Trelagliptin: a Review of Once-Weekly Oral Antidiabetic Drug บทความโดย: กุลชลี เดี่ยวเจริญ, Pharm.D

Total Page:16

File Type:pdf, Size:1020Kb

Trelagliptin: a Review of Once-Weekly Oral Antidiabetic Drug บทความโดย: กุลชลี เดี่ยวเจริญ, Pharm.D Hypertension and Diabetes Series: The New Outlooks Trelagliptin: A Review of Once-Weekly Oral Antidiabetic Drug บทความโดย: กุลชลี เดี่ยวเจริญ, Pharm.D. เนติ สุขสมบูรณ์, B.S. (Pharmacy), Pharm.D., Ph.D. บทคัดย่อ ปัจจุบันมียาลดระดับน�้าตาลในเลือดหลายกลุ่มที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี ยังคงมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ยังไม่สามารถควบคุมระดับน�้าตาลในเลือดได้ตามเป้าหมาย หนึ่งในสาเหตุที่ส�าคัญคือ ความไม่ร่วมมือ ในการบริหารยาของผู้ป่วย ดังนั้น การบริหารยาสัปดาห์ละหนึ่งครั้งจึงเป็นหนึ่งในกลวิธีที่ก�าลังได้รับความสนใจ เพราะมีแนวโน้ม ที่จะช่วยเพิ่มความร่วมมือในการบริหารยาของผู้ป่วย รวมถึงช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยโรคเรื้อรังซึ่งมีแนวโน้มที่จะต้องใช้ยา ระยะยาวได้ Trelagliptin เป็นยาลดระดับน�้าตาลในเลือดกลุ่มยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ชนิดรับประทานสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ซึ่งได้รับ การรับรองจาก Japanese Ministry of Health ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 ให้ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สอง trelagliptin มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยไม่แตกต่างกับ alogliptin ซึ่งเป็นยาลดระดับน�้าตาลในเลือดกลุ่มเดียวกันที่รับประทานวันละหนึ่งครั้ง จากการศึกษาพบว่าผู้ป่วยมีความพึงพอใจที่ดีต่อการใช้ยานี้ trelagliptin จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของยาลดระดับน�้าตาลในเลือด ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง อนึ่ง trelagliptin เป็นยาใหม่จึงควรเฝ้าระวังติดตามความปลอดภัยในระยะยาว บทน�า แนวคิดในการพัฒนายาที่สามารถบริหารได้สะดวกและลดความถี่ โรคเบาหวานเป็นความผิดปกติของกระบวนการเมตะบอลิสม ของการใช้ อาทิเช่น บริหารยาสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง (once-weekly ของร่างกาย ท�าให้มีระดับน�้าตาลในเลือดสูง International Diabetes therapy)3 Federation (IDF)1 คาดการณ์ว่าหากมิได้ท�าการป้องกันหรือรักษา การศึกษาของ Iglay และคณะ4 พบว่าผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่ดี ภายในปี ค.ศ. 2045 จะมีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก ที่บริหารยาสัปดาห์ละหนึ่งครั้งมีอัตราการให้ความร่วมมือ 424.9 ล้านคน เป็น 628.6 ล้านคน จึงมีความพยายามคิดค้นยาใหม่ ในการบริหารยาดีกว่าผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่บริหารยาวันละหนึ่งครั้ง ที่ช่วยลดระดับน�้าตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ ปัจจุบันมียาลดระดับน�้าตาลในเลือดที่สามารถบริหารยาเพียง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ป่วยโรคเบาหวานถึงร้อยละ 45 ที่ยังไม่ สัปดาห์ละหนึ่งครั้งหลายชนิด อาทิเช่น ยาบางตัวในกลุ่ม สามารถควบคุมระดับน�้าตาลในเลือดได้ตามเป้าหมาย (HbA1C Glucagon-like peptide (GLP)-1 analogs (เช่น exenatide weekly, น้อยกว่าร้อยละ 7) ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ส�าคัญคือ ความไม่ร่วมมือ dulaglutide และ semaglutide) และยาบางตัวในกลุ่ม dipeptidyl ในการบริหารยาของผู้ป่วย โดยพบว่าความซับซ้อนหรือความถี่ peptidase-4 (DPP-4) inhibitors (เช่น omarigliptin และ trelagliptin) ในการบริหารยาเป็นปัจจัยหนึ่งที่ท�าให้เกิดปัญหาดังกล่าว2 จึงเกิด ในบทความนี้จะขอ review ข้อมูลของยาที่มีชื่อว่า trelagliptin Trelagliptin5,6 เป็นยาในกลุ่มยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ที่ 1 สัปดาห์ ตามล�าดับ6 ในขณะที่ผลการศึกษาในผู้ป่วยเบาหวาน ถูกพัฒนาขึ้นให้มีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์ได้นานจึงสามารถ ชนิดที่สองในประเทศญี่ปุ่นพบว่า trelagliptin 100 มิลลิกรัม รับประทาน รับประทานสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง trelagliptin จึงแตกต่างจากยาตัวอื่น สัปดาห์ละหนึ่งครั้งสามารถยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ได้ร้อยละ 77.4 