การศึกษาอนุกรมวิธานของกกสกุล Carex L. และ Scleria Berg. ในอุทยานแหงชาติภูจองนายอย จังหวัดอุบลราชธานี

Total Page:16

File Type:pdf, Size:1020Kb

การศึกษาอนุกรมวิธานของกกสกุล Carex L. และ Scleria Berg. ในอุทยานแหงชาติภูจองนายอย จังหวัดอุบลราชธานี THAI JOURNAL OF BOTANY 4 (Special Issue): 23-30. 2012. วารสารพฤกษศาสตรไทย 4 (ฉบับพิเศษ): 23-30. 2555. การศึกษาอนุกรมวิธานของกกสกุล Carex L. และ Scleria Berg. ในอุทยานแหงชาติภูจองนายอย จังหวัดอุบลราชธานี Taxonomic study of the genera Carex L. and Scleria Berg. in Phu Chong Na Yoi National Park, Ubon Ratchathani province วลัยภรณ เสรีมงคลนิมิต และ ฉัตรชัย เงินแสงสรวย* WALAIPHON SAREEMONGKONNIMIT & CHATCHAI NGERNSAENGSARUAY* ภาควิชาพฤกษศาสตร คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร กรุงเทพฯ 10900 Department of Botany, Faculty of Science, Kasetsart University, Bangkok 10900, Thailand บทคัดยอ. ศึกษาอนุกรมวิธานของกกสกุล Carex และ Scleria ในอุทยานแหงชาติภูจองนายอย จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแตเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 โดยสำรวจและ เก็บตัวอยางในภาคสนามตามเสนทางสำรวจ 8 เสนทาง ครอบคลุมสังคมพืช 4 แบบ ที่ความสูงจาก ระดับน้ำทะเล 200-300 เมตร ไดแก พื้นที่ลานหิน ปาเต็งรัง ปาดิบแลง และพื้นที่เปดโลง พบสกุล Carex 2 ชนิด 1 พันธุ ไดแก Carex indica L. var. laetebrunnea C.B. Clarke (หญาคมบางเล็ก) และ C. tricephala Boeck. (หญาดอกดิน) และสกุล Scleria 6 ชนิด 2 ชนิดยอย ไดแก Scleria biflora Roxb. subsp. biflora (กกลูกขน) S. levis Retz. (หญาสามคม) S. lithosperma (L.) Sw. subsp. lithosperma (หญาคมบางเล็ก) S. neesii Kunth (กกกระจิว) S. purpurascens Steud. (หญาคมบาง) และ S. tonkinensis C.B. Clarke (หญาขำเปา) ABSTRACT. A taxonomic study of the genera Carex and Scleria in Phu Chong Na Yoi national park, Ubon Ratchathani province was conducted from July 2010 to August 2011. Field exploration and specimen collections were made along eight routes representing four vegetation types at 200-300 m.s.l. of open rock platform, deciduous dipterocarp forest, dry evergreen forest and open area. Two species and one variety of the genus Carex were recognized, i.e. Carex indica L. var. laetebrunnea C.B. Clarke (Ya khom bang lek) and C. tricephala Boeck. (Ya dok din). Six species and two subspecies of the genus Scleria were identified, i.e. Scleria biflora Roxb. subsp. biflora (Kok luk khon), S. levis Retz. (Ya sam khom), S. lithosperma (L.) *Corresponding author: [email protected], [email protected] 24 วลัยภรณ เสรีมงคลนิมิต และ ฉัตรชัย เงินแสงสรวย Sw. subsp. lithosperma (Ya khom bang lek), S. neesii Kunth (Kok kra chio), S. purpurascens Steud. (Ya khom bang) and S. tonkinensis C.B. Clarke (Ya khom pao). คำสำคัญ: อนุกรมวิธานพืช, สกุล Carex, สกุล Scleria, อุทยานแหงชาติภูจองนายอย KEYWORDS: Plant taxonomy, Carex, Scleria, Phu Chong Na Yoi National Park บทนำ สานเสอ่ื และทำเบาะ ในประเทศไทยใชประโยชน จากกกรักษาโรค เชน แหวหมู (Cy. rotundus) พชวงศื กก (Cyperaceae) เปนวงศ ท ม่ี จำนวนี เหงาใชเปนยาขับปสสาวะ บำรุงหัวใจ และลดไข ชนิดมากเปนอันดับ 3 