Pelvic Exsanguination

Total Page:16

File Type:pdf, Size:1020Kb

Pelvic Exsanguination 1 Pelvic exsanguination แพทย์หญิงปริญญา ปริญญาณัฏฐ์ อาจารย์บุรภัทร สังข์ทอง ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ Exsanguinating pelvic fracture เป็นการหักของกระดูกเชิงกรานที่ผู้ป่วยมักมีสัญญาณชีพไม่คงที่ และ อาจพบกระดูกเชิงกรานหักชนิดไม่มน่ั คง (unstable pelvic fractures) ซึ่งสัมพันธ์กับกลไกลการบาดเจ็บแบบ พลังงานสูง (high energy mechanism) และเกิดการบาดเจ็บของอวัยวะอื่นร่วมด้วย (1) กายวิภาคกระดูกเชิงกราน (Anatomy) กระดูกเชิงกราน (Pelvis) ประกอบด้วยกระดูก 3 ส่วน ประกอบกันเป็นวง คือ - Sacrum - Coccyx - Hip bones ประกอบด้วยกระดูก 3 ช้ิน o Ilium o Ischium o Pubis กระดูกเชิงกรานแต่ละช้ินยดึ กนั ดว้ ยเอน็ (Ligament) - cartilage ที่ยึดกระดูก symphysis pubis ทางด้านหน้า - Superior and inferior pubic ligaments - Ventral, interosseous และ dorsal sacroiliac ligaments เพ่ิมความแข็งแรงของ pelvic ring - Sacrospinous ligament - Sacrotuberous ligament - Sacrospinous ligament 2 หลอดเลือดแดงที่นาเลือดเข้าสู่เชิงกราน หลอดเลือดหลักคือ Internal iliac (hypogastric) artery ที่แยกมา จาก common iliac artery โดยแบ่งออกเป็น Parietal branches และ Visceral branches - Parietal branches ได้แก่ o Iliolumbar artery supplies bone and muscle in the iliac fossa o Lateral sacral arteries supply the sacrum and coccyx o Obturator artery divides into anterior and posterior branches which encircle the margin of the obturator foramen o Superior and inferior gluteal arteries o Internal pudendal artery - Visceral branches ได้แก่ o Umbilical arteries o Superior and inferior vesical arteries supply the bladder, and the middle rectal artery supplies the rectum o Uterine artery (Artery of the ductus deferens) o Vaginal artery and middle rectal arteries 3 ilium sacrum coccyx pubis ischium รูปที่1 กระดูกเชิงกรานและหลอดเลือด อุบัติการณ์ (Incident) อุบัติการณ์กระดูกเชิงกรานหักจากอุบัติเหตุแบบ blunt mechanism ร้อยละ 9.3 ซึ่งกระดูกเชิงกรานที่หัก ทาให้อวัยวะในช่องท้องมีการบาดเจ็บ ได้ร้อยละ 16.5 โดยพบการบาดเจ็บของตับร้อยละ 6.1 กระเพาะปัสสาวะ และ ท่อปัสสาวะร้อยละ 5.8 ม้ามร้อยละ 5.2 กระบังลมร้อยละ 2.1 ลาไส้เล็กร้อยละ 2.0 ลาไส้ใหญ่ร้อยละ 1.2 ไส้ ตรงร้อยละ 0.9 ตับอ่อนร้อยละ 0.4 กระเพาะอาหารร้อยละ 0.3 ลาไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) ร้อยละ 0.1 (2) 4 และในผู้ป่วยที่มีกระดูกเชิงกรานหักอย่างรุนแรงมีอัตราเสียชีวิต ร้อยละ 25-41.7 (ตารางที่1) ตารางที่1 อัตราเสียชีวิตในผู้ป่วยที่มีกระดูกเชิงกรานหัก Author Publication n Mortality (%) Wolfgang Ertel(3) 2000 174 29.9 Ertel W(4) 2001 20 25 Biffl WL(5) 2001 732 31 Hornez E(1) 2011 200 30 Lustenberger T(6) 2011 50 32 Zhiyong Hou(7) 2012 724 41.7 Classification การแบ่งชนิดของกระดูกเชิงกรานหักสามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ เช่น Tile’s classification, Young- Burgess classification และ Orthopaedic Trauma Association (OTA) Classification ซึ่งแผนกศัลยกรรม มักนิยม แบ่งชนิดของกระดูกเชิงกรานหักแบบ Young-Burgess classification Young-Burgess classification(9) Young JW และคณะ แบ่งชนิดการหักของกระดูกเชิงกรานจากภาพเอ๊กซ์เรย์ในผู้ป่วยกระดูกเชิงกราน หัก 142 คน และเผยแพร่ในปี 1986 โดยแบ่งชนิดตามกลไกการบาดเจ็บ คือ lateral compression (LC), anteroposterior compresion (APC), vertical shear (VS)และ combined mechanical injury(CMI)(9) (รูปที่ 2) LC: สัมพันธ์กับการหักในแนวขวางของกระดูก pubic rami (horizontally oriented pubic rami fractures anteriorly and variable injuries posteriorly) LC I: The internal rotation of the pelvis causes a compression