสินค๎าของอินเดียและราคาไมํแพง 1.4 การลงทุน - ปัจจุบันไทยและภูฏานยังไมํมีการลงทุนระหวํางกัน แตํภูฏานก็มีศักยภาพที่นักธุรกิจ ไทยสามารถไปลงทุนได๎ใน 2 สาขา คือ การกํอสร๎างและการทํองเที่ยว ภูฏานเพิ่งเปิดประเทศและ เริ่มมีการพัฒนาโครงสร๎างพื้นฐานทางเศรษฐกิจแบบสมัยใหมํเพียงไมํกี่ปีที่ผํานมา ทั้งนี้ ภูฏาน ยังคงต๎องการโครงสร๎างพื้นฐานอีกมาก อาทิ ถนน และสาธารณูปโภคตําง ๆ ซึ่งในอนาคตไทย สามารถเข๎าไปรํวมพัฒนาด๎านนี้ได๎ เชํน การสร๎างถนน การสร๎างที่ทําการของรัฐและเอกชน เป็นต๎น - ภูฏานนับวํามีศักยภาพด๎านการทํองเที่ยวอยูํมาก เนื่องจากเป็นประเทศที่มีความ สวยงามตามธรรมชาติ ซึ่งได๎รับการอนุรักษ๑ไว๎เป็นอยํางดี จึงเป็นที่สนใจของนักทํองเที่ยวจากยุโรป และอเมริกาที่นิยมการทํองเที่ยวในเชิงนิเวศวิทยา (eco-tourism) ทําให๎มีโอกาสสําหรับนักธุรกิจ ไทยที่จะเข๎าไปลงทุนในธุรกิจโรงแรม ที่พักตากอากาศขนาดกลาง ธุรกิจสปา และร๎านอาหารไทย เพื่อบริการนักทํองเที่ยวเหลํานี้ได๎ อยํางไรก็ดี รัฐบาลภูฏานมีนโยบายจํากัดจํานวนนักทํองเที่ยว ชาวตํางชาติ

84

2.สถานการณ์การเมืองภูฏาน สามารถแบํงรูปแบบการเมืองการปกครองของภูฏานออกเป็น 3 ชํวง คือ 1) สมบูรณาญาสิทธิราชย๑ โดยมีพระมหากษัตริย๑เป็นทั้งประมุขของรัฐและหัวหน๎า รัฐบาล (ปี พ.ศ. 2451 – ปี พ.ศ. 2540) 2) สมบูรณาญาสิทธิราชย๑โดยมีหัวหน๎ารัฐบาลและสภาคณะมนตรีบริหารประเทศ (ปี พ.ศ. 2541 – ปี พ.ศ. 2551) สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเก วังชุก (Jigme Singye Wangchuck) ทรงเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารราชการแผํนดินให๎มีหัวหน๎ารัฐบาลและสภาคณะมนตรีขึ้น บริหารประเทศ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสําคัญของการเมืองภูฏาน เป็นการกระจายอํานาจการ ปกครองและลดการรวมศูนย๑ไว๎ที่พระมหากษัตริย๑เพียงพระองค๑เดียว และไมํได๎ดํารงตําแหนํง หัวหน๎ารัฐบาลอีกตํอไป นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน๎ารัฐบาลคือผู๎ที่ดํารงตําแหนํงประธานสภาคณะ มนตรี ( Chairman of the Council of Ministers) ได๎รับการคัดเลือกจากสมาชิกสภาคณะมนตรี (เทียบเทําคณะรัฐมนตรี) ซึ่งมีสมาชิกจํานวน 10 คน และอยูํในตําแหนํงวาระละ 5 ปี โดยผู๎ที่ได๎รับ คะแนนเสียงมากที่สุดลําดับ 1 - 5 จะสลับหมุนเวียนกันขึ้นดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรีและ ประธานสภาคณะมนตรีวาระละ 1 ปี 3) การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย๑เป็นประมุขภายใต๎ รัฐธรรมนูญ (ตั้งแตํปี พ.ศ. 2551) - เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2548 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก (สมเด็จ พระราชาธิบดีองค๑ที่ 4) ได๎ประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองของภูฏานจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย๑ไปเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย๑เป็นประมุขภายใต๎ รัฐธรรมนูญ ตํอมาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ทรงประกาศสละราชสมบัติให๎แกํ มกุฎราชกุมารจิกมี เคเซอร๑ นัมเกล วังชุก ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ที่ 5 แหํงราชวงศ๑วังชุก ซึ่งเร็วขึ้นจากเดิม 2 ปี เนื่องจากทรงเห็นวําภูฏานอยูํในชํวงเปลี่ยนผํานระบอบการปกครองของ ประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑ไปสูํระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ดังนั้นจึงจําเป็น ที่มกุฎราชกุมารฯ จะต๎องเรียนรู๎ประสบการณ๑ที่แท๎จริงในการปกครองประเทศ และการแก๎ไข ปัญหาตําง ๆ ในฐานะพระประมุข - การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบคํอยเป็นคํอยไปของภูฏานนั้น เกิดขึ้นเนื่องจาก ภูฏานจําเป็นต๎องปรับตัวให๎สอดคล๎องกับสภาพแวดล๎อมโลกและปัญหาท๎าทายใหมํๆ เพื่อให๎ สามารถตอบสนองกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลกได๎อยํางมีประสิทธิภาพ แม๎วําชาวภูฏาน ไมํคํอยเต็มใจที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากเห็นวํา การ ปกครองแบบเดิมภายใต๎ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑ ประชาชนก็มีความสุขดีอยูํแล๎ว แตํเมื่อ

85

พระราชาธิบดีองค๑ที่ 4 ได๎ออกมาชี้แจงวํา การเปลี่ยนแปลงในชํวงที่ประเทศสงบและประชาชนมี ความสุข ยํอมจะได๎ผลดีกวําในชํวงที่ประเทศประสบปัญหา เนื่องจากจะได๎มีเวลาปรับปรุงแก๎ไขสิ่ง ตําง ๆ ด๎วยความรอบคอบ ชาวภูฏานจึงเริ่มยอมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ - รัฐธรรมนูญฉบับแรก ภูฏานได๎ประกาศใช๎รัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี พ.ศ. 2551 ซึ่ง เป็นปีที่ครบรอบ 100 ปี ของการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑ของภูฏาน รัฐธรรมนูญ กําหนดอํานาจหน๎าที่ของพระมหากษัตริย๑ และอํานาจบริหารประเทศของคณะรัฐมนตรี โดยให๎มี ระบบรัฐสภาที่มี 2 พรรคการเมืองสําคัญ - การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาและสภาผู๎แทนราษฎร เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ภูฏานได๎จัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาครั้งแรกของประเทศจํานวน 20 คน เพื่อดํารงตําแหนํง สมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีสมาชิกรวม 25 คน ( 20 คนมาจากการเลือกตั้งและอีก 5 คนมาจากการ แตํงตั้ง) เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551 ภูฏานได๎จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎรครั้ง แรกของประเทศ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท๎ายของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของภูฏาน สํงผล ให๎ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย๑ของภูฏานที่มีมาเป็นเวลา 100 ปีสิ้นสุดลง และ เปลี่ยนเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย๑เป็นประมุขภายใต๎รัฐธรรมนูญซึ่งการเลือกตั้ง ในครั้งนี้มีผู๎มาใช๎สิทธิถึงร๎อยละ 79.4 จากจํานวนผู๎มีสิทธิลงคะแนนเสียงทั้งหมด 318,465 คน - ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎรครั้งแรกของประเทศ ปรากฏวํา พรรค Bhutan United Party หรือชื่อในภาษาภูฏานวํา Druk Phuensum Tshogpa (DPT) นําโดย เลียน เชน จิกมิ วาย ทินเลย๑ (Lyonchoen Jigmi Y. Thinley) ชนะการเลือกตั้งใน 45 เขต (จากทั้งหมด 47 เขต) ด๎วยคะแนนเสียงเหนือพรรค People’s Democratic Party (PDP) สํงผลให๎พรรค DPT ชนะการเลือกตั้งอยํางเด็ดขาด ได๎เป็น ผู๎จัดตั้งรัฐบาล (แม๎แตํ เลียนโป ซังเก เงดุป (Lyonpo Sangay Ngedup) ผู๎นําพรรค PDP ก็มิได๎รับเลือกตั้ง) และพรรค PDP เป็นพรรคฝ่ายค๎าน (ภูฏาน มีพรรคการเมืองเพียง 2 พรรคเทํานั้น) - นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551 เลียนเชน จิกมิ วาย ทินเลย๑ ได๎เข๎า สาบานตนตํอสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ที่ 5 แหํงภูฏาน เพื่อรับตําแหนํงนายกรัฐมนตรีคนแรกของ ภูฏาน ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และตํอมา เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2551 คณะรัฐมนตรีภูฏาน จํานวน 10 คน ได๎สาบานตนเข๎ารับตําแหนํงเชํนกัน - เลียนเชน จิกมิ วาย ทินเลย๑ เคยดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีมหาดไทย และวัฒนธรรม และรัฐมนตรีตํางประเทศของภูฏาน และเป็นข๎าราชการที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นับ ถือของชาวภูฏาน เป็นผู๎เชี่ยวชาญด๎านทฤษฎีความสุขมวลรวมประชาชาติ หรือ Gross National

86

Happiness (GNH) ของสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ที่ 4 แหํงภูฏาน และเป็นแกนนําสําคัญในการ เผยแพรํทฤษฎี GNH โดยมีนโยบายที่จะนําหลัก GNH มาใช๎ในการบริหารประเทศ - รัฐบาลภูฏานได๎จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ที่ 5 และ งานครบรอบ 100 ปีราชวงศ๑วังชุกระหวํางวันที่ 6-8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 3. นโยบายต่างประเทศ ภูฏานมีเป้าหมายในการดําเนินนโยบายตํางประเทศ เพื่อรักษาบูรณภาพแหํงดินแดนของ ประเทศและสํงเสริมการพัฒนาประเทศ จากเป้าหมายดังกลําวภูฏานได๎ดําเนินความสัมพันธ๑กับ ประเทศตําง ๆ โดยยึดหลักนโยบาย Utilitarian Engagement โดยเลือกที่จะมีความสัมพันธ๑กับ เพียงบางประเทศที่ภูฏานเห็นวํามีความสําคัญ และให๎ประโยชน๑สูงสุดแกํชาวภูฏาน ทั้งนี้ จะเห็น ได๎จากการตั้งสถานทูตประจําในประเทศเหลํานี้ ได๎แกํ อินเดีย บังกลาเทศ คูเวต เบลเยี่ยม และ ไทย และมีคณะทูตถาวรฯ ประจําองค๑การสหประชาชาติที่นครเจนีวา และนครนิวยอร๑ก ลําสุด ภูฏานเปิดสถานกงสุลใหญํที่เมืองกัลกัตตาเพิ่มขึ้นอีก 1 แหํง - ความสัมพันธ๑กับอินเดีย ในอดีต ภูฏานให๎ความสําคัญกับอินเดียสูงสุด นโยบายตํางประเทศของภูฏานตั้งอยูํบนพื้นฐานของ สนธิสัญญาดาร๑จีลิง (Darjeeling) หรือสนธิสัญญามิตรภาพอินเดีย-ภูฏาน ปี พ.ศ. 2492 ซึ่งระบุ วํา อินเดียจะไมํแทรกแซงกิจการภายในของภูฏาน แตํภูฏานยินยอมที่จะได๎รับการชี้นําจากอินเดีย ในเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ๑กับตํางประเทศ ทั้งนี้ในทางปฏิบัติ อินเดียพยายามผูกขาดภูฏานทั้ง ด๎านเศรษฐกิจและการเมือง ดังนั้น ภูฏานจึงต๎องการเพิ่มความสัมพันธ๑ไปยังประเทศอื่น ๆ มาก ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอยํางยิ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เพื่อลดอิทธิพลของอินเดียตํอ ภูฏานลง และเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2550 สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร๑ นัมเกล วังชุก ได๎ทรงลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพอินเดีย-ภูฏาน ฉบับใหมํ ทําให๎ภูฏานมีอิสระจากอินเดียมาก ขึ้นในการดําเนินนโยบายการตํางประเทศ ความสัมพันธ๑กับจีน ภูฏานได๎ดําเนินความสัมพันธ๑ในลักษณะระแวดระวังกับจีน เนื่องจาก จีนเป็นประเทศมหาอํานาจขนาดใหญํที่มีพรมแดนติดกัน ทั้งนี้ ภูฏานได๎ใช๎นโยบายที่เรียกวํา Conflict Control and Preventive Diplomacy กับจีน เพื่อป้องกันความขัดแย๎งระหวํางกัน จีน และภูฏานมี กลไกการหารือระดับกระทรวงตํางประเทศของทั้ง 2 ประเทศเป็นประจําทุกปี ความสัมพันธ๑กับเนปาล ปัญหาผู๎อพยพภูฏานในเนปาลนับเป็นปัญหาที่สําคัญ โดยกลุํมผู๎ อพยพซึ่งมีอยูํกวํา 100,000 คน อาศัยอยูํตามชายแดนเนปาลและภูฏาน ในคํายผู๎อพยพจํานวน 7 แหํง ทั้งสองประเทศได๎เจรจากันในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 สามารถตกลงกันได๎ในบางประเด็น คือ ผู๎อพยพจํานวนกวําร๎อยละ 70 ในคํายลี้ภัย สามารถเดินทางกลับภูฏานได๎ แตํผู๎อพยพเหลํานี้ อ๎างวําได๎เดินทางออกจากภูฏานเป็นระยะเวลากวํา 10 ปีแล๎ว เนื่องจากรัฐบาลของภูฏาน (ในขณะ

87

นั้น) ซึ่งประกอบด๎วยชนเผํา Drukpa ได๎ขับไลํชนกลุํมน๎อยชาว Lothsampa ออกจากประเทศ โดย อ๎างวําเป็นพวกเข๎าเมืองโดยผิดกฎหมาย ความสัมพันธ๑พหุภาคี ภูฏานให๎ความสําคัญกับองค๑การสหประชาชาติ ( United Nations) โดยเห็นวําการเข๎าเป็นสมาชิก UN (เดือนกันยายน พ.ศ. 2514) ทําให๎ภูฏานมีความสัมพันธ๑กับ นานาประเทศและองค๑การระหวํางประเทศได๎โดยมิต๎องมีการจัดตั้งสถานทูตในประเทศตํางๆ ทั่ว โลก ซึ่งทําให๎สามารถใช๎ทรัพยากรที่มีอยูํอยํางจํากัดให๎เป็นประโยชน๑มากที่สุด รวมทั้งยังสามารถ เรียนรู๎ประสบการณ๑ของประเทศตําง ๆ โดยผํานการชํวยเหลือจากนานาประเทศและองค๑การ ระหวํางประเทศในเรื่องที่เป็นความต๎องการของภูฏานได๎ด๎วย โดยเฉพาะในด๎านของการพัฒนา ภูฏานยังเป็นสมาชิกองค๑การไมํฝักใฝ่ฝ่ายใด Non-Aligned Movement (NAM) เพื่อเป็นการ ประกาศจุดยืนด๎านความเป็นกลาง และเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติไว๎ สมาคมความ รํวมมือแหํงภูมิภาคเอเชียใต๎ South Asian Association for Regional Cooperation (SAARC) และBay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation (BIMSTEC) และ Asia Cooperation Dialogue (ACD) เพื่อขยายบทบาทและ ความรํวมมือของ ภูฏานในทวีปเอเชียให๎กว๎างขวางยิ่งขึ้น ในกรอบความรํวมมือ BIMSTEC ภูฏานเข๎าเป็นประเทศนํา (lead country) ในสาขาความรํวมมือด๎านวัฒนธรรม 4. สภาพเศรษฐกิจของภูฏาน ภาคเกษตร ประชากรร๎อยละ 90 มีอาชีพทางการเกษตรและป่าไม๎ โดยการเพาะปลูกและ การเลี้ยงสัตว๑ในหุบเขา เศรษฐกิจของภูฏานขึ้นอยูํกับภาคการเกษตรและป่าไม๎ คิดเป็นร๎อยละ 33.2 ของ GDP โดยสินค๎าเกษตรที่สําคัญ ได๎แกํ ข๎าว ข๎าวโพด ส๎ม แอปเปิ้ล ธัญพืช และผลิตภัณฑ๑ จากนม - ภาคอุตสาหกรรม มีขนาดเล็กมาก มีโรงงานอุตสาหกรรมจํานวนน๎อย และมีเทคโนโลยี คํอนข๎างล๎าหลัง อุตสาหกรรมที่สําคัญของภูฏาน ได๎แกํ ซีเมนต๑ ผลิตภัณฑ๑ไม๎ ผลไม๎แปรรูป เครื่องดื่มแอลกอฮอล๑ และแคลเซียมคาร๑ไบด๑ อยํางไรก็ดี ภาคอุตสาหกรรมและบริการของภูฏานมี การเติบโตมากขึ้นกวําภาคการเกษตร ในปี พ.ศ. 2550 ภาคอุตสาหกรรมมีการเติบโตร๎อยละ10.4 และภาคบริการมีการเติบโตร๎อยละ 5.7 ในขณะที่ภาคการเกษตรมีการเติบโตร๎อยละ 2.5 สํวนการ พัฒนาระบบสาธารณูปโภคตํางๆ ในประเทศดําเนินไปคํอนข๎างช๎า และแทบทั้งหมดต๎องอาศัย แรงงานที่อพยพมาจากอินเดีย ภูฏานเป็นประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่คํอนข๎างมั่นคง และมีดุลการชําระเงินดีแตํภูฏา นต๎องพึ่งพิงเงินชํวยเหลือจากตํางประเทศเป็นจํานวนมหาศาล ประมาณร๎อยละ 33 ของ GDP เศรษฐกิจของภูฏานยังคงมีความผูกพันกับอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู๎ให๎เงินชํวยเหลือแบบให๎เปลํา และเงินกู๎แกํภูฏานอยูํมาก ขณะนี้ ภูฏานอยูํระหวํางการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในลักษณะคํอยเป็น

88

คํอยไป ด๎วยความชํวยเหลือจากธนาคารโลก กองทุนการเงินระหวํางประเทศ และประเทศผู๎ให๎ ความชํวยเหลือจากตะวันตกและญี่ปุ่น รายได๎สําคัญของภูฏานมาจากการสํงออกกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ําไปขายให๎แกํ อินเดีย ในชํวงแผนพัฒนา (5 ปี) ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2541-2546) รัฐบาลภูฏานได๎สร๎างเขื่อนขึ้นใหมํอีก 3 แหํง คือ เขื่อนคูริชู ( Kurichhu) เขื่อนบาโชชู (Bashochhu) และเขื่อนทาลา (Tala) ทําให๎สามารถผลิต กระแสไฟฟ้ารวมกันได๎เป็นปริมาณถึง 1,125.8 เมกกะวัตต๑ ซึ่งจะชํวยเพิ่มรายได๎สําหรับนําไปใช๎ พัฒนาประเทศตํอไป ภูฏานเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเก็บภาษีน๎อยที่สุด รายได๎จากการเรียกเก็บภาษีคิดเป็น เพียงร๎อยละ 0.3 ของรายได๎รัฐบาล และภาษีจากภาคธุรกิจคิดเป็นร๎อยละ 3 เทํานั้น สํวนรายได๎ที่ เหลือเป็นรายได๎จากการขายกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ําให๎แกํอินเดีย เงินปันผล คําภาคหลวง ภาษี สรรพสามิต และรายได๎จากสาธารณูปโภค ขณะนี้ภูฏานอยูํภายใต๎แผนพัฒนาประเทศ ( 5 ปี) ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2551 - 2556) ซึ่งมี เป้าหมายสําคัญเพื่อยกระดับความเป็นอยูํของประชาชนให๎ดีขึ้น โดยให๎ความสําคัญอยํางยิ่งใน ด๎านการศึกษา สาธารณสุข การเกษตร โครงสร๎างพื้นฐาน และการอนุรักษ๑สิ่งแวดล๎อม 5. สภาพสังคมของภูฏาน สังคมของภูฏานเป็นสังคมเกษตรกรรมที่เรียบงําย ประชาชนดําเนินชีวิตตามวิถีทางพุทธ ศาสนานิกายมหายาน และยังคงไว๎ซึ่งวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีมาช๎านาน ทั้งนี้ สํวน หนึ่งนั้นมาจากพระราโชบายของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก (สมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ ที่ 4) พระราชบิดาของสมเด็จพระราชาธิบดีองค๑ปัจจุบันที่ต๎องการให๎ภูฏานอนุรักษ๑วัฒนธรรม ประเพณีของตนไว๎ เชํน การสํงเสริมให๎ประชาชนภูฏานใสํชุดประจําชาติ การอนุรักษ๑ภาษาท๎องถิ่น และสถาปัตยกรรมแบบภูฏาน ทั้งนี้ แม๎จะมีนโยบายเปิดประเทศแตํภูฏานก็สามารถอนุรักษ๑จารีต ทางสังคมไว๎ได๎ สถาบันกษัตริย๑ยังคงเป็นศูนย๑รวมจิตใจของชาวภูฏาน โดยเฉพาะสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก เป็นที่เคารพรักของประชาชนมาก เพราะนอกจากจะเป็นกษัตริย๑นักพัฒนาแล๎วความ เป็นกันเองของพระองค๑ในการเสด็จเยี่ยมราษฎรและการเข๎าถึงประชาชน ทําให๎พระองค๑ทรงเป็น “กษัตริย๑ของประชาชน” อาจกลําวได๎วําพระองค๑ทรงเป็นบุคคลสําคัญในการปลี่ยนแปลงภูฏานให๎ เป็นสังคมสมัยใหมํแบบคํอยเป็นคํอยไป โดยทรงใช๎หลัก “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross National Happiness – GNH) แทนการวัดการพัฒนาจากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ 6. ทฤษฎีความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness – GNH)

89

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ทรงริเริ่มปรัชญาในการพัฒนาประเทศที่เรียกวํา “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” โดยความคิดดังกลําวเน๎นการพัฒนาเพื่อให๎ประชาชนมีความสุข และความพึงพอใจมากกวําวัดการพัฒนาด๎วยผลิตภัณฑ๑มวลรวมประชาชาติ ทั้งนี้ พระองค๑ได๎ ข๎อสรุปจากบทเรียนความผิดพลาดในการพัฒนาของโลกในรอบ 50 ปีที่ผํานมา และเห็นวํา ประเทศจํานวนมากเข๎าใจวําการพัฒนา คือ การแสวงหาความสําเร็จทางวัตถุเพียงอยํางเดียว ซึ่ง ประเทศเหลํานี้ได๎แลกความสําเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจกับการสูญเสียวัฒนธรรม สิ่งแวดล๎อมที่ ดีทางธรรมชาติ และเอกลักษณ๑ของชาติ ซึ่งหลายประเทศได๎พิสูจน๑แล๎ววําประชาชนไมํได๎มี ความสุขที่แท๎จริง อยํางไรก็ตาม ทฤษฎีความสุขมวลรวมประชาชาติก็มิได๎ปฏิเสธการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แตํ การพัฒนาด๎านตํางๆ จะต๎องสมดุลกัน โดยรัฐบาลภูฏานได๎พยายามสร๎างสิ่งแวดล๎อมที่จะทําให๎ ประชาชนรทั้ง 4 ได๎ถูกบรรจุอยูํในนโยบายและแผนงานของรัฐบาลทุกด๎าน ในทางปฏิบัติ ภูฏานได๎บรรจุแนวคิดนี้ให๎อยูํในแผนพัฒสามารถแสวงหาและได๎รับความสุข โดยยึดหลักแนวคิดดังกลําวเป็นพื้นฐานเพื่อให๎สามารถรับมือกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงและ ตอบสนองตํอสิ่งท๎าทายของโลก โดยมีหลักสําคัญ 4 ประการ ได๎แกํ 1) การพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมอยํางยั่งยืน 2) การอนุรักษ๑สิ่งแวดล๎อม 3) การสํงเสริมวัฒนธรรม และ 4) ธรรมรัฐ ซึ่ง หลักการนี้ได๎ถูกบรรจุไว๎ในแผนพัฒนาประเทศระยะ 5 ปี ตั้งแตํปี พ.ศ. 2542 (แผนพัฒนาประเทศ (5 ปี) ฉบับที่ 1 เริ่มดําเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2504) โดยเน๎นการพัฒนาในทุกสาขาของสังคมอยําง รอบด๎านโดยเฉพาะอยํางยิ่งการให๎ความสําคัญด๎านสาธารณสุข การศึกษา โครงสร๎างพื้นฐาน การ ขจัดปัญหา สังคมและความยากจน พร๎อมกับการอนุรักษ๑สิ่งแวดล๎อมและวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมทั้ง สถาบันพระมหากษัตริย๑ โดยทั้งหมดจะดํารงอยูํด๎วยกันในลักษณะกลมกลืนตามหลักพุทธศาสนา มหายาน 7. ความตกลงที่ส าคัญๆ กับไทย 7.1 กระทรวงสาธารณสุขไทยและภูฏาน ได๎ลงนามในบันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความ รํวมมือในการพัฒนาด๎านสุขอนามัยระหวํางกัน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2530 7.2 ไทยและภูฏาน ได๎จัดทําความตกลงวําด๎วยบริการเดินอากาศระหวํางกัน เมื่อ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2536 7.3 ไทยและภูฏาน ได๎จัดทําความตกลงวําด๎วยความรํวมมือด๎านการเกษตรระหวําง กัน เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2545

90

7.4 ไทยและภูฏาน ได๎จัดทําความตกลงยกเว๎นการตรวจลงตราสําหรับหนังสือ เดินทางทูตและราชการ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 7.5 ไทยและภูฏาน ได๎จัดทําความตกลงวําด๎วยกรอบความรํวมมือที่ครอบคลุมทุก ด๎าน เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 7.6 ไทยและภูฏาน ได๎ลงนามบันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือด๎านวัฒนธรรม เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548 7.7 ไทยและภูฏาน ได๎ลงนามพิธีสารเพิ่มเติมความตกลงวําด๎วยกรอบความรํวมมือที่ ครอบคลุมทุกด๎านเพื่อเพิ่มความรํวมมือด๎านการพัฒนาโครงสร๎างพื้นฐานของถนน มีผลใช๎บังคับ เมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2551 8. การเยือนที่ส าคัญ 8.1 ฝ่ายไทย พระราชวงศ์ สมเด็จพระเจ๎าพี่นางเธอ เจ๎าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร๑ เสด็จ ฯ เยือนภูฏาน ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2531 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เยือนภูฏาน ในเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2534 สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนภูฏาน ระหวํางวันที่ 18-27 มิถุนายน พ.ศ. 2550 รัฐบาล ร.ต.ประพาส ลิมปะพันธุ๑ รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนภูฏาน เพื่อสถาปนาความสัมพันธ๑ทางการทูตในเดือนพฤศจิกายน 2532 นายสรจักร เกษมสุวรรณ ผู๎ชํวยรัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนภูฏาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2547 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยือนภูฏานอยํางเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 – 5 มิถุนายน พ.ศ. 2548 นายแพทย๑มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีวําการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางเยือนภูฏาน เมื่อวันที่ 8 - 11 มีนาคม พ.ศ. 2550 นายอภัย จันทนจุลกะ รัฐมนตรีวําการกระทรวงแรงงาน เดินทางเยือนภูฏาน เมื่อวันที่ 25-29 กันยายน พ.ศ. 2550 8.2 ฝ่ายภูฏาน

91

พระราชวงศ์ สมเด็จพระราชาธิบดีแหํงภูฏาน จิกมี เคเซอร๑ นัมเกล วังชุก - เดือนมีนาคม พ.ศ. 2546 เสด็จฯ เยือนประเทศไทยเป็นการสํวนพระองค๑เพื่อ ทอดพระเนตรโครงการหลวงที่จังหวัดเชียงใหมํ (เมื่อครั้งยังทรงดํารงพระยศมกุฎราชกุมาร) - วันที่ 11-20 มิถุนายน พ.ศ. 2549 เสด็จฯ เยือนประเทศไทยอยํางเป็นทางการ เพื่อ ทรงรํวมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี (เมื่อครั้งยังทรงดํารงพระยศมกุฎราชกุมาร) - วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 เสด็จฯ เยือนงานพืชสวนโลก จังหวัดเชียงใหมํ เมื่อ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2549 รับพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ําจากสมเด็จพระเจ๎าลูกเธอเจ๎า ฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี และเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 เข๎ารํวมพิธีถวาย ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร๑ ของมหาวิทยาลัยรังสิต (เมื่อครั้งยังทรงดํารงพระยศมกุฎราชกุมาร) รัฐบาล เลียนโป ดาวา เชอริ่ง (Lyonpo Dawa Tsering) รัฐมนตรีวําการกระทรวงการ ตํางประเทศ ภูฏานเยือนประเทศไทย เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2532 เลียนโป จิกมี โยวเซอ ทินเลย๑ (Lyonpo Jigmi Yoeser Thinley) นายกรัฐมนตรี เยือน ประเทศไทยอยํางเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการตํางประเทศ เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2541 เลียนโป จิกมี โยวเซอ ทินเลย๑ ( Lyonpo Jigmi Yoeser Thinley) รัฐมนตรีวําการ กระทรวงการตํางประเทศ เยือนประเทศไทยอยํางเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการ ตํางประเทศและได๎รับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให๎นําคณะเข๎าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระ เจ๎าอยูํหัว ในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 เลียนโป จิกมี โยวเซอ ทินเลย๑ (Lyonpo Jigmi Yoeser Thinley) นายกรัฐมนตรี และ เลียนโป กานดุ วังชุก (Lyonpo Khandu Wangchuck) รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนประเทศไทยเพื่อเข๎ารํวมการประชุมสุดยอด BIMSTEC ครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพฯ เมื่อ วันที่ 29 – 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 เลียนโป วังดิ นอร๑บุ ( Lyonpo Wangdi Norbu) รัฐมนตรีวําการกระทรวงการคลัง เยือนไทยเพื่อเชิญผู๎แทนไทยเข๎ารํวมการประชุม RTM for Bhutan รอบที่ 9 ณ นครเจนีวา ระหวําง วันที่ 16 - 18 มกราคม พ.ศ. 2549 เลียนโป คินซาง ดอร๑จิ ( Lyonpo Kinzang Dorji) รักษาการนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีวําการกระทรวง Works and Human Settlement เยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวง

92

การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย๑ เพื่อกลําวเปิดการประชุม The 3rd International Conference on Gross National Happiness ที่กรุงเทพฯ ระหวํางวันที่ 25-27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ดาโช เพ็นจอร๑ ( Dasho Penjore) เลขาธิการพระราชวัง เยือนไทยในฐานะแขกของ สถานเอกอัคราชทูต ณ กรุงธากา เพื่อเยี่ยมชมและดูงานโครงการหลวงตํางๆ ระหวํางวันที่ 4 – 12 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เลียนเชน จิกมิ วาย ทินเลย๑ (Lyonchoen Jigmi Y. Thinley) นายกรัฐมนตรี เข๎าถวาย พวงมาลาหน๎าพระศพสมเด็จพระเจ๎าพี่นางเธอ เจ๎าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราช นครินทร๑ เมื่อวันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551 ระหวํางการแวะพักเปลี่ยนเครื่องบินที่ไทยเพื่อ เดินทางไปรํวมการประชุมสมัชชาใหญํ สหประชาชาติ เลียนโป ชางกับ ดอร๑จี (Lyonpo Chenkyab Dorji) ประธานสภาองคมนตรี เยือนไทย เพื่อเข๎าเยี่ยมคารวะพลเอกเปรม ติณสูลานนท๑ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เข๎าเฝ้าหมํอมเจ๎าภีศ เดช รัชนี และเยี่ยมชมโครงการหลวงที่จังหวัดเชียงใหมํ และเข๎าพบหารือกับรัฐมนตรีวําการ กระทรวงการตํางประเทศ ระหวํางวันที่ 22 เมษายน – 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

93

ภาคผนวก ค สาธารณรัฐอินเดีย

94

สาธารณรัฐอินเดีย1 (Republic of India)

ข้อมูลทั่วไปที่ตั้ง ตั้งอยูํในภูมิภาคเอเชียใต๎ ทิศเหนือติดกับจีน เนปาล และ ภูฏาน ทิศ ตะวันตกเฉียงเหนือติดกับปากีสถาน ทิศตะวันออกติดบังกลาเทศ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดพมํา ทิศตะวันตกเฉียงใต๎และตะวันออกเฉียงใต๎ติดมหาสมุทรอินเดีย พื้นที่ 3,287,590 ตารางกิโลเมตร ใหญํเป็นอันดับ 7 ของโลก เมืองหลวง กรุงนิวเดลี (New Delhi) เมืองส าคัญ 1. มุมไบ เป็นศูนย๑กลางทางการค๎า การเงิน และการคมนาคม เป็นเมืองทําสําคัญ และเป็น แหลํงผลิตภาพยนตร๑ฮินดีที่ใหญํที่สุด 2. บังกาลอร๑ เป็นเมืองศูนย๑กลางของอุตสาหกรรมที่ใช๎เทคโนโลยีชั้นสูง โดยเฉพาะด๎าน เทคโนโลยีสารสนเทศ อิเล็กทรอนิกส๑ การบิน และอวกาศ 3. เจนไน เป็นศูนย๑กลางธุรกิจในภาคใต๎ของอินเดีย อุตสาหกรรมหลัก คือ อุตสาหกรรม รถยนต๑ 4. กัลกัตตา เป็นเมืองหลวงเกําของอินเดีย และเป็นเมืองใหญํอันดับ 2 ภูมิอากาศ มีสภาพภูมิอากาศแตกตํางกันอยํางมากเนื่องจากมีพื้นที่กว๎างใหญํ ตอนเหนือ อยูํในเขตหนาว ขณะที่ตอนใต๎อยูํในเขตร๎อน อุณหภูมิเฉลี่ยในที่ราบชํวงฤดูร๎อน ประมาณ 35 องศาเซลเซียส และฤดูหนาว ประมาณ 10 องศาเซลเซียส ประชากร 1.13 พันล๎านคน มากเป็นอันดับ 2 ของโลก เชื้อชาติ อินโด-อารยัน ร๎อยละ 72 ดราวิเดียน ร๎อยละ 25 มองโกลอยด๑และอื่นๆ ร๎อยละ 3 ภาษา ภาษาฮินดีเป็นภาษาของชาติที่ใช๎โดยประชาชนสํวนใหญํ (ร๎อยละ 30) ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาที่ใช๎ในวงราชการและธุรกิจ นอกจากนั้นยังมีภาษาทางการที่ใช๎กันมากอีก 14 ภาษา อาทิ อูรดู เตลูกู เบงกาลี ทมิฬ ปัญจาบี และยังมีภาษาท๎องถิ่นอีกนับร๎อยภาษา ศาสนา ฮินดู ร๎อยละ 81.3 มุสลิมร๎อยละ 12 คริสต๑ร๎อยละ 2.3 ซิกข๑ร๎อยละ 1.9 อื่น ๆ (พุทธ และเชน) ร๎อยละ 2.5 วันส าคัญ วันชาติ ( Republic Day) วันที่ 26 มกราคม วันเอกราช (Independence Day) วันที่ 15 สิงหาคม

1 กองเอเชียใต๎ กรมเอเชียใต๎ ตะวันออกกลางและแอฟริกา. 2552. สาธารณรัฐอินเดีย. ค๎น เมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=125

95

การศึกษา อัตราการรู๎หนังสือโดยเฉลี่ยร๎อยละ 64.8 ระบอบการเมือง ประชาธิปไตยระบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) ระบบการปกครอง สาธารณรัฐ (Federal Republic) แบํงเป็น 28 รัฐ และดินแดนสหภาพ (Union Territories) อีก 7 เขต ประธานาธิบดี นางประติภา ปาทิล (H.E. Mrs. Pratibha Devisingh Patil) นายกรัฐมนตรี ดร. มานโมฮัน ซิงห๑ (H.E. Dr. Manmohan Singh) รมว กต นายเอ็ส เอ็ม กฤษณะ(H.E. Mr. S.M. Krishna)

การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร๑โดยสังเขป: อินเดียมีประวัติศาสตร๑อันยาวนาน เมื่อประมาณ 1,500 ปีกํอนคริสต๑กาล ชาวดราวิเดียน (Dravidian) และชาวอารยัน (Aryan) ได๎เข๎ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดีย โดยได๎สร๎างอารยธรรมอันเป็น พื้นฐานของอารยธรรมฮินดูที่มีความคงทนตํอเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ เชํน ศาสนาฮินดู ภาษา สันสกฤต และระบบชั้นวรรณะ อารยธรรมอารยันหรือฮินดูรุํงเรืองมาจนถึงราวคริสต๑ศตวรรษที่ 12 (แตํมีระยะหนึ่งที่อารยธรรมพุทธรุํงเรืองในอินเดีย คือ ตั้งแตํพุทธกาลถึงราว 3 ศตวรรษกํอน คริสต๑ศักราชในสมัยพระเจ๎าอโศกมหาราช) ตํอมา อารยธรรมอิสลามได๎เริ่มขยายอิทธิพลเข๎ามาใน อินเดียตั้งแตํคริสต๑ศตวรรษที่ 8 โดยพํอค๎ามุสลิมจากตะวันออกกลาง และจักรวรรดิอาหรับได๎สํง กองทัพมาโจมตีแคว๎นซินด๑ (ปัจจุบันอยูํในปากีสถาน) จักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญํในสมัยนั้น คือ จักรวรรดิโมกุล ในคริสต๑ศตวรรษที่ 16-18 ซึ่งเป็นสมัยที่มีการแพรํขยายอิทธิพลวัฒนธรรมโมกุล อยํางกว๎างขวาง ทั้งในด๎านการปกครอง ภาษา ศิลปะ สถาปัตยกรรม และศาสนาอิสลาม อยํางไร ก็ดี ในสมัยของพระเจ๎าออรังเซ็บ ( Aurangzeb) ซึ่งเป็นผู๎เครํงศาสนาอิสลาม ได๎ออกกฎหมายที่ กํอให๎เกิดความขัดแย๎งระหวํางชาวฮินดูและมุสลิม และเป็นเหตุให๎ชาวอินเดียตํอต๎านอํานาจของ จักรวรรดิ เมื่อสิ้นอํานาจของพระเจ๎าออรังเซ็บในปี พ.ศ. 2250 จักรวรรดิโมกุลก็คํอยๆ แตกแยก และเสื่อมลง เป็นโอกาสให๎อังกฤษเข๎ามามีอํานาจแทนที่อังกฤษเริ่มเข๎าไปมีอิทธิพลในอนุทวีป ตั้งแตํคริสต๑ศตวรรษที่ 17 เพื่อค๎าขายพร๎อม ๆ กับครอบครองดินแดนและแทรกแซงในการเมือง ท๎องถิ่น จนกระทั่งอินเดียตกอยูํภายใต๎การปกครองของอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2420 โดยมีสมเด็จพระ ราชินีวิคตอเรียแหํงอังกฤษทรงดํารงตําแหนํงสมเด็จพระเจ๎าจักรพรรดินีแหํงอินเดีย หลังจากการ รณรงค๑ตํอสู๎กับการปกครองของอังกฤษมาเป็นเวลานาน ภายใต๎การนําของมหาตมะ คานธี อินเดียจึงได๎รับเอกราชและรํวมเป็นสมาชิกอยูํภายใต๎เครือจักรภพ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2490 โดยยังมีพระมหากษัตริย๑ของอังกฤษเป็นประมุข ซึ่งทรงแตํงตั้งข๎าหลวงใหญํเป็นผู๎สําเร็จ

96

ราชการแผํนดินแทนพระองค๑ ตํอมาในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2493 ได๎มีการสถาปนาสาธารณรัฐ อินเดีย โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ และนายเยาวาหะราล เนห๑รู ( Jawaharlal Nehru) ดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียในชํวงหลังจากได๎รับเอกราช อินเดียมีข๎อพิพาทกับ ตํางประเทศหลายกรณี อาทิ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2504 กองทัพอินเดียเข๎ายึดครองดินแดน อาณานิคมของโปรตุเกส ได๎แกํ กัว ดามัน และดิว ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2505 มีข๎อพิพาทกับจีน เรื่องพรมแดน ซึ่งนําไปสูํการทําสงคราม นอกจากนี้ อินเดียยังมีสงครามกับปากีสถานถึง 3 ครั้ง คือ ในปี พ.ศ. 2490 และ พ.ศ. 2508 โดยมีสาเหตุจากปัญหาความขัดแย๎งเหนือดินแดนแคว๎นจัมมู และแคชเมียร๑ และในปี พ.ศ. 2514 อินเดียชํวยบังกลาเทศทําสงครามกับปากีสถาน และได๎รับชัย ชนะ ทําให๎เกิดการแบํงแยกบังกลาเทศเป็นอิสระจากปากีสถาน การเมืองการปกครอง 1.อ านาจการบริหารส่วยชนกลาง รัฐบาลกลางดําเนินการเรื่องการป้องกันประเทศ การ ตํางประเทศ การรถไฟ การบิน และ การคมนาคมอื่นๆ ด๎านการเงิน กฎหมายอาญา ฯลฯ ฝ่ายนิติ บัญญัติ ประกอบด๎วย 2 สภา คือ ราชยสภา ( Rajya Sabha) หรือวุฒิสภา และโลกสภา ( Lok Sabha) หรือสภาผู๎แทนราษฎร การตรากฎหมายตํางๆ จะต๎องได๎รับความเห็นชอบจากทั้งสองสภา รัฐธรรมนูญบัญญัติให๎ราชยสภามีสมาชิก 250 คน ปัจจุบันมีสมาชิก 245 คน โดย 12 คน เป็น ผู๎ทรงคุณวุฒิในสาขาตํางๆ ที่ได๎รับการแตํงตั้งจากประธานาธิบดีทุกๆ 2 ปี และอีก 233 คน มาจาก การเลือกตั้งทางอ๎อมโดยสภานิติบัญญัติแหํงรัฐ ( Legislative Assemply) หรือวิธานสภา เป็นผู๎ เลือก ถือเป็นผู๎แทนของรัฐและดินแดนสหภาพ โลกสภามีสมาชิก 545 คน โดย 543 คน มาจาก การเลือกตั้งโดยตรง (530 คน มาจากแตํละรัฐ 13 คน มาจากดินแดนสหภาพ) และอีก 2 คน มา จากการคัดเลือกของประธานาธิบดีจากชุมชนชาวผิวขาว (Anglo-Community) ในประเทศ สมาชิกโลกสภามีวาระคราวละ 5 ปี เว๎นเสียแตํจะมีการยุบสภาฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดี เป็น ประมุขของรัฐ และเป็นหัวหน๎าคณะผู๎บริหาร ( Head of Executives of the Union) ซึ่ง ประกอบด๎วยรองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล ประธานาธิบดีได๎รับการเลือกตั้ง ทางอ๎อมจากผู๎แทนของทั้ง 2 สภา รวมทั้งสภานิติบัญญัติของแตํละรัฐ ดํารงตําแหนํงคราวละ 5 ปี และสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวาระที่ 2 ได๎ รองประธานาธิบดี ได๎รับการเลือกตั้งทางอ๎อม จากผู๎แทนของทั้ง 2 สภา ดํารงตําแหนํงคราวละ 5 ปี และเป็นประธานราชยสภาโดยตําแหนํง นายกรัฐมนตรี เป็นผู๎ที่มีอํานาจในการบริหารอยํางแท๎จริง ดํารงตําแหนํงคราวละ 5 ปี ได๎รับการ แตํงตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี เป็นหัวหน๎าคณะรัฐมนตรี ( Council of Ministers) ซึ่งได๎รับการ แตํงตั้งโดยประธานาธิบดี โดยการเสนอแนะของนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีประกอบด๎วย รัฐมนตรี ( Ministers) รัฐมนตรีที่ขึ้นตรงตํอนายกรัฐมนตรี (Ministers of State - Independent

97

Charge) และรัฐมนตรีชํวยวําการ (Ministers of State) คณะรัฐมนตรีรายงานโดยตรงตํอโลกสภา ฝ่ายตุลาการ อํานาจตุลาการเป็นอํานาจอิสระ ไมํขึ้นกับฝ่ายบริหาร มีหน๎าที่ปกป้องและตีความ รัฐธรรมนูญ ศาลฎีกา (Supreme Court) เป็นศาลสูงสุดของประเทศ ผู๎พิพากษาประจําศาลฎีกา มี จํานวนไมํเกิน 25 คน แตํงตั้งโดยประธานาธิบดี ในระดับรัฐ มีศาลสูง ( High Court) ของตนเอง เป็นศาลสูงสุดของแตํละรัฐ รองลงมาเป็นศาลยํอย (Subordinate Courts) ซึ่งแตกตํางกันไปในแตํ ละรัฐ 2.อ านาจบริหารรัฐ รัฐธรรมนูญอินเดียแบํงแยกอํานาจระหวํางรัฐบาลกลาง (Government of India) และรัฐบาลมลรัฐ ( State Government) อยํางชัดเจน รัฐบาลมลรัฐมี อํานาจในการรักษาความสงบเรียบร๎อยและรักษากฎหมาย การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรมของมลรัฐ โครงสร๎างของฝ่ายบริหารในแตํละมลรัฐ ประกอบด๎วย ผู๎วําการรัฐ (Governor) เป็นประมุขของรัฐ ได๎รับการแตํงตั้งโดยตรงจากประธานาธิบดี (ตามข๎อเสนอแนะของ พรรคการเมืองที่เป็นพรรครัฐบาล) มีอํานาจหน๎าที่ในการแตํงตั้งถอดถอนมุขมนตรีและ คณะรัฐมนตรีประจํารัฐ แตํงตั้งอัยการประจํารัฐ เรียกประชุมและยุบสภานิติบัญญัติแหํงรัฐ ให๎ ความเห็นชอบและยับยั้งรํางกฎหมายของรัฐ มีอํานาจลดโทษและให๎อภัยโทษ รัฐบาลแหํงรัฐ (State Government) ประกอบด๎วยมุขมนตรี ( Chief Minister) เป็นหัวหน๎าและเป็นผู๎ใช๎อํานาจ บริหารภายในรัฐ และคณะรัฐมนตรีประจํารัฐ ( State Ministers) ทั้งนี้ รัฐบาลแหํงรัฐจะมาจาก พรรคการเมืองที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งภายในรัฐ หรือได๎รับการแตํงตั้งจาก สภานิติบัญญัติแหํงรัฐ

เศรษฐกิจการค้า ข้อมูลเศรษฐกิจ (ปี พ.ศ. 2551) หน่วยเงินตรา : รูปี (1 รูปี ประมาณ 0.75 บาท) GDP : 1,237 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ (ปี พ.ศ. 2551) รายได้เฉลี่ยต่อหัว : 2,900 ดอลลาร๑สหรัฐ (ปี พ.ศ. 2551) อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ : ร๎อยละ 6.1 (ปี พ.ศ. 2551) มูลค่าการค้าไทย-อินเดีย 6,019.69 ล๎าน พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายได๎ ดุลการค๎า 783.18 ล๎าน USD (ปี พ.ศ. 2551) มูลค่าการลงทุน อินเดียลงทุนตามโครงการที่ได๎รับการอนุมัติจากสํานักงานคณะกรรมการ สํงเสริมการลงทุน (BOI) ปี พ.ศ. 2551 มูลคําประมาณ 282.10 ล๎าน USD และเดือนมกราคม- กรกฎาคม พ.ศ. 2552 มูลคําประมาณ 19.17 ล๎าน USD อาทิ บริษัท Tata Steel (ซื้อกิจการบริษัท

98

Millennium Steel) บริษัท Tata Motors (รํวมทุนกับบริษัทธนบุรีประกอบรถยนต๑ผลิตรถปิกอัพ และมีแผนผลิตรถยนต๑แบบประหยัด) บริษัท Indorama (ผลิตภัณฑ๑พลาสติก) และบริษัท Dabur Pharma (ผลิตยาต๎านโรคมะเร็ง สินค้าส่งออกของไทย เม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล๎าและผลิตภัณฑ๑ รถยนต๑และอุปกรณ๑ เครื่องคอมพิวเตอร๑และอุปกรณ๑ อัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าน าเข้าจากอินเดีย เครื่องเพชรพลอย สินแรํโลหะอื่นๆ พืชและผลิตภัณฑ๑จากพืช เคมีภัณฑ๑ เหล็กและเหล็กกล๎า ทุนส ารองเงินตราต่างประเทศ : 250 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ (ปี พ.ศ. 2551) อัตราเงินเฟ้อ : ร๎อยละ 12 (กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2551) อัตราการว่างงาน : ร๎อยละ 7.8 (ปี พ.ศ. 2551) สินค้าส่งออก : ผลิตภัณฑ๑ปิโตเลียม อัญมณีและเครื่องประดับ เสื้อผ๎าสําเร็จรูป สินค้าน าเข้า : น้ํามันดิบ เครื่องจักร อัญมณี ปุ๋ย เคมีภัณฑ๑ ตลาดน าเข้า :จีน สหรัฐฯ เยอรมนี สิงคโปร๑ ตลาดส่งออก : สหรัฐฯ จีน UAE สหราชอาณาจักร นโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน 1) อนุรักษ๑ ปกป้อง และสํงเสริมความสมัครสมานสามัคคี และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของสังคม 2) ทําให๎อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อยูํในระดับร๎อยละ 7-8 อยํางมีเสถียรภาพ 3) สํงเสริมสวัสดิการและความอยูํดีกินดีของเกษตรกร และแรงงาน4) สํงเสริมการมีวินัยทาง การเงินและการลงทุน 4) สํงเสริมบทบาทของสตรี ทั้งในด๎านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา และกฎหมาย 5) ให๎โอกาสอยํางเทําเทียม โดยเฉพาะการศึกษาและการจ๎างงาน แกํชาวอินเดียวรรณะต่ํา และชนกลุํมน๎อย 6) สํงเสริมบทบาทภาคเอกชน นักวิทยาศาสตร๑ วิศวกรรม และวิชาชีพอื่นๆ ซึ่งจะเป็นพลัง ขับเคลื่อนที่สําคัญของสังคมรัฐบาลได๎ให๎คํามั่นที่จะสานตํอการปฏิรูปเศรษฐกิจตํอเนื่องจาก รัฐบาลชุดที่แล๎ว โดยปฏิรูปการบริหารราชการควบคูํไปเพื่อให๎เกิดความโปรํงใสในการดําเนินงาน และเพื่อให๎ผลประโยชน๑ตกถึงประชาชนที่ยากจนในชนบทหํางไกลอยํางแท๎จริง การจัดสรร งบประมาณด๎านเศรษฐกิจจะมุํงเน๎นการปรับปรุงโครงสร๎างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค โดยเฉพาะในชนบท นอกจากนั้น จะจัดทําแผนการจัดการด๎านพลังงาน เพื่อรองรับสถานการณ๑ ปัจจุบัน อยํางไรก็ดี แม๎วํานโยบายด๎านเศรษฐกิจตามแผนแมํบทฉบับนี้ จะมุํงเน๎นการพัฒนาความ

99

เป็นอยูํของประชาชนระดับรากหญ๎าตามที่ได๎รณรงค๑หาเสียงไว๎ แตํก็ได๎ประนีประนอมกับนโยบาย ของพรรคคอมมิวนิสต๑ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สําคัญวําจะไมํมีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในกิจการที่สร๎าง ผลกําไรให๎แกํรัฐ และได๎ยุบกระทรวงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และโอนภารกิจให๎อยูํภายใต๎ กระทรวงการคลังแทน (ตํอมาเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 พรรคคอมมิวนิสต๑ได๎ถอนการ สนับสนุนจากรัฐบาลเนื่องจากข๎อขัดแย๎ง/ความเห็นที่แตกตํางกับพรรคคองเกรสเรื่องการจัดทํา ความตกลงความรํวมมือด๎านนิวเคลียร๑ระหวํางอินเดียและสหรัฐฯ นําไปสูํการลงมติ (ไมํไว๎) วางใจ รัฐบาล ซึ่งพรรครํวมรัฐบาล นําโดยพรรคคองเกรสได๎รับชัยชนะ จึงบริหารประเทศตํอไป โดยจะมี การเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552) สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ อินเดียเป็นประเทศกําลังพัฒนาที่มีรายได๎ต่ํา ประชากรกวําร๎อยละ 60 ยังคงประกอบอาชีพ เกษตรกรรม ปัญหาความยากจนและการวํางงานเป็นปัญหาสําคัญ เนื่องจากการปิดประเทศและ ดําเนินนโยบายปกป้องอุตสาหกรรมภายในมานาน อยํางไรก็ดี อินเดียได๎เริ่มเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เมื่อปี พ.ศ. 2534 เนื่องจากต๎องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ําอยํางรุนแรง จุดเปลี่ยนที่สําคัญ คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจซึ่งสํงผลให๎มีการลงทุนจากตํางชาติในกิจการไฟฟ้า พลังงาน และ อุตสาหกรรมตํางๆ นอกจากนี้ ยังได๎เปิดเสรีโทรคมนาคมและการสื่อสารในปี พ.ศ. 2543 ทําให๎ สถานการณ๑ทางเศรษฐกิจของอินเดียดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันอินเดียอยูํในสถานะตลาดใหมํที่ ได๎รับความสนใจอยํางยิ่งจากนานาชาติ ในปี พ.ศ. 2550 เศรษฐกิจอินเดียเติบโตประมาณร๎อยละ 8.7 อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นกวําปีกํอน โดยอัตราเงินเฟ้ออยูํในระดับร๎อยละ 12 (กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2551) มีเงินทุนสํารองตํางประเทศกวํา 315 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ (มิถุนายน ปี พ.ศ. 2551) และมีแนวโน๎มเพิ่มขึ้น อินเดียมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเดํนในภูมิภาค เอเชียใต๎ และในชํวง 2-3 ปีที่ผํานมาเริ่มมีกระแสความนิยมทางการค๎าและการลงทุนหลั่งไหลสูํ ภูมิภาคเอเชีย อีกทั้งยังรวมถึงการที่รัฐบาลอินเดียชุดปัจจุบันได๎พยายามสานตํอการปฏิรูประบบ โครงสร๎างตํางๆ ของประเทศตํอจากรัฐบาลชุดกํอนเพื่อรองรับการค๎าการลงทุนและเพื่อกํอให๎เกิด เสถียรภาพที่ยั่งยืนตํอไป รัฐบาลอินเดียให๎ความสําคัญตํอการลงทุนในด๎านสาธารณูปโภค การศึกษา ความมั่นคงทางสังคม การปรับโครงสร๎างของภาครัฐ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การขยาย ฐานภาษี และการพัฒนาในสํวนภูมิภาคและภาคการเกษตร นอกจากนี้ การลงทุนทั้งใน อุตสาหกรรม การค๎า และบริการ เพิ่มขึ้นอยํางตํอเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการที่อินเดียมีนโยบายเปิด เสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้น สํงผลให๎บริษัทตํางประเทศเริ่มสนใจเข๎ามาลงทุนในอินเดีย โดยเฉพาะ ธุรกิจที่ใช๎เทคโนโลยีชั้นสูง เนื่องจากอินเดียมีบุคลากรที่มีประสิทธิภาพด๎านวิทยาศาสตร๑ คอมพิวเตอร๑ และวิศวกรรมเป็นจํานวนมาก และมีความได๎เปรียบทางด๎านภาษาโดยเฉพาะ

100

ภาษาอังกฤษ รวมทั้งมีคําจ๎างแรงงานที่ถูก ทําให๎บริษัทตํางชาติสนใจมาตั้งฐานการผลิตที่อินเดีย อยํางกว๎างขวาง รัฐบาลอินเดียได๎ผํอนปรนข๎อบังคับหลายๆ อยําง เชํน ลดการจํากัดประเภทของ การลงทุน และเพิ่มมูลคําผลกําไรที่สามารถสํงกลับประเทศได๎ การกํอสร๎างขยายตัวอยํางตํอเนื่อง จากปี พ.ศ. 2547 เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายปรับปรุงสาธารณูปโภครวมมูลคําประมาณ 115,000 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ เพื่อพัฒนาถนนสายสําคัญทั่วประเทศ ปรับปรุงเส๎นทางรถไฟ และระบบขนสํง มวลชน ขยายเครือขํายโทรศัพท๑ ไฟฟ้า ประปา กํอสร๎างทําเรือและทําอากาศยานเพิ่มเติม เพื่อจูง ใจนักลงทุนตํางชาติให๎เข๎ามาลงทุนในอินเดีย นอกจากนั้น รัฐบาลอินเดียยังได๎พยายามออก มาตรการที่เอื้อให๎ตํางชาติสามารถเข๎ามาลงทุนโดยตรงได๎งํายและสะดวกขึ้นเรื่อยๆ เชํน ลําสุดเมื่อ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2549 ได๎ตัดกระบวนการขออนุญาตการลงทุนโดยไมํต๎องผํานหลาย ชํองทาง รวมทั้งขยายเพดานให๎ตํางชาติสามารถลงทุนโดยตรงได๎ร๎อยละ 100 ในหลายสาขา ได๎แกํ กิจการ ทําอากาศยาน การวางโครงสร๎างพื้นฐานเกี่ยวกับปิโตรเลียม (เชํนการวางทํอขนสํงน้ํามัน และกาซธรรมชาติ) การค๎าพลังงาน ( power trading) การลงทุนในเหมืองเพชรและถํานหิน การ ผลิตและจัดเก็บกาแฟ และยางพารา อีกทั้งยังเปิดให๎ตํางชาติมาลงทุนโดยตรงในกิจการค๎าปลีกที่ ขายสินค๎าเพียงตราเดียว (single brand ) ได๎ถึงร๎อยละ 51 เป็นครั้งแรก เชํน Sony Reebok Louis Vuitton เป็นต๎น นอกจากนี้ นโยบายการเงินของอินเดียที่คงอัตราดอกเบี้ยไว๎ในระดับต่ํายังสํงผล ชํวยกระตุ๎นเศรษฐกิจ โดยธนาคารกลางอินเดียได๎รักษาอัตราดอกเบี้ยไว๎ในระดับต่ําเฉลี่ยประมาณ ร๎อยละ 6 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ํามากในรอบ 31 ปี สํงผลทางบวกให๎เกิดการกู๎ยืมในระบบธนาคาร และ กระตุ๎นให๎มีการลงทุนขยายกิจการมากขึ้น ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อินเดียมีความเจริญก๎าวหน๎าในด๎านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอยํางยิ่ง โดย เติบโตอยํางรวดเร็วในชํวง 10 ปี ที่ผํานมา สร๎างรายได๎จาก 150 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2534 เป็น 17.6 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2545 และในปี พ.ศ. 2549/50 การสํงออก ซอฟต๑แวร๑และบริการมีมูลคํา 33.7 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ ทั้งนี้ เพราะอินเดียมีประชากรร๎อยละ 6 ที่มีความเป็นอยูํและการศึกษาดีในระดับนานาชาติ และมีสถาบันการศึกษาคุณภาพสูงที่เน๎นการ ผลิตบุคลากรด๎านวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยี นอกจากนี้ อินเดียยังเห็นวําอุตสาหกรรมซอฟต๑แวร๑ เป็นอุตสาหกรรมสะอาดปราศจากมลพิษ เป็นการสร๎างทรัพย๑สินทางปัญญา ซึ่งมีการลงทุนต่ํา และมีมูลคําเพิ่มในการสํงออกสูงมาก ประกอบกับการสนับสนุนอยํางจริงจังของภาครัฐ ทั้งใน ระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลท๎องถิ่น มีการจัดตั้งองค๑กรเฉพาะของภาครัฐ ที่ทําหน๎าที่สนับสนุน การพัฒนาการสํงออกซอฟต๑แวร๑ คือ Software Technology Parks of India (STPI) รัฐกรณาฏกะ (Karnataka) เป็นรัฐที่มีศักยภาพด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศสูงที่สุดของประเทศ โดย