ในกลุมพืชใบเลี้ยงเดี่ยว (อนิษฐาน ศรีนวล, 2548) คาหอม (Scleria มีเขตการกระจายพันธุทั้งในเขตหนาวและเขต pergracilis) ลำตนมีกลิ่นหอม ใชเปนสวนผสม อบอุน ในประเทศไทยมีรายงานการสำรวจพบ ยาพื้นบาน (Ravi, 2002) การรวบรวมและศึกษา พืชวงศกก 29 สกุล 248 ชนิด สกุลที่มีจำนวน อนุกรมวิธานพืชวงศกกเพื่อเปนขอมูลดานความ ชนดมากทิ สี่ ดคุ อื Fimbristylis 60 ชนดิ รองลงมา หลากหลายทางชีวภาพของประเทศ การศึกษา คือ Cyperus 47 ชนิด Carex 41 ชนิด และ กกสกลุ Carex และ Scleria ในครงน้ั ้ี ทำใหทราบ Scleria 22 ชนิด (Simpson & Koyama, 1998; ขอม ลพู นฐานด้ื านความหลากหลายในพ นท้ื อ่ี ทยานุ Phulphong, 2007) พืชวงศกกมีลักษณะที่คลาย แหงชาติภูจองนายอย เพื่อการอนุรักษและใช กับพืชวงศหญา (Poaceae) แตมีขอแตกตางกัน ประโยชนทรัพยากรธรรมชาติอยางยั่งยืน คือ พืชวงศกกมีลักษณะลำตนเหนือดินภาค ตัดขวางสวนมากรูปสามเหลี่ยม มีขอและปลอง วิธีการศึกษา เห็นไมชัด ใบเรียง 3 แถว (3-ranked) แตพืช วงศหญาลักษณะลำตนเหนือดินภาคตัดขวาง ศกษางานวึ จิ ยและเอกสารอั างอ งทิ เก่ี ยวข่ี อง สวนมากร ปวงกลมู มขี อและปล องเห นช็ ดั ใบเรยงี กับพืชวงศกก ออกสำรวจ ถายภาพ และเก็บ 2 แถว (2-ranked) ปจจุบันมีการนำพืชวงศกก ตัวอยางในภาคสนาม ตั้งแตเดือนกรกฎาคม ไปใชประโยชนหลายดาน เชน บางชนิดมีความ พ.ศ. 2553 ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2554 เก็บ สำคัญในการอนุรักษหนาดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ ตัวอยางเดือนละ 1 ครั้ง ตามเสนทางสำรวจ ทม่ี ความลาดชี นสั งู โดยพชวงศื กกม ระบบรากฝอยี 8 เสนทาง ไดแก เสนทางหนวยพิทักษอช. จำนวนมาก มีความสามารถในการแผขยายราก ที่ภจ.1 (พลาญกงเกวียน) เสนทางหนวยพิทักษ ไดดี ชวยลดการพังทลายของหนาดิน (ดวงใจ อช. ที่ภจ. 4 (จันลา) เสนทางหนวยพิทักษอช. ศุขเฉลิม, 2549) ชวยคงไวซึ่งความชุมชื้นใหผิว ทภจ่ี . 6 (แกงเร องื ) เสนทางแก งศ ลาทิ พยิ เสนทาง หนาดิน ในประเทศญี่ปุนใช Carex dispalatha พลาญปาชาด เสนทางแกงกะเลาถึงแกงสน สานหมวก ในยุโรปใช C. brizodies ในงานสาน สามพันป เสนทางน้ำตกหวยหลวง และเสนทาง กระจาดและกระเชา ในอยี ปติ ใช ลำต นเหน อดื นของิ ถนนหลักจากพลาญปาชาดถึงน้ำตกหวยหลวง กกอียิปต (Cyperus papyrus) ทำกระดาษ เชือก ซึ่งครอบคลุมสังคมพืช 4 แบบ ที่ความสูงจาก อนุกรมวิธานของ Carex และ Scleria ในอุทยานแหงชาติภูจองนายอย จ.อุบลราชธานี 25 ระดับน้ำทะเล 200-300 เมตร ไดแก พื้นที่ ผลการศึกษาและวิจารณผล ลานหิน ปาเต็งรัง ปาดิบแลง และพื้นที่เปดโลง จากการศึกษาพบพืชวงศกก 8 ชนิด 2 นำตัวอยางที่ไดจากภาคสนามมาศึกษาลักษณะ ชนิดยอย และ 1 พันธุ จาก 2 สกุล โดยพบสกุล สัณฐานวทยาโดยละเอิ ยดี โดยใชกล องจ ลทรรศนุ Carex 2 ชนิด 1 พันธุ ไดแก Carex indica var. สเตอรโอิ พรอมท งถ้ั ายภาพ ระบชุ อพฤกษศาสตร่ื laetebrunnea (หญาคมบางเล ก็ ) และ C. tricephala โดยใชเอกสารอางอิงทางวิชาการที่เกี่ยวของของ (หญาดอกดิน) (ตารางที่ 1, ภาพที่ 1) สวนสกุล Simpson & Koyama (1998), Phulphong (2007) Scleria พบ 6 ชนิด 2 ชนิดยอย ไดแก Scleria และเอกสารอื่นๆ เทียบเคียงตัวอยางที่ศึกษากับ biflora subsp. biflora (กกลูกขน) S. levis (หญา ตวอยั างพรรณไม แห งท ระบ่ี ชนุ ดแลิ ว ในพพิ ธภิ ณฑั สามคม) S. lithosperma subsp. lithosperma พืชกรุงเทพ กรมวิชาการเกษตร (BK) และ (หญาคมบางเล็ก) S. neesii (กกกระจิว) S. หอพรรณไม กรมอุทยานแหงชาติ สัตวปา และ purpurascens (หญาคมบาง ) และ S. tonkinensis พันธุพืช (BKF) สรางรูปวิธานระบุสกุลและชนิด (หญาขำเปา) (ตารางที่ 1, ภาพที่ 1-2) ตารางที่ 1 รายชื่อกกสกุล Carex และ Scleria ที่สำรวจพบในอุทยานแหงชาติภูจองนายอย ชนิด ชื่อพฤกษศาสตร ชื่อไทย ชนิดปา/ ชวงเวลา ที่ ถิ่นที่อยู ออกดอก และเปนผล 1 Carex indica L. var. laetebrunnea หญาคมบางเล็ก ปาดิบแลง ธ.