ยากลุ่ม Ophthalmic Anti-Allergics No. ชื่อยา รูปแบบ สรุปเหตุผลกา 1
Total Page:16
File Type:pdf, Size:1020Kb
ยากลุ่ม Ophthalmic Anti-allergics No. ชื่อยา รูปแบบ สรุปเหตุผลการเลือกยา 1 Sodium cromoglicate eye drop บัญชี ค (Disodium เงื่อนไข (ไม่ระบุ) Cromoglycate /Cromolyn sodium ) 2 Lodoxamide eye drop ไม่คัดเลือกไว้ในบัญชี trometramine เหตุผล ไม่คัดเลือกตามบัญชียาหลัก พศ.2551 3 Naphazoline HCl eye drop ไม่คัดเลือกไว้ในบัญชี เหตุผล ไม่คัดเลือกตามบัญชียาหลัก พศ.2551 4 Naphazoline HCl+ eye drop และไม่ผ่าน ISafE score Pheniramine maleate 5 Naphazoline nitrate + eye drop zinc sulfate 6 Olopatadine eye drop ไม่คัดเลือกไว้ในบัญชี hydrochloride เหตุผล ไม่มีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพ 7 Ketotifen fumarate eye drop หรือความปลอดภัยเหนือกว่ายา Sodium cromoglicate 8 Antazoline HCl eye drop บัญชี ก +Tetrahydrozoline HCl เงื่อนไข (ไม่ระบุ) 9 Tetrahydrozoline HCl eye drop ไม่คัดเลือกไว้ในบัญชี เหตุผล ไม่คัดเลือกตามบัญชียาหลัก พ.ศ.2551 10 Epinastine HCl eye drop และไม่ผ่าน ISafE score 11 Pemirolast potassium eye drop 12 Emedastine fumarate eye drop ไม่คัดเลือกไว้ในบัญชี เหตุผล ไม่คัดเลือกตามบัญชียาหลัก พ.ศ.2551 และผู้ผลิตได้ยกเลิกทะเบียนแล้ว ส่วนท่ ี 1 ข้อมูลโดยสรุป กลุ่มยาทางเลือกแรกในการรักษาอาการเยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ ได้แก่ topical antihistamines และ mast cell stabilizers ยาทางเลือกอื่นเป็นสูตรผสม separate topical mast cell stabilizer และ topical antihistamine ได้แก่ olopatadine, azelastine HCl, epinastine,pemirolast potassium, และ ketotifen fumarate ข้อมูลด้านประสิทธิผลพบว่า US.FDA อนุมัติ Olopatadine ข้อบ่งใช้ Allergic conjunctivitis ในผู้ใหญ่และ เด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป, Ketotifen ข้อบ่งใช้ Allergic conjunctivitis - Itching; Prophylaxis ในผู้ใหญ่และเด็กอายุ 3 ปีขึ้น ไป , Sodium cromoglicate ( 4% ophthalmic solution) ข้ อ บ่ ง ใ ช้ Vernal conjunctivitis แ ล ะ Vernal keratoconjunctivitis ในผู้ใหญ่และเด็กอายุ 4 ปีขึ้นไป โดยมีประสิทธิภาพในระดับ effective แนะน าให้ใช้ในผู้ป่วยทุก ราย ระดับหลักฐาน (level of evidence) ระดับ B และไม่พบข้อมูลยาสูตรผสม Antazoline HCl +Tetrahydrozoline HCl มีข้อมูลอนุมัติยาเดี่ยว Antazolin HCl ข้อบ่งใช้ Allergic conjungtivitis ในผู้ใหญ่และเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปและ Tetahydrozolin HCl ข้อบ่งใช้ Conjungtivitis โดยมีประสิทธิภาพในระดับ effective แนะน าให้ใช้ในผู้ป่วยทุกราย ระดับหลักฐาน (level of evidence) ระดับ B(1) Systematic review และ Meta-analysis พบว่า topical mast cell stabilizers และ antihistamines มี ประโยชน์และประสิทธิภาพเหนือกว่า placebo แต่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอในการก าหนดแนวทางการรักษา allergic conjunctivitis ที่จะให้ใช้เฉพาะยาเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และยังไม่มีรายงานอาการข้างเคียงที่ส าคัญของยา ใดๆ ดังนั้นการเลือกใช้ยาจึงควรขึ้นอยู่กับความสะดวก, ลักษณะอาการของผู้ป่วย, และราคาของยา(2) ข้อมูลด้านความปลอดภัย พบว่าผู้ป่วยสามารถทนต่อยา olopatadine และยา ketotifen ได้ดี (3-5)แต่ไม่พบ ข้อมูลรายงานประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ antrazoline 0.05% + tetrahydrozoline 0.04%(1) คณะท างานฯ สาขาจักษุวิทยาเสนอให้ตัดยา sodium cromoglicate ออกจากบัญชี เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญให้ ความเห็นว่า complianceไม่ดีและใช้ไม่ค่อยได้ผล และเสนอให้เลือกยา olopatadine และยา ketotifen ไว้ในบัญชี ง เนื่องจากมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน ISafE score เท่ากัน ราคาใกล้เคียงกัน โดยเสนอตคณะท างานประสานผลฯให้ ต่อรองราคา ทั้งนี้คณะท างานประสานผลฯครั้งที่ 11/55 พิจารณาแล้วเห็นควรให้ต่อรองรายการยาทั้งสามรายการ ได้แก่ sodium cromoglicate, olopatadine และ ketotifen และได้น าผลการต่อรองราคามาพิจารณาในครั้งที่ 14/55 และมีมติไม่คัดเลือกยา olopatadine และ ketotifen เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่ายาทั้งสอง รายการมีความคุ้มค่ามากกว่า sodium cromoglicate และให้คงยา sodium cromoglicate ไว้ในบัญชี ค และคงยา antrazoline 0.05% + tetrahydrozoline 0.04% ไว้ในบัญชี ก ตามเดิม คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ พิจารณาข้อมูลทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความ คุ้มค่าแล้ว มีมติไม่คัดเลือกยา Olopatadine hydrochloride รูปแบบ eye drop ไว้ในบัญชี ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ ยัง ไม่มีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพหรือความปลอดภัยเหนือกว่ายา Sodium cromoglicate ส่วนท่ ี 2 กรอบแนวทางการจัดทา ข้อมูล ยาที่คทง.จักษุวิทยามีผลการพิจารณาไม่คัดเลือกตามบัญชียาหลัก พศ.2551 และจากการพิจารณาผล การประเมิน ISafE score ได้แก่ Lodoxamide trometramine,Naphazoline HCl, Naphazoline HCl+ Pheniramine maleate, Naphazoline nitrate + zinc sulfate, Tetrahydrozoline HCl, Epinastine HCl, Pemirolast potassium, Emedastine fumarate ดังนั้น รายการยาในกลุ่มนี้ ที่ต้องท าการสืบค้นข้อมูลทางวิชาการเพิ่มเติมโดยสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลยา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อน ามาพิจารณาคัดเลือกเข้าบัญชียาหลัก มี 4 รายการ ได้แก่ sodium cromoglicate, olopatadine hydrochloride, ketotifen fumarate, Antazoline HCl +Tetrahydrozoline HCl โดย ข้อมูลที่จัดท าขึ้นแบ่งออกเป็นหัวข้อต่างๆ ดังนี้ 1. ข้อมูลโดยทั่วไปเกี่ยวกับอาการเยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ (Allergic conjunctivitis) 2. ข้อมูลด้านประสิทธิผลและความปลอดภัย 3. ค่าใช้จ่ายด้านยาและการประเมินทางเศรษฐศาสตร์ (Costs and economic evaluation) ส่วนท่ ี 3 ข้อมูลทางด้านวิชาการ 1. ข้อมูลโดยท่วั ไป อาการเยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ (Allergic conjunctivitis) เยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้เป็นอาการที่มักเกิดในคนที่อายุน้อย อายุเฉลี่ยของ onset ประมาณ 20 ปี อาการดี ขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งกว่าร้อยละ 50 ผู้ป่วยมักจะมีประวัติส่วนตัว หรือประวัติครอบครัวเป็น ภาวะแพ้อย่างอื่น เช่น allergic rhinitis, atopic dermatitis, หรือ asthma อาการ และอาการแสดง คัน น ้าตาไหล เยื่อบุตาขาวบวมแดง แสบตา กลัวแสง เปลือกตาบวม อาการมักจะเกิดกับตาทั้ง 2 ข้าง แต่ บางครั้งตาข้างใดข้างหนึ่ง อาจจะมีอาการมากกว่าอีกข้าง เยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ แบ่งเป็น 3 ชนิด 1) Acute allergic conjunctivitisเกิดอย่างเฉียบพลัน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก การสัมผัสกับสารหรือ สิ่งต่าง ต่างที่ก่อให้เกิดอาการ อาการที่เกิดขึ้นเช่น itching, hyperemia, tearing, chemosis, eyelid edema โดยทั่วไปอาการ มักจะดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากหลีกเลี่ยงการสัมผัส allergen แต่ในบางรายอาจพบอาการรุนแรงได้ 2) Seasonal allergic conjunctivitis (SAC) หรืออาจเรียกว่า allergic conjunctivitis, hay-fever type conjunctivitis หรือ rhinoconjunctivitis ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการแพ้ที่มีอาการทางตาที่ไม่รุนแรง โดยทั่วไปมัก สัมพันธ์กับ การที่ผู้ป่วยมีภาวะ rhinitis อยู่แล้ว อาการที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอย่างเฉียบพลัน สามารถท านายได้ และมัก สัมพันธ์กับฤดูกาล 3) Perennial allergic conjunctivitis (PAC) เป็นอาการแพ้ที่ไม่รุนแรง แต่เรื้อรัง มักสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่ ผู้ป่วยสัมผัสตลอดทั้งปี ส่วนมากจะเป็น allergen ที่อยู่ภายในบ้าน หรือตึก (indoor) เช่น ไรฝุ่น ขนสตว์ รา เป็นต้น