101

เฉพาะที่เมืองบังคาลอร๑ (เปลี่ยนชื่อเป็นเบงกาลูลู) ซึ่งเป็นเมืองหลวง ได๎ชื่อวําเป็น Silicon Valley ของอินเดีย ซึ่งเป็นศูนย๑รวมอุตสาหกรรมซอฟต๑แวร๑ที่ใหญํเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยมีบริษัทชั้นนํา กวํา 30 บริษัท และเป็นเมืองที่ดีที่สุดสําหรับการเป็นศูนย๑บริการลูกค๎าทางโทรศัพท๑ (call centers) เป็นศูนย๑รวมสํานักงานสาขานอกประเทศ ( offshore offices) และศูนย๑วิจัยและพัฒนาของบริษัท ใหญํๆ หลายบริษัท อาทิ General Electric Intel และ General Motors ในขณะเดียวกันการ เติบโตด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ได๎ขยายตัวอยํางรวดเร็วไปยังเมืองอื่นๆ ด๎วย เชํน เจนไน ใน รัฐทมิฬนาฑู และ กัลกัตตาในรัฐเบงกอลตะวันตก รวมทั้ง ไฮเดอราบัดและปูเน เป็นต๎น โดยรัฐ เหลํานี้มีกําลังคนที่มีความสามารถในด๎านเทคโนโลยีสูง กอรปกับรัฐบาลของรัฐตํางๆ ได๎ทุํมเทใน การพัฒนาโครงสร๎างพื้นฐานรองรับความเติบโตด๎านนี้อยํางเอาจริงเอาจังด๎วย นอกจากนั้น ความเจริญด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่เรียกวํา ITes (IT enabled services) ยังเป็นปัจจัยสําคัญให๎เกิดการขยายตัวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย๑ของอินเดียที่ กําลังเติบโตในเมืองใหญํตํางๆ ที่กลําวมาแล๎วอยํางมีนัยสําคัญ โดยในชํวง 6-8 ปีทีผํานมา ใน ตลาดอสังหาริมทรัพย๑ที่โตเฉลี่ยร๎อยละ 35 ตํอปี พบวําร๎อยละ 70 ของการขยายตัวของอาคาร สํานักงานเป็นการเชํา/ซื้อของบริษัท IT และ ITes ทั้งของอินเดียและตํางชาติ

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐอินเดีย ด้านการทูต ไทยได๎สถาปนาความสัมพันธ๑ทางการทูตกับอินเดีย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2490 ขณะนี้ ไทยมีสถานเอกอัครราชทูตตั้งอยูํที่กรุงนิวเดลี และมีสถานกงสุลใหญํอีก 3 แหํง ที่เมืองกัลกัตตา เมืองมุมไบ และเมืองเจนไน ปัจจุบัน นายจีระศักดิ์ ธเนศนันท๑ ดํารงตําเเหนํงเอกอัครราชทูตไทย ประจําสาธารณรัฐอินเดีย โดยเข๎ารับตําเเหนํง เมื่อปี พ.ศ. 2546 สํวนอินเดียมีสถาน เอกอัครราชทูตที่กรุงเทพฯ และมีสถานกงสุลใหญํที่เชียงใหมํ และกําลังจะเปิดที่สงขลา โดยมี นางสาวละตา เรดดี (Latha Reddy) เป็นเอกอัครราชทูตอินเดียประจําประเทศไทย และเข๎ารับ ตําแหนํงเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2550 ไทยและอินเดียได๎ฉลองโอกาสครอบรอบ 60 ปีของการ สถาปนาความสัมพันธ๑ทางการทูตไปเมื่อปี พ.ศ. 2550 (1 สิงหาคม 2550) โดยมีการจัดกิจกรรม ทั้งในไทยและอินเดีย ทั้งนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได๎เสด็จฯ เยือน อินเดียเมื่อวันที่ 8-10 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เพื่อทรงเปิดการแสดงโขนและนิทรรศการภาพถํายฝี พระหัตถ๑ในโอกาสดังกลําวด๎วย ด้านการเมืองในชํวงสงครามเย็นและสงครามกัมพูชา ความสัมพันธ๑ไทย-อินเดียคํอนข๎าง หํางเหิน เนื่องจากไทยเห็นวําอินเดีย (ภายใต๎การนําของนางอินทิรา คานธี) มีความใกล๎ชิดกับ

102

สหภาพโซเวียต และรับรองรัฐบาลเฮง สัมริน ในขณะที่ไทยเป็นสมาชิก SEATO ซึ่งอินเดียเห็นวํา ไทยมีความใกล๎ชิดกับสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรกับปากีสถาน อยํางไรก็ดี ความสัมพันธ๑ ไทย- อินเดียใกล๎ชิดขึ้นในปลายทศวรรษที่ 1980 เมื่ออินเดียเริ่มดําเนินนโยบายเปิดเสรีทางเศรษฐกิจใน ปี พ.ศ. 2534 และดําเนินนโยบายมองตะวันออก ( Look East Policy) ที่ให๎ความสําคัญกับ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎และเอเชียตะวันออกมากขึ้น ซึ่งสอดคล๎องกับนโยบาย มองตะวันตก (Look West Policy) ของไทย ที่ให๎ความสําคัญกับภูมิภาคเอเชียใต๎ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ความสัมพันธ๑ของทั้งสองประเทศจึงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น โดยมีการเปลี่ยนแปลง การเยือนระดับสูงหลายครั้ง ในชํวงปี พ.ศ. 2544-2546 ในสมัยรัฐบาลพรรค BJP ของอดีต นายกรัฐมนตรี Vajpayee และรัฐบาลชุดใหมํของอินเดียภายใต๎การนําของพรรคคองเกรส ได๎ แสดงเจตจํานงที่ชัดเจนวําต๎องการกระชับความสัมพันธ๑กับไทยให๎แนํนแฟ้นยิ่งขึ้น กลไกความ รํวมมือทวิภาคีที่สําคัญ คือ คณะกรรมาธิการรํวมเพื่อความรํวมมือทวิภาคี (Joint Commission for Bilateral Cooperation) จัดตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2532 และมีการประชุมไปทั้งหมดแล๎ว 5 ครั้ง นอกจากนี้ จากผลการเยือนอินเดียของนรม. เมื่อ 3 มิ.ย. พ.ศ. 2548 สองฝ่ายได๎จัดตั้งกลไก คณะกรรมการรํวม ( Joint Working Group) ระดับอธิบดี เพื่อติดตามและเรํงรัดความสัมพันธ๑ทวิ ภาคีที่ครอบคลุมทุกสาขา และเพื่อเสริมกลไกความรํวมมือคณะกรรมาธิการรํวม ( JC) ที่มีอยูํเดิม แล๎ว ด้านความมั่นคง ไทยและอินเดียมีความรํวมมือด๎านความมั่นคงในกรอบคณะทํางานรํวมด๎านความมั่นคง ไทย-อินเดีย ( Thailand-India Joint Working Group on Security) ฝ่ายไทยมีเลขาธิการสภา ความมั่นคงแหํงชาติเป็นหัวหน๎าคณะ ฝ่ายอินเดียมีปลัดกระทรวงการตํางประเทศซึ่งรับผิดชอบ งานด๎านความมั่นคงเป็นหัวหน๎าคณะ มีการประชุมกันแล๎ว 4 ครั้ง เมื่อเดือนพฤษภาคม ธันวาคม พ.ศ. 2546 สิงหาคม พ.ศ. 2547 และตุลาคม พ.ศ. 2548 ลําสุด ไทยเป็นเจ๎าภาพการประชุมครั้งที่ 5 ระหวํางวันที่ 8-9 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2550 ด้านเศรษฐกิจ ไทยให๎ความสําคัญตํอการดําเนินความสัมพันธ๑ทางเศรษฐกิจกับอินเดียอยํางยิ่ง โดย คํานึงถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทั้งในแงํของการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และขนาดของตลาด ซึ่งมีประชากรระดับกลาง-สูง ที่มีกําลังซื้อสูง ประมาณ 300 ล๎านคน ตลอดจนความก๎าวหน๎าทางด๎านวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยี กลไกที่สําคัญได๎แกํ คณะกรรมการ รํวมทางการค๎า (Joint Trade Committee) ระดับเจ๎าหน๎าที่อาวุโส จัดตั้งเมื่อปี 2532 มีการประชุม ครั้งลําสุด เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2546

103

การค้า อินเดียเป็นตลาดขนาดใหญํ โดยเฉพาะตลาดระดับกลาง-สูง ซึ่งมีประชากรประมาณ 300 ล๎านคน เป็นกลุํมเป้าหมายที่มีรสนิยมต๎องการสินค๎ามีคุณภาพ ซึ่งอินเดียไมํมีขีดความสามารถใน การผลิต ในภาพรวม ไทยนําเข๎าวัตถุดิบและสินค๎ากึ่งสําเร็จรูป และสํงออกสินค๎าที่ใช๎ใน อุตสาหกรรม อยํางไรก็ดี การค๎าไทย – อินเดียยังมีปริมาณไมํมากเมื่อเทียบกับศักยภาพ จนกระทั่ง นับแตํปี พ.ศ. 2547 ซึ่งการค๎าระหวํางประเทศทั้งสองได๎ขยายตัวอยํางมากอันเป็นผลมาจากการที่ ทั้งสองฝ่ายได๎รํวมมือกันผลักดันในการประชุมคณะกรรมาธิการรํวม ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 4 ซึ่ง ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มมูลคําการค๎าสองฝ่ายให๎ถึง 2 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ ภายในปี พ.ศ. 2547 และสามารถทําได๎สําเร็จ นอกจากนี้ การค๎าระหวํางประเทศทั้งสองขยายตัวเพิ่มขึ้นอยํางตํอเนื่อง ภายหลังการลงนามกรอบความตกลงวําด๎วยการจัดตั้งเขตการค๎าเสรี (Free Trade Area- FTA) ไทย-อินเดียเมื่อปี พ.ศ. 2546 ซึ่งทําให๎ไทยเป็นฝ่ายได๎เปรียบดุลการค๎าตั้งแตํนั้นเป็นต๎นมา โดยใน ปี พ.ศ. 2550 การค๎าสองฝ่ายมีมูลคํา 4.7 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ และในชํวง 6 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2551 มีมูลคํา 3.5 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ คาดวํามูลคําในปี พ.ศ. 2551 จะถึง 5 พันล๎าน ดอลลาร๑สหรัฐ การจัดตั้งเขตการค้าเสรี ไทย-อินเดีย (Free Trade Area : FTA) ไทยและอินเดียได๎รํวม ลงนามในกรอบความตกลงวําด๎วยการจัดตั้งเขตการค๎าเสรีไทย-อินเดีย เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 ในระหวํางการเยือนไทยอยํางเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีอินเดีย โดยมีวัตถุประสงค๑ เพื่อให๎เป็นกลไกสําคัญที่จะขจัดอุปสรรคทางการค๎าและชํวยขยายการค๎าระหวํางกัน นอกจากนี้ เขตการค๎าเสรียังจะดึงดูดการลงทุนจากตํางชาติด๎วย สาระสําคัญของกรอบความตกลงฯ คือ 1) เริ่มการเจรจาการค๎าสินค๎าในเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 ให๎แล๎วเสร็จเดือนมีนาคม พ.ศ. 2548 และกําหนดเปิดเสรีลดภาษีเหลือ 0 ภายในปี พ.ศ. 2553 2) ให๎ทยอยเปิดเสรีการค๎าบริการและการลงทุนในสาขาที่มีความพร๎อมกํอน โดยเริ่ม เจรจาเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 และให๎เสร็จภายในเดือนมกราคม พ.ศ. 2549 3) สินค๎าเรํงรัดการลดภาษี ( Early Harvest Scheme : EHS) 82 รายการ เริ่มมีผล บังคับใช๎วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2547 โดยลดภาษีลง 50% จากอัตราภาษี ณ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2547 จากนั้นวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2548 ลดภาษีลง 75% และในวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2549 ลดลง 100% หรือภาษีเป็น 0 ซึ่งเป็นผลให๎มูลคําการค๎าไทย-อินเดีย เพิ่มขึ้นอยํางมาก ปัจจุบันสองฝ่ายยังคงผลักดันการเจรจาในกรอบ FTA ตํอไป โดยยังไมํสามารถหาข๎อสรุป เรื่องการลดภาษีสินค๎าได๎เนื่องจากฝ่ายอินเดียขอให๎มีการทบทวนการลดภาษีสินค๎าใหมํ อยํางไรก็

104

ดี ฝ่ายไทยพยายามผลักดันให๎มีการลงนามความตกลงการค๎าสินค๎า ( Agreement on Trade in Goods) โดยเร็ว การลงทุน การลงทุนของไทยในอินเดียในรอบ 10 ปีที่ผํานมา มีโครงการที่ได๎รับการอนุมัติทั้งสิ้น 144 โครงการ มูลคํารวม 831.2 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ บริษัทไทยที่เข๎าไปลงทุนในอินเดีย อาทิ กลุํมเครือ เจริญโภคภัณฑ๑ที่เมืองเจนไน บริษัท Delta Electronic, Stanley Electric Company และ Stanley Automative ในกัวร๑กาวน๑ (Gurgaon) ธนาคารกรุงไทยในเมืองมุมไบ และมีการลงทุนรํวมระหวําง Thai Summit กับ Neel Auto สํวนใหญํเป็นการลงทุนสาขาเคมีภัณฑ๑ และกระดาษ สาขา อิเล็กทรอนิกส๑และเครื่องใช๎ไฟฟ้า และสาขาเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร สําหรับการลงทุน ของอินเดียในไทยนั้น ในปี พ.ศ. 2549 โครงการลงทุนจากอินเดียที่ได๎รับอนุมัติสํงเสริมการลงทุน มี จํานวน 18 โครงการ มูลคําการลงทุนรวม 2,671 ล๎านบาท โครงการสํวนใหญํเป็นการลงทุนใน สาขาเคมีภัณฑ๑และกระดาษ และสาขาอิเล็กทรอนิกส๑และเครื่องใช๎ไฟฟ้า บริษัทอินเดียที่ลงทุนใน ไทย อาทิ บริษัท Tata Steel บริษัท Tata Motors (รํวมลงทุนกับไทยผลิตรถปิกอัพ) บริษัท Indorama บริษัท Dabur Pharma เป็นต๎น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไทยและอินเดียได๎รํวมลงนามความตกลงวําด๎วยความรํวมมือวําด๎วยวิทยาศาสตร๑ วิชาการ และสิ่งแวดล๎อม และการถํายทอดเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2545 ณ กรุงนิวเดลี และได๎จัดการประชุมคณะกรรมการรํวมวําด๎วยความรํวมมือด๎านวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยี ไทย- อินเดีย ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนกุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2547 ที่กรุงเทพฯ ลําสุด การประชุมคณะกรรมการรํวม ครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ที่กรุงนิวเดลี ภายใต๎ความตกลงดังกลําว ครอบคลุมกิจกรรมสํงเสริมความรํวมมือ เชํน การรํวมวิจัยและพัฒนา การฝึกอบรม และการศึกษา ดูงาน ในสาขาตํางๆ เชํน เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีอวกาศ เทคโนโลยีสารสนเทศ มาตรวิทยา ยางธรรมชาติและผลิตภัณฑ๑ยาง เป็นต๎น นอกจากนี้ ศูนย๑เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส๑และ คอมพิวเตอร๑แหํงชาติ ( NECTEC) สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยีแหํงชาติ ได๎ คัดเลือกผู๎รับทุนเยาวชนไทย จํานวน 100 คน ไปฝึกอบรมด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศ ณ Infosys Leadership Institute (ILI) เมืองไมเซอร๑ เป็นประจํา โดยบริษัท Infosys สนับสนุนคําที่พัก คําอาหาร คําเดินทางในประเทศอินเดีย และคําทัศนศึกษา การท่องเที่ยว ปี พ.ศ. 2551 นักทํองเที่ยวอินเดียมาไทย 483,269 คน นักทํองเที่ยวไทยไปอินเดีย 56,718 คน (ไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2552 มีนักทํองเที่ยวอินเดียมาไทย 115,517 คน)

105

ด้านการบิน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546 อดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย (นาย Vajpayee) ประกาศวําจะ ดําเนินนโยบายเปิดนํานฟ้าเสรี (Open Skies Policy) โดยอินเดียให๎สิทธิไทยบินไปกรุงนิวเดลี กัล กัลตา เจนไน มุมไบ 7 เที่ยวตํอสัปดาห๑ และให๎บินไปเมืองทํองเที่ยวอีก 18 เมืองในอินเดีย รวมทั้ง พุทธคยาและพาราณสี (เริ่มบินเมื่อ ตุลาคม พ.ศ. 2549) โดยไมํจํากัดจํานวนเที่ยวบิน โดยมี เงื่อนไขคือไมํให๎ Fifth Freedom Rights (ในการบินตํอไปยังจุดอื่น) และให๎สายการบินทําความตก ลงทางพาณิชย๑ (มิใชํให๎สิทธิบินเสรีโดยอัตโนมัติ) ในขณะที่ไทยให๎สิทธิอินเดียบินมายังกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหมํ และเมืองอื่นๆ ได๎ 7 วันตํอสัปดาห๑ โดยในผลการเจรจาการบินลําสุด เมื่อวันที่ 9- 10 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2549 ที่กรุงเทพฯ ไทยเจรจาได๎สิทธิความจุที่ประมาณ 15,000 ที่นั่ง/สัปดาห๑ จากเดิม 8,606 ที่นั่ง/สัปดาห๑ โดยเป็น quota ที่อินเดียจะทยอยให๎ในระยะ 3 ปี และไทยได๎สิทธิบิน ไปเมืองไฮเดอราบาด 3 เที่ยว/สัปดาห๑ ซึ่งมีผลบังคับใช๎ในชํวง ตุลาคม พ.ศ. 2549 – มีนาคม พ.ศ. 2550 นอกจากนี้ยังสิทธิในการบินไปบังกะลอร๑และเจนไน 7 เที่ยว/สัปดาห๑ จากเดิม 5 เที่ยว/ สัปดาห๑ และเพิ่มเที่ยวบินกรุงเทพฯ-นิวเดลี 7 เที่ยวเป็น 14 เที่ยว แตํให๎มีผลบังคับใช๎ในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2551-ตุลาคม พ.ศ. 2552 ซึ่ง ครม.ได๎มีมติอนุมัติผลการเจรจาดังกลําวเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2549 การเชื่อมโยงเครือข่ายคมนาคม ในปี พ.ศ. 2544 นายกรัฐมนตรีไทยและอินเดียเห็นพ๎องให๎มีความรํวมมือไตรภาคีในการ เชื่อมโยงถนนระหวํางไทย-พมํา-อินเดีย เพื่อสํงเสริมการค๎า การลงทุน การทํองเที่ยว และการไปมา หาสูํระหวํางประชาชน โดยเชื่อวํา การเชื่อมโยงเครือขํายคมนาคมดังกลําวจะเป็นประโยชน๑ตํอการ ขยายความรํวมมือทางเศรษฐกิจระหวํางภูมิภาคเอเชียใต๎ เอเชียตะวันออกเฉียงใต๎และอาเซียน ไทยและพมําได๎ลงนามสัญญากํอสร๎างเส๎นทางระยะแรก 18 กม. (แมํสอด-เมียวดี-เชิงเขาตะนาว ศรี) เมื่อ กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 25 48 และกํอสร๎างแล๎วเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 นอกจากนี้ ไทยและพมําได๎ลงนาม MOU เพื่อสํารวจเส๎นทางและออกแบบเส๎นทางระยะตํอจากกม.ที่ 18 ยาว 40 กม. (เชิงเขาตะนาวศรี-กอกะเร็ก) โดยครม.มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ให๎ ความชํวยเหลือแบบให๎เปลํา สําหรับการทํา feasibility study ทั้งนี้ ได๎มีการประชุมคณะทํางาน สามฝ่ายด๎านเทคนิคและการเงินที่กรุงนิวเดลี ระหวํางวันที่ 6-7 กันยายน พ.ศ. 2549 โดยตกลงให๎ ศึกษาความเป็นไปได๎ในการหารายได๎ ( financial feasibility study) จากการกํอสร๎างถนนทั้งสาย และไทยและอินเดียยืนยันข๎อเสนอให๎ความชํวยเหลือด๎านการเงินแกํพมํา ด้านการศึกษา

106

ไทยได๎ลงนามบันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือด๎านการศึกษาไทย-อินเดีย ในการ เยือนอินเดียของนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นการสํงเสริมพัฒนาการ ทางด๎านการศึกษารํวมกัน โดยครอบคลุมถึงการแลกเปลี่ยนการวิจัย ข๎อมูลและเครื่องมือการสอน การแลกเปลี่ยนนักศึกษา นักวิชาการ คณาจารย๑ระหวํางกัน การจัดสัมมนา การประชุมรํวมกัน การให๎ทุนการศึกษา เป็นต๎น ซึ่งจะยังประโยชน๑ให๎กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย๑ของทั้งสอง ประเทศอยํางมีประสิทธิภาพ ด้านสังคมและวัฒนธรรม ไทยกับอินเดียได๎จัดทําความตกลงวําด๎วยความรํวมมือด๎านวัฒนธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2520 แตํ ยังขาดการดําเนินการที่ตํอเนื่อง และไมํมีผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ดังนั้น ในการประชุม คณะกรรมาธิการรํวมฯ ครั้งที่ 4 เมื่อกุมภาพันธ๑ 2546 ฝ่ายไทยจึงได๎เสนอให๎มีการจัดทํา แผนปฏิบัติการ (Plan of Action) เพื่อให๎มีการแลกเปลี่ยนกิจกรรมในอันที่จะสํงเสริมความสัมพันธ๑ ด๎านวัฒนธรรมและความเข๎าใจอันดีระหวํางประชาชนกับประชาชน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมี ผลอยํางเป็นรูปธรรม เนื่องจากความรํวมมือทางวัฒนธรรมจะเป็นกลไกสําคัญที่จะทําให๎ประชาชน ทั้งสองฝ่ายใกล๎ชิดกันยิ่งขึ้น อันจะนําไปสูํความรํวมมือในด๎านอื่นๆ ตํอไป ขณะนี้กําลังอยูํใน ระหวํางการจัดทําแผนปฏิบัติการดังกลําว นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจําประเทศ ไทยได๎จัดตั้งศูนย๑อินเดียศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑ และศูนย๑สันสกฤตศึกษาที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร และเมื่อครั้งที่อดีตนายกรัฐมนตรีนาย Vajpayee เยือนไทยเมื่อเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2546 สองฝ่ายเห็นชอบที่จะให๎มีการจัดตั้งศูนย๑วัฒนธรรมไทยและอินเดียในแตํละ ประเทศ ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายอยูํในระหวํางการหาสถานที่ที่เหมาะสม ความตกลงที่ส าคัญกับประเทศไทย 1. ความตกลงทางการค๎า (ปี พ.ศ. 2511) 2. ความตกลงวําด๎วยการบริการเดินอากาศ (ปี พ.ศ. 2512) 3. ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือด๎านวัฒนธรรม (ปี พ.ศ. 2520) 4. ความตกลงวําด๎วยการยกเว๎นการเก็บภาษีซ๎อน (ปี พ.ศ. 2528) 5. ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือระหวํางสํานักงานคณะกรรมการสํงเสริมการลงทุนของ ไทยและอินเดีย (ปี พ.ศ. 2540) 6. ความตกลงวําด๎วยการสํงเสริมและคุ๎มครองการลงทุน (ปี พ.ศ. 2543) 7. ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือในการใช๎พลังงานนิวเคลียร๑ในทางสันติ (ปี พ.ศ. 2543) 8. ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ปี พ.ศ. 2544)

107

9. ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือด๎านวิทยาศาสตร๑ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล๎อม (ปี พ.ศ. 2545) 10. ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือด๎านการสํารวจและใช๎ประโยชน๑จากอวกาศสํวนนอก (ปี พ.ศ. 2545) 11. บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือทางวิชาการเกษตร เทคโนโลยีการเกษตร และ เศรษฐกิจการเกษตร (ปี พ.ศ. 2546) 12. กรอบความตกลงวําด๎วยการจัดตั้งเขตการค๎าเสรี ไทย-อินเดีย (ปี พ.ศ. 2546) 13. ความตกลงด๎านความรํวมมือทางการทํองเที่ยว (ปี พ.ศ. 2546) 14. ความตกลงวําด๎วยการยกเว๎นการตรวจลงตราสําหรับผู๎ถือหนังสือเดินทางทูตและ หนังสือเดินทางราชการ (ปี พ.ศ. 2546) 15. โครงการความรํวมมือด๎านเทคโนโลยีชีวภาพ (ปี พ.ศ. 2546) 16. สนธิสัญญาความชํวยเหลือซึ่งกันและกันทางกฎหมายในเรื่องทางอาญา (ปี พ.ศ. 2547) 17. บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือด๎านการศึกษา ไทย-อินเดีย (ปี พ.ศ. 2548) 18. บันทึกความตกลงวําด๎วยมิตรภาพและความรํวมมือระหวํางจังหวัดภูเก็ตกับเมืองพอร๑ต แบลร๑ (ปี พ.ศ. 2548) 19. บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือด๎านพลังงานหมุนเวียน (ปี พ.ศ. 2550) 20. แผนปฏิบัติการวําด๎วยการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ระหวํางปี พ.ศ. 2550-2552 (ปี พ.ศ. 2550) การเยือนของผู้น าระดับสูง ฝ่ายไทย พระบรมวงศานุวงศ์ - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนอินเดีย ในฐานะ อาคันตุกะของรองประธานาธิบดีอินเดีย เมื่อวันที่ 10-28 มีนาคม พ.ศ. 2530 (ค.ศ. 1987) - สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเสด็จฯ เยือนอินเดียอยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 7-21 เมษายน พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) - สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี เสด็จเยือนอินเดียอยําง เป็นทางการ เพื่อทรงรํวมพิธีมอบรางวัล UNEP Sasakawa Environment Prize เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996)

108

- สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนอินเดีย (หมูํเกาะอันดามัน และนิโคบาร๑) อยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 21-25 ธันวาคม พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) - สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เยือนอินเดียอยํางเป็นทางการ พร๎อมด๎วยพระเจ๎าหลานเธอ พระองค๑เจ๎าพัชรกิติยาภา และหมํอมเจ๎าหญิงสิริวัณวรี มหิดล ตามคํา กราบบังคมทูลเชิญของรองประธานาธิบดีอินเดีย เมื่อวันที่ 23-27 ธันวาคม พ.ศ. 2541 (ค.ศ. 1998) - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ วางศิลาฤกษ๑ ณ วัดไทยกุสิ นาราเฉลิมราชย๑ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนอินเดียเป็นการสํวน พระองค๑ เมื่อวันที่ 2-12 เมษายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี เสด็จเยือนกรุงนิวเดลี เพื่อรํวมสัมมนา “International Conference on Biodiversity and Natural Products: Chemistry and Medical Application” และทรงบรรยายทางวิชาการในการสัมมนาดังกลําว เมื่อ วันที่ 26-31 มกราคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี เสด็จเยือนกรุงนิวเดลี เพื่อรํวมประชุม “International Conference on Chemistry Biology Interface : Synergy New Frontiers” เมื่อวันที่ 19-26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนอินเดียอยํางเป็นทางการ ตามคํากราบบังคมทูลเชิญของรองประธานาธิบดีอินเดีย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ๑- 10 มีนาคม พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนอินเดีย เพื่อรับรางวัล Indira Gandhi Prize for Peace, Disarmament and Development เมื่อวันที่ 18-19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 -สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนอินเดีย เพื่อ เข๎ารํวมการประชุม Third World Organization for Women in Science (TWOWS) Third General Assembly and International Conference ที่เมืองบังกาลอร๑ เมื่อวันที่ 21-25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 และ ที่กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 25-28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 - สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณ๑วลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี เสด็จฯ พร๎อมด๎วยคณะ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ๑ และคณะของบริษัทปูนซีเมนต๑ไทย เยือนอินเดีย ระหวํางวันที่