ค.-มี.ค. C.B. Clarke Ya khom bang lek 2 C. tricephala Boeck. หญาดอกดิน ปาเต็งรัง เม.ย.-พ.ย. Ya dok din ปาดิบแลง 3 Scleria biflora Roxb. subsp. biflora กกลูกขน พื้นที่เปดโลง เม.ย.-พ.ย. Kok luk khon 4 S. levis Retz. หญาสามคม พื้นที่เปดโลง ก.ค.-ม.ค. Ya sam khom ปาเต็งรัง พื้นที่ลานหิน 5 S. lithosperma (L.) Sw. subsp. หญาคมบางเล็ก พื้นที่เปดโลง ก.ค.-พ.ย. lithosperma Ya khom bang lek 6 S. neesii Kunth กกกระจิว พื้นที่ลานหิน ส.ค.-พ.ย. Kok kra chio ปาเต็งรัง 7 S. purpurascens Steud. หญาคมบาง ปาดิบแลง มี.ค.-ส.ค. Ya khom bang 8 S. tonkinensis C.B. Clarke หญาขำเปา ปาเต็งรัง พ.ค.-พ.ย. Ya khom pao พื้นที่ลานหิน 26 วลัยภรณ เสรีมงคลนิมิต และ ฉัตรชัย เงินแสงสรวย 1 มม. 1 มม. ก ข ค ง จ 1 มม. ฉ 1 มม. 1 มม. 1 มม. ช ซ ฌ ภาพที่ 1 Carex indica L. var. laetebrunnea C.B. Clarke: ก. ชอดอกแบบชอแยกแขนง; ข. กระเปาะหุม; ค. ผล, Carex tricephala Boeck.: ง. ชอดอกแบบชอเชิงลดคลายชอกระจุกแนน; จ. กระเปาะหุม; ฉ. ผล, Scleria lithosperma (L.) Sw. subsp. lithosperma: ช. ชอดอกแบบชอแยกแขนง; ซ. ชอดอกยอย; ฌ. ผล อนุกรมวิธานของ Carex และ Scleria ในอุทยานแหงชาติภูจองนายอย จ.อุบลราชธานี 27 ก ข 1 มม. 1 มม. ค 1 มม. ง จ 1 มม. ฉ ช ซ 1 มม. ฌ 1 มม. 1 มม. ญ ฎ ฏ 1 มม. 1 มม. 1 มม. ฐ ฑ ฒ ภาพที่ 2 Scleria neesii Kunth: ก. ชอดอกแบบชอกระจุก; ข. ชอดอกยอย; ค. ผล, Scleria tonkinensis C.B. Clarke: ง. ชอดอกแบบชอแยกแขนง; จ. ชอดอกยอย; ฉ. ผล, Scleria biflora Roxb. subsp. biflora: ช. ชอดอก แบบชอแยกแขนง; ซ. ชอดอกยอย; ฌ. ผล, Scleria purpurascens Steud.: ญ. ชอดอกแบบชอแยกแขนง; ฎ. ชอดอกยอย; ฏ. ผล, Scleria levis Retz.: ฐ. ชอดอกแบบชอแยกแขนง; ฑ. ชอดอกยอย; ฒ. ผล 28 วลัยภรณ เสรีมงคลนิมิต และ ฉัตรชัย เงินแสงสรวย ลักษณะของสกุล Carex L. เพศเมีย 1 ดอก อยูที่ปลายชอดอกยอยและ มดอกเพศผี ู 1-หลายดอกอยดู านข าง กาบชอย อย ไมล มล กหลายปุ ลำตนเหน อดื นเปิ นสามเหล ยม่ี เรียงเวียนหรือเรียง 2 แถว ดอกมีเพศเดียว ไมมี ใบเรียง 3 แถว ออกที่โคนลำตน แผนใบรูปแถบ วงกลีบรวม ดอกเพศผูมีเกสรเพศผู 2-3 อัน กาบใบสนี ำตาลอ้ อนถ งสึ นี ำตาลอมม้ วง ไมม ลี นใบิ้ ดอกเพศเมยมี ีกานเกสรเพศเมีย 1 กาน รวงงาย ใบประดับรองรับชอดอกคลายใบ ชอดอกแบบชอ ยอดเกสรเพศเมียแยกเปน 3 แฉก ผลแบบ แยกแขนงหรือชอเชิงลดคลายชอกระจุกแนน ผลเปลือกแข็งเมล็ดลอน รูปทรงกลม รูปไขกลับ ชอดอกยอยมีเพศเดียว ชอดอกยอยเพศผูมักอยู รูปทรงรี แข็งคลายกระดูก จานฐานผล (disk) เหนือชอดอกยอยเพศเมีย กาบชอยอยเรียงเวียน เปนแฉก 3 แฉก มีสวนคลายกานหรือเห็นไมชัด แตละกาบรองรับดอก 1 ดอก ดอกเพศผูมีเกสร จากการศึกษาลักษณะสัณฐานวิทยาของกก เพศผู 3 อัน ดอกเพศเมียมีกระเปาะ (utricle) ทั้งสองสกุล พบวา สกุล Carex มีลักษณะสำคัญ หุมรังไข รูปคลายขวดปลายเปด ปลายกระเปาะ ที่นำไปใชระบุสกุล คือ ดอกเพศเมียและผล มีจะงอย (beak) ปลายตัด (truncate) หรือ มีกระเปาะหุม ผลไมแข็งคลายกระดูก สวนสกุล หยักซี่ฟน 2 ซี่ กานเกสรเพศเมีย 1 กาน Scleria ดอกเพศเมียและผลไมมีกระเปาะหุม ผล ยอดเกสรเพศเมยแยกเปี น 3 แฉก ไมม วงกลี บรวมี แข็งคลายกระดูก