fracture of the sacrum on the side of impact LC II: Crescent fracture present on the side of impact 5 LC III: Fractures have an LC I or LC II fracture on the side of impact, with an associated open-book type injury present contralaterally APC: Injury to the anterior structures in the form of pubic symphysis separation or vertically oriented pubic rami fractures, along with varying degrees of posterior injury APC I: No posterior instability with diastasis of the pubic symphysis limited to less than 2.5 cm APC II: Associated with some degree of posterior instability due to injury to the anterior sacroiliac complex allowing greater than 2.5 cm of symphyseal diastasis and anterior SI widening, the posterior SI ligaments are intact APC III: Complete disruption of the SI joint leading to widening and instability VS: Unstable injury patterns with vertical displacement of the hemipelvis due to symphyseal diastasis or rami fractures, anteriorly, and iliac wing fractures, sacral fractures, or sacroiliac joint dislocations present posteriorly CMI: Combination of the injury patterns 6 Young-Burgess Shock Trauma Pelvic Fracture Classification (J Trauma 30(7): 848-856 รูปที่2 การแบ่งชนิดของกระดูกหักแบบ Young-Burgess classification Diagnostic tool Clinical Exam (การตรวจร่างกาย) The American College of Surgeons Advanced Trauma Life Support (ATLS) 9th edition แนะนาให้ตรวจ กระดูกเชิงกราน (pelvic examination) ในผู้ป่วยอุบัติเหตุทุกราย การตรวจกระดูกเชิงกราน (pelvis) เพื่อค้นหากระดูกเชิงกรานหักแบบ unstable pelvic fractures มีหลาย วิธี เช่น การตรวจพบว่ากระดูกเชิงกรานสามารถขยับได้ (Unstable pelvic ring) อาการปวดหรือ กดเจ็บบริเวณ 7 กระดูกเชิงกราน และกระดูกเชิงกรานผิดรูป เป็นการตรวจดูความมน่ั คงของกระดูกเชิงกราน โดยใช้มือกด บริเวณกระดูกเชิงกรานอย่างนุ่มนวลให้กระดูกเชิงกรานเคลื่อนเพียงเล็กน้อยในแนวตรงและ แนวหมุน(11) Grant PT ศึกษาแบบprospective ในปี 1990 ในผู้ป่วย 36 คน พบว่า การตรวจพบกระดูกเชิงกรานแยก ออก (springing of pelvis) มีความไว (sensitivity) ในการตรวจพบกระดูกเชิงกรานหัก ร้อยละ59 และมี ความจาเพาะ (specificity) ร้อยละ59 ซึ่งแตกต่างกับการศึกษาของ Gonzalez RP และคณะ ในปี 2002 ที่ศึกษา ผู้ป่วย blunt trauma 2,176 คน โดยมีผู้ป่วยที่กระดูกเชิงกรานหัก 97 คน (ร้อยละ4.5) มีความไวในการตรวจพบ กระดูกเชิงกรานหัก ร้อยละ93(12) และการศึกษาแบบ Meta-analysis review ในปี 2004 โดย Sauerland S และ คณะ ศึกษาผู้ป่วย 5,454 คน พบว่าความไวในการตรวจกระดูกเชิงกรานแล้วพบกระดูกเชิงกรานหัก ร้อยละ90 และความจาเพาะ ร้อยละ90(13) Shlamovitz GZ และคณะ ได้ศึกษาความไวและความจาเพาะในการตรวจกระดูเชิงกราน วิธีต่างๆ จาก การดูจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยblunt trauma 1,502 คน ในปี 2009 โดยมีผู้ป่วยที่กระดูกเชิงกรานหักแบบ unstable pelvic fractures 34 คน พบว่าหากตรวจพบ Unstable pelvic ring ความไวในการตรวจพบ unstable pelvic fractures ร้อยละ26 และความจาเพาะ ร้อยละ 99.9 และถ้าหากตรวจพบว่ามีอาการปวดหรือกด เจ็บบริเวณกระดูกเชิงกราน ความไวในการพบ unstable pelvic fractures ร้อยละ 100 และความจาเพาะ ร้อยละ 93 นอกจากน้ีหากพบกระดูกเชิงกรานผิดรูป ความไวในการพบ unstable pelvic fractures ร้อยละ 55 และ ความจาเพาะ ร้อยละ 97(11) จากหลักฐานเชิงประจักษ์ดังกล่าวข้างต้น ความไวและความจาเพาะของการตรวจร่างกายเพื่อวินิจฉัย กระดูกเชิงกรานหักแตกต่างกัน ดงั น้นั อาจใชก้ ารตรวจร่างกายหลายๆวิธีร่วมกนั เพื่อประเมินกระดูกเชิงกรานหกั 8 Routine X-rays ตาม ATLS guideline แนะนาให้ท าเอ๊กซ์เรย์กระดูกเชิงกราน (film pelvis AP view) (รูปที่ 3) ในข้นั ตอน ของ adjunct to the primary survey