รายการการแข่งขันร้องเพลง: ประเภทย่อยของรายการเรียลลิตี้โชว์ Singing Contest TV Programs: Sub Genres of Reality Programming
Total Page:16
File Type:pdf, Size:1020Kb
ICT Silpakorn Journal : Vol. 2 No. 1, January - June 2015 149 รายการการแข่งขันร้องเพลง: ประเภทย่อยของรายการเรียลลิตี้โชว์ Singing Contest TV Programs: Sub Genres of Reality Programming ทัพพ์เทพ ภาปราชญ์ อาจารย์ประจำ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร หากสังเกตรายการในโทรทัศน์ ณ ปัจจุบัน จะพบว่ามีรายการประกวดร้องเพลงมากกว่า 10 รายการ โดยนับจากเวทีประกวด เช่น รายการเคพีเอ็นอวอร์ด (KPN Awards) จัดโดย กลุ่มสยามกลการ รายการทรู อคาเดมี แฟนเทเชีย (True Academy Fantasia) รายการ เดอะ สตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว (The Star ค้นฟ้าคว้าดาว) โดยบริษัทเอ็กแซกท์ รายการกิ๊กดู๋ สงครามเพลง โดยบริษัทเจเอสแอล รายการมาสเตอร์คีย์เวทีแจ้งเกิด ของทีวีธันเดอร์ รายการ ตีสิบ ในช่วงดันดารา รวมถึงการประกวดนักร้องลูกทุ่งในรายการชุมทางเสียงทอง ชิงช้า สวรรค์ และลูกทุ่งเงินล้าน รายการที่เรียกได้ว่าประสบความส�าเร็จที่สุดคงหนีไม่พ้นรายการเดอะ วอยซ์ (The Voice) เสียงจริง ตัวจริง ซึ่งเป็นรายการแข่งขันร้องเพลงที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก แต่ ในซีซั่นที่ 3 นี้ เกิดการตั้งค�าถามถึงผลของการแข่งขันในหลายช่วงรายการขณะที่ออกอากาศ ซึ่งเห็นได้จากสื่อออนไลน์ที่โจมตีโค้ชและผู้ผลิตรายการว่า ผู้ผ่านเข้ารอบและการคัดคน ออกในแต่ละรอบ ไม่เหมาะสมหรือไม่ตรงใจของผู้ชม ฉะนั้นในบทความนี้จึงจะน�าเสนอถึง จุดเริ่มต้นของรายการประเภทนี้มีความเป็นมาอย่างไร การก้าวเข้ามาของรายการประเภทเรียลลิตี้โชว์ที่น�าเข้าจากต่างประเทศ (TV Format Franchise) ได้สร้างความพึงพอใจให้คนไทยที่ชอบดูอะไรที่เติมเต็มให้ชีวิตมีความสุข รายการประเภทนี้น�าเสนอว่าหน้าตาและรูปลักษณ์ไม่ใช่ปัจจัยแห่งความส�าเร็จอีกต่อไป คน ธรรมดาทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการแข่งขัน ขอให้มีความสามารถจริง ๆ เช่น รายการ ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ (Thailand Got Talent) รายการไทยแลนด์เน็กซ์ท็อปโมเดล (Thailand Next Top Model) เป็นต้น ปีที่ผ่านมามีรายการที่น�าเข้าจากต่างประเทศในรูปแบบการแข่งขันร้องเพลงอยู่ 2 รายการคือ รายการเดอะ วอยซ์ เสียงจริง ตัวจริง ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวี สีช่อง 3 และ รายการร้องสู้ไฟ Keep Your Light Shining ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 7 150 The Voice Thailand ผลิตโดย ทรูมิวสิค เป็นรายการที่มีต้นแบบจาก The Voice of Holland ประเทศเน เธอแลนด์ โดยผู้สร้างสรรค์รายการคือ John de Mol ผู้คิดค้นรายการ Big Brother โดย มีแนวคิดว่า “ใคร ๆ ก็เข้ารอบรายการได้ ไม่มีคนสวยคนหล่อ มีแต่คนที่เสียงดีเท่านั้น” โค้ช 4 คนที่ถนัดกันคนละแนวเพลง จะเลือกลูกทีมของตัวเองและช่วยชี้แนะให้ลูกทีมของ ตนให้ได้เป็นผู้ชนะ ซึ่งจะแบ่งเป็นหลายรอบการแสดงโดยเริ่มตั้งแต่รอบ The Blind Au- dition ที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องร้องเพลงเพื่อให้โค้ชทั้ง 4 คนฟังโดยจะยังมองไม่เห็นผู้เข้า แข่งขันได้ยินเพียงแต่เสียงเท่านั้นเมื่อโค้ชต้องการนักร้องจะกดปุ่มสีแดงและจะมีค�าว่า "I WANT YOU" และเก้าอี้จะหมุนหันมาให้เห็นหน้ากันเมื่อจบเพลงถ้ามีโค้ชกดคนเดียวผู้เข้า แข่งขันจะเข้าไปอยู่ในทีมนั้นๆโดยทันทีแต่ถ้ามีโค้ชกดปุ่มสีแดง หรือ "I WANT YOU" มากกว่า 1 คนผู้เข้าแข่งขันจะต้องเลือกเองว่าจะอยู่ทีมใดที่กดเลือกมา โดยสรุปโค้ชแต่ละ ทีมจะมีสมาชิก 12 คนเพื่อผ่านเข้าสู่การแข่งรอบต่อไป รอบ The Battle สมาชิกในทีมของโค้ชแต่ละคนจะถูกจับคู่ให้มาร้องด้วยกันในเพลงเดียวกันที่จะแบ่งท่อน กันร้อง โค้ชจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกสมาชิกคนใดให้เข้ารอบถัดไปซึ่งในรอบนี้โค้ชคน อื่นสามารถแย่งชิงลูกทีมคนที่ตกรอบจากการ Battle นั้น ๆ (Steal) มาเข้าทีมตัวเองได้ 2 คนท�าให้สุดท้ายจะเหลือสมาชิกในแต่ละทีม 8 คน รอบ The Knockouts ในรอบนี้โค้ช จะท�าการจับลูกทีมกันเองเหมือนรอบ Battle แต่ต่างกันตรงที่จะร้องคนละเพลงแล้วตัดสิน ไปเลยว่าให้ใครผ่านเข้ารอบถัดไป และสุดท้ายคือรอบ Live Show ซึ่งส�าหรับซีซั่น 3 โค้ช จะมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ 50% และอีก 50%จะใช้ผลโหวตตัดสินในรอบย่อย Play off Live show จนรอบย่อย Final Live เพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว รายการร้องสู้ไฟ Keep Your Light Shining ผลิตโดยบริษัทเจ เอส แอล โกลบอลมีเดีย จ�ากัด ร่วมกับบริษัท คอนเทนท์ แล็บ จ�ากัด ซื้อ ลิขสิทธิ์จาก Global Agency ประเทศตุรกี ซึ่งเป็นตัวแทนการจัดจ�าหน่ายรายการจากต่าง ประเทศ รายการร้องสู้ไฟ เป็นรายการแข่งขันร้องเพลงแนวใหม่ เพิ่งเป็นซีซั่นแรกในประเทศไทย และยังไม่สามารถสร้างความนิยมได้มากนัก แต่ก็มีกระแสเช่นเดียวกันว่า เป็นการแข่งขันร้อง เพลงที่เสียงของผู้เข้าแข่งขันไม่ได้มาตรฐาน และสู้ The Voice ไม่ได้ ทั้งนี้รายการนี้มีแนวคิด ว่า “รายการที่เฟ้นหานักร้องที่ไม่ใช่แค่ร้องดี หรือเสียงดี แต่ต้องครบเครื่องที่สุด คือมีความเป็น เอนเตอร์เทนเนอร์ในตัว” โดยเริ่มจากการคัดเลือกรอบออดิชัน (Audition) จนกระทั่งได้ผู้เข้า แข่งขันในรายการทั้งหมด 84 คนแบ่งผู้เข้าแข่งขันสัปดาห์ละ 7 คนทั้งหมด 12 สัปดาห์ ในแต่ละ สัปดาห์ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 7 คนจะต้องร้องเพลงเดียวกันโดยแต่ละคนจะได้ร้องเพลงคนละ 1 ท่อน ICT Silpakorn Journal : Vol. 2 No. 1, January - June 2015 151 (20-30 วินาที) เท่านั้นเมื่อไฟไปตกที่ใครคนนั้นจะต้องเป็นคนร้องเพลงอย่างเต็มความ สามารถ ขณะที่ผู้เข้าแข่งขันก�าลังปะทะกันอยู่นั้นผู้ชมทั้ง 300 คนในห้องส่งจะเป็นผู้โหวต ให้คะแนนแต่ละคนเมื่อเพลงจบลงไฟสีแดงสามดวงจะส่องไปยังผู้มีคะแนนต�่าที่สุดสาม อันดับกรรมการมีสิทธิ์คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันไว้ 2 คนส่วนคนที่ไม่ถูกคัดเลือกจะตกรอบไป