ลักษณะสำคัญที่ใชในการสราง ผลแบบผลเปลือกแข็งเมล็ดลอน มี 3 ดาน รูปวิธานระบุชนิดในสกุล Carex คือ ลักษณะ ผิวเปนปุมขนาดเล็ก กระเปาะหุมผลและชนิดชอดอก สวนในสกุล ลักษณะของสกุล Scleria Berg. Scleria คือ เพศของชอดอกยอย ลักษณะจาน ฐานผล กาบชอยอย รูปรางผล ลักษณะผนังผล ไมล มล กปุ เด ยวหรี อหลายปื ลำตนใต ด นแขิ ง็ ชนิดชอดอก และใบ คลายเนื้อไม ลำตนเหนือดินเปนกอ ตั้งตรง ใบ เมื่อเปรียบเทียบกับผลการศึกษาครั้งนี้ซึ่ง ออกที่โคนลำตนหรือตามลำตน กรณีออกตาม พบสกลุ Carex ในพนท้ื ศ่ี กษาึ 2 ชนดิ จากจำนวน ลำตน บางครั้งเรียงเปนวงรอบ แผนใบรูปแถบ ทั้งหมด 41 ชนิด คิดเปนประมาณรอยละ 4.9 หรือรูปใบหอก กาบใบมีปก 3 ปก หรือไมมี ไมมี ของจำนวนชนิดกกสกุลนี้ในประเทศไทย สวน ลิ้นใบ ที่ปลายกาบใบมักมีโครงสรางคลายลิ้นใบ สกลุ Scleria ในพนท้ื ศ่ี กษาพบึ 6 ชนดิ จากจำนวน (contraligule) ชอดอกแบบชอแยกแขนงหรือชอ ทั้งหมด 22 ชนิด คิดเปนประมาณรอยละ 27.2 กระจุก ชอดอกยอยมีเพศเดียวหรือสมบูรณเพศ ของจำนวนชนิดกกสกุลนี้ในประเทศไทย ชอดอกยอยเพศเมียมีดอกเพศเมีย 1 ดอก และ กาบชอยอย 1-หลายกาบ (ดอกเพศผูลดรูป) ชอดอกยอยเพศผูมีกาบชอยอยหลายกาบถึง จำนวนมาก กรณชี อดอกย อยสมบ รณู เพศ มดอกี อนุกรมวิธานของ Carex และ Scleria ในอุทยานแหงชาติภูจองนายอย จ.อุบลราชธานี 29 รูปวิธานระบุชนิด
Recommended publications
  • Download Download
    Plant Science Today (2019) 6(1): 40-42 40 https://doi.org/10.14719/pst.2019.6.1.450 ISSN: 2348-1900 Plant Science Today http://www.plantsciencetoday.online Research Communication Taxonomy and Distribution of Scleria foliosa (Cyperaceae) in Kerala, India Viji A R1* and T S Preetha2 1Department of Botany, Iqbal College, Thiruvananthapuram, Kerala, India 2Department of Botany, University College, Thiruvananthapuram, Kerala, India Article history Abstract Received: 10 November 2018 Scleria foliosa (Cyperaceae) an interesting sedge species is reported here as a new Accepted: 31 December 2018 record for Kerala. Detailed description with photographs and relevant notes on Published: 20 January 2019 distribution are provided for easy identification. Keywords Editor Dr Sheikh Muhammad Masum Scleria foliosa; New Record; Thiruvananthapuram; Kerala Sher-e-Bangla Agricultural University Bangladesh Citation Viji AR. Preetha TS. Taxonomy and Distribution of Scleria foliosa (Cyperaceae) in Kerala, India. Plant Science Today 2019;6(1):40-42. https://doi.org/10.14719/pst.2019.6.1.450 Publisher Horizon e-Publishing Group Copyright: © Viji and Preetha (2019). This is an open-access article distributed under the terms of the Creative Commons Attribution License, which permits unrestricted use, distribution, and reproduction in any medium, provided the original author and source are credited (https://creativecommons.org/licenses/by/4.0/). *Correspondence Viji A R Indexing: Plant Science Today is covered by Scopus, CAS, AGRIS, CABI, Google Scholar, [email protected] etc. Full list at http://www.plantsciencetoday.online Introduction were made using a Leica MZ6 stereo microscope. On critical study, the specimens were identified as Scleria P. Bergius is a pantropic genus of ca.
