วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ PHRANAKHON RAJABHAT RESEARCH JOURNAL (Humanities and Social Sciences)

ปีที่ปที่ 1111 ฉบับพิเศษฉบับที่ 1 มกราคม (พฤศจิกายน - มิถุนายน 2559) 2559 Vol.11 Special Vol.11 No.1 Edition January-June (November 2016 2016) ISSN ISSN : 22862286-7171 - 7171 เจ้าของ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร วัตถุประสงค์ของการจัดพิมพ์วารสาร ด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนาด้วยสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ได้มีการเผยแพร่ผลงานวิชาการในรูปแบบของวารสาร เพราะเห็นว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ได้มีการเผยแพร่ผลงานวิชาการในรูปแบบของวารสาร เพราะเห็นว่าจะเป็น ประโยชน์ในการพัฒนาความรู้ทางวิชาการและเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนข่าวสารสาระส�จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาความรู้ทางวิชาการและเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนข่าวสารสาระส�าคัญ ประสบการณ์ ด้านการวิจัยต่าง ๆ แก่นักวิชาการำคัญ ประสบการณ์ ด้านการวิจัยต่าง ๆ แก่นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจและบุคคลทั่วไปที่สนใจ จึงได้จัดท�าวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยจัดท�าเป็นวารสารราย 6 เดือน จึงได้จัดท�ำวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยจัดท�ำเป็นวารสารราย 6 เดือน เผยแพร่ปีละ(เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 ก 2 ฉบับ 1 มกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคมรกฎาคม - ธันวาคม) 1. 1. เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัย บทความปริทรรศน์ และบทวิจารณ์หนังสือ ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับมนุษยศาสตร์ เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัย บทความปริทรรศน์ และบทวิจารณ์หนังสือ ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์และสังคมศาสตร์ เช่น รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ พัฒนาชุมชน การบริหารและพัฒนาเมือง ประวัติศาสตร์ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เช่น รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ พัฒนาชุมชน การบริหารและพัฒนาเมือง ประวัติศาสตร์ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ นาฏศิลป์และการละครนาฏศิลปและการละคร ดนตรี นิติศาสตร์ ศิลปกรรม บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ การจัดการทั่วไป / คอมพิวเตอร์ธุรกิจ การจัดการ ดนตรี นิติศาสตร์ ศิลปกรรม บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ การจัดการทั่วไป / คอมพิวเตอร์ธุรกิจ การ จัดการทรัพยากรมนุษย์ทรัพยากรมนุษย์ การตลาด การท่องเที่ยวและการโรงแรม นิเทศศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บัญชี บริหารการศึกษา การศึกษาปฐมวัย หลักสูตร การตลาด การท่องเที่ยวและการโรงแรม นิเทศศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บัญชี บริหารการศึกษา การศึกษาปฐมวัย หลักสูตรและการสอนและการสอน เทคโนโลยีการศึกษา จิตวิทยาการศึกษา และสาขาวิชาอื่น ๆ เทคโนโลยีการศึกษา จิตวิทยาการศึกษา และสาขาวิชาอื่นตามการพิจารณาของกองบรรณาธิการ ๆ ตามการพิจารณาของกองบรรณาธิการ 2. 2. เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนข่าวสาร สาระส�าคัญ ประสบการณ์ด้านการวิจัยแก่นักวิจัย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ เพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนข่าวสาร สาระส�ำคัญ ประสบการณ์ด้านการวิจัยแก่นักวิจัย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ นโยบายการจัดพิมพ์ของวารสาร 1. 1. บทความที่น�าเสนอเพื่อขอตีพิมพ์ ต้องเป็นบทความวิชาการ บทความวิจัย บทความปริทรรศน์ หรือบทวิจารณ์หนังสือ ซึ่งอาจ บทความที่น�ำเสนอเพื่อขอตีพิมพ์ ต้องเป็นบทความวิชาการ บทความวิจัย บทความปริทรรศน์ หรือบทวิจารณ์หนังสือ ซึ่งอาจ เขียนเป็นทั้งภาษาไทยเขียนเป็นทั้งภาษาไทย หรือภาษาอังกฤษ หรือภาษาอังกฤษ 2. 2. บทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องเขียนตามรูปแบบของ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ บทความที่จะได้รับการตีพิมพ์ต้องเขียนตามรูปแบบของ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ ต้องผ่านกระบวนการพิจารณากลั่นกรองโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องก่อนต้องผ่านกระบวนการพิจารณากลั่นกรองโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องก่อน ทั้งนี้ทั้งนี้ บทความที่ตีพิมพ์จะต้องเป็นบทความที่ยังไม่เคย บทความที่ตีพิมพ์จะต้องเป็นบทความที่ยังไม่เคย รับการตีพิมพ์เผยแพร่รับการตีพิมพ์เผยแพร่ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากวารสารอื่น ๆ ( หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากวารสารอื่น ๆ (การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง)การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง) 3. บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ทุกบทความต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer reviewed) ที่มีความเชี่ยวชาญใน 3. บทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ทุกบทความต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Reviewed) ที่มีความเชี่ยวชาญใน สาขาที่เกี่ยวข้อง ไม่น้อยกว่า 2 ท่าน ต่อ 1 บทความ ซึ่งทั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบชื่อซึ่งกันและกัน (Double-blind peer review) สาขาที่เกี่ยวข้อง ไม่น้อยกว่า 2 ท่าน ต่อ 1 บทความ ซึ่งทั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนจะไม่ทราบชื่อซึ่งกันและกัน (Double-blind Peer Review) โดยบทความที่ลงตีพิมพ์ได้นั้นจะต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 2 ท่าน หรือ 2 ใน 3 ท่าน โดยบทความที่ลงตีพิมพ์ได้นั้นจะต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 2 ท่าน หรือ 2 ใน 3 ท่าน คณะที่ปรึกษา คณะที่ปรึกษา ดร.ถนอม อินทรก�าเนิด อุปนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ดร.ถนอม อินทรก�ำเนิด อุปนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว กรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ศาสตราจารย์ ดร.สนิท อักษรแก้ว กรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร พลอากาศเอก ดร.นพพร จันทวานิช กรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร พลอากาศเอก ดร.นพพร จันทวานิช กรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ดร.ผดุงชาติ สุวรรณวงศ์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ดร.ผดุงชาติรองศาสตราจารย์ ดร.พงศ์ หรดาล สุวรรณวงศ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครกรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร รองศาสตราจารย์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ณรงค์ศักดิ์ จักรกรณ์ ดร.พงศ์ หรดาล ผู้อ�านวยการส�านักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ณรงค์ศักดิ์ จักรกรณ์ ผู้อ�ำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร หัวหน้ากองบรรณาธิการ หัวหน้ากองบรรณาธิการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กองบรรณาธิการ ศาสตราจารย์ ดร.วัลลภ รัฐฉัตรานนท์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ เรพเพอร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย กองบรรณาธิการ ศาสตราจารย์ ดร.วัลลภ รัฐฉัตรานนท์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รองศาสตราจารย์ ดร.พิมลพรรณ เรพเพอร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย รองศาสตราจารย์ ดร.กุลทิพย์ ศาสตระจุริ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ นิด้า ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ มหาวิทยาลัยบูรพา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัครพนท์ เนื้อไม้หอม มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธาตรี ใต้ฟ้าพูล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิวนิต อรรถวุฒิกุล มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลักษณ์กมล จ่างกมล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีร์ธนิกษ์ ศิริโวหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กรองทอง จุลิรัชนีกร มหาวิทยาลัยราชภัฏร�ำไพพรรณี อาจารย์ ดร.ชเนตตี ทินนาม มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิตรา ชนะกุล มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร อาจารย์ ดร.ปรียา สมพืช มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร อาจารย์กัลยา นาคลังกา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร อาจารย์ ดร.สืบวงศ์ กาฬวงศ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร อาจารย์ ดร.สราวุธ ณ พัทลุง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร อาจารย์ ดร.สุไม บิลไบ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ผู้ประสานงานและเผยแพร่ นางเดือนเพ็ญ สุขทอง สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นางสาวมัธนา เกตุโพธิ์ทอง สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นางสาวศุภราพร เกตุกลม สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นางสาวทัศนา ปิ่นทอง สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นางสาวนวกมล พลบุญ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นางสาวสุธารัตน์ จุ้ยเจริญ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นายรัชตะ อนวัชกุล สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร นายจักรพันธ์ ก้อนมณี สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ติดต่อกองบรรณาธิการ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 9 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220 โทรศัพท์/โทรสาร 0 – 2521 - 2288, 0 – 2521 – 1234 E-mail: [email protected] และ https://www.tci-thaijo.org/index.php/PNRU_JHSS/login ก�ำหนดออก 2 ฉบับ ต่อ ปี (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม) การเผยแพร่ จัดส่งให้ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่สนใจสามารถค้นหาที่ https://www.tci-thaijo.org/index.php/PNRU_JHSS/issue/archive พิมพ์ที่ บริษัท ทริปเพิ้ล กรุ๊ป จ�ำกัด เลขที่ 95 ถ.แจ้งวัฒนะ ซ.6 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. 10210 โทรศัพท์ : 0 2521 8420 (อัตโนมัติ) แฟกซ์ : 0 2521 8424 triple-group.co.th บทบรรณาธิการบทบรรณาธิการ

วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัย พระนครราชภัฏพระนคร ปีที่ 11 ฉบับนี้เป็นฉบับพิเศษปีที่ 11 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน (พฤศจิกายน 2559) 2559 โดยจัดพิมพ์ในโอกาสการจัดประชุม ได้รวบรวมบทความเพื่อเผยแพร่ ทางวิชาการระดับชาติและนานาชาติและแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการของคณาจารย์ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ นักศึกษา 4” (4 thและผู้ทรงคุณวุฒิ Rajabhat University ทั้งภายในและ National andภายนอกมหาวิทยาลัย International Research and Academic Conference (RUNIRAC IV) การประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2559 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์ เนื้อหาสาระในวารสารฉบับนี้มีจ�านวน 22 บทความ ประกอบด้วยบทความในกลุ่ม เพื่อเป็นเวทีวิชาการส�ำหรับการเผยแพร่ผลงานวิจัย งานสร้างสรรค์ และนวัตกรรม ระดับชาติ สาขา ต่าง ๆ ดังนี้ สาขาการตลาด สาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สาขาการจัดการโลจิสติกส์ และนานาชาติ จากเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ ตลอดจนสถาบันอุดมศึกษา และ สาขาวิทยาการทางการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (การศึกษาปฐมวัย สาขาการบริหารการศึกษา หน่วยงานของภาครัฐและเอกชน ทั้งภายในและต่างประเทศ สาขาการวิจัยและประเมินทางการศึกษา สาขาภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ สาขาการจัดการ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้พิจารณาคัดสรร เพื่อการพัฒนา สาขาการจัดการทุนมนุษย์และองค์การ สาขานิเทศศาสตร์ (การสื่อสารสื่อใหม่) บทความ จ�ำนวน 20 บทความ จากกลุ่มสาขาต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้ สาขาดนตรี สาขาคณิตศาสตร์ สาขาพลศึกษา ทั้งนี้ ทุกบทความได้ผ่านการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิประจ�าฉบับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาขานิเทศศาสตร์ สาขาประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู สาขาการบัญชี สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษา สาขารัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันวิจัยและพัฒนา สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สาขาการพัฒนาชุมชน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวารสาร สาขาการ จัดการอุตสาหกรรมฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ทางวิชาการส� ทั้งนี้ ทุกบทความได้ผ่านการกลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิประจ�าหรับนักวิชาการ นักวิจัย คณาจารย์ และนักศึกษาต่อไปำฉบับเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวารสารฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์ทางวิชาการส� ำหรับนักวิชาการผู้ช่วยศาสตราจารย์ นักวิจัย คณาจารย์ ดร.นิษฐาและนักศึกษาต่อไป หรุ่นเกษม บรรณาธิการวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม บรรณาธิการวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ รายนามผู้ทรงคุณวุฒิ (Readers) ประจ�ำวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์)

1 รองศาสตราจารย์ฉันทนา สุรัสวดี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 2 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เจษฎา มิ่งฉาย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุวารี นามวงค์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 4 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาดา พงศ์กิตติวิบูลย์ มหาวิทยาลัยบูรพา 5 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐวิภา สินสุวรรณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 6 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธาตรี ใต้ฟ้าพูล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 7 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สายสุนีย์ หะหวัง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 8 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรหมมา วิหคไพบูลย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 9 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วัชรินทร์ อินทพรหม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 10 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิษฐา หรุ่นเกษม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 11 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวิทย์ ประสิทธิผล มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 12 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เดชรัต สุขก�ำเนิด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 13 ผู้ช่วยศาสตราจารย์จาริณี ม้าแก้ว มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 14 อาจารย์ ดร.ปรเมษฐ์ บุญน�ำศิริกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 15 อาจารย์ ดร.อุบล ทองปัญญา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตก�ำแพงแสน 16 อาจารย์ ดร.ขจิตขวัญ กิจวิลาสะ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต 17 อาจารย์ ดร.พัชรา เอี่ยมกิจการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 18 อาจารย์ ดร.สราวุธ ณ พัทลุง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 19 อาจารย์ ดร.ณวัฒน์ หลาวทอง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 20 อาจารย์ ดร.ปรียา สมพืช มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 21 อาจารย์ ดร.สุไม บิลไบ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 22 อาจารย์ ดร.สืบวงศ์ กาฬวงศ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 23 อาจารย์ ดร.คฑาวุฒิ สังฆมาศ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 24 อาจารย์ ดร.ฉันทัส เพียรธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 25 อาจารย์ ดร.ประเทืองสุข ยังเสถียร มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 26 อาจารย์ ดร.พัลยมน สินหนัง มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 27 อาจารย์รัฐพล สังคะสุข มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 28 อาจารย์ปริญญา พัฒนวสันต์พร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 29 อาจารย์สรรเพชร เพียรจัด มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สารบัญ หน้า บรรณาธิการ ก รายนามผู้ทรงคุณวุฒิ (Readers) ประจ�ำวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร (สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) ข สารบัญ ค บทความวิจัย • Potential Points Of Attractions And Tourism Products: The Case Of Phu Hin Rong Kla National Park, Phitsanulok Province, Panisa Panyalert 1 • Factors Affecting Thai Tourists Decision Making In Choosing Accommodation In Phatthaya City Kanamon Suwantada 9 • Arokayasala: Ancient Khmer Hospital In Thailand Sommatra Pholkerd 16 • การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพเด็ก เยาวชน บนฐานความหลากหลายทางวัฒนธรรม เชาวน์มนัส ประภักดี ถนอมศรี เปลี่ยนสมัย และ สรรพารี ยกย่อง 27 • การศึกษาองค์ความรู้วงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ต�ำบลหนองไทร อ�ำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่ออนุรักษ์เเละสืบสานวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่น พิชชาณัฐ ตู้จินดา 43 • พฤติกรรม อิทธิพล ผลกระทบ จากการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ของเยาวชน จังหวัดนครศรีธรรมราช สุภาวดี พรหมมา 52 • กรณีศึกษา : การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม โดยใช้กระบวนการเรียน-เล่น- ฝึกฝน ส�ำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พัชรินทร์ เศรษฐีชัยชนะ และ ปิยนุช ด่านเจริญ 60 • การจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย เสรี เพิ่มชาติ นงลักษณ์ เพิ่มชาติ และ ศุภกิจ จงศักดิ์สวัสดิ์ 71 หน้า • การพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพรตามภูมิปัญญาท้องถิ่น จากทรัพยากรความหลากหลาย ทางชีวภาพเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีศึกษา : บ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร นงลักษณ์ จิ๋วจู ทิพย์วรรณ ศิบุญนันท์ ชญานันท์ ศิริกิจเสถียร และ วีรวรรณ แจ้งโม้ 83 • ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาในระดับดับปริญญาตรี กรณีศึกษา: นักศึกษาไทยในเมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมธาวัตร ภูธรภักดี และ ศณัทชา ธีระชุนห์ 93 • ความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และ เอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ทิพย์สุดา ทาสีด�ำ สุพัตรา รักการศิลป์ เอมอร แสวงวโรตม์ ผกามาศ มูลวันดี ฐิติพร วรฤทธิ์ และ แก้วมณี อุทิรัมย์ 102 • ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น-พัฒนาการย่านเมืองเก่าเชียงราย กับการเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม นครินทร์ น�้ำใจดี 111 • ผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระดับนักศึกษา โดยสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ สายฝน เสกขุนทด 120 • รูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ สถาพร วิชัยรัมย์ และ สุธีกิติ์ ฝอดสูงเนิน 141 • ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองโบราณเวียงเชียงแสน : จากมรดกท้องถิ่นสู่มรดกชาติ ภัทรีพันธุ์ พันธุ ดุจฤดี คงสุวรรณ์ จันจิรา วิชัย ศศิภา ค�ำก�่ำ และ ทศพล คชสาร 158 • วิเคราะห์รูปแบบและความสัมพันธ์ของเกษตรกรภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา : ศึกษาเกษตรกรอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ นพดล ธีระวงศ์ภิญโญ 167 • การพัฒนายางพาราในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ เอมอร แสนภูวา 186 • การพัฒนาบทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ต ส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา ธิติ ปัญญาอินทร์ 198 หน้า • แนวทางการแก้ไขปัญหาไม้สยาขึ้นราในกระบวนการจัดเก็บ จุฑามาศ พรหมมนตรี บุตรี บุญโรจน์พงศ์ และ จารุวรรณี ไชยพรรณ 210 • พิธีกรรมฟ้อนผีในสังคมวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ นิรันดร์ ภักดี 219 ภาคผนวก 231 ขั้นตอนการด�ำเนินงานการจัดท�ำวารสารวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 232 แบบฟอร์มเสนอบทความเพื่อพิจารณาน�ำลงพิมพ์ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร 233 รายละเอียดการเตรียมบทความเสนอการตีพิมพ์ 235

Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 1 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย POTENTIAL POINTS OF ATTRACTIONS AND TOURISM PRODUCTS: THE CASE OF PHU HIN RONG KLA NATIONAL PARK, PHITSANULOK PROVINCE, THAILAND Panisa Panyalert Tourism Management Department, International College, Suan Sunandha Rajabhat University [email protected]

บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มุ่งเน้นในการศึกษาศักยภาพของสถานที่ท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยว กรณีศึกษาอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก ประเทศไทย อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าถือ เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่มีความสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยแห่งหนึ่ง และเป็นอุทยานแห่งชาติล�าดับ ที่ 48 ของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “อนุสรณ์สงครามบนลานดอกไม้” เนื่องจากครั้งหนึ่งบริเวณเขต อุทยานได้เคยเป็นฐานปฏิบัติการของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่น�าไปสู่การสูญเสียครั้งใหญ่ของ ประเทศไทยในอดีต งานวิจัยนี้ผู้วิจัยได้ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ เนื่องจากบทความวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวใน จังหวัดพิษณุโลกมีค่อนข้างน้อย ดังนั้น ผู้วิจัยจึงด�าเนินการวิจัยขั้นปฐมภูมิ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจ�านวน 20 คน จากองค์กรภาครัฐและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และคนในท้องถิ่น โดยกลุ่มตัวอย่างจ�านวน 20 คน ได้เข้ารับการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคลด้วยการถามค�าถามเจาะลึก เพื่อให้ได้ข้อมูลและ รายละเอียดที่จ�าเป็นในการน�ามาวิเคราะห์ในหัวข้อความส�าคัญและองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ทางการ ท่องเที่ยว และการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้ามีศักยภาพสูงในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากภายในอุทยาน แห่งชาติภูหินร่องกล้ามีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่มีเสน่ห์ น่าสนใจ น่าตื่นเต้น และเงียบสงบ นอกจากนี้อุทยานแห่งชาติยังมีสิ่งอ�านวยความสะดวกที่เพียงพอทั้งสาธารณูปโภค และการบริการอื่น ๆ ให้ แก่นักท่องเที่ยว แม้ว่าจะมีข้อจ�ากัดในการเข้าถึงอุทยานแห่งชาติเฉพาะรถโดยสารสาธารณะและรถส่วนตัว แต่ก็มีความปลอดภัยและป้ายบอกทางที่ชัดเจนส�าหรับนักท่องเที่ยวในการเข้าเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติ ภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก ค�าส�าคัญ: การพัฒนาจุดหมายปลายทาง การจัดการจุดหมายปลายทาง สินค้าการท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์ ทางการท่องเที่ยว วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ABSTRACT This research aims to study the potential points of attractions and tourism products by choosing Phu Hin Rong Kla National Park, Phitsanulok Province, Thailand as the case study. Phu Hin Rong Kla is one of the best national parks in Thailand under a theme of “War Memorial on Floral Ground”. The park has long been battlefield that led to big loss of Thailand. The country’s 48th national park was established in 1984. A qualitative research design is deemed appropriate for this study because the available article as it relates specifically to tourism in Phitsanulok province is immature. Therefore, the author carried out primary research with twenty respondents in different government organizations and companies related to tourism, and local people. An in-depth interview with several open-ended questions would be preferred in order to get deep details of necessary data for analyzing in tourism product’s importance, four components of tourism product, and SWOT analysis. The quality of Phu Hin Rong Kla National Park is that it has high potential for attracting the tourists because there are many tourist attractions where are attractive, interesting, exciting and peaceful. Moreover, the park provides the sufficient amenities for both infrastructure and superstructure, too. Although, it is limited in accessibility, only public bus and personal car, there are safety and clear signposts for tourists. Keywords: destination development, destination management, tourism inventory, tourism product Introduction involves experience and expectations that The tourism product is composite cannot be directly purchase but still form in nature and includes everything tourists part of the overall package. purchase, see, experience and feel from There are many tourist attractions the time they leave home until the time where can be the potential points of they return. It includes the journey to and attractions and tourism products, including from the destination, accommodation both of the popular and newly emerging and travel while at the destination, and ones in Thailand. Phu Hin Rong Kla National everything purchased including food and Park, Phitsanolok Province is one of tourism beverage, souvenirs, amusement and product where can be served the tourists entertainment. The tourism product also who most prefer travelling to the natural Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 3 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV area and touch with the authentic scenery. Review of Literature It does not well known much because there Kozak and Rimmington (1998) is less of superstructure for the tourists, identified the tourist destinations are but in contrast, it can take the advantage composed four components, including by having less of superstructure to make it attractions, accessibility, accommodation to be outstanding and uniqueness. Phu Hin and amenity. The primary elements Rong Kla is one of the best national parks in contributing to the attractiveness of a Thailand under a theme of “War memorial tourist destination as being climate, ecology, on floral ground” (Wildlife and Plant culture and traditional architecture, and Conservation Department, 2006). The park secondary elements specifically for tourist has long been battlefield that led to big loss groups, e.g. hotels, catering, transport and of Thailand. The mountain range had been entertainment. The following lists show served as a stronghold for the communist components of tourist destination, used to during 1968-1972, before being defeated delineate and understand existing tourism in 1982 (Wildlife and Plant Conservation product of Phu Hin Rong Kla National Park. Department, 2006). The country’s 48th 1. Attraction: scenery/natural national park was established in 1984. resources, climate, culture, food, history Today, Phu Hin Rong Kla National Park and ethnicity acquires total area of three hundred and 2. Accessibility: bus/train stations, seven square kilometers in Dansai district airport and port of Loei province and Nakhon Thai district 3. Accommodation: types (e.g. of Phitsanulok province. The geography is boutique, budget, guesthouse and rugged and steep mountain dominates most homestay), service and facilities area. The park has temperate weather all 4. Amenity: Infrastructure; the year round at temperature between water system, power source and road : eighteen to twenty-five degrees Celsius. Superstructure; communication network, During winter, it is rather foggy and the health care, security system, tourist temperature drops to zero to four degrees information center, shopping center and while the other places are too hot. restaurant วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 4 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

5. Activity: shopping, playing water The in-depth interviews took about sports, massaging, climbing and picnicking one month at Phu Hin Rong Kla National The SWOT analysis also helps in Park, Phitsanulok. The five respondents were analyzing the advantages and disadvantages the national park officers. There were five of the tourist destination in this article. This local business- persons considered to be helps in sound understanding of elements, the representatives from companies in the process and practice of local institutions. tourism industry which operates the tourism Following that, strategic alternatives are business related with the national park. In selected in the light of the strengths, addition, there were ten local people to be weaknesses, threats and opportunities as taken the interview, too. determined through internal and external The key-informants are selected environment analysis. SWOT analysis based on convenience sampling size. is intended to maximize strengths and Interview data are recorded on audio tapes opportunities, minimize external threats, and and notes are taken for three months during transform weaknesses into strengths and to February to May 2015. The interviews are take advantage of opportunities along with useful in gaining a more detailed perspective minimizing both internal weaknesses and of desired forms of public participation by external threats (Saaty, 1987). interest groups, power relationships, and the structure of the public administration Research Methodology system, local cultural and traditional values A qualitative research design is and other pertinent factors. deemed appropriate for this study because the available article as it relate specifically to Research Findings tourism in Phitsanulok province is immature. 1. Tourism Product’s Importance Therefore, the author will carry out primary The main importance of tourism research with ten respondents in different product is an economic driver of the nation, government organizations and companies in other words, tourism represents one of related to tourism, and local people. An the largest and strongest industries in Thai in-depth interview with several open-ended economy because of uniqueness and many questions will be preferred in order to get kinds of tourist attractions. Nowadays, there deep detail of necessary data. are many big hotels, travel agents and Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 5 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV airlines which they can decrease the number rock terrace is probably a result from earth of unemployment because most of them splitting, and Lan Hin Pum (Rugged Stone prefer to employ local people, excepting Platform), the field of rocky lumps in equal the management level which they have to size is believed result from physical and import from their headquarters. Moreover, chemical erosion, are provided the activities the tourism product can generate society of cave or geological touring, and sunset and participation such as OTOP (One butterflies watching. Man Daeng Waterfall One Product) which has a group of local has up to thirty-two levels in total. This people in a district, participating to produce takes three and a half kilometers walk a unique product for their district. on the trail paralleled with dense forest. Phu Hin Rong Kla National Park, Park’s staff is necessary required to guide Phitsanulok is also very important in term of tourists for trailing. At the waterfall, tourists learning center for locals, tourists and others can trek, admire flowers, study nature to study about the three mixed deciduous trail, travel waterfall, and watch birds and which are dry dipterocarp (species of butterflies. Moreover, the last attraction is mainly tropical lowland rainforest trees), Pha Chu Thong, after each victory against the dry evergreen, and hill evergreen forests, government troop; the communist warriors wildlife animals. always flied their flag of the towering cliff, 2. Four Components of Tourism which offers magnificent. At this place, Product tourists can enjoy nature trail studying, There are four components of historic sightseeing and trekking. tourism product: attractions and activities, The second component is accessibility, amenities, and people. accessibility. There is only one channel The first component is attraction to transport tourists to Phu Hin Rong Kla and activities. There are many attractions and National Park, which is a road by a local activities at Phu Hin Rong Kla National Park bus and their personal car. The tourists can e.g. tourists can admire flowers, study nature start from Phitsanulok province, head to trail, bike, and sightsee history at Military and Lomsak for sixty-eight kilometers and turn Political School where comprising thirty-one right at Ban Yaeng intersection to Nakhon small buildings, once were served at the Thai district. The park is thirty-one kilometers venue to train and educate the communist. away from Nakhon Thai district. Local bus is At Lan Hin Taek (Rocky Platform), the broken available at this district. It can be accessed วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 6 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” from Phetchabun province, via Lom Kao to natural resource management to assess district. its quality as the tourism product. The third component is amenities. The strengths of Phu Hin Rong Phu Hin Rong Kla National Park is full of Kla National Park: it is a well-established infrastructure and superstructure such as tourism destination with a variety of road, water supplies, electricity, restaurant, natural attractions like flora and fauna (e.g., accommodation and local shop. In term Dipterocarpus alatus, Hopea ferrea, and of accommodation, the park is provided Anisoptera cochinchinensis), unique culture bungalow, terrace house, youth hostel and of local people having ancient culture, tent, depending on the tourist’s preference. magnificent local language and historical Booking can be arranged through the website significance. The national park has good of Department of National Parks, Wildlife weather and climate, unique ecosystem, and Plant Conservation or telephone great biodiversity and valuable wildlife. The booking and reservation can be made sixty existence of a large number of protected days in advance. The main products at local areas with reduced pollution in the majority shop are handicraft, souvenir, and fresh fruits of rural areas. Moreover, the park can give and vegetables that produce and plant by much incentive for the local people from local people. tourism in terms of income generation. The last component is people. The weaknesses of Phu Hin Rong Phu Hin Rong Kla National Park is under Kla National Park are mainly about the controlling of National Park, Wildlife and seasonality of travelling to the park during Plant Conservation Department, which rainy season (considered as low season), regards as a service provider. The great and unequal distribution of tourism. Lack of majority of local people are Karen people coordination among local people and low who have a unique characteristic whether involvement of local people in tourism, and the way they make a living, language, and less numbers of foreign tourists go travelling culture. in the park. 3. SWOT analysis The opportunities of Phu Hin Rong Although SWOT analysis Kla National Park are: conserving natural (Strengths, Weaknesses, Opportunities, and ecosystems and making effort to decrease Threats) research method is often used in negative impacts; high international interest business fields, it has now been extended for ecotourism, agro tourism, rural tourism, Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 7 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV adventure tourism; the climate is with soft tourists. summers and cold spring, favorable for the Phu Hin Rong Kla National Park tourist activity during the year; satisfaction should be closed for tourist’s safety in rainy of tourists after visiting Phu Hin Rong Kla season same as Phu Kra Dueng National Park National Park; diversification of ecotourism and Kaeng Kra Chan National Park where are products which will help in retaining majority closed to restore a natural resource, and of the income generated with the local save the tourists from a danger of reptiles people . or an accident, because of a consequence And the threats of Phu Hin Rong Kla of the rainy season. The park has a limited National Park are: potential negative cultural number of restrooms for the campers and and environmental impacts with lack of the students who stay at youth hostel. favorable circumstances for foreign tourists, Furthermore, there is a few of park’s staff intensification of the economical crisis and to guide tourists to the destinations. Man instability of the national currency; transport Daeng Waterfall and Tat Fa Waterfall are infrastructure not to the community the examples, the tourists cannot visit these standards and emergency medical services waterfalls by themselves because they are are unsatisfactory for the tourists. located in the dense forest. To minimize the weaknesses and Conclusion avoid for the threats, the national park has The quality of Phu Hin Rong Kla to develop tourism products with emphasis National Park, it has high potential for on ecotourism attractions by promoting attracting the tourists because there are quality services and products; avoid negative many tourist attractions where are attractive, impacts of tourism on sensitive biodiversity interesting, exciting and peaceful. In addition, a particular plan should be developed to it has the special interest activities such conserve the ecology; establishment of as bird and butterfly watching, historic well equipped wild life-watching site in sightseeing, trekking and water traveling. different locations in the park; develop Moreover, the park provides the sufficient infrastructure harmonized with population amenities for both infrastructure and increase caused by tourist visits; and invest superstructure, too. Although, it is limited to improve the quality of infrastructures, in accessibility only public bus and personal such as road transport systems, hospitality car, there are safety and clear signposts for and accommodation centers, medical and วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 8 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” health services, increasing access to new National Park, Wildlife and Plant Conservation technologies, such as internet, telephone, Department. (2015). National Park and post. Phu Hin Rong Kla National Park. Retrieved from http://www.dnp. References go.th/parkreserve/nature. French, C. N., Craig, S., Stephen, J., & Collier, Saaty RW. (1987). The analytic hierarchy A. (1996). Principles of Tourism. process and SWOT analysis–what it South Melbourne: Longman. is and how it is used. Mathematical Metin Kozak, Mike Rimmington. (1998). Modeling. 9, 161-178. “Benchmarking: destination Tourism Authority of Thailand. (2015). attractiveness and small Destination Guide. Phu Hin Rong hospitality business performance”. Kla National Park. Retrieved from International Journal of http://www.tourismthailand.org/ Contemporary Hospitality attraction/phitsanulok-65-1.html. Management. 10(5), 184 – 188. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 9 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย FACTORS AFFECTING THAI TOURISTS DECISION MAKING IN CHOOSING ACCOMMODATION IN PHATTHAYA CITY Kanamon Suwantada

Hotel and Hospitality Management Department, International College, Suan Sunandha Rajabhat University [email protected]

บทคัดย่อ งานวิจัยฉบับนี้เป็นงานวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกที่พักของ นักท่องเที่ยวชาวไทย เพื่อรวบรวมข้อมูลให้กับโรงแรมในเมืองพัทยา เพื่อให้โรงแรมน�าข้อมูลไปพัฒนา กระบวนการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยต่อไป ผู้วิจัยได้เลือก เครื่องมือชนิดแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลทั่วไปของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมือง พัทยาจ�านวน 200 คน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2555 โดยเก็บข้อมูลในด้านของภูมิล�าเนา อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ สถานภาพสมรส รายได้ ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นด้านพฤติกรรมการท่องเที่ยว และศึกษาข้อมูลปัจจัยในการเลือกใช้บริการที่พักแรม ด้านต่าง ๆ เช่น ราคา การบริการ ท�าเลที่ตั้ง การ ส่งเสริมการขาย ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า สื่อที่ท�าให้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมในเมือง พัทยาคือ อินเทอร์เน็ต/เว็บไซต์ จากการศึกษาด้านข้อมูลปัจจัยในการเลือกใช้บริการที่พักแรม พบว่า นักท่องเที่ยวให้ความส�าคัญกับปัจจัยด้านราคา ควรมีการจัดห้องพักที่มีหลายระดับราคา เพื่อตอบสนอง ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย ผลงานวิจัยยังระบุว่า การให้บริการที่มีความรวดเร็ว เป็นอีกปัจจัยที่นักท่องเที่ยวให้ความส�าคัญเช่นกัน ส่วนข้อที่กลุ่มตัวอย่างให้ความส�าคัญมากที่สุดคือที่พัก ควรมีการติดตั้งอินเทอร์เน็ตหรือ Wifi ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวที่มาเช่าพักอาศัย ค�าส�าคัญ: โรงแรม การตัดสินใจ นักท่องเที่ยว วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 10 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ABSTRACT The purpose of this research was to understand Thai tourists’ decision-making in choosing accommodation in Phatthaya City. The researcher aimed to ensure that each host provided experiences that travelers were looking for in order for the business owner to improve their products and services to serve up the customers’ need. The result from this research would be providing to hotel and accommodation owners in Phatthaya area. The research methods in this research allowed the interviewer to gain qualitative data from the tourists. The data was collected from 200 Thai tourists in Phatthaya Beach area from 1st January- to 31st March, 2015 from both sexes and different demographics to create variation in database. The questionnaires were divided into three parts: demographic profile, general information on tourist decision making and factors affecting decision making in choosing accommodation. The result of this research revealed that tourists had mostly searched for the accommodation through the internet. The aspect of products and services that were important to the tourists were the price of accommodation, which should be suitable for the quality. In addition, the accommodation should provide with variety of room price ranges. Moreover, the results indicated that speed of service was another aspect that travelers were looking for and the most important element was the internet connection in the accommodation area. Keywords: hotel, decision making, tourist Introduction Ministry of Tourism and Sports of Thailand is one of the top tourist Thailand (2011) said that Phatthaya City is destinations in South East Asia. It has rich considered to be main tourism destination historical heritage sites as well as stunning for tourists because it has many aspects of natural attractions. Chon (2000) mentioned tourism such as natural attractions, cultural that organizations include The Ecotourism attractions and entertainment attractions. Society (TES), a surrogate global ecotourism The location of Phatthaya City is not far association based in united state of America from Bangkok which attracts more tourists and the Ecotourism Association of Australia to travel to Phatthaya City. (EAA) stated that tourism in South east Asia Ministry of Tourism and Sports especially ecotourism is growing rapidly. (2011) demonstrated that Phatthaya City is Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 11 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV considered to be main tourism destination tourism environment in Phatthaya City are for both Thai and Foreign tourists because vigorous since there are many festivals it has many characteristic of tourism. The occurred during this quarter such as New historical and cultural touristic places are Year Holidays and Chinese new Year. The for tourists who enjoy learning local culture famous touristic location in this quarter of Chonburi province. Famous examples is Ko Lan. In the second quarter, tourism of historical and cultural touristic places in environment are more vigorous than in the Phatthaya City are Khao Chi Chan Temple, first quarter since there are long vacations Yanasangwararam Temple. Another tourism such as Songkran Festival (Thai New Year characteristic of Phatthaya City is a natural Holidays), Labor Day, The King Coronation tourism which suitable for tourists who takes Day, Buddhist Holiday, and Belated Songkran pleasure in nature. Examples of natural Festival. However, in the third quarter, the touristic sites are Phatthaya City Beach, Chom tourism environment is quite solitary since Thian Beach and Ko Lan. Furthermore, the it’s a rainy season in Thailand. And there are entertainment characteristic of Phatthaya not much tourism activity to be participate City such as cabaret show, Ripley Museum, in. Nevertheless, in the fourth quarter of crocodile farm, Nongnuch garden, and the year, tourism environment becomes Phatthaya City walking street. vivacious, since it’s winter season and during Alongside with the touristic sites, this quarter, there are many holidays and important local traditions and festivals festivals. in Phatthaya City are also the reason for Pupat (2005) explained about the tourists to travel to Phatthaya City. Examples consuming pattern that consumer decision of local traditions and festivals are Songkran making begins with having a stimulus to Festival, Phatthaya International Music stimulate the feeling which create the Festival, long-tailed boat racing festival, Rice sense of needs which drive the consumers Festival, Phatthaya Carnival and Phatthaya to make a purchase. The stimulus can be Marathon. dividing into inside stimulus and outside Data from Ministry of Tourism stimulus. The inside stimulus happened and Sports (2011) stated about numbers from the unbalance in human’s mind. of tourism situation in Phatthaya City in The outside stimulus can be divided 2011 can be divided into four quarters into marketing stimulus concerning with as follows: First Quarter found that the marketing mix of 4Ps (Product, price, วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 12 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” place, and promotion) and other stimulus foreign tourists decision-making process in which cannot be controlled, for instance, choosing accommodation, the comparative economic downturn. of the result from different demographic Sanguonkittipan (2003) explained would be constructive. about the importance of decision making Research Instruments that decision making is considered to be the In this research, the research heart of any operation and management instruments were questionnaire method especially for those in the management to gain the quantitative data from Thai positions since the decision making consists tourists in order to analyze the tourists’ in every administration work. Decision needs. The questionnaires divided into making ranges from very simple to the most three parts: demographic profile, general complicated one, Therefore, a good decision information on tourist decision making and making needs to come from a decision factors affect decision making in choosing process that can help the decision to accommodation. generate most benefits and fewer mistakes. Data Collection This research was conducted by Research Objectives distributing 200 questionnaires to collect This research aimed to discover the data from 200 Thai tourists in Phatthaya factors affecting Thai tourist’s decision- beach area from 1st January- to 31st March, making in choosing accommodation in 2015. The data were collected from both Phatthaya City and to distribute research sexes and from different demographics to results to accommodations in Phatthaya create variation in database. area. Data Analysis The qualitative data analysis was Research Methodology gathered through questionnaires about Samples customers’ perception and expectation The samples of this research were 200 towards the preferred accommodation as Thai tourists in Phatthaya beach area from well as the customer expectation on the 1st January- to 31st March, 2015. The Data services, which was analyzed in the statistic were collected from both sexes to create method and demonstrated the data in variation in database. Since researcher plan frequency, percentage, mean and standard to conduct research on factors affecting 200 deviation. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 13 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