เพื่อตรวจหาการหักของกระดูกเชิงกรานโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บ หลายระบบ ซึ่งความไวในการตรวจพบความผิดปกติของกระดูเชิงกรานจาก A-P pelvic x-ray ร้อยละ 87(12) รูปที่ 3 Film pelvis AP view Gillott A และคณะ ศึกษาประโยชน์ของการใช้ routine pelvic X-ray ในผู้ป่วย blunt trauma 699 คน แบบ prospective ในปี 1988 พบว่าหากตรวจพบความผิดปกติจากเอ๊กซ์เรย์ ผู้ป่วยจะมี Injury Severity Score การ ให้เลือด และอุบัติการเกิดการบาดเจ็บต่อหน้าอก และท้องสูงกว่าผู้ป่วยที่ไม่พบความผิดปกติของเอ๊กซ์เลย์ จึง แนะนาให้ท า routine pelvic X-ray ในผู้ป่วย blunt trauma(14) C K Salvino และคณะ ศึกษาประโยชน์ของการทาเอ๊กซ์เรย์กระดูกเชิงกรานในผู้ป่วย blunt trauma ทุก รายจานวน 1,395 คน ในปี 1992 พบว่าผู้ป่วยที่ไม่เจ็บบริเวณกระดูกเชิงกราน และตรวจร่างกายไม่เจ็บตรวจพบ กระดูกเชิงกรานหักจากเอ๊กซ์เรย์กระดูกเชิงกรานเพียง ร้อยละ 0.4 ซ่ึงผปู้ ่วยเหล่าน้ีมีกระดูกหกั เพียงเลก็ นอ้ ยไม่มี ผลต่อการเปลี่ยนแปลงการรักษา เมื่อเทียบค่าใช้จ่ายในการทาเอ๊กซ์เรย์กับประโยชน์แล้วแนะน าว่าไม่ต้องเอ๊กซ์ เรย์ในผู้ป่วย blunt trauma ทุกราย(15) ต่อมาในปี 2006 Obaid AK และคณะ ศึกษา retrospective review ในผู้ป่วยอุบัติเหตุที่พบกระดูกเชิง กรานหักจากภาพเอ๊กซ์เรย์ 174 คน จากผู้ป่วยที่ตรวจพบกระดูกเชิงกรานหักจากเอ๊กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ 521 คน พบว่าความไวในการตรวจพบกระดูกเชิงกรานหักจากเอ๊กซ์เรย์กระดูกเชิงกรานในผู้ป่วยอุบัติเหตุ ร้อยละ78 จึง แนะนาว่าใช้เอ๊กซ์เรย์กระดูกเชิงกรานเป็นเครื่องมือในการคัดกรองในผู้ป่วย hemodynamic unstable patients(16) 9 Matthias P Hilty และคณะศึกษาย้อนหลังในผู้ป่วยจานวน 452 คน ที่เป็นผู้ป่วย blunt trauma มีการ บาดเจ็บหลายตาแหน่ง แต่hemodynamic stable และ clinically stable pevis พบว่ามีกระดูกเชิงกรานหักที่ตรวจ พบจากเอ๊กซ์เรย์ ร้อยละ 9 และมีความไว ร้อยละ 67 จากการวิจยั น้ีจึงแนะนา ว่าให้ทา เอ๊กซ์เรยค์ อมพิวเตอร์ กระดูกเชิงกรานโดยไม่ต้องเอ๊กซ์เรย์ หากสามารถทาได้ (17) Chih-Yuan Fu และคณะ retrospectively reviewed ในปี 2013 ในผู้ป่วย major torso injuries 726 คน พบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างการใช้เอ๊กซ์เรย์กระดูกเชิงกรานเทียบกับเอ๊กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ในการตรวจพบ ความผิดปกติ ร้อยละ 51.7 และตรวจไม่พบความผิดปกติ ร้อยละ 61.0 (P=0.7) จึงมีความเห็นว่าการตรวจด้วย เอ๊กซ์เรย์กระดูกเชิงกรานช่วยลดการทาเอ๊กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ได้ในผู้ ป่วยที่สงสัยมีเลือดออกที่หลังเยื่อบุช่องท้อง (retroperitoneal hemorrhage) Diagnosticc peritoneal lavage (DPL) Steve G. Hubbard ศึกษาผู้ป่วยที่มีกระดูกเชิงกรานหัก 222 คน ในปี 1979 false-positive lavage results ร้อยละ 29 ไม่พบว่ามี false-negative results(18) Mendez C ศึกษาในปี 1994 ผู้ป่วยจานวน 497 คนทา DPL พบว่า ความไวในการตรวจพบกระดูกเชิง กรานหัก ร้อยละ94 ความจาเพาะ ร้อยละ99 positive predictive value ร้อยละ 98 และ negative predictive value ร้อยละ97(19) Focused Assessment with Sonography for Trauma (FAST) Ballard RB และคณะ ศึกษาผลการทา FAST ปกติ ในผู้ป่วยอุบัติเหตุแบบ blunt mechanism 1490 คน ที่ มีกระดูกสันหลังหัก หรือ กระดูกเชิงกรานหัก ในปี 1999 พบว่า ผล FAST ปกติแต่มีกระดูกเชิงกรานหัก ร้อยละ 68.6 และ false negative 13 คนจากผู้ป่วยที่มีกระดูกเชิงกรานหัก 70 คน คิดเป็นร้อยละ 18.6 จึงแนะนาว่าผู้ป่วยที่ มีกระดูกเชิงกรานหักแบบ pelvic ring-type ให้เอ๊กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้องเนื่องจากมีโอกาสพบการบาดเจ็บ
Recommended publications
  • The Acetabular Blood Supply: Implications for Periacetabular Osteotomies