ในกลุ่มเดียวกันที่ได้รับการขึ้นทะเบียนและวางจ�าหน่ายก่อนหน้านี้ ณ สัปดาห์ที่ 12 ของการรักษา และค่าเฉลี่ยของปริมาณ GLP-1 ที่ ในประเทศไทยที่ต้องรับประทานทุกวัน (daily therapy) ซึ่งได้แก่ 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติ sitagliptin, vildagliptin, saxagliptin, linagliptin, gemigliptin และ เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก5,8 และเมื่อติดตามผู้ป่วยนาน 24 สัปดาห์ alogliptin พบว่าการยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 จาก trelagliptin 100 มิลลิกรัม Trelagliptin ได้ขึ้นทะเบียนแล้วในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ รับประทานสัปดาห์ละหนึ่งครั้งใกล้เคียงกับการยับยั้งเอนไซม์ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 โดยได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการรักษา DPP-4 จาก alogliptin 25 มิลลิกรัม รับประทานวันละหนึ่งครั้ง9 ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สอง trelagliptin มีประสิทธิภาพและ ข้อมูลด้านเภสัชจลนศาสตร์พบว่า หลังรับประทาน ความปลอดภัยไม่แตกต่างจากยาลดระดับน�้าตาลในเลือดกลุ่ม trelagliptin 100 มิลลิกรัม ระยะเวลาที่ระดับยาสูงสุดในเลือด (Tmax) ยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ชนิดที่ต้องรับประทานทุกวัน อย่างไรก็ตาม มีค่าประมาณ 1.3 ชั่วโมง ค่าครึ่งชีวิตเฉลี่ยของการก�าจัดยาเท่ากับ คาดว่า trelagliptin จะช่วยเพิ่มความร่วมมือในการบริหารยา 54.3 ชั่วโมง ยาถูก metabolize ผ่านเอนไซม์ cytochrome P450 ของผู้ป่วยเมื่อเปรียบเทียบกับยาที่ต้องรับประทานทุกวัน ส่งผลให้ 2D6 และถูกขับออกทางไตเป็นหลัก ค่าระดับยาสูงสุดในเลือด (Cmax) การควบคุมระดับน�้าตาลในเลือดดีขึ้น และค่า area under the concentration-time curve (AUC) เพิ่มขึ้น ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไตท�างานบกพร่อง จึงแนะน�าให้ปรับลดขนาดยา ข้อมูลทั่วไปของยา5-7 เหลือ 50 มิลลิกรัม สัปดาห์ละหนึ่งครั้งในผู้ป่วยที่มีค่า creatinine clearance อยู่ระหว่าง 30-50 ml/min ข้อมูลปัจจุบันไม่แนะน�า ให้ใช้ในผู้ป่วยที่มีไตท�างานบกพร่องระดับรุนแรง5-6,8 ผลการศึกษาทางคลินิกของการใช้ trelagliptin ในผู้ป่วย โรคเบาหวานชนิดที่สอง • ผลต่อระดับน�้ำตำลในเลือด Inagaki และคณะ8 ได้ท�าการศึกษาในรูปแบบ randomized, double-blind, placebo-controlled, parallel-group, dose-ranging ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สองในประเทศญี่ปุ่นจ�านวน 322 คน ผู้ป่วยถูกสุ่มให้ได้รับ trelagliptin ในขนาด 12.5, 25, 50, 100 หรือ รูปที่ 1 โครงสร้างทางเคมีของ trelagliptin5 200 มิลลิกรัม หรือยาหลอก สัปดาห์ละหนึ่งครั้งตลอดระยะเวลา 12 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ย HbA1C ที่ 12 สัปดาห์ลดลง ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ส่งผลให้ระดับของ GLP-1 จาก baseline เท่ากับร้อยละ 0.37, 0.32, 0.42, 0.54 และ 0.55 ในร่างกายเพิ่มขึ้น trelagliptin ถูกพัฒนาจากโครงสร้างทางเคมีของ ส�าหรับกลุ่มที่ได้รับ trelagliptin ในขนาด 12.5, 25, 50, 100 หรือ alogliptin โดยการเพิ่มหมู่ fluorine ในโครงสร้าง benzene ring 200 มิลลิกรัม ตามล�าดับ ซึ่งทุกกลุ่มมีค่า HbA1C ที่ 12 สัปดาห์ลดลง ของ alogliptin (รูปที่ 1) ท�าให้ trelagliptin มีความจ�าเพาะต่อเอนไซม์ มากกว่ายาหลอกอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติ (p < 0.0001) เปรียบเทียบ DPP-4 ที่สูงขึ้น และยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ได้มากขึ้น ซึ่งพบว่า กับ HbA1C ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.35 ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก นอกจากนี้ ค่าร้อยละ 50 ของ maximum inhibitory concentration (IC50) ของ ยังพบว่าแนวโน้มของการลดระดับน�้าตาลในเลือดมีความสัมพันธ์ trelagliptin, alogliptin, sitagliptin เท่ากับ 1.3, 5.3 และ 16 nmol/L กับขนาดของ trelagliptin ที่ได้รับ (dose-dependent) ตามล�าดับ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาแบบ non-inferiority โดย Inagaki และคณะ9 ได้ท�าการศึกษาในรูปแบบ multicenter, randomized, เภสัชพลศาสตร์และเภสัชจลนศาสตร์ double-blind, active-controlled, parallel group เพื่อศึกษา ข้อมูลด้านเภสัชพลศาสตร์ในอาสาสมัครสุขภาพดีพบว่า ประสิทธิภาพของ trelagliptin 100 มิลลิกรัม รับประทานสัปดาห์ละ หลังรับประทาน trelagliptin ในขนาด 100 มิลลิกรัม เอนไซม์ DPP-4 หนึ่งครั้ง เปรียบเทียบกับ alogliptin 25 มิลลิกรัม รับประทานวันละ จะถูกยับยั้งร้อยละ 97.33 และ 66.76 ณ เวลา 24 ชั่วโมง และ หนึ่งครั้งในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สองที่ไม่ได้รับยาลดระดับ ตำรำงที่ 1 เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ trelagliptin 100 มิลลิกรัม รับประทานสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง, alogliptin 25 มิลลิกรัม รับประทาน วันละหนึ่งครั้ง และยาหลอก (ดัดแปลงจากการศึกษาของ Inagaki และคณะ9) Factors Change in HbA1C (%) Change in FPG Change in 2-h Patient with (mmol/l) post-prandial achieved response glucose (mmol/l) target of HbA1C < 7% Placebo 0.24 -0.31 -0.12 2 (4%) 25 mg alogliptin daily -0.46* -0.83 -1.62 30 (36%) 100 mg trelagliptin weekly -0.32* -0.36 -0.96 26 (29%) Least squares mean difference 0.11 (95% CI -0.054 to 0.281) Non-inferiority margin = 0.4 FPG = fasting plasma glucose concentration, *p < 0.0001 versus placebo. น�้าตาลในเลือดภายใน 4 สัปดาห์ก่อน screening จ�านวน 243 คน ผลการศึกษาพบว่าคะแนนของ DTSQ ณ สัปดาห์ที่ 12 ผลการศึกษาพบว่า trelagliptin สามารถลดระดับ HbA1C ที่ 24 สัปดาห์ จาก baseline ระหว่าง 2 กลุ่มไม่แตกต่างกัน แต่พบความแตกต่าง จาก baseline ได้มากกว่ายาหลอกอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติ ของคะแนน DTR-QOL อย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติ (p = 0.048) (p < 0.0001) และไม่ด้อยกว่า alogliptin (ตำรำงที่ 1) โดยเฉพาะ domain ที่ 1 (burden on social activities and daily Inagaki และคณะ10 ได้ท�าการศึกษาแบบ open-label, activities, p = 0.013) และ domain ที่ 2 (anxiety and dissatisfaction exploratory เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของ trelagliptin 100 มิลลิกรัม with treatment, p = 0.045) (รูปที่ 2) ซึ่งผลคะแนนดังกล่าว รับประทานสัปดาห์ละหนึ่งครั้งในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สองที่รับประทาน ไม่สัมพันธ์กับค่าระดับน�้าตาลในเลือดที่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ชนิดที่ต้องรับประทานทุกวันมาก่อน การศึกษานี้มีข้อจ�ากัดเรื่องจ�านวนของกลุ่มตัวอย่างที่มีจ�านวน การศึกษานี้ท�าการทดลองในผู้ป่วยที่สามารถควบคุมระดับน�้าตาล ไม่มากนัก และระยะเวลาติดตามที่สั้น ได้ด้วยการรับประทาน sitagliptin 50 มิลลิกรัม วันละหนึ่งครั้ง จ�านวน 14 คน ผลการศึกษาพบว่าการเปลี่ยนไปให้ trelagliptin 100 มิลลิกรัม สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง ไม่ส่งผลต่อการควบคุมระดับน�้าตาล ในเลือด (meal tolerance test) ในช่วง 1-7 วันแรกหลังเปลี่ยนยา รวมถึง HbA1C ที่ 12 สัปดาห์ อีกทั้งยังไม่พบรายงานอาการไม่พึงประสงค์ ที่รุนแรง อาการไม่พึงประสงค์ส่วนใหญ่ที่พบไม่สัมพันธ์กับ trelagliptin • ผลต่อควำมพึงพอใจของผู้ป่วย Oita และคณะ11 ได้ท�าการศึกษาแบบ open-label, randomized, multicenter, controlled เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจ ต่อการใช้ยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ชนิดที่ต้องรับประทาน ทุกวันเปรียบเทียบกับยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ชนิดที่ต้อง รูปที่ 2 ความแตกต่างของคะแนน DTR-QOL11 รับประทานทุกสัปดาห์ โดยท�าการศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่สอง จ�านวน 49 คน ระยะเวลาการศึกษานาน 12 สัปดาห์ โดยแบ่ง • ควำมปลอดภัย ผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ DPP-4 ผลการศึกษา phase III9 เมื่อให้ยาในขนาดแนะน�าคือ ชนิดที่ต้องรับประทานทุกวัน และกลุ่มที่ได้รับยากลุ่มยับยั้งเอนไซม์ trelagliptin 100 มิลลิกรัม สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ DPP-4 ชนิดที่ต้องรับประทานทุกสัปดาห์ แล้ววัดผลลัพธ์โดยใช้ พบว่าอาการไม่พึงประสงค์จาก trelagliptin ไม่แตกต่างจาก แบบสอบถามชื่อว่า Diabetes treatment satisfaction questionnaire alogliptin โดยอาการไม่พึงประสงค์ที่พบ ได้แก่ nasopharyngitis (DTSQ) และ Diabetes therapy-related quality of life (DTR-QOL) (trelagliptin พบร้อยละ 5, alogliptin พบร้อยละ 3) ทั้งนี้ไม่พบ รายงานการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง
Recommended publications
  • Treatment Patterns, Persistence and Adherence Rates in Patients with Type 2 Diabetes Mellitus in Japan: a Claims- Based Cohort Study
    Open access Research BMJ Open: first published as 10.1136/bmjopen-2018-025806 on 1 March 2019. Downloaded from Treatment patterns, persistence and adherence rates in patients with type 2 diabetes mellitus in Japan: a claims- based cohort study Rimei Nishimura,1 Haruka Kato,2 Koichi Kisanuki,2 Akinori Oh,2 Shinzo Hiroi,2 Yoshie Onishi,3 Florent Guelfucci,4 Yukio Shimasaki2 To cite: Nishimura R, Kato H, ABSTRACT Strengths and limitations of this study Kisanuki K, et al. Treatment Objective To determine real-world trends in antidiabetic patterns, persistence and drug use, and persistence and adherence, in Japanese ► This retrospective evaluation of administrative adherence rates in patients patients with type 2 diabetes mellitus (T2DM). with type 2 diabetes mellitus claims data (2011–2015) using the Japan Medical Design Retrospective evaluation of administrative claims in Japan: a claims-based Data Center (JMDC) and Medical Data Vision (MDV) data (2011–2015) using the Japan Medical Data Center cohort study. BMJ Open databases was conducted to determine real-world (JMDC) and Medical Data Vision (MDV) databases. 2019;9:e025806. doi:10.1136/ trends in antidiabetic drug use, and persistence and Setting Analysis of two administrative claims databases bmjopen-2018-025806 adherence, in Japanese patients with type 2 dia- for Japanese patients with T2DM. betes mellitus (T2DM); 40 908 and 90 421 patients ► Prepublication history and Participants Adults (aged ≥18 years) with an International additional material for this were included from the JMDC and MDV databases, Classification of Diseases, 10th Revision code of T2DM and paper are available online. To respectively. at least one antidiabetic drug prescription.
    [Show full text]
  • Renato Wilberto Zilli Eficácia Em Longo Prazo Das
    RENATO WILBERTO ZILLI EFICÁCIA EM LONGO PRAZO DAS GLIFLOZINAS VERSUS GLIPTINAS NO TRATAMENTO DO DIABETES MELLITUS TIPO 2 APÓS FALÊNCIA DA METFORMINA COMO MONOTERAPIA: REVISÃO SISTEMÁTICA E METANÁLISE EM REDE Tese apresentada ao Programa de Ciências Médicas da Faculdade de Medicina da Universidade de São Paulo para obtenção do título de Doutor em Ciências. Área de Concentração: Processos Imunes e Infecciosos Orientador: Prof. Dr. Fabiano Pinheiro da Silva (Versão corrigida. Resolução CoPGr 6018/11, de 13 de outubro de 2011. A versão original está disponível na Biblioteca da FMUSP) São Paulo 2017 Dados Internacionais de Catalogação na Publicação (CIP) Preparada pela Biblioteca da Faculdade de Medicina da Universidade de São Paulo ©reprodução autorizada pelo autor Zilli, Renato Wilberto Eficácia em longo prazo das gliflozinas versus gliptinas no tratamento do diabetes mellitus tipo 2 após falência da metformina como monoterapia : revisão sistemática e metanálise em rede / Renato Wilberto Zilli ‐‐ São Paulo, 2017. Tese(doutorado)--Faculdade de Medicina da Universidade de São Paulo. Programa de Ciências Médicas. Área de concentração: Processos Imunes e Infecciosos. Orientador: Fabiano Pinheiro da Silva. Descritores: 1.Diabetes mellitus tipo 2 2.Metanálise 3.Terapia combinada 4.Falha de tratamento 5.Metformina 6.Inibidores da dipeptidil peptidase IV 7.Transportador 2 de glucose‐sódio/inibidores 8.Empagliflozina 9.Dapagliflozina 10.Saxagliptina USP/FM/DBD ‐302/17 Esta tese de doutorado está de acordo com as seguintes normas, em vigor no momento desta publicação: Referências: adaptado de International Committee of Medical Journals Editors (Vancouver). Guia de apresentação e dissertações, teses e monografias. Elaborado por Anneliese Cordeiro da Cunha, Maria Julia de A.L.