109

10-13 ตุลาคม พ.ศ. 2549 เพื่อทอดพระเนตรกิจการของบริษัท Shantha Biotechnics Limited เมืองไฮเดอราบัด ในวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2549 - สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณ๑วลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนอินเดียเป็น การสํวนพระองค๑ เพื่อเข๎ารํวมการประชุมกับ WTO ระหวํางวันที่ 8-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนอินเดีย ระหวํางวันที่ 5-9 มีนาคม พ.ศ. 2550 โดยทรงเป็นพระอาคันตุกะของ รมว กต อินเดีย โดยเสด็จฯ เยือนกรุงนิวเดลี รัฐคุชราต รัฐกรณาฏกะ รัฐเบงกอลตะวันตก และรัฐทมิฬนาดู - พระเจ๎าวรวงศ๑เธอ พระองค๑เจ๎าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ จะเสด็จไปทรงเป็น ประธานในพิธีเปิดโครงการฉลองมหามงคลพุทธารามมหาราชชยันตี ณ วัดไทยพุทธคยาอินเดีย เมืองคยา รัฐพิหาร ระหวํางวันที่ 24-26 มีนาคม พ.ศ. 2550 - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จฯ เยือนอินเดีย เพื่อทรงเปิด นิทรรศการภาพถํายฝีพระหัตถ๑ “Bharata In Reflection” และทรงระนาดเอกเบิกโรงการแสดงโขน ไทยสูํแดนรามายณะ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ๑ทางการทูตระหวํางไทย- อินเดีย ระหวํางวันที่ 9-11 สิงหาคม พ.ศ. 2550 - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จฯ เยือนอินเดีย ระหวํางวันที่ 17-22 มีนาคม พ.ศ. 2551 ตามคํากราบทูลเชิญของรัฐบาลอินเดีย รัฐบาล - พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี เยือนอินเดีย นับเป็นการเยือนอยํางเป็นทางการ ครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีไทย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม - 1 เมษายน พ.ศ. 2532 (ค.ศ. 1989) - นายสุรินทร๑ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนอินเดียตามคํา เชิญของนาย Salman Khurshid รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 9- 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 (ค.ศ. 1994) - นายพิทักษ๑ อินทรวิทยนันท๑ รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนอินเดียเพื่อ หาลูํทางขยายการค๎าและการลงทุนในกรอบ BIMST-EC เมื่อวันที่ 27-31 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) - พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ประธานที่ปรึกษาพิเศษของนายกรัฐมนตรี ด๎านเศรษฐกิจและ การตํางประเทศ เดินทางไปกรุงนิวเดลีในฐานะผู๎แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24-25 มิถุนายน พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997)

110

- นายสุรินทร๑ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนอินเดียอยํางเป็น ทางการ ตามคําเชิญของนาย Jaswant Singh รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 8-10 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) - นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนอินเดียอยํางเป็น ทางการ เมื่อวันที่ 11-14 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยือนอินเดียอยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26-29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 (ค.ศ. 2001) - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเยือนอินเดียอยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - นพ.พรหมินทร๑ เลิศสุริย๑เดช รองนายกรัฐมนตรีไปอินเดีย เพื่อประชุม ASEAN-India Business Summit เมื่อวันที่ 17-18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เข๎ารํวมประชุม คณะกรรมาธิการรํวม ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 4 ที่กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - น.พ.สุรพงษ๑ สืบวงษ๑ลี รัฐมนตรีวําการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เข๎า รํวมงาน India-Soft 2003 โดยเป็นแขกของรัฐบาลอินเดีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - นายกร ทัพพะรังสี รองนายกรัฐมนตรี จัด Roadshow ที่กรุงนิวเดลี มุมไบ บังกาลอร๑ และ เจนไน โดยเป็นแขกของรัฐมนตรีวําการกระทรวงพาณิชย๑และอุตสาหกรรมอินเดีย เมื่อวันที่ 5-10 สิงหาคม พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนเมืองชัยปุระและ กรุงนิวเดลี เพื่อรํวมการประชุมระดับรัฐมนตรี ไทย-พมํา-อินเดีย เรื่องการเชื่อมโยงเส๎นทาง คมนาคม ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21-23 ธันวาคม พ.ศ. 2546 (ค.ศ.2003) - นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนอินเดียอยํางเป็น ทางการ ตามคําเชิญของรัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 8-10 มิถุนายน พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) - นายกร ทัพพะรังสี รัฐมนตรีวําการกระทรวงวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยี เยือนเจนไนและ บังกาลอร๑ และรํวมงาน “Bangalore Bio 2004” เมื่อวันที่ 9-11 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) - นายอุทัย พิมพ๑ใจชน ประธานรัฐสภาเยือนอินเดียอยํางเป็นทางการ ตามคําเชิญของ ประธานโลกสภาและประธานราชยสภา เมื่อวันที่ 11-18 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004)

111

- นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนอินเดีย เพื่อถวาย ผ๎าพระกฐินพระราชทาน ที่เมืองพุทธคยา รัฐพิหาร เมื่อวันที่ 5-6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2005) และเพื่อกลําวสุนทรพจน๑ในการสัมมนา “Hindustan Times Leadership Initiative” - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเยือนอินเดีย (working visit) เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) - นายกันตธีร๑ ศุภมงคล รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนอินเดียอยํางเป็น ทางการระหวํางวันที่ 7-8 สิงหาคม พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) กํอนหน๎าการเข๎ารํวมการประชุมระดับ รัฐมนตรี BIMSTEC ครั้งที่ 9 ที่กรุงนิวเดลี ที่มีขึ้นในวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) - พลเอก สุรยุทธ๑ จุลานนท๑ นายกรัฐมนตรี เยือนอินเดียอยํางเป็นทางการ ระหวํางวันที่ 25- 27 มิถุนายน พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) - นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัตน๑ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีวําการกระทรวงอุตสาหกรรม เยือนอินเดียเพื่อสํงเสริมโอกาสและลูํทางการค๎าและการลงทุนระหวํางไทย-อินเดียระหวํางวันที่ 28 สิงหาคม - 4 กันยายน พ.ศ. 2550 (ค.ศ.2007) ฝ่ายอินเดีย - นาย V. V. Giri ประธานาธิบดีอินเดีย เยือนไทยอยํางเป็นทางการ เมื่อปี พ.ศ. 2515 (ค.ศ. 1972) - นาย Rajiv Gandhi นายกรัฐมนตรีอินเดีย เยือนไทยอยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 19-20 ตุลาคม พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) - นาย P.V. Narasimha Rao นายกรัฐมนตรีอินเดีย เยือนไทยอยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 7- 10 เมษายน พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) - นาง Vasundhara Raje รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศอินเดีย เยือนไทย อยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 6-8 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) - นาย Yashwant Sinha รัฐมนตรีวําการกระทรวงการคลัง เข๎ารํวมการประชุม ACD ครั้งที่ 1 ที่ชะอํา จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 18-19 มิถุนายน พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - นาย Atal Behari Vajpayee นายกรัฐมนตรีอินเดีย เดินทางแวะผํานไทย หลังการประชุม สุดยอดอาเซียนที่กัมพูชา และได๎หารือข๎อราชการกับนายกรัฐมนตรี ที่กระทรวงการตํางประเทศ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) - นาย L K Advani รองนายกรัฐมนตรีอินเดียเยือนไทยอยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003)

112

- นาย Arun Shourie รัฐมนตรีวําการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และกระทรวงการแปร รูปรัฐวิสาหกิจอินเดีย เข๎ารํวมการประชุม ACD ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดเชียงใหมํ เมื่อวันที่ 21-22 มิถุนายน พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - นาย Atal Behari Vajpayee นายกรัฐมนตรีอินเดีย เยือนไทยอยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 8-12 ตุลาคม พ.ศ. 2546 (ค.ศ. 2003) - นาย Yashwant Sinha รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ และนาย Arun Jaitley รัฐมนตรีวําการกระทรวงพาณิชย๑และอุตสาหกรรม เข๎ารํวมการประชุม BIMST-EC ระดับรัฐมนตรี ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 7-8 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) - นาย Dayanidhi Maran รัฐมนตรีวําการกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ เข๎ารํวมการสัมมนา Ministerial Conference on Broadband and ICT Development ที่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) - ดร. Anbumani Ramadoss รัฐมนตรีวําการกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการครอบครัว เข๎ารํวมการประชุม The Second Asia Pacific Ministerial Meeting (APMM-II) ที่กรุงเทพฯ เมื่อ วันที่ 10-12 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) - นาง Sonia Gandhi ประธานพรรครัฐบาลและพรรคพันธมิตร United Progressive Alliance เข๎ารํวมการประชุม XV International AIDS Conference (IAC) ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) - นาย Manmohan Singh นายกรัฐมนตรีอินเดียเยือนไทย เพื่อเข๎ารํวมการประชุมผู๎นํา BIMSTEC ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 30-31 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) - นาย K.Natwar Singh รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศอินเดีย เดินทางแวะผําน ไทย เมื่อวันที่ 15-16 ตุลาคม พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) - นาย Pranab Mukherjee รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศอินเดีย เดินทางเยือน ไทยเพื่อเข๎ารํวมประชุมคณะกรรมาธิการรํวม ( JC) ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 5 ระหวํางวันที่ 13-15 กันยายน พ.ศ. 2550 (ค.ศ.2007)

113

ภาคผนวก ง สหภาพพม่า

114

สหภาพพม่า1 (Union of Myanmar)

ข้อมูลทั่วไป เมืองหลวง กรุงยํางกุ๎ง (Yangon) พื้นที่ 657,740 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 1.3 เทําของไทย) ทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดกับจีน (2,185 กิโลเมตร) ทิศตะวันออกเฉียงใต๎ติดกับลาว (235 กิโลเมตร) และไทย (2,401 กิโลเมตร) ทิศตะวันตกติดกับอินเดีย (1,463 กิโลเมตร) และบังกลาเทศ (193 กิโลเมตร) ทิศใต๎ติดกับทะเลอันดามันและอําวเบงกอล ประชากร 50.2 ล๎านคน (พ.ศ. 2547) มีเผําพันธุ๑ 135 เผําพันธุ๑ ประกอบด๎วย เชื้อชาติหลักๆ 8 กลุํม คือพมํา (ร๎อยละ 68) ไทยใหญํ (ร๎อยละ 8) กะเหรี่ยง (ร๎อยละ 7) ยะไขํ (ร๎อยละ 4) จีน (ร๎อย ละ 3) มอญ (ร๎อยละ 2) อินเดีย (ร๎อยละ 2) ศาสนา ศาสนาพุทธ (ร๎อยละ 90) ศาสนาคริสต๑ (ร๎อยละ 5) ศาสนาอิสลาม (ร๎อยละ 3.8) ศาสนาฮินดู (ร๎อยละ 0.05) ภาษาราชการ ภาษาพมํา รูปแบบการปกครอง เผด็จการทางทหาร ปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต๎สภาสันติภาพ และการพัฒนาแหํงรัฐ ( State Peace and Development Council – SPDC) โดยมีประธาน SPDC เป็นประมุขประเทศ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน๎ารัฐบาล - ประธาน SPDC พลเอกอาวุโส ตาน ฉํวย (Senior General Than Shwe) (เมษายน 2535) - นายกรัฐมนตรี พลเอก โซ วิน (General Soe Win) (19 ตุลาคม พ.ศ. 2547) - รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ นายญาณ วิน ( U Nyan Win) (18 กันยายน พ.ศ. 2547) เขตการปกครอง แบํงการปกครองเป็น 7 รัฐ (state) สําหรับเขตที่ประชากรสํวนใหญํเป็น ชนกลุํมน๎อย และ 7 ภาค (division) สําหรับเขตที่ประชากรสํวนใหญํเป็นเชื้อสายพมํา GDP 8.6 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ (พ.ศ. 2547) GDP Growth ร๎อยละ -1.3 (พ.ศ. 2548) GDP per capita 99 ดอลลาร๑สหรัฐ (พ.ศ. 2546)

1 กองเอเชียใต๎ กรมเอเชียใต๎ ตะวันออกกลางและแอฟริกา. 2549. สหภาพพม่า. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=49

115

อัตราเงินเฟ้อ ร๎อยละ 36.6 (พ.ศ. 2548) ทุนส ารองระหว่างประเทศ 672.1 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ (พ.ศ. 2548) เงินตรา จั๊ต (Kyat) อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 25 จั๊ตตํอ 1 บาท หรือประมาณ 1,300 จั้ต ตํอ 1 ดอลลาร๑สหรัฐ (มิถุนายน พ.ศ. 2549) การค้าระหว่างประเทศ การค๎าตํางประเทศในชํวงปี 2548 มูลคํารวม 4.5 พันล๎าน ดอลลาร๑สหรัฐ (นําเข๎าประมาณ 2 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ และสํงออกประมาณ 2.5 พันล๎าน ดอลลาร๑สหรัฐ) สินค้าส่งออก ก๏าซธรรมชาติ สิ่งทอ ไม๎ซุง สินค๎าประมง ข๎าว ยาง อัญมณี และแรํธาตุ สินค้าน าเข้า เครื่องจักรกล ใยสังเคราะห๑ น้ํามันดิบ ผลิตภัณฑ๑ปิโตรเลียม และเหล็ก ตลาดน าเข้า จีน (ร๎อยละ 28.9) สิงคโปร๑ (ร๎อยละ 20.7) และไทย (ร๎อยละ 14) ตลาดส่งออก ไทย (ร๎อยละ 30.2) สหรัฐฯ (ร๎อยละ 9.7) อินเดีย (ร๎อยละ 9)

การเมืองการปกครอง นโยบายรัฐบาลปัจจุบัน การเมือง รัฐบาลพมําซึ่งมีแกนนํามาจากนายทหารที่เข๎ายึดอํานาจการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2531 ยังคงมีการปกครองที่จํากัดสิทธิเสรีภาพทางการเมืองอยํางเข๎มงวด และยังไมํมีรัฐธรรมนูญรองรับ แม๎คณะนายทหารยืนยันตลอดมาวําจะอยูํในอํานาจเป็นการชั่วคราวเพื่อวางรากฐานของระบอบ ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน แตํก็อยูํในอํานาจมาแล๎วถึง 17 ปีเต็ม ในปัจจุบันแกนนําของพรรคสันนิบาต แหํงชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy – NLD) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค๎านที่ ได๎รับชัยชนะอยํางทํวมท๎นในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ. 2533 ยังคงถูกควบคุมตัวอยูํ โดยเฉพาะ นางออง ซาน ซู จี เลขาธิการพรรคฯ และยังมีนักโทษการเมืองถูกคุมขังอยูํอีกประมาณ 1,300 – 1,400 คน ขณะที่มีผู๎ลี้ภัยทางการเมืองชาวพมําในตํางประเทศอีกนับหมื่นคน หลังจากประชาคมระหวํางประเทศได๎กดดันและใช๎มาตรการลงโทษ ( sanction) พมําอยําง หนัก และหลายฝ่ายรวมทั้งประเทศไทยได๎พยายามโน๎มน๎าวรัฐบาลพมําอยํางตํอเนื่อง รัฐบาลพมํา ได๎ดําเนินการเพื่อลดแรงกดดันจากประชาคมระหวํางประเทศอยูํบ๎าง โดยเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2546 รัฐบาลพมําได๎ประกาศ “Roadmap towards Democracy” ของพมําซึ่งกําหนด ขั้นตอนการดําเนินการไปสูํประชาธิปไตยของพมํา 7 ขั้นตอน ได๎แกํ ( 1) การฟื้นฟูการประชุม สมัชชาแหํงชาติ ( National Convention) เพื่อวางหลักการของรํางรัฐธรรมนูญฉบับใหมํ ( 2) การ ดําเนินการเป็นขั้นเป็นตอนที่จําเป็นเพื่อการมีประชาธิปไตยที่มีวินัยอยํางแท๎จริง (genuine

116 disciplined democracy) (3) การยกรํางรัฐธรรมนูญ ( 4) การจัดลงประชามติรับรองรําง รัฐธรรมนูญ ( 5) การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ( 6) การจัดประชุมรัฐสภา ( 7) การจัดตั้งรัฐบาลที่มา จากการเลือกตั้ง และเพื่อให๎เป็นไปตาม Roadmap ดังกลําวรัฐบาลพมําได๎จัดการประชุมสมัชชา แหํงชาติขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 และได๎มีการประชุมไปแล๎วสามวาระ (วาระแรก ระหวํางวันที่ 17 พฤษภาคม – 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 และวาระที่สอง ระหวํางวันที่ 17 กุมภาพันธ๑ – 31 มีนาคม พ.ศ. 2548 และวาระที่ 3 ระหหวํางวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2548 – 31 มกราคม พ.ศ. 2549) ขณะนี้อยูํระหวํางการพักการประชุม โดยรัฐบาลพมําประกาศวําจะจัดการ ประชุมอีกครั้งในราวเดือนปลายปี พ.ศ. 2549 อยํางไรก็ดี การดําเนินการตาม Roadmap ของพมําก็มิได๎เป็นไปโดยราบรื่น โดยเฉพาะการ ที่รัฐบาลพมําจัดการประชุมสมัชชาแหํงชาติขึ้นโดยไมํมีผู๎แทนพรรค NLD เข๎ารํวม การที่นางออง ซาน ซู จี ยังไมํได๎รับการปลํอยตัว และที่สําคัญคือ การปลดพลเอก ขิ่น ยุ๎น ซึ่งเป็นจักรกลสําคัญใน กระบวนการ Roadmap ออกจากตําแหนํงในรัฐบาลเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ภายหลังการ เปลี่ยนแปลงดังกลําวรัฐบาลพมํามีทําทีแข็งกร๎าวตํอชนกลุํมน๎อย พรรค NLD และประชาคม ระหวํางประเทศมากขึ้น ทําให๎หลายฝ่ายไมํมั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของ Roadmap เศรษฐกิจ รัฐบาลพมําประกาศนโยบายตั้งแตํเข๎ายึดอํานาจการปกครองใหมํๆ ที่จะเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจพมําจากระบบวางแผนสํวนกลาง ( centrally-planned economy) เป็นระบบตลาดเปิด ประเทศรองรับและสํงเสริมการลงทุนจากภายนอก สํงเสริมการสํงออก การทํองเที่ยว และขยาย ความรํวมมือทางเศรษฐกิจกับภูมิภาค แตํในทางปฏิบัติ การปรับโครงสร๎างเศรษฐกิจของพมําไมํ คืบหน๎า รัฐบาลพมําไมํได๎ดําเนินการในทิศทางดังกลําวอยํางเต็มที่ รัฐบาลยังคงคุมและแทรกแซง ภาคการผลิตตําง ๆ อยํางเข๎มงวด มีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบด๎านการค๎าการลงทุนบํอยครั้ง อาทิ เมื่อปี พ.ศ. 2546 รัฐบาลพมําได๎ประกาศให๎ทําการค๎าข๎าวโดยเสรี แตํในปี 2547 ได๎ประกาศ ห๎ามสํงออกข๎าวเป็นเวลา 6 เดือน ปัจจุบัน แม๎วํารัฐบาลพมํายังไมํได๎ดําเนินการใดๆ ที่สําคัญเพื่อปฏิรูประบบเศรษฐกิจมห ภาค แตํพยายามเรํงการพัฒนาภาคการเกษตร การสํงเสริมการลงทุนจากตํางประเทศ การ สํงเสริมการทํองเที่ยว การนําทรัพยากรมาใช๎ (โดยเฉพาะก๏าซธรรมชาติและพลังน้ํา) และการ พัฒนาโครงสร๎างพื้นฐาน ด๎านเกษตรกรรม รัฐบาลพมําให๎ความสําคัญตํอการผลิตและสํงออกผลผลิตถั่ว ข๎าว ยางพารา ฯลฯ โดยสภาการค๎า ( Trade Council) ภายใต๎การกํากับการของรองพลเอกอาวุโส หมํอง เอ ได๎ปรับระบบการสํงออกถั่วขึ้นใหมํเพื่อให๎เกิดความคลํองตัวและจูงใจให๎เกษตรกร ขยาย

117

การเพาะปลูก และรัฐบาลพมําพยายามสํงเสริมโครงการปลูกข๎าวเพื่อการสํงออก แม๎ได๎เปลี่ยน นโยบายในเรื่องนี้กลับไปกลับมาหลายครั้ง แตํลําสุดได๎หันมาสํงเสริมเรื่องนี้ โดยเมื่อกลางปี พ.ศ. 2548 ได๎อนุญาตให๎ภาคเอกชนทําการปลูกข๎าวเพื่อการสํงออกอีก 30 บริษัท นอกจากนี้ รัฐบาล พมํายังให๎ความสําคัญตํอพืชเศรษฐกิจรายการใหมํ ๆ อาทิ ถั่วแมคคาเดเมีย โดยได๎สํงเจ๎าหน๎าที่ไป อบรมที่โครงการพัฒนาดอยตุงเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2548 และขอให๎มูลนิธิแมํฟ้าหลวงสํง เมล็ดแมคคาเดเมีย 4.5 ตันไปปลูกในรัฐฉานของพมํา การลงทุนด๎านพลังงานในพมําเป็นแหลํงรายได๎จากตํางประเทศที่สําคัญที่สุดของพมําในปี พ.ศ. 2547 – 2548 รัฐบาลพมําได๎ลงนามการสํารวจก๏าซธรรมชาติกับบริษัทเอกชนตํางประเทศ หลายราย อาทิ จีน ไทย (ปตท.สผ.) อินเดีย และสาธารณรัฐเกาหลี ปัจจุบันการลงทุนด๎านพลังงาน ในพมํามีสัดสํวนประมาณร๎อยละ 88 ของการลงทุนจากตํางประเทศทั้งหมดในพมํา มีมูลคําการ ลงทุนประมาณ 95 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2546 และ 128 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2547 นอกจากนั้น รัฐบาลพมําเตรียมจะเปิดพื้นที่แหลํงน้ํามันและก๏าซธรรมชาติในทะเลให๎เอกชน ตํางชาติลงทุนสํารวจและขุดเจาะเพิ่มอีก 13 แปลง (ยังคงสงวนแหลํงน้ํามันและก๏าซธรรมชาติบน บกไว๎สําหรับวิสาหกิจน้ํามันและก๏าซธรรมชาติของพมํา) ขณะเดียวกัน ก็เริ่มความรํวมมือด๎าน ไฟฟ้าพลังน้ํากับไทยและจีน ซึ่งเป็นโครงการที่พลเอกอาวุโส ตาน ฉํวย ให๎ความสําคัญอยํางยิ่ง สังคม นโยบายด๎านสังคมและวัฒนธรรมของพมําให๎ความสําคัญตํอการยกระดับจิตใจและ ศีลธรรมของประชาชน การรักษาเอกลักษณ๑ของวัฒนธรรมประจําชาติและเน๎นความรักชาติ รัฐบาลพมําไมํสํงเสริมให๎ประชาชนพมํารับวัฒนธรรมตํางชาติ โดยเฉพาะวัฒนธรรมตะวันตกมี การปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน ซึ่งทําให๎ประชาชนไมํมีข๎อเปรียบเทียบกับความเป็นอยูํและ วัฒนธรรมของประชาชนประเทศอื่น ซึ่งจะชํวยให๎รัฐบาลพมําสามารถควบคุมและปกครอง ประเทศได๎อยํางมั่นคงมากขึ้น นโยบายตํางประเทศ โดยรวม นโยบายตํางประเทศของพมําเป็นไปตามแนวทางที่ได๎ประกาศไว๎ตั้งแตํได๎รับเอก ราชเมื่อปี พ.ศ. 2491 และปฏิบัติสืบตํอกันมา โดยมีหลักการสําคัญ ดังนี้ 1) รักษาหลัก 5 ประการของการอยูํรํวมกันอยํางสันติ (1. การเคารพเอกราชและอธิปไตย 2. การไมํรุกราน 3. การไมํแทรกแซงกิจการภายใน 4. การรักษาผลประโยชน๑รํวมกันและเทําเทียมกัน 5. การอยูํรํวมกันอยํางสันติ) 2) รักษาความสัมพันธ๑ที่เป็นมิตรกับทุกประเทศโดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ๎าน 3) สนับสนุนสหประชาชาติและองค๑กรของสหประชาชาติ

118

4) ดําเนินความสัมพันธ๑และความรํวมมือทวิภาคีและพหุภาคีในกรอบของนโยบาย ตํางประเทศที่เป็นอิสระ 5) ประสานงานและรํวมมือกับกลุํมประเทศในภูมิภาคในด๎านเศรษฐกิจและสังคม 6) ดําเนินการอยํางแข็งขันเพื่อสันติภาพของโลกและความมั่นคง ตํอต๎านลัทธิจักรวรรดินิยม อาณานิคม และอาณานิคมในรูปแบบใหมํ โดยเฉพาะการแทรกแซงกิจการภายในและการมี อํานาจเหนือรัฐอื่น และเพื่อความเสมอภาคทางด๎านเศรษฐกิจ 7) ยอมรับความชํวยเหลือจากภายนอกเพื่อการพัฒนาประเทศโดยไมํมีเงื่อนไขผูกมัด ในปัจจุบัน พมําให๎ความสําคัญอยํางยิ่งตํอหลักการไมํแทรกแซงกิจการภายใน รัฐบาลพมํา ยืนกรานที่จะดําเนินการทางการเมืองตามแนวทางของตน ไมํให๎ฝ่ายใดเข๎ามาก๎าวกํายกิจการ ภายใน ขณะเดียวกันก็พยายามรักษาความสัมพันธ๑ที่ดีกับประเทศที่จะเอื้อประโยชน๑ตํอพมํา โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเพื่อเป็นพันธมิตรในการรับมือกับแรงกดดันจากประเทศตะวันตก

เศรษฐกิจการค้า สถานการณ์ที่ส าคัญ กระบวนการปรองดองแหํงชาติ อนาคตของกระบวนการปรองดองแหํงชาติและ Roadmap ของรัฐบาลพมํายังไมํชัดเจน หลายฝ่ายยังสงสัยในเหตุผลของรัฐบาลพมําที่จัดการประชุมสมัชชาแหํงชาติแบบ “ปิด ๆ เปิด ๆ ” และควบคุมกระบวนการพิจารณาของสมัชชาแหํงชาติอยํางเข๎มงวด ไมํเปิดโอกาสให๎ฝ่ายตําง ๆ ให๎ข๎อคิดเห็นและข๎อเสนอแนะ การปฏิเสธที่จะให๎ความกระจํางวําขณะนี้กระบวนการ Roadmap มาถึงขั้นตอนใดและจะใช๎เวลาอีกนานเทําใด ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยดังกลําว นอกจากนั้น รัฐบาล พมําได๎ปิดชํองทางในการติดตํอพูดจากับโลกภายนอกในเรื่องกระบวนการทางการเมืองภายใน ของตน รัฐบาลพมําต๎องการให๎ไทยหยุดการดําเนินการในเรื่องการหารือกับประชาคมระหวําง ประเทศในกรอบ “Bangkok Process” ที่ไทยริเริ่มขึ้นเมื่อปลายปี พ.ศ. 2546 และให๎ สหประชาชาติ ยุติความเคลื่อนไหวในการสํงเสริมกระบวนการปรองดองภายในพมํา ในการประชุม 3 รอบที่ผํานมา สมัชชาแหํงชาติได๎เห็นชอบหลักการของรํางรัฐธรรมนูญฉบับ ใหมํคืบหน๎าไปแล๎วประมาณร๎อยละ 50-70 ของงานที่จะต๎องดําเนินการทั้งหมด ในสํวนที่เกี่ยวกับบทบาทของกองทัพนั้น ประเด็นสําคัญคือกําหนดให๎มีผู๎แทนของกองทัพ ร๎อยละ 20 ในสภาสูง และร๎อยละ 25 ในสภาผู๎แทนราษฎร สงวนตําแหนํงรัฐมนตรีวําการ 3 กระทรวงไว๎ให๎ผู๎แทนของกองทัพ (ได๎แกํ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวง

119

กิจการชายแดน) ประธานาธิบดีจะต๎องเป็นบุคคลที่มีประสบการณ๑ในการบริหารงานกองทัพ และ ผู๎บัญชาการทหารสูงสุดมีอํานาจในการประกาศภาวะฉุกเฉิน ในสํวนที่เกี่ยวกับชนกลุํมน๎อย รํางรัฐธรรมนูญได๎กําหนดให๎มีรัฐ ( state) และเขตปกครอง ตนเอง ( autonomous region) แตํละรัฐ และเขตปกครองตนเองจะมีมุขมนตรี (Chief Minister) เป็นหัวหน๎ารัฐบาล มีสภาท๎องถิ่นซึ่งมีผู๎แทนของกองทัพอยูํร๎อยละ 25 รัฐบาล รัฐและเขตปกครอง ตนเองมีอํานาจในการบริหารกิจการท๎องถิ่น และที่สําคัญคือให๎กองกําลังชนกลุํมน๎อยวางอาวุธ อยํางไรก็ดี หลายฝ่ายเชื่อกันวํากระบวนการพิจารณาของสมัชชาแหํงชาติจะได๎ข๎อยุติแล๎ว เสร็จเมื่อใดขึ้นอยูํกับการตัดสินใจของผู๎นํารัฐบาลเป็นอยํางมากและการหาข๎อยุติในปัญหาการ ปกครองพื้นที่ชนกลุํมน๎อย ซึ่งถือเป็นเรื่องหลักที่ยังค๎างการพิจารณาอยูํ ฝ่ายชนกลุํมน๎อยไมํพอใจ ทําทีของฝ่ายรัฐบาล ในเรื่องนี้ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ยังไมํได๎พยายามทําความเข๎าใจเพื่อหาข๎อยุติ กับชนกลุํมน๎อยในเรื่องนี้ ในการเข๎าเยี่ยมคารวะพลเอกอาวุโส ตาน ฉํวย ประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแหํงรัฐ ที่กรุงยํางกุ๎งเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2548 ผู๎นําพมํากลําวยืนยันกับนายกันตธีร๑ ศุภมงคล รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศวํารัฐบาลพมําจะดําเนินตาม Roadmap ตามแนวทางที่ เหมาะสมสําหรับพมําเอง โดยจะดําเนินการ 3 ประการในการวางรากฐานของประชาธิปไตยของ พมํา ได๎แกํ (1) การสร๎างสันติภาพและความมั่นคง (2) การพัฒนาเศรษฐกิจ (3) การศึกษา พร๎อม กับย้ําวําประชาธิปไตยเป็นเรื่องกระบวนการ (process) ซึ่งต๎องคํอยเป็นคํอยไปและใช๎เวลา อนึ่ง หลังจากที่ถูกกดดันจากประเทศตะวันตกมาตลอด รัฐมนตรีวําการกระทรวงการ ตํางประเทศพมําได๎ประกาศในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน ครั้งที่ 38 ที่เวียงจันทน๑ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 วําพมําขอถอนตัวจากการเป็นประธานอาเซียนในปี พ.ศ. 2549 โดยให๎ เหตุผลวํารัฐบาลพมําต๎องการมุํงดําเนินการในเรื่องกระบวนการปรองดองแหํงชาติ ซึ่งอาเซียนได๎ ออกแถลงการณ๑รํวมวําพมําสามารถกลับมาเป็นประธานอาเซียนเมื่อใดก็ได๎เมื่อมีความคืบหน๎า ของกระบวนการประชาธิปไตยในพมํา สถานะของพรรค NLD หลังจากถูกรัฐบาลพมํากดดันอยํางตํอเนื่อง พรรค NLD อํอนแอลงอยํางมาก รัฐบาลพมํา ยังคงกักบริเวณนางออง ซาน ซู จี (ตั้งแตํวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2546) นายติน อู และสมาชิก พรรคอีกหลายคน รวมทั้งยังคงปิดสํานักงานสาขาของพรรค ดําเนินการกดดันและจับกุมสมาชิก พรรคที่ออกมาเคลื่อนไหวเป็นระยะ ๆ จนบรรดาสมาชิกพรรค NLD จํานวนไมํน๎อยต๎องลาออกหรือ ยุติกิจกรรมทางการเมืองของตน ขณะเดียวกันพรรคฯ ก็ขาดชํองทางที่จะติดตํอกับประชาชนหรือ ดําเนินกิจกรรมกับประชาชน

120

ในปัจจุบัน รัฐบาลพมํายังไมํเปิดการติดตํอกับนางออง ซาน ซู จี ตามที่หลายฝ่ายรวมทั้ง สหประชาชาติเรียกร๎อง และคาดวําจะยังไมํมีการพบปะเจรจากันและนางออง ซาน ซู จี คงจะยัง ไมํได๎รับการปลํอยตัวจนกวําการประชุมสมัชชาแหํงชาติคืบหน๎าไปได๎อยํางราบรื่น หรือภายหลัง จากที่รํางรัฐธรรมนูญได๎รับการรับรองแล๎ว

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหภาพพม่า ความสัมพันธ์กับประเทศไทยและสถานะล่าสุดของความร่วมมือ ด๎านการทูต ไทยได๎สถาปนาความสัมพันธ๑ทางการทูตกับพมําเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2491 และมี การเปิดสถานเอกอัครราชทูตของทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ไทยและพมํามี ความสัมพันธ๑ใกล๎ชิดทั้งในระดับรัฐบาลและประชาชน โดยมีความสัมพันธ๑กว๎างขวางในด๎าน การเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอยําง สม่ําเสมอ ปัจจุบัน นายสุพจน๑ ธีรเกาศัลย๑ ดํารงตําแหนํงเอกอัครราชทูตไทยประจําสหภาพพมําและ นายเย วิน (U Ye Win) เป็นเอกอัครราชทูตพมําประจําประเทศไทย ด๎านการเมืองและความมั่นคง ไทยและพมํามีกลไกความรํวมมือทวิภาคี ได๎แกํ (1) คณะกรรมาธิการรํวมไทย-พมํา ( Thailand – Myanmar Joint Commission on Bilateral Cooperation – JC) ซึ่งรัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศทั้งสองประเทศเป็น ประธานรํวมเพื่อสํงเสริมความสัมพันธ๑ในภาพรวม ได๎จัดการประชุมครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 7-9 มกราคม พ.ศ. 2545 ที่จังหวัดภูเก็ต (2) คณะกรรมการเขตแดนรํวม ( Joint Boundary Committee – JBC) ซึ่งรัฐมนตรีชํวยวํา การกระทรวงการตํางประเทศทั้งสองประเทศเป็นประธานรํวม เพื่อแก๎ไขปัญหาเขตแดนรํวมกัน โดยประชุมครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม พ.ศ. 2548 โดยมี ร.ต.ประพาส ลิมปะ พันธุ๑ ผู๎ชํวยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการตํางประเทศ เป็นประธานคณะกรรมการเขตแดนรํวมไทย- พมําฝ่ายไทย และนายหมํอง มิ้น รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศพมําเป็นประธาน ฝ่ายพมํา (3) คณะกรรมการชายแดนสํวนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) ซึ่งแมํทัพ ภาคที่สามของไทยและแมํทัพภาคตะวันออกเฉียงใต๎ของพมําเป็นประธานรํวม เพื่อสํงเสริมความ

121

รํวมมือและแก๎ไขปัญหาความสงบเรียบร๎อยบริเวณชายแดน โดยประชุมครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 29 เมษายน – 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ที่เมืองเชียงตุง รัฐฉานของพมํา ด๎านเศรษฐกิจ (1) ความรํวมมือด๎านการค๎า ไทยและพมํามีกลไกความรํวมมือในกรอบคณะกรรมาธิการ รํวมทางการค๎าไทย-พมํา (Joint Trade Commission – JTC) ซึ่งรัฐมนตรีวําการกระทรวงพาณิชย๑ ของทั้งสองประเทศเป็นประธานรํวม เพื่อสํงเสริมความสัมพันธ๑และความรํวมมือทางการค๎า ระหวํางกัน โดยได๎ประชุมครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2547 ที่กรุงยํางกุ๎ง ไทยเป็นประเทศคูํค๎าอันดับ 1 ของพมํา โดยในปี พ.ศ. 2548 มีมูลคําการค๎ารวม จํานวน 100,316.5 ล๎านบาท (เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. 2547 ร๎อยละ 27.2) โดยไทยนําเข๎า 71,915.9 ล๎านบาท และสํงออกไปพมํา 28,400.6 ล๎านบาท ทําให๎ไทยเสียเปรียบดุลการค๎า 43,515.3 ล๎านบาท (สํวน หนึ่งมาจากคําใช๎จํายในการซื้อก๏าซธรรมชาติจากพมํา) สินค๎าสํงออกที่สําคัญของไทย ได๎แกํ ไขมัน และน้ํามันจากพืชและสัตว๑ เคมีภัณฑ๑ เหล็ก เหล็กกล๎าและผลิตภัณฑ๑ และเม็ดพลาสติก สําหรับ สินค๎าที่ไทยนําเข๎าจากพมํา ได๎แกํ ก๏าซธรรมชาติ ไม๎ซุง ไม๎แปรรูป สินแรํโลหะอื่นๆ และเศษโลหะ เหล็กและเหล็กกล๎า และถํานหิน สําหรับการค๎าชายแดนไทย – พมํา ในปี พ.ศ. 2548 มีมูลคําการค๎ารวม 88,614.3 ล๎านบาท (เพิ่มขึ้นจาก 67,668 ล๎านบาทในปี พ.ศ. 2547 คิดเป็นร๎อยละ 30.95) ไทยสํงออก 23,046.53 ล๎านบาท และนําเข๎า 65,567.79 ล๎านบาท โดยไทยเสียเปรียบดุลการค๎า 42,521.26 ล๎านบาท (เนื่องจากไทยต๎องชําระคําก๏าซธรรมชาติแกํพมํา) (2) ด๎านการลงทุน ในปัจจุบัน ภาคเอกชนไทยลงทุนในพมํารวมทั้งสิ้น 56 โครงการ คิดเป็น มูลคํา 1,345.62 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ หรือประมาณร๎อยละ 17.28 ของการลงทุนจากตํางประเทศ ในพมําทั้งหมด โดยไทยมีมูลคําการลงทุนในพมําสูงเป็นอันดับที่ 3 รองจากอังกฤษ ( 40 โครงการ 1,569.52 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ) และสิงคโปร๑ ( 70 โครงการ 1,434.21 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ) การ ลงทุนของไทยในพมําที่สําคัญ ได๎แกํ การลงทุนในสาขาพลังงาน (น้ํามันและก๏าซธรรมชาติ) ประมง อุตสาหกรรมโรงแรมและการทํองเที่ยว และการแปรรูปสินค๎าเกษตรกรรม ไทยและพมําได๎มีการเจรจาจัดทําความตกลงการสํงเสริมและคุ๎มครองการลงทุนระหวําง กันเมื่อวันที่ 15-16 กันยายน พ.ศ. 2548 ที่กรุงเทพฯ โดยสามารถบรรลุข๎อตกลงได๎ในทุกข๎อบทใน รํางความตกลงฯ และหัวหน๎าคณะผู๎แทนไทยและพมําได๎รํวมลงนามยํอในรํางความตกลงฯ ซึ่ง กระทรวงการตํางประเทศจะนํารํางความตกลงฯ เสนอคณะรัฐมนตรีให๎ความเห็นชอบและลงนาม ตํอไป

122

(3) ความรํวมมือในการพัฒนาเครือขํายคมนาคม รัฐบาลไทยให๎ความชํวยเหลือแกํพมําใน โครงการตําง ๆ ได๎แกํ โครงการที่ 1 โครงการพัฒนาเส๎นทางสายแมํสอด/เมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี ระยะทาง 17.35 กม. ซึ่งรัฐบาลไทยให๎ความชํวยเหลือแบบให๎เปลําจํานวน 122.9 ล๎านบาท สถานะสุดท้าย เริ่มการกํอสร๎างแล๎วเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2548 (การกํอสร๎างระยะเวลา 1 ปี) โครงการที่ 2 โครงการกํอสร๎างสะพานมิตรภาพไทย-พมําข๎ามแมํน้ําสายแหํงที่ 2 ที่ จังหวัดเชียงราย (วงเงิน 28 ล๎านบาท) รวมทั้งการกํอสร๎างดํานชั่วคราว ( CIQ) บริเวณสะพานฯ 2 ฝั่ง (วงเงิน 11 ล๎านบาท) สถานะสุดท้าย ได๎มีพิธีเปิดใช๎สะพานแล๎วเมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2549 โครงการที่ 3 โครงการพัฒนาเส๎นทางสายแมํสอด/เมียวดี-กอกะเร็ก-พะอัน-สะเทิม ภายใต๎กรอบความรํวมมือสามฝ่ายไทย-พมํา-อินเดีย)โดยไทยเสนอจะให๎ในรูปความชํวยเหลือ แบบให๎เปลําร๎อยละ 30 และเงินกู๎เงื่อนไขผํอนปรนร๎อยละ 70 และให๎ดําเนินการในลักษณะ joint venture (ประมาณคํากํอสร๎างเบื้องต๎น 2,270 ล๎านบาท) สถานะสุดท้าย พมําตอบรับข๎อเสนอของ ไทยที่จะให๎ grant การกํอสร๎างถนนชํวงตํอจาก กิโลเมตรที่ 18 – กอกะเร็ก ระยะทาง 40 กิโลเมตร และกรมทางหลวงและกระทรวงกํอสร๎างพมําจะเริ่มการทํา preliminary detailed/survey design เส๎นทางดังกลําวในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 (4) ความรํวมมือในกรอบ ACMECS ในกรอบยุทธศาสตร๑ความรํวมมือทางเศรษฐกิจอิระ วดี-เจ๎าพระยา-แมํน้ําโขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy – ACMECS) ไทยและพมํามีความรํวมมือในสาขาตําง ๆ ได๎แกํ ( 1) การทํองเที่ยว โดย จัดตั้งคณะกรรมการรํวมด๎านการทํองเที่ยวและพัฒนาการทํองเที่ยวระหวํางภาคใต๎ของไทย-เมือง ทวายในพมํา (2) อุตสาหกรรม ซึ่งกําหนดพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพมําที่เมืองเมียวดี เมาะ ลําใย และพะอัน โดยในชั้นนี้เห็นชอบกันที่จะเริ่มดําเนินการที่เมียวดีกํอน ( 3) พลังงาน มีการลง นามบันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือด๎านพลังงานทดแทน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2548 และการลงนามบันทึกความเข๎าใจในการสร๎างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําที่สาละวิน ฮัจจี และตะนาวศรี เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 และ (4) เกษตรกรรม ซึ่งมีการจัดทํา Contract Farming ที่ เมืองเมียวดี โดยร๎อยตรีประพาส ลิมปะพันธุ๑ ผู๎ชํวยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการตํางประเทศได๎นํา คณะผู๎แทนไทยไปหารือกับทางการพมําเรื่องโครงการ Contract Farming ที่กรุงยํางกุ๎ง ระหวําง วันที่ 28 – 29 กันยายน พ.ศ. 2548 นอกจากนี้ รัฐบาลไทยได๎ให๎วงเงินสินเชื่อ (credit line) จํานวน 4,000 ล๎านบาทสําหรับพมําในการซื้อเครื่องจักรและวัสดุอุปกรณ๑ในการพัฒนาประเทศ จนถึงวันที่

123

13 มิถุนายน พ.ศ. 2548 ไทยได๎อนุมัติเบิกจํายไปแล๎วร๎อยละ 70 หรือประมาณ 2,800 พันล๎าน บาท นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2547 ไทยได๎ให๎สิทธิพิเศษด๎านภาษีศุลกากรในการนําเข๎าสินค๎าจาก พมําซึ่งรวมถึงสินค๎าเกษตรทั้งในรูปของการให๎สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรแกํประเทศสมาชิก อาเซียนใหมํ (ASEAN Integration System of Preferences – AISP) และยกเว๎นอากรขาเข๎า สินค๎าในลักษณะ One Way Free Trade รวมจํานวน 461 รายการ และเพิ่มเป็น 850 รายการในปี พ.ศ. 2548 ด๎านวัฒนธรรม สังคมและสาธารณสุข โดยที่ไทยและพมํามีพรมแดนติดตํอกันและประชาชนของทั้งสองประเทศมีความคล๎ายคลึง ทางด๎านวัฒนธรรมและศาสนา ในภาพรวม รัฐบาลไทยและพมําได๎ลงนามในความตกลงทาง วัฒนธรรมเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ ยังได๎ดําเนินกิจกรรมอื่น ๆ ได๎แกํ โครงการ อัญเชิญผ๎าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวายแกํวัดในพมําซึ่งกระทรวงการตํางประเทศดําเนินการ ติดตํอกันมาปีนี้เป็นปีที่ 10 การเชิญผู๎สื่อขําวพมําเยือนประเทศไทย การสนับสนุนการสอน ภาษาไทยในมหาวิทยาลัยภาษา ตํางประเทศของพมํา การจัดโครงการวาดเขียนเกี่ยวกับประเทศ ไทยในหมูํเยาวชนพมํา เป็นต๎น ทั้งนี้ รัฐบาลไทยและรัฐบาลพมํายังสามารถสนับสนุนกิจกรรม ความรํวมมือด๎านวัฒนธรรมและศาสนาเพิ่มเติมได๎อีกเพื่อสํงเสริมความเข๎าใจอันดีในระดับ ประชาชนของทั้งสองประเทศมากขึ้น ในด๎านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย๑ รัฐบาลไทยได๎ให๎ความสําคัญตํอพมํา (และกลุํมประเทศ เพื่อนบ๎านอื่นๆ) เป็นลําดับแรกในโครงการความรํวมมือทางวิชาการ โดยไทยให๎ทุนการศึกษา ทุน ฝึกอบรม/ดูงาน การจัดสํงวัสดุอุปกรณ๑ และการจัดสํงผู๎เชี่ยวชาญไปให๎คําปรึกษาแนะนําในด๎าน ตําง ๆ ใน 3 สาขาหลัก คือ การเกษตร การศึกษา และสาธารณสุข รวมทั้งสาขาอื่น ๆ ที่ทั้งสองฝ่าย เห็นชอบรํวมกัน โดยตั้งแตํปี พ.ศ. 2540-2547 ไทยให๎ความรํวมมือและความชํวยเหลือทาง วิชาการแกํพมําเป็นจํานวนเงิน 92.45 ล๎านบาท สําหรับปี พ.ศ. 2548 ไทย ให๎ความชํวยเหลือเป็น ทุนการศึกษาและทุนฝึกอบรมหลักสูตรนานาชาติในไทยจํานวน 164 ทุน นอกจากนี้ ตั้งแตํปี พ.ศ. 2545 รัฐบาลไทยยังได๎เริ่มให๎การสนับสนุนโครงการตามพระราชดําริในสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สําหรับครูประถมศึกษาจากพมําในการจัดประชุมเชิง ปฏิบัติการเรื่องการเกษตรและโภชนาการสําหรับเด็กวัยเรียนในไทยและการสํงคณะเจ๎าหน๎าที่ไทย ไปติดตามผลการประชุมเชิงปฏิบัติการในสหภาพพมํา ในด๎านความรํวมมือในการแก๎ไขปัญหายาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2544 รัฐบาลไทยได๎ให๎ความ ชํวยเหลือแกํพมําในโครงการพัฒนาหมูํบ๎านยองขําในรัฐฉาน (เขตของว๎า) ดําเนินการโดยมูลนิธิ

124

แมํฟ้าหลวงเพื่อสํงเสริมการพัฒนาทางเลือก (alternative development) โดยนําโครงการพัฒนา ดอยตุงเป็นแบบอยํางเพื่อยกระดับความเป็นอยูํของประชาชนพมําให๎เลิกการปลูกฝิ่น และมีการ ให๎ความชํวยเหลือในด๎านตําง ๆ ได๎แกํ การปลูกพืชผล การสร๎างโรงเรียน โรงพยาบาล การ สาธารณสุข ฯลฯ (วงเงิน 50 ล๎านบาท) แตํภายหลังการปลดพลเอก ขิ่น ยุ๎น โครงการดังกลําวได๎รับ ผลกระทบและหยุดชะงักไป นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลพมําในการแก๎ไขปัญหายาเสพติดและเพื่อ ความชํวยเหลือด๎านมนุษยธรรมแกํประชาชนชาวพมํา เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2548 รัฐบาลไทย ได๎บริจาคข๎าวสาร 1,000 ตันผํานองค๑การอาหารโลก (World Food Program – WFP) มูลคํา 10.54 ล๎านบาท เพื่อชํวยเหลือชนกลุํมน๎อยในรัฐฉานที่ได๎รับผลกระทบจากโครงการยุติการปลูก ฝิ่น ในการเยือนพมําอยํางเป็นทางการในโอกาสเข๎ารับตําแหนํงใหมํ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม – 1 กันยายน พ.ศ. 2548 นายกันตธีร๑ ศุภมงคล รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ ได๎มอบเงิน 2 ล๎านบาทเพื่อสนับสนุนกิจการของมหาวิทยาลัย Development for National Races อันเป็น สัญลักษณ๑ของความสนับสนุนของไทยตํอกระบวนการปรองดองแหํงชาติของพมําด๎วย นอกจากนี้ รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศได๎เสนอที่จะรํวมมือกับพมําในงานด๎านมนุษยธรรม โดยเฉพาะด๎านการศึกษาและสาธารณสุข อาทิ การพัฒนาโรงพยาบาลทําขี้เหล็ก ซึ่งผู๎นําพมํา เห็นชอบ

ความตกลงที่ส าคัญกับประเทศไทย 5.1 ความตกลงทางการค๎าระหวํางรัฐบาลแหํงราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแหํงสหภาพ พมําลงนามเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2532 5.2 บันทึกความเข๎าใจเพื่อการจัดตั้งคณะกรรมาธิการรํวมทางการค๎าไทย – พมํา ลงนาม เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2533 5.3 บันทึกความเข๎าใจระหวํางรัฐบาลแหํงราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแหํงสหภาพพมําวํา ด๎วยการจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนสํวนภูมิภาค ลงนามเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2533 5.4 บันทึกความเข๎าใจระหวํางรัฐบาลแหํงราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแหํงสหภาพพมํา เกี่ยวกับเขตแดนคงที่ชํวงแมํน้ําสาย-แมํน้ําสบรวก ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2534 5.5 ความตกลงวําด๎วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการรํวมไทย-พมํา ลงนามเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2536

125

5.6 ความตกลงระหวํางรัฐบาลแหํงราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแหํงสหภาพพมําวําด๎วย การกํอสร๎าง กรรมสิทธิ์ การจัดการและบํารุงรักษาสะพานมิตรภาพข๎ามแมํน้ําเมย/ทองยิน ลงนาม เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2537 5.7 ความตกลงระหวํางรัฐบาลแหํงราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแหํงสหภาพพมําเพื่อ การค๎าชายแดนระหวํางประเทศทั้งสอง ลงนามเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2539 5.8 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยการธนาคาร ลงนามเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2539 5.9 หนังสือแลกเปลี่ยนระหวํางไทยกับพมําวําด๎วยการข๎ามแดนระหวํางประเทศทั้งสอง ลง นามเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 5.10 บันทึกความเข๎าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากพมํา ลงนามเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 5.11 ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือด๎านการทํองเที่ยวระหวํางรัฐบาลแหํงราชอาณาจักร ไทยกับรัฐบาลแหํงสหภาพพมํา ลงนามเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 5.12 ความตกลงด๎านวัฒนธรรมระหวํางรัฐบาลแหํงราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแหํง สหภาพพมํา ลงนามเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2542 5.13 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือในการควบคุมยาเสพติด วัตถุออกฤทธิ์ตํอจิต และประสาท และสารตั้งต๎น ลงนามเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2544 5.14 ความตกลงระหวํางรัฐบาลแหํงราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแหํงสหภาพพมําเพื่อการ เว๎นการเก็บภาษีซ๎อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในสํวนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได๎ ลง นามเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2545 5.15 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือในการจ๎างแรงงาน ลงนามเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2546 5.16 ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือด๎านการลงทุนระหวํางสํานักงานคณะกรรมการ สํงเสริมการลงทุน (BOI) กับคณะกรรมาธิการการลงทุนของพมํา ลงนามเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2547 5.17 หนังสือแลกเปลี่ยนวําด๎วยการอํานวยความสะดวกงานกํอสร๎างถนนในสหภาพพมํา สายเมียวดี-เชิงเขาตะนาวศรี ลงนามเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2547 5.18 บันทึกความเข๎าใจความรํวมมือไทย-พมําวําด๎วยการจัดการทรัพยากรน้ํา ลงนามเมื่อ วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547

126

5.19 บันทึกความเข๎าใจระหวํางกระทรวงพลังงานและกระทรวงพลังงานไฟฟ้าพมําวําด๎วย ความรํวมมือในโครงการไฟฟ้าพลังน้ําที่ลุํมน้ําสาละวินและลุํมน้ําตะนาวศรี ลงนามเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 5.20 บันทึกความเข๎าใจเรื่องการแลกเปลี่ยนข๎อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน ระหวํางสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กับ Central Control Board on Money Laundering พมํา ลงนามวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 5.21 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือด๎านการเกษตรไทย-พมํา ลงนามเมื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ที่กรุงยํางกุ๎ง 5.22 บันทึกความตกลงวําด๎วยการกํอสร๎าง การถือครองกรรมสิทธิ์และการบริหารจัดการ โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ําฮัจยี ลงนามเมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ที่กรุงยํางกุ๎ง

การเยือนของผู้น าระดับสูง ฝ่ายไทย (1) พระบรมวงศานุวงศ๑ - พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัว และสมเด็จพระนางเจ๎า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราช ดําเนินเยือนพมําอยํางเป็นทางการ ระหวํางวันที่ 2-5 มีนาคม พ.ศ. 2503 - สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดําเนินเยือนพมําอยําง เป็นทางการ ระหวํางวันที่ 29 กุมภาพันธ๑- 5 มีนาคม พ.ศ. 2531 - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินเยือนพมําอยําง เป็นทางการ ระหวํางวันที่ 21-31 มีนาคม พ.ศ. 2529 เสด็จพระราชดําเนินเยือนพมํา (เมืองเชียง ตุง) เป็นการสํวนพระองค๑ 2 ครั้ง 1) ระหวํางวันที่ 3-4 มีนาคม พ.ศ. 2537 และ 2) ระหวํางวันที่ 10- 14 มีนาคม พ.ศ. 2546 (2) รัฐบาล - นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) 1) การเยือนอยํางเป็นทางการ ระหวํางวันที่ 19-20 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ที่กรุงยํางกุ๎ง 2) การเยือนในลักษณะ retreat ระหวํางวันที่ 9-10 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2546 ที่เมืองงาปาลี 3) การเข๎ารํวมประชุม ACMECS Summit ระหวํางวันที่ 10-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 ที่ เมืองพุกาม 4) การเข๎ารํวมพิธีเปิดการประชุม World Buddhist Summit วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่ กรุงยํางกุ๎ง

127

- รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) ขณะดํารงตําแหนํงรัฐมนตรีวําการกระทรวง การตํางประเทศ 1) การเข๎ารํวมประชุม AMM Informal Retreat ระหวํางวันที่ 29 – 30 เมษายน พ.ศ. 2544 ที่กรุงยํางกุ๎ง 2) การเยือนอยํางเป็นทางการ ระหวํางวันที่ 1 – 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 ที่กรุงยํางกุ๎ง 3) การเยือนเมืองทําขี้เหล็กเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 เพื่อพบกับพลโท ขิ่น ยุ๎น เลขาธิการ 1 SPDC และกําหนดจุดกํอสร๎างสะพานข๎ามแมํน้ําสายแหํงที่ 2 4) การประชุมระดับรัฐมนตรี 3 ฝ่าย ไทย – พมํา – อินเดีย ครั้งที่ 1 เรื่องการเชื่อมโยง เส๎นทางคมนาคม ระหวํางวันที่ 5 – 6 เมษายน พ.ศ. 2545 ที่กรุงยํางกุ๎ง 5) การเยือน (working visit) ตามคําเชิญของรัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศพมํา ระหวํางวันที่ 5 – 6 สิงหาคม พ.ศ. 2545 ที่กรุงยํางกุ๎ง 6) การเยือนเมืองทําขี้เหล็ก เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 เพื่อลงนามความตกลงวํา ด๎วยการกํอสร๎างสะพานข๎ามแมํน้ําสายแหํงที่ 2 และวางศิลาฤกษ๑งานกํอสร๎างสะพาน 7) การเยือนในฐานะผู๎แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2546 ที่ กรุงยํางกุ๎ง 8) การเยือนในฐานะผู๎แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่ กรุงยํางกุ๎ง - รองนายกรัฐมนตรี (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) การเยือนในฐานะผู๎แทนพิเศษของ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 - รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ (นายกันตธีร๑ ศุภมงคล) การเยือนอยํางเป็น ทางการ ระหวํางวันที่ 31 สิงหาคม – 1 กันยายน พ.ศ. 2548 ฝ่ายพมํา - พลเอกอาวุโส ตาน ฉํวย ประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแหํงรัฐ/นายกรัฐมนตรีพมํา (ตําแหนํงขณะนั้น) รวม 2 ครั้ง (เมื่อวันที่ 8-9 มีนาคม พ.ศ. 2542 และวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2546) - รองพลเอกอาวุโส หมํอง เอ รองประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแหํงรัฐ ระหวําง วันที่ 23-26 เมษายน พ.ศ. 2545 - พลเอก ขิ่น ยุ๎น ในขณะดํารงตําแหนํงเลขาธิการ 1 ของสภาสันติภาพและการพัฒนาแหํง รัฐ ระหวํางวันที่ 3 -5 กันยายน พ.ศ. 2544 และเดินทางมาที่อําเภอแมํสาย จังหวัดเชียงราย 2 ครั้ง (วันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2544 และ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2546) เพื่อกําหนดจุดที่จะกํอสร๎างสะพาน

128

ข๎าม แมํน้ําสายแหํงที่ 2 และทําพิธีวางศิลาฤกษ๑งานกํอสร๎างสะพาน และในฐานะนายกรัฐมนตรี พมํา เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2547 และเพื่อเข๎ารํวมประชุม BIMST-EC Summit ที่กรุงเทพฯ ระหวํางวันที่ 30-31 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 - พลเอก ตูระ ฉํวย มาน เสนาธิการทหาร/สมาชิกสภาสันติภาพและการพัฒนาแหํงรัฐ ระหวํางวันที่ 24 – 26 สิงหาคม พ.ศ. 2547

129

ภาคผนวก จ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล

130

สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล1 (Federal Democratic Republic of Napal)