    View metadata, citation and similar papers at core.ac.uk brought to you by CORE provided by RERO DOC Digital Library Surg Radiol Anat (2003) 25: 361–367 DOI 10.1007/s00276-003-0149-3 ANATOMIC BASES OF MEDICAL, RADIOLOGICAL AND SURGICAL TECHNIQUES M. Beck Æ M. Leunig Æ T. Ellis Æ J. B. Sledge Æ R. Ganz The acetabular blood supply: implications for periacetabular osteotomies Received: 22 April 2002 / Accepted: 27 February 2003 / Published online: 16 August 2003 Ó Springer-Verlag 2003 Abstract As the popularity of juxta-acetabular osteot- noise, une e´ tude anatomique apre` s injection de latex omies in adults increases, concern arises that such a colore´ ae´ te´ re´ alise´ e. La vascularisation du versant ex- procedure will potentially cause avascular necrosis of the terne du fragment pe´ ri-ace´ tabulaire a e´ te´ e´ tudie´ e sur 16 acetabular fragment. In order to verify the remaining hanches apre` s injection de latex colore´ dans l’aorte ab- vascularization after a Bernese periacetabular osteoto- dominale et celle de son versant interne sur 4 hanches. my, an injection study with colored latex was performed. Pour confirmer les conclusions tire´ es du travail anato- The vascularity of the outside of the periacetabular bone mique, une oste´ otomie pe´ ri-ace´ tabulaire bernoise a e´ te´ was studied in 16 hips after injection of colored latex re´ alise´ e sur deux hanches supple´ mentaires apre` s injec- into the abdominal aorta and the inside in four hips. To tion de latex. Cette e´ tude a montre´ que, par une voie confirm the conclusions drawn from the anatomic study, d’abord de Smith-Petersen modifie´ eetenre´ alisant a Bernese periacetabular osteotomy was performed in l’oste´ otomie a` partir du versant interne du bassin, le two additional hips after latex injection.
    [Show full text]
  • The Anatomy of Th-E Blood Vascular System of the Fox ,Squirrel
    THE ANATOMY OF TH-E BLOOD VASCULAR SYSTEM OF THE FOX ,SQUIRREL. §CIURUS NlGER. .RUFIVENTEB (OEOEEROY) Thai: for the 009m of M. S. MICHIGAN STATE COLLEGE Thomas William Jenkins 1950 THulS' ifliillifllfllilllljllljIi\Ill\ljilllHliLlilHlLHl This is to certifg that the thesis entitled The Anatomy of the Blood Vascular System of the Fox Squirrel. Sciurus niger rufiventer (Geoffroy) presented by Thomas William Jenkins has been accepted towards fulfillment of the requirements for A degree in MEL Major professor Date May 23’ 19500 0-169 q/m Np” THE ANATOMY OF THE BLOOD VASCULAR SYSTEM OF THE FOX SQUIRREL, SCIURUS NIGER RUFIVENTER (GEOFFROY) By THOMAS WILLIAM JENKINS w L-Ooffi A THESIS Submitted to the School of Graduate Studies of Michigan State College of Agriculture and Applied Science in partial fulfillment of the requirements for the degree of MASTER OF SCIENCE Department of Zoology 1950 \ THESlSfi ACKNOWLEDGMENTS Grateful acknowledgment is made to the following persons of the Zoology Department: Dr. R. A. Fennell, under whose guidence this study was completed; Mr. P. A. Caraway, for his invaluable assistance in photography; Dr. D. W. Hayne and Mr. Poff, for their assistance in trapping; Dr. K. A. Stiles and Dr. R. H. Manville, for their helpful suggestions on various occasions; Mrs. Bernadette Henderson (Miss Mac), for her pleasant words of encouragement and advice; Dr. H. R. Hunt, head of the Zoology Department, for approval of the research problem; and Mr. N. J. Mizeres, for critically reading the manuscript. Special thanks is given to my wife for her assistance with the drawings and constant encouragement throughout the many months of work.