    [Show full text]
  • Comparison of Clinical Outcomes and Adverse Events Associated with Glucose-Lowering Drugs in Patients with Type 2 Diabetes: a Meta-Analysis
    Online Supplementary Content Palmer SC, Mavridis D, Nicolucci A, et al. Comparison of clinical outcomes and adverse events associated with glucose-lowering drugs in patients with type 2 diabetes: a meta-analysis. JAMA. doi:10.1001/jama.2016.9400. eMethods. Summary of Statistical Analysis eTable 1. Search Strategies eTable 2. Description of Included Clinical Trials Evaluating Drug Classes Given as Monotherapy eTable 3. Description of Included Clinical Trials Evaluating Drug Classes Given as Dual Therapy Added to Metformin eTable 4. Description of Included Clinical Trials Evaluating Drug Classes Given as Triple Therapy When Added to Metformin Plus Sulfonylurea eTable 5. Risks of Bias in Clinical Trials Evaluating Drug Classes Given as Monotherapy eTable 6. Risks of Bias in Clinical Trials Evaluating Drug Classes Given as Dual Therapy Added to Metformin eTable 7. Risks of Bias in Clinical Trials Evaluating Drug Classes Given as Triple Therapy When Added to Metformin plus Sulfonylurea eTable 8. Estimated Global Inconsistency in Networks of Outcomes eTable 9. Estimated Heterogeneity in Networks eTable 10. Definitions of Treatment Failure Outcome eTable 11. Contributions of Direct Evidence to the Networks of Treatments eTable 12. Network Meta-analysis Estimates of Comparative Treatment Associations for Drug Classes Given as Monotherapy eTable 13. Network Meta-analysis Estimates of Comparative Treatment Associations for Drug Classes When Used in Dual Therapy (in Addition to Metformin) eTable 14. Network Meta-analysis Estimates of Comparative Treatment Effects for Drug Classes Given as Triple Therapy eTable 15. Meta-regression Analyses for Drug Classes Given as Monotherapy (Compared With Metformin) eTable 16. Subgroup Analyses of Individual Sulfonylurea Drugs (as Monotherapy) on Hypoglycemia eTable 17.
    [Show full text]
  • Trelagliptin (SYR-472, Zafatek), Novel Once- Weekly Treatment for Type 2 Diabetes, Inhibits Dipeptidyl Peptidase-4 (DPP-4) Via a Non-Covalent Mechanism
    RESEARCH ARTICLE Trelagliptin (SYR-472, Zafatek), Novel Once- Weekly Treatment for Type 2 Diabetes, Inhibits Dipeptidyl Peptidase-4 (DPP-4) via a Non-Covalent Mechanism Charles E. Grimshaw1*, Andy Jennings2, Ruhi Kamran1, Hikaru Ueno3, Nobuhiro Nishigaki3, Takuo Kosaka4, Akiyoshi Tani4, Hiroki Sano5, Yoshinobu Kinugawa5, Emiko Koumura5, Lihong Shi1¤, Koji Takeuchi3 a11111 1 Enzymology and Biophysical Chemistry, Takeda California, Inc., San Diego, California, United States of America, 2 Computational Sciences and Crystallography, Takeda California, Inc., San Diego, California, United States of America, 3 Cardiovascular and Metabolic Drug Discovery Unit, Pharmaceutical Research Division, Takeda Pharmaceutical Company Limited, Fujisawa, Kanagawa, Japan, 4 Bio-Molecular Research Laboratories, Pharmaceutical Research Division, Takeda Pharmaceutical Company Limited, Fujisawa, Kanagawa, Japan, 5 Takeda Development Center Japan, Takeda Pharmaceutical Company Limited, Osaka, Japan OPEN ACCESS ¤ Current address: Celgene Quanticel Research, San Diego, California, United States of America * Citation: Grimshaw CE, Jennings A, Kamran R, [email protected] Ueno H, Nishigaki N, Kosaka T, et al. (2016) Trelagliptin (SYR-472, Zafatek), Novel Once-Weekly Treatment for Type 2 Diabetes, Inhibits Dipeptidyl Peptidase-4 (DPP-4) via a Non-Covalent Mechanism. Abstract PLoS ONE 11(6): e0157509. doi:10.1371/journal. Trelagliptin (SYR-472), a novel dipeptidyl peptidase-4 inhibitor, shows sustained efficacy by pone.0157509 once-weekly dosing in type 2 diabetes patients. In this study, we characterized in vitro proper- Editor: Alessandro Giuffrè, National Research ties of trelagliptin, which exhibited approximately 4- and 12-fold more potent inhibition against Council of Italy (CNR), ITALY human dipeptidyl peptidase-4 than alogliptin and sitagliptin, respectively, and >10,000-fold Received: February 10, 2016 selectivity over related proteases including dipeptidyl peptidase-8 and dipeptidyl peptidase-9.
    [Show full text]
  • A Review on Impact of Glucose-Lowering Therapies on Cardiovascular System in Type 2 Diabetes Mellitus Patients
    World Journal of Advanced Research and Reviews, 2020, 07(01), 162–173 World Journal of Advanced Research and Reviews e-ISSN: 2581-9615, Cross Ref DOI: 10.30574/wjarr Journal homepage: https://www.wjarr.com (REVIEW ARTICLE) A review on impact of glucose-lowering therapies on cardiovascular system in type 2 diabetes mellitus patients Khatoon Ruquiyyah and Hoda Quaisul * Lloyd Institute of Management and Technology (Pharm), Plot No. 11, Knowledge Park-2, Greater Noida, India. Publication history: Received on 01 July 2020; revised on 10 July 2020; accepted on 12 July 2020 Article DOI: https://doi.org/10.30574/wjarr.2020.7.1.0242 Abstract The prevalence of diabetes mellitus (DM), a well-renowned metabolic diseases that comes under Top-10 lethal and incurable disease of the world, is increasing day by day. It is well-reported that the mortality rate of diabetic patients due to comorbidities is higher. Diabetic patients suffer from several cardiovascular events and such risk increases with an intermediate metabolite HbA1c. Control in HbA1c and lowering it does not appear to yield the same benefit on macrovascular endpoints, as observed for microvascular endpoints. Moreover, secondary diseases caused by diabetes mellitus are many and diabetic patients have been found to be more susceptible to diseases like cardiac injury. For instance, rosiglitazone has been found to cause myocardial infarction and ultimately leads to heart failure. Glucagon like Peptide -1 (GLP-1) agonists and sodium- glucose co-transporter 2 (SGLT2) inhibitors causes several cardiac side effects like myocardial infarction and stroke. In this concern, USFDA officially announced in2008 that all new glucose-lowering agents should be tested for its cardiac safety.