ข้อมูลทั่วไปที่ตั้ง ตั้งอยูํบนที่สูงทางทิศใต๎ของเทือกเขาหิมาลัย มีอาณาเขตติดกับแคว๎น ทิเบตของประเทศจีนทางตอนเหนือและทิศใต๎ติดกับอินเดีย พื้นที่ 147,181 ตารางกิโลเมตร เมืองหลวง กรุงกาฐมาณฑุ (Kathmandu) เมืองส าคัญต่างๆ จานักปูร (Janakpur)เป็นเมืองด๎านการทํองเที่ยว ทางตะวันออกเฉียงใต๎ ของเนปาล โภคครา (Pokhara) เป็นศูนย๑กลางการทํองเที่ยว ทางตอนกลางของประเทศ ลุมพินี (Lumbini) เป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ๎า ทางตอนใต๎ ติดอินเดีย ภูมิอากาศ มีพายุฝนในฤดูร๎อนและมีอากาศเย็นจัดในฤดูหนาว ประชากร 28.9 ล๎านคน (ปี พ.ศ. 2551) เชื้อชาติ มองโกลอยด๑จากทิเบต และอินโด-อารยันจากทางตอนเหนือของอินเดีย และชน เผําตํางๆ เชํน กูรุง ( Gurung) ลิมบู (Limbu) เนวาร๑ ( Newar)ไร ( Rai) เชอร๑ปา ( Sherpa) และ ทามัง (Tamang) ภาษา ภาษาเนปาลีเป็นภาษาราชการ ศาสนา ฮินดูร๎อยละ 90 พุทธร๎อยละ 8 และอิสลามร๎อยละ 2 วันชาติ วันที่ 7 กรกฎาคม (พ.ศ. 2489 หรือ ค.ศ.1946) ซึ่งเป็นวันคล๎ายวันพระราชสมภพ ของสมเด็จพระราชาธิบดีกิเนนดรา แตํได๎ยุติการเฉลิมฉลองไปในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งรัฐบาลเนปาล ประกาศไมํให๎เป็นวันหยุดราชการ โดยขณะนี้ ยังไมํมีความชัดเจนวําจะเปลี่ยนวันชาติเป็นวันอื่น หรือไมํ ประธานาธิบดี ดร. ราม บาราน ยาดาฟ (Right Hon. Dr. Ram Baran Yadav) นายมาดาฟ กุมาร๑ เนปาล (Right Hon. Madhav Kumar Nepal) นางสุจาตา โคอิราลา (Hon. Sujata Koirala) ระบบการปกครอง เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2549 สมเด็จพระราชาธิบดีทรงคืนอํานาจ แกํประชาชน และทรงแตํงตั้งให๎นาย Girija Prasad Koirala ดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรี ซึ่ง

1 กองเอเชียใต๎ กรมเอเชียใต๎ ตะวันออกกลางและแอฟริกา. 2552. สหพันธ์สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยเนปาล. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=377

131

รัฐบาลภายใต๎การนําของนาย Koirala ได๎เจรจาและลงนามความตกลงสันติภาพComprehensive Peace Agreement กับกลุํมนิยมลัทธิเหมา ( Maoist) ซึ่งได๎กําหนดขั้นตอนที่ชัดเจนสําหรับ กระบวนการประชาธิปไตยที่ถาวร เชํน การจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว การประกาศใช๎รัฐธรรมนูญ ชั่วคราว การจัดการเรื่องอาวุธและกองกําลัง บทบาทของสถาบันกษัตริย๑ และการเลือกตั้งสภารําง รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 ได๎มีการจัดการเลือกตั้งสภารํางรัฐธรรมนูญ ภายหลังจาก ที่เลื่อนจากกําหนดเดิมถึง 2 ครั้ง โดยพรรค Communist Party of Nepal (Maoist) ได๎รับที่นั่งมาก ที่สุด ได๎ที่นั่ง 220 ที่นั่ง จากทั้งหมด 601 ที่นั่ง ในการประชุมครั้งแรกของสภารํางรัฐธรรมนูญ เมื่อ วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ที่ประชุมฯ มีมติให๎เนปาลเป็นสาธารณรัฐและยกเลิกสถาบัน กษัตริย๑ ปัจจุบันยังไมํสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคได๎ รัฐบาลโดยการนําของนาย Koirala จากพรรค Nepali Congress ได๎ประกาศลาออกจากตําแหนํงนายกรัฐมนตรีแล๎ว เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 Dr Ram Baran Yadav จากพรรค Nepali Congress ได๎รับการเลือกตั้งด๎วยคะแนนเสียงข๎างมากจากสภารํางรัฐธรรมนูญให๎ดํารงตําแหนํง ประธานาธิบดีคนแรก ทั้งนี้ นายภาร๑มานันดา จาห๑ ( Parmananda Jha) จากพรรค Madhesi Janadhikar Forum ได๎รับการเลือกตั้งให๎ดํารงตําแหนํงรองประธานาธิบดีในการจัดการเลือกตั้ง เมื่อวันเสาร๑ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2551โดยพิธีสาบานตนเข๎ารับตําแหนํงทั้งสองมีขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงการตํางประเทศเนปาลได๎แจ๎งการเปลี่ยนชื่อ ประเทศอยํางเป็นทางการจากเนปาลเป็นสาธารณรัฐเนปาล (The Republic of Nepal) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงการตํางประเทศสาธารณรัฐเนปาล ได๎แจ๎ง เปลี่ยนชื่อประเทศอยํางเป็นทางการใหมํอีกครั้ง เป็นสหพันธ๑สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (Federal Democratic Republic of Nepal) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551 นาย Pushpa Kamal Dahal หรือ Prachandra หัวหน๎า พรรค Communist Party of Nepal (Maoist) ได๎รับเลือกตั้งเป็น นายกรัฐมนตรี

การเมืองการปกครอง ระบบการปกครอง เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2549 สมเด็จพระราชาธิบดีทรงคืนอํานาจ แกํประชาชน และทรงแตํงตั้งให๎นาย Girija Prasad Koirala ดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรี ซึ่ง รัฐบาลภายใต๎การนําของนาย Koirala ได๎เจรจาและลงนามความตกลงสันติภาพComprehensive Peace Agreement กับกลุํมนิยมลัทธิเหมา ( Maoist) ซึ่งได๎กําหนดขั้นตอนที่ชัดเจนสําหรับ

132

กระบวนการประชาธิปไตยที่ถาวร เชํน การจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราว การประกาศใช๎รัฐธรรมนูญ ชั่วคราว การจัดการเรื่องอาวุธและกองกําลัง บทบาทของสถาบันกษัตริย๑ และการเลือกตั้งสภารําง รัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 ได๎มีการจัดการเลือกตั้งสภารํางรัฐธรรมนูญ ภายหลังจาก ที่เลื่อนจากกําหนดเดิมถึง 2 ครั้ง โดยพรรค Communist Party of Nepal (Maoist) ได๎รับที่นั่งมาก ที่สุด ได๎ที่นั่ง 220 ที่นั่ง จากทั้งหมด 601 ที่นั่ง ในการประชุมครั้งแรกของสภารํางรัฐธรรมนูญ เมื่อ วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ที่ประชุมฯ มีมติให๎เนปาลเป็นสาธารณรัฐและยกเลิกสถาบัน กษัตริย๑ ปัจจุบันยังไมํสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมหลายพรรคได๎ รัฐบาลโดยการนําของนาย Koirala จากพรรค Nepali Congress ได๎ประกาศลาออกจากตําแหนํงนายกรัฐมนตรีแล๎ว เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 Dr Ram Baran Yadav จากพรรค Nepali Congress ได๎รับการเลือกตั้งด๎วยคะแนนเสียงข๎างมากจากสภารํางรัฐธรรมนูญให๎ดํารงตําแหนํง ประธานาธิบดีคนแรก ทั้งนี้ นายภาร๑มานันดา จาห๑ ( Parmananda Jha) จากพรรค Madhesi Janadhikar Forum ได๎รับการเลือกตั้งให๎ดํารงตําแหนํงรองประธานาธิบดีในการจัดการเลือกตั้ง เมื่อวันเสาร๑ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2551โดยพิธีสาบานตนเข๎ารับตําแหนํงทั้งสองมีขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงการตํางประเทศเนปาลได๎แจ๎งการเปลี่ยนชื่อ ประเทศอยํางเป็นทางการจากเนปาลเป็นสาธารณรัฐเนปาล (The Republic of Nepal) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 กระทรวงการตํางประเทศสาธารณรัฐเนปาล ได๎แจ๎ง เปลี่ยนชื่อประเทศอยํางเป็นทางการใหมํอีกครั้ง เป็นสหพันธ๑สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (Federal Democratic Republic of Nepal) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551 นาย Pushpa Kamal Dahal หรือ Prachandra หัวหน๎า พรรค Communist Party of Nepal (Maoist) ได๎รับเลือกตั้งเป็น นายกรัฐมนตรี

นโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน 1. การเมืองการปกครอง ปัจจุบันการเมืองภายในเนปาลยังอยูํในชํวงเปลี่ยนผํานตาม กระบวนการประชาธิปไตย ยังขาดเสถียรภาพ นโยบายหลักของรัฐบาลชั่วคราวคือ จัดการกับ ปัญหาเฉพาะหน๎าและสถานการณ๑ภายในประเทศ โดยมุํงมั่นที่จะจัดตั้งรัฐบาลให๎แล๎วเสร็จโดยเร็ว 2. เศรษฐกิจและสังคมด๎านเศรษฐกิจ เนปาลต๎องพึ่งพาการค๎ากับประเทศเพื่อนบ๎านที่ สําคัญ ได๎แกํ จีน และอินเดีย ซึ่งทั้งสองประเทศมีอิทธิพลตํอเศรษฐกิจเนปาลอยํางมาก ทั้งนี้ เนปาลได๎เริ่มฟื้นฟูพัฒนาประเทศซึ่งบอบช้ําจากการตํอสู๎ระหวํางรัฐบาล พรรคการเมืองและกลุํม

133

Maoist เนปาลต๎องการความชํวยเหลือทางการเงินและโครงการความชํวยเหลือจากนานาประเทศ เพื่อเรํงฟื้นฟูโครงสร๎างพื้นฐาน จัดสรรที่อยูํให๎แกํผู๎พลัดถิ่น และดูแลครอบครัวผู๎ที่เสียชีวิตและผู๎ที่ ได๎รับบาดเจ็บจากสถานการณ๑ความไมํสงบทางการเมือง 3. นโยบายตํางประเทศ ในด๎านการตํางประเทศนั้น เนปาลต๎องการรื้อฟื้นและสร๎าง ภาพพจน๑ของเนปาลในเวทีระหวํางประเทศ โดยจะรํวมมือกับองค๑การสหประชาชาติ ยึดถือ คํานิยมประชาธิปไตย สํงเสริมสิทธิมนุษยชน เสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน และเรํงฟื้นฟูการ ดําเนินความสัมพันธ๑ทางการทูตกับทุกประเทศ เน๎นความเป็นมิตรและพร๎อมให๎ความรํวมมือกับทุก ประเทศ บนพื้นฐานอธิปไตยที่เทําเทียมกัน เพื่อประโยชน๑ของทั้งสองฝ่าย และจะไมํให๎ผู๎ใดใช๎ ดินแดนของเนปาลในการดําเนินกิจกรรมใดๆ อันจะเป็นปรปักษ๑กับประเทศเพื่อนบ๎าน มี ความสัมพันธ๑ใกล๎ชิดเป็นพิเศษกับอินเดีย และมีปัญหาเรื่องผู๎อพยพของภูฏานในเนปาล ซึ่งเนปาล พยายามผลักดันให๎กลับคืนภูฏาน และเนปาลให๎ความสําคัญมากตํอความรํวมมือในภูมิภาค คือ สมาคมความรํวมมือแหํงภูมิภาคเอเชียใต๎ ( South Asian Association for Regional Cooperation หรือ SAARC) และความริเริ่มแหํงอําวเบงกอลสําหรับความรํวมมือหลากหลาย สาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation หรือ BIMSTEC)

เศรษฐกิจการค้า ข้อมูลเศรษฐกิจ (ปี พ.ศ. 2551) หน่วยเงินตรา รูปี (1 บาทประมาณ 2.3 รูปี) ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 13 พันล๎าน USD รายได้ประชาชาติต่อหัว 457 USD การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร๎อยละ 4.7 (ปี พ.ศ. 2551) มูลค่าการค้าไทย- เนปาล 53.0 ล๎าน USD (ไทยสํงออก 52.6 ล๎าน USD นําเข๎า 0.4 ล๎าน USD) สินค้าส่งออกของไทย เส๎นใยประดิษฐ๑ เสื้อผ๎าสําเร็จรูป เครื่องรับวิทยุโทรทัศน๑และ สํวนประกอบ สินค้าน าเข้าจากเนปาล หนังดิบและหนังฟอก ธัญพืชและธัญพืชสําเร็จรูป สินค้าส่งออกของไทย เงินทุนส ารอง 3.3 พันล๎าน USD (ไทย: 118.5 พันล๎าน USD) อัตราเงินเฟ้อ ร๎อยละ 8.0 (ไทย: ร๎อยละ 5.5)

134

สินค้าส่งออกที่ส าคัญ พรม เครื่องหนัง เสื้อผ๎าสําเร็จรูป ไม๎แกะสลัก ผ๎าพาสมีนา ทรัพยากรส าคัญ ป่าไม๎ สถานที่ทํองเที่ยว พลังงานน้ํา อุตสาหกรรมหลัก การทํองเที่ยว สิ่งทอ พรม หัตถกรรม สินค้าส่งออกที่ส าคัญ พรม เครื่องหนัง เสื้อผ๎าสําเร็จรูป ไม๎แกะสลัก ผ๎าพาสมีนา สินค้าน าเข้าที่ส าคัญ น้ํามันเชื้อเพลิง ทอง เครื่องจักร ประเทศคู่ค้าที่ส าคัญ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี อินเดีย จีน/ฮํองกง และสิงคโปร๑

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล 1. ความสัมพันธ์กับประเทศไทย ความสัมพันธ๑ทั่วไป ไทยและเนปาลได๎สถาปนา ความสัมพันธ๑ทางการทูตในระดับอัครราชทูต เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 และได๎ ยกระดับเป็นระดับเอกอัครราชทูตเมื่อปี พ.ศ. 2512 เอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ คนปัจจุบัน คือ นางวันวิสาข๑ ธํารงนาวาสวัสดิ์ และเอกอัครราชทูตเนปาลประจําประเทศไทย คือ นายนวีน ประกาศ ชังคะ ชาห๑ (Naveen Prakash Jung Shah) 1.1 ความสัมพันธ๑ด๎านการเมือง ในฐานะมิตรประเทศไทยสํงนายทหาร 7 คนเข๎ารํวม ปฏิบัติหน๎าที่ในกองกําลังของสหประชาชาติ UN Political Mission in Nepal (UNMIN) เพื่อทํา การตรวจตราอาวุธและกองกําลังในเนปาล และสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งที่มีขึ้นเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 คณะกรรมการเลือกตั้งของไทยยังได๎สํง ผู๎สังเกตการณ๑จํานวน 2 คน ไป สังเกตการณ๑การเลือกตั้งสมาชิกสภารํางรัฐธรรมนูญของเนปาลเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2551 ที่ ผํานมาด๎วย 1.2 ความสัมพันธ๑ทางเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2550 การค๎าไทย-เนปาล มีมูลคํา 38.8 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ โดยไทยสํงออก 38.1 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐและ นําเข๎า 0.7 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ สินค๎าสําคัญที่ไทยสํงออกไปเนปาลได๎แกํ เส๎นใยประดิษฐ๑ เสื้อผ๎าสําเร็จรูป เครื่องรับวิทยุโทรทัศน๑ และสํวนประกอบ สินค๎าสําคัญที่ไทยนําเข๎าจากเนปาลได๎แกํ หนังดิบและหนังฟอก ธัญพืชและ ธัญพืชสําเร็จรูป เนปาลขอให๎ไทยสํงเสริมให๎เอกชนไทยเข๎าไปลงทุนในเนปาล โดยเฉพาะการลงทุน ในอุตสาหกรรมผ๎าไหม กาแฟ ผลผลิตทางการเกษตรที่มีมูลคําสูง และการลงทุนที่จะพัฒนาพืช สวนและไม๎ตัดดอก โครงสร๎างพื้นฐาน และประสงค๑จะให๎ไทยเข๎าไปชํวยในการฟื้นฟูบูรณะประเทศ ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลถาวรตามกระบวนการประชาธิปไตยแล๎วเสร็จ 1.3 ความสัมพันธ๑ทางสังคมและวัฒนธรรม - ความรํวมมือด๎านศาสนาและวัฒนธรรม เป็นมิติความสัมพันธ๑ที่สําคัญที่สุดระหวําง ไทยกับเนปาลมากกวําด๎านเศรษฐกิจหรือการเมือง โดยเน๎นในเรื่องศาสนา ประวัติศาสตร๑และ

135

วัฒนธรรม เนปาลมีสถานที่สําคัญทางศาสนา เชํน เมืองลุมพินี หรือเมืองจานักปูร๑ (เมืองมิถิลาใน พระราชนิพนธ๑เรื่องพระมหาชนก) นอกจากนี้ไทยและเนปาลยังได๎ตกลงที่จะทําแผนปฏิบัติการใน ความรํวมมือด๎านวัฒนธรรม ให๎มีกิจกรรมสํงเสริมที่ชัดเจน รวมทั้งเห็นวําเป็นชํองทางนําไปสูํการ ทํองเที่ยวเชิงพุทธศาสนาและเชิงนิเวศน๑ โดยจัดโฆษณาสํงเสริมการทํองเที่ยวรํวมกัน และทํา แพ็คเกจทัวร๑แบบ Combined Destination - ด๎านความรํวมมือทางวิชาการ ไทยได๎มีความรํวมมือทางวิชาการกับเนปาลมาตั้งแตํ ปี พ.ศ. 2520 โดยรัฐบาลเนปาลได๎สํงบุคลากรมาฝึกอบรมในโครงการฝึกอบรมนานาชาติประจําปี ของไทย ซึ่งเน๎นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย๑ โดยไทยให๎ทุนแกํบุคลากรของเนปาลปีละประมาณ 25-30 ทุน เพื่อศึกษา ฝึกอบรม และดูงานในสถาบันการศึกษาตําง ๆ ในไทย ภายใต๎ความรํวมมือ ทางวิชาการ 5 รูปแบบ คือ 1) ความรํวมมือภายใต๎กรอบทวิภาคี (Bilateral) 2) ความรํวมมือ ภายใต๎โครงการฝึกอบรมประจําปี ( Annual International Training Courses : AITC) 3) ความ รํวมมือทางวิชาการระหวํางประเทศกําลังพัฒนา (Technical Cooperation among Developing Countries : TCDC) 4) ความรํวมมือภายใต๎กรอบไตรภาคี ( Trilateral) และ 5) ความรํวมมือ ภายใต๎โครงการฝึกอบรมประเทศที่สาม ( Third Country Training Programme : TCTP) โดย ความรํวมมือข๎างต๎น เน๎น สาขาเกษตร สาธารณสุข วิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยี โทรคมนาคม ขนสํง โครงสร๎างพื้นฐาน เศรษฐศาสตร๑ สวัสดิการและการพัฒนาสังคม และอุตสาหกรรม ในปี พ.ศ. 2550 สํานักความรํวมมือเพื่อการพัฒนาระหวํางประเทศได๎เวียนทุนให๎ทุนแกํเนปาล จํานวน 59 ทุน - นอกจากนั้น เมื่อ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 รัฐบาลไทยได๎มอบเงิน 20,000 ดอลลาร๑ สหรัฐแกํรัฐบาลเนปาล เพื่อชํวยเหลือผู๎ประสบภัยจากน้ําทํวมและแผํนดินถลํม และเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ไทยได๎บริจาคเงินจํานวน 20,000 ดอลลาร๑สหรัฐ แกํโครงการอาหารโลกแหํง สหประชาชาติ (United Nations World Food Programme: WFP) สําหรับสนับสนุนโครงการของ WFP ที่ให๎ความชํวยเหลือแกํผู๎ได๎รับผลกระทบจากการสู๎รบในประเทศเนปาล - โครงการกํอสร๎างโรงพยาบาลแมํและเด็กที่เมืองลุมพินี เมื่อปี พ.ศ. 2540 คณะรัฐมนตรีได๎มีมติอนุมัติตามข๎อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขให๎สร๎างโรงพยาบาลแมํและเด็ก (Maternity Hospital) ขนาด 30 เตียง ที่เมืองลุมพินี สถานที่ประสูติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ๎า ในวงเงิน 50 ล๎านบาท ทั้งนี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของพระนางมหามายาเทวีพระราช มารดาของพระพุทธเจ๎า และเพื่อให๎ประชาชนที่อาศัยอยูํในบริเวณใกล๎เคียงได๎รับบริการทาง การแพทย๑ได๎ทั่วถึงยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อเฉลิมฉลองวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวทรง ครองราชย๑ครบ 50 ปี และสมเด็จพระราชินีเนปาลพระองค๑กํอนทรงครองราชย๑ครบ 25 ปี แตํ

136

รัฐบาลไทยติดขัดเรื่องงบประมาณ จึงทําให๎โครงการดังกลําวต๎องหยุดชะงักลง ตํอมาในการ ประชุมคณะกรรมาธิการรํวมไทย-เนปาล ครั้งที่ 4 เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 ได๎มีการหารือใน เรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งและฝ่ายไทยได๎สํงคณะผู๎เชี่ยวชาญจากประเทศไทยไปศึกษาความเป็นไปได๎ใน การกํอสร๎างโรงพยาบาลเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2547 จากการสํารวจพบวํา พื้นที่ที่ฝ่าย เนปาลเตรียมไว๎ให๎สําหรับการกํอสร๎างไมํมีความเหมาะสมเนื่องจากเป็นพื้นที่ต่ํา ไมํมีความพร๎อม ด๎านสาธารณูปโภค คณะผู๎เชี่ยวชาญจึงหารือฝ่ายเนปาลขอใช๎พื้นที่ในเขตพัฒนาลุมพินี ซึ่งมีความ พร๎อมมากกวํา แตํฝ่ายเนปาลได๎มีหนังสือแจ๎งวํา ไมํสามารถให๎พื้นที่ในเขต Master Plan ของเขต พัฒนาลุมพินีได๎ อยํางไรก็ดี ฝ่ายไทยได๎ให๎สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุแจ๎งยืนยันวํา ไทยประสงค๑จะทําการกํอสร๎างโรงพยาบาลในเขตดังกลําว ในชั้นนี้ หนํวยงานฝ่ายไทยและเนปาล ที่เกี่ยวข๎องอยูํระหวํางการพิจารณาเรื่องที่ดินและแบบสําหรับการกํอสร๎างโรงพยาบาล 1.4 แนวโน๎มความสัมพันธ๑ไทย – เนปาล เมื่อพิจารณาจากพัฒนาการของ ความสัมพันธ๑และความรํวมมือระหวํางไทยกับเนปาล การดําเนินความสัมพันธ๑ระหวํางสอง ประเทศในทุกสาขาและทุกระดับนําจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นตํอไปได๎อยํางราบรื่น ไทยให๎การ สนับสนุนการเปลี่ยนผํานการปกครองของเนปาลไปสูํกระบวนการประชาธิปไตยเพื่อการพัฒนา ประเทศที่ยั่งยืน และพร๎อมให๎ความชํวยเหลือแกํเนปาลในการฟื้นฟูและบูรณะประเทศ 2. ความตกลงที่ส าคัญกับไทย 2.1 ความตกลงวําด๎วยบริการเดินอากาศระหวํางอาณาเขตของแตํละฝ่ายและพ๎น จากนั้นไป (ลงนามเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2514) 2.2 หนังสือแลกเปลี่ยนระหวํางไทยกับเนปาลวําด๎วยการได๎มาซึ่งที่ดินและสิ่งกํอสร๎าง เพื่อใช๎เป็นที่ทําการและที่พักของสถานเอกอัครราชทูต (ลงนามเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2526) 2.3 ความตกลงเพื่อการยกเว๎นการเก็บภาษีซ๎อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในสํวนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได๎ (ลงนามเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2541) 2.4 ความตกลงยกเว๎นการตรวจลงตราสําหรับผู๎ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ (พิเศษ) (ลงนามเมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2542 บังคับใช๎เมื่อ 22 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2542)

การเยือนของผู้น าระดับสูง 1. ฝ่ายไทย พระราชวงศ์ - สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระวรชายา เสด็จฯ เยือน เนปาล เมื่อวันที่ 1 - 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522

137

- สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือน เนปาล เมื่อวันที่ 11 – 13 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2533 - สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ เยือนเนปาลเป็นการสํวน พระองค๑เพื่อทอดพระเนตรโครงการ Nepal Nutrition Intervention Project – Sarlahi ของ มหาวิทยาลัยแมํและเด็ก โรงพยาบาลตา และศูนย๑รักษาดวงตา Tilganga เมื่อวันที่ 4 – 7 ตุลาคม พ.ศ. 2542 ผู้น าทางศาสนา - สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จฯ เยือน เนปาล เพื่อทรงวางศิลาฤกษ๑วัดไทย ณ เมืองลุมพินี เมื่อวันที่ 18 – 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 - สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จฯ เยือน เมืองลุมพินี เมื่อวันที่ 22-23 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2542 รัฐบาล - พล.อ.เปรม ติณสูลานนท๑ นายกรัฐมนตรี เยือนเนปาลอยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 4- 6 สิงหาคม พ.ศ. 2526 2. ฝ่ายเนปาล พระราชวงศ์ - สมเด็จพระราชาธิบดี Birendra และสมเด็จพระราชินี Aishwarya เสด็จฯ เยือนไทย อยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 – 15 ธันวาคม พ.ศ. 2527 - องค๑มกุฎราชกุมาร Dipendra เสด็จฯ เยือนไทย เมื่อวันที่ 24 – 27 มิถุนายน พ.ศ. 2537 - สมเด็จพระราชาธิบดี Birendra และพระบรมวงศานุวงศ๑ เสด็จฯ เยือนไทยเป็นการ สํวนพระองค๑ เพื่อทรงรับการตรวจพระวรกายประจําปีที่โรงพยาบาลศิริราช และเข๎าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัว เพื่อถวายพระพรในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวทรง ครองสิริราชสมบัติครบ 50 พรรษา เมื่อวันที่ 12 – 17 มกราคม พ.ศ. 2540 - องค๑มกุฎราชกุมาร Paras เสด็จฯ ทรงศึกษาดูงานที่สถาบันเทคโนโลยีแหํงเอเชีย (AIT) ระหวํางวันที่ 5-7 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 และหลังจากนั้นได๎เสด็จฯ เยือนไทยเป็นการสํวน พระองค๑ ระหวํางวันที่ 4 -11 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 - สมเด็จพระราชินี Komal และพระราชธิดา Prerana เสด็จฯ เยือนไทยเป็นการสํวน พระองค๑ ระหวํางวันที่ 26 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม พ.ศ. 2547

138

- องค๑มกุฎราชกุมาร Paras และมกุฎราชกุมารีพระชายา Himani เสด็จฯ เยือนไทย เป็นการสํวนพระองค๑ ระหวํางวันที่ 17 – 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 รัฐบาล - นาย Girija Prasad Koirala นายกรัฐมนตรี แวะผํานไทย และเข๎าเยี่ยมคารวะนาย อานันท๑ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2534 - นาย Sher Bahadur Deuba นายกรัฐมนตรี แวะเยือนไทย และเข๎าเยี่ยมคารวะ พล.อ.อ.สมบุญระหงษ๑ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 – 26 เมษายน พ.ศ. 2539 - นาย Kamal Thapa รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนไทยอยํางเป็น ทางการ เมื่อวันที่ 2 – 3 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2541 - นาย Sher Bahadur Deuba นายกรัฐมนตรี เดินทางแวะผํานไทย และได๎เข๎าพบ หารือทวิภาคีและรับประทานอาหารเช๎ากับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2545 - นาย Parashu Narayan Chaudhary ประธานองคมนตรีเนปาล ( Raj Parishad) และคณะ ได๎เข๎าเยี่ยมคารวะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท๑ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นาย ธานินทร๑ กรัยวิเชียร และ พล.อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2547 - นาย Sher Bahadur Deuba นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนไทยในชํวงการประชุม BIMSTEC และได๎เข๎าพบหารือทวิภาคีกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 - นาย K.P. Sharma Oli รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีวําการกระทรวงการ ตํางประเทศ เดินทางแวะผํานไทย เพื่อไปกรุงกัวลาลัมเปอร๑ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 - นาย Girija Prasad Koirala นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนไทยเป็นการสํวนตัวเพื่อ รับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลบํารุงราษฎร๑ ระหวํางวันที่ 17 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2549 และ ได๎เข๎าเยี่ยมคารวะพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ที่ ทําเนียบรัฐบาล - นาย K.P. Sharma Oli รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีวําการกระทรวงการ ตํางประเทศ เดินทางเยือนไทยเป็นการสํวนตัวเพื่อรับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลบํารุง ราษฎร๑ ระหวํางวันที่ 4 - 10 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2550 และได๎เข๎าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีวําการ กระทรวงการตํางประเทศ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2550 ที่กระทรวงการตํางประเทศ