Research Results relatives and 22% travelled alone. As for the The results of the 200 questionnaires length of stay, it was found that 25.5% of the concerning factors affecting Thai customer’s respondents stayed for 4-7 nights, followed decision making in choosing accommodation by 23.5% stay for 8-14 nights and 21% stay in Phatthaya City were as follows: there were for 15-30 nights. Researcher found that 52% more males (50.5%) travelling to Phatthaya of the samples were interested to stay in the City than females (49.5%). The majority of hotel, 28.5% would stayed in an apartment, the respondents were ages between 25-30 and 7% were interested in bungalow. The years accounted for 48 % and tourists aged price of the accommodation that attracts between 46-55 years accounted for 26%. tourists the most were 500 bath/night As for the educational level, 50.5% and 1,001-2000 bath/night which both of the respondents were graduated in accounted equally for 35%.Followed by a bachelor’s degree followed by 28% 501-1,000 bath/night which accounted for that were graduated in high school. The 14.5%. The result showed that 57% of the marrital status showed that 55.5% of the respondents got the information about the respondents were married, 68% were accommodation in Phatthaya City through single, and 10.5% were divorced/widowed. the internet/website, 19.0% recognize the In the occupation section, research result accommodation from friends/words of found that 49.5% of the respondents work mouth and 17.5% through travel agent in the private company, 32% got their own company. For the Booking Method, 38.5% of business and 8.5% were in retirement. Most the samples booked their accommodation samples had revenue from 20,001-30,000 through hotel website, 19.0% made a baths/month which accounted for 33.5% reservation with travel agent, and 16.5% ,followed by 22% of revenue from 10,001- booked their accommodation by phone. 20,000 baths/month. About the general information on Discussion tourist decision making, it was found that The results revealed that location 59% of the respondents had never travelled should be near tourist attraction or near to Phatthaya City and 49% were the repeat the city. They also give priority to various tourists. The tourists travelling with friends room prices selection with correspond were accounted for 39%. There were 31% with Pupat (2005) explained about of tourists who travelled with families or the consuming pattern that consumer วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 14 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” decision making concerning with marketing Conclusion mix of 4Ps (product, price, place, and According to the data on factors promotion) and other stimulus which affecting the decision making in choosing cannot be controlled for instance, economic accommodation, the result showed that downturn. The research result also revealed the overall importance levels of factors that levels of education affected the in choosing accommodation such as choice of accommodation as the tourist physical factors (location, types of room, with higher education concerned about size of room, cleanliness of room and factors that affected their decision making atmospheres), service factors (service mind, more than those with lower education. speed of service, communication ability, Due to the fact that tourists with higher knowledge about service and adequate education found out about the information staffs), price factors , and booking channel about the accommodation before they factors were rated very high. The results actually travelled, the result collide with showed that these were important factors, Sanguonkittipan (2003) theory which stated which accommodation owners should that decision making were ranges from be focusing on in order to attract more very simple to the most complicated one. customers. Therefore, a good decision making needed to come from a decision process that could Recommendations help to generate the most benefits and The results showed that those fewer mistakes. The results also revealed tourists who travel to Phatthaya City booked that different income also affected to the their accommodation through internet, choice of accommodation since income was and consequently the business owners an important factor when travelled. should focused more on presenting their Moreover, the research result found products through the websites in order to that travelling companion, room types, price offer suggestions about the accommodation of accommodation and method of booking to aid the tourists’ decision making. were all factors that affected the decision Furthermore, the accommodation owners in choosing accommodation. should also consider having an online reservation system. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 15 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

The accommodation owners should Chon, K.S. (2000). “Tourism in Southeast pay attention to speed of service that comes Asia: A New Direction”. New York, from the competent employees with service USA: The Haworth Hospitality Press. minded which can serve customers better Suwittayapan, N. (2002). “The study of and influence the customers’ satisfaction. news, knowledge and tendency The business owners should display of Thai tourism traveling to Home different types of rooms to generate Stay”. Bangkok: Chulalongkorn different room prices and create more University Press. alternatives to the tourists. Pupat, K. (2005). Factor affecting customer The Internet or Wi-Fi was a very decision making in purchasing significant decision making component for product in Bangkok Area. Bangkok: the tourists nowadays. A free Wi-Fi in the Srinakarinviroj University. resident area can attract more tourists to Sanguonkittipan, T. (2003). Decision stay in the premise. Making Research and Development Institution : References Sukhothai Thammathirat Open Chon, K.S. and Olsen, M.D. (1999). University. Nonthaburi: The “Functional and Symbolic office of the University Press Approaches to Consumer Sukhothaithammathirat Open Satisfaction / Dissatisfaction,” University. Journal of the International Academy of Hospitality Research. 28, 1-20. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 16 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” บทความวิจัย AROGAYASALA: ANCIENT KHMER HOSPITAL IN THAILAND Sommatra Pholkerd

Faculty of Humanities and Social Sciences, Buriram Rajabhat University, Thailand [email protected]

บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงสร้างของอโรคยศาลาขอมในประเทศไทย กระบวนการ รักษาโรคของแพทย์ขอม ชนิดของสมุนไพรที่ปรากฏในจารึกขอมโบราณจากอโรคยศาลาจ�านวน 30 แห่ง ในประเทศไทย และเปรียบเทียบชนิดของสมุนไพรในจารึกขอมโบราณกับต�าราสมุนไพรไทย เครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบส�ารวจทางโบราณคดี การสังเกต การสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้น�าชุมชน ครู พระสงฆ์ หมอยาพื้นบ้านเขมรในชุมชนใกล้อโรคยศาลาที่ติดชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา ผลการวิจัยพบว่า อโรคยศาลาทั้ง 30 แห่ง มีแผนผังเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งหมดคือเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วยก�าแพงแก้ว ปราสาทประธาน บรรณาลัย โคปุระ และสระน�้า โครงสร้างหลักของสถาปัตยกรรม ก่อด้วยศิลาแลง การรักษาโรคของแพทย์เขมรมีลักษณะเป็นการแพทย์แบบองค์รวม มีวิธีการรักษาผู้ป่วย ด้วยการประสานทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงเข้ากับความเชื่อในศาสนาพุทธ ศาสนา พราหมณ์ และผี ส�าหรับรายชื่อสมุนไพรที่ปรากฏในจารึกขอมโบราณ พบว่า มีทั้งสิ้นจ�านวน 31 รายชื่อ จากการเปรียบเทียบสรรพคุณของสมุนไพรในต�ารายาขอมโบราณกับต�าราสมุนไพรไทย พบว่า สมุนไพร เกือบทั้งหมดมีสรรพคุณตรงกันทั้งในต�าราขอมโบราณและต�าราสมุนไพรไทย ค�าส�าคัญ: อโรคยาศาลา โรงพยาบาลขอมโบราณ จารึกขอมโบราณ

ABSTRACT The objectives of this research were to study a structure of the Khmer Arokayasala in Thailand, the process of Khmer medical treatment and types of herbs found in the ancient Khmer stone inscriptions in 30 Arogayasalas, and to compare between herbs found in the ancient Khmer inscriptions and Thai herbal pharmacopoeias. The research methods were as follows: archaeological survey, observations, focus group discussion, and in-depth interview with the community leaders, teachers, Buddhist monks, and local Khmer medicinal experts residing in the communities located near Arogayasalas at Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 17 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV the Thai-Cambodian border. The research findings revealed that 30 Arogayasalas shared the same layouts in rectangular. The layouts were composed of boundary walls, the main tower (prang), library, main gate (Gopura), and sacred pond. The main architectural structures were built of laterite. Khmer physicians treated patients with holistic medicinal techniques by linking their patients’ physical, mental, social and environmental aspects to beliefs in Buddhism, Brahmanism and spirits. Thirty-one names of herbs were found in Khmer stone inscriptions. Having compared efficacy of herbs in ancient Khmer and Thai herbal pharmacopoeias, it showed that almost herbs had the similar properties both in ancient Khmer and Thai herbal pharmacopoeias. Keywords: Arogayasala, ancient Khmer hospital, Khmer stone inscription

Introduction the reign of King Jayavarman 7 (1724-1762) In the 9-12 (A.D.) centuries ago, the of the Khmer empire, the hospitals were political rule of the ancient Khmer Empire established in his territory for offering a (Cambodia) has come to dominate Thailand. medical treatment to local citizens and Consequently, the influences of religions pilgrims in his kingdom. and beliefs of the Khmer empire poured into There were a lot of Arogayasalas Thailand. This resulted in historic buildings found in Thailand. Unfortunately they have known as Khmer sanctuaries in different been ignored by archeological and medical parts of Thailand including the central part, scholars, so no research on Arogayasalas’ the West, the East and the Northeast. A lot of roles, duties and responsibilities for archeological sites were found in the lower community public health center had been northeastern region of Thailand covering conducted. Consequently, the following these provinces: Ubonratchathani, Srisaket, questions were not answered: Who were Surin, Buriram, and Nakhonratchasima. The the doctors? What process of patient sites were also found at the eastern part of treatment was carried out? And what types Thailand including Sakaeo and Prachinburi of medicines was used to cure the patients? provinces. These sites were built with The main reason might be that Arogayasalas different purposes such as religious activities, were small and not magnificent with library, residential quarters for travelers decorated designs like other religious sites, and hospitals (Arogayasalas). Moreover, in so no one was interested in studying and วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 18 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” renovating Arogayasalas as the historical The research area covered and medical sources. At last Arogayasalas 30 Arogayasalas in ten provinces i.e. were neglected and destroyed by treasure Sakhonnakorn, Udornthani, Khonkaen, hunters and antique dealers. Chayaphumi, Mahasarakham, Roi-et, Srisaket, Surin, Buriram and Nakhonratchasima. Research Objectives Research Instruments Two objectives of the research were Three research instruments were studied: employed: semi-structured interview, focus 1. To study a structure of the Khmer group discussion and observations. Arogayasalas in Thailand, the process of Data Collection Khmer medical treatment and types of The following steps of collecting the herbs found in the ancient Khmer stone data were carried out: inscriptions 1. The relevant documents and 2. To compare between medicinal literature were studied and reviewed: Khmer herbs found in the ancient Khmer inscriptions stone inscriptions, legends, chronicles, and Thai herbs archives available at different libraries in Thailand and also documents from Cambodia Research Methodology and pharmacopoeia of Cambodian local The methodology of this qualitative physicians. research was conducted as the following: 2. The ancient Khmer inscriptions Populations and samples describing the treatment of various diseases The population and sample consisted were collected from the National Library of the key informants from 30 Arogayasalas. and Resource Service Center of Silpakorn These informants were composed of University. community leaders, teachers, Buddhist 3. Archaeological sites were monks, and local Khmer medicinal experts surveyed in order to collect the field data residing in the communities located near of 30 Arogayasalas in ten provinces. Here is Arogayasalas at the Thai-Cambodian border. the map indicating the 30 Arogayasalas in community leaders, teachers, Buddhist ten provinces: monks, Thai and Khmer medicinal experts residing in the communities located near Thailand – Cambodia boarder. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 19 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC19 IV

Figure 1: Map Figureindicating 1: Map indicating the locations the locations of 30 30 Arogayasalas Arogayasalas in ten provinces in ten provinces 20 (Source: ………………………..) Source: Lualamai Krit. (2015). Map indicating the locations of 30 Arogayasalas in ten provinces. Muang

Boran Journal, 30 (3).4. The ancient inscriptions in Arogayasalas, describing the process of therapy in the

Khmer period were collected from Ta-Muan-Toj Sanctuary in Surin province and Saifong

inscription from Laos PDR. Look at Figure 2 representing the inscriptions found at Ta-Muan- 4. The ancient inscriptions in Toj Sanctuary in Phanomdongrak district, Surin province:

Arogayasalas, describing the process of therapy in the Khmer period were collected from Ta-Muan-Toj Sanctuary in Surin province and Saifong inscription from Laos

PDR. Look at Figure 2 representing the inscriptions found at Ta-Muan-Toj Sanctuary Figure 2: InsFigurecriptions found 2: Inscriptions at Ta-Muan-Toj Sanctuary found in at Phanomdongrak Ta-Muan-Toj district, Surin in Phanomdongrak district, Surin province: provinceSanctuary in Phanomdongrak district, Surin (Source: ………………………..) province 5. TheSource: research Bhattaramoon,tools including archaeological N. (2000). survey, Inscriptions observation found form, focus group discussion, andat Ta-Muan-Tojin-depth interview Sanctuary were constructe Phanomdongrakd in line with the data district, obtained from the reviewed literature.Surin province. Silpakorn Journal, 43(2). 6. The focus discussion with teachers, Buddhist monks, and members of leaders of communities located near Arogayasalas was carried out. 7. Elders and local physicians in communities were in-depth interviewed. Data Analysis The obtained data was analyzed via data categorization and the descriptive data was presented by using diagrams, maps and tables. The research results were sent back to the key informants in order to examine and verify the accuracy and get their feedback. After making some modifications, the final complete research report was written and made.

Research results The findings were presented as follows: 1. Structure of 30 Arogayasalas in Thailand 1.1 Arogayasalas found in different places in Thailand have different sizes but share the same rectangular plan. The main tower (Prang) has its porch extended to the front. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 20 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

5. The research tools including boundary walls, facing the East. The structure archaeological survey, observation form, of the Khmer Arogayasalas in Thailand focus group discussion, and in-depth possesses the architectural elements that interview were constructed in line with the strictly adhere to the traditional model. data obtained from the reviewed literature. 1.2 The main tower built of 6. The focus discussion with laterite is rectangular. There is only one teachers, Buddhist monks, and members entrance from the East while three false of leaders of communities located near entrances are found in the other three sides. Arogayasalas was carried out. The sacred image rectangular stone built of 7. Elders and local physicians in rectangular stone is placed at the center, so communities were in-depth interviewed. called Garbhagriha, of main tower (Prang). Data Analysis The top shrine with five-layer stack standing The obtained data was analyzed in the bottom of the Garbhagriha is placed via data categorization and the descriptive in descending order, and the top is decorated data was presented by using diagrams, with lotus group made of sandstone. maps and tables. The research results 1.3 Banalai or library was located were sent back to the key informants in at the corner of the boundary walls in the order to examine and verify the accuracy southeast. It was built of laterite and had and get their feedback. After making some the rectangular shape. Its entrance was modifications, the final complete research located in the West. Its Roof and gable are report was written and made. thatched with laterite. The Lintels are made of sandstone and carved with decorated Research results illustrations. Various scriptures are kept in The findings were presented as the library. follows: 1.4 Gopura or the entrance is 1. Structure of 30 Arogayasalas in located at the center of the eastern bound- Thailand ary laterite wall. There are drilled false win- 1.1 Arogayasalas found in dows to imitate a real window on the left different places in Thailand have different and right wings of the Gopura. The roof and sizes but share the same rectangular plan. pediment are decorated with sandstone. Its The main tower (Prang) has its porch roof ridge is decorated with a lotus bud, so extended to the front. It is located within the called Brali. Look at Figure 3 representing Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 21 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

Arokayasala at Ban Khok Muang in Prakhonchai district, .

Figure 3: Arokayasala at Ban Khok Muang in Prakhonchai district, Buriram province Source: Pholkerd Sommatra (Photo by author) 1.5 There is one pond in the northeastern side. It is located out of the boundary walls. Four pond edges are carved with the stepped laterite from the edges down to the bottom of the pond. Look at Figure 4 representing the pond.

Figure 4: Pond found near Arogayasalas Source: Pongsachalakorn Voranai. (2012). Museum Press. Retrieved from http:www.museum-press.com. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 22 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

2. The medical treatment of the Khmer physicians found in the inscription of Ta –Muan-Toj Sanctuary in Surin province, Thailand and the Saifong inscription in Laos PDR shared the same relevant contents. The interesting points were presented as follows: 2.1 Five stories were found in the inscriptions: 1) inscription for worshiping Lord Buddha and Bhaisajyaguru (Healing God), 2) inscription about the birthplace of King Jayavarman VII, the greatest king of kings, who was wealthy, helpful, kind and was loved by enemies and gods, Figure 5: Bhaisajyaguru (Healing God) 3) inscription about the duties of people Source: Pongsachalakorn Voranai. (2010). Museum working at Arogayasalas where a numbers Press. Retrieved from http:www.museum-press. of people depended on the significance and com. sizes of Arogayasalas, 4) inscription about the declaration for making a compound of 2.2 Beliefs about illness, methods Arogayasalas as an animal sanctuary, and and process of treatment 5) inscription about the blessings bestowed According to Khmer on kings, ministers and people taking care of physicians’ opinions, treatment was holistic, Arogayasalas. Look at Figure 5 representing so patients should be cured by taking into Bhaisajyaguru, the Healing God, who is account the physical, mental, spiritual, believed to help patients recover from social and environment factors. They illness. believed that illness was caused by natural and supernatural powers. There were two methods of treatment: 1) Treatment by adjusting and balancing physical variability with herbs and 2) treatment by using black magic rituals. These two methods were used by the Khmer physicians in order to help strengthen the patients’ mind. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 23 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

3. There are 31 medicinal herbs the herbs in Thai pharmacopoeia, it was found in the ancient Khmer inscriptions: found that six species from the ancient garlic, cardamom, menthol, aloes wood, Khmer inscription, the ancient Khmer frankincense, salt, barley, dried ginger, pharmacopoeia and Thai pharmacopoeia wax, nutmeg, long pepper powder, shared the same properties. However, hundred species of flowers, gourd, string morning glory with different properties in beans, crystalline sugar, honey, oil, flower the ancient Khmer pharmacopoeia was syrup, ghee, genus schima, morning glory, used to cure hemorrhagic disease and opium, paprika, pepper, jujube, asafetida, malnutrition disease while this herb in the sandalwood, turpentine, gadfly, rough Thai pharmacopoeia was used to clean grass and cinnamon. Having compared wounds with itchy blisters and was boiled these herbs with the present Khmer with water for bath. pharmacopoeia, it was found that seven herbs and their properties were the same. Discussion These herbs were garlic, menthol, aloes The research findings were discussed wood, salt, wax, morning glory and oil. as the following: 4. Having compared the herbal 1. Thirty Arogayasalas in Thailand species and medicinal properties found had the same structure. This is assumed that in the ancient Khmer inscription and Arogayasalas were constructed using the Thai pharmacopoeia, it showed that same common standard layout. However 27 species were found in both Khmer some Arogayasalas had some different inscription and Thai pharmacopoeia: garlic, layout details. Some of these different cardamom, aloes wood, frankincense, salt, layouts were as follows: 1) Distance of the dried ginger, wax, nutmeg, long pepper main tower and Gopuras (doorways) was powder, hundred species of flowers, gourd, unusually short or long, 2) the boundary string beans, crystalline sugar, honey, walls were smaller than usual, 3) the oil, ghee, genus schima, morning glory, boundary walls were constructed in square opium, paprika, pepper, jujube, asafetida, shape, 4) some of Arogayasalas did not have sandalwood, turpentine and cinnamon. a pond. The Khmer Arogayasalas in Thailand Upon comparing between the herbs in the were built by the will of King Jayavarman ancient inscription and the ancient Khmer VII for using these as the hospitals to offer pharmacopoeia used at present time and treatment to his subjects. This reflected วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 24 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” his important royal duties in public health. of Arogayasalas. Regarding the process of It was consistent to the theory of Brown treatment, the physicians brought both (Brown, 1992 as cited in Santasombat: 1997) religious and superstitious beliefs together who states that structures and functions in treatment of disease. The evidence from of Arogayasalas are interrelated in a social all inscriptions in Arogayasalas revealed system. Each social system consists of that a prayer to ask blessings from Buddha various institutions working closely together. and Bhaisajyaguru was found. This was The purpose of building Arogayasalas was consistent with the study of Juengsatiansap to maintain the balance of the society. If (1986) who says that people in the ancient people had good health and were free from times believed that rituals had to be diseases, they would have better quality of performed before and after treatment if the life. This would positively affect economic local physicians wanted to get the patients prosperity and security of the nation and recover from illness quicker. This also goes the king’s stability in the throne as well. in line with the studies of Auppayokin 2. Five stories were found in Saifong (1990) and Uttayamatra (1993) who state inscription in Laos PDR and the ancient that patients needed to have treatment by inscription found at Ta-Muen-Toj sanctuary all means in order to recover from illness in Surin province Thailand. These stories quickly and get back to work as usual. This is were 1) inscription for worshiping Lord also consistent with the theory of Maslow (as Buddha and Bhaisajyaguru (Healing God), cited from Wong-a-nuttaroj, 1998) who says 2) inscription about the birthplace of King that humans put their efforts to avoid from Jayavarman VII, the greatest king of kings, illness, so they create different methods to who was wealthy, helpful, kind and was cure deceases, such as using a magic spell, loved by enemies and gods, 3) inscription using holy water and using herbs. about the duties of people working at 3. Having compared between 31 Arogayasalas where a numbers of people species of herbs found in the ancient Khmer depended on the significance and sizes inscription and 127 species of traditional of Arogayasalas, 4) inscription about the Khmer herbs complied by Naun (n.p.), a declaration for making a compound of local Cambodian physicians, it showed Arogayasalas as an animal sanctuary, and that most of the herbs with medical 5) inscription about the blessings bestowed properties were used to cure minor illness. on kings, ministers and people taking care The interesting point was also found that Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 25 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV string beans and morning glory had to be differences were found, for instance, Thai withdrawn from the storage of Arokayasala. pharmacopoeias clearly described properties These two herbs were available everywhere, of different herbs much more than that of but the question was raised why these the ancient Khmer pharmacopoeias. herbs had to be withdrawn from the The reasons might be that research storage of Arokayasala. If the inscription and studies on new herbs in Cambodia was correctly translated, it would mean had halted because of the impact of long that Arokayasala was not a hospital where lasting political unrest in the country, but ill people in a community were cured, but many studies have been continuously it was a public health service center in the conducted in Thailand, so the medical city. Moreover, personnel of Arokayasala data was completely recorded and herbal were systematically assigned to do their properties could be clearly identified. duties. This indicated the administrative structure of Arokayasala in the city as well. Recommendations Consequently, use of different herbs for Based on the research results of this different treatments in urban area was study, the recommendations were divided normally different from the treatments used into two parts as follows: by local physicians in a rural area. This is 1. Herbs found in the Khmer similar to the study of Auttasit et al (1984) inscriptions, ancient Khmer pharmacopoeias who state that each of local physicians and Thai pharmacopoeias can be used to had their own 1-10 Thai pharmacopoeias. expand in the treatment of various diseases Moreover, Auppayokin (1990) stays that at the present time. humans would try to find different ways to 2. These findings can be used as cure deceases in order to bring back their a guide for conducting research on other normal health. herbs that are available in Thailand and 4. Having compared fours herbs neighboring countries. The herbs found in found in the Khmer inscriptions, the this research can be produced in Thailand ancient Khmer pharmacopoeias and Thai in order to decrease importation of drugs pharmacopoeias: garlic, menthol, aloes from abroad. wood, salt, wax, morning glory and oil, it 3. Since there are not many Khmer revealed that all herbs possessed the same inscriptions about methods of treatment medical properties. However some slight found in Thailand, there is not adequate วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 26 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” data for studying and explaining the process Atthasit, R. et all. (1989). Qualification and of medical treatment in the ancient times. behavior of local physician in a So, the further studies on this issue should community. Bangkok: War veterans’ be conducted in Cambodia where is the organization of Thailand. original source of Khmer civilization and Auppayokin, P. (1990). Medical anthropologist researchers also can collect various and with public health. Medical science. adequate data about treatments using Year 6 Vol. 1 August. Bangkok: herbals. Chuanpim. 4. For further studies, the data about Juengsatiansap, J. (1997). Popularity in herbal treatments found at Arogayasalas keeping with the traditional use of should be gathered from a variety of herbs in Chumpuang community sources. The experts and general people Nakornratchasrima province. who are able to read the inscriptions from Bangkok: Desire. different organizations, such as Fine Arts Nuan, Y. (n.p.). Knowledge of ancient Department, educational institutes should Khmer. Bod Dom Bong Cambodia. be invited to help check the accuracy of inscriptions translation. Santasombat, Y. (1997). Ceremonial. 5. The next research should also Retrieved from http//:www.google. answer the questions if Arogayasalas are co.th/pdf. the medical centers for curing serious Utyamatra, W. (1993). Factors relevant patients who have to be admitted or to selection of health facilities these Arogayasalas are just the places by students of Chacherngsao for examining deceases and dispensing Rajabhat Institution. Bangkok: medicines to the patients only. Chacherngsao Rajabhat Institution. Wong-a-nuttaroj, P. (1998). Psychology of References personnel management. Bangkok: Atthasit, R. et all. (1984). Qualification and Pimdee. behavior of local physician in a community. Bangkok: War veterans’ organization of Thailand. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 27 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพเด็กและเยาวชน บนฐานความหลากหลายทางวัฒนธรรม THE ROLE OF COMMUNITY-BASED PARTICIPATORY ACTION RESEARCH IN PROMOTING CULTURAL DIVERSITY CAPACITY AMONG CHILDREN AND ADOLESCENT เชาวน์มนัส ประภักดี1* ถนอมศรี เปลี่ยนสมัย2 และ สรรพารี ยกย่อง3 Chaomanat Prapakdee1* Thanomsri Pleansamai2 and Sanparee Yokyong3 วิทยาลัยการดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา1* ภารกิจวิจัยและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหิดล2,3 [email protected]*

บทคัดย่อ โครงการวิจัยนี้มุ่งเน้นในการส�ารวจทุนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเขตพื้นที่อ�าเภอ พุทธมณฑล และน�าไปใช้ในการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ความ หลากหลายทางวัฒนธรรมส�าหรับเด็กและเยาวชน ด้วยการใช้สื่อสารคดีเชิงสร้างสรรค์ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย เชิงคุณภาพ ผนวกกับการปฏิบัติการแบบชุมชนมีส่วนร่วม ได้แก่ การศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์ การสังเกต การสนทนากลุ่มย่อย และการจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อน�าเสนอและแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยมีปราชญ์ ชุมชน แกนน�าชุมชน เด็ก/เยาวชน รวมทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่สนใจในท้องถิ่นเข้าร่วมด�าเนินงานโครงการ จากการด�าเนินงานโครงการพบว่า เด็กและเยาวชนได้รับความรู้ความเข้าใจเรื่องความหลาก หลายทางวัฒนธรรมในอ�าเภอพุทธมณฑล ทั้งที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมและวัฒนธรรมใหม่ที่ได้รับอิทธิพล จากกระบวนการกลายเป็นเมือง โดยการจัดเวทีเสริมศักยภาพความรู้ผ่านกระบวนการผลิตสื่อสารคดีเชิง สร้างสรรค์ จ�านวน 6 เรื่อง ตามความสนใจของเด็กและเยาวชน โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการคิดและสนับสนุน ตลอดทุกกิจกรรม ซึ่งการด�าเนินงานวิจัยนี้ได้น�าไปสู่การเสริมสร้างภูมิความรู้ความเข้าใจในเรื่องความหลาก หลายทางวัฒนธรรมให้กับเด็กและเยาวชน สามารถด�ารงชีวิตอย่างมีสุขภาวะภายใต้การเปลี่ยนแปลง ของสังคมวัฒนธรรมอย่างรู้เท่าทัน บนพื้นฐานของความตระหนักถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมดั้งเดิมในชุมชน ภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชนคู่ขนานกันไป ค�าส�าคัญ: การมีส่วนร่วมของชุมชน การจัดการเรียนรู้ เด็กและเยาวชน ความหลากหลายทางวัฒนธรรม วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 28 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ABSTRACT This research was done at the study survey about cultural diversity in Phutthamonthon district for promoting capacity among children and adolescent by community participation. The research methodology using non-fiction media creating comprised of qualitative research append with community participation include of documentary research, using a field survey with questionnaires, focus groups and observations. Experiences sharing opportunity from members, leaders, sages, adults, children and adolescent in the community who had joined this project. The results of the study found that children, youths and members of community are completely understand in cultural diversity in Phutthamonthon district, both original and new culture that had received influence and become a city. Seminar operation based on promoting capacity from 6 non-fiction media creating by an interest of children and adolescent is supported and operated by community. Furthermore, knowledge from this research had reinforced children and adolescent to understand cultural diversity and strengthen the community under the current of social changing based on worth of original cultural awareness and community Participation simultaneously. Keywords: community participation, learning management, children and adolescent, cultural diversity

บทน�ำ วัฒนธรรม ที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายของผู้คน สังคมปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะในที่นี้คือ วัฒนธรรม แบบพหุวัฒนธรรมอย่างเป็นรูปธรรม โดยสังเกต ชุมชน ที่ส่งผลกลายเป็นปัญหาของความแตกต่าง ได้จากความหลากหลายทางวัฒนธรรมในมิติต่างๆ และช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมของคนเก่าและคน ที่เกิดขึ้นในสังคม อาทิ ความแตกต่างหลากหลาย ใหม่ ระบบความคิดเก่าและระบบความคิดใหม่ ทางเชื้อชาติ ศาสนา รสนิยม เพศ วิถีการด�ำเนินชีวิต กระทั่งลุกลามกลายเป็นปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้น และอีกมากมายที่ล้วนเป็นความต่างทางวัฒนธรรม จากความขัดแย้งและไม่เข้าใจถึงความแตกต่าง ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นมาโดยตลอด ทางวัฒนธรรม อันน�ำไปถึงการแก้ไขปัญหาด้วยวิธี และที่ส�ำคัญจากแรงกระตุ้นของพลวัตทางสังคมที่ การต่างๆ ทั้งในเชิงบวกเชิงลบ จนกลายเป็นความ ขับเคลื่อนโดยระบบโลกาภิวัตน์ ขัดแย้งในหลากหลายเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ใน ด้วยมูลเหตุและปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้เกิด สังคมขณะนี้ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในสังคมน้อยใหญ่ อ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม จึงน�ำมาซึ่งปัญหาในเรื่องของความแตกต่างทาง เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ถือเป็นพื้นที่ตัวอย่างของการ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 29 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ได้รับอิทธิพลจากกระแสโลกาภิวัตน์ ที่ได้ชักน�ำ ต้องเป็นฝ่ายรุกคืบเพื่อปะทะกับการผลิตซ�้ำของ ให้ผู้คนและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ภาพลักษณ์แห่งความแตกแยกและขัดแย้งของ ได้แพร่กระจายเข้าสู่ชุมชนอย่างรวดเร็ว ส่งผล ผู้คนในสังคมต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ใช้ความ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงรูปธรรมและ แตกต่างทางวัฒนธรรม ภาษา ความเชื่อ ค่านิยมและ นามธรรม เช่น การเปลี่ยนแปลงของสภาวะ แบบแผนในการด�ำเนินชีวิตของผู้คนที่แตกต่างกัน แวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ วิถีการด�ำเนินชีวิต มาเป็นเครื่องมือ ดังที่พบได้ในระบบสื่อสารและ การขยายตัวของอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจ�ำ ทั้งภาครัฐและเอกชน การเข้ามาของคนต่างถิ่น แทบทุกวัน ในการนี้โครงการวิจัยจึงเล็งเห็นถึงพลัง ค่านิยม รสนิยม ความคิดและทัศนคติ ฯลฯ ซึ่งใน อันเข้มแข็งที่ควรจะเกิดขึ้นจากรากฐานของคนใน ขณะเดียวกันคนดั้งเดิมในชุมชนก็ยังคงด�ำเนินชีวิต ชุมชน ที่จะเป็นตัวผลักดันให้เกิดกระบวนการเสริม บนพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่ตนเองเคยกระท�ำและ สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทาง สืบทอดกันมา บางส่วนก็ได้ปรับประยุกต์เพื่อให้ วัฒนธรรมในสังคมของตนเอง ด้วยการเสริมสร้าง เกิดความสอดคล้องกับสภาพสังคมใหม่ หรือบาง ศักยภาพการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนในชุมชน ส่วนก็ได้น�ำรูปแบบวิถีการด�ำเนินชีวิตรูปแบบใหม่ ที่จะเป็นตัวแปรส�ำคัญในการก�ำหนดทิศทางของ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ทั้งที่ สังคมในอนาคต โดยการเอื้ออ�ำนวยความรู้ด้าน รู้เท่าทันและบางส่วนก็มิได้ตั้งค�ำถามหรือคัดกรอง วิชาการและหนุนเสริมให้กับเด็กและเยาวชนและ จึงส่งผลให้เกิดทั้งการน�ำไปสู่การใช้ประโยชน์และ มีชุมชนให้การสนับสนุน เพื่อที่จะสร้างเด็กและ โทษจากความไม่เข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรม เยาวชนให้เกิดความตระหนักถึงคุณค่าของทุนทาง ของคนอื่นและความแปลกใหม่ทางวัฒนธรรม ดังนั้น วัฒนธรรมในชุมชนที่ก�ำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง กระบวนการในการเสริมสร้างความเข้าใจในความ เสริมความรู้ความเข้าใจถึงความหลากหลายทาง ต่างทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมที่มีความหลาก วัฒนธรรมที่ก�ำลังเกิดขึ้นในชุมชน ณ ขณะนี้ และ หลาย จึงถือเป็นหัวใจส�ำคัญในการท�ำให้ผู้คนเกิด กระทั่งน�ำไปสู่การเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมอย่าง ภูมิความรู้ความเข้าใจ ในความแตกต่างหลากหลาย แท้จริงภายใต้การขับเคลื่อนโดยเด็ก เยาวชนและ ทางวัฒนธรรมที่อุดมอยู่ในชุมชน และสามารถขับ แกนน�ำชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป เคลื่อนไปด้วยกันได้อย่างเท่าเทียมและเท่าทันต่อ การเปลี่ยนแปลง ที่อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในความแตกต่าง อันจะน�ำไปสู่การขยายผล ต่อยอด 1. ส�ำรวจทุนความหลากหลายทาง และท�ำให้เกิดความสุขและสันติของผู้คนและสังคม วัฒนธรรมในเขตพื้นที่อ�ำเภอพุทธมณฑล บนโลกแห่งความขัดแย้งในปัจจุบัน 2. เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนใน ด้วยความจ�ำเป็นที่จะต้องมีการเตรียม การพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ความหลากหลายทาง ความพร้อมของพลเมืองในสังคมระดับต่างๆ วัฒนธรรมส�ำหรับเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในที่นี้คือ ระดับชุมชนท้องถิ่น ที่จะ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 30 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ระเบียบวิธีวิจัย 2.2) ชี้แจงท�ำความเข้าใจกับชุมชน 2.3) ด�ำเนิน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กิจกรรม ซึ่งแยกออกเป็น การเก็บรวบรวมข้อมูล (Qualitative Research) ที่น�ำกระบวนการวิจัย ทุนทางวัฒนธรรมของพื้นที่ และการเสริมศักยภาพ เชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน มาร่วมใช้ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมส�ำหรับเด็กและ ในการด�ำเนินงาน ทั้งในส่วนของการเก็บรวบรวม เยาวชน ได้แก่ การจัดเวทีเสริมศักยภาพ การด�ำเนิน ข้อมูลทุนความหลากหลายทางวัฒนธรรม และใช้ งานในพื้นที่ การติดตามความคืบหน้าและประเมิน เป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ผลกิจกรรม ระยะที่ 3) เวทีน�ำเสนอผลงานและ เรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้กับเด็กและ ถอดบทเรียนการด�ำเนินงานโครงการ และ ระยะที่ เยาวชน โดยใช้พื้นที่ของอ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัด 4) ขยายผล/เผยแพร่ผลงานโครงการ นครปฐม เป็นพื้นที่ในการด�ำเนินงาน การด�ำเนินงานวิจัยครั้งนี้มีประชากรกลุ่ม สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย ตัวอย่างที่เข้าร่วมโครงการ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม สรุปผลการวิจัย ได้แก่ 1) ปราชญ์ชุมชนหรือผู้ที่ได้รับการยอมรับ 1. อ�ำเภอพุทธมณฑล : ทุนความหลาก ว่ามีความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมในชุมชนของอ�ำเภอ หลายทางวัฒนธรรม พุทธมณฑล 2) แกนน�ำชุมชนหรือหน่วยงานทั้ง 1.1 บริบทของพื้นที่ ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ และ 3) เด็ก/เยาวชนใน โครงการเลือกพื้นที่อ�ำเภอพุทธ- พื้นที่ที่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้โครงการ มณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นพื้นที่ในการด�ำเนินงาน ได้ใช้เครื่องมือในการวิจัย ประกอบด้วย ศึกษา วิจัย เนื่องด้วยองค์ประกอบที่ส�ำคัญของพื้นที่ ทั้งใน เอกสาร การสังเกต การสัมภาษณ์ทั้งที่เป็นทางการ การเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตติดกับกรุงเทพมหานคร และไม่เป็นทางการ การสนทนากลุ่มย่อย (Focus จึงท�ำให้พื้นที่ดังกล่าวได้รับอิทธิพลจากการแพร่ group) และการจัดกิจกรรม/เวทีประชุมเชิงปฏิบัติ กระจายของระบบเทคโนโลยี ความเจริญและการ การแบบมีส่วนร่วม โดยยึดตามตารางเวลาและ พัฒนาในมิติต่างๆ สืบเนื่องเรื่อยมาจากอดีต กระทั่ง ความสะดวกของชุมชนเป็นที่ตั้ง ส่งผลให้สภาพทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมเกิด ในกระบวนการวิจัยนั้นโครงการได้แบ่งการ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และยังส่งผลกระทบ ด�ำเนินงานออกเป็น 4 ระยะ เพื่อให้ด�ำเนินงานบรรลุ ต่อวิถีทางวัฒนธรรม การด�ำเนินชีวิตและมโนทัศน์ ตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่ก�ำหนด ได้แก่ ของผู้คนในอ�ำเภอพุทธมณฑล ที่บางส่วนยัง ระยะที่ 1) วางแผน และออกแบบ กระบวนการด�ำเนิน คงด�ำรงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมและอีกหลายส่วน งานโครงการ ได้แก่ 1.1) ก�ำหนดกรอบการด�ำเนิน ก�ำลังใช้ชีวิตในลักษณะของชุมชนเมืองคู่ขนานไป งานของคณะนักวิจัย 1.2) เรียนรู้ธรรมชาติของพื้นที่ นอกจากนั้นแล้วในการเลือกพื้นที่ดังกล่าวนี้ 1.3) ออกแบบกิจกรรม 1.4) ก�ำหนดตาราง เนื่องจากคณะนักวิจัยมีความคุ้นเคยกับพื้นที่ทั้งใน กิจกรรมและเตรียมความพร้อมเข้าพื้นที่ ระยะที่ ส่วนของแกนน�ำชุมชน องค์กรและหน่วยงาน ซึ่งมี 2) ลงมือปฏิบัติ ได้แก่ 2.1) ประสานงานกับชุมชน ความเป็นไปได้สูงในการที่จะด�ำเนินงานโครงการ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 31 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ได้ส�ำเร็จลุล่วงตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ บริหารส่วนต�ำบลมหาสวัสดิ์ จากการส�ำรวจจ�ำนวน วิจัยและสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน ที่ ประชากรจากทะเบียนราษฎร์ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ต้องการการเสริมศักยภาพในมิติต่างๆ ให้เกิดเป็น 2556 พบว่า จ�ำนวนประชากรรวมที่ปรากฏอยู่ใน ชุมชนแห่งสุขภาวะ ทะเบียนราษฎร์มีอยู่จ�ำนวน 37,097 คน แบ่งเป็น จากการส�ำรวจบริบททั่วไปของอ�ำเภอ ชาย จ�ำนวน 17,473 คน และหญิงจ�ำนวน 19,624 พุทธมณฑล พบว่า อ�ำเภอพุทธมณฑล ได้รับการ คน จ�ำนวนหลังคาเรือนรวม 16,160 หลังคาเรือน จัดตั้งให้เป็นกิ่งอ�ำเภอพุทธมณฑล เมื่อวันที่ 1 ประชากรโดยเฉลี่ย 2 คนต่อหลังคาเรือน และความ เมษายน พ.ศ.2534 โดยแบ่งออกจากพื้นที่ของ หนาแน่นของประชากรเฉลี่ย 475 คนต่อตาราง อ�ำเภอนครชัยศรี ประกอบด้วย 3 ต�ำบล ได้แก่ กิโลเมตร ต�ำบลคลองโยง ต�ำบลมหาสวัสดิ์ และต�ำบล ด้านเศรษฐกิจพบว่ารายได้เฉลี่ย ศาลายา กระทั่งวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2539 ประชากรในเขตอ�ำเภอพุทธมณฑล ประมาณ กิ่งอ�ำเภอพุทธมณฑลได้รับการยกฐานะให้เป็น 62,479.65 บาท/คน/ปี มีโรงงานอุตสาหกรรม อ�ำเภอพุทธมณฑลอย่างสมบูรณ์ ขนาดย่อย จ�ำนวน 14 แห่ง ธนาคาร จ�ำนวน 7 อ�ำเภอพุทธมณฑลมีพื้นที่ทั้งสิ้น แห่ง ด้านการศึกษา มีสถาบันการศึกษาในระดับ 76.329 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 47,706 อนุบาล จ�ำนวน 3 แห่ง ระดับประถมศึกษา 8 แห่ง ไร่ มีอาณาเขตติดกับพื้นที่ต่างๆ ได้แก่ ทิศเหนือ ระดับมัธยมศึกษา 4 แห่ง ระดับอาชีวศึกษา 5 แห่ง ติดต่อกับอ�ำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ทิศใต้ ระดับอุดมศึกษา 4 แห่ง ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน ติดต่อกับอ�ำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ทิศ จ�ำนวน 2 แห่ง ซึ่งจากข้อมูลจะเห็นได้ว่าอ�ำเภอ ตะวันออกติดต่อกับอ�ำเภอไทรน้อย อ�ำเภอบางใหญ่ พุทธมณฑล ถือเป็นพื้นที่ที่มีการขยายตัวของความ อ�ำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตทวีวัฒนา เป็นเมืองอย่างมาก และได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ กรุงเทพมหานคร และทิศตะวันตกติดต่อกับอ�ำเภอ ที่ส�ำคัญในการถูกใช้เป็นพื้นที่ของการลงทุน การ นครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ลักษณะภูมิประเทศของ ก่อสร้างอาคารสถานที่ ห้างสรรพสินค้า สถานศึกษา อ�ำเภอพุทธมณฑล เป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีล�ำคลองหลาย หน่วยงานราชการและเอกชน และความเจริญอีก สายและมักจะมีน�้ำท่วมในฤดูน�้ำหลากอยู่เป็นประจ�ำ มากมายที่ได้แพร่กระจายเข้าสู่พื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ลักษณะการเมืองการปกครองของ ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยทางกายภาพของต�ำแหน่งที่ตั้ง อ�ำเภอพุทธมณฑล ได้มีการจัดรูปแบบการปกครอง ของอ�ำเภอพุทธมณฑลที่อุดมด้วยทรัพยากรทาง ส่วนท้องถิ่นออกเป็น 2 รูปแบบคือ เทศบาลจ�ำนวน ธรรมชาติและมีอาณาเขตติดต่อกับพื้นที่รอยต่อ 2 แห่ง และมีองค์การบริหารส่วนต�ำบล 2 แห่ง กับพื้นที่อื่นๆ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ดังนั้น ได้แก่ เทศบาลต�ำบลศาลายา จัดตั้งโดยยกฐานะจาก ด้วยปัจจัยดังกล่าวนี้จึงส่งผลให้อ�ำเภอพุทธมณฑล สุขาภิบาลศาลายา เทศบาลต�ำบลคลองโยง จัดตั้ง เกิดการเปลี่ยนในมิติต่างๆ ทั้งด้านสภาพแวดล้อม โดยยกฐานะจากองค์การบริหารส่วนต�ำบลคลองโยง วิถีการด�ำเนินชีวิตและศิลปวัฒนธรรมในชุมชนที่ องค์การบริหารส่วนต�ำบลศาลายา และองค์การ มีอยู่แต่เดิม รวมถึงท�ำให้เกิดขึ้นของวัฒนธรรมใน วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 32 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

รูปแบบใหม่ที่หลากหลาย แปลกใหม่ ที่เกิดขึ้นทั้ง ต่างมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนในชุมชนทั้งทาง จากคนในและคนนอกพื้นที่น�ำเข้ามาสู่ชุมชนอ�ำเภอ ตรงและทางอ้อม มากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันออก พุทธมณฑล ไปตามความจ�ำเป็นและความสอดคล้องกับบริบท 1.2 ทุนความหลากหลายทาง ทางสังคมและวิถีการด�ำเนินชีวิตของผู้คนหลาก วัฒนธรรม หลายรูปแบบในยุคปัจจุบัน ทุนทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มี จากการเก็บรวบรวมข้อมูลในพื้นที่โดย ความเกี่ยวข้องกับระบบคุณค่า ความรู้ ภูมิปัญญา การสัมภาษณ์ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ และงานสร้างสรรค์ อันเกิดขึ้นจากการค้นคว้าและ การจัดเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชุมชน และการ ค้นพบโดยผู้ทรงความรู้ในท้องถิ่น รวมทั้งค่านิยม ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับทุนความหลากหลาย และความเชื่อที่ผูกพันกับสังคม ซึ่งแยกออกเป็น ทางวัฒนธรรมของอ�ำเภอพุทธมณฑล สามารถจัด ทุนทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ ได้แก่ โบราณสถาน แบ่งประเภทของข้อมูลได้ ดังนี้ โบราณวัตถุ อาคาร สถานที่ และทุนทางวัฒนธรรม 1) ศิลปวัฒนธรรม/ภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่จับต้องไม่ได้ ได้แก่ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ค่านิยม จากการเก็บรวบรวมข้อมูลด้าน ระบบความเชื่อ ภาษา ประเพณี ความรู้และทักษะ วัฒนธรรมของชุมชนอ�ำเภอพุทธมณฑล พบว่า ต่างๆ ทั้งนี้ ทุนทางวัฒนธรรมสามารถที่จะเป็นได้ อ�ำเภอพุทธมณฑลมีศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญา ทั้งทุนเดิมที่เป็นมวลรวมของชุมชนหรือสังคมที่มี ของท้องถิ่นอยู่จ�ำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในตัวของบุคคลที่ อยู่แต่เดิม และในขณะเดียวกันทุนทางวัฒนธรรม เรียกว่าพ่อเพลงแม่เพลงและครูภูมิปัญญา ซึ่งจาก นั้น ก็สามารถที่จะปรับเปลี่ยน เพิ่มหรือลดคุณค่า ข้อมูลแม้จะพบว่ามีอยู่จ�ำนวนไม่มากนัก แต่พ่อเพลง และบทบาทได้ตามบริบททางสังคมวัฒนธรรม แม่เพลงเหล่านี้ได้ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ส�ำคัญในการ และค่านิยมของคนในสังคมโดยในแต่ละสังคม สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่ กลุ่มบุคคล และบุคคลก็จะมีทุนทางวัฒนธรรมที่ ปรากฏอยู่ในอ�ำเภอ พุทธมณฑล ที่ได้รับการสั่งสม แตกต่างหลากหลายกันออกไป (ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์, และท�ำหน้าที่สืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของชุมชน 2547 และ ชัยอนันต์ สมุทวนิช, 2540) ทั้งนี้ จาก ท้องถิ่นจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน และได้รับการยอมรับ การทบทวนเอกสารและเข้าพื้นที่ส�ำรวจทุนความ จากคนในชุมชนและหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะ หลากหลายทางวัฒนธรรมในอ�ำเภอพุทธมณฑล หน่วยงานด้านการศึกษาที่ได้ท�ำการส�ำรวจ ศึกษา พบว่า แม้อ�ำเภอพุทธมณฑลจะเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก และบันทึกประวัติและผลงานไว้เป็นจ�ำนวนมาก ซึ่ง แต่พื้นที่ดังกล่าวกลับอุดมไปด้วยความหลากหลาย จากข้อมูลพบว่าพ่อเพลงแม่เพลงที่พบมีทั้งที่ยังคง ทางวัฒนธรรม ซึ่งหลายชนิดถือเป็นเอกลักษณ์และ ด�ำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบันและบางท่านได้เสียชีวิตไป กลายเป็นความภาคภูมิใจหรือถูกใช้ในการสร้าง แล้ว ได้แก่ นางประยูร ยมเยี่ยม นางบ�ำรุง พินิจกุล จิตส�ำนึกร่วมกันของคนในชุมชน ทั้งที่สืบทอดกันมา นางสายทอง มาเจริญ นายเกิด ไทยทวี นางเหว่า อย่างยาวนานจากอดีตและบางส่วนถูกประดิษฐ์ขึ้น พุ่มรินทร์ นางเพ็ญ แก่นละออ นางอุดม ตามศรี แต่ทั้งนี้ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเหล่านี้ นายหยวก สวัสดิ์มี นายบุญมี สวัสดิ์ตาล และนาง Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 33 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

แจ๋ว เนียมพูลทอง ซึ่งท่านเหล่านี้ยังคงมีบทบาท การเสด็จนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ของรัชกาลที่ 4 ส�ำคัญต่อสถาบันการศึกษาและหน่วยงานด้าน 2.2) สิ่งแวดล้อม ได้แก่ การขุดคลอง วัฒนธรรมอยู่เสมอ เพื่อสัญจรและควบคุมน�้ำในพื้นที่ (คลองบางเตย 2) ประวัติศาสตร์ชุมชน คลองซอย คลองเจ๊ก (คลองชัยขันธ์) คลองสามบาท จากการเข้าพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูล คลองตาหลี คลองสุคต คลองหม่อมเจ้าเฉลิมศรี และทบทวนวรรณกรรม พบว่า เอี่ยม ทองดี และ คลองนายเปล่ง คลองตาพริ้ม คลองตาบาง คลอง คณะ (2542) ได้ท�ำการศึกษาเรื่อง “พลังทาง สามวา) การเกิดคลองโยง การขุดคลองมหาสวัสดิ์ ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นที่มีผลต่อการพัฒนา การจับจองที่ดินสองฝั่งคลองมหาสวัสดิ์ การขุด ชุมชนอ�ำเภอพุทธมณฑล” ซึ่งได้น�ำเสนอให้เห็น คลองทวีวัฒนา (คลองขวาง) เหตุการณ์น�้ำท่วมใหญ่ ภาพของการปรากฏตัวของเหตุการณ์ส�ำคัญต่างๆ ปี พ.ศ. 2485 เหตุการณ์น�้ำท่วมใหญ่ปี พ.ศ. 2554 ผ่านเรื่องเล่าและบันทึกต่างๆ ทางประวัติศาสตร์ 2.3) สถาบันการศึกษา/หน่วยงาน ซึ่งล้วนสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของการ ได้แก่ การก่อสร้างมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขต เปลี่ยนแปลงของชุมชน ผู้คนและบริบททางสังคม ศาลายา โรงเรียนบ้านคลองโยง โรงเรียน ของอ�ำเภอพุทธมณฑล ที่ส่งผลให้เกิดความหลาก บุญยศรีสวัสดิ์ โรงเรียนบ้านคลองสว่างอารมย์ หลายทางวัฒนธรรมมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน โรงเรียน วัดมะเกลือ โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภช สืบเนื่องจากอดีต โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของ บวรนิเวศศาลายา ในสังฆราชูปถัมภ์ หน่วยงาน ปัจจัยทางกายภาพ ได้แก่ การขุดคลอง การตัดถนน ของกรมศิลปากร (สถาบันศิลปกรรม, วิทยาลัย การสร้างทางรถไฟ ฯลฯ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก นาฏศิลป) โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ สถาบัน เหตุการณ์และปรากฏการณ์ทางสังคมเหล่านี้ ล้วน วิชาการทหารเรือชั้นสูง และกรมยุทธศึกษาทหาร เป็นสาเหตุของการท�ำให้เกิดการหลั่งไหลเข้ามาของ เรือ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตศาลายา ผู้คนและวัฒนธรรมจากพื้นที่อื่น จนกระทั่งท�ำให้ สถานฝึกอบรมเด็กและเยาวชนสิรินธร โรงเรียน เกิดการขยายตัวอย่างเร่งรุดในมิติต่างๆ ของอ�ำเภอ กาญจนาภิเษกวิทยาลัยนครปฐม (พระต�ำหนักสวน พุทธมณฑล ทั้งนี้ ประวัติศาสตร์ชุมชนของอ�ำเภอ กุหลาบมัธยม) โรงเรียนพระต�ำหนักสวนกุหลาบมหา พุทธมณฑลแบ่งออกได้ ดังนี้ มงคล วิทยาลัยการอาชีพพุทธมณฑล หอภาพยนตร์ 2.1) โบราณคดี/ต�ำนาน ได้แก่ การ (องค์กรมหาชน) มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย เกิดอาณาจักรสุวรรณภูมิ การเกิดอาณาจักร กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวง สถาบัน ทวารวดี การสร้างเมืองนครชัยศรี สุนทรภู่เดินทาง บัณฑิตพัฒนศิลป์ วิทยาเขตศาลายา ไปนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ สุนทรภู่เดินทางไป 2.4) ศาสนา/ความเชื่อ ได้แก่ มูลนิธิ นมัสการพระแท่นดงรัง บันทึกการเดินทางของ อุบลรังสีจุฬามณี ส�ำนักสงฆ์หทัยนเรศวร การสร้าง มหาฤกษ์เดินทางไปนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ การ วัดเทพนิมิตและวัดมงคลประชาราม การก่อสร้าง ปล้นสถานีรถไฟศาลายา การออกผนวชของเจ้าฟ้า พุทธมณฑล การสร้างวัดสุวรรณาราม วัดมะเกลือ ชายมงกุฏ การเสด็จเสวยราชสมบัติของรัชกาลที่ 4 และวัดสาลวัน วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 34 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

2.5) สาธารณสุข ได้แก่ การก่อตั้ง เข้ากับวันส�ำคัญทางพระพุทธศาสนาและสัมพันธ์กับ โรงพยาบาลพุทธมณฑล โรงพยาบาลศาลายา สภาพแวดล้อมในชุมชนที่อุดมไปด้วยล�ำคลองที่มีอยู่ โรงพยาบาลตุลาการเฉลิมพระเกียรติ เป็นจ�ำนวนมาก ประเพณีที่กล่าวมาคือ “ประเพณี 2.6) เศรษฐกิจ ได้แก่ การเกิดโรงงาน ตักบาตรท้องน�้ำ” จัดขึ้น ณ ริมคลองมหาสวัสดิ์ อุตสาหกรรม การเกิดห้างสรรพสินค้าในอ�ำเภอ บริเวณวัดสุวรรณ ต�ำบลมหาสวัสดิ์ พุทธมณฑล 4) อาชีพ ได้แก่ การท�ำนาข้าว การ 2.7) การเมืองการปกครอง ได้แก่ การ ท�ำนาบัว การท�ำสวนส้มโอ การท�ำเป็ดพะโล้ การ แต่งตั้งเป็นอ�ำเภอพุทธมณฑล การประกาศแต่งตั้ง ท�ำอู่ต่อเรือและการท�ำสวนกล้วยไม้ เป็นสุขาภิบาลศาลายา ต�ำบลและองค์การบริหาร 2. การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ส่วนต�ำบล การจัดตั้งเทศบาล ในการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ความหลากหลาย 2.8) ประชากร ได้แก่ การอพยพของ ทางวัฒนธรรมส�ำหรับเด็กและเยาวชน คนจีนเข้าประเทศไทยสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาและ การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของ ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชุมชนในการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ความหลาก 2.9) การขยายตัวของชุมชน ได้แก่ การ หลายทางวัฒนธรรมส�ำหรับเด็กและเยาวชน มี สร้างถนนสายศาลายา - บางภาษี และศาลายา - กระบวนการ ดังนี้ นครชัยศรี การตัดถนนสายปิ่นเกล้า - นครชัยศรี 2.1 การเตรียมคณะท�ำงานและ การสร้างสถานีเครื่องส่งวิทยุ 100 กิโลวัตต์ วางแผนการด�ำเนินงาน โดยจัดประชุมคณะท�ำงาน (เอเอ็ม) ศาลายา การสร้างหน่วยสื่อสารกรมต�ำรวจ เพื่อก�ำหนดกรอบการด�ำเนินงาน วางแผนกิจกรรม การตัดถนนพุทธมณฑลสาย 4 การเกิดชุมชน ให้มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ก�ำหนด วัดสุวรรณาราม ชุมชนวัดมะเกลือ ชุมชนคลองโยง เป้าหมาย หารือกับที่ปรึกษา ปรับเปลี่ยนวิธีการ และชุมชนศาลายา การสร้างทางรถไฟสายใต้ ด�ำเนินงาน และรายงานผลการด�ำเนินงานต่อ การจ�ำนองที่ดินในสมัยเปลี่ยนแปลงระบอบการ หัวหน้าชุดโครงการ เพื่อให้การด�ำเนินงานขับเคลื่อน ปกครอง 2475 ไปในทิศทางที่ถูกต้อง เหมาะสม 3) ประเพณี 2.2 ศึกษาธรรมชาติของชุมชนและ ถึงแม้อ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัด ท�ำความเข้าใจกับแกนน�ำชุมชน คณะนักวิจัยด�ำเนิน นครปฐม จะเป็นพื้นที่ขนาดเล็กและอยู่ใกล้ชิดกับ การท�ำความเข้าใจกับแกนน�ำชุมชนด้วยการเข้าพบ กรุงเทพมหานคร แต่ในด้านวัฒนธรรมประเพณี ทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งตาม นั้น อ�ำเภอพุทธมณฑลได้มีการพลิกฟื้นประเพณี ปฏิทินของชุมชนที่มีการก�ำหนดให้จัดงานต่างๆ และ ส�ำคัญให้เกิดขึ้น และกิจกรรมดังกล่าวได้กลายเป็น คณะผู้วิจัยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการประชุมและ มรดกร่วมทางวัฒนธรรมของชุมชน ที่มีหน้าที่ใน ขออนุญาตเพิ่มเติมวาระ เพื่อชี้แจงท�ำความเข้าใจ การเชื่อมร้อยจิตใจของผู้คน ทั้งคนดั้งเดิมและคน กับแกนน�ำชุมชน นอกจากนั้นแล้วยังได้เข้าพบเป็น ใหม่ไว้ด้วยกัน โดยการเชื่อมโยงประเพณีดังกล่าว รายบุคคล ด้วยการแนะน�ำตัว ชี้แจงท�ำความเข้าใจ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 35 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เกี่ยวกับโครงการ การด�ำเนินงานที่จะเกิดขึ้นใน 1.1) ความตระหนักรู้ถึงการ ชุมชน และการขอความร่วมมือในการด�ำเนินงาน เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอ�ำเภอพุทธมณฑล พบว่า โครงการในลักษณะต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชุมชนซึ่งมี ผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรม มีการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง แกนน�ำชุมชนเป็นผู้ดูแล รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ ในด้านวิถีการด�ำเนินชีวิตและศิลปวัฒนธรรมทั้ง เพื่อให้คนในชุมชนได้รับทราบจากแกนน�ำชุมชน ทางกายภาพและองค์ความรู้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลง 2.3 ค้นหาแกนน�ำเด็ก/เยาวชนเข้าร่วม ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อวิถีการด�ำเนิน กิจกรรม โดยมีกระบวนการคือ 1) พลังจากแกนน�ำ ชีวิตและสภาพจิตใจของผู้คนในชุมชนทั้งโดยทาง ชุมชน/ครู และ 2) พลังจากเด็ก/เยาวชนด้วยกันเอง ตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะกับผู้คนส่วนใหญ่ที่ ในการติดต่อประสานงาน ให้ข้อมูลเบื้องต้น และ มีภูมิล�ำเนาดั้งเดิมในพื้นที่อ�ำเภอพุทธมณฑลหรือ เชิญชวนให้เด็ก/เยาวชนในพื้นที่เข้าร่วมการด�ำเนิน บางส่วนที่ได้อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่เป็นระยะเวลา งานโครงการ นานแล้ว โดยแยกออกเป็น 1) วิถีการด�ำเนินชีวิต 2.4 กิจกรรมการเสริมสร้างทักษะการ คือ ความตระหนักถึงประโยชน์และโทษของความ เรียนรู้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม เจริญก้าวหน้าที่แพร่กระจายเข้ามาในพื้นที่อ�ำเภอ การด�ำเนินงานโครงการนี้ได้ พุทธมณฑล เช่น การเกิดคนใหม่ในพื้นที่ การเกิด น�ำกิจกรรมมาเป็นเครื่องมือในการเสริมทักษะ ปัญหาการคมนาคมติดขัด ความไม่ไว้วางใจกัน ความรู้เรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้กับ ระหว่างคนดั้งเดิมในพื้นที่และคนใหม่ที่เข้ามา อาชีพ เด็ก/เยาวชน โดยที่ชุมชนมีส่วนร่วมตลอดระยะเวลา เปลี่ยนแปลงไป และปัญหาสังคม 2) ความตระหนัก การด�ำเนินงานโครงการในพื้นที่อ�ำเภอพุทธมณฑล ในด้านสิ่งแวดล้อม น�้ำในคลองเน่าเสีย ปัญหาผัก โดยแบ่งออกเป็นกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ ตบชวา ภูมิทัศน์เปลี่ยนแปลงไป เช่น จากพื้นที่ป่า/ 1) เวทีเตรียมความพร้อม “แลก นาข้าวถูกแปรสภาพเป็นหมู่บ้านจัดสรร หรือการ เปลี่ยนความคิดเห็น สะท้อนประสบการณ์ชุมชน ขยายตัวของเมืองที่กินพื้นที่เกษตรกรรม การเกิด และข้อเสนอเพื่อพัฒนากิจกรรมเรียนรู้” กิจกรรม ของตึกและอาคาร ที่ท�ำให้ทัศนียภาพด้านการ นี้มีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นตัวแทนของเด็ก/เยาวชน มองที่เปลี่ยนแปลงไป 3) ความตระหนักถึงองค์ แกนน�ำชุมชน และหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วม ความรู้ท้องถิ่นที่เกิดการสูญหายและขาดการสาน โครงการ โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมคือ ต่อ ทั้งนี้เนื่องจากในชุมชนอ�ำเภอพุทธมณฑลนั้น 1) เพื่อทดสอบความตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ มีองค์ความรู้ เรื่องเล่า และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เกิดขึ้นในอ�ำเภอพุทธมณฑล 2) ทบทวนความหมาย ที่ถือว่าเป็นเรื่องราวเฉพาะของพื้นที่ โดยเรื่องราว และค้นหาค�ำนิยามของค�ำว่า “ความหลากหลาย นั้นๆ ได้เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับชนชั้นปกครอง เช่น ทางวัฒนธรรม” ที่เกิดขึ้นจากคนอ�ำเภอพุทธมณฑล ประวัติศาสตร์การสร้างสถานีรถไฟ ประวัติศาสตร์ และ 3) เชิญชวนเข้าร่วมโครงการและร่วมวางแผน การขุดคลอง หรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ การ/ออกแบบกิจกรรม ซึ่งจากการจัดกิจกรรมได้ ส�ำคัญต่างๆ ในท้องถิ่นโดยตรง ดังนั้น เมื่อมี ข้อมูล ดังนี้ การขาดช่วงในการถ่ายทอดความรู้ระหว่าง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 36 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ผู้อาวุโสในท้องถิ่นกับเด็กและเยาวชน จึงส่งผล เข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักกับความหลาก ให้องค์ความรู้ต่าง ๆ จึงค่อย ๆ เลือนหายไปจาก หลายทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชนของตนเองดี อ�ำเภอพุทธมณฑล และ 4) ความตระหนักถึง เท่าที่ควร ศิลปวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรมที่ไม่ได้รับการ 1.3) การเข้าร่วมโครงการ สืบทอด และบางชนิดถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ กิจกรรม และค้นหาเครื่องมือในการเสริมศักยภาพการ ทางสังคมที่คนในชุมชนหรือครอบครัวด�ำเนินการ เรียนรู้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม พบว่า จาก สืบต่อกันมาทั้งตั้งแต่อดีตและบางประเภทก็ถูก การจัดกิจกรรมโครงการได้เชิญชวนให้เด็ก/เยาวชน ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้าง และแกนน�ำชุมชนเข้าร่วมโครงการ มีผู้สนใจเข้า ความร่วมมือหรือศูนย์กลางการท�ำกิจกรรมของ ร่วมโครงการทั้งสิ้นจ�ำนวน 60 คน โดยแบ่งออก ชุมชน เช่น การตักบาตรท้องน�้ำ การร้องเพลง เป็นต�ำบลละ 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน รวม 3 ต�ำบล เรือ นอกจากนั้นยังพบว่า มีศิลปวัฒนธรรมอันเป็น (ศาลายา/คลองโยง/มหาสวัสดิ์) และผู้เข้าร่วม องค์ความรู้เฉพาะในพื้นที่อ�ำเภอพุทธมณฑลที่ได้รับ โครงการเลือกกระบวนการผลิตสื่อสารคดีในการ การสืบทอดกันภายในครอบครัว เช่น การร้องเพลง ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเสริมศักยภาพและสะท้อนถึง กล่อมลูก การแหล่ ซึ่งมีอยู่ในตัวของศิลปินพื้นบ้าน ความเข้าใจในประเด็นเรื่องความหลากหลายทาง ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของบริบท วัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักในการด�ำเนิน ทางสังคมและผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่างแสดงทัศนะสื่อ งานโครงการในครั้งนี้ ถึงความตระหนักที่เกิดขึ้น 2) เวทีเสริมความรู้เรื่องความ 1.2) ความหมายและค้นหา หลากหลายทางวัฒนธรรม “เรียนรู้ เข้าใจ ค�ำนิยามของค�ำว่า “ความหลากหลายทาง ความหลากหลายทางวัฒนธรรม” กิจกรรมนี้ วัฒนธรรม” จากผู้เข้าร่วมกิจกรรม พบว่า การ มีวัตถุประสงค์ส�ำคัญในการเสริมศักยภาพการ นิยามความหมายของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งเป็น เรียนรู้เรื่องความหมายของความหลากหลาย ตัวแทนของคนในอ�ำเภอพุทธมณฑล มุ่งนิยาม ทางวัฒนธรรม และให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมน�ำ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางสังคมที่เชื่อมโยง เสนอความหลากหลายทางวัฒนธรรมในอ�ำเภอ กับวันส�ำคัญทางพุทธศาสนา เช่น งานสงกรานต์ พุทธมณฑล รวมทั้งแนะน�ำตัวอย่างสื่อสารคดี ท�ำบุญ ลอยกระทง และศิลปวัฒนธรรมบางส่วนที่ เพื่อกระตุ้นความสนใจส�ำหรับเด็กและเยาวชน เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ได้แก่ อาหารในท้องถิ่น เนื่องจากจุดมุ่งหมายหลักของโครงการที่มุ่งเน้น องค์ความรู้ที่มีอยู่ในปราชญ์/ศิลปินพื้นบ้าน เช่น ที่จะใช้กิจกรรมการสร้างสื่อสารคดี เพื่อกระตุ้น เพลงพื้นบ้าน เพลงกล่อมลูก การแหล่ องค์ความรู้ กระบวนการเรียนรู้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่น พืชพันธุ์ไม้เฉพาะใน ให้เด็กและเยาวชน ดังนั้น เนื้อหาหลักในการ พุทธมณฑล และวัฒนธรรมที่พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน ด�ำเนินงานโครงการจึงแบ่งออกเป็น 2 ภารกิจที่ เช่น วิถีการด�ำเนินชีวิต เทคโนโลยีและความเจริญ ส�ำคัญคือ 1) การปูพื้นฐานความรู้ความเข้าใจเรื่อง ในชุมชน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า เด็กและเยาวชนที่ พหุวัฒนธรรม/ความหลากหลายทางวัฒนธรรมให้ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 37 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

กับเด็ก/เยาวชนและแกนน�ำชุมชน และ 2) การ เวทีเสริมทักษะความรู้เรื่องการสร้างสรรค์สารคดี พัฒนาทักษะการผลิตสื่อสารคดีที่จะใช้เป็นทั้ง ตามหัวข้อที่เด็ก/เยาวชนมีความสนใจที่จะถ่ายทอด เครื่องมือในการเรียนรู้และเป็นภาพสะท้อนถึงความ ความรู้ความเข้าใจในประเด็นเรื่องความหลากหลาย รู้ความเข้าใจในประเด็นเรื่องความหลากหลายที่ ทางวัฒนธรรม โดยมีแกนน�ำชุมชนเป็นพี่เลี้ยงและ เด็ก/เยาวชนได้รับจากการเข้าร่วมโครงการ ซึ่งการ ได้รับความเอื้ออ�ำนวยจากคนในชุมชน ซึ่งในการ จัดกิจกรรมครั้งนี้วิทยากรได้ใช้กิจกรรมแลกเปลี่ยน จัดเวทีดังกล่าวได้รับความอนุเคราะห์คณะวิทยากร และเพิ่มเติมข้อมูลความรู้เรื่องพหุวัฒนธรรม โดยการ จาก “สถาบันรามจิตติ” ที่มีความรู้ความสามารถ ยกตัวอย่างจากข้อมูลที่มีอยู่จริงในพื้นที่ ซึ่งปะปน และประสบการณ์ด้านการถ่ายทอดความรู้ผ่าน อยู่ในวิถีชีวิตประจ�ำวันของเด็ก/เยาวชน และ ผลงานสารคดี โดยใช้ข้อมูลที่เป็นภาพ เสียง และ พัฒนาทักษะการเรียนรู้สื่อสารคดีโดยให้เด็ก/ สิ่งต่างๆ ที่เด็กได้ด�ำเนินการหลังจากกิจกรรมที่ผ่าน เยาวชนได้ลงมือทดลองปฏิบัติจริง เพื่อจะน�ำไปสู่ มาเป็นวัตถุดิบในการฝึกปฏิบัติการ ทั้งนี้ เนื่องด้วย การลงมือปฏิบัติในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ใน เนื้อหาในด้านเทคนิคและกลวิธีในการผลิตสารคดี การจัดกิจกรรมครั้งนี้เด็กและเยาวชนในแต่ละ ที่มีความซับซ้อน ดังนั้นจึงจ�ำเป็นต้องให้สมาชิกใน กลุ่มได้ท�ำการคัดเลือกประเด็นที่กลุ่มของตนเองมี กลุ่มที่มีวัยวุฒิเป็นผู้ฝึกปฏิบัติและด�ำเนินการ ความสนใจ เพื่อที่จะใช้ในการน�ำเสนอและสะท้อน 4) เด็ก/เยาวชนด�ำเนินการ ความเข้าใจในประเด็นเรื่องความหลากหลายทาง ท�ำงานในพื้นที่ เมื่อได้รับการเสริมทักษะทั้งในส่วน วัฒนธรรม โดยใช้ข้อมูลความหลากหลายทาง ของความรู้ความเข้าใจในเรื่องความหลากหลาย วัฒนธรรมในอ�ำเภอพุทธมณฑลเป็นฐาน จ�ำนวน ทางวัฒนธรรมและเทคนิคขั้นตอนการผลิตสื่อสาร 6 กลุ่ม 6 เรื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจ คดี เด็ก/เยาวชน/แกนน�ำในแต่ละกลุ่ม ได้ด�ำเนิน ของชุมชน เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก/เยาวชน เป็น งานในพื้นที่จริงโดยมีคณะนักวิจัยและผู้ประสาน สิ่งที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงประเด็นความหลาก งานในแต่ละกลุ่มท�ำหน้าที่ในการเอื้ออ�ำนวยการ หลายทางวัฒนธรรมของผู้คนและสภาพแวดล้อม และช่วยในการวางแผนและด�ำเนินการต่างๆ ซึ่ง ในชุมชน และเป็นสิ่งที่เด็ก/เยาวชน/ชุมชนต่าง ในการด�ำเนินงานในพื้นที่แต่ละครั้งของแต่ละกลุ่ม เล็งเห็นถึงคุณค่าร่วมกัน ได้แก่ 1) เรื่องวิถีการ จะมีความแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็น 2 ด�ำเนินชีวิต 2) ความหลากหลายของผู้คนในชุมชน ลักษณะ ได้แก่ การด�ำเนินการโดยมีครู/อาจารย์ 3) ความหลากหลายของอาหาร 4) ขนมไทย เป็นพี่เลี้ยง และกลุ่มที่มีแกนน�ำชุมชนเป็นพี่เลี้ยง 5) ศิลปวัฒนธรรม และ 6) แหล่งท่องเที่ยวในอ�ำเภอ เอื้ออ�ำนวยการ ซึ่งในการศึกษาและด�ำเนินการจัด พุทธมณฑล ท�ำสารคดีในแต่ละกลุ่มที่มีความแตกต่างกันออก 3) เวทีเสริมศักยภาพการท�ำ ไปนั้น เด็ก/เยาวชนมีการด�ำเนินงานตามขั้นตอน สื่อสารคดีเชิงสร้างสรรค์ “ถ่ายทอดการเรียนรู้ ผ่าน ที่คณะนักวิจัยและวิทยากรได้ก�ำหนดไว้ให้ ได้แก่ สื่ออย่างสร้างสรรค์” เป็นการน�ำเด็ก/เยาวชนและ การก�ำหนดบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม การก�ำหนด ผู้สนใจเข้าร่วมด�ำเนินงานโครงการ เข้าร่วมกิจกรรม หัวข้อ การวางโครงร่างสารคดี การประสานงานกับ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 38 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ชุมชน การบริหารจัดการสมาชิก และการปฏิบัติการ การผลิตและเนื้อหาจากวิทยากรและคณะนักวิจัย ให้ส�ำเร็จ ซึ่งตลอดระยะเวลาการด�ำเนินงานของทุก โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม คณะนักวิจัย วิทยากรและผู้ประสานงานจะมี 1) คณะนักวิจัย วิทยากร ผู้ประสานงาน 2) กลุ่ม ส่วนช่วยเอื้ออ�ำนวย ทั้งในส่วนของกระบวนการผลิต เป้าหมาย ได้แก่ เด็ก/เยาวชน แกนน�ำชุมชน และ สารคดี การประสานงานกับชุมชน และการเสริม 3) ผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานในพื้นที่ และผู้สนใจ ซึ่ง ความรู้เรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรมโดยใช้ ส�ำหรับกลุ่มเป้าหมายนั้นจะเป็นการน�ำเสนอข้อมูล กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของเด็ก/ สื่อสารคดีในการสะท้อนเรื่องความหลากหลาย เยาวชน ส่งผลให้เด็ก/เยาวชนรู้จักความสามัคคี การ ทางวัฒนธรรม และในส่วนของผู้เข้าร่วมกิจกรรม แก้ไขปัญหา ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวท�ำให้เด็ก/เยาวชน จะเป็นการขยายผลโครงการให้คนนอกได้รับรู้ ซึ่ง เกิดความสนุกกับขั้นตอนการผลิตสื่อสารคดีและจะ อาจจะเป็นแรงกระตุ้นหนึ่งที่จะท�ำให้เกิดการขยาย ได้สาระจากการเรียนรู้ข้อมูลจากประสบการณ์ตรง ผลโครงการกับเครือข่ายการพัฒนาอื่นๆ และทั้งนี้ จากพื้นที่ไปด้วยในตัว โครงการได้จัดให้มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มี 5) เวทีติดตามความก้าวหน้า ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการด�ำเนินงานการเสริม โครงการจัดเวทีเพื่อติดตามและเสริมศักยภาพ ศักยภาพการเรียนรู้ส�ำหรับเด็ก/เยาวชน ท�ำการ เครื่องมือให้กับเด็กและเยาวชน โดยการให้เด็ก/ ประเมินและกลั่นกรองสื่อสารคดีในการสะท้อน เยาวชนน�ำเสนอสื่อสารคดีที่ได้ด�ำเนินการจัดท�ำ ความรู้สึกนึกคิดของเด็ก/เยาวชนในเรื่องความเข้าใจ เสร็จสิ้นบางส่วน น�ำเสนอและแลกเปลี่ยนระหว่าง ในประเด็นเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม กลุ่ม โดยมีคณะวิทยากรเป็นผู้ช่วยเหลือเพิ่มเติม และนอกจากนั้นยังได้ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบ และให้ข้อเสนอแนะ เพื่อให้เด็ก/เยาวชน น�ำกลับ เจาะลึกทั้งในส่วนของเด็ก/เยาวชนและแกนน�ำ ไปปรับปรุงให้ได้ข้อมูลและรูปแบบที่ครบถ้วน ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับ สมบูรณ์และตรงกับวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ความรู้ความเข้าใจที่มีต่อประเด็นเรื่องความหลาก พบว่า ในการด�ำเนินกิจกรรมดังกล่าวจะสามารถ หลายทางวัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นการประเมินความ ใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินความรู้ความเข้าใจ ส�ำเร็จของโครงการไปในตัวด้วย ของเด็ก/เยาวชนส�ำหรับประเด็นเรื่องความหลาก 2.5 ประมวลผลความรู้จากเด็ก/ หลายทางวัฒนธรรม และสามารถช่วยก�ำหนดหรือ เยาวชน และแกนน�ำชุมชน โครงการจัดให้มีการ ก�ำกับทิศทางของการผลิตสื่อสารคดีและเพิ่มเติม ถอดบทเรียนจากผู้เข้าร่วมด�ำเนินงานโครงการเพื่อ ข้อเสนอแนะในประเด็นเกี่ยวกับเนื้อหา ให้อยู่ภายใต้ ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการด�ำเนินงานโครงการ พบ เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการในเรื่องการ ว่า กลุ่มเด็ก/เยาวชน ส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องความ เรียนรู้ความหลากหลายทางวัฒนธรรมได แตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เด็ก/เยาวชน 6) เวทีน�ำเสนอผลงานสื่อสาร ได้เผชิญอยู่ในชีวิตจริง แต่จะมุ่งเน้นในการสะท้อน คดี เด็ก/เยาวชน น�ำเสนอสื่อสารคดีเชิงสร้างสรรค์ นิยามความหมายของค�ำว่าวัฒนธรรม/ความหลาก จากการผลิตด้วยตนเองภายใต้การดูแลด้านเทคนิค หลายทางวัฒนธรรมที่ยึดโยงกับเนื้อหาเกี่ยวกับ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 39 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