    [Show full text]
  • PERIPHERAL VASCULATURE Average Vessel Diameter
    PERIPHERAL VASCULATURE Average Vessel Diameter A Trio of Technologies. Peripheral Embolization Solutions A Single Solution. Fathom™ Steerable Guidewires Total Hypotube Tip Proximal/ UPN Length (cm) Length (cm) Length (cm) Distal O.D. Hepatic, Gastro-Intestinal and Splenic Vasculature 24 8-10 mm Common Iliac Artery 39 2-4 mm Internal Pudendal Artery M00150 900 0 140 10 10 cm .016 in 25 6-8 mm External Iliac Artery 40 2-4 mm Middle Rectal M00150 901 0 140 20 20 cm .016 in 26 4-6 mm Internal Iliac Artery 41 2-4 mm Obturator Artery M00150 910 0 180 10 10 cm .016 in 27 5-8 mm Renal Vein 42 2-4 mm Inferior Vesical Artery 28 43 M00150 911 0 180 20 20 cm .016 in 15-25 mm Vena Cava 2-4 mm Superficial Epigastric Artery 29 44 M00150 811 0 200 10 10 cm pre-shaped .014 in 6-8 mm Superior Mesenteric Artery 5-8 mm Femoral Artery 30 3-5 mm Inferior Mesenteric Artery 45 2-4 mm External Pudendal Artery M00150 810 0 200 10 10 cm .014 in 31 1-3 mm Intestinal Arteries M00150 814 0 300 10 10 cm .014 in 32 Male 2-4 mm Superior Rectal Artery A M00150 815 0 300 10 10 cm .014 in 33 1-3 mm Testicular Arteries 1-3 mm Middle Sacral Artery B 1-3 mm Testicular Veins 34 2-4 mm Inferior Epigastric Artery Direxion™ Torqueable Microcatheters 35 2-4 mm Iliolumbar Artery Female 36 2-4 mm Lateral Sacral Artery C 1-3 mm Ovarian Arteries Usable 37 D UPN Tip Shape RO Markers 3-5 mm Superior Gluteal Artery 1-3 mm Ovarian Veins Length (cm) 38 2-4 mm Inferior Gluteal Artery E 2-4 mm Uterine Artery M001195200 105 Straight 1 M001195210 130 Straight 1 M001195220 155 Straight 1 Pelvic
    [Show full text]
  • Module Template
    PELVIC INJURY MODULE Introduction Pelvic injury is associated with significant morbidity and mortality through complications of major haemorrhage, soft-tissue infection and associated injury to intra-abdominal organs – particularly the bladder, bowel and genitalia. It is primarily caused by to blunt trauma with MVA and falls accounting for the majority of injuries. Overall mortality of pelvic fractures is 16%. Open pelvic injuries are particularly devastating, with mortality rates of up to 55%.1 Pelvic Anatomy The pelvis has a rich collateral blood supply, especially across the sacrum and posterior ileum. The close proximity of major arteries, veins and highly vascularised cancellous bone increases the risk of severe haemorrhage.1 The pelvic peritoneum (which theoretically should eventually limit and tamponade the bleeding pelvis), can accommodate more than 3 L of blood.2 The volume of a mechanically unstable pelvis (i.e. pubic diastasis) increases further, reducing the tamponade effect of the retroperitoneal tissues and intraperitoneal organs. Figure 1 The proximity of the arteries in relation to the pelvis: IL iliolumbar artery; SG superior gluteal artery; LS lateral sacral artery; IP internal pudendal artery; O obturator artery1 Culprit arterial bleeding sites in pelvic fractures:1 Anteriorly (43% total) Internal pudendal a 27% Obturator a 16% Posteriorly (57% total) Superior gluteal a 25% Lateral sacral a 23% Inferior gluteal a 9% The culprit venous bleeding site is the Iliolumbar Vein in up to 60% of cases3 PAH Department of Emergency Medicine Pelvic Injury Module Revised 2016 Classification of Pelvic Fractures There are many classifications systems in use. The Young-Burgess classification system is based on direction of force and is also useful in determining the likelihood of intrapelvic injury and haemorrhage.