    [Show full text]
  • Viji a R.Pdf
    REVISIONARY STUDIES OF THE FAMILY CYPERACEAE IN KERALA TECHNICAL REPORT BACK TO LAB PROGRAMME (05-31/WSD-BLS/2016/CSTE dated 31-10-2016) WOMEN SCIENTISTS DIVISION KERALA STATE COUNCIL FOR SCIENCE TECHNOLOGY AND ENVIRONMENT GOVT. OF KERALA Project Period: 20-12-2016 to 31-05-2018 Submitted By Dr. VIJI A. R. (Women Scientist) Dr Preetha T. S. (Scientist Mentor) Department of Botany University College, Palayam, Thiruvananthapuram – 695 034, Kerala June 2018 AUTHORIZATION The work entitled Revisionary Studies of the Family Cyperaceae in Kerala by Dr Viji A. R., was carried out under the Back to lab programme of Women Scientists Division, Kerala State Council for Science Technology and Environment, Govt. of Kerala. The work was carried out at Department of Botany, University College, Palayam, Thiruvananthapuram with Dr Preetha T. S. (Assistant Professor) as Scientist Mentor. The project was sanctioned wide reference No: 05-31/WSD-BLS/2016/CSTE dated 31-10- 2016. The project was concluded on 31/05/2018 with a financial expenditure of Rs. 13,55,184/- 1 ACKNOWLEDGEMENTS With profound gratitude, I acknowledge the Kerala State Council for Science Technology and Environment (KSCSTE) for the financial assistance through ‘Back to Lab program’ of Women Scientist Division, which helped me to get an independent project with great exposure leading to career development. I would like to thank the research advisory committee of Women Scientist Division KSCSTE, TVM for accepting and sanctioning the project which provided me a great exposure to the research world I am grateful to Dr K.R. Lekha, Head, Women Scientists Division for the encouragement and support throughout the tenure of the project.
    [Show full text]
  • An Account of Cyperaceae A. L. Jussieu of Darjeeling District of Paschimbanga, India
    Pleione 5(2): 314 - 323. 2011. ISSN: 0973-9467 © East Himalayan Society for Spermatophyte Taxonomy An account of Cyperaceae A. L. Jussieu of Darjeeling District of Paschimbanga, India Suman Nirola and A.P. Das Taxonomy & Environmental Biology Laboratory, Department of Botany, University of North Bengal, Siliguri 734013, Paschimbanga, India [Received revised & accepted 27.12.2011] Abstract The floristic diversity of Darjeeling region of Paschimbanga (formerly West Bengal) is well known. The hills of Darjeeling are forming a part of Eastern Himalaya. Vast differences in altitudinal ranges, extreme variation in temperature, climate soil character, etc. have created a wide range of variation in habitat structure. The Cyperaceae A. L. Jussieu has emerged to be the third dominant family amongst monocots in the district of Darjeeling after Poaceae and Orchidaceae. Out of about 72 genera and 4000 species world wide and about 38 genera and 485 species in India, a sizeable number of 134 species from 19 genera have been recorded from the study area. The members of the Cyperaceae are widely distributed and are present almost in all types of vegetation starting from hot tropical to chilling sub- alpine zones. Species of Schoenoplectus, Eleocharis, Scirpus, Cyperus etc. are most dominant in lower elevations while Carex, Kobresia etc, are mostly present in sub-alpine zone. Habitat wise they may be aquatic, marshy, mesophytic, lithophytic and some times even epiphytic. The present article emphasizes upon the distribution pattern, dominance, RET species, endemism etc. of this important plant family in Darjeeling district. Key words: Cyperaceae, Darjeeling flora, 19 genera,134 species INTRODUCTION Geographically the Darjeeling district of the Indian state of Paschimbanga (formerly West Bengal) is located between 26° 31' 053 to 27° 13' 10" N latitudes and 87° 59' 30" to 88° 5' 31" E longitudes.
    [Show full text]
  • BIODIVERSITY CONSERVATION on the TIWI ISLANDS, NORTHERN TERRITORY: Part 1. Environments and Plants
    BIODIVERSITY CONSERVATION ON THE TIWI ISLANDS, NORTHERN TERRITORY: Part 1. Environments and plants Report prepared by John Woinarski, Kym Brennan, Ian Cowie, Raelee Kerrigan and Craig Hempel. Darwin, August 2003 Cover photo: Tall forests dominated by Darwin stringybark Eucalyptus tetrodonta, Darwin woollybutt E. miniata and Melville Island Bloodwood Corymbia nesophila are the principal landscape element across the Tiwi islands (photo: Craig Hempel). i SUMMARY The Tiwi Islands comprise two of Australia’s largest offshore islands - Bathurst (with an area of 1693 km 2) and Melville (5788 km 2) Islands. These are Aboriginal lands lying about 20 km to the north of Darwin, Northern Territory. The islands are of generally low relief with relatively simple geological patterning. They have the highest rainfall in the Northern Territory (to about 2000 mm annual average rainfall in the far north-west of Melville and north of Bathurst). The human population of about 2000 people lives mainly in the three towns of Nguiu, Milakapati and Pirlangimpi. Tall forests dominated by Eucalyptus miniata, E. tetrodonta, and Corymbia nesophila cover about 75% of the island area. These include the best developed eucalypt forests in the Northern Territory. The Tiwi Islands also include nearly 1300 rainforest patches, with floristic composition in many of these patches distinct from that of the Northern Territory mainland. Although the total extent of rainforest on the Tiwi Islands is small (around 160 km 2 ), at an NT level this makes up an unusually high proportion of the landscape and comprises between 6 and 15% of the total NT rainforest extent. The Tiwi Islands also include nearly 200 km 2 of “treeless plains”, a vegetation type largely restricted to these islands.