กิจกรรมทางศาสนา ประเพณี ขนบธรรมเนียมที่ เยาวชนได้เรียนรู้จริงจากพื้นที่ จากตัวบุคคล จาก เกี่ยวกับความเป็นไทย แต่จากการเข้าร่วมโครงการ ศิลปวัฒนธรรมที่มีอยู่ในชุมชน ซึ่งสามารถที่จะน�า เด็ก/เยาวชนได้สะท้อนความคิดในเรื่องความหลาก ไปใช้เป็นตัวอย่างหรือแนวทางในการเสริมสร้าง หลายทางวัฒนธรรมที่อยู่นอกกรอบของค�าอธิบาย ความรู้ให้กับเด็ก/เยาวชน ทั้งภายในและภายนอก แบบเดิม ดังเช่นจากตัวอย่างการสะท้อนความคิด ระบบการศึกษา ซึ่งถือเป็นการเปิดพื้นที่ทางความ จากการถอดบทเรียนในเรื่องความรู้ความเข้าใจใน คิด สร้างแรงจูงใจ และเป็นทางเลือกที่ส�าคัญใน ประเด็นเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม เช่น การน�าทั้งความรู้ในส่วนของเนื้อหาที่ว่าด้วยความ เด็กได้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตในชุมชนของ หลากหลายทางวัฒนธรรม และกระบวนการเสริม ตนเองที่มีผู้คนจากภูมิภาคต่าง ๆ มาอยู่อาศัยร่วมกัน สร้างความรู้ไปใช้ในการเสริมสร้างความรู้ให้กับเด็ก/ มีการท�าอาหาร การพูด การแสดงตัวตนที่แตกต่าง เยาวชน โดยไม่จ�ากัดอยู่ในรูปแบบของการศึกษา กันไปตามฐานทางวัฒนธรรมของแต่ละคนที่เคย แบบเดิมๆ ปฏิบัติในภูมิภาคต่าง ๆ ความแตกต่างทางเพศ ความ หลากหลายของประเพณี พิธีกรรม และกิจกรรม ทางสังคมของผู้คนที่อาศัยอยู่ในอ�าเภอพุทธมณฑล รวมถึงความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวใน ชุมชนของตนเอง ซึ่งจากเสียงสะท้อนเหล่านี้ท�าให้ ได้เห็นว่า เด็ก/เยาวชนจากเดิมที่มีความรู้เรื่องความ แตกต่างทางวัฒนธรรมที่ตนเองพบเจออยู่ในชีวิต ประจ�าวันแล้ว เด็ก/เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการยังได้ มีความเข้าใจ สามารถแยกแยะ และรับรู้ถึงสภาวะ ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นในชุมชน อ�าเภอพุทธมณฑล อันน�ามาซึ่งความแปลกใหม่ทาง กระบวนการเสริมศักยภาพเด็กและเยาวชน วัฒนธรรมและในขณะเดียวกันก็มีความตระหนัก บนฐานความหลากหลายทางวัฒนธรรม ถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ดั้งเดิมใน พื้นที่ ที่จะต้องขับเคลื่อนไปอย่างคู่ขนานกัน อภิปรายผลการวิจัย กลุ่มแกนน�าชุมชน พบว่า ในด้าน ในสภาวะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง ความรู้ความเข้าใจประเด็นเรื่องความหลากหลาย รวดเร็วด้วยปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมที่ ทางวัฒนธรรม แกนน�าชุมชน/ครูมีความรู้ความ เกิดขึ้น ภายใต้แรงกระตุ้นจากโลกาภิวัตน์ ความ เข้าใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่โครงการได้เข้ามาช่วย ทันสมัย เทคโนโลยีและค่านิยมใหม่ที่ให้คุณค่าต่อ เสริมในส่วนของการออกแบบกิจกรรมในการเสริม ระบบเศรษฐกิจ เงินตราและทุนนิยม จากสภาวะ สร้างกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีความ ดังกล่าวกลายเป็นแรงกระตุ้นที่ส�าคัญในการปลุกเร้า น่าสนใจ โดยการใช้สื่อสารคดีและกิจกรรมที่เด็ก/ ให้คนในชุมชนทั่วทุกมุมโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้ง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 40 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ในด้านวิถีการด�ำเนินชีวิต และส่งผลต่อองค์ความรู้ ตั้งรับหรือสร้างพลเมืองของสังคมที่สามารถใช้ชีวิต อันเป็นวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น ผู้คนจากดินแดน อย่างเข้าใจและเท่าทันต่อความแตกต่างทางสังคม ต่างๆ จ�ำต้องอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานไปมา เพื่อ โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของการบริหารจัดการ การประกอบอาชีพและสร้างความมั่นคงในชีวิต ความต่างทางวัฒนธรรม โดยโครงการได้เพ่งเล็งไป ศิลปวัฒนธรรมเกิดการแปรปรวนทั้งในเชิงจุลภาค ที่กลุ่มเด็ก/เยาวชน ที่ยุวพลเมืองเหล่านี้ก�ำลังที่จะ และมหภาค ทั้งที่จ�ำต้องสูญสลายและอีกหลาย เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ท�ำหน้าที่ในการก�ำหนดทิศทาง สิ่งได้เกิดขึ้นใหม่ ปะทะ ประสานกันอย่างหลาก ของสังคมโลกในอนาคต ให้เป็นผู้มีภูมิความรู้ความ หลายทิศทาง และหลายส่วนได้กลายเป็นปัญหา เข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่ง สังคมทั้งในระดับปัจเจกและระดับโครงสร้าง ด้วย ข้อค้นพบและผลที่ได้จากการด�ำเนินงานโครงการ ที่มาของความคิดเห็นและทัศนคติการมองคนและ พบว่า การด�ำเนินงานโครงการครั้งนี้ ท�ำให้เกิดผล วัฒนธรรมอื่นที่แตกต่างอย่างไม่เข้าใจ กระทั่งน�ำไป ที่เกิดขึ้นต่อทั้งเด็ก/เยาวชน แกนน�ำ ชุมชน และ สู่การปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับวัฒนธรรม เกิดทางเลือกในด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ ทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ หรือแม้กระทั่งน�ำไปสู่การ หลากหลาย และสามารถน�ำเข้าไปใช้ในการจัดท�ำ แก้ไขปัญหาในประเด็นเรื่องความต่างทางวัฒนธรรม หลักสูตรส�ำหรับการเรียนการสอนในโครงสร้างของ บนพื้นฐานของความเข้าใจและไม่เข้าใจ จนเกิดเป็น สถานศึกษา ดังนี้ ปัญหาที่พบเห็นอยู่ในระบบสื่อสารมวลชนอย่าง 1. เป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ สม�่ำเสมอ ทั้งนี้ จากปรากฏการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ไม่ติดกรอบการศึกษา หรือเกิดการเรียนรู้นอกระบบ จึงกลายเป็นค�ำถามที่ส�ำคัญว่า “แล้วเราจะใช้ชีวิต จากประสบการณ์ของเด็ก/เยาวชนและแกนน�ำ อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้อย่างไร ภายใต้ความ ชุมชน ที่ผู้เรียนมิได้เป็นเพียงผู้รับข้อมูลจากครูผู้สอน แตกต่างหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรมที่เกิด เพียงเท่านั้น แต่จะท�ำให้เด็ก/เยาวชนสามารถที่จะ ขึ้นในโลกปัจจุบัน” สร้างสรรค์เนื้อหาและการเรียนรู้ข้อมูลของตนเอง การด�ำเนินงานโครงการ “การมี ที่สนใจได้อย่างมีอิสระเสรี จากข้อมูลที่ได้จากการ ส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริม สัมภาษณ์ พูดคุยกับคนในชุมชน สร้างศักยภาพเด็ก เยาวชน บนฐานความหลาก 2. เด็กและเยาวชนเพิ่มบทบาทเป็น หลายทางวัฒนธรรม” โดยใช้ทุนความหลากหลาย ผู้ถ่ายทอดความรู้ โดยที่เด็ก/เยาวชนได้เพิ่มบทบาท ทางวัฒนธรรมในพื้นที่อ�ำเภอพุทธมณฑล และมี จากการเป็นนักเรียนที่เป็นฝ่ายรับความรู้ ไปสู่การ แกนน�ำชุมชนเข้าร่วมด�ำเนินงานโครงการ ผ่านการ เป็นนักปฏิบัติการชุมชน ผู้ได้มีโอกาสวางแผน เข้า จัดกิจกรรม เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการเสริม พื้นที่ สืบค้นหาเรื่องราว คิดวิเคราะห์และตัดสินใจ ทักษะการสร้างสรรค์สื่อสารคดีในครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วย จากประสบการณ์ตรงของการท�ำงานในชุมชน ซึ่ง การเล็งเห็นถึงปัญหาที่สังคมก�ำลังเผชิญหน้าอยู่ใน ผลพวงที่จะได้จากกระบวนการท�ำงานภาคสนาม ปัจจุบันและต้องการที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ จะส่งผลในการเสริมสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อผู้คน Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 41 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ชุมชน และเป็นการกระตุ้นความสนใจ อยากรู้ ด�ำเนินงานโครงการ เพราะจะเป็นการเสริมสร้าง อยากเห็น รักและเคารพผู้คนและความแตกต่าง และปลูกฝังให้คนในชุมชนเกิดความรู้ความเข้าใจทั้ง หลากหลายทางวัฒนธรรมในชุมชน ในส่วนของข้อมูล ขั้นตอนและกระบวนการด�ำเนิน 3. เด็กและเยาวชนรู้จักบทบาทหน้าที่และ งาน ซึ่งจะน�ำไปสู่การพัฒนาหรือต่อยอดงานวิจัยให้ มีความสามัคคี จากการจัดกิจกรรมและการผลิต ชุมชนได้ขับเคลื่อนด้วยตนเอง สื่อสารคดี รู้จักบทบาท ความถนัด และขีดความ 2. บทบาทของครูเปลี่ยนเป็นพี่เลี้ยง สามารถของตนเอง สามารถแก้ไขปัญหา ท�ำงาน ที่คอยดูแลเด็ก/เยาวชนในกลุ่มเพื่อด�ำเนินงาน เป็นทีม และมีความพยายามในการปฏิบัติภารกิจ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเข้าพื้นที่ภาคสนาม ให้ประสบผลส�ำเร็จในรูปแบบของสื่อสารคดีเชิง ส่งผลส�ำคัญต่อการท�ำให้เกิดการเรียนรู้ทั้งในส่วน สร้างสรรค์ ของกระบวนการท�ำงานและเนื้อหาที่ได้รับจาก 4. ประสานช่องว่างระหว่างวัย/ลดละอคติ การเข้าร่วมโครงการ น�ำไปสู่การปรับปรุงประยุกต์ ระหว่างผู้คน/เห็นคุณค่าวัฒนธรรม จากการที่เด็ก/ ใช้ด้วยตนเองในประเด็นที่ตนเองมีความเชี่ยวชาญ เยาวชนได้เข้าร่วมโครงการจึงท�ำให้เขาเหล่านั้น เพื่อให้เกิดกระบวนการถ่ายทอดความรู้ให้กับเด็ก/ ได้มีประสบการณ์ที่ใกล้ชิดกับคนต่างวัย ผ่านการ เยาวชนที่หลากหลาย โดยไม่ต้องมีนักวิจัยเป็น สัมภาษณ์และพูดคุยกับผู้สูงอายุ พูดคุยกับคนที่อยู่ ผู้ก�ำกับติดตาม เพราะครูมีต้นทุนที่ส�ำคัญคือการ นอกรั้วบ้านของตนเอง คนแปลกหน้าที่อาศัยอยู่ใน เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดทั้งกับเด็ก/เยาวชน ชุมชน และ ชุมชน รวมถึงวัตถุ สิ่งของที่แวดล้อมอยู่ในชุมชน วัฒนธรรมในท้องถิ่น อย่างเข้าใจจากข้อมูลที่ได้ศึกษาและสัมผัสใกล้ชิด 2.1 การผลักดัน สนับสนุนและสาน 5. ชุมชนมีส่วนร่วม/ตื่นตัว คนในชุมชน งานต่อควรได้รับการเอื้ออ�ำนวยอย่างเป็นรูปธรรม และหน่วยงานเกิดการตื่นตัวและร่วมเป็น จากชุมชนหรือองค์การบริการส่วนท้องถิ่น ที่มีปัจจัย ผู้สนับสนุนในด้านต่างๆ ทั้งการเข้าร่วมเวทีแลก สนับสนุนทั้งทางด้านทุนทรัพย์ ก�ำลังบุคคล และ เปลี่ยนข้อมูล ให้ข้อมูล ถกเถียง ชี้แนะและร่วม ถือเป็นตัวเสริมหรือเป็นกลไกส�ำคัญที่จะก�ำหนด ด�ำเนินงานโครงการ ท�ำให้ความรู้ความทรงจ�ำและ นโยบายท้องถิ่นให้เป็นไปในทิศทางต่างๆ โดยเฉพาะ คุณค่าของความหลากหลายทางวัฒนธรรมในชุมชน ในด้านวัฒนธรรมของชุมชน เพื่อการพัฒนางานด้าน เกิดการเคลื่อนไหว ถูกพลิกฟื้นให้กลับมามีชีวิตชีวา วัฒนธรรม อันเป็นหัวใจหลักส�ำคัญของการพัฒนา อยู่ในโลกปัจจุบันอีกครั้ง ชุมชนจากรากฐานของชุมชนตนเอง 2.2 น�ำสื่อเชิงสร้างสรรค์มาใช้เป็นตัว ข้อเสนอแนะ กระตุ้นให้เด็ก/เยาวชนหรือผู้เข้าร่วมโครงการเกิด 1. กระบวนการขับเคลื่อนงานวิจัยให้ ความสนใจที่อยากจะร่วมงาน โดยค�ำนึงถึงความ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควรได้รับการมีส่วนร่วม สอดคล้องของโลกในยุคปัจจุบันที่อุดมไปด้วยตัวเร้า จาก “คนใน” ชุมชนตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งสิ้นสุดการ นอกจากนั้นควรดึงบทบาทของสื่อมวลชนที่มีพลัง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 42 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

อย่างมากต่อสังคมในการปลุกความสนใจในรูปแบบ สุภางค์ จันทวานิช. (2551). ทฤษฎีสังคมวิทยา. ที่หลากหลายและเข้าถึงผู้คนในสังคมวงกว้าง ให้มี กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. การน�ำเสนอเนื้อหากิจกรรม/โครงการที่มีคุณภาพ ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ และเกิดประโยชน์ต่อสังคม เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้ สังคมแห่งชาติ. (2550). มุมมองการพัฒนา เกิดสังคมอุดมปัญญาที่คนมีความรัก เข้าใจ และ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา สู่สังคมน่าอยู่. เคารพต่อสิทธิและความหลากหลายทางวัฒนธรรม กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ดอกเบี้ย. อย่างแท้จริง ส�ำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม. (2552). มรดก เอกสารอ้างอิง ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: กาญจนา แก้วเทพ. (2549). ปฐมบทแห่งองค์ความรู้ ส�ำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่ง เรื่องสื่อพื้นบ้านสื่อสารสุข. กรุงเทพฯ: ชาติ. ธรรมศาสตร์. อภิลักษณ์ เกษมผลกูล และนิภัทรา เทพนิมิตร. ชัยอนันต์ สมุทวาณิช. (2540). วัฒนธรรมคือทุน. (2552). ล�ำน�ำค�ำหวาน เรื่องเล่าผ่านเพลง กรุงเทพฯ: สุขุมและบุตร. พื้นบ้านจากศาลายา. ที่ระลึกในงาน “เล่า ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์และคณะ. (2547). ทุนสังคม ขานต�ำนานศาลายา” ครั้งที่ 3. และทุนวัฒนธรรมในระบบเศรษฐกิจ อานันท์ กาญจนพันธุ์. (2544). วิธีคิดเชิงซ้อนใน และการจัดการยุคใหม่.รวมบทความ การวิจัยชุมขน: พลวัตและศักยภาพของ จากการประชุมวิชาการประจ�ำปี 2547 ชุมชนในการพัฒนา. กรุงเทพฯ: ศูนย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. กรุงเทพฯ: พี.เอ. หนังสือจุฬาลงกรณ์. ลิฟวิ่ง. เอี่ยม ทองดี และคณะ (2542). โครงการสร้าง ประภาพรรณ อุ่นอบ. (2542). องค์ความรู้ท้องถิ่น องค์ความรู้ท้องถิ่นพุทธมณฑล เรื่อง อ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พลังประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต่อการพัฒนา ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม. นครปฐม: ชุมชน อ�ำเภอพุทธมณฑล จังหวัด มหาวิทยาลัยมหิดล. นครปฐม. รายงานการวิจัย มหาวิทยาลัย รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์. (2546). ทุนวัฒนธรรม มหิดล. วัฒนธรรมในระบบทุนนิยมโลก. กรุงเทพฯ: พิฆเณศ พริ้นติ้งเซ็นเตอร์. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 43 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย การศึกษาองค์ความรู้วงปีพาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ต�าบลหนองไทร อ�าเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่ออนุรักษ์เเละสืบสานวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่น THE STUDY OF PIPHAT KNOWLEDGE IN BAN NONG SAI, NONG SAI SUB-DISTRICT, , BURIRAM PROVINCE TO PRESERVE THE CULTURAL HERITAGE OF LOCAL COMMUNITIES พิชชาณัฐ ตู้จินดา Pitchanat Toojinda ภาควิชาดนตรีไทย วิทยาลัยการดนตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา [email protected]

บทคัดย่อ งานวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ รวบรวมข้อมูลจากการลงพื้นที่ภาคสนาม โดยศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ และเรียบเรียงความส�าคัญภายใต้วัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาประวัติ ความเป็นมาและบริบทที่เกี่ยวข้องของวงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ต�าบลหนองไทร อ�าเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ (2) เพื่อบันทึก รวบรวม และสังเคราะห์องค์ความรู้ที่โดดเด่นด้านดนตรีของวงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ต�าบลหนองไทร อ�าเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ผลการวิจัยพบว่า องค์ความรู้ปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ได้รับการถ่ายทอดจากนายม่วง และนายล�่า เหลวกูล นักดนตรีปี่พาทย์อาวุโสบ้านเขว้า ต�าบลสะเดา อ�าเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่ง เป็นผู้ทรงความรู้และบรรเลงปี่พาทย์พื้นบ้านได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นที่เคารพนับถือของนักดนตรีพื้นบ้าน ในอ�าเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยนายอ๊อฟ ปราบภัย บิดานายสนั่น ปราบภัย เป็นผู้น�าองค์ความรู้ ดังกล่าวมาถ่ายทอดสู่ชุมชนบ้านหนองไทร กิจกรรมดนตรีปี่พาทย์ของบ้านหนองไทรโดยส่วนใหญ่ด�าเนิน กิจการโดยคนในตระกูลปราบภัย นักดนตรีตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบันของวงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้าน หนองไทร แบ่งออกได้เป็น 3 รุ่น ได้แก่ 1) นักดนตรีรุ่นนายอ๊อฟ ปราบภัย ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกและรุ่นบุกเบิก 2) นักดนตรีรุ่นนายสนั่น ปราบภัย 3) นักดนตรีรุ่นปัจจุบัน นายสนั่น ปราบภัย เป็นผู้ทรงภูมิปัญญาความรู้ด้านปี่พาทย์พื้นบ้านอย่างแท้จริง ปัจจุบันเป็นหลัก ความรู้ส�าคัญให้แก่วงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ทั้งยังถ่ายทอดความรู้ดังกล่าวให้แก่เยาวชนที่สนใจ อย่างไม่ปิดบัง นอกจากนี้ ยังผ่านประสบการณ์การบรรเลงดนตรีเพื่อรับใช้วิถีชีวิตผู้คนในสังคมมาตลอด ระยะเวลาชั่วชีวิต และเป็นผู้หนึ่งที่เป็นกลไกส�าคัญในการด�าเนินงานกิจกรรมดนตรีพื้นบ้านร่วมกับนักดนตรี พื้นบ้านในอ�าเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 44 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

องค์ความรู้ที่ส�ำคัญของวงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ได้แก่ ทางบรรเลงฆ้องวงใหญ่เพลง ปี่พาทย์พื้นบ้าน แบ่งออกได้เป็น 6 ประเภท ดังนี้ 1. เพลงครู หมายถึง เพลงชุดที่ใช้เริ่มต้นการเรียน การสอนปี่พาทย์พื้นบ้าน ได้แก่ เพลงชุดโหมโรงเย็น 2. เพลงชุด หมายถึง ประเภทเพลงที่น�ำเพลงเกร็ด ที่มีลักษณะท�ำนองคล้ายกันมาร้อยเรียงเข้าเป็นชุดเดียวกัน คล้ายเพลงเรื่องเพลงช้าของปี่พาทย์ภาคกลาง 3. เพลงเลี้ยงผี หมายถึง เพลงที่ใช้บรรเลงในพิธีเลี้ยงผี ทั้งผีบรรพบุรุษและผีศาลตาปู่ 4. เพลงแห่ หมายถึง เพลงที่ใช้ในกิจกรรมประโคมแห่ต่างๆ ได้แก่ เพลงกราวนอก 5. เพลงนางหงส์ หมายถึง เพลงที่ใช้บรรเลง เฉพาะในพิธีอวมงคล 6. เพลง 3 ชั้น และเพลง 2 ชั้น หมายถึง เพลงที่มีกระสวนท�ำนองทางฆ้องวงใหญ่ และอัตราจังหวะการบรรเลง 3 ชั้น และ 2 ชั้น ค�ำส�ำคัญ: วงปี่พาทย์พื้นบ้าน ดนตรีพื้นบ้านอีสานใต้ วัฒนธรรม

ABSTRACT This qualitative research that had gathered data from the field study aimed (1) to study the rationale and background and relevant context of folk gamelan orchestra at Ban Nongsai in Buriram Province, and (2) to record, gather, and synthetize the outstanding knowledge on music of the folk gamelan orchestra at Ban Nongsai in Buriram Province. The research result found that the folk gamelan orchestra at Ban Nongsai, Buriram Province has been established and participated by people from Prabpai Family and led by Mr.Off Prabpai who was passed the gamelan knowledge from Mr.Muang and Mr.Lam Laiewkul, the gamelan players of Ban Kawe, Sadao Sub-district, Buriram Province. At present, the folk gamelan orchestra of Ban Nongsai is led by Mr.Sanan Prabpai. The musicians of this band from the past until present were divided into 3 sets: the first and founder set is in the same set of Mr. Off Prabpai; the set of Mr.Sanan Prabpai; and current set of musicians. Mr.Sanan Prabpai was truly an expert on folk Piphat knowledge that currently became the important knowledge for folk Piphat orchestra. In addition, he had taught the said knowledge to interested youth without any disclosure. He also had an experience on music playing in order to support lifestyle of people in the society for his life. He is one of key mechanism for continuing the folk song activity together with folk musician in Nangrong, Buriram Province. The important knowledge of the folk Piphat orchestra at Ban Nongsai playing folk Piphat songs by big gong can be divided into 6 types as follows: 1) Master song means a set of songs using for the introduction of the folk Piphat learning including a set of evening Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 45 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV prelude song; 2) Set song means a type of songs using Kred song with similar rhythm in the same set of songs and similar to a song of the central Piphat orchestra; 3) Liang Pi song means a song played in spirit ceremony, including ancestor spirit and Phee San Ta Pu spirit; 4) Parade song means a song used in the parades which is Ground Nok song; 5) Nang Hong song means a song played in the inauspicious ceremony; 6) 3-layer song and 2-layer song means a rhythmic pattern by big gong and meter of rhythm of 3-layer and 2-layer songs. Keywords: local Piphat band, lower northeastern folk music, cultural

บทน�ำ วัฒนธรรมมีบทบาทในการฟื้นฟู อนุรักษ์ วัฒนธรรม ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลาก ตนเองด้วย” (กระทรวงวัฒนธรรม, 2553) หลายทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมชุมชน ภาคอีสานใต้ เป็นจังหวัดที่มีอาณาเขต ท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ แต่เนื่องจากหลาย ติดต่อกับประเทศกัมพูชา ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ ปีที่ผ่านมามีการเข้ามาแทนที่ของเทคโนโลยีและ สระแก้ว บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ เป็นพื้นที่ที่มีกลุ่ม สื่อบันเทิงสมัยใหม่ท�ำให้วัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่น ชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายทั้งไทย หลายประเภทถูกลดทอนความส�ำคัญลงอย่างหลีก เขมร ไทยอีสาน ไทยกวยหรือส่วย และไทยโคราช เลี่ยงไม่ได้ ซึ่งน�ำไปสู่การสูญเสียอัตลักษณ์ของหลาย ถือเป็นแหล่งทุนทางวัฒนธรรมที่ส�ำคัญอีกแห่งหนึ่ง กลุ่มชาติพันธุ์ จนกระทั่งเกิดกระแสความนิยมใน ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านดนตรีที่ การศึกษาวิจัยเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทาง ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลและมีลักษณะแบบเขมร อาทิ วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ดังปรากฏเป็นงานวิจัย เช่น เจรียงประเภทต่างๆ มโหรีเขมร กันตรึม ตุ้มโมง ที่ด�ำเนินการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ตามชุมชนท้องถิ่น อาไย ปี่พาทย์พื้นบ้าน เป็นต้น ซึ่งหลายประเภทยัง ในประเด็นทางวัฒนธรรมด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง คงอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนและอีกหลายประเภทได้ การอนุรักษ์และการสืบสานวัฒนธรรม เลือนหายไปจากสังคมอย่างน่าเสียดาย ชุมชนท้องถิ่น จึงถือเป็นการฟื้นฟูสังคมอีกทาง วงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ต�ำบล หนึ่งที่กระท�ำควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ หนองไทร อ�ำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นวงปี่ ดังสอดคล้องกับ “แผนแม่บทวัฒนธรรมแห่งชาติ พาทย์พื้นบ้านอาชีพที่มีความส�ำคัญยิ่งวงหนึ่ง เป็น ปี พ.ศ. 2550-2559” ที่อ้างอิงทัศนะจากผู้ทรง วงดนตรีที่มีผลงานการบรรเลงรับใช้วิถีชีวิตผู้คน คุณวุฒิ ว่า “แนวทางในการพัฒนาสังคมไทยด้วย เป็นที่ประจักษ์ชัด ครอบคลุมกิจกรรมทางสังคม กระบวนการทางวัฒนธรรม แนวทางนี้เป็นแนวทาง ในพื้นที่ภาคอีสานใต้อันเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรม ที่ส�ำคัญที่สุดในการฟื้นฟูสังคมไทย และที่ส�ำคัญต้อง ความเชื่อ ได้แก่ พิธีทรงเจ้าเข้าผีเพื่อรักษาโรค พิธี เน้นวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยให้ชุมชนที่เป็นเจ้าของ อันเกี่ยวเนื่องกับความตายและพิธีในงานมงคล วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 46 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

โดยมีนายสนั่น ปราบภัย ศิลปินพื้นบ้านอาวุโสอายุ หนองไทร ต�ำบลหนองไทร อ�ำเภอนางรอง จังหวัด 62 ปี เป็นผู้น�ำวงและเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ซึ่งวง บุรีรัมย์ ปี่พาทย์พื้นบ้านดังกล่าวถือเป็นตัวแทนวัฒนธรรม 2. เพื่อบันทึก รวบรวม และสังเคราะห์ ด้านดนตรีของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยโคราชที่อาศัยอยู่ องค์ความรู้ที่โดดเด่นด้านดนตรีของวงปี่พาทย์ ในเขตพื้นที่อ�ำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ และ พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ต�ำบลหนองไทร อ�ำเภอ นับได้ว่าเป็นวงปี่พาทย์พื้นบ้านหนึ่งเดียวในเขต นางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ พื้นที่ดังกล่าวที่ยังคงรักษาองค์ความรู้และการ บรรเลงในรูปแบบพื้นบ้านดั้งเดิมเอาไว้ได้เป็น ระเบียบวิธีวิจัย อย่างดี โดยเฉพาะองค์ความรู้เรื่องบทเพลงที่นาย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ สนั่น ปราบภัย ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษที่ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบ สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นนั้น ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ กับการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม ประชากรที่ใช้ ทางดนตรีที่ไม่ซ�้ำกับวงดนตรีใดในพื้นที่ภาคอีสานใต้ ในการด�ำเนินการวิจัยเป็นสมาชิกนักดนตรีในวง ด้วยตระหนักถึงความเป็นมาและ ปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร จ�ำนวน 11 คน ความส�ำคัญ โครงการวิจัย เรื่อง “การศึกษา โดยเครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสัมภาษณ์ องค์ความรู้วงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ต�ำบล ซึ่งประกอบด้วยค�ำถามข้อมูลทั่วไป ความเป็นมา หนองไทร อ�ำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อ บริบทที่เกี่ยวข้อง และองค์ความรู้ด้านดนตรีของ อนุรักษ์เเละสืบสานวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่น” จึง วงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร และข้อเสนอแนะ มุ่งเป้าหมายที่จะสืบค้นและรวบรวมองค์ความรู้ เพิ่มเติม บันทึกประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับคุณค่าและ ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากการศึกษา ความส�ำคัญของวงปี่พาทย์พื้นบ้านดังกล่าว ซึ่งอยู่ใน วิจัยเอกสารและการศึกษาวิจัยภาคสนาม แบ่งออก วิกฤตที่เสี่ยงต่อการสูญหาย เพื่อน�ำไปสู่การอนุรักษ์ เป็น 3 ขั้นตอน คือ 1) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และการสืบทอด ต่อยอดข้อมูลด้านดนตรีพื้นบ้าน 2) การสัมภาษณ์ข้อมูลจากผู้รู้ 3) การสัมภาษณ์และ และสร้างความรู้ความเข้าใจในแง่การเชื่อมโยง เก็บรวบรวมข้อมูลจากสนามจริง ซึ่งผู้วิจัยได้ท�ำการ ประวัติศาสตร์ดนตรีและสังคมของประเทศไทยให้ ตรวจสอบและทบทวนข้อมูลซ�้ำ ทั้งยังน�ำข้อมูล สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งแสดงให้เห็นถึงความหลากหลาย ดังกล่าวให้กับกลุ่มประชากรเป้าหมายและเสนอ ของวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นและอัตลักษณ์กลุ่ม ให้ที่ปรึกษาโครงการพิจารณาความถูกต้อง โดยได้ ชาติพันธุ์ ธ�ำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของชาติสืบไป ท�ำการแก้ไขและเพิ่มเติมข้อมูลต่างๆ จากค�ำแนะน�ำ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความถูกต้องสมบูรณ์และมีความ วัตถุประสงค์ของการวิจัย น่าเชื่อถือมากที่สุด 1. เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและ จากนั้นผู้วิจัยจึงวิเคราะห์ข้อมูลโดยการ บริบทที่เกี่ยวข้องของวงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้าน จ�ำแนกชนิดข้อมูล จาแนกข้อมูลตามเหตุการณ์ํ หรือ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 47 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

การวิเคราะห์เหตุการณ์ตามเรื่องราวที่ปรากฏ และ เป็นคนในพื้นที่อ�ำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดย น�ำเสนอด้วยการพรรณนาเชิงวิเคราะห์ตามล�ำดับ เฉพาะส่วนใหญ่เป็นคนในหมู่บ้านหนองไทร ทั้งยัง หัวข้อ เป็นเครือญาติในตระกูลปราบภัยอีกด้วย ทุกท่าน มีความรู้ความสามารถเล่นได้ทั้งวงปี่พาทย์พื้นบ้าน สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย และวงมโหรีพื้นบ้าน ปัจจุบัน นอกจากสมาชิก สรุปผลการวิจัย นักดนตรีจะรับจ้างบรรเลงดนตรีปี่พาทย์และมโหรี 1. องค์ความรู้ของวงปี่พาทย์พื้นบ้าน แล้ว ยังประกอบอาชีพเกษตรกรท�ำไร่นาเป็นอาชีพ บ้านหนองไทร ได้รับการถ่ายทอดมาจากนายม่วง หลักอีกด้วย และนายล�่ำ เหลวกูล นักดนตรีปี่พาทย์อาวุโส งานบรรเลงของวงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านเขว้า ต�ำบลสะเดา อ�ำเภอนางรอง จังหวัด บ้านหนองไทร เป็นการบรรเลงเพื่อรับใช้วิถีชีวิต บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาและปฏิบัติปี่พาทย์ และกิจกรรมต่างๆ ของผู้คนในสังคม ปฏิบัติสืบเนื่อง พื้นบ้านได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเป็นที่เคารพนับถือของ ต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เนื่องจาก นักดนตรีพื้นบ้านในอ�ำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ วิถีชีวิตของผู้คนในเขตพื้นที่ดังกล่าวยังคงให้ความ โดยนายอ๊อฟ ปราบภัย บิดานายสนั่น ปราบภัย ส�ำคัญและผูกพันกับเสียงดนตรี มาตรฐานราคา เป็นผู้น�ำองค์ความรู้ดังกล่าวมาถ่ายทอดสู่ชุมชน ค่าตอบแทนการรับงานบรรเลงขึ้นอยู่กับปัจจัย บ้านหนองไทร กิจกรรมดนตรีปี่พาทย์ของบ้าน ส�ำคัญหลัก 2 ประการ ได้แก่ ประเภทวงดนตรีและ หนองไทรโดยส่วนใหญ่ได้รับการขับเคลื่อนโดย ลักษณะงานที่ท�ำการบรรเลง และระยะทางในการ คนในตระกูลปราบภัย นักดนตรีของวงปี่พาทย์ เดินทาง สามารถสรุปประเภทงานบรรเลงได้ดัง พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งถึง ต่อไปนี้ ปัจจุบันแบ่งออกได้เป็น 3 ชุด ได้แก่ 1. นักดนตรี งานพิธีมงคล ได้แก่ งานท�ำบุญฉลองอัฐิ รุ่นนายอ๊อฟ ปราบภัย ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกและรุ่น งานท�ำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานท�ำบุญ บุกเบิก 2. นักดนตรีรุ่นนายสนั่น ปราบภัย และ ฉลองสระน�้ำประจ�ำหมู่บ้าน งาน 3. นักดนตรีชุดปัจจุบัน มงคลสมรส งานประโคมเวร ปัจจุบัน วงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้าน เข้าพรรษา งานเทศน์มหาชาติ หนองไทร มีสมาชิกนักดนตรีทั้งหมด 11 ท่าน งานอุปสมบท ได้แก่ 1. นายสนั่น ปราบภัย 2. นายอาง ปราบภัย งานอวมงคล ได้แก่ งานสวดและฌาปนกิจ 3. นายศุข ชุดจีน 4. นายอ๋อย บนเกษม 5. นาย ศพ ไสว ปราบภัย 6. นายเฉลา มะหันตะ 7. นาย งานพิธีบวงสรวง ได้แก่ งานพิธีบวงสรวง บังอร ปราบภัย 8. นายศุภนิมิตร ฤาไชยสา 9. นาย เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อ ทรงวุฒิ คงสืบ 10. นางสาวพรพรรณ จันทคาต 11. ของผู้ว่าจ้าง เช่น พิธีไหว้ครูดนตรี นายโรจน์ศักดิ์ ปราบภัย สมาชิกนักดนตรีทั้งหมด พิธีบวงสรวงศาลหลักเมือง เป็นต้น วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 48 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