139

ภาคผนวก ฉ สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา

140

สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา1 (Democratic Socialist Republic of Sri Lanka)

ข้อมูลทั่วไป ที่ตั้งเป็นเกาะในมหาสมุทรอินเดีย หํางจากตอนใต๎ของอินเดียประมาณ 80 กิโลเมตร พื้นที่ 65,610 ตารางกิโลเมตร (ประมาณร๎อยละ 12 ของประเทศไทย) เมืองหลวง กรุงโคลัมโบ () เมืองส าคัญ เมืองแคนดี้ ( Kandy) เป็นเมืองหลวงเกําและศูนย๑กลางทางพุทธศาสนาตั้งอยูํ ตอนกลางของประเทศ ภูมิอากาศ มีอากาศแบบร๎อนชื้น ฝนตกชุกในชํวงฤดูมรสุม ประชากร 19.4 ล๎านคน (พ.ศ. 2551) ประกอบด๎วยชาวสิงหล ร๎อยละ 74 ชาวทมิฬ ร๎อยละ 18 ประชากรมุสลิม (แขกมัวร๑และชาวมาเลย๑) ร๎อยละ 7 และอื่น ๆ ร๎อยละ 1 ภาษา ภาษาสิงหลเป็นภาษาราชการและภาษาประจําชาติ (ร๎อยละ 74) ภาษาทมิฬเป็น ภาษาราชการเชํนกัน (ร๎อยละ 18) ภาษาอังกฤษใช๎ติดตํอสื่อสารทั่วไปในภาครัฐ และประชากร ประมาณร๎อยละ 10 สามารถสื่อสารด๎วยภาษาอังกฤษ ศาสนา ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ร๎อยละ 70 ศาสนาฮินดู ร๎อยละ 15 ศาสนาคริสต๑ ร๎อยละ 8 และศาสนาอิสลาม ร๎อยละ 7 ระบบการปกครอง ปกครองด๎วยระบอบสาธารณรัฐภายใต๎ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดย มีประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐและหัวหน๎าฝ่ายบริหาร ( Head of State and Head of Government) และดํารงตําแหนํงสูงสุดของกองทัพ ประธานาธิบดีได๎รับการเลือกตั้งโดยตรงจาก ประชาชน อยูํในตําแหนํง คราวละ 6 ปี และดํารงตําแหนํงได๎ไมํเกิน 2 สมัย ประธานาธิบดีคน ปัจจุบัน คือ นายมาฮินดา ราชปักษา () ซึ่งเข๎ารับตําแหนํงเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2548 วันชาติ 4 กุมภาพันธ๑ (วันประกาศเอกราช)

การเมืองการปกครอง นโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน 1. การเมืองการปกครอง

1กองเอเชียใต๎ กรมเอเชียใต๎ ตะวันออกกลางและแอฟริกา. 2552. สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตย ศรีลังกา. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=233

141

1.1 การเมืองภายในประเทศ ศรีลังกาเป็นประเทศที่ประกอบด๎วยประชากรหลายเชื้อ ชาติ ศาสนา แตํการเมืองภายในมีพรรคการเมืองที่สําคัญเพียง 2 พรรคของชนชาติสิงหล คือ Sri Lanka Freedom Party (SLFP) และพรรค (UNP) ซึ่งแขํงขันชํวงชิง อํานาจทางการเมือง สํวนพรรคการเมืองอื่นเป็นพรรคเล็กๆ เชํน พรรคของชนเชื้อสายทมิฬ (Tamil National Alliance) พรรคทางพุทธศาสนา และพรรคของกลุํมแรงงาน เป็นต๎น นับแตํศรีลังกาได๎รับ เอกราชจากอังกฤษในปี พ.ศ. 2491 จนถึงปัจจุบันพรรค SLFP และพรรค UNP ผลัดกันเป็น รัฐบาลมาโดยตลอด โดยทั้งสองพรรคสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน แตํ ตํางกันที่นโยบายเศรษฐกิจ โดยพรรค SLFP มีลักษณะคํอนไปทางสังคมนิยม ในขณะที่พรรค UNP มีนโยบายเศรษฐกิจเสรี การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งลําสุดในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2548 นาย Mahinda Rajapaksa นายกรัฐมนตรีศรีลังกา ผู๎สมัครจากพรรค SLFP ได๎รับชัยชนะใน การเลือกตั้งประธานาธิบดี และเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 ได๎เข๎าพิธีสาบานตนเป็น ประธานาธิบดีคนที่ 5 ของศรีลังกา โดยได๎แถลงนโยบายวําจะนําประเทศไปสูํยุคใหมํที่มีความเป็น ธรรมในสังคม มีการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร๎อย และมี ความเจริญทางด๎านเศรษฐกิจ อันจะเป็นประโยชน๑ตํอประชาชนชาวศรีลังกานาย Rajapaksa ได๎แตํงตั้งให๎ นายรัตนศิริ วิกรามานายากา ( Ratanasiri Wickramanayaka) อายุ 74 ปี ดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ นาย Wickramanayaka เคยดํารงตําแหนํงนายกรัฐมนตรี ระหวํางปี พ.ศ. 2543 – 2544 โดยนายมังคลา สมาราวีระ ( ) ได๎ดํารง ตําแหนํงรัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศและรัฐมนตรีวําการกระทรวงทําเรือและการบิน ตํอมา เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2550 นาย Rajapaksa ได๎ปรับคณะรัฐมนตรี โดยแตํงตั้งให๎นาย โรหิทา โบโกลากามา ( ) รัฐมนตรีวําการกระทรวงการพัฒนาวิสาหกิจและ สํงเสริมการลงทุน ไปดํารงตําแหนํงรัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศคนใหมํ แทนนาย Samaraweera นาย Bogollagama มีความเชี่ยวชาญด๎านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และ เป็นผู๎ผลักดันให๎มีการลงทุนจากตํางชาติอยํางแข็งขัน เป็นผู๎กํอตั้ง SME Bank และ National Enterprise Development Authority เพื่อดูแลการพัฒนาอุตสาหกรรม รวมทั้งได๎รับการแตํงตั้ง จากประธานาธิบดีให๎เป็นผู๎แทนและโฆษกรัฐบาลในการเจรจากับกลุํมพยัคฆ๑ทมิฬอีแลม (Liberation Tigers of Tamil Ealam -- LTTE) ถึงสองครั้ง 1.2 ความขัดแย๎งทางเชื้อชาติระหวํางชาวสิงหลและชาวทมิฬ ศรีลังกามีปัญหาความ ขัดแย๎งทางเชื้อชาติระหวํางชาวสิงหลและชาวทมิฬมาเป็นเวลานับศตวรรษ โดยชาวทมิฬต๎องการ ที่จะแยกดินแดนทางภาคเหนือและตะวันออกของประเทศตั้งเป็นมาตุภูมิทมิฬ จึงได๎กํอตั้งกลุํม LTTE เพื่อเป็นกองกําลังในการตํอสู๎กับรัฐบาล โดยใช๎วิธีการกํอการร๎าย ระเบิดพลีชีพ และการลอบ

142

สังหาร โดยพุํงเป้าไปที่หนํวยทหาร ผู๎นําทางการเมือง และเจ๎าหน๎าที่ทางการท๎องถิ่นชาวสิงหล นอร๑เวย๑ (ผู๎ไกลํเกลี่ย) ได๎เริ่มกระบวนการเจรจาสันติภาพในปี พ.ศ. 2543 นําไปสูํการลงนามความ ตกลงหยุดยิงในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งตามมาด๎วยการเจรจาสันติภาพที่มีการประชุมมาทั้งหมด 8 ครั้ง โดยการเจรจาฯ จัดขึ้นที่ไทย 3 ครั้ง (กันยายน/ตุลาคม พ.ศ. 2545 และมกราคม พ.ศ. 2546) การ เจรจาฯ ครั้งสุดท๎ายจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2549 ที่นครเจนีวา ก็ไมํปรากฏผลที่ สําคัญใดๆ อาจกลําวได๎วํา การเจรจาฯ ที่ผํานไมํสามารถบรรลุผลใด ๆ ที่เป็นรูปธรรมได๎ เนื่องจาก ทั้งสองฝ่ายขาดความไว๎วางใจซึ่งกันและกัน ตลอดจนความจริงใจที่จะยุติปัญหาทาการเมืองอยําง ถาวร แม๎จะได๎รับแรงกดดันอยํางตํอเนื่องจากประเทศตะวันตก ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติที่ผํานมา ทั้ง สองฝ่ายตํางละเมิดความตกลงการหยุดยิงอยูํเนือง ๆ รัฐบาลศรีลังกากลําวหาวํากลุํม LTTE มักจะ ใช๎ชํวงเวลาหยุดยิงฟื้นฟูกําลังของตัวเอง ประธานาธิบดี Rajapaksa คนปัจจุบันซึ่งได๎รับการ เลือกตั้งมีนโยบายปราบปรามกลุํม LTTE อยํางเด็ดขาด รัฐบาลศรีลังกาได๎ยกเลิกข๎อตกลงหยุดยิง เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 และเปลี่ยนมาใช๎มาตรการทางทหารจัดการกับกลุํม LTTE โดย ตั้งเป้าหมายปราบปรามกลุํม LTTE ให๎หมดสิ้นภายในกลางปี พ.ศ. 2552 (เดิมภายในปี พ.ศ. 2551) สํงผลทําให๎กลุํม LTTE อํอนกําลังลงอยํางมาก แตํระหวํางนั้นก็ยังคงใช๎การกํอการร๎ายตอบ โต๎รัฐบาลศรีลังกาอยูํบํอยครั้ง เชํน การวางระเบิดบริเวณชุมชนใจกลางกรุงโคลัมโบหลายครั้ง ทั้งที่ สถานีรถไฟ สวนสัตว๑ รถประจําทาง และห๎างสรรพสินค๎า การลอบสังหารเจ๎าหน๎าที่ระดับสูงของ รัฐบาล อาทิ นาย D.M. Dassanayake รัฐมนตรีวําการกระทรวงการสร๎างชาติ เมื่อวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551 และนาย J. Fernandopulle รัฐมนตรีวําการกระทรวงทางหลวงและการ พัฒนาถนน เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2551 เป็นต๎น สืบเนื่องจากเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่ รัฐบาลศรีลังกาสามารถยึดเมือง Thoppigala (หํางจากกรุงโคลัมโบประมาณ 320 ก.ม. ทางทิศ ตะวันออก) ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท๎ายของ LTTE ในภาคตะวันออกของประเทศ วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 รัฐบาลก็ประสบความสําเร็จในการจัดการเลือกตั้งท๎องถิ่นในภาคตะวันออกของ ประเทศ โดย United People’s Freedom Alliance (UPFA) ซึ่งเป็นกลุํมพรรครัฐบาลผสมภายใต๎ การนําของพรรค SLFP ของประธานาธิบดีได๎รับชัยชนะอยํางทํวมท๎น โดยได๎รับ 20 ที่นั่งจาก ทั้งหมด 37 ที่นั่ง รัฐบาลพยายามชํวงชิงโอกาสที่กลุํม LTTE กําลังอยูํในสถานะเสียเปรียบ ใช๎กําลัง เข๎าปราบปรามกลุํม LTTE ให๎ราบคาบ โดยเริ่มแผนปฏิบัติการทางทหารครั้งใหมํตั้งแตํเดือน กันยายน พ.ศ. 2551 รัฐบาลศรีลังกาสามารถยึดคืนเมืองสําคัญตําง ๆ ที่เป็นฐานปฏิบัติการของ กลุํม LTTE ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได๎แกํ เมือง Kilinochchi ซึ่งเปรียบเสมือน เมืองหลวงของกลุํม LTTE และเมือง Mullaitivu ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พอถึงชํวงต๎นเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2552 กลุํม LTTE จําเป็นต๎องถอยรํนไปอยูํในบริเวณแนวชายฝั่งทาง

143

ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และตกเป็นฝ่ายตั้งรับ ภายหลังจากการโจมตีอยํางหนักหนํวง ของกองทัพศรีลังกา กลุํม LTTE ประกาศหยุดยิงฝ่ายเดียวเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552 ตํอมา รัฐบาลศรีลังกาประกาศชัยชนะเหนือกลุํม LTTE เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 หลังจากที่ กองทัพศรีลังกาสามารถสังหารนาย Velupillai Prabhakaran ผู๎นําของกลุํม LTTE ได๎สําเร็จ ถือ เป็นการสิ้นสุดการสู๎รบภายในประเทศ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากทางเชื้อชาติระหวํางชาวสิงหลและชาว ทมิฬที่ดําเนินมาเกือบ 30 ปี 2. เศรษฐกิจและสังคม ประธานาธิบดี Rajapaksa ดําเนินนโยบายเศรษฐกิจและสังคม โดยอาศัยหลักการ Mahinda Chintana (Mahinda Vision) หรือวิสัยทัศน๑แหํงมาฮินดา ซึ่งเป็นแนว ทางการพัฒนาประเทศที่มีระยะเวลาดําเนินการ 10 ปี ตั้งแตํ พ.ศ. 2549 - 2559 โดยเน๎นการ พัฒนาสถาบันครอบครัวเป็นแกนหลักของสังคม ซึ่งมีเป้าหมายหลัก คือ การขจัดความยากจน แบบยั่งยืน และมีแนวทางปฏิบัติ คือ การสร๎างสังคมที่มีวินัย โดยการรักษาวัฒนธรรมและศีลธรรม ประชาชนทุกคนและทุกหนํวยงานต๎องให๎ความเคารพกฎหมาย มีธรรมาภิบาลอยํางเครํงครัด นอกจากนี้ รัฐบาลจะดําเนินนโยบายที่สามารถเข๎าถึงประชาชนมากขึ้น โดยให๎ประชาชนมีเสรีภาพ ในการนับถือศาสนาและปฏิบัติศาสนกิจ และสร๎างสภาพแวดล๎อมของประเทศให๎เอื้อตํอการ พัฒนาเยาวชน สร๎างองค๑ความรู๎ ทักษะ ความเข๎มแข็ง และสุขภาพที่ดีให๎แกํประชาชน ภายใต๎ หลักการ Mahinda Chintana ศรีลังกาจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจมหภาคที่ให๎ความเป็นธรรมตํอสังคม และเปิดชํองทางให๎ประชาชนทั่วไปได๎รับประโยชน๑จากการปฏิรูปเศรษฐกิจซึ่งจะนําศรีลังกาไปสูํ จุดที่แข็งแกรํงในระบบเศรษฐกิจโลก โดยมุํงเน๎น ( 1) การลดความยากจน ( 2) การสํงเสริมการ ลงทุนในพื้นที่หํางไกล ( 3) การพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ( 4) การพัฒนาภาค การเกษตร และ ( 5) การขยายบริการสาธารณะ โดยรัฐบาลศรีลังกาปฏิเสธการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งรวมถึงธนาคารของรัฐ สนามบิน และกิจการไฟฟ้า อีกทั้งยังมีนโยบายเข๎าไปบริหารกิจการ สําคัญตํางๆ ด๎วยตัวเองศรีลังกาต๎องการแหลํงเงินทุนในการพัฒนาประเทศอยํางมากตามหลักการ Mahinda Chintana ทําให๎ต๎องพึ่งพาเงินกู๎เงินชํวยเหลือให๎เปลําและเงินลงทุนจากตํางชาติเป็น จํานวนมาก ที่ผํานมา ศรีลังกาได๎ขอรับความชํวยเหลือจากธนาคารเพื่อการพัฒนาแหํงเอเชีย (Asian Development Bank -- ADB) ญี่ปุ่น และประเทศอื่น ๆ โดยอิหรํานเป็นประเทศที่ให๎ความ ชํวยเหลือแกํศรีลังกามากที่สุด และจีนเป็นผู๎ให๎กู๎รายใหญํสําหรับการพัฒนาโครงสร๎างพื้นฐานของ ศรีลังกา เชํน ทําเรือ โรงงานไฟฟ้า เป็นต๎น รัฐบาลศรีลังกาอยูํระหวํางการสํงเสริมให๎มีการลงทุน จากตํางประเทศมากขึ้นภายหลังจากที่สถานการณ๑ภายในประเทศสงบลง โดยเฉพาะในพื้นที่ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศรีลังกาตั้งเป้าหมายสําหรับเงินลงทุนจากตํางประเทศใน ปี พ.ศ. 2552 ไว๎ที่ 2 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ โดยคณะกรรมการสํงเสริมการลงทุน ( Board of

144

Investment -- BOI) ของศรีลังกามีมาตรการสํงเสริมการลงทุนในรูปแบบตําง ๆ เชํน ยกเว๎นภาษี 3-15 ปี ยกเว๎นภาษีนําเข๎าวัตถุดิบ เป็นต๎น ทั้งนี้ ภาคธุรกิจที่เป็นเป้าหมายในการสํงเสริม การ ลงทุน ได๎แกํ สิ่งทอ ซอฟท๑แวร๑ อัญมณีและเครื่องประดับ การทํองเที่ยว ยางพารา และ outsourcing ศรีลังกาได๎ขอกู๎เงินจาก IMF จํานวน 2,600 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐเพื่อแก๎ไขปัญหา เศรษฐกิจของประเทศ โดย IMF ได๎อนุมัติเงินกู๎งวดแรกแกํศรีลังกามูลคํา 322.2 ล๎านดอลลาร๑ สหรัฐ เมื่อกรกฎาคมที่ผํานมา ทั้งนี้ จากการทบทวนการจัดเงินกู๎ของศรีลังกาเมื่อวันที่ 8-22 กันยายน พ.ศ. 2552 นั้น IMF เห็นวํา พัฒนาการทางเศรษฐกิจของศรีลังกาที่มีความเข๎มแข็งกวําที่ คาดการณ๑ไว๎ อยํางไรก็ดี ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ําทั่วโลกที่สํงผลกระทบตํอการสํงออกของศรีลังกา ยังคงเป็นอุปสรรคตํอการฟื้นตัว 3. นโยบายต่างประเทศ อินเดียมีความสําคัญลําดับต๎นๆ ตํอการดําเนินนโยบาย ตํางประเทศศรีลังกา ทั้งในด๎านการเมืองและด๎านเศรษฐกิจ ในชํวงการทําสงครามกับกลุํม LTTE ความรํวมมือด๎านความมั่นคงจากอินเดียมีสํวนสําคัญตํอในการปราบปรามและสกัดกั้นกิจกรรม ของกลุํม LTTE อินเดียถือเป็นคูํค๎าที่สําคัญมากที่สุดประเทศหนึ่งของศรีลังกา ทั้งนี้ ปัจจุบันศรี ลังกาเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียใต๎ที่อินเดียจัดทําความตกลงการค๎าเสรี (FTA) ด๎วย สําหรับประเทศอื่น ๆ นั้น ศรีลังกาพึ่งพาญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศผู๎ให๎การชํวยเหลือเพื่อการพัฒนาราย ใหญํที่สุด รวมทั้ง ยังมีความสัมพันธ๑ที่ใกล๎ชิดกับปากีสถานซึ่งเป็นแหลํงอาวุธที่สําคัญของรัฐบาล ศรีลังกา ศรีลังกาถูกประเทศตะวันตกประณามและโจมตีอยํางหนักเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในชํวงที่กองทัพศรีลังกาดําเนินการปราบปรามกลุํม LTTE ประเทศตะวันตกหลายประเทศ พยายามเรียกร๎องให๎มีการสอบสวนการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรม ระหวํางประเทศโดยกองทัพและรัฐบาลศรีลังกา ภายใต๎บริบทเชํนนี้ อาจทําให๎ศรีลังกามีทําทีโน๎ม เอียงเข๎าหาประเทศในเอเชีย รวมถึงประเทศกําลังพัฒนาอื่นๆ มากขึ้น ที่ผํานมา ศรีลังกามี ความสัมพันธ๑ที่แนํนแฟ้นกับจีน (ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ๑ทางการทูตเมื่อปี พ.ศ. 2550) เมื่อ จีนเกิดแผํนดินไหวที่มณฑลเสฉวน ( 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551) รัฐบาลศรีลังกาได๎จัดเที่ยวบิน พิเศษขนสํงเวชภัณฑ๑ เต็นท๑ เสื้อผ๎า และชา ไปให๎ความชํวยเหลือแกํจีน คิดเป็นจํานวนเงิน 120 ล๎านรูปีศรีลังกา (หรือประมาณ 110,000 ดอลลาร๑สหรัฐ) ประธานาธิบดี Rajapaksa ได๎เดินทางไป รํวมพิธีเปิดโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่งด๎วย ( 8 สิงหาคม พ.ศ. 2551) ในขณะเดียวกัน ศรีลังกาได๎เริ่ม กระชับความสัมพันธ๑อยํางแนบแนํนกับอิหรําน ประธานาธิบดี Mahmoud Ahmadinejad เยือนศรี ลังกา เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 โดยได๎ให๎คํามั่นที่จะให๎ความชํวยเหลือในการกํอสร๎างระบบ ชลประทาน มูลคํา 450 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ นอกจากนี้ อิหรํานยังเป็นผู๎ให๎เงินกู๎รายใหญํเพื่อใช๎ใน

145

การพัฒนาโครงสร๎างพื้นฐานของศรีลังกาอีกด๎วย ในอนาคต ศรีลังกายังคงต๎องดําเนินความ รํวมมือด๎านความมั่นคงกับประเทศเพื่อนบ๎านตํอไป โดยเฉพาะอินเดียและประเทศในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ เนื่องจากยังคงมีความเป็นไปได๎ที่สมาชิกที่เหลือของกลุํม LTTE อาจจะ หลบหนีและใช๎ประเทศเพื่อนบ๎านเป็นฐานปฏิบัติการ รวมถึงโจมตีผลประโยชน๑ของศรีลังกาใน ประเทศนั้น ๆ เพิ่มขึ้น ศรีลังกามีบทบาทที่แข็งขันในสมาคมความรํวมมือในภูมิภาคเอเชียใต๎ (South Asian Association for Regional Cooperation -- SAARC) และเป็นสมาชิกสมาคม ความรํวมมือแหํงภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ( Indian Ocean Rim Association for Regional Cooperation -- IOR-ARC) กรอบความรํวมมือความริเริ่มแหํงอําวเบงกอลสําหรับความรํวมมือ หลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation -- BIMSTEC) กลุํมประเทศในเครือจักรภพ และกลุํมไมํ ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement -- NAM)

เศรษฐกิจการค้า ข้อมูลเศรษฐกิจทั่วไป หน่วยเงินตรา เงินรูปีศรีลังกา ( Sri Lankan Rupee) อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร๑สหรัฐ เทํากับประมาณ 108 รูปีศรีลังกา หรือ 1 บาท ประมาณ 3.2 รูปีศรีลังกา ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 43 พันล๎านดอลลาร๑สหรัฐ (ปี พ.ศ. 2551) รายได้ประชาชาติต่อหัว 2,210 ดอลลาร๑สหรัฐ (ปี พ.ศ. 2551) การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร๎อยละ 5.8 (ปี พ.ศ. 2551) สินค้าส่งออกที่ส าคัญ เสื้อผ๎าสําเร็จรูปและสิ่งทอ ชา ผลิตภัณฑ๑ยางพารา อัญมณีและ เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ๑ปิโตรเลียม สินค้าน าเข้าที่ส าคัญ สิ่งทอ แรํธาตุ น้ํามัน อาหาร เครื่องจักรกล ประเทศคู่ค้าที่ส าคัญ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร อินเดีย สิงคโปร๑ จีน

ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ความสัมพันธ์กับประเทศไทย 1. ความสัมพันธ์ทั่วไป ไทยและศรีลังกาสถาปนาความสัมพันธ๑ทางการทูตในระดับอัคร ราชทูต เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 และยกระดับเป็นระดับเอกอัครราชทูตเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2504 ปัจจุบัน นายทินกร กรรณสูต ดํารงตําแหนํงเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบ

146

และศาสตราจารย๑ชัยรัตนะ พันทะ ทิสานายกะ ( Prof. Jayaratna Banda Disanayaka) ดํารง ตําแหนํงเอกอัครราชทูตศรีลังกาประจําประเทศไทย 1.1 ความสัมพันธ๑ด๎านการเมือง ไทยสนับสนุนสันติภาพให๎เกิดขึ้นในศรีลังกา โดยให๎ การสนับสนุนการเจรจาสันติภาพระหวํางกลุํม LTTE และศรีลังกา และพร๎อมให๎การสนับสนุนการ เจรจาสันติภาพ เชํน การใช๎ไทยเป็นสถานที่จัดการเจรจา ทั้งนี้ ไทยเคยรับเป็นสถานที่จัดการเจรจา ตามที่ผู๎แทนของนอร๑เวย๑ได๎ทาบทามทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยเป็นสถานที่จัดการเจรจาครั้งที่ 1 ที่ฐาน ทัพเรือสัตหีบ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 ครั้งที่ 2 ที่สวนสามพราน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2545 และครั้งที่ 4 ที่สวนสามพราน เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 ที่ผํานมา รัฐบาลศรีลังกาเชื่อวํา ขบวนการกํอการร๎าย LTTE มีความเคลื่อนไหวในประเทศไทย โดยมีการลักลอบขนสํงอาวุธและ ปัจจัยสงครามที่จัดซื้อจากกัมพูชาผํานทางภาคใต๎ของประเทศไทยไปบํารุงกําลังของกลุํม LTTE ที่ คาบสมุทรจาฟนาทางตอนเหนือของศรีลังกา เพื่อใช๎สู๎รบกับกองทัพศรีลังกา แตํฝ่ายไทยได๎ ตรวจสอบแล๎ว และไมํพบหลักฐานใด ๆ ที่ชี้ถึงการใช๎ดินแดนไทยเป็นที่จัดซื้ออาวุธสงคราม หรือใช๎ ไทยเป็นทางผํานในการขนอาวุธ ทั้งนี้ กระทรวงการตํางประเทศได๎แถลงชี้แจงยืนยันนโยบายวํา ไทยไมํยินยอมให๎กลุํมใด ๆ ใช๎ดินแดนของไทยปฏิบัติการตํอต๎านหรือบํอนทําลายมิตรประเทศ และไมํสนับสนุนกระบวนการกํอการร๎ายสากลใด ๆ ทั้งสิ้น โดยไทยได๎ให๎ความรํวมมือด๎านขําว กรองและความมั่นคงแกํศรีลังกาเสมอมา นอกจากนี้ แม๎วําการสู๎รบระหวํางรัฐบาลศรีลังกากับ กลุํม LTTE จะสิ้นสุดลงแล๎ว แตํไทยยินดีให๎ความรํวมมือกับรัฐบาลศรีลังกาตํอไป เพื่อสกัดกั้น กิจกรรมของสมาชิกกลุํม LTTE ที่อาจจะหลงเหลืออยูํและอาจเข๎ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทยใน อนาคต 1.2 ความสัมพันธ๑ทางเศรษฐกิจ ในชํวงปี พ.ศ. 2551 การค๎าระหวํางไทยกับศรีลังกามี มูลคํา 411 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ โดยไทยสํงสินค๎าออกไปยังศรีลังกาเป็นมูลคํา 344.52 ล๎าน ดอลลาร๑สหรัฐ และนําเข๎าสินค๎าจากศรีลังกา 66.8 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ ดังนั้น ไทยเป็นฝ่าย ได๎เปรียบดุลการค๎า ในระหวํางการเยือนศรีลังกาอยํางเป็นทางการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2546 ได๎มีความตกลงที่จะเพิ่มมูลคําการค๎าระหวํางกันให๎ได๎ 1,000 ล๎านดอลลาร๑สหรัฐ ภายใน 3-5 ปี และได๎จัดตั้งคณะอนุกรรมการการค๎า ภายใต๎คณะกรรมาธิการ รํวมไทย-ศรีลังกา (Joint Commission - JC) และสองฝ่ายเจรจาความตกลง Preferential Trade Agreement - PTA เสร็จเรียบร๎อยแล๎ว เหลือเพียงการลงนาม อยํางไรก็ดี ไทยขอให๎ชะลอการลง นามไว๎กํอนจนกวําจะสร๎างความเข๎าใจกับผู๎ปลูกชาของชาวไทยให๎เรียบร๎อยกํอน เนื่องจากผู๎ปลูก ชาของชาวไทยมีความกังวลวํา จะเสียประโยชน๑หากไทยให๎สิทธิพิเศษทางภาษีสําหรับสินค๎าชาแกํ ศรีลังกา สินค๎าสํงออกที่สําคัญของไทย ได๎แกํ ปูนซีเมนต๑ ผ๎าผืน ปลาแห๎ง เม็ดพลาสติก และ