ทั้งนี้ข้อมูลจาก Uptodate 2012 กล่าวว่าแบ่งอาการแพ้ทางตาเป็น 5 ประเภท ได้แก่ seasonal allergic conjunctivitis, perennial allergic conjunctivitis, vernal keratoconjunctivitis (VKC), atopic keratoconjunctivitis (AKC), และ giant papillary conjunctivitis (GPC) โดย VKC และ AKC เป็นอาการเรื้อรัง เกิดได้ทั้งสองข้าง และ ประเภทที่ร้ายแรงของการอักเสบจากอาการแพ้มักเกิดที่พื้นผิวของดวงตา ซึ่งน าไปสู่การเกิดแผลที่กระจกตา และเสีย การมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม GPC เป็นอาการอักเสบที่เกิดจากสิ่งกระทบจากภายนอก เช่น คอนเทคเลนส์ ซึ่งเป็นการแพ้ที่ไม่ใช่เกิดโดย ธรรมชาติแต่มักเกิดความสับสนว่าเกิดการแพ้ทางตา ส่วน Seasonal and perennial allergic conjunctivitis นั้นมัก เป็นการแพ้ทางตาที่มักเกิดขึ้นบ่อย INTRODUCTION — There are five main types of ocular allergy: seasonal allergic conjunctivitis, perennial allergic conjunctivitis, vernal keratoconjunctivitis (VKC), atopic keratoconjunctivitis (AKC), and giant papillary conjunctivitis (GPC). VKC and AKC are chronic, bilateral, and severe forms of allergic inflammation affecting the ocular surface. These two relatively uncommon types of allergic eye disease can cause severe damage to the ocular surface, leading to corneal scarring and vision loss if not treated properly (this occurs more commonly with AKC than VKC). Type I hypersensitivity reactions are important in these diseases, although they are not the only pathophysiologic mechanism. VKC is reviewed in this topic. AKC is discussed separately. GPC is an inflammatory disorder that represents a reaction to lid movement over a foreign substance, such as contact lenses. Toxic conjunctivitis is not allergic in nature, but it is frequently confused with allergic ocular disease. It develops with protracted use of topical medications, mostly due to preservatives. GPC is discussed in detail separately. Seasonal and perennial allergic conjunctivitis, the most common forms of ocular allergy, are also discussed separately. (See "Allergic conjunctivitis".) EPIDEMIOLOGY — VKC most commonly occurs in boys living in warm, dry subtropical climates, such as the Mediterranean, the Middle East, central and west Africa, South America, and Asian countries, such as Japan, Thailand, and India [1]. The limbal form of VKC is seen most often in dark-skinned individuals from Africa and India. VKC is generally rare in cooler climates, such as Northern Europe and the temperate areas of North America. However, the prevalence in these regions has increased, probably due to immigration of individuals from susceptible populations [2]. Exacerbations are common in the spring (hence the name "vernal"), although reactivation often occurs in the winter. Initially the exacerbations are seasonal, but perennial attacks increase after a few years. Males are more commonly affected than females. In one series, the male to female ratio was 3.2:1 in patients <20 years of age, but was nearly equal in older patients [3]. Age at onset is generally before 10 years, with the earliest reported onset at five months of age [4], although VKC can infrequently occur in adults. Patients usually "outgrow" the disease with the onset of puberty. VKC is associated with other atopic manifestations in approximately one-half of patients [3,5]. The most common concomitant atopic diseases are asthma and allergic rhinitis. Aeroallergen sensitization, by skin prick testing or allergen- specific immunoassay, was reported in over 50 percent of patients in one study [3]. A family history