งานเลี้ยงผี ได้แก่ พิธีเลี้ยงผีศาลตาปู่ ส�ำคัญ โดยได้รับการยอมรับว่า นายสนั่นเป็นผู้หนึ่ง หรือศาลผีเจ้าที่ประจ�ำหมู่บ้าน พิธี ที่ทรงความรู้ความสามารถทางด้านปี่พาทย์พื้นบ้าน เลี้ยงผีบรรพบุรุษ หรือพิธีเลี้ยงผีโรง อย่างแท้จริง ทั้งนี้ อาจเป็นผลมาจากการที่นายสนั่น พิธีเลี้ยงผีมะม๊วด แม่นย�ำและมั่นคงในความรู้ที่ตนเองมี ทั้งยังได้รับ ทั้งนี้ ความอยู่รอดของวงปี่พาทย์ การถ่ายทอดความรู้จากบิดาโดยตรง ซึ่งถือได้ว่าเป็น พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ขึ้นอยู่กับความนิยมของ ครูใหญ่ปี่พาทย์พื้นบ้านที่มีความรู้ความสามารถใน ชาวบ้านที่ปัจจุบันถือว่ายังให้ความนิยมค่อนข้าง อดีตอีกท่านหนึ่งของอ�ำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ สูง สังเกตได้จากการรับงานบรรเลงของวงปี่พาทย์ เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้นายสนั่นเกิดความ ดังกล่าวที่มีเข้ามาตลอดทั้งปี นอกจากรายได้ ภาคภูมิใจและยืนหยัดที่จะปฏิบัติตามที่ตนได้รับการ ส่วนหนึ่งที่สามารถเลี้ยงชีพนักดนตรีและครอบครัว สั่งสอนและถ่ายทอดมาอย่างไม่สั่นคลอน ได้แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงการให้คุณค่าความส�ำคัญ นอกจากเป็นผู้มีความรู้ นายสนั่น ต่อเสียงดนตรีที่เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมของผู้คน ปราบภัย ยังพร้อมด้วยคุณสมบัติของนักดนตรี ในสังคม อาจเป็นเพราะการตั้งมาตรฐานราคาการ สังเกตได้จากการบรรเลงปี่พาทย์รับใช้กิจกรรม รับงานที่ไม่สูงมาก อัธยาศัยไมตรีของนักดนตรีในวง และวิถีชีวิตผู้คนในสังคมมาอย่างยาวนานกระทั่งถึง และที่ส�ำคัญ คือ ลักษณะการบรรเลงของวงปี่พาทย์ ปัจจุบัน นายสนั่น ปราบภัย และนายอาง ปราบภัย ดังกล่าวที่รักษาขนบพื้นบ้านดั้งเดิม โดยเฉพาะ (น้องชาย) ได้ร่วมมือกันสอนปี่พาทย์พื้นบ้านให้แก่ จังหวะในการบรรเลงที่ยังคงนิยมบรรเลงในจังหวะ เยาวชนในหมู่บ้านหนองไทรอีกด้วย ผลส�ำเร็จ คือ เนิบช้า ทั้งนี้ แม้ว่าสมาชิกนักดนตรีในวงปี่พาทย์ เยาวชนกลุ่มหนึ่งได้กลับมาเป็นสมาชิกนักดนตรี พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ทั้ง 11 ท่าน ต่างลงความ และเป็นก�ำลังส�ำคัญรุ่นใหม่ให้กับวงปี่พาทย์พื้นบ้าน เห็นว่า ความรู้และวงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนอง บ้านหนองไทร ซึ่งถือได้ว่า เป็นการตอบแทนและ ไทร ยังคงสามารถด�ำเนินต่อไปได้ในสภาพสังคมและ สืบทอดความรู้ให้อยู่ควบคู่กับชุมชนต่อไป เศรษฐกิจโลกปัจจุบัน หากแต่นายศุภนิมิตร ฤาชัยสา 3. องค์ความรู้ด้านดนตรีที่ส�ำคัญของวง ได้แนะน�ำเพิ่มเติมว่า องค์ความรู้ดังกล่าวควรถูก ปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ปรากฏ 3 ด้าน ได้แก่ บันทึกด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การบันทึกเสียง 3.1 องค์ความรู้ด้านบทเพลง ประกอบ หรือการบันทึกภาพเคลื่อนไหวโดยกล้องวิดีโอ หรือ ด้วยเพลงบรรเลงจ�ำนวนทั้งหมด 45 เพลง แบ่ง จดบันทึกความรู้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นต้น เพื่อ ออกเป็น 6 ประเภท เรียงล�ำดับความส�ำคัญตาม เป็นหลักฐานในการสืบค้นข้อมูลต่อไปในอนาคต ความหมายและหน้าที่การใช้งานในแต่ละประเภท 2. วงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร เป็น ได้ดังต่อไปนี้ วงปี่พาทย์พื้นบ้านเพียงวงเดียวในอ�ำเภอนางรอง 1) เพลงครู หมายถึง เพลงชั้นสูง จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ยังคงรักษาแบบแผนและขนบ ที่ใช้ส�ำหรับเริ่มต้นในการเรียนรู้ดนตรีปี่พาทย์และ วิธีการบรรเลงแบบพื้นบ้านไว้ได้อย่างค่อนข้าง เป็นเพลงส�ำคัญที่ใช้เริ่มต้นในการบรรเลงเพื่อบูชา สมบูรณ์ โดยมีนายสนั่น ปราบภัย เป็นหลักความรู้ ครูบาอาจารย์ที่ล่วงลับและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านดนตรี Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 49 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ในทุกๆ กิจกรรม ทั้งในงานพิธีมงคลและงานพิธี 3 ชั้น เพลงเขมรปากท่อ 3 ชั้น เพลงนาคเกี้ยว 3 ชั้น อวมงคล ได้แก่ เพลงชุดโหมโรงเย็น ประกอบด้วย เพลงเทพบรรทมภิรมย์สุรางค์ 3 ชั้น เพลงแอ่วหนู เพลงดังต่อไปนี้ สาธุการ ตระนอน รัว 3 ลา ต้น (เอี่ยวหนู) 3 ชั้น เพลงนางนาค 5 ท่อน 2 ชั้น เข้าม่าน ปราสาททอง ปฐม ลา เสมอ รัวน้อย 4) เพลงเลี้ยงผี หมายถึง เพลงที่ใช้ เชิดชั้นเดียว กลม ช�ำนาญ กราวใน มอญกราวใน ชุบ บรรเลงประกอบพิธีกรรมเลี้ยงผี ตั้งแต่ผีบรรพบุรุษ ลา เพลงชุดประโคมพิธีมงคล ประกอบด้วยเพลงดัง หรือผีโรงในภาษาท้องถิ่น และผีศาลตาปู่ หรือผีศาล ต่อไปนี้ กราวใน เพลงเชิดชั้นเดียว ต้นชุบ ลา และ เจ้าที่ประจ�ำหมู่บ้าน ได้แก่ เพลงผีปะก�ำ เพลงแขกผี เพลงชุดลาโรง ประกอบด้วยเพลงดังต่อไปนี้ กราว มอญ เพลงกราวนอก เพลงเชิดและเพลงรัวน้อย ใน ต้นชุบ ลา 5) เพลงนางหงส์ หมายถึง เพลงที่ 2) เพลงชุด หมายถึง เพลงบรรเลง ใช้บรรเลงในงานอวมงคลโดยเฉพาะ ทั้งงานพิธีสวด ลักษณะหนึ่งที่มีการน�ำเพลงที่มีลักษณะท�ำนอง พระอภิธรรมศพและงานฌาปนกิจศพ ได้แก่ เพลง คล้ายหรือใกล้เคียงกันน�ำมาบรรเลงติดต่อร้อยเรียง นางหงส์ เข้าเป็นชุดเดียวกันตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบชุดโดยไม่มี 6) เพลงแห่ หมายถึง เพลงที่ใช้ การขับร้อง ช่วงท้ายของเพลงชุดมักบรรเลงลงจบ บรรเลงประโคมแห่ประกอบขบวนแห่ในงานพิธี ด้วยเพลงลา ใช้บรรเลงได้ทั้งในงานพิธีมงคลและงาน มงคลต่างๆ ได้แก่ เพลงกราวนอก พิธีอวมงคล ได้แก่ เพลงมอญแปลงออกเพลง เพลง 2. องค์ความรู้ด้านแบบแผนการบรรเลง สีนวลออกเพลง เพลงบุหลันออกชกมวย เพลงเขมร วงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร มีการวาง โพธิสัตว์ออกแขกพระปทุม เพลงทองย่อนออกแขก แบบแผนการบรรเลงไว้อย่างชัดเจนส�ำหรับงานพิธี เพลงสามเส้าออกแขก เพลงมอญลูกบวบออกแขก และบทเพลงต่างๆ โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ เพลงสร้อยสนออกแขก เพลงสะบัดสะบิ้งออกแขก ได้รับการสืบทอดมาจากครูอาจารย์รุ่นเก่าที่ปฏิบัติ เพลงเขมรปี่แก้วออกแขก เพลงบังใบออกแขก เป็นแบบอย่าง ตั้งแต่งานพิธีมงคลต่างๆ และงาน 3) เพลง 3 ชั้น และเพลง 2 ชั้น พิธีอวมงคล โดยแบบแผนในการบรรเลงที่เด่นชัด หมายถึง เพลงประโคมลักษณะหนึ่งที่ไม่ได้ถูกน�ำ ได้แก่ การตั้งต้นการบรรเลงด้วยการบรรเลงเพลง ไปร้อยเรียงบรรเลงอยู่ในเพลงชุด โดยที่เพลง 3 ชั้น ชุดโหมโรงเย็นและสิ้นสุดการบรรเลงด้วยเพลงชุด และเพลง 2 ชั้น เป็นเพลงที่มีอัตราความยาวของ ลาโรง ทั้งนี้ บทเพลงที่สามารถใช้บรรเลงได้ทั้งใน ท�ำนองและจังหวะความช้าเร็วแตกต่างกัน เพลงทั้ง งานพิธีมงคลและงานพิธีอวมงคล ได้แก่ โหมโรง 2 ประเภทนี้ เป็นเพลงบรรเลงล้วนไม่มีการขับร้อง เย็น เพลงชุด เพลง 3 ชั้น และเพลง 2 ชั้น เพลงชุด รับส่ง ใช้บรรเลงได้ทั้งในงานพิธีมงคลและงานพิธี ลาโรง บทเพลงที่สามารถใช้บรรเลงได้เฉพาะในงาน อวมงคล ได้แก่ เพลงไอยเรศ 3 ชั้น เพลงแขกมอญ พิธีมงคลเท่านั้น ได้แก่ เพลงชุดประโคมพิธีมงคล 3 ชั้น เพลงใบ้คลั่ง 3 ชั้น เพลงเขมร 4 ท่อน 3 ชั้น เพลงผีปะก�ำ เพลงแขกผีมอญ และเพลงกราวนอก เพลงแป๊ะ 3 ชั้น เพลงจีนเลียบเมือง 3 ชั้น เพลงนก และบทเพลงที่สามารถใช้บรรเลงได้เฉพาะงานพิธี ขมิ้น 3 ชั้น เพลงเทพนิมิต 3 ชั้น เพลงแสนเสนาะ อวมงคลเท่านั้น ได้แก่ เพลงนางหงส์ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 50 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

3. องค์ความรู้ด้านบทบาทหน้าที่ของ ชุดโหมโรงเย็น เพลงชุดประโคมพิธีมงคล เพลงชุด บทเพลง ประกอบด้วยบทบาทหน้าที่ 4 ด้าน ดัง ลาโรง เพลงแห่ เพลงนางหงส์ เพลงสามเส้าออกแขก ต่อไปนี้ คือ เพลงเลี้ยงผี ด้านที่ 1 บทบาทด้านการเรียนรู้ของ นักดนตรี ได้แก่ กลุ่มเพลงที่มีบทบาทส�ำคัญใน อภิปรายผลการวิจัย การเริ่มต้นการเรียนรู้ของนักดนตรี ซึ่งนักดนตรี วงปี่พาทย์พื้นบ้าน บ้านหนองไทร ให้ความ ปี่พาทย์ทุกคนจะต้องผ่านกลุ่มเพลงดังกล่าวก่อน ส�ำคัญกับเพลงครูหรือเพลงชั้นสูง ได้แก่ เพลงชุด ที่จะเรียนรู้บทเพลงอื่นๆ ต่อไป อีกทั้งยังหมายถึง โหมโรงเย็น เพราะเป็นเพลงที่ใช้ส�ำหรับเริ่มต้น หากผู้เรียนทรงจ�ำบทเพลงในกลุ่มดังกล่าวไว้ได้มาก ในการเรียนรู้ดนตรีปี่พาทย์และเป็นเพลงส�ำคัญ ก็ย่อมหมายถึงผู้นั้นเป็นผู้ที่มีภูมิความรู้ความ ที่ใช้เริ่มต้นในการบรรเลงเพื่อบูชาครูบาอาจารย์ สามารถด้านดนตรีมากด้วยเช่นกัน ได้แก่ เพลงชุด ที่ล่วงลับและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านดนตรีในทุกๆ กิจกรรม โหมโรงเย็น เพลงชุด เพลง 3 ชั้น และเพลง 2 ชั้น สอดคล้องกับงานของ สุพรรณี เหลือบุญชู (2545) ด้านที่ 2 บทบาทด้านพิธีกรรมและ ที่ศึกษาเรื่อง การศึกษาคีตลักษณ์และการวิเคราะห์ ความเชื่อ ได้แก่ กลุ่มเพลงที่ใช้บรรเลงเพื่อประกอบ ดนตรีพื้นบ้านอีสานใต้ ที่กล่าวว่า บทเพลงชั้นสูง ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อถือในลักษณะ หรือบทเพลงครู เป็นบทเพลงประเภทหนึ่งที่มี ต่างๆ ของผู้คนในสังคม เสียงดนตรีของบทเพลง ความส�ำคัญหนึ่งในสามประเภทของรูปแบบดนตรี นั้นๆ อาจแฝงด้วยนัยส�ำคัญที่มีผลต่อจิตใจและ พื้นบ้านอีสานใต้ นิยมใช้เป็นเพลงแรกส�ำหรับใน ความเชื่อถือของผู้ได้ยินได้ฟังหรือของนักดนตรี การถ่ายทอดและการบรรเลงในโอกาสต่างๆ เพื่อ ผู้บรรเลง ได้แก่ เพลงชุดโหมโรงเย็น เพลงเลี้ยงผี เป็นการบูชาครูอาจารย์ ดังนั้นจึงเป็นการแสดง เพลงนางหงส์ ให้เห็นถึงความส�ำคัญของเพลงครู หรือเพลง ด้านที่ 3 บทบาทด้านการฝึกฝนทักษะ ชั้นสูงดังกล่าว และมีแนวโน้มที่จะได้รับการสืบทอด ฝีมือของนักดนตรี ได้แก่ กลุ่มเพลงที่ใช้ในการปฏิบัติ ต่อไปในกลุ่มเยาวชนนักดนตรีรุ่นใหม่ได้มากที่สุด เพื่อประโยชน์ในด้านการฝึกหัดความทรงจ�ำของ แบบแผนการบรรเลงที่วงปี่พาทย์พื้นบ้าน นักดนตรี และปฏิบัติเพื่อใช้ฝึกทักษะความคล่องตัว บ้านหนองไทร ได้รับการถ่ายทอดมาจากครูอาจารย์ ในการบรรเลงของนักดนตรีให้มีทักษะที่เพิ่มสูงมาก รุ่นเก่าที่ปฏิบัติเป็นแบบอย่างมาในอดีต เป็นแนวคิด ขึ้น ได้แก่ เพลงชุดโหมโรงเย็น และเพลงชุด ที่สอดคล้องกับ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา (2547) และ ด้านที่ 4 บทบาทด้านการบรรเลง สุพัตรา สุภาพ (2542) ที่กล่าวว่า วัฒนธรรมชุมชน เพื่อประกอบกิจกรรมเฉพาะ ได้แก่ กลุ่มเพลงที่ใช้ ให้ความส�ำคัญกับองค์ความรู้ที่ได้จากภูมิปัญญา บรรเลงเพื่อประกอบกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ชาวบ้านที่สืบทอดหรือผลิตซ�้ำมาจากบรรพบุรุษ ในสถานการณ์หรือเหตุการณ์เฉพาะ ทั้งนี้ เมื่อ โดยมีการกลั่นกรองและสืบทอดต่อเนื่องต่อๆ กัน สถานการณ์หรือเหตุการณ์เปลี่ยนไป บทเพลง มาจากอดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ด้วยวิธีการผลิต นั้นๆ อาจถูกน�ำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่น ได้แก่ เพลง ซ�้ำหรือเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ใช่การถ่ายทอดทาง Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 51 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ชีวภาพ เอกสารอ้างอิง บทบาทหน้าที่ของบทเพลงของวงปี่พาทย์ กระทรวงวัฒนธรรม. (2553). แผนแม่บทวัฒนธรรม พื้นบ้าน บ้านหนองไทร เป็นเพลงบรรเลงเพื่อ แห่งชาติ พ.ศ. 2550 - 2559. สืบค้นจาก รับใช้วิถีชีวิตผู้คนในสังคมทั้งงานพิธีมงคลและงาน จาก http:\\www.m-culture.go.th/ พิธีอวมงคล โดยเฉพาะเป็นบทเพลงบรรเลงเพื่อการ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. (2547). วัฒนธรรมไทย ประโคมในงานพิธีกรรมให้มีความครึกครื้น จุดมุ่ง กับขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคม. หมายของการบรรเลงไม่ได้บรรเลงเพื่อการฟังหรือ พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์ เพื่อความไพเราะ ผลการวิจัยดังกล่าวสอดคล้อง มหาวิทยาลัย. กับแนวคิดของสงัด ภูเขาทอง (2539) ที่กล่าวว่า ภัทรวดี ภูชฎาภิรมย์. (2550). ประวัติและ วงปี่พาทย์เป็นวงดนตรีที่ใช้บรรเลงส�ำหรับประโคม วิวัฒนาการของดนตรีไทยภาคกลาง เพื่อสร้างบรรยากาศความครึกครื้นให้แก่งานหรือ และภาคอีสานใต้. รายงานการวิจัย พิธีกรรมต่างๆ มากกว่าการบรรเลงเพื่อขับกล่อม คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ หรือให้ความบันเทิงใจจากการรับฟัง และสอดคล้อง มหาวิทยาลัย. กับ ภัทรวดี ภูชฎาภิรมย์ (2550) ที่กล่าวว่า บทบาท สงัด ภูเขาทอง. (2539). ดนตรีไทยและทางเข้าสู่ ของดนตรีพื้นบ้านอีสานใต้นิยมบรรเลงเพื่อรับใช้ ดนตรีไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เรือนแก้ว วิถีชีวิตของผู้คนในสังคมนั้นๆ ตั้งแต่ใช้บรรเลงใน การพิมพ์. พิธีกรรมความเชื่อลี้ลับ งานบุญงานประเพณี หรือ ความบันเทิงใจ สุพัตรา สุภาพ. (2542). สังคมและวัฒนธรรมไทย ค่านิยมครอบครัว ศาสนา ประเพณี. ข้อเสนอแนะ กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. 1. ควรมีการศึกษาวิจัยวงปี่พาทย์พื้นบ้าน สุพรรณี เหลือบุญชู. (2545). การศึกษาคีตลักษณ์ วงอื่นๆ ในเขตพื้นที่อีสานใต้ หรือในเขตรอยต่อ และการวิเคราะห์ดนตรีพื้นบ้านอีสานใต้. ใกล้เคียง เพื่อน�ำผลที่ปรากฏมาศึกษาเปรียบเทียบ รายงานการวิจัย ภาควิชาทัศนศิลป์ และ ลักษณะต่างๆ ได้ ศิลปะการแสดง คณะมนุษยศาสตร์และ 2. ควรมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเรื่องประวัติ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ชีวิตและผลงานของศิลปินพื้นบ้านอีสานใต้ท่านอื่น วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 52 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” บทความวิจัย พฤติกรรม อิทธิพล ผลกระทบ จากการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ของเยาวชน จังหวัดนครศรีธรรมราช BEHAVIORS, INFLUENCES AND EFFECTS ON ADVERTISEMENT EXPOSURE OF YOUTH THROUGH NEW MEDIA IN NAKHON SI THAMMARAT PROVINCE สุภาวดี พรหมมา Supavadee Promma สาขาวิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช [email protected]

บทคัดย่อ การวิจัยพฤติกรรม อิทธิพล และผลกระทบจากการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ของเยาวชน จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรม อิทธิพล และผลกระทบการเปิดรับโฆษณา ผ่านสื่อสมัยใหม่ของเยาวชน การวิจัยในครั้งนี้ใช้การวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและ เชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้การวิจัยเชิงปริมาณ คือ แบบสอบถาม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ การสนทนากลุ่ม ประชากรที่ใช้ คือเยาวชนจังหวัดนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่าง จ�านวน 428 คน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเลือกเปิดรับโฆษณาผ่านช่องทาง Facebook Line และ YouTube สถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เปิดรับโฆษณามากที่สุดคือ บ้าน ช่วงเวลาที่เปิดรับโฆษณาคือ 20.01– 22.00 น. ด้านอิทธิพลการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ของเยาวชน พบว่า ค่าเฉลี่ยของปัจจัยส่วนบุคคล ที่มีอิทธิพลต่อการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และอิทธิพลการเปิดรับโฆษณา ผ่านสื่อสมัยใหม่ของเยาวชนค่าเฉลี่ยของปัจจัยด้านรูปแบบโฆษณา ที่มีอิทธิพลต่อการเปิดรับโฆษณาผ่าน สื่อสมัยใหม่ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก เช่นกัน ส่วนด้านผลกระทบที่เกิดจากการเปิดรับโฆษณาสื่อสมัยใหม่ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่กล่าวว่าโฆษณามีส่วนท�าให้ได้รับความบันเทิงอยู่ในระดับมาก ค�าส�าคัญ: พฤติกรรม อิทธิพล ผลกระทบ สื่อสมัยใหม่ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 53 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ABSTRACT This research aimed to study behaviors, influences and effects on advertisement exposure of youth through new media in Nakhon Si Thammarat Province. The researcher used mixed method of quantitative and qualitative research. The instrument of quantitative research was questionnaires collecting from youth population in Nakhon Si Thammarat province in number of 428 people and the instrument of qualitative research was a focus group discussion. The results showed that the samples respond to the advertisement through Face- book, Line, and YouTube. The place where the majority of samples saw the advertisement was their home during 08:01-10:00 pm. The average of individual factors that influenced the advertisement exposure was high level, whereas the average of advertisement factors was also high level. In addition, regarding the effects on the advertisement exposure through new media had been found the advertisement highly contributed to the entertainment. Keywords: behaviors, influences, effects, new media

บทน�ำ คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ ในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าเราอยู่ในยุคของ ของประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปในช่วงระยะเวลา 5 ปี สื่อใหม่ ยุคของเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social ระหว่างปี 2554 - 2558 พบว่า กลุ่มอายุ 15 - 24 ปี Network) เป็นสังคมที่ช่วยให้คนสามารถท�ำความ มีสัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตสูงสุด ร้อยละ 76.8 รอง รู้จักกัน เปิดเผย ข้อมูลส่วนตัว รูปภาพ วิดีโอ แลก ลงมาคือ กลุ่มอายุ 25 - 34 ปี ร้อยละ 60.1 กลุ่มอายุ เปลี่ยนความคิดเห็น และความสนใจร่วมกันให้กับ 6 - 14 ปี ร้อยละ 58.0 กลุ่มอายุ 35 - 49 ปี ร้อยละ เพื่อนและผู้อื่นที่อยู่ในเครือข่ายของตนได้ทราบ เป็น 31.8 และต�่ำสุดในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 9.6 ยุคที่การใช้ชีวิตของผู้คนเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่ (ส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีและ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกิน จะเดิน จะนั่ง หรือแม้กระทั่ง การสื่อสาร, 2558) จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การเข้าห้องน�้ำ โดยใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ กลุ่มที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือกลุ่มเยาวชน อย่างสมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต ที่สะดวกต่อการ อายุ 15 – 24 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ชอบค้นหาสิ่งแปลก พกพา ใหม่ และต้องการความท้าทาย มีการตอบรับการ ส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวง ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นตัวแทนของความแปลกใหม่ เทคโนโลยีและการสื่อสาร ได้รายงานผลส�ำรวจ ได้มากกว่าผู้สูงอายุ การมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ด้วยวิถีชีวิตของคนที่ผูกติดกับอินเทอร์เน็ต ในครัวเรือน พ.ศ. 2558 พบว่า แนวโน้มการใช้ อยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้พฤติกรรมของคน วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 54 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เปลี่ยนแปลงไป ไม่เว้นแม้กระทั่งพฤติกรรมการ ระเบียบวิธีวิจัย ซื้อการขายของ ที่เฟื่องฟูมากมายบนโลกออนไลน์ ประชากรการวิจัยครั้งนี้ คือ เยาวชน อายุ นักโฆษณาหรือนักการตลาดก็เช่นกัน ต่างปรับตัว 14–18 ปี จ.นครศรีธรรมราช จ�ำนวน 88,883 มาให้ความส�ำคัญกับการโฆษณาทางสื่อออนไลน์ คน ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2558 ก�ำหนดขนาด มากกว่าสื่อดั้งเดิมอย่างหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร ตัวอย่างโดยการเปิดตารางทาโร ยามาเน่ ก�ำหนด ข้อมูลจากนิตยสารโพซิชั่นนิ่งดอทคอม พบว่า ระดับค่าของความเชื่อมั่นร้อยละ 95 และระดับค่า งบประมาณด้านการโฆษณาในสื่ออินเทอร์เน็ต ความคลาดเคลื่อนร้อยละ 5 ผู้วิจัยใช้ขนาดกลุ่ม มีอัตราเพิ่มมากขึ้น (http://positioningmag. ตัวอย่าง 428 ตัวอย่าง ซึ่งถือได้ว่าผ่านเกณฑ์ตามที่ com/62207) ซึ่งรูปแบบในการท�ำโฆษณาออนไลน์ เงื่อนไข คือไม่น้อยกว่า 400 ตัวอย่าง ที่มักจะพบเห็น เช่น การลงโฆษณาบนโปรแกรม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ค้นหา ป้ายโฆษณาออนไลน์ โฆษณาออนไลน์บน แบบสอบถาม ข้อค�ำถามประกอบด้วย ข้อมูล โทรศัพท์มือถือ โซเชียลมีเดีย เช่น Line Facebook ทั่วไป พฤติกรรม อิทธิพล และผลกระทบการ เป็นต้น เปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ ขั้นตอนการสร้าง เมื่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เป็นเยาวชน แบบสอบถาม คือ ศึกษาแนวคิด ทฤษฏี และงาน วัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่คิดและตัดสินใจรวดเร็วและจาก วิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบ น�ำ ข่าวที่มักปรากฏให้เห็นเสมอคือ สั่งซื้อสินค้าแล้ว แบบสอบถามมาปรับปรุง แล้วน�ำไปทดสอบ น�ำ ไม่ได้คุณภาพตามที่โฆษณา เสียเงินไปแล้วไม่ได้ ค�ำตอบมาหาค่าความเชื่อมั่น ซึ่งได้ค่าความเชื่อมั่นที่ สิ่งของกลับมา หรือโฆษณาท�ำให้ค่านิยมผิดเพี้ยน 0.77 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพคือ แบบ ไป เช่น โฆษณาสร้างค่านิยมขาวสวย เป็นต้น ท�ำให้ สนทนากลุ่ม โดยน�ำไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแล้ว ผู้วิจัยสนใจศึกษาถึงพฤติกรรม อิทธิพล ผลกระทบ น�ำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ จากการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ของเยาวชน การเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถาม ข้อมูลที่ได้สามารถน�ำไปใช้พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มประชากร เพื่อสร้างความสามารถในการรู้เท่าทันโฆษณาผ่าน จากจ�ำนวน 23 อ�ำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช สื่อสมัยใหม่ของเยาวชนต่อไป แล้วเก็บกลุ่มตัวอย่างตามจ�ำนวนที่ก�ำหนดไว้ด้วย การใช้วิธีสุ่มแบบง่าย ซึ่งผู้วิจัยและผู้ช่วยนักวิจัย วัตถุประสงค์ของการวิจัย ลงพื้นที่เก็บข้อมูลด้วยตนเอง ส�ำหรับการเก็บ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ รวบรวมข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่ม ผู้วิจัยด�ำเนิน พฤติกรรมการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ การสนทนากลุ่ม จ�ำนวน 5 กลุ่ม ด้วยตนเองเช่นกัน 2. เพื่อศึกษาอิทธิพล และผลกระทบการ เปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 55 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ค่าสถิติ จากตารางที่ 2 สื่อสมัยใหม่ที่กลุ่มตัวอย่าง คือ สถิติเชิงพรรณนา ใช้ค�ำนวณหาค่าสถิติพื้นฐาน เลือกเปิดรับโฆษณามากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ อันดับที่ 1 คือ Facebook จ�ำนวน 329 คน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ด้วยโปรแกรมส�ำเร็จรูป การ คิดเป็นร้อยละ 76.9 อันดับที่ 2 คือ LINE จ�ำนวน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ การวิเคราะห์เนื้อหา 183 คน คิดเป็นร้อยละ 42.8 อันดับที่ 3 คือ YouTube จ�ำนวน 136 คน คิดเป็นร้อยละ 31.8 สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย ตารางที่ 3 จ�ำนวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจ�ำแนก สรุปผลการวิจัย ตามสถานที่ที่เปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่บ่อย ผลการวิจัยสามารถสรุปได้ ดังนี้ ที่สุด จ�ำนวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจ�ำแนก ตารางที่ 1 สถานที่ที่เปิดรับโฆษณา จำ�นวน ร้อยละ ตามเพศของกลุ่มตัวอย่าง ผ่านสื่อสมัยใหม่บ่อยที่สุด เพศ จำ�นวน ร้อยละ โรงเรียน 219 51.2 ชาย 160 37.4 บ้าน 354 82.7 หญิง 268 62.6 หอพัก 23 5.4 รวม 428 100.0 ร้านอินเทอร์เน็ต 130 30.4 จากตารางที่ 1 กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง ยานพาหนะระหว่าง 50 11.7 จ�ำนวน 268 คน คิดเป็นร้อยละ 62.6 เป็นเพศชาย เดินทาง จ�ำนวน 160 คน คิดเป็นร้อยละ 37.4 ตามล�ำดับ จากตารางที่ 3 สถานที่ที่กลุ่มตัวอย่างส่วน ใหญ่เปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่บ่อยที่สุดคือ ตารางที่ 2 จ�ำนวนร้อยละและการจัดอันดับของ บ้าน จ�ำนวน 354 คน คิดเป็นร้อยละ 82.7 รอง สื่อสมัยใหม่ที่กลุ่มตัวอย่างเปิดรับโฆษณามากที่สุด ลงมาเป็นโรงเรียน จ�ำนวน 219 คน คิดเป็นร้อยละ สื่อสมัยใหม่ที่เปิดรับ จำ�นวน ร้อยละ อันดับ 51.2 และร้านอินเทอร์เน็ต จ�ำนวน 130 คน คิดเป็น โฆษณามากที่สุด ที่ ร้อยละ 30.4 ตามล�ำดับ Facebook 329 76.9 1 Line 183 42.8 2 YouTube 136 31.8 3 Instagram 80 18.7 4 วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 56 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 4 จ�ำนวนร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจ�ำแนกตามช่วงเวลาที่เปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ ช่วงเวลาที่เปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ จำ�นวน ร้อยละ 06.01 – 08.00 น. 91 21.3 08.01 – 10.00 น. 86 20.1 10.01 – 12.00 น. 86 20.1 12.01 – 14.00 น. 98 22.9 14.01 – 16.00 น. 94 22.0 16.01 – 18.00 น. 137 32.0 18.01 – 20.00 น. 170 39.7 20.01 – 22.00 น. 188 43.9 22.01 – 24.00 น. 87 20.3 24.01 – 02.00 น. 22 5.1 02.01 – 04.00 น. 5 1.2 04.01 – 06.00 น. 7 1.6 จากตารางที่ 4 พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เลือกเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ในช่วงเวลา 20.01 – 22.00 น. จ�ำนวน 188 คน คิดเป็นร้อยละ 43.9 รองลงมาเป็นช่วงเวลา 18.01 – 20.00 น. จ�ำนวน 170 คน คิดเป็นร้อยละ 39.7 และเวลา 16.01 – 18.00 น. จ�ำนวน 137 คน คิดเป็นร้อยละ 32 ตารางที่ 5 แสดงผลค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่างจ�ำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลที่ มีอิทธิพลต่อการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ ส่วนเบี่ยงเบน การแปล อิทธิพลต่อการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ ค่าเฉลี่ย มาตรฐาน ความหมาย ความต้องการเลือกสินค้าออนไลน์ 3.14 1.22 ปานกลาง ความต้องการข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ เช่น 3.38 1.04 ปานกลาง คุณสมบัติของสินค้า ข้อมูลการลดสินค้า เป็นต้น ความต้องการความบันเทิงจากการรับชมโฆษณา 3.51 .959 มาก ความต้องการได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น สติกเกอร์ไลน์ 3.39 1.09 ปานกลาง ของสินค้านั้น ๆ ความต้องการศึกษา ค้นคว้า ประกอบการจัดท�ำรายงาน 3.48 1.14 ปานกลาง ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสามารถพูดคุย 3.57 1.09 มาก ติดต่อสื่อสารกับกลุ่มอื่น Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 57 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

จากตารางที่ 5 ค่าเฉลี่ยของปัจจัยส่วนบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ มี ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก คือ ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสามารถพูดคุยติดต่อสื่อสารกับกลุ่มอื่น โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.57 และความต้องการความบันเทิงจากการรับชมโฆษณา มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.51 ส�ำหรับ ความต้องการเลือกซื้อสินค้าออนไลน์มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดอยู่ที่ 3.14 ตารางที่ 6 แสดงผลค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่างจ�ำแนกตามปัจจัยด้านรูปแบบ โฆษณาที่มีอิทธิพลต่อการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ ส่วนเบี่ยงเบน การแปล อิทธิพลต่อการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ ค่าเฉลี่ย มาตรฐาน ความหมาย การออกแบบโฆษณาภาพประกอบดึงดูดให้น่าสนใจที่มี 3.89 2.07 มาก การออกแบบโฆษณาที่ใช้ข้อความดึงดูดให้น่าสนใจ เช่น ลด 3.50 1.00 มาก กระหน�่ำ นาทีทอง โอกาสสุดท้าย เป็นต้น การออกแบบโฆษณา ที่มีความเคลื่อนไหวดึงดูดใจให้ 3.62 .910 มาก น่าสนใจเข้าไปชม โฆษณานั้น มีการรีวิวแนะน�ำสินค้าจากผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ 3.66 .904 มาก มาบอกต่อ โฆษณานั้น ใช้บุคคลที่เราชื่นชอบ ผู้มีชื่อเสียง เช่น 3.57 .911 มาก เน็ตไอดอล ดารา ศิลปินยอดนิยม มาโฆษณา โฆษณานั้น มีจ�ำนวนผู้ชมและแชร์ต่อ ๆ กันเป็นจ�ำนวนมาก 3.59 .952 มาก โฆษณานั้น ถูกบังคับให้ท่านเลือกชมก่อนเข้าถึงรายการ 3.29 1.08 ปานกลาง ที่ต้องดู จากตารางที่ 6 ค่าเฉลี่ยของปัจจัยด้านรูปแบบโฆษณา ที่มีอิทธิพลต่อการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อ สมัยใหม่ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก 3 อันดับแรกคือ 1) ด้านการออกแบบโฆษณาที่มีภาพประกอบดึงดูดให้ น่าสนใจ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.89 2) มีการรีวิวแนะน�ำสินค้าจากผู้ที่ใช้ผลิตภัณฑ์มาบอกต่อ มีค่าเฉลี่ย 3.66 และ 3) การออกแบบโฆษณา ที่มีความเคลื่อนไหวดึงดูดใจให้น่าสนใจเข้าไปชม มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.62 ตามล�ำดับ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 58 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 7 แสดงผลค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่างจ�ำแนกตามผลกระทบที่เกิดจาก การเปิดรับโฆษณาสื่อสมัยใหม่ ผลกระทบที่เกิดจากการเปิดรับโฆษณา ส่วนเบี่ยงเบน การแปล ค่าเฉลี่ย ผ่านสื่อสมัยใหม่ มาตรฐาน ความหมาย โฆษณามีส่วนให้ท่านเกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า 3.53 .946 มาก โฆษณามีส่วนให้ท่านขอเงินผู้ปกครองหรือท�ำงานพิเศษ 3.38 2.18 ปานกลาง เพิ่มขึ้นเพื่อซื้อสินค้าในโฆษณา โฆษณามีส่วนท�ำให้ท่านได้รับความบันเทิง 3.55 .960 มาก โฆษณามีส่วนให้ท่านอยากสวยอยากหล่อ เหมือนกับศิลปิน 3.51 1.03 มาก ดารา นางแบบ เน็ตไอดอลที่โฆษณา โฆษณามีส่วนให้ท่านอยากมีผิวขาว กระจ่างใส เหมือนกับ 3.52 1.03 มาก ศิลปิน ดารา นางแบบ เน็ตไอดอลที่โฆษณา โฆษณามีส่วนให้ท่านอยากลดน�้ำหนัก อยากผอมเหมือน 3.21 1.12 ปานกลาง กับศิลปิน ดารา นางแบบ เน็ตไอดอลที่โฆษณา โฆษณามีส่วนให้ท่านเกิดการเปรียบเทียบตนเองกับเพื่อน 3.24 1.03 ปานกลาง ในสังคมออนไลน์ของท่าน โฆษณามีส่วนให้ท่านแสดงพฤติกรรมเลียนแบบเหมือนใน 3.28 1.10 ปานกลาง โฆษณา เช่น อยากมี อยากใช้สินค้าเหมือนกับผู้ที่โฆษณา