    [Show full text]
  • Aberrant Iliac Artery: Far Lateral Lumbosacral Surgical Anatomy
    ■ Case Report Aberrant Iliac Artery: Far Lateral Lumbosacral Surgical Anatomy LAWRENCE A. DELASOTTA, MD, MPH; KRIS RADCLIFF, MD; MARCOS A. SONAGLI, MD; LUCIANO MILLER, MD abstract Full article available online at ORTHOSuperSite.com. Search: 20120123-28 A 44-year-old man presented after 3 weeks of progressively worsening atraumatic on- set pain in the right anteromedial thigh. The pain was sharp and radiated to the antero- medial shin and medial foot. The patient had no associated weakness, numbness, or bowel/bladder dysfunction. Nonsteroidal anti-infl ammatory, pain, and neuropathic- relieving drugs had limited effect. He underwent interlaminar injections, which pro- vided transient relief of his shin symptoms. After conservative management failed, a spine surgeon (not affi liated with our prac- tice) recommended an anterior lumbar interbody fusion via far lateral approach. The patient presented to our spine clinic for a second opinion. Closed magnetic resonance imaging revealed an aberrant iliac artery impinging on the lumbar plexus and a fo- raminal herniation at L4-L5 on the right, an orientation more lateral than expected or seen on the contralateral side. We recommended physical therapy that focused Figure: Sagittal magnetic resonance image show- on core strength and adequate stretching prior to considering surgery. The patient’s ing the abdominal aorta anterior to the L2 vertebral symptoms have since resolved. Common iliac artery anomalies are rare. No known in- body (arrow). cidence exists. The fi nding in this case was incidental and, if missed, could have led to vascular compromise. To prevent such an injury during minimally invasive (transpsoas lateral approach) spine surgery, we recommend careful examination of radiographs for aberrant vessels.
    [Show full text]
  • Assessment of the Iliolumbar Artery: Its Structural Variations and Applied Aspect
    International Journal of Research in Medical Sciences Upadhayay P et al. Int J Res Med Sci. 2021 Aug;9(8):2304-2308 www.msjonline.org pISSN 2320-6071 | eISSN 2320-6012 DOI: https://dx.doi.org/10.18203/2320-6012.ijrms20213074 Original Research Article Assessment of the iliolumbar artery: its structural variations and applied aspect Parul Upadhayay, Ranjeeta Hansdak*, Sneh Agarwal Department of Anatomy, Lady Hardinge Medical College, New Delhi, India Received: 30 May 2021 Accepted: 01 July 2021 *Correspondence: Dr. Ranjeeta Hansdak, E-mail: [email protected] Copyright: © the author(s), publisher and licensee Medip Academy. This is an open-access article distributed under the terms of the Creative Commons Attribution Non-Commercial License, which permits unrestricted non-commercial use, distribution, and reproduction in any medium, provided the original work is properly cited. ABSTRACT Background: The Iliolumbar artery normally arises from the posterior division of Internal iliac artery. The main artery and its two branches supply the iliacus and lumbar region and other vital structures in that area. However, various studies conducted depict the differences in the pattern of its origin and course. Thus, the goal of this study was to discover the various origins of the iliolumbar artery, as well as its relationships with other surgically significant anatomical structures; the importance of which can prevent any intraoperative hemorrhages during surgery. Methods: The study was conducted in Department of Anatomy Lady Hardinge Medical College between 2019-2021. Pelvis of 12 formalin fixed adult cadavers (8 females, 4 males) were dissected to observe the iliolumbar artery. Its origin, caliber and course were measured using a digital vernier caliper.