    [Show full text]
  • 21 Publication.Pdf
    P/eionr 41' l " .0 i' '("' f: hi II ...... la·.n,. ...,ncu::~ I ·...:rn:1 1\{1,. rl\ Acampe papillosa (Lindley) Lindley var. flam Das et a/ (var. nov.) from the Duars of West Bengal, India A. P. nns', Tapan Kumar Kat ham' and Suman Nirola l H; ': :n\ \: f n:•rL·nmcrlt~l R·,:: );'\ t lhor.atun ~)cpartmcnr o" Bf·t:ulY l nn•e,,~ 1 i) of ?\..J:I~ Bcnga· <;!11••u. 711(1 l \\ 11 n~·l VPU· J...uth~1mb~c 1 l."· .:;·r...~•run , ;"2 "' \\\; ·1 hl:ntdl. lnt!Jl • rrt,• 1 ~/,, 1)' d• J.. r c1.£l,i,_f_f _!}_' U__:t l !.lli_ ,_j_~ J' \bstrnct 1cumpe pt>pri/)Sa ILIJl(ICVJ I Jrtdn \aJ 'la•,J \1' Das. r r. Kath.t •) ('/.., 1\;Jmla, .l ·lCW \3rJCI)', ·~ describ.:d from the Iluars area <>t t1tc Jnl:'laJ<; J'l Di;trict of\V.:st Bengal. lnd1a. The new variety diffel'; from the type-variety mainly by the absence of •tr:pes and blot~h:::s on dislin.l\y yellow ·;~pals and petals. K~y words· h "r,•p• par i!lo.w '"r '! n·.•l '1< et 'I. New ,. ,. e<\ w .. s, 1:\l'•ll!al lmhu INTRODVCTIO"' Acampe papillm<1t Lindley) L indlcy ,,fOrch,da;.:cae is a common cptphyte m DarJihng foot-hJlls, fcrai and Duars region ofWco;t 13~:;nRal (Pcah & rnbb 2002). In June 2009, some detached and fallen clumps 0fthi<> orchid \Vcre r~.:.,cucd from the road-side ncar Nagrakata in Duars of Jalpatgun district and were placed on ncarb) trc:cs for future ubscrvatiun.
    [Show full text]
  • Supplementary Environmental Impact Assessment of the Tuyen Quang Dam, Viet Nam Appendices
    PPAARRCC PROJECT FOREST PROTECTION DEPARTMENT (FPD), MINISTRY OF AGRICULTURE AND RURAL DEVELOPMENT (MARD) Supplementary Environmental Impact Assessment of the Tuyen Quang Dam, Viet Nam Appendices PARC Project VIE/95/G31&031 Creating Protected Areas for Resource Conservation using Landscape Ecology Ha Noi - September 2002 Supplementary EIA of Tuyen Quang Dam: Appendices Contents Contents ..............................................................................................................................2 Appendix 1. Terms of reference for the study......................................................................3 Appendix 2. Programme diary .............................................................................................8 Appendix 3. List of persons and organisations consulted..................................................10 Appendix 4. Record of meetings........................................................................................12 A. Consultative Meeting With NGOs.......................................................................................12 B. List of Participants of the Stakeholder Meeting in Na Hang ...............................................13 Appendix 5. Resettlement Policies for Tuyen Quang Hydropower Project........................14 Legal frameworks ..........................................................................................................................14 Policy supporting documents.........................................................................................................14
    [Show full text]
  • Collector's Name and Collection Number, Place(S) of Deposit, Previously Known Distribution, Additional Remarks, Authority
    NEW RECORDS 27 XI. New Records (continued from Volume 9, page 418) should have the format: Important: reports following Family name, full name of taxon (incl. all authors), rough locality, date of collection, collector’s name and collection number, place(s) of deposit, previously known distribution, additional remarks, authority for the report. In a footnote the Foundation(s) from which grants were received may be mentioned. For examples see below. The Editors of the Bulletin disclaim any responsibility for possible misidentifications or superfluous records; these should be accredited to the correspondents who have reported them. We will moreover decide whether we will include a record or not depending on their significance as we see it. For the future the exact criteria for inclusion will be formulated after some experience with the subject. PTERIDOPHYTES Athyriaceae In vol. 9, p. 413, mention was made of Diplazium abenirachis. This should have been ‘ebenirachis’. This combinationwas never made by Mr. Price. The basionym, Athyrium ebenirachis is of Copel., a synonym D. pseudocyatheifolium Rosenst., occurring in Cen- tral and Southern Luzon. (Mr. PRICE, in litt.) Diplazium flavoviride Alston. New for Ceram. Kato et al. C-12458 (TI). Known from New Guinea, related to the Eastern North American Papua D. pycnocarpon. (Dr. KATO, in litt.). ANGIOSPERMS Acanthaceae Lamiacanthus renschiae Bremek. New for Flores. Ruteng, Lusang Pass, 1 April 1967 (Schmutz 1391, L), 16 June 1975 (Veldkamp 7018, L). Previously only known from the from Lombok. type (in B, probably destroyed) According to H. Terao (in sched.) this is a Strobilanthes. (E. SCHMUTZ & J.F. VELDKAMP). Anacardiaceae Gluta pubescens (Ridley) Ding Hou.