    [Show full text]
  • Risk of Any Hypoglycemia with New Antihyperglycemic Agents in Patients with Type 2 Diabetes: a Systematic Review and Meta-Analysis
    Risk of Any Hypoglycemia with New Antihyperglycemic Agents in Patients with Type 2 Diabetes: A Systematic Review and Meta-Analysis by Sanaz Kamalinia A thesis submitted in conformity with the requirements for the degree of Master of Science Institute of Medical Sciences University of Toronto © Copyright by Sanaz Kamalinia (2019) Risk of Any Hypoglycemia with New Antihyperglycemic Agents in Patients with Type 2 Diabetes: A Systematic Review and Meta- Analysis Sanaz Kamalinia Master of Science Institute of Medical Sciences University of Toronto 2019 Abstract Background : Evaluation of hypoglycemia risk relative to placebo with new antihyperglycemic agents (AHA) including the dipeptidyl peptidase-4 inhibitors (DPP4i), glucagon-like peptide-1 receptor agonists (GLP1RA) and sodium-glucose co-transporter- 2 inhibitors (SGLT2i) remains inconclusive. Objective: This systematic review and meta-analysis aimed to assess risk of any and severe hypoglycemia with new AHA relative to placebo by excluding studies with background sulfonylureas and insulin. Methods: Randomized, placebo-controlled studies, 12 weeks or greater in duration were considered for inclusion. Studies allowing background use of any other AHA, apart from metformin, were excluded. This study is registered with PROSPERO (CRD42018095458). Results: 141 studies included in the meta-analysis demonstrate that relative to placebo, risk of any and severe hypoglycemia did not significantly differ for any new AHA. ii Acknowledgments First and foremost, I wish to express my sincere gratitude to my program advisor committee members. To my supervisor Dr Tobe, thank you for accepting me as your student and presenting me with this challenge. I thoroughly enjoyed it. Especially given your positive words of encouragement and insightful guidance for every step of this journey.
    [Show full text]
  • Implications Current Drugs for Type 2 Diabetes Mellitus
    Pharmacology and therapeutic implications of current drugs for type 2 diabetes mellitus Abd A. Tahrani1,2, Anthony H. Barnett1,2 and Clifford J. Bailey3 Abstract |6[RG|FKCDGVGUOGNNKVWU 6&/ KUCINQDCNGRKFGOKEVJCVRQUGUCOCLQTEJCNNGPIGVQ JGCNVJECTGU[UVGOU+ORTQXKPIOGVCDQNKEEQPVTQNVQCRRTQCEJPQTOCNIN[ECGOKC YJGTG RTCEVKECN ITGCVN[DGPGHKVUNQPIVGTORTQIPQUGUCPFLWUVKHKGUGCTN[GHHGEVKXGUWUVCKPGFCPF UCHGV[EQPUEKQWUKPVGTXGPVKQP+ORTQXGOGPVUKPVJGWPFGTUVCPFKPIQHVJGEQORNGZRCVJQIGPGUKU QH6&/JCXGWPFGTRKPPGFVJGFGXGNQROGPVQHINWEQUGNQYGTKPIVJGTCRKGUYKVJEQORNGOGPVCT[ OGEJCPKUOUQHCEVKQPYJKEJJCXGGZRCPFGFVTGCVOGPVQRVKQPUCPFHCEKNKVCVGFKPFKXKFWCNK\GF OCPCIGOGPVUVTCVGIKGU1XGTVJGRCUVFGECFGUGXGTCNPGYENCUUGUQHINWEQUGNQYGTKPICIGPVU JCXGDGGPNKEGPUGFKPENWFKPIINWECIQPNKMGRGRVKFG|TGEGRVQT ).24 CIQPKUVUFKRGRVKF[N RGRVKFCUG| &22 KPJKDKVQTUCPFUQFKWOINWEQUGEQVTCPURQTVGT| 5).6 KPJKDKVQTU6JGUG CIGPVUECPDGWUGFKPFKXKFWCNN[QTKPEQODKPCVKQPYKVJYGNNGUVCDNKUJGFVTGCVOGPVUUWEJCU DKIWCPKFGUUWNHQP[NWTGCUCPFVJKC\QNKFKPGFKQPGU#NVJQWIJPQXGNCIGPVUJCXGRQVGPVKCN CFXCPVCIGUKPENWFKPINQYTKUMQHJ[RQIN[ECGOKCCPFJGNRYKVJYGKIJVEQPVTQNNQPIVGTOUCHGV[ JCU[GVVQDGGUVCDNKUJGF+PVJKU4GXKGYYGCUUGUUVJGRJCTOCEQMKPGVKEURJCTOCEQF[PCOKEUCPF UCHGV[RTQHKNGUKPENWFKPIECTFKQXCUEWNCTUCHGV[QHEWTTGPVN[CXCKNCDNGVJGTCRKGUHQTOCPCIGOGPV QHJ[RGTIN[ECGOKCKPRCVKGPVUYKVJ6&/YKVJKPVJGEQPVGZVQHFKUGCUGRCVJQIGPGUKUCPFPCVWTCN JKUVQT[+PCFFKVKQPYGDTKGHN[FGUETKDGVTGCVOGPVCNIQTKVJOUHQTRCVKGPVUYKVJ6&/CPFNGUUQPU HTQORTGUGPVVJGTCRKGUVQKPHQTOVJGFGXGNQROGPVQHHWVWTGVJGTCRKGU Type 2 diabetes mellitus (T2DM) is a global epidemic with an dysfunction, as
    [Show full text]
  • Title Long-Term Safety and Efficacy of a Novel Once-Weekly Oral Trelagliptin As Monotherapy Or in Combination with an Existing O