    [Show full text]
  • Session I - Anterior Abdominal Wall - Rectus Sheath
    ABDOMEN Session I - Anterior abdominal wall - Rectus sheath Surface landmarks Dissection Costal margins- right & left S u p e r f i c i a l f a s c i a ( f a t t y l a y e r, Pubic symphysis, tubercle membranous layer) Anterior superior iliac spine External oblique muscle Iliac crest Superficial inguinal ring Umbilicus, linea semilunaris Linea alba Mid-inguinal point & Lateral and anterior cutaneous branches of lower intercostal nerves Midpoint of inguinal ligament Anterior wall of rectus sheath Transpyloric & transtubercular planes Rectus abdominis & pyramidalis Right & left lateral (vertical) planes Superior & inferior epigastric vessels Nine abdominal regions – right & left hypochondriac, epigastric, right & left Posterior wall, arcuate line lumbar, umbilical, right & left iliac fossae, Internal oblique & transversus abdominis hypogastric muscles Region of external genitalia (tenth region) Fascia transversalis Terms of common usage for regions in the abdomen — Self-study Abdomen proper, pelvis, perineum, loin, Attachments, nerve supply & actions of groin, flanks external oblique, internal oblique, t r a n s v e r s u s a b d o m i n i s , r e c t u s abdominis, pyramidalis Bones Formation, contents and applied Lumbar vertebrae, sacrum, coccyx anatomy of rectus sheath Nerve supply, blood supply & lymphatic drainage of anterior abdominal wall ABDOMEN Session II - Inguinal Canal Dissection Self-study Aponeurosis of external oblique Boundaries of inguinal canal Superficial inguinal ring Contents of inguinal canal (in males and Inguinal
    [Show full text]
  • Bilateral Branching Variants of Internal and External Iliac Arteries - Cadaveric Study
    CASE REPORT Eur. J. Anat. 24 (1): 63-68(2020) Bilateral branching variants of internal and external iliac arteries - cadaveric study Bijo Elsy, Mansour A. Alghamdi, Lina E.S. Osman Department of Anatomy, College of Medicine, King Khalid University, Abha, Saudi Arabia SUMMARY olumbar, lateral sacral and the superior gluteal arteries (Williams et al., 1995). The internal iliac During a routine female cadaveric dissection, we arteries have multiple variations in the origin of its found an unusual bilateral pelvic branching pattern branches. Arterial branching pattern variation may of the internal and external iliac arteries. The vagi- be due to developmental anomalies, hemodynamic nal and middle rectal arteries had a common origin forces, genetic predisposition and intrauterine po- from the right internal pudendal artery. An aberrant sition of the fetus (Kumari and Gowda, 2016). obturator artery arises from both external iliac ar- The external iliac artery usually gives two main teries. A right aberrant obturator artery gives a branches, namely the deep circumflex iliac and the small branch to the back of the pubic bone. The left inferior epigastric arteries, and also gives small inferior epigastric artery arises from the common branches to the psoas major muscle and the trunk of the external iliac artery with the aberrant neighboring lymph nodes (Nayak, 2008). obturator artery. Knowledge of arterial variations helps to reduce the internal hemorrhage during CASE REPORT abdominal and pelvic surgeries. We have observed bilateral variations in the in- Keywords: Aberrant obturator artery – External ternal and external iliac arteries of a female cadav- iliac artery – Internal iliac artery – Middle rectal ar- er of unknown age during a routine dissection in tery – Vaginal artery the Anatomy Department of King Khalid University, Abha, Saudi Arabia.
    [Show full text]
  • 1 Anatomy of the Abdominal Wall 1
    Chapter 1 Anatomy of the Abdominal Wall 1 Orhan E. Arslan 1.1 Introduction The abdominal wall encompasses an area of the body boundedsuperiorlybythexiphoidprocessandcostal arch, and inferiorly by the inguinal ligament, pubic bones and the iliac crest. Epigastrium Visualization, palpation, percussion, and ausculta- Right Left tion of the anterolateral abdominal wall may reveal ab- hypochondriac hypochondriac normalities associated with abdominal organs, such as Transpyloric T12 Plane the liver, spleen, stomach, abdominal aorta, pancreas L1 and appendix, as well as thoracic and pelvic organs. L2 Right L3 Left Visible or palpable deformities such as swelling and Subcostal Lumbar (Lateral) Lumbar (Lateral) scars, pain and tenderness may reflect disease process- Plane L4 L5 es in the abdominal cavity or elsewhere. Pleural irrita- Intertuber- Left tion as a result of pleurisy or dislocation of the ribs may cular Iliac (inguinal) Plane result in pain that radiates to the anterior abdomen. Hypogastrium Pain from a diseased abdominal organ may refer to the Right Umbilical Iliac (inguinal) Region anterolateral abdomen and other parts of the body, e.g., cholecystitis produces pain in the shoulder area as well as the right hypochondriac region. The abdominal wall Fig. 1.1. Various regions of the anterior abdominal wall should be suspected as the source of the pain in indi- viduals who exhibit chronic and unremitting pain with minimal or no relationship to gastrointestinal func- the lower border of the first lumbar vertebra. The sub- tion, but which shows variation with changes of pos- costal plane that passes across the costal margins and ture [1]. This is also true when the anterior abdominal the upper border of the third lumbar vertebra may be wall tenderness is unchanged or exacerbated upon con- used instead of the transpyloric plane.