147

น้ําตาลทราย ในขณะที่สินค๎านําเข๎าที่สําคัญของไทย ได๎แกํ อัญมณี เงินแทํงและทองคํา ผลิตภัณฑ๑ โลหะ ผ๎าผืน และเสื้อผ๎าสําเร็จรูป ด๎านการลงทุน ไทยลงทุนในศรีลังกาไมํมากนัก โดยศรีลังกา ลงทุนในไทยตั้งแตํปี พ.ศ. 2513 รวม 702.3 ล๎านบาท ในสาขาอัญมณี ผลิตภัณฑ๑ยาง และ คาร๑บอน สํวนการลงทุนไทยในศรีลังกามีประมาณ 386 ล๎านบาท ในสาขาผ๎าลูกไม๎และอัญมณี ทั้งนี้ สาขาความรํวมมือที่มีศักยภาพระหวํางสองฝ่าย ได๎แกํ อุตสาหกรรมที่ใช๎ยางเป็นวัตถุดิบใน การผลิต อุตสาหกรรมเพชรพลอยและอัญมณี และการกํอสร๎างระบบสาธารณูปโภค เป็นต๎น ทั้ง สองประเทศมีโอกาสในการขยายการค๎าและการลงทุนระหวํางกัน โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ๑ ภายในศรีลังกาได๎เริ่มกลับมามีเสถียรภาพ ทั้งนี้ ศรีลังกาเป็นประเทศที่มีปัจจัยเอื้ออํานวยตํอการ ดึงดูดการค๎าและการลงทุนตํางชาติ ได๎แกํ ( 1) การขยายตัวทางเศรษฐกิจของศรีลังกามีแนวโน๎ม สูงขึ้น (เศรษฐกิจของศรีลังกาเติบโตเฉลี่ยร๎อยละ 4.5 ตํอปี แม๎วําจะมีการสู๎รบในประเทศ) ( 2) ศรี ลังกามีนโยบายเปิดรับการลงทุนจากตํางประเทศเพื่อฟื้นฟูและบูรณะประเทศจากสงครามภายใน กับกลุํม LTTE และ (3) นักลงทุนสามารถใช๎ประโยชน๑จากข๎อตกลงการค๎าเสรีที่ศรีลังกามีกับ อินเดีย เมื่อวันที่ 22-23 มิถุนายน พ.ศ. 2552 นาย Anura Priyadarshana Yapa รัฐมนตรีวําการ กระทรวงการพัฒนาวิสาหกิจและการสํงเสริมการลงทุนของศรีลังกา นําคณะผู๎แทนจาก BOI ศรี ลังกาและภาคธุรกิจของศรีลังกาเยือนไทย เพื่อชักจูงให๎นักธุรกิจไทยเข๎าไปลงทุนในศรีลังกามาก ขึ้น โดยรัฐบาลศรีลังกาพร๎อมให๎ความชํวยเหลือด๎านการอํานวยความสะดวกและการให๎มาตรการ จูงใจในรูปแบบตําง ๆ ด๎านการทํองเที่ยว ในปี พ.ศ. 2550 มีนักทํองเที่ยวศรีลังกาเดินทางมา ประเทศไทย 44,239 คน และมีนักทํองเที่ยวไทยเดินทางไปศรีลังกา 5,744 คน ไทยและศรีลังกา เห็นพ๎องกันที่จะสํงเสริมความรํวมมือด๎านการทํองเที่ยวระหวํางกัน โดยเฉพาะการทํองเที่ยวเชิง พุทธศาสนาและการทํองเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเป็นในลักษณะ Combined Destination ทั้งนี้ สองฝ่ายมีความตกลงในเรื่อง Visit BIMSTEC Year และ Buddhist Trail ระหวํางประเทศที่มี ประวัติศาสตร๑เกี่ยวข๎องกับพุทธศาสนา นอกจากนี้ ไทยยังให๎ความรํวมมือแกํศรีลังกาในการ ฝึกอบรมบุคลากรและแลกเปลี่ยนประสบการณ๑ในด๎านการทํองเที่ยวด๎วย ถือเป็นอีกมิติของความ รํวมมือด๎านการทํองเที่ยวระหวํางไทยและศรีลังกา 1.3 ความชํวยเหลือด๎านมนุษยธรรมและการฟื้นฟูบูรณะประเทศ ภายหลังเกิด เหตุการณ๑สึนามิในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งได๎ครําชีวิตชาวศรีลังกากวํา 32,000 คน กํอให๎เกิดผู๎ไร๎ที่อยูํ อาศัยกวํา 443,000 คน และสร๎างความเสียหายทางเศรษฐกิจแกํศรีลังกากวํา 1 พันล๎านดอลลาร๑ สหรัฐ รัฐบาลไทยได๎มอบเงินให๎รัฐบาลศรีลังกาเพื่อชํวยฟื้นฟูประเทศจํานวน 250,000 ดอลลาร๑ สหรัฐ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได๎บริจาคเงิน จํานวน 20,000 ดอลลาร๑สหรัฐ แกํโครงการอาหาร โลก (United Nations World Food Programme: WFP) สําหรับสนับสนุนโครงการของ WFP ที่ให๎

148

ความชํวยเหลือแกํผู๎ได๎รับผลกระทบจากการสู๎รบในศรีลังกา ลําสุด ผลจากการสู๎รบภายในประเทศ ศรีลังกาเมื่อกลางปี พ.ศ. 2552 ยังผลทําให๎มีผู๎พลัดถิ่นในประเทศศรีลังกาจํานวนกวํา 300,000 คน หลบหนีเข๎ามาอยูํในคํายพักพิงที่รัฐบาลศรีลังกาสร๎างขึ้นในเขตพื้นที่ภาคเหนือและภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อแสดงไมตรีจิตในฐานะมิตรประเทศตํอศรีลังกา รัฐบาลไทย โดยกระทรวง การตํางประเทศ ได๎บริจาคยา เวชภัณฑ๑ และเตรียมพยาบาล มูลคํากวํา 1,300,000 บาท เพื่อ นําไปบรรเทาปัญหาด๎านการสาธารณสุขและสุขอนามัยในคํายพักพิง โดยได๎สํงมอบผํานกระทรวง สาธารณสุขและโภชนาการของศรีลังกาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552 นอกจากนี้ กระทรวงการ ตํางประเทศยังได๎เปิดบัญชีเพื่อขอรับเงินบริจาคจากประชาชนชาวไทยที่มีจิตใจเป็นกุศล โดยจะ นําไปจัดซื้อสิ่งของเพิ่มเติมเพื่อชํวยเหลือศรีลังกาในการฟื้นฟูบูรณะประเทศตํอไป 1.4 ความสัมพันธ๑ทางสังคมและวัฒนธรรม ความรํวมมือด๎านวัฒนธรรม - ไทยและศรีลังกามีความสัมพันธ๑พิเศษทางด๎านพุทธศาสนาตั้งแตํศตวรรษที่ 12 (ราว 800 ปีที่แล๎ว) เจ๎าเมืองนครศรีธรรมราชได๎สํงคณะผู๎แทนไปศรีลังกา เพื่อนิมนต๑พระภิกษุศรีลังกา จํานวน 3 รูปมาชํวยฟื้นฟูเผยแพรํพุทธศาสนาที่นครศรีธรรมราช กํอนที่จะเผยแพรํไปยังอาณาจักร สุโขทัยในสมัยพํอขุนรามคําแหงมหาราช ทําให๎พุทธศาสนาในประเทศไทยเจริญรุํงเรืองขึ้น และ เรียกวํานิกายลังกาวงศ๑ แตํตํอมา ปี พ.ศ. 2296 ไทยได๎สํงคณะพระภิกษุ นําโดยพระอุบาลีมหา เถระเดินทางไปศรีลังกาตามคําร๎องขอ เพื่อฟื้นฟูพุทธศาสนาในศรีลังกาอีกครั้ง และได๎สถาปนา พุทธศาสนานิกายสยามวงศ๑ขึ้นในศรีลังกาจนรุํงเรืองตราบปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัว อานันทมหิดลและพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวภูมิพลอดุลยเดช พร๎อมด๎วยสมเด็จพระศรีนคริน ทราบรมราชชนนี ได๎เสด็จฯ เยือนศรีลังกา เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2482 และเสด็จฯ วัดทีปทุตตา มารามอันเป็นวัดพุทธที่เกําแกํที่สุดแหํงหนึ่งในกรุงโคลัมโบ พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวอานันท มหิดล ทรงปลูกต๎นไม๎มงคล คือ ต๎นจันทน๑ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระ เจ๎าอยูํหัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ๎าฯ พระบรมราชินีนาถ ได๎เสด็จฯ เยือนที่วัดนี้อีก ครั้ง และในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2542 สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ๑ อัครราช กุมารี ได๎เสด็จฯ เยือนวัดนี้เชํนกัน ขณะนี้ รัฐบาลไทย โดยกระทรวงการตํางประเทศและกรม ศิลปากร ได๎ดําเนินการให๎ความชํวยเหลือในการซํอมแซมยอดฉัตรรัตนเจดีย๑เป็นที่เรียบร๎อยแล๎ว ตามที่เจ๎าอาวาสของวัดขอความชํวยเหลือผํานสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคลัมโบ โดยอยูํ ระหวํางการสํงกลับไปยังศรีลังกา ทั้งนี้ ยอดฉัตรดังกลําว วัดทีปทุตตามารามได๎รับพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยูํหัว ศรีลังกาได๎มอบหนํอพระศรีมหาโพธิ์จากวัดพระ ธาตุเขี้ยวแก๎ว เมืองแคนดี้ และจากวัดพระศรีมหาโพธิ์ เมืองอนุราชปุระในศรีลังกาเพื่อมาปลูกใน

149

ไทย นอกจากนั้น ศรีลังกายังได๎บริจาคเงินเพื่อรํวมบูรณปฏิสังขรณ๑หอไตรและหอระฆังวัดธรรมา ราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา และเป็นวัดที่พระอุบาลีมหาเถระ เคยเป็นเจ๎าอาวาสกํอนที่จะเดินทางไปฟื้นฟูพุทธศาสนาในศรีลังกา จํานวน 3,440,000 บาท และ นายกรัฐมนตรีศรีลังกาได๎เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดหอไตรและหอระฆังดังกลําว เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551 วัดพุทธในศรีลังกาได๎รับผ๎าพระกฐินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระ เจ๎าอยูํหัวผํานกระทรวงการตํางประเทศเป็นประจําทุกปี สําหรับการขอพระราชทานผ๎าพระกฐิน พระราชทานสําหรับวัดพุทธในศรีลังกาประจําปี พ.ศ. 2552 นี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุง โคลัมโบ ได๎เสนอชื่อวัดศรีปรมนันทะ (หรือวัดจุฬาลงกรณ๑) ในเมือง Galle ซึ่งเป็นวัดที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยูํหัวทรงวางศิลาฤกษ๑กํอสร๎าง “จุฬาลงกรณ๑ธรรมศาลา” เมื่อ ครั้งเสด็จฯ ในครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2440 ความรํวมมือด๎านวิชาการ - ไทยได๎ให๎ความชํวยเหลือแกํ ศรีลังกาผํานสํานักงานความรํวมมือเพื่อการพัฒนาระหวํางประเทศ กระทรวงการตํางประเทศ โดย ไทยให๎ความสําคัญตํอความชํวยเหลือด๎านมนุษยธรรม การบูรณะโครงสร๎างพื้นฐาน การฝึกอบรม อาชีพและสร๎างรายได๎ ในพื้นที่ตอนเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศศรีลังกา ซึ่งเป็นเขต ยึดครองของกลุํม LTTE และในด๎านการเกษตร การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการทํองเที่ยว ใน พื้นที่อื่น ๆ ซึ่งอยูํภายใต๎การปกครองของฝ่ายรัฐบาล ทั้งนี้ การเข๎าไปดําเนินกิจกรรมในพื้นที่ของ กลุํม LTTE มีปัญหาที่สําคัญ คือ การเจรจาสันติภาพระหวํางรัฐบาลกับ LTTE ไมํมีความคืบหน๎า และฝ่ายรัฐบาลศรีลังกาไมํประสงค๑ให๎ฝ่ายไทยสนับสนุนงบประมาณ หรือประสานงานกับกลุํม LTTE โดยตรง อยํางไรก็ดี จากสถานการณ๑การสู๎รบภายในศรีลังกาที่ได๎สิ้นสุดลงไปแล๎ว ฝ่ายไทย ประสงค๑ให๎ความชํวยเหลือแกํศรีลังกามีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยสอดคล๎องกับแผนการฟื้นฟู บูรณะประเทศของศรีลังกา ที่ผํานมา รัฐบาลไทยได๎ให๎ความรํวมมือทางวิชาการแกํศรีลังกาใน รูปแบบของการให๎ทุนการศึกษา หรือทุนฝึกอบรมประจําปีภายใต๎กรอบตําง ๆ เชํน ทุนศึกษาระดับ ปริญญาโทนานาชาติ ( Thai International Postgraduate Program – TIPP) ทุนหลักสูตร ฝึกอบรมนานาชาติประจําปี (Annual International Training Courses – AITC) ความรํวมมือ ไตรภาคี (Trilateral Cooperation) และโครงการฝึกอบรมประเทศที่สาม (Third Country Training Programme – TCTP) ในปี พ.ศ. 2551 ศรีลังกาได๎รับ 32 ทุน ในสาขา เชํน การเกษตร การศึกษา วิศวกรรมศาสตร๑ เทคโนโลยีสารสนเทศ บริหารธุรกิจ สิ่งแวดล๎อม การแพทย๑ สาธารณสุข การ พัฒนาชนบท เศรษฐกิจการค๎า และการทํองเที่ยว เป็นต๎น สําหรับในปี พ.ศ. 2552 นั้น ศรีลังกา ได๎รับการจัดสรรทุนในรูปแบบตําง ๆ รวมทั้งสิ้น 76 ทุน 2. ความตกลงที่ส าคัญระหว่างไทยกับศรีลังกา 2.1 ความตกลงวําด๎วยบริการขนสํงทางอากาศ (ปี พ.ศ. 2493)

150

2.2 ความตกลงทางวัฒนธรรม (ปี พ.ศ. 2524) 2.3 อนุสัญญาเพื่อการเว๎นการเก็บภาษีซ๎อนและการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากรใน สํวนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได๎ (ปี พ.ศ. 2533) 2.4 ความตกลงวําด๎วยการสํงเสริมและคุ๎มครองการลงทุน (ปี พ.ศ. 2539) 2.5 ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือทางด๎านเศรษฐกิจและวิชาการ (ปี พ.ศ. 2539) 2.6 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยการบูรณะโบราณสถานวัดธรรมาราม จังหวัด พระนครศรีอยุธยา (ปี พ.ศ. 2547) 2.7 ความตกลงวําด๎วยความรํวมมือด๎านการประมง (ปี พ.ศ. 2547) 2.8 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือทวิภาคีด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศและ บริการสารสนเทศ (ปี พ.ศ. 2547) 2.9 สนธิสัญญาวําด๎วยความชํวยเหลือซึ่งกันและกันทางกฎหมายทางอาญา (ปี พ.ศ. 2547) 2.10 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือด๎านเกษตร (ปี พ.ศ. 2547) 2.11 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือด๎านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัย พืช (ปี พ.ศ. 2547) 2.12 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยความรํวมมือเกี่ยวกับการลงทุน (ปี พ.ศ. 2547) 2.13 บันทึกความเข๎าใจวําด๎วยการแลกเปลี่ยนขําวกรองระหวํางกองทัพไทยกับ กองทัพบกศรีลังกา (ปี พ.ศ. 2548)

3. การเยือนที่ส าคัญ 3.1 ฝ่ายไทย พระราชวงศ๑ - พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวอานันทมหิดลและพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวภูมิ พลอดุลยเดช พร๎อมด๎วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จฯ เยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2482 - พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ๎าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ เยือนศรีลังกา เมื่อปี พ.ศ. 2493 - พระเจ๎าวรวงศ๑เธอ พระองค๑เจ๎าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จฯ เยือนศรี ลังกา เมื่อวันที่ 21-28 มิถุนายน พ.ศ. 2532

151

- สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ เยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 19–24 มกราคม พ.ศ. 2536 - สมเด็จพระเจ๎าลูกเธอ เจ๎าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ๑ อัครราชกุมารี เสด็จฯ เยือนศรี ลังกาตามคํากราบทูลเชิญของประธานาธิบดีศรีลังกา เมื่อวันที่ 23-29 สิงหาคม พ.ศ. 2542 - สมเด็จพระเจ๎าพี่นางเธอ เจ๎าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร๑ เสด็จฯ เยือนศรีลังกา และได๎พระราชทานพระไตรปิฎกฉบับอักษรโรมันให๎แกํรัฐบาลศรีลังกา เมื่อ วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2548 รัฐบาล - พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนศรี ลังกา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม - 1 เมษายน พ.ศ. 2524 - ร๎อยตรี ประพาส ลิมปะพันธุ๑ รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนศรี ลังกา เมื่อเดือนมกราคม 2529 และพฤษภาคม พ.ศ. 2530 - นายไชยวัฒน๑ สินสุวงศ๑ รัฐมนตรีวําการกระทรวงอุตสาหกรรม เยือนศรีลังกา เพื่อ รํวมการประชุมด๎านอุตสาหกรรมพื้นบ๎าน เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2539 - นายพิทักษ๑ อินทรวิทยนันท๑ รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนศรี ลังกา เมื่อวันที่ 10-13 มีนาคม พ.ศ. 2540 - ม.ร.ว. สุขุมพันธุ๑ บริพัตร รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนศรี ลังกา เมื่อวันที่ 4 – 8 เมษายน พ.ศ. 2542 - นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เข๎ารํวมประชุม ระดับรัฐมนตรี BIMST-EC ครั้งที่ 5 ที่ศรีลังกา เมื่อวันที่ 19-20 ธันวาคม พ.ศ. 2545 - พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยือนศรีลังกา เมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคม พ.ศ. 2546 - คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค๑ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เยือนศรีลังกาใน ฐานะผู๎แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี เพื่อเข๎ารํวมพิธีแหํพระธาตุเขี้ยวแก๎ว ณ เมืองแคนดี้ เมื่อวันที่ 26–30 สิงหาคม พ.ศ. 2550 - นายกษิต ภิรมย๑ รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เข๎ารํวมประชุมระดับ รัฐมนตรี ACD ครั้งที่ 8 ที่ศรีลังกา เมื่อวันที่ 14-16 ตุลาคม พ.ศ. 2552 3.2 ฝ่ายศรีลังกา - นาง นายกรัฐมนตรี เยือนไทยในฐานะแขกของรัฐบาล เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2519

152

- นาย รัฐมนตรีชํวยวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือน ไทย เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2521 - นาย นายกรัฐมนตรี เยือนไทยในฐานะแขกของรัฐบาล เมื่อวันที่ 12-16 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 - นาย รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนไทย เมื่อวันที่ 2–5 มกราคม พ.ศ. 2539 - นาย Tyronne Fernando รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนไทย เมื่อ วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 - นาย Lakshman Kadirgamar รัฐมนตรีกระทรวงการตํางประเทศ เยือนไทย เมื่อ วันที่ 28–29 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 กํอนเข๎ารํวมประชุม BIMSTEC - นาง ประธานาธิบดี เดินทางมาเข๎ารํวมการประชุมสุด ยอด BIMSTEC เมื่อวันที่ 30–31 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 - นาย Mahinda Rajapaksa นายกรัฐมนตรี เดินทางผํานไทย เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เพื่อไปประชุม World Buddhist Summit ณ กรุงยํางกุ๎ง และมีเจ๎าหน๎าที่ระดับสูงของ กระทรวงการตํางประเทศ นํากระเช๎าดอกไม๎ไปต๎อนรับนายกรัฐมนตรีที่สนามบิน - นาย Ratnasiri Wickramanayaka นายกรัฐมนตรี เยือนไทยเป็นการสํวนตัว เมื่อ วันที่ 26-27 เมษายน พ.ศ. 2549 - นาย Ratnasiri Wickramanayaka นายกรัฐมนตรี เดินทางแวะผํานไทย เพื่อไปรํวม ประชุม Asian Regional Meeting ครั้งที่ 14 ขององค๑การแรงงานระหวํางประเทศ ที่เกาหลีใต๎ เมื่อ วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2549 - นาย Ratnasiri Wickramanayaka นายกรัฐมนตรี เยือนไทยในลักษณะ working visit ระหวํางวันที่ 29 มีนาคม – 1 เมษายน พ.ศ. 2550 - นาย Rohitha Bogollagama รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนไทย อยํางเป็นทางการระหวํางวันที่ 11–13 มิถุนายน พ.ศ. 2551 - นาย Ratnasiri Wickramanayaka นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนไทยเป็นการสํวนตัว เมื่อวันที่ 8-12 กุมภาพันธ๑ พ.ศ. 2552 เพื่อเข๎ารํวมงานบุญวันมาฆบูชาตามคําเชิญของวัด พระธรรมกาย และได๎เข๎าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี - นาย Rohitha Bogollagama รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เยือนไทย อยํางเป็นทางการ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

153

- นาย Rohitha Bogollagama รัฐมนตรีวําการกระทรวงการตํางประเทศ เดินทางมา เข๎ารํวมการประชุม ARF ครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 21-23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 - นาย Ratnasiri Wickramanayaka นายกรัฐมนตรี เดินทางแวะผํานไทย เมื่อวันที่ 21-23 ตุลาคม พ.ศ. 2552 และได๎เข๎าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี

154

ภาคผนวก ช ราชอาณาจักรไทย

155

ราชอาณาจักรไทย1 (Kingdom of Thailand)

ที่ตั้ง ประเทศไทยตั้งอยูํในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎ เหนือเส๎นศูนย๑สูตรเล็กน๎อย ภูมิประเทศ ความยาวสูงสุด 1,620 กม ความกว๎างสูงสุด 775 กม. ขนาดพื้นที่ 513,115 ตร. กม. ภูมิอากาศ ประเทศไทยอยูํในเขตร๎อนชื้นของโลก ภูมิอากาศเป็นแบบเขตร๎อน (Tropical climate) โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยูํที่ 27 ํ C ซึ่งจะมีความแตกตํางกันไปในแตํละพื้นที่และฤดูกาล จ านวนประชากร ปี 2550 ประเทศไทยมีประชากรรวม66.25 ล๎านคน ชาย 32.56 ล๎านคน หญิง 33.69 ล๎านคน ศาสนา ประเทศไทยมีศาสนาประจําชาติ คือศาสนาพุทธ แตํประชาชนทุกคนมีอิสระในการ เลือกนับถือศาสนาตํางๆได๎ตามสมัครใจ พุทธ 93.9% อิสลาม 5.2% คริสต๑ 0.7% อื่นๆ 0.2% สกุลเงิน บาท (33.36 บาท/ดอลลาร๑ สรอ. - คําเฉลี่ยปี พ.ศ. 2551) ภาษา ภาษาประจําชาติไทย คือ ภาษาไทย ระบบการปกครอง ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย๑ ทรงเป็นประมุข การปกครองในปัจจุบัน2 ประเทศไทยได๎เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย๑ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบปรมิตตาญาสิทธิราชย๑ มี กฎหมายสูงสุด คือ รัฐธรรมนูญ โดยมีพระมหากษัตริย๑เป็นองค๑ประมุขของประเทศ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แตํตลอดระยะเวลาที่ผํานมา ประเทศไทยยังเป็นประชาธิปไตยที่ไมํเป็นไป ตามหลักการ มีการปฏิวัติรัฐประหารยึด อํานาจ 4 ครั้ง คือ ครั้งแรก วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ครั้งที่สามวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 และครั้ง ลําสุดวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งผลของการปฏิวัติยึดอํานาจในครั้งหลัง ๆ ได๎นําไปสูํการ

1 ธนาคารแหํงประเทศไทย. 2551. ข้อมูลพื้นฐานเศรษฐกิจไทย. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.bot.or.th/THAI/ECONOMICCONDITIONS/THAI/GENECON/Pages/index.aspx

2 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย . (ม.ป.ป.). ข้อมูลประเทศไทย. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://thai.tourismthailand.org/about-thailand/about-thailand-32-1.html

156

แก๎ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแหํง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 สถาบันตําง ๆ ที่เกี่ยวข๎องกับการปกครองประเทศ มีดังนี้ 1) ฝ่ายบริหาร คือ คณะรัฐมนตรี หรือรัฐบาล 2) ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา ประกอบด๎วยสมาชิก 2 สํวน คือ สมาชิกสภาผู๎แทน ราษฎร (ส.ส.) ซึ่งประชาชนเลือกตั้งเข๎ามาทั้งหมด และวุฒิสมาชิก ซึ่งได๎รับการแตํงตั้งจาก พระมหากษัตริย๑ตามการเสนอ ขึ้นโปรดเกล๎าฯ ของนายกรัฐมนตรี 3) ฝ่ายตุลาการ คือ ศาล มี หน๎าที่พิจารณาคดีตําง ๆ ให๎เป็นไปตามบัญญัติของกฎหมาย เพื่อให๎เกิดความ ยุติธรรมแกํ ประชาชน ทั้งนี้ในรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให๎ศาลเป็นสถาบันอิสระจากรัฐสภาและรัฐบาล มี คณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ทําหน๎าที่ควบคุมการแตํงตั้งข๎าราชการตุลาการ เพื่อให๎ศาลเป็น สถาบันที่ ธํารงไว๎ซึ่งความบริสุทธิ์ยุติธรรมอยํางแท๎จริง

157

บรรณานุกรม

กรมประมง. (2553.). แผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย กองแผนงาน. กรมประมง. กรมเศรษฐกิจระหวํางประเทศ. (2552). เอกสาร BIMSTEC Fact Sheet. กระทรวงการ ตํางประเทศ. กระทรวงการตํางประเทศ. (2551). นโยบายการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ. ค๎นเมื่อ 25 มกราคม 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2662.php?id=23726 ______. (2544). นโยบายมองตะวันตก. ค๎นเมื่อ 25 มกราคม 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/43.php . ______. 2552. หนังสือค าศัพท์-ค าย่อทางการทูต. สถาบันการตํางประเทศ กระทรวงการ ตํางประเทศ (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2) ค๎นเมื่อ 22 มกราคม 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/856.php?code=a กองเอเชียใต๎ กรมเอเชียใต๎ ตะวันออกกลางและแอฟริกา. 2549. สหภาพพม่า. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=49 ______. 2552. ราชอาณาจักรภูฏาน. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=299 ______. 2552. สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=377 ______. 2552. สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=298 ______. 2552. สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=233 ______. 2552. สาธารณรัฐอินเดีย. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.mfa.go.th/web/2386.php?id=125

158

การทํองเที่ยวแหํงประเทศไทย . (ม.ป.ป.). ข้อมูลประเทศไทย. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://thai.tourismthailand.org/about-thailand/about-thailand-32-1.html การพัฒนาความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ. (ม.ป.ป.) ค๎นเมื่อ 4 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://dnfe5.nfe.go.th/ilp/soc5/so31-5-4.htm ไกรสร คือประโคน. 2544. เศรษฐศาสตร์ทางการประมง. เอกสารประกอบการสอนวิชา EC 581. ภาควิชาเศรษฐศาสตร๑การเกษตร. คณะเศรษฐศาสตร๑. มหาวิทยาลัยรามคําแหง. หน๎า 83-84. โคริน เฟื่องเกษม. (2548). แนวคิดและทฤษฏีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ. โรงพิมพ๑จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. กรุงเทพฯ. ทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ. (2552). ค๎นเมื่อ 25 มกราคม 2553 จาก http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=477.0 ธนาคารแหํงประเทศไทย. 2551. ข้อมูลพื้นฐานเศรษฐกิจไทย. ค๎นเมื่อ 3 กุมภาพันธ๑ 2553 จาก http://www.bot.or.th/THAI/ECONOMICCONDITIONS/THAI/GENECON/Pages/i ndex.aspx นิรัชรา เบญจนิติศัย. (2548). รายงานการศึกษาเรื่องโอกาสทางการค้าภายในกรอบ BIMSTEC. กรมเจรจาการค๎าระหวํางประเทศ. กรุงเทพฯ. พงษ๑ศานต๑ พันธุลาภ. (2548). สังคมชุมชนระหว่างประเทศ. บริษัท ส.เสริมมิตรการพิมพ๑ จํากัด. วิทวัส ศรีวิหค. (2548). บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในการเชื่อมไทยกับภูมิภาคและ โลก. ค๎นเมื่อ 25 มกราคม 2553 จาก http://www.nesdb.go.th/Portals/0/news/annual_meet/48/.../07.ppt

159

สุรศักด๑ เจือสุคนธ๑ทิพย๑. (2552). เอกสารประกอบการบรรยายเรื่อง “ความเป็นมาของกรอบ ความร่วมมือ BIMSTEC ความก้าวหน้าสาขาและบทบาทของประเทศไทยในฐานะ Lead Country สาขาประมง” ใน การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อการจัดทําแผนปฏิบัติ การและงบประมาณความรํวมมือประมงภายใต๎กรอบ BIMSTEC (ปีงบประมาณ 2553-2555) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน 2552 ณ จังหวัดอุทัยธานี. อเนก เหลําธรรมทัศน๑. (2553). เอกสารการบรรยายพิเศษเรื่อง “ปฏิวัติเศรษฐกิจไทยด้วยภูมิ รัฐศาสตร์” ใน การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อประเมินสถานการณ๑ ทางทะเลเชิงลึกด๎านเศรษฐกิจและตํางประเทศในการจัดทํายุทธศาสตร๑ความมั่นคง แหํงชาติทางทะเลฉบับใหมํ.เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2553 ณ โรงแรมรอยัล ปริ้นเซส กรุงเทพฯ. อาคม เติมพิทยาไพสิฐ. (2552). เอกสารประกอบการบรรยายของคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ ใน งานครบรอบ BIMSTEC 12 ปี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2552. ณ กระทรวงการตํางประเทศ. Fisheries Foreign Affairs Division. (2007). Report of the BIMSTEC Workshop on Fisheries Cooperation. Department of Fisheries. ______. 2009. Report of the BIMSTEC Fisheries Meeting: Sustainable Fisheries in the Bay of Bengal. Department of Fisheries.

160