และเมื่อผู้เข้าแข่งขันเหลือเพียง 4 คนจะมีไฟแดงเหลือเพียง 2 ดวงและกรรมการสามารถ คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันไว้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้นเมื่อเหลือ 2 คนสุดท้าย ผู้เข้าแข่งขันจะต้อง Battle กันโดยมีผู้ชมในห้องส่งเป็นผู้ตัดสินและเฟ้นหาผู้ชนะประจ�าสัปดาห์เพื่อเข้าสู่รอบ ชิงชนะเลิศต่อไป รอบชิงชนะเลิศผู้ชนะประจ�าสัปดาห์ทั้ง 12 คนและผู้แข่งขันอีก 1 คนที่ตกรอบไปและ มีคะแนนโหวตให้กลับมาสูงที่สุดผ่านการโหวตทางเว็บไซต์จะเข้ามาแข่งขันในรอบชิงชนะ เลิศเพื่อหาผู้ชนะสูงสุด จากกฎกติกาการแข่งขันของทั้งสองรายการ จะเห็นได้ว่า จุดเริ่ม ต้นจริง ๆ แล้ว ถูกคิดขึ้นเพื่อเป็นรายการเรียลลิตี้ที่ใช้การแข่งขันร้องเพลง มาเป็นตัวเล่า เรื่องซึ่งวิวัฒนาการของรายการประเภทนี้ ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่รายการ America’s Got Talent รายการ X Factor รายการ American Idol รายการ The Sing Off และตาม มาด้วยรายการ The Voice ซึ่งรายการแข่งขันร้องเพลงใหม่ล่าสุดในอเมริกาคือ Rising Star เพียงแต่โจทย์และกติกาหรือภารกิจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างความแตกต่างในเชิง ของการผลิตรายการ รายการประเภทเรียลิตี้ทีวี Kilborn (1994) ให้ค�าอธิบายรายการเรียลิตี้ทีวี (Reality TV) ไว้ว่าเป็นรายการลูกผสม ระหว่างรูปแบบรายการที่มีผู้ด�าเนินรายการ (Presenter Talk) การถ่ายท�าแบบติดตามดู พฤติกรรมของคนในรายการเพื่อให้เผยความจริงออกมาเองโดยไม่ต้องมีการก�ากับหรือชี้น�า (Cinéma vérité) การสร้างภาพแทนเรื่องจริง (Reconstruction) และการมีส่วนร่วมของ คนดู (Audience participation) รายการประเภทเรียลลิตี้ได้มีพัฒนาการมาหลากหลายรูปแบบ ดังตารางที่ 1 152 ตารางที่ 1 รูปแบบรายการเรียลิตี้ทีวีประเภทต่างๆ รูปแบบรายการเรียลิตี้ทีวี ลักษณะ/จุดเด่น ตัวอย่างรายการ การซ่อนกล้อง 1. Hidden Camera หรือการแอบถ่าย รายการ Punk'd การพยายามเปลี่ยนแปลงให้ 2. Self-Improvement บางอย่างดีขึ้น เช่น แต่งบ้าน หรือ Make over หรือท�าให้ตัวตนของผู้ร่วม รายการดูดีขึ้น รายการ Extreme Makeover: Home Edition ก�าหนดเงื่อนไขบางอย่างแล้ว 3. Social Experiment ถ่ายท�าตามติดชีวิต เช่น ให้ หรือ Lifestyle series ทดลองการใช้ชีวิตในสังคม อีกรูปแบบ แล้วดูว่าแต่ละคน จะเป็นอย่างไร รายการ Big Brother เป็นการจ�าลองเหตุการณ์ให้ 4. Documentary-style คล้ายละคร เล่าเรื่องเหมือน สารคดี รายการ the Real Housewives ICT Silpakorn Journal : Vol. 2 No. 1, January - June 2015 153 ตารางที่ 1 (ต่อ) รูปแบบรายการเรียลิตี้ทีวี ลักษณะ/จุดเด่น ตัวอย่างรายการ 5. Competition ผสมผสานการแข่งขันแบบ /Game shows เกมส์โชว์เข้าไปด้วย รายการ American Idol คือ การเอาผู้ร่วมรายการ 6. Supernatural ไปอยู่ในสถานการณ์ที่ผิด and Paranormal ปกติไม่ธรรมดา รายการ Fear Factor ปัจจุบันเรียลลิตี้ เป็นได้ทั้งการแข่งขันร้องเพลง สารคดี หรือสามารถน�าเสนอเรื่องราวอะไร ก็ได้ ซึ่งเรียกกันว่า Hybrid Program