    [Show full text]
  • S E C T I O N 9 . C a R D I O V a S C U L a R S Y S T
    Section 9. Cardiovascular system 1 The heart (cor): is a hollow muscular organ possesses two atria possesses two ventricles is a parenchymatous organ is covered with adventitia 2 The human heart (cor) presents: apex (apex cordis) base (basis cordis) sternocostal surface (facies sternocostalis) pulmonary surface (facies pulmonalis) vertebral surface (facies vertebralis) 3 The grooves on the heart surface: coronary sulcus (sulcus coronarius) posterior interventricular sulcus (sulcus interventricularis posterior) anterior interventricular sulcus (sulcus interventricularis anterior) costal sulcus (sulcus costalis) anterior median sulcus(sulcus medianus anterior) 4 Coronary sulcus of the heart (sulcus coronarius): serves to be the outer border between atria (atria cordis) and ventricles (ventriculi cordis) contains the coronary vessels serves to be the outer border between the right and left atria (аtrium cordis dextrum/sinistrum) serves to be the outer border between the right and left ventricles (ventriculus cordis dexter/sinister) is proper to the pulmonary surface of heart (facies pulmonalis) 5 Heart auricles (auriculae): are constituent components of the right and left atrium (atrium dexter/sinister) are constituent components of the right and left ventricles (ventriculus dexter/ sinister) contain the papillary muscles contain the pectinate muscles participate in the base of heart 6 Anterior and posterior interventricular sulcuses (sulcus interventricularis anterior/posterior): connect at the apex of heart (apex cordis) connect at the
    [Show full text]
  • Bilateral Variation of Internal Iliac Artery
    Winter & Spring 2017, Volume 14, Number 1 Case Report: Bilateral Variation of Internal Iliac Artery Yousef Mohamadi1, Heydar Toolee1, Gholamreza Hassanzadeh1* 1. Department of Anatomy, School of Medicine, Tehran University of Medical Sciences, Tehran, Iran. Citation: Mohamadi Y, Toolee H, Hassanzadeh Gh. Bilateral Variation of Internal Iliac Artery: A Case Study. Anatomical Sciences. 2017; 14(1):57- 60. Dr. Gholamreza Hassanzadeh is the professor and head of anatomy department in Tehran University Of Medical Sciences. He teaches some fields of anatomical sciences, including neuroanatomy and anthropological anatomy. His research fields are anthropology and neural tract tracing. He is the author of " Human Races" book that has been published in Persian language. Article info: A B S T R A C T Received: 15 Feb. 2016 Accepted: 06 May 2016 Understanding anatomical variations can help physicians achieve better results in clinical Available Online: 01 Jan 2017 practice. During routine dissection, we found variations in the branches of Internal Iliac Artery (IIA) of a 65-year-old Iranian female cadaver. The IIA ended by dividing to an unusual smaller anterior and a greater posterior trunk which was branched to the inferior Key Words: gluteal arteries. Both pelvis and the uterine artery were separated from the umbilical Internal iliac artery, Inferior artery in the left side. In addition, the left iliolumbar artery arose from the main trunk of gluteal artery, Iliolumbar artery, IIA. Although this cadaver had some uncommon variations, the findings are significant Arterial variation from clinical perspective. 1. Introduction sacral, and superior gluteal arteries originate from the posterior trunk of the IIA [1].
    [Show full text]
  • Morphometry of the Iliolumbar Artery and the Iliolumbar Veins and Their Correlations with the Lumbosacral Trunk and the Obturat
    Original Article DOI: 10.7860/JCDR/2013/4763.2789 Morphometry of the Iliolumbar Artery and the Iliolumbar Veins and Their Anatomy Section Correlations with the Lumbosacral Trunk and the Obturator Nerve CHANDRIKA GURULINGAPPA TELI, NILESH NEtaJI KatE, USHA KOTHANDARAMAN ABSTRACT iliac artery was 38.7±10.6 mm. Objectives: To reveal the variations of the iliolumbar artery and The mean distance of the iliolumbar veins from the inferior vena the iliolumabar veins and their correlation with the surrounding cava, overall, was 35± 9.9 mm. The mean width of the mouth important structures. of the iliolumbar vein was10.7 ± 5.1 mm and the mean angle of Methods: We dissected the iliolumbar region bilaterally in 20 obliquity of the vein with respect to the long axis of the common formalin-fixed adult cadavers. The diameter of the iliolumbar iliac vein was 75.50. The tributaries which drained into the main artery at its origin, its length up to the branching point, the iliolumbar vein were variable. distance between the iliolumbar artery and the inferior margin of The iliolumbar artery passed anterior in 70% and it passed the fifth lumbar vertebra and the distance between the iliolumbar posterior to the obturator nerve in 30%. The veins were lying artery and the bifurcation point of the common iliac artery, were anterior to the obturator nerve in 45% and they were lying measured. The pattern of drainage, the dimensions, the points posterior in 55%. The multiple tributaries which drained into of confluence with the common iliac vein and the obliquity of the iliolumbar vein relation of the tributaries were variable, few the iliolumbar vein were noted.
    [Show full text]