    Long-term safety and efficacy of a novel once-weekly oral trelagliptin as monotherapy or in combination with an existing Title oral antidiabetic drug in patients with type 2 diabetes mellitus: A 52-week open-label, phase 3 study Inagaki, Nobuya; Sano, Hiroki; Seki, Yoshifumi; Kuroda, Author(s) Shingo; Kaku, Kohei Citation Journal of Diabetes Investigation (2016), 7(5): 718-726 Issue Date 2016-09 URL http://hdl.handle.net/2433/215204 © 2016 The Authors. Journal of Diabetes Investigation published by Asian Association for the Study of Diabetes (AASD) and John Wiley & Sons Australia, Ltd; This is an open access article under the terms of the Creative Commons Right Attribution-NonCommercial-NoDerivs License, which permits use and distribution in any medium, provided the original work is properly cited, the use is non-commercial and no modifications or adaptations are made. Type Journal Article Textversion publisher Kyoto University CLINICAL TRIAL Long-term safety and efficacy of a novel once- weekly oral trelagliptin as monotherapy or in combination with an existing oral antidiabetic drug in patients with type 2 diabetes mellitus: A 52-week open-label, phase 3 study Nobuya Inagaki1*, Hiroki Sano2,YoshifumiSeki2, Shingo Kuroda2, Kohei Kaku3 1Department of Diabetes, Endocrinology and Nutrition, Kyoto University Graduate School of Medicine, Kyoto, 2Takeda Development Center Japan, Takeda Pharmaceutical Company Limited, Osaka, and 3Department of Internal Medicine, Kawasaki Medical School, Okayama, Japan Keywords ABSTRACT Long-term safety and efficacy, Aims/Introduction: Trelagliptin is a novel once-weekly oral dipeptidyl peptidase-4 inhi- Trelagliptin, Type 2 diabetes mellitus bitor for type 2 diabetes mellitus that was first approved in Japan.
    [Show full text]
  • Report on Investigation Results
    Pharmaceuticals and Medical Devices Agency This English version is intended to be a reference material for the convenience of users. In the event of inconsistency between the Japanese original and this English translation, the former shall prevail. Report on Investigation Results August, 21, 2019 Pharmaceuticals and Medical Devices Agency I. Summary of drug [Branded name] Zafatek Tablets 25 mg, 50mg, 100 mg [Non-proprietary name] Trelagliptin succinate [Approval holder] Takeda Pharmaceutical Company Limited. [Indications] Type 2 diabetes mellitus [Dosage and administration] The usual adult dosage is 100 mg of trelagliptin orally administered once weekly. [Investigating office] Office of Pharmacovigilance I II. Investigation background Zafatek Tablets (hereinafter referred to as “Zafatek”) 50 mg and 100 mg is an oral hypoglycemic agent that inhibits dipeptidyl peptidase-4 (hereinafter “DPP-4”) and is administered once weekly. Zafatek was approved for marketing with an indication for “type 2 diabetes mellitus” in March, 2015 in Japan. In the clinical pharmacology study of Zafatek 50 mg and 100 mg (101 Study) conducted up to the products’ application for marketing, the plasma concentration-area under the concentration curve (hereinafter, “AUC”) of unchanged trelagliptin after a single dose of Zafatek at 50 mg was 3.01 fold and 3.68 fold in patients with severe renal impairment and end stage renal failure, respectively, in comparison to that of patients with normal renal function. Based on this result, the marketing authorization holder (hereinafter,
    [Show full text]
  • Canagliflozin, Dapagliflozin and Empagliflozin Monotherapy for Treating Type 2 Diabetes: Systematic Review and Economic Evaluation
    HEALTH TECHNOLOGY ASSESSMENT VOLUME 21 ISSUE 2 JANUARY 2017 ISSN 1366-5278 Canagliflozin, dapagliflozin and empagliflozin monotherapy for treating type 2 diabetes: systematic review and economic evaluation Rhona Johnston, Olalekan Uthman, Ewen Cummins, Christine Clar, Pamela Royle, Jill Colquitt, Bee Kang Tan, Andrew Clegg, Saran Shantikumar, Rachel Court, J Paul O’Hare, David McGrane, Tim Holt and Norman Waugh DOI 10.3310/hta21020 Canagliflozin, dapagliflozin and empagliflozin monotherapy for treating type 2 diabetes: systematic review and economic evaluation Rhona Johnston,1 Olalekan Uthman,2 Ewen Cummins,1 Christine Clar,3 Pamela Royle,2 Jill Colquitt,4 Bee Kang Tan,2 Andrew Clegg,5 Saran Shantikumar,2 Rachel Court,2 J Paul O’Hare,2 David McGrane,6 Tim Holt7 and Norman Waugh2* 1McMDC, Harrogate, UK 2Warwick Evidence, Division of Health Sciences, University of Warwick, Coventry, UK 3Berlin, Germany 4Effective Evidence, Waterlooville, UK 5University of Central Lancashire, Preston, UK 6Queen Elizabeth University Hospital, Glasgow, UK 7University of Oxford, Oxford, UK *Corresponding author Declared competing interests of authors: David McGrane has spoken at educational meetings sponsored by AstraZeneca, Eli Lilly, Sanofi, MSD, Takeda Pharmaceutical Company, Novo Nordisk, Janssen, and has served on Advisory Boards for Eli Lilly, Sanofi, Novo Nordisk. J Paul O’Hare has received lecture fees, advisory board meeting fees, and grants for research from Novo Nordisk and Sanofi. All fees are paid through University of Warwick to fund access to insulin projects in sub-Saharan Africa. Published January 2017 DOI: 10.3310/hta21020 This report should be referenced as follows: Johnston R, Uthman O, Cummins E, Clar C, Royle P, Colquitt J, et al.