    [Show full text]
  • An Annotated Checklist of the Vascular Plants of Sundarban Mangrove Forest of Bangladesh
    Bangladesh J. Plant Taxon. 22(1): 17–41, 2015 (June) © 2015 Bangladesh Association of Plant Taxonomists AN ANNOTATED CHECKLIST OF THE VASCULAR PLANTS OF SUNDARBAN MANGROVE FOREST OF BANGLADESH 1 MOHAMMAD SAYEDUR RAHMAN , GAZI MOSHAROF HOSSAIN, 2 SALEH AHAMMAD KHAN AND SARDER NASIR UDDIN Department of Botany, Jahangirnagar University, Savar, Dhaka 1342, Bangladesh Keywords: Mangrove; Sundarban; Vascular plants. Abstract The study revealed the occurrence of 528 species of vascular plants belonging to 356 genera and 111 families in the Sundarban Mangrove Forest of Bangladesh. Among these species, 24 were pteridophytes and the rest were angiosperms, of which only 24 were true mangroves and 70 were mangrove associates. Magnoliopsida and Liliopsida were represented by 373 and 131 species, respectively. These species belonged to 345 herbs, 89 shrubs and 94 trees. Sixty-four species were climbers, 14 were epiphytes, 6 were parasites, and 7 were palms. The species number per family varied from 1 to 42. In pteridophytes, Pteridaceae with 4 genera and 5 species was the largest family. In angiosperms, Fabaceae with 24 genera and 42 species and Poaceae with 27 genera and 42 species were the largest families, respectively, in Magnoliopsida and Liliopsida. Most of the species included in this checklist were found in oligohaline zone, Sarankhola range and the forest margins, and recognized as economically important. Eleven species categorized as threatened in Bangladesh were found to occur in this mangrove forest. Introduction The Sundarban, located in south of the Tropic of Cancer at the northern limits of the Bay of Bengal and covering a vast area of about 10,029 sq km in the territory of Bangladesh and India (Hussain and Acharya, 1994), is the world’s largest single chunk of productive mangrove forest ecosystems (Das and Siddiqi, 1985).
    [Show full text]
  • Analysis of the Flora
    ANALYSIS OF THE FLORA The flora of the partially Himalayan district Darjeeling was not known properly. The area was surveyed by many stalwart floristic experts incliding Sir J.D. Hooker, Cambell, Griffith, Fr. Buchanan Hamilton, H. Hara, H. Ohashi, K.P. Biswas, D. G. Long, H.J. Noltie and many others. In recent years K.M. Matthew, A.P. Das and R.B. Bhujel and significantly contributing knowledge to the flora ofDarjeeling district. Even then a complete flora for the district was not available. Hills of Darjeeling and the places in Terai and Duars are well known and preferred spots for on field traing for the students of botany and forestry. R.B. Bhujel has presented the Dicotyledonous flora ofDarjeeling district in 1996 which is now in press for publication. The present work, the Monocotyledonous flora of Darjeeling will complete the angiospermic flora of this floristically extremely important district. The District of Darjeeling is a hugely populated place, though it has some quite well conserved, least interfered and even virgin places still rich in plant diversity. The most of the efficient reasons for development of such a rich floristic diversity of the region is its diversity in habitat structure, wide altitudinal ranges, unique and much variable climatic conditions, variation in adaphic and topographic conditions, high and widely distributed precipitation and the natural inter-relationship within the species. The Darjeeling region of the Eastern Himalaya has attracted a large number of tourists, botanists and naturalists from throughout the world at least for the last three centuries as it is floristically rich vegetation against the background of tallest Himalayan snow-covered peaks.