จากตารางที่ 7 ผลกระทบจากการเปิดรับ ส่วนใหญ่เปิดรับผ่านทาง Facebook มากที่สุด โฆษณา กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าโฆษณามีส่วนให้ได้รับ คิดเป็นร้อยละ 76.9 รองลงมาคือ Line ร้อยละ 42.8 ความบันเทิง มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.55 อยู่ในระดับมาก จากผลการวิจัย อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุที่ Facebook และโฆษณามีส่วนท�ำให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่คนนิยมใช้สื่อสาร โฆษณามีส่วนอยากมีผิวขาว กระจ่างใส เหมือนกับ กันมากที่สุด นั่นเป็นเพราะ Facebook เป็น ศิลปิน ดารา นางแบบ เน็ตไอดอลที่โฆษณา ซึ่งมีค่า ช่องทางให้เยาวชนได้มาพูด มาคุย มาตอบค�ำถาม เฉลี่ยที่ใกล้เคียงกันคือ 3.53, 3.52 อยู่ในระดับมาก มาท�ำการบ้าน มาระบายความรู้สึก เป็นพื้นที่ติดตาม ข่าวใหม่ ๆ เป็นพื้นที่แชร์รูปภาพ เล่นเกม และเป็น อภิปรายผลการวิจัย พื้นที่สามารถขายสินค้าและสั่งซื้อสินค้า เช่น เสื้อผ้า เยาวชนจังหวัดนครศรีธรรมราช มี เครื่องส�ำอางได้ ผลการวิจัยครั้งนี้มีความสอดคล้อง พฤติกรรมการเปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ โดย กับผลการส�ำรวจการใช้อินเทอร์เน็ต และเครือข่าย Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 59 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สังคมออนไลน์ (2016) จากประชากรทั้งหมด 68 ล้าน ข้อเสนอแนะ คน พบว่า ส่วนใหญ่เปิดรับ Facebook ร้อยละ 32 1. ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าเยาวชนมีการ รองลงมาคือใช้ Line ร้อยละ 29 อีกด้วย เปิดรับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ โดยสื่อที่เปิดรับมาก ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเปิด ที่สุดคือ Facebook และสถานที่ใช้เล่นมากที่สุดคือ รับโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ คือ ความต้องการเป็น ที่บ้าน โดยเวลาที่ใช้เล่นอยู่ในช่วง 18.00 – 22.00 น. ส่วนหนึ่งของกลุ่มสามารถพูดคุยติดต่อสื่อสาร กับ ซึ่งเป็นเวลาที่เยาวชนควรได้พักผ่อน ดังนั้นพ่อ แม่ กลุ่มอื่น มีค่าเฉลี่ยสูงสุดที่ 3.57 ผลการวิจัยนี้ ผู้ปกครอง ควรตระหนักให้ความส�ำคัญในการดูแล แสดงให้เห็นพฤติกรรมของวัยรุ่นหรือเยาวชน อย่าง เยาวชนในการใช้สื่อ Facebook ในช่วงเวลาดัง ชัดเจนคือความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม การ กล่าว ได้พูดคุยกันเป็นภาษาเดียวกัน จึงส่งผลต่อการ 2. ผลการวิจัยนี้สามารถน�ำไปใช้เพื่อ เปิดรับโฆษณา สอดคล้องกับ แซมมวล เบคเกอร์ พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อสร้างความสามารถ (Samuel L. Becker, 1972) ได้ให้ความหมายของ ในการรู้เท่าทันโฆษณาผ่านสื่อสมัยใหม่ของเยาวชน การเปิดรับข่าวสารโดยจ�ำแนกตามพฤติกรรมการ โดยเฉพาะการไม่ให้ค่านิยมที่ผิดๆ แก่เยาวชน ผ่าน เปิดรับข่าวสาร กล่าวคือ บุคคลที่จะแสวงหาข้อมูล โฆษณา เช่น ค่านิยมความขาว ค่านิยมผอมสวย (information seeking) เมื่อต้องการให้มีความ เป็นต้น คล้ายคลึงกับบุคคลอื่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือเรื่อง ทั่ว ๆ ไป หรือเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เอกสารอ้างอิง ผลกระทบที่เกิดจากการเปิดรับโฆษณา ส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีและ สื่อสมัยใหม่ พบว่า โฆษณามีส่วนท�ำให้ได้รับความ การสื่อสาร. (2558). ส�ำรวจการมีการใช้ บันเทิง ค่าเฉลี่ย 3.55 โฆษณามีส่วนให้เกิดการ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใน ตัดสินใจซื้อสินค้า ค่าเฉลี่ย 3.53 โฆษณามีส่วนให้ ครัวเรือน พ.ศ. 2558. สืบค้นจาก http:// อยากมีผิวขาว กระจ่างใส เหมือนกับศิลปิน ดารา service.nso.go.th/nso/nsopublish/ นางแบบ เน็ตไอดอลที่โฆษณา ค่าเฉลี่ย 3.52 เห็น themes/files/icthh58.pdf. ได้ว่าจากค่านิยมความอยากขาว อยากใส ท�ำให้ Samuel L. Becker. (1972). Discovering Mass ผลิตภัณฑ์ที่ท�ำให้ผิวขาว ได้รับความนิยมอย่างมาก Communication. Illinois: Scott รวมถึงโฆษณาในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่มีการ Foresman and Company Glenview. โฆษณาเกินจริง หรือการบอกต่อในกลุ่มเพื่อน และ ข้อมูลจากนิตยสารโพซิชั่นนิ่งดอทคอม คนใกล้ชิด ท�ำให้เกิดพฤติกรรมอยากลองใช้ โดย (http://positioningmag. com/62207) ไม่ค�ำนึงถึงผลกระทบที่เกิดตามมา วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 60 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” บทความวิจัย กรณีศึกษา : การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม โดยใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน ส�าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 CASE STUDY: DEVELOPMENT OF LESSON PLANS ON THE TOPIC DECIMAL BY USING PROCESS LEARN-PLAY-PRACTICE FOR FOURTH GRADE STUDENTS พัชรินทร์ เศรษฐีชัยชนะ1* และ ปิยนุช ด่านเจริญ2 Patcharin Setteechaichana1* and Piyanuch Dancharoen2 สาขาวิชาคณิตศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์1* หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์2 [email protected]*

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม โดยใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน และศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นประถม ศึกษาปีที่ 4 จ�านวน 40 คน จากโรงเรียนวัดลาดสนุ่น ปีการศึกษา 2558 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ทศนิยม และแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย ใบกิจกรรม เอกสารแนะแนวทาง และเอกสารฝึกหัด ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่ นักเรียนมีพัฒนาการทางการเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 78.51% และแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม โดยใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 91.64/81.10 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เท่ากับ 8.11 คะแนน อยู่ในระดับ “ดีมาก” (81.10%) ค�าส�าคัญ: เรียน-เล่น-ฝึกฝน ทศนิยม วิธีสอนแบบเรียนปนเล่น ทฤษฎีการฝึกฝน

ABSTRACT The objectives of this research were to develop of lesson plan on the topic Decimal by using process Learn-Play-Practice and to study achievements for fourth grade students. The samples were 40 elementary schooling fourth grade students from Watladsanun School during 2015 academic year. Tools used in this research were achievement test and lesson plan which compose of activity document, instruction document, practice document. Results indicated that higher learning achievement was significantly found after Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 61 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV class attending (p≤0.05) while the students had average learning develop at 78.51% and lesson plan on the topic Decimal by using Learn-Play-Practice process had efficiency at 91.64/81.10%. It was found from the study that the average learning achievement score was 8.11 which was in “Excellent” level (81.10%). Keywords: learn-play-practice, decimal, play way method, drill theory

บทน�ำ (O-NET) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2558 มนุษย์ต้องใช้ความรู้คณิตศาสตร์พัฒนา กลุ่มสาระวิชาคณิตศาสตร์ พบว่า นักเรียนชั้น ระบบความคิดเชิงตรรกะและเชิงสร้างสรรค์ของ ประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 50.74 ตนเอง การคิดอย่างเป็นระบบ ระเบียบ มีแบบแผน (ส�ำนักทดสอบทางการศึกษา, 2558) แสดงให้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาในสถานการณ์จริงได้ เห็นว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ส่วนใหญ่มี อย่างถูกต้องและเหมาะสม ความรู้คณิตศาสตร์ ความรู้คณิตศาสตร์ในระดับพอใช้ แนวทางหนึ่งที่ เป็นเครื่องมือส�ำคัญส�ำหรับการศึกษาทุกศาสตร์ สามารถแก้ไขปัญหาข้างต้นได้ คือ การปรับวิธีสอน ในระดับสูง การพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการใช้ หรือการใช้กระบวนการเรียนรู้ที่สร้างความตระหนัก ความรู้คณิตศาสตร์จึงเป็นเรื่องส�ำคัญมาก และ ให้นักเรียนเห็นความส�ำคัญและประโยชน์ต่อการ อาจจะเริ่มจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในชั้น เรียนคณิตศาสตร์ รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียน เรียน การปลูกฝังให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีและ รู้มีหลากหลายทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระที่ต้องการ เห็นคุณค่าของการเรียนคณิตศาสตร์จะส่งผล ถ่ายทอดเป็นหลัก กิจกรรมการเรียนรู้ควรเน้นให้ ให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นต่อการเรียน นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ลงมือปฏิบัติจริงและเน้น คณิตศาสตร์และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น กระบวนการฝึกคิดเป็น ท�ำเป็นและแก้ปัญหาเป็น (จันตรา ธรรมแพทย์, 2550; จิราภรณ์ อุปภา, 2556; วิธีสอนแบบเล่นปนเรียน เรียนปนเล่น และ ประพันธ์ จ่ายเจริญ, 2550) จากเหตุผลข้างต้นท�ำให้ เล่น-เรียน-สรุป-ฝึกทักษะ วิธีสอนทั้ง 3 แบบ มี ครูเป็นผู้ที่มีบทบาทส�ำคัญต่อการจัดกิจกรรมการ กระบวนการการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่คล้ายคลึง เรียนรู้และจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักเรียน กัน โดยที่เป็นวิธีสอนคณิตศาสตร์ที่มีขั้นตอนของ ครูจ�ำเป็นต้องจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับ การเล่นร่วมอยู่ด้วย และเป็นวิธีสอนที่มีนักวิจัย เนื้อหาและศักยภาพของนักเรียนเป็นหลัก เนื้อหา หลายท่านน�ำไปทดลองใช้ แต่วิธีการเหล่านั้นยัง คณิตศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นนามธรรมซึ่งไม่สามารถ ขาดขั้นตอนของการฝึกฝนที่ชัดเจน ซึ่งการเรียน อธิบายให้เห็นภาพหรืออธิบายให้เป็นรูปธรรมได้ คณิตศาสตร์ให้ได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดีและเกิดทักษะ นักเรียนส่วนใหญ่รู้สึกเบื่อหน่ายและมีผลการเรียน ด้านต่าง ๆ ได้นั้น นักเรียนจ�ำเป็นต้องได้รับการ คณิตศาสตร์ในระดับปานกลางถึงต�่ำสอดคล้องกับ ฝึกฝนอย่างเป็นขั้นตอนและในปริมาณที่มากพอ ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน สมควร ทฤษฎีการฝึกฝน (drill theory) เป็น วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 62 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ทฤษฏีการเรียนรู้ที่มีความเชื่อว่า นักเรียนจะ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กรณีศึกษา นักเรียน เรียนรู้คณิตศาสตร์ได้ด้วยการฝึกฝน ท�ำเรื่องที่เรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดลาดสนุ่น ซ�้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งจนเคยชินกับวิธีนั้น จากแนวคิด เพื่อน�ำผลการทดลองที่ได้รับไปปรับแก้ไขพัฒนา และวิธีการสอนข้างต้นท�ำให้ผู้วิจัยน�ำมาเป็นกรอบ กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน และปรับปรุง แนวคิดเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่ กิจกรรมที่ใช้ประกอบกระบวนการในแต่ละขั้นตอน เรียกว่า กระบวนการ “การเรียน-การเล่น-การ ต่อไป ฝึกฝน” กระบวนการนี้มีจุดเด่น คือ การสร้างความ ตระหนักให้นักเรียนเห็นความส�ำคัญของการเรียน วัตถุประสงค์ของการวิจัย คณิตศาสตร์ และมีความเหมาะสมกับนักเรียนที่มี 1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับปานกลางถึงต�่ำ การ ทศนิยม โดยใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน เรียนรู้ด้วยกระบวนการ “การเรียน-การเล่น-การ ส�ำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ฝึกฝน” นักเรียนต้องท�ำกิจกรรมตามขั้นตอน 3 2. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ขั้นตอน ดังนี้ ทศนิยม โดยใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน ขั้นที่ 1 “การเรียน” นักเรียนเรียนรู้เกี่ยวกับ ส�ำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แนวคิด หลักการ และสามารถสรุปความคิดรวบยอด ด้วยตนเอง ครูจะสอนด้วยวิธีอภิปราย ยกตัวอย่าง ระเบียบวิธีวิจัย และเชื่อมโยงความรู้กับชีวิตประจ�ำวัน สมมติฐานของโครงการวิจัยมี 3 ข้อ ดังนี้ ขั้นที่ 2 “การเล่น” นักเรียนต้องน�ำความรู้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม ที่ได้จากขั้นที่ 1 มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาจากเกม โดยใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน ส�ำหรับ หรือแสดงบทบาทสมมติ เพื่อให้นักเรียนเห็นความ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ ส�ำคัญของวิชาคณิตศาสตร์และสามารถน�ำไปใช้ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80/80 ในชีวิตประจ�ำวันได้จริง ตัวอย่างกิจกรรม เช่น 2. นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงสีข้าว เศรษฐีเกษตรกร ตลาดสดบึงกาสาม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม โดยใช้ สหกรณ์โรงเรียน เป็นต้น กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ ขั้นที่ 3 “การฝึกฝน” นักเรียนต้องท�ำแบบ 80 ฝึกหัดเรียงล�ำดับจากง่ายไปยาก เพื่อฝึกฝนให้เกิด 3. นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มี ความช�ำนาญและความเข้าใจที่ถูกต้อง นักเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ทศนิยม หลังการเรียน สามารถค�ำนวณหาค�ำตอบได้ถูกต้องและรวดเร็ว สูงกว่าก่อนการเรียน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ จากเหตุผลข้างต้น ท�ำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะ ระดับ .05 พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม โดย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน โดยมุ่งศึกษา นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จ�ำนวน 1 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้และศึกษา ห้องเรียนมีนักเรียนทั้งหมด 40 คน ที่ก�ำลังศึกษาใน Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 63 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 (เดือนพฤศจิกายน คณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา 2558 - เดือนมีนาคม 2559) ของโรงเรียนวัด ปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 (เดือน ลาดสนุ่น ต�ำบลคูคต อ�ำเภอล�ำลูกกา จังหวัด พฤษภาคม - เดือนกันยายน) เพื่อชี้ให้เห็นถึงระดับ ปทุมธานี โดยมีวิธีการคัดเลือกจากการสุ่มแบบจับ ความสามารถทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ของ สลากอย่างง่ายจากนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และน�ำข้อมูล ปีที่ 4 ทั้งระดับชั้นจ�ำนวน 3 ห้องเรียน นักเรียน ส่วนนี้ไปใช้ประกอบการอภิปรายผลด้านผลสัมฤทธิ์ ทั้งหมดนี้เป็นนักเรียนที่เรียนตามหลักสูตรแกนกลาง ทางการเรียนของนักเรียนในล�ำดับต่อไป การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 3. ผู้วิจัยออกแบบและสร้างเครื่องมือที่ใช้ โครงการวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยชั้นเรียน ในการวิจัย โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 2 กรณีศึกษาโรงเรียนวัดลาดสนุ่น ผู้วิจัยมีวิธีด�ำเนิน ชนิด ดังนี้ การวิจัยตามขั้นตอน ดังนี้ 3.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ 1. ผู้วิจัยศึกษาเอกสารหนังสือ ต�ำรา เรียนเรื่อง ทศนิยม จ�ำนวน 10 ข้อ คะแนนเต็ม 10 บทความวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ คะแนน ลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยมแบ่งเป็น 2 ตอน ดังนี้ คณิตศาสตร์และการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ตอนที่ 1 แบบเลือกตอบ 4 รายวิชาคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการ เรียน-เล่น- ตัวเลือก จ�ำนวน 5 ข้อ ๆ ละ 1 คะแนน ฝึกฝน ตอนที่ 2 แบบเติมค�ำตอบสั้น ๆ 2. ผู้วิจัยวิเคราะห์สาระการเรียนรู้เรื่อง จ�ำนวน 5 ข้อ ๆ ละ 1 คะแนน ทศนิยม ของระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า แบบทดสอบวัดความรู้ (ก่อนเรียน) สาระการเรียนรู้เรื่อง ทศนิยม ของระดับชั้นประถม เรื่อง ทศนิยม กับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ ศึกษาปีที่ 4 ประกอบด้วย การอ่านและการเขียน เรียน (หลังเรียน) เรื่อง ทศนิยม มีรูปแบบค�ำถามที่ ทศนิยมหนึ่งต�ำแหน่ง การเปรียบเทียบทศนิยมหนึ่ง คล้ายคลึงกันแตกต่างกันแค่ระดับความยากง่ายและ ต�ำแหน่ง การเรียงล�ำดับทศนิยมหนึ่งต�ำแหน่ง จาก ความซับซ้อนของข้อมูลที่ก�ำหนดให้ ข้อค�ำถามใน นั้นผู้วิจัยสร้างตารางวิเคราะห์พฤติกรรมทางการ แบบทดสอบทั้ง 2 ฉบับมีจ�ำนวน 10 ข้อเท่า ๆ กัน เรียนที่ต้องการวัดและจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ และมีรายละเอียดของข้อค�ำถาม ดังนี้ สอดคล้องกับตัวชี้วัดในหลักสูตรแกนกลางการ ค�ำถามเกี่ยวกับการอ่านและการเขียน ศึกษาขึ้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 (สถาบันส่งเสริมการ ทศนิยมหนึ่งต�ำแหน่ง จ�ำนวน 2 ข้อ สอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2552) เพื่อ ค�ำถามเกี่ยวกับการเปรียบเทียบทศนิยม น�ำมาเป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบวัดผล หนึ่งต�ำแหน่ง จ�ำนวน 6 ข้อ สัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม นอกจากนี้ ค�ำถามเกี่ยวกับการเรียงล�ำดับทศนิยมหนึ่ง ผู้วิจัยวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา ต�ำแหน่ง จ�ำนวน 2 ข้อ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 64 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

รูปแบบของค�ำถามที่ใช้ในเอกสารแนะแนวทาง เอกสารฝึกหัดและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม มีดังนี้ 1. ค�ำถามเกี่ยวกับการอ่านและการเขียนทศนิยมหนึ่งต�ำแหน่ง ตัวอย่างที่ 1

จากรูป แทนด้วยจ�ำนวนใด และอ่านว่าอย่างไร

2. ค�ำถามเกี่ยวกับการเปรียบเทียบทศนิยมหนึ่งต�ำแหน่ง ตัวอย่าง 2

จากรูป จงตอบค�ำถามต่อไปนี้ 1) ส่วนที่แรเงาที่แสดงทศนิยม 0.4 มีกี่ช่อง ( 4 ช่อง ) 2) ส่วนที่แรเงาที่แสดงทศนิยม 0.7 มีกี่ช่อง ( 7 ช่อง ) 3) แถบกระดาษชิ้นใด มีส่วนที่แรเงามากที่สุด (ในแถบกระดาษแผ่นล่าง) 4) จงเขียนแสดงการเปรียบเทียบทศนิยม 2 จ�ำนวน ให้อยู่ในรูปสัญลักษณ์ (0.7 > 0.4 และ 0.4 < 0.7)

3. ค�ำถามเกี่ยวกับการเรียงล�ำดับทศนิยมหนึ่งต�ำแหน่ง ตัวอย่างที่ 3 คำ�ชี้แจง ให้นักเรียนเลือกทศนิยม 4 จำ�นวน จากนั้นเรียงลำ�ดับจากน้อยไปมากและ เรียงลำ�ดับจากมากไปน้อย 0.9 2.3 1.6 6.3 6.1 5.7 1.2 0.8 2.9 3.6 2.2 4.8 7.1 6.5 2.5 3.2 1.8 5.4 2.6 1.4 Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 65 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

จากขั้นตอนการพัฒนาเครื่องมือวิจัย พบ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2-5 ผู้วิจัยใช้ ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ในขั้นตอน “เรียน” โดยนักเรียนต้องทบทวน ทศนิยม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.71 ค่า ความรู้เดิมจากการใช้สื่ออนิเมชั่น จากนั้นนักเรียน ความยากง่ายเท่ากับ 0.28-0.77 ค่าอ�ำนาจจ�ำแนก ต้องเรียนรู้เนื้อหาใหม่เกี่ยวกับการอ่านและการ เท่ากับ 0.39 - 0.68 เขียนทศนิยมหนึ่งต�ำแหน่ง โดยครูเป็นผู้อธิบายและ 2. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม สาธิตประกอบการใช้สื่อการเรียนรู้ เช่น เค้ก สิ่งของ โดยใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน มีทั้งสิ้น บล็อกรูปทรงสี่เหลี่ยม เป็นต้น จากนั้นนักเรียนต้อง 11 แผน ส�ำหรับใช้ทดลองสอน 11 ชั่วโมง ท�ำเอกสารแนะแนวทางเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ ผู้วิจัยก�ำหนดโครงสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง และความสามารถการน�ำความรู้ไปใช้ในขั้น “เล่น” ทศนิยม ดังนี้ ล�ำดับต่อไป แผนที่ 1 การทดสอบวัดความรู้ เรื่อง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6-7 ผู้วิจัยใช้ใน ทศนิยม ก่อนการเรียน ขั้นตอน “เล่น” โดยนักเรียนต้องน�ำความรู้ที่ได้จาก แผนที่ 2 การอ่านและการเขียน ขั้น “เรียน” มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาจากเกม ทศนิยม วงล้อทศนิยม กิจกรรมนี้นักเรียนต้องท�ำเป็นกลุ่ม แผนที่ 3 การเปรียบเทียบทศนิยมหนึ่ง ความส�ำเร็จที่ได้จากการแก้ปัญหาเกมคือความ ต�ำแหน่ง ส�ำเร็จของการท�ำงานเป็นกลุ่ม แผนที่ 4 การเรียงล�ำดับทศนิยมหนึ่ง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8-10 ผู้วิจัยใช้ใน ต�ำแหน่งจากน้อยไปมาก ขั้นตอน “ฝึกฝน” โดยนักเรียนต้องท�ำเอกสารฝึกฝน แผนที่ 5 การเรียงล�ำดับทศนิยมหนึ่ง ในปริมาณที่มากขึ้นจากขั้น “เรียน” เอกสารฝึกหัด ต�ำแหน่งจากมากไปน้อย นี้จะเรียงล�ำดับจากง่ายไปยาก แผนที่ 6 เกมวงล้อทศนิยม แผนการจัดการเรียนรู้ทุก ๆ แผน ผู้วิจัยจะ แผนที่ 7 เกมอัตราแลกเงินยุค AEC ใช้สื่อการเรียนรู้ประกอบกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ แผนที่ 8 ฝึกฝนการอ่านและการเขียน เช่น สื่อเสมือนจริง เพลงทศนิยม เกมวงล้อทศนิยม ทศนิยม เป็นต้น แผนที่ 9 ฝึกฝนการเปรียบเทียบ เมื่อผู้วิจัยด�ำเนินการตามข้อ 2) และข้อ 3) และการเรียนทศนิยมหนึ่ง เสร็จสิ้นแล้ว ผู้วิจัยน�ำเครื่องมือวิจัยทั้งสองชนิดให้ ต�ำแหน่ง ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการวัดและประเมินผล จ�ำนวน แผนที่ 10 ฝึกฝนการเปรียบเทียบ 1 คน และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาแผนการ และการเรียนทศนิยมหนึ่ง จัดการเรียนรู้ จ�ำนวน 2 คน เป็นผู้ตรวจสอบความ ต�ำแหน่ง ถูกต้องเชิงเนื้อหา การใช้ภาษาและความเหมาะสม แผนที่ 11 การทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ของเวลา แล้วน�ำค�ำแนะน�ำต่าง ๆ มาปรับปรุงแก้ไข ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 66 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

4. ผู้วิจัยด�ำเนินการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง 34.01 – 50.00 หมายถึง นักเรียนมีความรู้ โดยมีนักศึกษาฝึกสอนและครูประจ�ำวิชาเป็นผู้ร่วม ในระดับเก่ง ควบคุมชั้นเรียนและสังเกตการสอน ผู้วิจัยด�ำเนิน 17.01 – 34.00 หมายถึง นักเรียนมีความรู้ การเก็บข้อมูลในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ในระดับปานกลาง (ช่วงเดือนมกราคม 2559) โดยให้นักเรียนระดับ 00.00 – 17.00 หมายถึง นักเรียนมีความรู้ใน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ท�ำแบบทดสอบวัดความรู้ ระดับอ่อน (ก่อนเรียน) เรื่อง ทศนิยม ใช้เวลา 40 นาที จากนั้น 2. เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนน ผู้วิจัยด�ำเนินการทดลองสอนตามแผนการจัดการ ที่ได้จากการทดสอบก่อนการเรียนและการทดสอบ เรียนรู้เรื่อง ทศนิยม ใช้เวลา 9 ชั่วโมง จากนั้นผู้วิจัย วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม ให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ท�ำแบบ 07.51 – 10.00 หมายถึง นักเรียนมีความรู้ ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม ในระดับดีมาก ใช้เวลา 50 นาที รวมระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง 05.01 – 7.50 หมายถึง นักเรียนมีความรู้ ในโครงการวิจัยครั้งนี้ทั้งสิ้น 11 ชั่วโมง อยู่ในระดับดี 5. ผู้วิจัยน�ำข้อมูลที่ได้จากการทดลอง 02.51 – 5.00 หมายถึง นักเรียนมีความรู้ ใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม โดยใช้ ในระดับพอใช้ กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน และข้อมูลที่ได้จาก 00.00 – 02.50 หมายถึง นักเรียนมีความรู้ การสังเกตพฤติกรรมทางการเรียนของนักเรียน ในระดับควรปรับปรุง ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มาวิเคราะห์ผลการ วิจัยตามหลักสถิติและวิเคราะห์ผลแบบพรรณา สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย ความ โดยใช้สถิติในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่า สรุปผลการวิจัย เบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ ดัชนีประสิทธิภาพ จากการเก็บรวบรวมข้อมูลโครงการวิจัย ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม โดย เรื่อง การพัฒนาแบบฝึก เรื่อง ทศนิยม ส�ำหรับ ใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน (E1/E2) ดัชนี นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ ประสิทธิผล (Effectiveness Index: E.I) จากนั้น กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน ผู้วิจัยมีประเด็นการ ผู้วิจัยอภิปรายผลการวิจัยเพื่อยืนยันข้อค้นพบที่ วิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ เกิดขึ้น 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา ผู้วิจัยก�ำหนดเกณฑ์ส�ำหรับประเมินระดับ คณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและตีความหมายของระดับ ปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 (เดือน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ พฤษภาคม - เดือนกันยายน) ผู้วิจัยขอน�ำเสนอผล 1. เกณฑ์การแปลความหมายของผล การวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา สัมฤทธิ์ทางการเรียนภาคเรียนที่ 1/2558 คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 67 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ชี้ให้เห็นถึงระดับความสามารถทางการเรียนรายวิชา ผลด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม ของ คณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในล�ำดับต่อไป 4 และน�ำข้อมูลส่วนนี้ไปใช้ประกอบการอภิปราย 50 45 40 35 30 25 20 15 10 5 0 0 4 8 12 16 20 24 28 32 36 40 ภาพที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558

จากภาพที่ 1 พบว่า นักเรียนระดับชั้น ทศนิยม ส�ำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มี ประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ประสิทธิภาพเท่ากับ 91.64/81.10 ซึ่งเป็นไปตาม คณิตศาสตร์เฉลี่ยเท่ากับ 33.35 คะแนนจากคะแนน สมมติฐานที่ก�ำหนดไว้คือ 80/80 เต็ม 50 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 66.70 และอยู่ใน 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ทศนิยม ระดับ “ปานกลาง” นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนน ปีที่ 4 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา เฉลี่ยจากผลการทดสอบวัดความรู้ก่อนการเรียน คณิตศาสตร์มากที่สุดเท่ากับ 42 คะแนน คิดเป็น เรื่อง ทศนิยม เท่ากับ 4.30 คะแนนจากคะแนน ร้อยละ 84.00 และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา เต็ม 10 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 2.30 อยู่ในระดับ ปีที่ 4 มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา “พอใช้” นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการ คณิตศาสตร์น้อยที่สุดเท่ากับ 25 คะแนน คิดเป็น เรียนหลังเรียนเรื่อง ทศนิยม เท่ากับ 8.11 คะแนน ร้อยละ 50.00 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81.10 2. ผลจากการพัฒนาแผนการจัดการ อยู่ในระดับ “ดีมาก” ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ เรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม โดยใช้กระบวนการ เรียน- ก�ำหนดไว้ ดังภาพที่ 2 เล่น-ฝึกฝน พบว่า แผนการการจัดการเรียนรู้เรื่อง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 68 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

10 8 6 4 2 0 1 3 5 7 9 11 13 15 17 19 21 23 25 27 29 31 33 35 37 39 ภาพที่ 2 ผลการทดสอบก่อนเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ทศนิยม

นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังสูง ความรู้สึกกดดัน เนื่องจากชุดแบบฝึกแต่ละเรื่อง กว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 จะมีตัวอย่างแนะแนวทางให้นักเรียนและเรียง เป็นไปตามสมมติฐานที่ก�ำหนดไว้ จากการวิเคราะห์ ล�ำดับจากข้อง่ายไปยาก นักเรียนสามารถเริ่ม ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ลงมือท�ำโดยการลอกเลียนจากตัวอย่างที่ก�ำหนด ทศนิยม โดยใช้กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน และเริ่มแก้ปัญหาที่มีระดับความยากขึ้นเรื่อย ๆ ส�ำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่า ลักษณะข้อดีของกระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน เท่ากับ 0.7851 หมายความว่า นักเรียนมีพัฒนาการ คือ ในขั้นการเรียน นักเรียนต้องเรียนเนื้อหาด้วย ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ วิธีสอนและสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสม ในขั้นการ 78.51 เล่น นักเรียนจ�ำเป็นต้องใช้ความรู้ที่ได้จากการเรียน อภิปรายผลการวิจัย มาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในเกมหรือสถานการณ์ 1. ประเด็นประสิทธิภาพของแผนการ จ�ำลองตามความเหมาะสมของเนื้อหาเรื่องนั้น จัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม เป็นที่น่าสังเกต ร้อยละ จากนั้นในขั้นการฝึกฝน นักเรียนจะต้องท�ำแบบ ของคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนมีค่ามากร้อยละของ ฝึกหัดในปริมาณที่มากโดยเรียงล�ำดับจากง่ายไป คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน อาจเป็นเพราะบรรยากาศ ยาก แบบฝึกหัดที่ผู้วิจัยใช้ในขั้นนี้จะท�ำให้นักเรียน ในระหว่างการเก็บคะแนนจากแบบฝึกหัดหรือ มีความรู้สึกว่า ตนเองสามารถท�ำได้ ตนเองสามารถ การทดสอบย่อยระหว่างเรียนมีความแตกต่างจาก หาค�ำตอบได้ แบบฝึกหัดที่มีประสิทธิภาพเป็น บรรยากาศการทดสอบหลังเรียน สภาพแวดล้อม เครื่องมือชนิดหนึ่งที่ส�ำคัญที่จะช่วยให้นักเรียน บรรยากาศระหว่างเรียนส่งผลให้นักเรียนไม่มี บรรลุตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้และส่งผล Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 69 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ให้นักเรียนมีความช�ำนาญในเรื่องนั้น ในอดีตการ อย่างแท้จริง ใช้แบบฝึกหัดในปริมาณมาก ๆ อาจถูกมองว่าเป็น 2. ประเด็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ภาระงานที่ท�ำให้นักเรียนรู้สึกเบื่อหน่ายต่อการ ทศนิยม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ เรียนคณิตศาสตร์ แต่ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับแล้ว 4 จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า นักเรียนระดับ ว่า แบบฝึกหัดเป็นเครื่องมือหนึ่งของการพัฒนา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ทุกคนมีคะแนนทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนได้เป็นอย่าง วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม หลังการ ดี ทั้งนี้ ปริมาณของการใช้แบบฝึกหัดต้องมีความ เรียนเพิ่มขึ้นทุกคน นักเรียนบางคนมีคะแนนเพิ่ม เหมาะสมกับวัยและเวลาของนักเรียนด้วย อีก ขึ้นมากและนักเรียนบางคนมีคะแนนเพิ่มขึ้นเพียง ทั้งบรรยากาศในชั้นเรียนขณะเรียนแต่ละชั่วโมง เล็กน้อย จากผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการ นักเรียนจะท�ำแบบฝึกหัดพร้อมกับเพื่อน ๆ จึงเกิด เรียนวิชาคณิตศาสตร์ในภาคเรียนที่ 1/2558 ของ บรรยากาศการแลกเปลี่ยนความรู้ พูดคุย และ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งมีผลสัมฤทธิ์ การท�ำต่าง ๆ กิจกรรมระหว่างเรียน นักเรียนมี ทางการเรียนอยู่ในระดับ “ปานกลาง” และจาก โอกาสน�ำความรู้และประสบการณ์ของตนเองมา การวิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการ ร่วมแลกเปลี่ยนกันกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนส่งเสริม จัดการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยม โดยใช้กระบวนการ ให้นักเรียนเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ลักษณะ เรียน-เล่น-ฝึกฝน ส�ำหรับนักเรียนระดับชั้นประถม กิจกรรมการเรียนรู้เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่เป็น ศึกษาปีที่ 4 มีค่าเท่ากับ 0.7851 หมายความว่า แรงกระตุ้นผลักดันให้นักเรียนส่วนใหญ่มีความ นักเรียนมีพัฒนาการทางการเรียน เรื่อง ทศนิยม กระตือรือร้นต่อการเรียนทั้งในห้องเรียนและ เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 78.51 แสดงให้เห็นว่า การ นอกห้อง มีเพียงนักเรียนบางคนที่ไม่ให้ความ ใช้แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการ เรียน- ร่วมมือในการท�ำกิจกรรมตามกระบวนการดังกล่าว เล่น-ฝึกฝน ส่งผลให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะนักเรียนกลุ่มนี้มีพฤติกรรม ปีที่ 4 มีพัฒนาการทางการเรียนที่ดีขึ้นทุกคน การใช้ ทางการเรียนที่เฉื่อยชาและมีพื้นฐานความรู้ทาง แผนการจัดการเรียนรู้ที่มีแนวการสอนเป็นไปตาม คณิตศาสตร์ที่ไม่เพียงพอต่อการท�ำกิจกรรม กระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน จะช่วยให้นักเรียน ต่าง ๆ โดยภาพรวม บรรยายากาศในห้องเรียนมี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ฝึกการคิดวิเคราะห์ ความสนุกสนาน นักเรียนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ และการใช้เหตุผลเพื่อตัดสินใจ อีกทั้งยังช่วยสร้าง เป็นอย่างดี นักเรียนหลายคนสนใจใส่ใจต่อการท�ำ ตระหนักต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ให้กับนักเรียน เอกสารฝึกหัด นักเรียนตระหนักและเห็นคุณค่าของ นักเรียนต้องใช้ความรู้ที่ได้จากขั้นเรียนมาใช้แก้ ภูมิปัญญาในท้องถิ่นของตนเองเนื่องจากข้อค�ำถาม ปัญหาในเกม ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการเล่น นักเรียน สถานการณ์ที่สร้างขึ้นและรูปแบบเกม นักเรียนรู้ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสบการณ์การแก้ และเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการเรียนคณิตศาสตร์ ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง เพราะนักเรียนสามารถน�ำไปใช้ในชีวิตประจ�ำวันได้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 70 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ข้อเสนอแนะ จิราภรณ์ อุปภา. (2556). ผลการจัดการเรียนรู้ เนื่องจากกระบวนการ เรียน-เล่น-ฝึกฝน โดยใช้เทคนิค KWDL ในการแก้โจทย์ เป็นกระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่ผู้วิจัยพัฒนา ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราส่วนและ มาจากวิธีสอนแบบเล่นปนเรียนหรือวิธีสอนแบบ ร้อยละ ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตร เรียนปนเล่น ดังนั้นนักวิจัยควรท�ำการศึกษา วิชาชีพ ชั้นปีที่ 1. สืบค้นจาก http://tdc. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระ thailis.or.th/tdc. 2559. เรื่องอื่น ๆ ต่อไป ประพันธ์ จ่ายเจริญ. (2550). เทคนิคการสอน คณิตศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษา. พิมพ์ กิตติกรรมประกาศ ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: ผู้แต่ง. ผู้วิจัยและคณะขอกราบขอบพระคุณ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ รศ. ดร.อังสนา จั่นแดง ที่ปรึกษาโครงการวิจัย เทคโนโลยี. (2552). ตัวชี้วัดและสาระ ขอขอบคุณคณะครูกลุ่มสาระคณิตศาสตร์และ การเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัด เรียนรู้คณิตศาสตร์ตามหลักสูตรแกน ลาดสนุ่น และขอขอบคุณสถาบันวิจัยและพัฒนา กลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรม 2551. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: ส�ำนัก ราชูปถัมภ์ ที่ให้การสนับสนุนทุนวิจัยในครั้งนี้ วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. ส�ำนักทดสอบทางการศึกษา. (2558). ผลการ เอกสารอ้างอิง ทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้น จันตรา ธรรมแพทย์. (2550). การพัฒนาแบบฝึก พื้นฐาน (o-net) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ปีการศึกษา 2558. สืบค้นจาก www. ส�ำหรับนักเรียน ช่วงชั้นที่ 2 ที่มีผล niets.or.th/. 2559. 20 พฤษภาคม. สัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ต�่ำ. สืบค้นจาก http://tdc.thailis.or.th/tdc. สมนึก ภัททิยธนี. (2541). การวัดผลการศึกษา. 2559. 20 พฤษภาคม. มหาสารคาม: ภาควิชาวิจัยและพัฒนาการ ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 71 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย การจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย THE RUNNING MANAGEMENT TO PROMOTE SPORTS TOURISM IN THE WESTERN REGION OF THAILAND เสรี เพิ่มชาติ1* นงลักษณ์ เพิ่มชาติ2 และ ศุภกิจ จงศักดิ์สวัสดิ์3 Seri Permchart1* Nongluck Permchart2 and Suppakij Jongsaksawatch3 สาขาวิชาประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง1* สาขาวิชาการจัดการทั่วไป คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง2 สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรมบริการท่องเที่ยว คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี3 [email protected]*

บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การจัดการวิ่ง และเพื่อเปรียบเทียบความคาดหวัง และสภาพที่เป็นจริงของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่มีต่อการจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขต ภูมิภาคตะวันตก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากกลุ่มผู้จัดการวิ่งและ ภาคีเครือข่าย โดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง จ�านวน 30 คน ด้วยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การสังเกต แบบมีส่วนร่วม และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา และเก็บรวบรวมข้อมูล เชิงปริมาณจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงกีฬา โดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย จ�านวน 400 คน ด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่า t-test ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์การจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตกมีการ เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยพื้นที่ที่มีจุดเด่นและเอกลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีสนามแข่งขันที่ ได้รับความนิยมจากนักวิ่ง มีสิ่งอ�านวยความสะดวกเพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว มีช่องทางการ สื่อสารแบบเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย มีรูปแบบการวิ่งและกิจกรรมที่จูงใจนักวิ่ง จึงท�าให้พื้นที่นี้มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาได้ นอกจากนี้ผลการเปรียบเทียบความคาดหวังและสภาพที่เป็นจริงตาม ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาต่อคุณภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬาโดยรวมไม่มีความแตกต่าง ค�าส�าคัญ: การจัดการวิ่ง การท่องเที่ยวเชิงกีฬา การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬา วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 72 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ABSTRACT The objectives of this research were to study a situation of running management and to compare the expectations with actual situation of sports tourism towards running management to promote sports tourism in the western region of Thailand. Mixed methods were applied in this research. A qualitative data was collected by means of a purposive sampling method from a total 30 participants from a group of managers and party network by in-depth interview method, participatory observation method and focus group discussion. The data collected were analyzed by using content analysis technique. The quantitative data collected by means of a simple random sampling method from a total of 400 sport tourists which were examined by the following statistics, namely, frequency, percentage, arithmetic means, standard deviations, and t-test. The findings revealed that situation of running management to promote sports tourism in the western region of Thailand continuously where the distinctive area and a variety of tourism identity, popular playfield. In addition, there were enough facilities to accommodate tourists, communications channels to reach the target, running pattern to persuade the runners. Therefore, this area had the potentials to promote sports tourism. Moreover, expectations and actuality of sport tourists towards sport tourism management quality were not significantly different. Keywords: running management, sports tourism, sports tourism promotion

บทน�ำ South Africa, 2012) ที่กล่าวถึง การแข่งขันกีฬา การวิ่งเป็นกีฬารูปแบบหนึ่งที่มีผู้นิยมเป็น วิ่งมาราธอนว่า สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการขยาย จ�ำนวนมาก ทั้งนี้เพราะการวิ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ตลาดของนักท่องเที่ยวในอนาคต โดยสร้างความ ในทุกระบบของร่างกาย และเป็นที่ยอมรับเกี่ยวกับ สนใจไปยังประเทศหรือนักท่องเที่ยวที่ยังไม่เคยมา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ ทั้งร่างกาย ท่องเที่ยวให้เดินทางมาท่องเที่ยวได้ การท่องเที่ยว จิตใจ สังคม และอารมณ์ รวมถึงมีบทบาทในด้าน เชิงกีฬา (sports tourism) จัดเป็นการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวด้วยในรูปแบบของการท่องเที่ยว รูปแบบหนึ่งในประเภทของการท่องเที่ยวในความ เชิงกีฬา ที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว สนใจพิเศษ (special interest tourism) หมายถึง ทั้งกลุ่มนักกีฬา กลุ่มผู้ติดตาม รวมถึงผู้ชมงานให้ การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเล่นกีฬาตามความถนัด กลับมาท่องเที่ยวซ�้ำในโอกาสต่อไป ซึ่งสอดคล้อง ความสนใจ การท่องเที่ยวเชิงกีฬาด้วยการจัดการวิ่ง กับรายงานของฝ่ายท่องเที่ยวและนันทนาการของ สามารถใช้เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์เมืองหรือ แอฟริกาใต้ (Department Sport and Recreation ชุมชนได้ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 73 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เปิดโอกาสให้รู้จักเมือง ชุมชน หรือแหล่งท่องเที่ยว พระราชวังรามราชนิเวศน์ อุทยานประวัติศาสตร์ ต่าง ๆ ในระหว่างเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งจะส่งผลต่อ พระนครคีรี วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร รายได้ทางเศรษฐกิจได้ เช่น กรณีเมืองจอร์จทาวน์ เขื่อนแก่งกระจาน และด้วยภูมิประเทศที่มีความ เมืองหลวงรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซียที่ใช้กิจกรรม หลากหลายทางทรัพยากรธรรมชาติ เช่น น�้ำตก การแข่งขันวิ่งปีนังมาราธอน เป็นเครื่องมือในการ ภูเขา ป่าไม้ แม่น�้ำ ทะเล จึงส่งผลให้อุตสาหกรรม ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวเมือง การท่องเที่ยวในพื้นที่เขตภูมิภาคตะวันตกมีความ จอร์จทาวน์ (Danny Law Heng Kiang, 2009) แม้ว่า เหมาะสม และสามารถพัฒนาให้มีการท่องเที่ยวใน เมืองจอร์จทาวน์ จะเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในฐานะ รูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลายในการสนองต่อความ ของเมืองมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (United ต้องการของนักท่องเที่ยวและนักทัศนาจรที่เข้ามา Nations Educational Scientific and Cultural ท่องเที่ยวในพื้นที่เขตภูมิภาคนี้ได้ Organization : UNESCO) ซึ่งการส่งเสริมทางการ จากที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าการส่งเสริม ตลาดอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นสิ่งจ�ำเป็นเพื่อเตือน การท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคตะวันตก มีความจ�ำเป็น ความทรงจ�ำและรักษาสถานะของเมืองมรดกโลกให้ และมีความเป็นไปได้ที่ต้องมีการพัฒนาในหลาก คงอยู่ การสื่อสารเมืองมรดกโลกผ่านกิจกรรมการวิ่ง หลายแนวทาง ซึ่งการจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬาโดย สามารถสร้างความสนใจจากนักวิ่งได้ทุกเพศทุกวัย ใช้การวิ่งถือเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถน�ำมาใช้เพื่อ ทุกช่วงอายุ และยังเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของ การส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ เนื่องจากรูปแบบการ ภาคีเครือข่ายในชุมชนให้เข้ามาสร้างสรรค์กิจกรรม ท่องเที่ยวเชิงกีฬาก�ำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น ที่มีความหลากหลายมากขึ้นในเชิงการท่องเที่ยว ตามกระแสของการให้ความสนใจต่อสุขภาพ และ ได้ พื้นที่เขตภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทยใน การตื่นตัวในเรื่องการออกก�ำลังกายเพื่อสุขภาพ การวิจัยนี้ประกอบด้วย นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี รวมถึงแรงผลักดันภายในด้านการส่งเสริมท่องเที่ยว และกาญจนบุรี มีลักษณะภูมิประเทศทั่วไปเป็น ในพื้นที่ของประเทศไทย ดังนั้นเพื่อสร้างโอกาสใน เทือกเขาสูงสลับกับหุบเขาแคบ เป็นแนวภูเขาที่ การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกีฬาและตอบสนอง สลับซับซ้อน และมีบริเวณส่วนหนึ่งอยู่ติดกับทะเล ความต้องการของนักท่องเที่ยว การยกระดับการ มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ในทุกพื้นที่ ได้แก่ มอญ จัดการวิ่งสู่การท่องเที่ยว การแสวงหาโอกาสใน กะเหรี่ยง พม่า แม้ว เย้า โย รวมถึง ชาวไทยเชื้อสาย การเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงกีฬา รวมถึง ต่าง ๆ ประกอบกับมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศ การพัฒนาการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ที่เชื่อมโยง พม่า ท�ำให้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็น กับทรัพยากรท่องเที่ยวในพื้นที่ คณะผู้วิจัยจึงสนใจ แหล่งเกษตรกรรมครบวงจรและอุตสาหกรรม ศึกษาการจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิง การท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีแหล่งท่องเที่ยวและ กีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย โดย สถานที่ส�ำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เช่น จะใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิง สะพานข้ามแม่น�้ำแคว สุสานทหารสัมพันธมิตร กีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตกต่อไป วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 74 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

วัตถุประสงค์ของการวิจัย 8) Singha ChaAm BIKINI Beach Run 2015 1. เพื่อศึกษาสถานการณ์การจัดการวิ่ง ครั้งที่ 8 เพชรบุรี โดยมีรายละเอียดดังนี้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาค การวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาสถานการณ์ ตะวันตก การจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาใน 2. เพื่อเปรียบเทียบความคาดหวังและ เขตภูมิภาคตะวันตก โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง สภาพที่เป็นจริงของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่มีต่อการ ได้แก่ กลุ่มผู้จัดการวิ่งและภาคีเครือข่ายร่วมจัดใน จัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขต เขตภูมิภาคตะวันตก พ.ศ. 2558-2559 โดยการสุ่ม ภูมิภาคตะวันตก ตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จ�ำนวน 30 คน จาก 8 สนามแข่งขัน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบ ระเบียบวิธีวิจัย สัมภาษณ์ และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบ เดี่ยวแบบเจาะลึก การสนทนากลุ่มย่อย และการ ผสม ท�ำการศึกษาในพื้นที่วิจัยซึ่งเป็นสนามแข่งขัน สังเกตแบบมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการ ในเขตภูมิภาคตะวันตก โดยมีเงื่อนไขการเลือก วิเคราะห์เนื้อหา พื้นที่วิจัยคือ ต้องเป็นสนามวิ่งที่จัดในเขตภูมิภาค การวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาและ ตะวันตก 4 จังหวัด จัดขึ้นในระหว่างเดือน เปรียบเทียบความคาดหวังและสภาพที่เป็น เมษายน พ.ศ. 2558 – เดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 จริงของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่มีต่อการจัดการ มีวัตถุประสงค์ในการจัดงานที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริม วิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขต การท่องเที่ยวในพื้นที่หรือมีลักษณะการจัดงาน ภูมิภาคตะวันตก โดยศึกษาจากประชากรกลุ่ม ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว และมีจ�ำนวนครั้งการ นักท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่เข้าร่วมกิจกรรมการวิ่งที่จัด จัดการวิ่งต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี ได้มาจ�ำนวน ขึ้นในเขตภูมิภาคตะวันตก ในปี พ.ศ. 2558-2559 ทั้งสิ้น 8 สนามแข่งขัน ได้แก่ 1) แก่งกระจาน จาก 8 สนามแข่งขัน จ�ำนวน 17,706 คน เก็บ มินิมาราธอน ครั้งที่ 7 เพชรบุรี 2) The Singha รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่คณะผู้วิจัย River Kwai International Trophy Adventure สร้างขึ้นโดยอาศัยหลักแนวคิดคุณภาพการจัดการ Race 2015 No.10 กาญจนบุรี 3) เขาประทับช้าง ท่องเที่ยวเชิงกีฬา ประกอบด้วย ด้านการเข้าถึงพื้นที่ เทรล/จอมบึง ไบค์ ใจเกินร้อย ครั้งที่ 27 ราชบุรี จัดงาน ด้านแหล่งที่พัก ด้านสถานที่จัดงาน และด้าน 4) แม่น�้ำแควฮาล์ฟมาราธอนนานาชาติ 2558 ครั้งที่ การจัดการงานวิ่ง จากกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการเปิด 34 กาญจนบุรี 5) ภ.ป.ร.สามพราน มินิ-ฮาร์ฟ ตารางของยามาเน่ (Yamane, 1967) โดยใช้การสุ่ม มาราธอน 2016 ครั้งที่ 16 นครปฐม 6) สสส.จอมบึง ตัวอย่างแบบง่าย จ�ำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูล มาราธอน 2016 ปีที่ 31 ราชบุรี 7) โรงพยาบาล ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ พระจอมเกล้า - พระนครคีรีฯ - พระราชวังราม ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ ราชนิเวศน์มินิมาราธอน ครั้งที่ 16 เพชรบุรี และ ค่าที Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 75 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สรุปผลการวิจัย และอภิปรายผลการวิจัย การท่องเที่ยวที่หลากหลายในพื้นที่ สนามแข่งขันที่ สรุปผลการวิจัย ได้รับความนิยมจากนักวิ่ง สิ่งอ�ำนวยความสะดวก ผลการวิจัยสรุปได้ตามวัตถุประสงค์การ เพียงพอต่อการรองรับนักท่องเที่ยว มีช่องทางการ วิจัย ดังนี้ สื่อสารแบบเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย มีรูปแบบการวิ่ง 1. สถานการณ์การจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริม และกิจกรรมที่จูงใจนักวิ่ง จึงท�ำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพ การท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตก พบว่า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาได้ ดังแสดง การจัดการวิ่งเพื่อการท่องเที่ยวเชิงกีฬามีการเติบโต รายละเอียดในตารางที่ 1 อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ด้วยจุดเด่นและเอกลักษณ์ด้าน ตารางที่ 1 สถานการณ์การจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตก สนามวิ่ง จุดเด่น/เอกลักษณ์ ปัจจัยความส�ำเร็จ ปัญหาอุปสรรค การสื่อสาร รูปแบบการ เป้าหมาย เชิงพื้นที่ การตลาด จัดการวิ่ง แก่งกระจาน - ความหลากหลาย - กลุ่มผู้จัดมีความ - การเดินทาง - สื่อประชาสัมพันธ์ - วิ่งเพื่อการ มินิมาราธอน ทางธรรมชาติ เชี่ยวชาญและ เข้าถึงสนามวิ่ง พื้นฐาน ได้แก่ ท่องเที่ยว ครั้งที่ 7 ที่อุดมสมบูรณ์ จิตอาสา ไม่สะดวก แผ่นพับ ป้าย - วิ่งเพื่อ อุทยานแห่งชาติ ด้วยภูเขา แม่น�้ำ - ความร่วมมือจาก - การขาดความ โฆษณา แจ้งข่าว สุขภาพ แก่งกระจาน ป่าไม้ ทะเลสาบ พื้นที่และชุมชน เข้าใจในการ ในการประชุม จังหวัดเพชรบุรี ทะเลหมอก และ - ที่พักสะดวก จัดการวิ่งของ จังหวัด ชมรมวิ่ง เส้นทางศึกษา - โอกาสได้รางวัล หน่วยงานใน - สื่อออนไลน์ ธรรมชาติ ดูนก รางวัลพิเศษ พื้นที่ ได้แก่ ฟรีเว็บไซต์ ดูผีเสื้อ - ค่าสมัครถูก ทั่วไป บริการดี The Singha - การวิ่งที่ท้าทาย - มาตรฐานและ - การเชื่อมโยง - สื่อออนไลน์ เช่น - วิ่งเพื่อการ River Kwai แปลกใหม่ อเมซิ่ง ความมีชื่อเสียงของ ประสานงาน เว็บเพจ เว็บไซต์ ตลาด International ไทยแลนด์ ผู้จัดงาน กับผู้มีอ�ำนาจ เฉพาะ - วิ่งเพื่อการ Trophy แชมป์เปี้ยนชิพซีรี่ย์ - ความหลากหลาย ตัดสินใจในพื้นที่ - คณะท�ำงาน ท่องเที่ยว Adventure ยิ่งใหญ่ที่สุดใน ของกิจกรรมที่ และระบบของ มืออาชีพ Race 2015 เอเชียตะวันออก ท้าทาย ตื่นเต้น ราชการ No.10 เฉียงใต้ - ทีมงานมืออาชีพ โรงแรมเฟลิกซ์ - การวิ่งบนเส้นทาง ริเวอร์แคว รีสอร์ท ประวัติศาสตร์โลก อ�ำเภอเมือง และธรรมชาติ จังหวัดกาญจนบุรี สวยงาม แม่น�้ำ ภูเขา ต้นไม้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 76 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 1 (ต่อ) สนามวิ่ง จุดเด่น/เอกลักษณ์ ปัจจัยความส�ำเร็จ ปัญหาอุปสรรค การสื่อสาร รูปแบบการ เป้าหมาย เชิงพื้นที่ การตลาด จัดการวิ่ง เขาประทับช้าง - การวิ่งในสวน - มาตรฐานการจัด - การจัดการที่พัก - สื่อพื้นฐาน เช่น - วิ่งเพื่อ เทรลฟอเรสท์/ ป่าแบบครอส งานที่มีคุณภาพ ของผู้จัดงาน ป้ายโฆษณา สุขภาพ จอมบึง ไบค์ คันทรี่ บนเส้น ทั้งการแข่งขันและ - ความจ�ำกัด แผ่นพับ ประชุม - วิ่งเพื่อการ ใจเกินร้อย ทางธรรมชาติที่ บริการ บริเวณพื้นที่ ชมรมวิ่ง บุคคล ท่องเที่ยว ครั้งที่ 27 สวยงามด้วยภูเขา - ความร่วมมือจาก สวนป่า เช่น อาสาสมัคร และ สวนพฤกษศาสตร์ ป่าไผ่สวนสัตว์ ภาคีเครือข่าย และ ที่จอดรถ สื่อสารมวลชน วรรณคดี และมีความ ชุมชนโดยรอบ ที่พักผ่อน - สื่อออนไลน์ เช่น ภาคกลาง ปลอดภัยสูง จุดรวมพล เพจ เว็บไซต์ อ�ำเภอจอมบึง - ภารกิจหลัก Hashtags จังหวัดราชบุรี งานประจ�ำ - สโลแกนโดนใจ ของกลุ่มภาคี (อยู่บ้านดีดีไม่ชอบ) เครือข่าย - ค่ายนักวิ่งหน้าใหม่ ผู้จัดงาน ภ.ป.ร.สามพราน - ความมีชื่อเสียง - เหรียญที่ระลึกที่ - นโยบายการจัด - สื่อออนไลน์ -วิ่งเพื่อ มินิ-ฮาล์ฟ ของโรงเรียนที่ มีสัญลักษณ์พระ งานวิ่งประเพณี - สื่อ สุขภาพ มาราธอน 2016 ยอมรับ ปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ไม่เน้นขยาย ประชาสัมพันธ์ -วิ่งเพื่อ ครั้งที่ 16 - งานวิ่งประเพณี - งานประเพณีที่ งานและแข่งขัน พื้นฐาน การกุศล โรงเรียน ภ.ป.ร. ของโรงเรียน ไม่หวังผลก�ำไร - ทีมงานขาด ราชวิทยาลัย - กลุ่มผู้จัดที่มี ประสบการณ์ อ�ำเภอสามพราน จิตอาสา และมีงาน จังหวัดนครปฐม ประจ�ำมาก แม่น�้ำแคว งานวิ่งบนถนนที่ - ธรรมชาติและ - ลักษณะ - สื่อสารออนไลน์ - วิ่งเพื่อ ฮาล์ฟมาราธอน เก่าแก่ที่สุดในไทย ประวัติศาสตร์บน กายภาพของ - สื่อมวลชน สุขภาพ นานาชาติ 2558 ท่ามกลางคลื่น ถนนสาย 323 พื้นที่ (คับแคบ, - สื่อสารโดยตรง - วิ่งเพื่อการ ครั้งที่ 34 ขุนเขาที่ปกคลุม ไทรโยค ไม่สะอาด, ไม่ กับบริษัท ท่องเที่ยว โรงแรมริเวอร์ ด้วยหมอกยามเช้า - ทองผาภูมิ ปลอดภัย, การ ผู้จัดงาน - วิ่งเพื่อการ แคว วิลเลจ ทัศนียภาพและ - ความมีชื่อเสียงของ ขยายพื้นที่เพื่อ ตลาด อ�ำเภอไทรโยค เรื่องราว ผู้จัดงานเอกชน รองรับนักวิ่งที่ จังหวัดกาญจนบุรี ประวัติศาสตร์ของ เพิ่มขึ้น) สายน�้ำแควแห่ง - มาตรฐานการ สงครามโลก จัดงานวิ่ง และ การบริการ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 77 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 1 (ต่อ) สนามวิ่ง จุดเด่น/เอกลักษณ์ ปัจจัยความส�ำเร็จ ปัญหาอุปสรรค การสื่อสาร รูปแบบการ เป้าหมาย เชิงพื้นที่ การตลาด จัดการวิ่ง สสส.จอมบึง - ความประทับใจ - พลังของกลุ่มต่าง ๆ - การบริหาร - สื่อพื้นฐาน (ป้าย - วิ่งเพื่อ มาราธอน บนเส้นทางวิ่ง (กลุ่มชาวบ้าน กลุ่ม จัดการกับ โฆษณา แผ่นพับ สุขภาพ 2016 ปีที่ 31 ด้วยการต้อนรับ เจ้าภาพ กลุ่ม นักวิ่งที่เพิ่มขึ้น นิตยสาร) - วิ่งเพื่อการ มหาวิทยาลัย ที่อบอุ่นจากน�้ำใจ ผู้สนับสนุน กลุ่ม เท่าตัว - สื่อสารผ่าน ท่องเที่ยว ราชภัฏหมู่บ้าน ของชุมชนตลอด อาสาสมัคร) - การปรับตัว พันธมิตร (ชมรม - วิ่งเพื่อการ จอมบึง อ�ำเภอ เส้นทางวิ่ง เชียร์ - ความร่วมมือของ เข้ากับการใช้ วิ่ง บุคคลใกล้ชิด กุศล จอมบึง จังหวัด บริการน�้ำดื่ม ภาคีเครือข่ายเพื่อ นวัตกรรมใหม่ สนามวิ่ง) ราชบุรี กิจกรรมสร้าง รังสรรค์กิจกรรม ในงานวิ่งที่อยู่ - สื่อสารมวลชน ก�ำลังใจให้นักวิ่ง ด้วยความเอาใจใส่ ระหว่างทดลอง (แถลงข่าว) - อากาศเย็นสบาย ในงานบริการอย่าง - ความสามารถ - สื่อออนไลน์ ปลายฤดูหนาว เป็นมาตรฐาน เชิงพื้นที่เพื่อ (เว็บเพจเฉพาะ - การสร้างสรรค์ รองรับนักวิ่ง เว็บไซต์พันธมิตร นวัตกรรมการวิ่ง จ�ำนวนมาก facebook/ e-mail) โรงพยาบาล - เส้นทางที่วิ่งผ่าน - ผู้น�ำองค์กรให้ - มาตรฐานการ - สื่อพื้นฐาน (ปาก - วิ่งเพื่อ พระจอมเกล้า- โบราณสถาน ความส�ำคัญ จัดการงานวิ่ง ต่อปาก แผ่นพับ สุขภาพ พระนครคีรีฯ- แหล่งท่องเที่ยว - กลุ่มผู้จัดงานมี กับนักวิ่งรุ่นใหม่ ป้ายโฆษณา แจ้ง - วิ่งเพื่อ พระราชวังราม เชิงวัฒนธรรมที่ จิตอาสาตั้งใจสูง - การส่งเสริม ข่าวผ่านชมรมวิ่ง) การกุศล ราชนิเวศน์ มินิ มีคุณค่า (วัด วัง - ให้บริการอย่าง ทางการตลาด - สื่อออนไลน์ - วิ่งเพื่อการ มาราธอน ครั้งที่ ค่าย) เอาใจใส่ (ถ้วยใบ แบบมืออาชีพ (เว็บไซต์โรง ท่องเที่ยว 16 โรงพยาบาล - บริการน�ำเที่ยว ใหญ่ รสชาติอาหาร - งานประจ�ำของ พยาบาล ฟรี พระจอมเกล้า รอบเมือง ดี บริการถูกใจ) กลุ่มผู้จัดงาน เว็บไซต์) อ�ำเภอเมือง - ความร่วมมือจาก จังหวัดเพชรบุรี พื้นที่และชุมชน Singhad การวิ่งบนถนนกับ - ความมีชื่อเสียงของ - หน่วยงาน - สื่อออนไลน์ (เพจ - วิ่งเพื่อการ ChaAm Bikini ธรรมชาติบนหาด ผู้จัดงานวิ่ง ชุมชนกับ เว็บไซต์ ระบบ ตลาด Beach Run ทรายที่เซ็กซี่ที่สุดใน - รูปแบบการวิ่งที่ การไม่เข้าใจ ฐานข้อมูลของ - วิ่งเพื่อการ 2016 ครั้งที่ 8 ประเทศไทย แปลกใหม่ วัตถุประสงค์ บริษัท) ท่องเที่ยว โรงแรมลองบีช ของงาน - ชมรมวิ่งผู้ศรัทธา อ�ำเภอชะอ�ำ - กฎระเบียบ ในบริษัท จังหวัดเพชรบุรี ของหน่วยงาน - สื่อท้องถิ่น ราชการไม่เอื้อ ต่อการจัดงานวิ่ง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 78 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

การเปรียบเทียบความคาดหวังและสภาพที่เป็นจริงของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่มีต่อคุณภาพการ จัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตก ตารางที่ 2 ผลการศึกษาความคาดหวังและสภาพที่เป็นจริงตามความคิดเห็นของกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงกีฬา ที่มีต่อคุณภาพการจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตก ความคิดเห็นต่อคุณภาพการจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริม ความคาดหวัง สภาพเป็นจริง การท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตก x S.D. แปลผล x S.D. แปลผล ด้านการเข้าถึงพื้นที่จัดงาน 4.13 0.51 มาก 4.26 0.52 มากที่สุด 1) ช่องทางในการติดต่อสื่อสาร/ประชาสัมพันธ์ 4.10 0.68 มาก 4.17 0.70 มาก ข้อมูลการจัดงานของผู้จัดงาน (Line/Facebook/ Website/ชมรม) 2) ความสะดวกของการคมนาคมในการเข้าถึงพื้นที่จัด 4.14 0.69 มาก 4.15 0.71 มาก งาน รวมถึงบริการรถขนส่งสาธารณะ 3) แรงจูงใจด้านพื้นฐานในการเข้าถึงพื้นที่จัดงาน เช่น 4.08 0.68 มาก 4.14 0.72 มาก น่าตื่นเต้น ท้าทาย แสวงหาการผจญภัย ความ เพลิดเพลิน พักผ่อน คลายเครียด ฯลฯ 4) แผนที่แสดงการเส้นทางเดินทางเพื่อก�ำหนดเวลา 4.20 0.65 มาก 4.21 0.69 มากที่สุด เข้าร่วมงาน 5) มีแหล่งอ�ำนวยความสะดวก ที่พัก ร้านอาหาร 4.14 0.71 มาก 4.14 0.74 มาก ร้านค้า อยู่ใกล้พื้นที่จัดงาน ด้านแหล่งที่พัก 4.06 0.63 มาก 4.08 0.62 มาก 6) ความเพียงพอและรูปแบบที่หลากหลายของแหล่ง 4.12 0.79 มาก 4.05 0.77 มาก ที่พัก 7) มาตรฐานแหล่งที่พักและสิ่งอ�ำนวยความสะดวก 4.05 0.84 มาก 4.10 0.75 มาก เช่น ช่องเคเบิลทีวี สปา wi-fi อินเทอร์เน็ต ร้าน อาหาร 8) ราคาแหล่งที่พักที่คุ้มค่ากับคุณภาพและมาตรฐาน 3.97 0.80 มาก 4.06 0.82 มาก ให้การบริการ 9) ระบบติดต่อแหล่งที่พักที่สะดวกรวดเร็ว เช่น การ 4.11 0.77 มาก 4.09 0.79 มาก จอง การช�ำระเงิน 10) ผู้ให้บริการของแหล่งที่พักสามารถให้ข้อมูลที่ 4.06 0.81 มาก 4.09 0.76 มาก เกี่ยวข้องกับการจัดงานและแหล่งท่องเที่ยวได้ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 79 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 2 (ต่อ) ความคิดเห็นต่อคุณภาพการจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริม ความคาดหวัง สภาพเป็นจริง การท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตก x S.D. แปลผล x S.D. แปลผล ด้านสถานที่จัดงาน 4.20 0.54 มาก 4.26 0.52 มากที่สุด 11) ความปลอดภัยของสถานที่จัดงาน 4.25 0.68 มากที่สุด 4.26 0.67 มากที่สุด 12) สิ่งอ�ำนวยความสะดวกของสถานที่จัดงาน เช่น 4.15 0.79 มาก 4.16 0.82 มาก ห้องน�้ำ ที่จอดรถ จุดบริการ เป็นต้น 13) ความประทับใจ/ความมีชื่อเสียงของสถานที่จัด 4.23 0.71 มากที่สุด 4.31 0.74 มากที่สุด งาน 14) สิ่งดึงดูดใจของสถานที่จัดงาน เช่น ชุมชน 4.20 0.71 มาก 4.29 0.69 มากที่สุด ธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ ภูมิประเทศ ฯลฯ 15) มาตรฐานการจัดการของสถานที่จัดงาน 4.18 0.68 มาก 4.29 0.67 มากที่สุด ด้านการจัดการงานวิ่ง 4.23 0.51 มากที่สุด 4.26 0.55 มากที่สุด 16) ผู้เข้าร่วมงานได้รับการบริการที่ตรงตามสิ่งที่แจ้งไว้ 4.18 0.69 มาก 4.26 0.75 มากที่สุด 17) มาตรฐานระบบการจัดการในพื้นที่ เช่น รับสมัคร 4.17 0.70 มาก 4.24 0.68 มากที่สุด ลงทะเบียน รับเบอร์ รับของที่ระลึก (เสื้อ เหรียญ) เส้นทางวิ่ง ฯลฯ 18) เทคนิคการจัดแข่งขันที่มีกฎกติกาชัดเจนเป็นธรรม 4.29 0.67 มากที่สุด 4.29 0.69 มากที่สุด และเป็นกลาง 19) ความมีชื่อเสียงของผู้จัดงานที่ผู้เข้าร่วมงานให้การ 4.27 0.66 มากที่สุด 4.36 0.65 มากที่สุด ยอมรับ 20) รูปแบบกิจกรรมที่สร้างความประทับใจ เช่น 4.23 0.61 มากที่สุด 4.15 0.75 มาก ประกวดภาพถ่าย การทดลองเส้นทาง อุปกรณ์ การช่วยเหลือ รางวัลพิเศษ เป็นต้น รวม 4.15 0.40 มาก 4.21 0.47 มากที่สุด จากตารางที่ 2 พบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงกีฬามีความคาดหวังต่อคุณภาพการจัดการท่องเที่ยว เชิงกีฬาในการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคตะวันตก โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x = 4.15) และเมื่อเข้าร่วมการวิ่งแล้วมีความคิดเห็นต่อคุณภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในการจัดการวิ่งเพื่อ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคตะวันตกตามสภาพที่เป็นจริง โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x = 4.21) วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 80 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 3 เปรียบเทียบความคิดเห็นของกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาต่อคุณภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิง กีฬาในการจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคตะวันตก จ�ำแนกตามความคาดหวังและ สภาพที่เป็นจริง ความคิดเห็นของกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงกีฬา คุณภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ความคาดหวัง สภาพที่เป็นจริง n t x S.D. x S.D. ด้านการเข้าถึงพื้นที่การจัดงาน 400 4.13 0.51 4.16 0.56 -.931 ด้านแหล่งที่พัก 400 4.06 0.63 4.08 0.62 -.359 ด้านสถานที่จัดงาน 400 4.20 0.54 4.26 0.52 -1.824 การจัดการงานวิ่ง 400 4.23 0.51 4.26 0.55 -.952 รวม 400 4.15 0.40 4.19 0.45 -1.458 * มีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