    [Show full text]
  • Anti-Diabetic Drugs - the Future Landscape
    EDITORIAL ANTI-DIABETIC DRUGS - THE FUTURE LANDSCAPE Dr. A. K. Baliarsinha iabetes mellitus is the most common metabolic and endocrine MBBS, MD, DM (Endocrinology) disorder affecting the entire world and it continues to grow at Professor and head, Dept. of Endocrinology, an alarming rate. As per a recent estimate, around 425 million SCB Medical College, Cuttack, Odisha people suffer from diabetes in 2017 and the number is predicted Dto rise beyond 649 million by 2045.1 Majority (around 90%) of them being Type 2 diabetes mellitus (T2DM).2 The disease poses a tremendous health challenge and burden on both affected individuals as well as the healthcare delivery system. The field of drug discovery in diabetes has grown by leaps and bounds in recent decades and now we have multiple agents approved for treatment for T2DM. But despite this fact, more than a third of patients with diabetes do not achieve or maintain an appropriate glycemic target with currently used drugs.3 The drug therapy becomes further challenging and complex in the setting of poor response to multiple oral anti-diabetic drugs (due to progressive beta-cell failure over time), frequent multiple chronic complications of diabetes itself and potential drug interactions with other drugs prescribed for other comorbidities. Hence, current research is directed towards development of novel drugs which are efficacious, safe and can retard these complications of T2DM. Newer therapies are directed towards novel targets which are dysregulated in T2DM and are not currently addressed. Current class of anti-diabetic drugs in clinical practice include biguanides, sulphonylureas, meglitinides, alpha-glucosidase inhibitors, dipeptidyl peptidase-4 (DPP-4) inhibitors, thiozolidinediones, sodium dependent glucose co transporter (SGLT-2) inhibitors, dopamine agonists, bile acid sequestrants, insulin and its analogues, amylin agonist and glucagon like peptide 1 (GLP 1) analogues.
    [Show full text]
  • Stembook 2018.Pdf
    The use of stems in the selection of International Nonproprietary Names (INN) for pharmaceutical substances FORMER DOCUMENT NUMBER: WHO/PHARM S/NOM 15 WHO/EMP/RHT/TSN/2018.1 © World Health Organization 2018 Some rights reserved. This work is available under the Creative Commons Attribution-NonCommercial-ShareAlike 3.0 IGO licence (CC BY-NC-SA 3.0 IGO; https://creativecommons.org/licenses/by-nc-sa/3.0/igo). Under the terms of this licence, you may copy, redistribute and adapt the work for non-commercial purposes, provided the work is appropriately cited, as indicated below. In any use of this work, there should be no suggestion that WHO endorses any specific organization, products or services. The use of the WHO logo is not permitted. If you adapt the work, then you must license your work under the same or equivalent Creative Commons licence. If you create a translation of this work, you should add the following disclaimer along with the suggested citation: “This translation was not created by the World Health Organization (WHO). WHO is not responsible for the content or accuracy of this translation. The original English edition shall be the binding and authentic edition”. Any mediation relating to disputes arising under the licence shall be conducted in accordance with the mediation rules of the World Intellectual Property Organization. Suggested citation. The use of stems in the selection of International Nonproprietary Names (INN) for pharmaceutical substances. Geneva: World Health Organization; 2018 (WHO/EMP/RHT/TSN/2018.1). Licence: CC BY-NC-SA 3.0 IGO. Cataloguing-in-Publication (CIP) data.
    [Show full text]