    [Show full text]
  • A Strategy for the Conservation of Threatened Species and Threatened Ecological Communities in Kakadu National Park | 2014-2024
    A strategy for the conservation of threatened species and threatened ecological communities in Kakadu National Park | 2014-2024 By J.C.Z. Woinarski and S. Winderlich - October 2014 Vision: Kakadu National Park will be celebrated as a place in which management provides for the effective conservation of threatened species. Acknowledgements This strategy has been commissioned by Kakadu National Park. It responds to the interest and concerns of the Kakadu Board of Management, traditional owners, staff in Kakadu National Park and Parks Australia, and the Kakadu Research Advisory Committee. The strategy will be progressively implemented by Kakadu National Park over 10 years. Some recommendations are already being implemented, while others require further planning and consultation. This strategy was developed with the support of the North Australian Hub of the National Environmental Research Program. Michael Douglas oversaw the management and production of this strategy, and Jaana Dielenberg and Carli Piltz its layout and production. Vanessa Adams, Nick Dexter, Sam Flakus and Alaric Fisher provided helpful comments on earlier drafts. The strategy was initiated at a workshop held in Kakadu in March 2013, with the attendance and significant inputs from Alan Andersen, Roy Anderson, Frederick Baird, Mathias Baird, Josh Bean, Ryan Barrowei, Stuart Blanch, Mary Blyth, Roman Chaloupka, Peter Christophersen, Peter Cooke, Anthony Contarino, Ian Cowie, Samantha Deegan, Mark Ellis, Katie Elsley, Alaric Fisher, Stephen Garnett, Cherie Gellert, Graeme Gillespie, Louise Harrison, Michael Hammer, Fred Hunter, Jenny Hunter, Craig Ingram, Sarah Kerin, Peter Kyne, Violet Lawson, Jeff Lee, Sandra McGregor, Dan McIntyre, Andrew McPhee, Brendan Mee, Greg Miles, Ian Morris, Gleeson Nabulwad, Grant Nayinggul, Connie Nayinggul, Anne O’Dea, Gabrielle O’Loughlin, Margaret Rawlinson, Buck Salau, Ben Tyler, Berribob Watson, Sean Webster, Dion Wedd, Kathy Wilson and Dean Yibarbuk.
    [Show full text]
  • Distribution of Sedges in Vidarbha Region of Maharashtra
    Indian Journal of Plant Sciences ISSN: 2319-3824 (Online) An Online International Journal Available at http://www.cibtech.org/jps.htm 2013 Vol. 2 (1) January-March, pp.131-133/Chavan et al. Research Article DISTRIBUTION OF SEDGES IN VIDARBHA REGION OF MAHARASHTRA D. P. Chavan1, *S. A. Survase2 and S. N. Solanke3 1Department of Botany, Shrikrishan College, Gunjoti, Tq. Umarga 413613, Osmanabad (M.S.) India 2Arts, Science & Commerce College, Killedharur, Dharur, Beed (M.S.) India 3Department of Botany, Dr. Babasaheb Ambedkar Marathwada University, Aurangabad – 431004 (M.S.) India *Author for Correspondence ABSTRACT The results of field studies provide a general account of the distribution of cyperaceous plants in the Flora of Vidarbha. Maximum cyperaceous plants were collected from wetland. Frequent visits were made during October to January in the study region and specimens were collected and processed. The specimens were identified with the help of floras and available literature. Inland sedge vegetation can be categorised in different ecological groups which are discussed in the present paper. Kew World: Distribution, Cyperaceae, Vidarbha Region INTRODUCTION Cyperaceae (Commonly Called sedge family) is the second largest family among monocotyledons and stands next to grasses. Cyperaceae is one of the most intricate families represented by 70-80 genera and 4000 species distributed throughout the world with about 28 genera and 500 species in India. Due to minute to smaller size of flower, least economic importance and intricacy due to narrow generic and specific delimitation, extreme variation in vegetative and floral parts (Khan, 1983; 1198; 1999 and 2000) the sedges have been neglected by most taxonomists.
    [Show full text]
  • Floristic Diversity in the Lake Cluster of Pokhara Valley, Central Nepal
    Journal of Natural History Museum Volume 31, 2019-20 1 Floristic Diversity in the Lake Cluster of Pokhara Valley, Central Nepal Hom Nath Pathak 1 , Bharat Babu Shrestha2, Dinesh Raj Bhuju3 and Prabin Bhandari4 1Central Department of Botany, Tribhuvan University, Kathmandu, Nepal 2Prithvi Narayan Multiple Campus, Tribhuvan University, Pokhara, Nepal 3Resources Himalaya Foundation, Kathmandu, Nepal 4State Key Laboratory of Systematic and Evolutionary Botany, Institute of Botany, Chinese Academy of Sciences, Beijing, 10009 China 5University of Chinese Academy of Sciences, Beijing, 100049 China [email protected] ABSTRACT Wetlands support exceptionally high biodiversity and provide valuable ecosystem services, yet they are among the most threatened habitats due to anthropogenic activities. Conservation and management planning of wetlands requires, among others, a comprehensive floristic account. In this study, we prepared a checklist of the flowering plants found in the wetlands of the Lake Cluster of Pokhara Valley (LCPV), a Ramsar site of Nepal, located in a rapidly urbanizing capital city of Gandaki Province in Central Nepal. Voucher specimens were collected from the study sites through multiple visits during the monsoon (June-August) and autumn (September-November) seasons. Species were categorized based on their life forms (Raunkiaer’s classification) and native distribution range (native, naturalized, invasive). Ethno-botanical uses of the plant species were compiled from the published literature. We identified 230 plant species belonging to 70 families and 177 genera. Asteraceae (25 species), Poaceae (22 species), Fabaceae (18 species), Cyperaceae (16 species), and Lamiaceae (11 species) were species-rich families. Therophytes (30%) were the dominant life form followed by Hemicryptophytes (27%). Among 230 species, 183 species were native and 47 species naturalized; among the naturalized species, 21 species were invasive.
    [Show full text]