คือเป็นรายการที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบรายการที่ หลากหลายเพื่อสร้างความแตกต่างจากความบันเทิงในรูปแบบเดิมๆ แต่แก่นส�าคัญ ก็คือ ต้องการความสดใหม่ ความเป็นเนื้อแท้ และความแท้จริง ซึ่งจะเกิดผลลัพธ์ทางความรู้สึกกับ ผู้ชมได้ง่ายกว่า ถ้าใช้ผู้ร่วมรายการที่เป็นบุคคลทั่วไปไม่ใช่ดาราหรือนักแสดง การผลิตรายการเรียลลิตี้จะเริ่มจากการหาแก่นของไอเดียแล้วโปรดิวเซอร์กับครีเอทีฟ จะช่วยกันตรวจสอบว่าประเภทย่อย (Sub Genre) ของเรียลลีตี้นี้ควรจะเป็นรูปแบบไหน ส�าหรับแก่นไอเดียของ The Voice คือรายการที่ค้นหาเสียงจริงตัวจริงไม่ใช่หน้าตา และ รายการร้องสู้ไฟ Keep Your Light Shining คือรายการที่ค้นหานักร้องที่ไม่ใช่แค่ร้องดี ที่สุด หรือเสียงดีที่สุดแต่ต้องครบเครื่องที่สุด นั่นคือมีคุณสมบัติการเป็น Entertainer Sub Genre หรือรูปแบบที่เลือกใช้มาผสมกับความเป็นเรียลลิตี้ คือ Competition / Elimina- tion การแข่งขันแบบแพ้คัดออก แต่รายการร้องสู้ไฟ Keep Your Light Shining จะมี ลูกผสมความเป็นเกมโชว์เข้าไปด้วย 154 โดยปกติ รายการเรียลลิตี้จะไม่มีการท�าสคริปท์ แต่จะมีการท�าเป็น Shooting Script คือการเตรียมงานที่เน้นวางแผนเพื่อการถ่ายท�า และหัวใจของการถ่ายท�า ก็คือ การถ่าย ความเป็นมนุษย์ (Shooting people) ซึ่งต้องเป็นปุถุชนธรรมดา (Ordinary people) เพื่อให้ได้มาซึ่งความสมจริงที่สุด โดยกลุ่มคนธรรมดาเหล่านี้ จะถูกจับใส่เข้าไปใน สถานการณ์ ภารกิจ หรือกติกาต่าง ๆ ซึ่งก็คืออุปสรรคให้ต้องฟันฝ่าตามที่รายการก�าหนด และควบคุมเอาไว้ โปรดิวเซอร์และครีเอทีฟรายการจะออกแบบการวางต�าแหน่งของกล้อง และการเล่าเรื่องด้วยภาพ รวมไปถึงการจดบันทึกในระหว่างการถ่ายท�าว่าในแต่ละตอน ต้องใช้เสียงผู้บรรยายช่วงไหนเพื่อมาเชื่อมต่อให้เกิดความราบรื่น ทั้งคู่จะท�าหน้าที่เป็นนัก เล่าเรื่องและจัดวางจังหวะว่าจะเกิดอะไร โดยมุ่งเน้นให้เกิดสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความ รู้สึกกระทบใจผู้ชม (Dramatic situation) ให้มากที่สุด ผู้ชมจะต้องคอยลุ้นว่าผู้เข้าแข่งขัน จะรับมือกับโจทย์ของการแข่งขันอย่างไร รวมไปถึงความขัดแย้งในตัวของโค้ชหรือกรรมการ เองที่จะต้องเลือกว่าจะเก็บใครเอาไว้ให้ไปต่อ ทั้งสองรายการจะให้ผู้ชมท�าความรู้จักปูมหลัง ความฝันหรือความต้องการในชีวิตของผู้เข้าแข่งขันและเปิดโจทย์ภารกิจ ซึ่งก็คือกติกาการ แข่งขันในแต่ละรอบซึ่งจุดสูงสุดของสถานการณ์ ก็คือการได้ผ่านเข้ารอบ และมีสิทธิ์ได้ร้อง เพลงต่อไปจนเป็นผู้ชนะพร้อมรางวัลก้อนใหญ่ กติกาคือโครงสร้างที่เรียลลิตี้ควบคุมไว้ และให้คนดูรอชมไปพร้อมๆ กันว่าจะเกิดอะไร ขึ้นกับผู้เข้าแข่ง ส่วนปัจจัยที่ไม่ได้ควบคุมไว้ท�าได้เพียงแค่กะเกณฑ์ว่าน่าจะได้ผลลัพธ์ ประมาณไหน ก็คือความรู้สึกของผู้ชมขณะที่ก�าลังรับชมรายการ (ดังภาพที่ 1) Ordinary ปัจจัยที่ไม่ได้ควบคุม ความเป็นธรรมดา REALITY Constructed Situation สถานการณ์ที่ก�าหนด/สร้างขึ้น ปัจจัยที่ควบคุมไว้ เวลา สถานที่ ภาพที่ 1 องค์ประกอบของรายการเรียลลิตี้ ที่มา: ดัดแปลงจาก Bignell, J.,