จากตารางที่ 3 พบว่า เมื่อเปรียบเทียบ มากกว่า 35 สนามในปี พ.ศ. 2559 (ประมาณ 50 ความคาดหวังและสภาพที่เป็นจริงตามความคิด สนาม) มีโปรแกรมจัดกันเกือบทุกเดือน ทุกสัปดาห์ เห็นของกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่มีต่อคุณภาพ มีรูปแบบการวิ่งที่หลากหลายนอกเหนือไปจากการ การจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในการจัดการวิ่ง วิ่งแบบปกติ เช่น การวิ่งสมาธิ การวิ่งแบบผจญภัย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคตะวันตก การวิ่งเทรล การวิ่งเพื่อการกุศล งานวิ่งกับดนตรี โดยรวมพบว่า ความคาดหวังและสภาพที่เป็นจริง งานวิ่งกับแฟนซี เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูล ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ จากวารสาร ThaiJogging (สถาวร จันทร์ผ่องศรี, อภิปรายผลการวิจัย 2557) ที่ได้กล่าวถึง กระแสของการวิ่งเพื่อสุขภาพ หลังจากการวิเคราะห์ข้อมูลแล้ว สามารถ ที่ได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากความ น�ำผลการวิจัยมาอภิปรายตามวัตถุประสงค์การวิจัย ตระหนักถึงวิถีการมีสุขภาพดีโดยไม่ได้นัดหมาย ได้ดังนี้ รวมถึงธุรกิจกีฬาวิ่ง ที่มีการส่งเสริมการตลาด 1. สถานการณ์การจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริม ทั้งแบบออนไลน์และหน้าร้านออฟไลน์ (Brick- การท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขตภูมิภาคตะวันตก พบว่า Click-Flip) ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ประกอบ การจัดการวิ่งเพื่อการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในเขต กับจุดเด่นและเอกลักษณ์เชิงพื้นที่ด้านแหล่ง ภูมิภาคตะวันตกมีการเติบโตตามกระแสของการ ท่องเที่ยวและทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลาย วิ่งเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย สนามแข่งขันที่ได้รับความนิยมจากนักวิ่งจนได้รับ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากสนามวิ่งที่มี การยอมรับว่าเป็นสนามวิ่งฟูล-มาราธอนที่ดีที่สุด Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 81 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ของประเทศไทยปี 2558 สิ่งอ�ำนวยความสะดวก ถึงความแตกต่างของวัตถุประสงค์ของการจัดการ เพื่อคุณภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา จึง แข่งขันสนามนั้น ๆ เป็นส�ำคัญ โดยต้องคัดเลือกและ ท�ำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ปรับใช้ปัจจัยความพึงพอใจในการจัดการแข่งขันวิ่ง เชิงกีฬาได้ ซึ่งสอดคล้องกับมธุรส ปราบไพรี (2551) ที่ เพื่อความพึงพอใจของนักวิ่งต่อไป กล่าวไว้ในการวิจัยเพื่อศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยว ของภาคตะวันตกต่อพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวไทย ข้อเสนอแนะ ว่า สถานการณ์และแนวโน้มการท่องเที่ยวในภาค เมื่อแนวโน้มของการวิ่งได้รับความนิยม ตะวันตก ภาพรวมจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค ในทุกเพศทุกวัยทุกกลุ่มอายุ ประกอบกับผลการ พบว่า การท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้มีศักยภาพในการ วิจัยแสดงให้เห็นถึงจุดเด่น/เอกลักษณ์เชิงพื้นที่ รองรับนักท่องเที่ยวได้ และมีความสามารถในการ ในเขตภูมิภาคตะวันตกที่เอื้อต่อการท่องเที่ยวเชิง แข่งขันทางการท่องเที่ยวได้ กีฬา ดังนั้นการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภาค 2. ผลการศึกษาความคาดหวังและสภาพ รัฐและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน ในการ ที่เป็นจริงตามความคิดเห็นของกลุ่มนักท่องเที่ยว ส่งเสริมสนับสนุนตามศักยภาพที่มีอยู่ และเพิ่มเติม เชิงกีฬาที่มีต่อการจัดการวิ่งเพื่อส่งเสริมการ ด้านการส่งเสริมทางการตลาดแบบหลากหลาย ท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคตะวันตก พบว่า กลุ่ม ช่องทาง รวมถึงการพัฒนาองค์ประกอบบางประการ นักท่องเที่ยวเชิงกีฬามีความคาดหวังต่อคุณภาพ ของคุณภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในการจัด การจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในการจัดงานวิ่งเพื่อ งานวิ่งตามผลการวิจัย ได้แก่ ความเพียงพอและ ส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตภูมิภาคตะวันตกอยู่ รูปแบบที่หลากหลายของแหล่งที่พัก ระบบติดต่อ ในระดับมาก และเมื่อเข้าร่วมงานวิ่งแล้วมีความ แหล่งที่พักที่สะดวกรวดเร็ว เช่น การจอง การช�ำระ คิดเห็นต่อคุณภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬา เงิน และรูปแบบกิจกรรมที่สร้างความประทับใจ เช่น ตามสภาพที่เป็นจริงอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อ ประกวดภาพถ่าย การทดลองเส้นทาง อุปกรณ์การ เปรียบเทียบความคาดหวังและสภาพที่เป็นจริงโดย ช่วยเหลือ รางวัลพิเศษ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อสร้างความ รวมแล้วพบว่าไม่แตกต่างกัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ พึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาด้วยคุณภาพ ว่า การจัดการวิ่งเพื่อการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในแต่ละ การจัดการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในการจัดการวิ่ง จึง สนามการแข่งขัน มีการปรับปรุงพัฒนาเพื่อการ เป็นแนวทางและข้อเสนอแนะเพื่อการส่งเสริมการ แข่งขัน การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยใช้การส่งเสริม ท่องเที่ยวเชิงกีฬาในภูมิภาคนี้ให้เกิดขึ้นและคงอยู่ ทางการตลาดมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อความพึงพอใจให้ อย่างยั่งยืนได้ กับนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาอย่างมีคุณภาพสูงสุด ซึ่ง ขณะเดียวกันการพัฒนาการจัดการงาน สอดคล้องกับงานวิจัยของจุฬา เอี๋ยวภูเก็ต (2557) วิ่งเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงกีฬาในพื้นที่และ ที่พบว่า การจัดการแข่งขันวิ่งให้เกิดประสิทธิภาพ เชื่อมโยงในกลุ่มจังหวัดในเขตภูมิภาคตะวันตก ต้อง และประสิทธิผลสูงสุดในแต่ละสนาม ควรค�ำนึง แก้ไขปัญหาและอุปสรรคเชิงพื้นที่ที่ยังไม่เอื้อต่อการ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 82 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ท่องเที่ยวเชิงกีฬา ได้แก่ การขาดความรู้ความเข้าใจ มธุรส ปราบไพรี. (2551). ศักยภาพทางการ ในการท่องเที่ยวเชิงกีฬา การปรับตัวของสนามวิ่ง ท่องเที่ยวของภาคตะวันตกต่อพฤติกรรม เพื่อรองรับต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเชิงกีฬา นักท่องเที่ยวชาวไทย. วารสารวิชาการ เป็นต้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้จึงต้องได้รับการปรับปรุง ราชภัฏตะวันตก. 2(2). 144-157. และแก้ไขเพื่อการรองรับการท่องเที่ยวเชิงกีฬาที่เกิด สถาวร จันทร์ผ่องศรี. (2557). 10 เรื่องที่การันตีว่า ขึ้นในพื้นที่อย่างจริงจัง รันนิ่งบูมแล้ววันนี้. วารสาร ThaiJogging. 13(100). เอกสารอ้างอิง Department Sport and Recreation South จุฬา เอี๋ยวภูเก็ต. (2557). การประยุกต์ใช้ Africa. (2012). National Sport กระบวนการวิเคราะห์เชิงล�ำดับชั้น เพื่อ Tourism Strategy. Sport and ศึกษาปัจจัยความพึงพอใจต่อการจัดการ Recreation South Africa, Republic แข่งขันวิ่งมาราธอน. วิทยานิพนธ์ปรัชญา of South Africa. ดุษฎีบัณฑิต (วิทยาศาสตร์การกีฬา) บัณฑิต Danny Law Heng Kiang. (2009). How A วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. Marathon Boosts the Penang Tourism Industry. Retrieve from www.penangmarathon.gov.my/ portal/ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 83 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย การพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพรตามภูมิปัญญาท้องถิ่น จากทรัพยากรความหลากหลาย ทางชีวภาพเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีศึกษา : บ้านโพธิ์พัฒนา ต�าบลคณฑี อ�าเภอเมือง จังหวัดก�าแพงเพชร THE DEVELOPMENT OF PROCESSING HERBS BASED ON LOCAL INTELLIGENCE FROM THE VARIETY OF BIODIVERSITY RESOURCES TO IMPROVE COMMUNITY’S ECONOMY: THE CASE STUDY OF BAN PHOPHATTHANA, TAMBON KHONTHI, MUEANG, KAMPHAENG PHET PROVINCE นงลักษณ์ จิ๋วจู1* ทิพย์วรรณ ศิบุญนันท์2 ชญานันท์ ศิริกิจเสถียร3 และ วีรวรรณ แจ้งโม้4 Nonglak Jiwju1* Tippawan Siboonnun2 Chayanan Sirikitsathian3 and Weerawan Jangmo4 สาขาวิชาการบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏก�าแพงเพชร (แม่สอด)1*,2 สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏก�าแพงเพชร3,4 [email protected]*

บทคัดย่อ การพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพรตามภูมิปัญญาท้องถิ่น จากทรัพยากรความหลากหลาย ทางชีวภาพเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน กรณีศึกษา : บ้านโพธิ์พัฒนา ต�าบลคณฑี อ�าเภอเมือง จังหวัด ก�าแพงเพชร มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาแปรรูปพืชสมุนไพรท้องถิ่น จากความหลากหลายทางชีวภาพ ด้านพืชสมุนไพร และแนวทางการแปรรูปพืชสมุนไพรให้เป็นสินค้าของชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�าบลคณฑี อ�าเภอเมือง จังหวัดก�าแพงเพชร กลุ่มตัวอย่างได้แก่ บุคคลที่เกี่ยวข้องและมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการ พืชสมุนไพรในชุมชน จ�านวน 10 คน และกลุ่มแม่บ้านที่สนใจในการพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพรท้องถิ่น จ�านวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ การสังเกต กิจกรรมการพัฒนา และการแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นแบบเชิงพรรณนา โดยเขียนเป็นความเรียง อธิบายลักษณะของสิ่งที่ศึกษาโดย เฉพาะผลการศึกษาพบว่า ผู้ใหญ่บ้านและกลุ่มผู้น�าชุมชน รวมทั้งประชาชนบ้านโพธิ์พัฒนา หมู่ที่ 5 ต�าบล คณฑี อ�าเภอเมือง จังหวัดก�าแพงเพชร นั้นได้ให้ความส�าคัญในการพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพรเพราะ ชุมชนมีพืชสมุนไพรหลายชนิดถือได้ว่ามีความหลากหลายด้านชีวภาพ ผู้วิจัยจึงร่วมกับผู้น�าและประชาชน บ้านโพธิ์พัฒนาในการแปรรูปพืชสมุนไพร โดยการท�าสบู่สมุนไพร และลูกประคบสมุนไพรแห้ง และร่วมกัน ออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ เกิดมูลค่าเพิ่มในตัวผลิตภัณฑ์ ผล การวิจัยพบว่า การรวมกลุ่มการแปรรูปพืชสมุนไพร การท�าสบู่สมุนไพรกับการท�าลูกประคบแห้งสามารถ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 84 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ผลักดันให้เป็นสินค้าชุมชนได้ เพราะว่ากลุ่มมีความรู้ ความเข้าใจในการแปรรูป และมีแนวทางในการจัดหา งบประมาณโดยมีการปรึกษากับทางกลุ่มผู้น�ำชุมชน ซึ่งกลุ่มผู้น�ำชุมชนก็ได้ให้ความส�ำคัญและก�ำลังจะ ผลักดันให้เป็นสินค้าชุมชน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มพื้นที่การปลูกพืชสมุนไพร และเพิ่มความหลากหลาย ทางชีวภาพด้านพืชสมุนไพร เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน รวมทั้งเป็นการ ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นอีกด้วย ค�ำส�ำคัญ: การแปรรูปพืชสมุนไพร ความหลากหลายทางชีวภาพด้านพืชสมุนไพร ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ABSTRACT The development of processing herbs based on local intelligence from the variety of biodiversity resources to improve community’s economy: the case study of Ban Phophatthana, Tambon Khonthi, Amphoe Mueang, Kamphaeng Phet Province aimed to develop herb’s processing and promote them as the products by Bhan Ban Phophatthana, Tambon Khonthi, Amphoe Mueang, Kamphaeng Phet Province. The samples used in this research were ten related and experiences persons involved in herbs from the village and a group of 20 housewives interested in the development of processing herbs. Tools used in this study were interviewing, observation, developing the activities, and group discussion. Data was presented in descriptive analysis through the essay explaining the characteristics of aimed objects. The result of this study shows that the village chief and village’s leaders, including the villagers of Ban Phophatthana, Moo 5, Tambon Khonthi, Amphoe Mueang, Kamphaeng Phet Province, placed importance on the development of processing herbs because the community had various herbs which could be considered as a biodiversity resource. The examples of herbs found in the village were turmeric (Curcuma longa), Zingiber purpureum Roscoe, Houttuynia cordata, Aloe vera, galangal, lemongrass, Momordica cochinchinensis, basil, sweet basil, sacha inchi, and Curcuma zanthorrhiza. The researcher had joined the village leaders and the villagers of Bhan Phopattana Phopattana in the development of processing herbs which consisted of 2 activities: making herbal soap and dried herbal ball for massage. Together with the villagers, the researcher helped developing product and packaging design to make them look more interesting and added value to the product. The researcher also found that herbal soap and dried herbal ball for massage can be promoted as the village’s products because the villagers were knowledgeable and understand the processions. There were also many ways to fund this project. The villagers could consult Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 85 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV with the village leaders if they face obstacle because they place importance on this project and plan to promote them as community’s products. They tend to extend the area for herbs growing and increase diversity as well. All of these are to aim for developing the sustainable community’s economy and developing local intelligence. Keywords: processing herbs, variety of herb biodiversity, local intelligence บทน�ำ ด้านสมุนไพรขาดการพัฒนา ไม่เจริญก้าวหน้า การวิจัยและพัฒนาความหลากหลายทาง เท่าที่ควร ในปัจจุบันทั่วโลกได้ยอมรับแล้วว่าผลที่ ชีวภาพ เป็นงานที่ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ ได้จากการสกัดสมุนไพร ให้คุณประโยชน์ดีกว่ายา และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ความส�ำคัญ ที่ได้จากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ประกอบ เนื่องจากเป็นรากฐานที่ส�ำคัญในการพัฒนา กับในประเทศไทยเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ อันอุดมสมบูรณ์ มีพืชต่างๆ ที่ใช้เป็นสมุนไพรได้ ประเทศไทยตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความหลากหลาย อย่างมากมายนับหมื่นชนิด ยังขาดก็แต่เพียงการ ทางชีวภาพสูง จึงมีโอกาส และความได้เปรียบ ค้นคว้าวิจัยในทางที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่านั้น ที่จะน�ำทรัพยากรชีวภาพมาพัฒนาต่อยอด และ ความตื่นตัวที่จะพัฒนาความรู้ด้านพืชสมุนไพร จึง เพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น หลายประเทศให้ความส�ำคัญ เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มีการเริ่มต้นนโยบายสาธารณสุข กับการพัฒนาคุณค่าความหลากหลายทางชีวภาพ ขั้นมูลฐานอย่างเป็นทางการของประเทศไทยใน ส่วนหนึ่งเพื่อเป็น “ต้นทุนทางธรรมชาติ” สร้าง ปี พ.ศ. 2522 โดยเพิ่มโครงการสาธารณสุขขั้น สมดุลทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลดภัยพิบัติจาก มูลฐานเข้าในแผนพัฒนาการสาธารณสุข ตามแผน ธรรมชาติที่ทวีความรุนแรง อีกส่วนหนึ่งเป็น “ฐาน พัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 ทรัพยากร” น�ำมาวิจัยและพัฒนาเพื่อใช้ประโยชน์ (พ.ศ. 2520-2524) ต่อเนื่องจนถึงแผนพัฒนาการ ทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน เศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535- พืชสมุนไพร เป็นผลผลิตจากธรรมชาติ 2539) โดยมีกลวิธีการพัฒนาสมุนไพรและการ ที่มนุษย์รู้จักน�ำมาใช้เป็นประโยชน์เพื่อการรักษา แพทย์แผนไทยในงานสาธารณสุขมูลฐาน คือ เพื่อ โรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่โบราณกาลแล้ว เช่น ในเอเชีย สนับสนุนและพัฒนาวิชาการและเทคโนโลยีพื้นบ้าน ก็มีหลักฐานแสดงว่ามนุษย์รู้จักใช้พืชสมุนไพร อันได้แก่ การแพทย์แผนไทย เภสัช กรรมแผนไทย มากกว่า 6,000 ปี แต่หลังจากที่ความรู้ด้าน การนวดไทย สมุนไพร และเทคโนโลยีพื้นบ้าน เพื่อใช้ วิทยาศาสตร์ มีการพัฒนาเจริญก้าวหน้ามาก ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของชุมชน และ ขึ้น มีการสังเคราะห์ และผลิตยาจากสารเคมี ใน เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการดูแลรักษาสุขภาพของ รูปที่ใช้ประโยชน์ได้ง่าย สะดวกสบายในการใช้ ตนเอง โดยใช้สมุนไพรการแพทย์พื้นบ้าน การนวด มากกว่าสมุนไพร ท�ำให้ความนิยมใช้ยาสมุนไพร ไทย ในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน ให้เป็น ลดลงมาเป็นอันมาก เป็นเหตุให้ความรู้วิทยาการ ไปอย่างถูกต้องเป็นระบบ สามารถปรับประสานการ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 86 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ดูแลสุขภาพแผนปัจจุบันได้ อาจกล่าวได้ว่าสมุนไพร ให้ความส�ำคัญกับการปลูกพืชสมุนไพร สนับสนุน ส�ำหรับสาธารณสุขมูลฐาน คือ สมุนไพรที่ใช้ในการ พื้นที่ปลูกพืชสมุนไพร จ�ำนวน 50 ตารางวา และ ส่งเสริมสุขภาพ และการรักษาโรค/อาการเจ็บป่วย ส่งเสริมให้มีการปลูกพืชสมุนไพรทุกครัวเรือน และ เบื้องต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ ได้ให้ความส�ำคัญในเรื่องการน�ำสมุนไพรที่น�ำมา มากขึ้น ความส�ำคัญในด้านเศรษฐกิจ ในปัจจุบันพืช แปรรูปสกัดเป็นยาแผนโบราณภูมิปัญญาท้องถิ่น ยา สมุนไพรจัดเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่ต่างประเทศ ที่ได้ใช้กันมาในอดีตเป็นส่วนใหญ่แต่ในปัจจุบันก็ยัง ก�ำลังหาทางลงทุนและคัดเลือกสมุนไพรไทยไปสกัด คงมีที่ใช้อยู่บ้าง ต้นตอของยาแผนโบราณได้จาก พืช หาตัวยาเพื่อรักษาโรคบางโรคและมีหลายประเทศ (พืชวัตถุ) สัตว์ (สัตววัตถุ) และแร่ธาตุ (ธาตุวัตถุ) ซึ่ง ที่น�ำสมุนไพรไทยไปปลูกและท�ำการค้าขายแข่งกับ มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้มีการใช้แบบบอกเล่าต่อๆ กัน ประเทศไทย สมุนไพรหลายชนิดที่เราส่งออกเป็น มา ไม่มีการค้นคว้าวิจัยเหมือนอย่างยาแผนปัจจุบัน รูปของวัตถุดิบคือ กระวาน ขมิ้นชัน เร่ว เปล้าน้อย พืชที่ใช้เป็นยาอาจเป็นพืชยืนต้น พืชล้มลุก หรือพืช และมะขามเปียกเป็นต้น ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้ตลาด ผักสวนครัว รวมทั้งผลไม้โดยใช้พืชทั้งต้นหรือส่วน ต่างประเทศยังคงมีความต้องการอีกมาก และใน ต่างๆ ของพืช เช่น เปลือก แก่น ดอก เกสร ใบ ผัก ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ผล ฯลฯ เพื่อเผยแพร่ความรู้สู่ชุมชน และมีอาชีพ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความสนใจในการ เสริมและมีรายได้ให้กับชุมชน ศึกษาเพิ่มขึ้นและมีโครงการวิจัยบรรจุไว้ในแผน ผู้วิจัยได้เล็งเห็นความส�ำคัญของการ พัฒนาระบบการผลิต การตลาดและการสร้างงาน ตระหนักและให้ความส�ำคัญการศึกษา รวบรวม ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ชนิดพันธ์พืช ประเภทของพืชสมุนไพร ที่สามารถ 6 (พ.ศ. 2530-2534) เพื่อหาความเป็นไปได้ในการ น�ำมาเป็นอาหาร และสกัดเป็นยาแผนโบราณตาม พัฒนาคุณภาพและแหล่งปลูกสมุนไพรเพื่อส่งออก วิถีชาวบ้าน การพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพร โดยก�ำหนดชนิดของสมุนไพรที่มีศักยภาพ 13 ชนิด ท้องถิ่นตามภูมิปัญญาท้องถิ่น จากทรัพยากรความ คือ มะขามแขก กานพลู เทียนเกล็ดหอย ดองดึง เร่ว หลากหลายทางชีวภาพด้านพืชสมุนไพร เพื่อก่อให้ กระวาน ชะเอมเทศ ขมิ้น จันทร์เทศ ใบพลู พริกไทย เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน สามารถสร้าง ดีปลี และน�้ำผึ้ง รายได้ อีกทั้งยังเป็นแนวทางการอนุรักษ์ สืบสาน ซึ่งจากการส�ำรวจและสัมภาษณ์ นายเวคิน และเผยแพร่ภูมิปัญญาของชุมชนได้ต่อไป วัชรเวโรจน์ ผู้น�ำหมู่บ้านชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบล คณฑี อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร บ้านโพธิ์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย พัฒนาสภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม อุดมสมบูรณ์ มี 1. เพื่อศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ คลองชลประทานไหลผ่าน 2 สาย ราษฎรส่วนใหญ่ ด้านพืชสมุนไพรของชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบล ประกอบอาชีพ ท�ำไร่อ้อย และท�ำนา เพราะเป็น คณฑี อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร พื้นที่ที่เอื้อต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่ง 2. เพื่อพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพร ทางกลุ่มแกนน�ำของชุมชนได้มีความตระหนักและ ท้องถิ่น จากความหลากหลายทางชีวภาพด้านพืช Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 87 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สมุนไพร ของชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี เป็นยาสมุนไพรตามภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพร และแนวทางการ อนุรักษ์การปลูกพืชสมุนไพร ระเบียบวิธีวิจัย ตอนที่ 3 สัมภาษณ์เกี่ยวกับภูมิปัญญา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ท้องถิ่นในการน�ำความหลากหลายทางชีวภาพด้าน ประชากรในชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี พืชสมุนไพรกินได้ที่น�ำมาท�ำเป็นอาหารและสกัดเป็น อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร การเลือกกลุ่ม ยาสมุนไพรตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ตัวอย่างในการศึกษาบริบทชุมชน ความหลากหลาย (1) กิจกรรมการพัฒนาการแปรรูปพืช ทางชีวภาพ วัฒนธรรมของชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่น สมุนไพรท้องถิ่นจากทรัพยากรความหลากหลาย ของชุมชน และการพัฒนาการแปรรูปสมุนไพร ใช้วิธี ทางชีวภาพด้านพืชสมุนไพร เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยเลือกบุคคลที่ ชุมชน บ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี อ�ำเภอเมือง เกี่ยวข้องและมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการพืช จังหวัดแพงเพชร ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น สมุนไพรในชุมชน จ�ำนวน 30 คน ได้แก่ ผู้น�ำชุมชน (2) กิจกรรมส่งเสริมผลิตภัณฑ์ เพื่อผลักดัน และปราชญ์ชาวบ้าน จ�ำนวน 10 คน ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ให้เป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน จ�ำนวน 1 คน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จ�ำนวน การเก็บรวบรวมข้อมูลมีทั้งหมด 7 ขั้นตอน 4 คน และปราชญ์ชาวบ้าน จ�ำนวน 5 คน ในการ ดังนี้ รวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม ขั้นตอนที่ 1 คณะผู้วิจัยประชุมและวางแผน และภูมิปัญญาท้องถิ่น และกลุ่มแม่บ้านที่สนใจ การด�ำเนินงาน เพื่อให้งานบรรลุวัตถุประสงค์ที่ ในการพัฒนาการแปรรูป พืชสมุนไพรท้องถิ่น ที่ ก�ำหนดไว้ น�ำมาท�ำเป็นอาหาร และยาสมุนไพร จ�ำนวน 20 ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาเอกสาร งานวิจัย และ คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ การสังเกต ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง แล้วออกแบบเครื่องมือ คือ บท/ กิจกรรมการพัฒนา และกิจกรรมการแลกเปลี่ยน ประเด็นการสัมภาษณ์ เรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยจะท�ำการสัมภาษณ์ ขั้นตอนที่ 3 ผู้วิจัยลงพื้นที่เพื่อศึกษาบริบท ข้อมูลจากผู้น�ำชุมชน และปราชญ์ชาวบ้าน บ้านโพธิ์ ของชุมชน ความหลากหลายทางชีวภาพด้านพืช พัฒนา ต�ำบลคณฑี อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร สมุนไพร รวบรวมชนิดพันธุ์พืชสมุนไพรประเภทกิน ประกอบด้วย 3 ตอน คือ ได้ที่น�ำมาเป็นอาหาร และสกัดเป็นยาสมุนไพรตาม ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ให้สัมภาษณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ ได้แก่ ชื่อ และต�ำแหน่งผู้ตอบแบบสัมภาษณ์ ขั้นตอนที่ 4 สรุปผลการศึกษา รวบรวม ตอนที่ 2 สัมภาษณ์แนวคิดเกี่ยวกับการ ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการน�ำความหลากหลายทาง ปลูกพืชสมุนไพร ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีวภาพด้านพืชสมุนไพรกินได้ที่น�ำมาท�ำเป็นอาหาร ด้านพืชสมุนไพรของชุมชน รวบรวมชนิดพันธุ์พืช และสกัดเป็นยาสมุนไพรตามภูมิปัญญาท้องถิ่น สมุนไพรประเภทกินได้ที่น�ำมาเป็นอาหาร และสกัด ขั้นตอนที่ 5 สร้างกระบวนการเรียนรู้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 88 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ร่วมกันระหว่างชุมชนและองค์กรที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ คณฑี อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร บ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี อ�ำเภอเมือง จังหวัด ผลการศึกษามาจากการลงพื้นที่ส�ำรวจ ก�ำแพงเพชร เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ พื้นที่ชุมชน และการสัมภาษณ์กลุ่มผู้น�ำชุมชน ด้านพืชสมุนไพร ที่น�ำมาท�ำอาหารและสกัดเป็นยา และปราชญ์ชาวบ้าน จ�ำนวน 10 คน ประชาชน สมุนไพรตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ในหมู่บ้านโพธิ์พัฒนา จ�ำนวน 20 คน ซึ่งผลการ ขั้นตอนที่ 6 จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ สัมภาษณ์จะสรุปผลเฉพาะที่ส�ำคัญบางประเด็น พัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพรท้องถิ่นจากทรัพยากร เท่านั้น ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับการปลูกพืชสมุนไพร ความหลากหลายทางชีวภาพด้านพืชสมุนไพร เพื่อ ของบ้านโพธิ์พัฒนา เริ่มมาจากแนวคิดของกลุ่ม ให้คนในชุมชนมีความรู้สามารถแปรรูปพืชสมุนไพร ผู้น�ำชุมชนที่ให้ความส�ำคัญต่อการปลูกพืชสมุนไพร จากท้องถิ่นได้ ในการท�ำเป็นอาหาร และสามารถน�ำมาสกัดเป็น ขั้นตอนที่ 7 ส่งเสริมการแปรรูปพืชสมุนไพร ยาสมุนไพร ตามภูมิปัญญาท้องถิ่นได้ กลุ่มผู้น�ำที่ ให้เป็นสินค้าของชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบล เริ่มปลูกพืชสมุนไพร มีแนวคิดการริเริ่มปลูกจาก คณฑี อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร เพื่อพัฒนา หลวงพ่อที่วัดบ้านโพธิ์พัฒนารูปหนึ่ง ท่านได้เล็ง เศรษฐกิจชุมชน บ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี อ�ำเภอ เห็นถึงความส�ำคัญของพืชสมุนไพร เพราะเห็นว่า เมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร ตามภูมิปัญญาท้องถิ่น พืชสมุนไพรสามารถรักษาโรคบางชนิดได้ โดยไม่ ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากการ ต้องใช้ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งบางชนิดอาจมีราคาแพง สัมภาษณ์เชิงลึกและลงพื้นที่ส�ำรวจข้อมูลเรื่องความ และต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก อีกทั้งอาจหาซื้อได้ยาก หลากหลายทางชีวภาพด้านพืชสมุนไพร รวบรวม ในท้องถิ่นนั้น บางชนิดให้ผลการรักษาดีใกล้เคียง วัฒนธรรมชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการน�ำความ กับยาแผนปัจจุบันและให้ความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ หลากหลายทางชีวภาพด้านพืชสมุนไพรกินได้ที่ มากกว่ายาแผนปัจจุบัน โดยสมุนไพรที่เริ่มปลูก น�ำมาท�ำเป็นอาหารและสกัดเป็นยาสมุนไพรตาม จะเป็นเสลดพังพอน ขมิ้น ไพล ซึ่งสมุนไพรที่ปลูก ภูมิปัญญาท้องถิ่น แนวทางการอนุรักษ์การปลูก สามารถน�ำมาท�ำเป็นยารักษาโรคตามภูมิปัญญา พืชสมุนไพร ซึ่งจะวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณา โดย ท้องถิ่น เช่น น�ำใบเสลดพังพอนมาสกัดท�ำยา เขียนเป็นความเรียง อธิบายลักษณะของสิ่งที่ศึกษา สมุนไพรรักษาโรคไข้หวัด สามารถรักษาได้โดยไม่ โดยเฉพาะ ต้องไปหาหมอหรือเสียเงินซื้อยากิน เป็นรักษาตาม แบบแผนโบราณท้องถิ่น ปัจจุบันพื้นที่ป่าชุมชนมี สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย เนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ 3 งาน หลวงพ่อท่านได้ใช้พื้นที่ สรุปผลการวิจัย ป่าชุมชนในการปลูกพืชสมุนไพรเป็น จ�ำนวน 50 ผลการวิจัยสามารถสรุปผลตาม ตารางวา ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกเป็นบริเวณติดวัดบ้านโพธิ์ วัตถุประสงค์ได้ ดังนี้ พัฒนาพอดี จากนั้นกลุ่มผู้น�ำชุมชนได้เริ่มมาให้ความ 1. เพื่อศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพ สนใจ คือ ผู้ใหญ่เวคิน รัตนเวโรจน์ ผู้ใหญ่บ้านโพธิ์ ด้านพืชสมุนไพร ของชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบล พัฒนาหมู่ที่ 5 คนปัจจุบัน แนวคิดในการปลูกนั้น Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 89 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เริ่มมาจากการซื้อพืชสมุนไพรมาท�ำเป็นอาหาร เช่น ริเริ่มจะมาจากกลุ่มผู้น�ำชุมชนที่มีการเริ่มปลูก และ ใบกะเพรา โหระพา ข่า ตะไคร้ ฯลฯ ซึ่งพืชเหล่านี้ มีการชักชวนประชาชนให้เห็นถึงความส�ำคัญและ สามารถน�ำมาเป็นยาสมุนไพรได้ด้วย แต่ประชาชน ประโยชน์ของสมุนไพรไม่ว่าจะน�ำมาปรุงอาหารเป็น ในชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา รวมทั้งบ้านผู้ใหญ่ต้องซื้อ ส่วนผสมของการท�ำขนม เช่น การน�ำฟักข้าวมาเป็น พืชสมุนไพรเหล่านี้รับประทาน จึงมีแนวคิดที่ปลูก ส่วนผสมของขนมทองม้วน และการน�ำมาสกัดเป็น ขึ้นมาเองจะได้ลดรายจ่ายของครัวเรือนอีกด้วย โดย ยาสมุนไพรรักษาโรคแบบแผนโบราณ ใช้ในการ พืชที่ปลูกจะเน้นหาได้ง่ายในท้องถิ่น ใช้ปลูกเพื่อใช้ รักษาหรือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งน�ำมาใช้รักษา เป็นอาหารและปลูกเป็นพืชผักสวนครัวได้ ส่วนนาย ได้จริงไม่เป็นอันตราย ซึ่งคนในชุมชนนี้จะมีปราชญ์ ก้อ พิมพ์ดี นักปราชญ์ชุมชน เรื่องพืชสมุนไพรน�ำ ชาวบ้านเรื่องการท�ำยาสมุนไพร เช่น ยาดม ยาหม่อง มาสกัดเป็นยาตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งท่านนี้จะมี พิมเสนน�้ำ และลูกประคบจึงมีปลูกและรักษาไว้ เพื่อ ความรู้ในเรื่องการใช้ยาสมุนไพร มีแนวคิดการปลูก เป็นการอนุรักษ์มรดกไทยให้ประชาชนลูกหลาน มาจากการน�ำพืชสมุนไพรในท้องถิ่นของตนมาใช้ให้ ในท้องถิ่นสืบไป ซึ่งมีพื้นที่ในการปลูกพืชสมุนไพร เกิดประโยชน์ตามแบบแผนโบราณ อีกทั้งเป็นการ จ�ำนวน 50 ตาราวา บริเวณพื้นที่ป่าชุมชนบ้านโพธิ์ อนุรักษ์มรดกไทยให้ประชาชนในท้องถิ่น ท�ำให้คน พัฒนา และที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพต�ำบล เห็นคุณค่าและกลับมาด�ำเนินชีวิตธรรมชาติยิ่งขึ้น และก็ปลูกในบริเวณบ้านเรือนของประชาชนเองทุก ท�ำให้เกิดความภูมิใจในวัฒนธรรมและคุณค่าของ หลังคาเรือน ความเป็นธรรม จากการสัมภาษณ์ประชาชนที่อยู่ ผลการศึกษาความหลากหลายทาง ในพื้นที่หมู่บ้านโพธิ์พัฒนา ส่วนใหญ่ตอบเป็นเสียง ชีวภาพด้านพืชสมุนไพรของหมู่บ้านโพธิ์พัฒนา เดียวกันว่าการริเริ่มปลูกพืชสมุนไพรจะมาจาก พบว่ามีการปลูกทุกครัวเรือนถือว่ามีจ�ำนวนมาก มี ผู้ใหญ่บ้านเวคิน รัตนเวโรจน์ มาให้แนวคิดและ ทั้งหมด 12 ชนิด ได้แก่ ขมิ้น ไพล พลูคาว ว่านหาง แนะน�ำชักชวนให้กับลูกบ้านปลูกพืชสมุนไพร โดย จระเข้ ข่า คะไคร้ มะกรูด ฟักข้าว กะเพรา โหระพา จะเน้นสมุนไพรในครัวเรือน เพราะจะปลูกง่าย หา ถั่วดาวอินคา ว่านชักมดลูก พันธุ์ง่าย และสามารถน�ำมาปรุงอาหาร และใช้เป็น 2. เพื่อพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพร ยาสมุนไพรสกัดเอาไว้ใช้เองตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน ท้องถิ่น จากความหลากหลายทางชีวภาพด้านพืช บางส่วนจะมีแนวคิดการปลูกมาจากสมัยโบราณที่ สมุนไพร ของชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี มีการปลูก และสืบทอดกันมาเป็นรุ่นสู่รุ่น จากการ อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร ศึกษาพบว่าประชาชน จ�ำนวน 20 หลังคาเรือน พบ ผลการพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพร ว่า จะปลูกพืชสมุนไพรอย่างน้อย 5 อย่างทุกหลังคา ท้องถิ่น การให้ความส�ำคัญกับการพัฒนาการ เรือน จากการศึกษาพบว่า ประชาชนในชุมชน แปรรูปพืชสมุนไพร เพื่อน�ำมาเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน บ้านโพธิ์พัฒนา หมู่ที่ 5 ต�ำบลคณฑี อ�ำเภอเมือง จากผลการศึกษาพบว่า ผู้ใหญ่บ้านและกลุ่มผู้น�ำ จังหวัดก�ำแพงเพชร ได้ให้ความสนใจและเล็งเห็น ชุมชน รวมทั้งประชาชนบ้านโพธิ์พัฒนา หมู่ที่ 5 ถึงความส�ำคัญในการปลูกพืชสมุนไพร โดยการคิด ต�ำบลคณฑี อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร นั้น วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 90 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ได้ให้ความส�ำคัญในการสร้างอาชีพให้กับชุมชน 4.55 สามารถน�ำความรู้ที่จะได้รับไปใช้ประโยชน์ ประกอบกับชุมชนมีพืชสมุนไพรหลายชนิดถือ ในชีวิตประจ�ำวันและเชิงพาณิชย์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ได้ว่ามีความหลากหลายด้านชีวภาพพืชสมุนไพร 4.75 มีความพึงพอใจในการอบรมภาพรวม มี เพราะมีการปลูกไว้ทุกครัวเรือนและมีหลากหลาย ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 ภาพรวมผู้เข้าร่วมการอบรม ชนิด ซึ่งหมู่บ้านโพธิ์พัฒนาได้มีการส่งเสริมการปลูก เชิงปฏิบัติการเห็นว่ากิจกรรมนี้ช่วยพัฒนาคุณภาพ พืชสมุนไพรให้กับประชาชนประกอบกับชุมชนมี ชีวิตท่านให้ดีขึ้น มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.55 และ ปราชญ์ชาวบ้านเรื่องหมอยาสมุนไพรจึงมีแนวคิด กิจกรรมนี้ช่วยสร้างรายได้ให้ท่าน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ จะพัฒนาความรู้และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ 4.60 ซึ่งทุกข้อประเด็นการประเมินอยู่ในระดับ เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์และสาธารณะ เพื่อเป็น มากที่สุด พื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน จากศึกษาโดยใช้วิธีการแลกเปลี่ยน จากแนวคิดนี้จึงได้มีการรวมกลุ่มของประชาชน เรียนรู้ หลังจากอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการ บ้านโพธิ์พัฒนา จ�ำนวน 20 คน เป็นแกนน�ำในการ แปรรูปพืชสมุนไพรให้เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนในการ พัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพรจากที่ท้องถิ่นปลูก จัดท�ำสบู่สมุนไพรที่มีส่วนผสมของขมิ้นชัน น�้ำผึ้ง ในชุมชน น�ำมาพัฒนาให้เป็นสินค้าที่สามารถใช้เอง และลูกประคบแห้ง พบว่า ผู้เข้าร่วมให้ความสนใจ ได้และขายเป็นสินค้าของชุมชนได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ ที่จะท�ำกิจกรรมและสามารถที่จัดท�ำเองได้ จาก สนใจจะมีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่ สบู่ ลูกประคบ ครีม ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างมีแนวคิดที่ตรงกันว่า อาบน�้ำ และยาสระผม ซึ่งได้มาจากการส�ำรวจความ สามารถน�ำไปต่อยอดเป็นสินค้าชุมชนต่อไปได้ มี ต้องการของชุมชน ดังนั้น คณะผู้วิจัยจึงได้จัดอบรม แนวคิดที่จะพัฒนาส่วนผสมของสบู่ ซึ่งอาจจะเป็น เชิงปฏิบัติการในการท�ำผลิตภัณฑ์สมุนไพร จ�ำนวน ว่านหางจระเข้ หรือฟักข้าว ซึ่งจะต้องลองน�ำไป 2 ชนิดก่อน ได้แก่ สบู่สมุนไพรที่มีส่วนผสมของ ทดลองก่อน ส่วนลูกประคบก็สามารถน�ำสมุนไพรใน ขมิ้นชัน น�้ำผึ้ง และลูกประคบแห้ง ผลจากการจัด ท้องถิ่นมาเป็นส่วนผสมได้และก็มีแนวคิดที่จะปลูก อบรมเชิงปฏิบัติการในการท�ำผลิตภัณฑ์สมุนไพร พืชสมุนไพรเพิ่มอีกในช่วงฤดูฝน เพื่อที่จะสามารถ พบว่า ผู้เข้าร่วมเป็นเพศหญิงทั้งหมด 20 คน มีอายุ มีพืชสมุนไพรที่เป็นวัตถุดิบมาแปรรูปได้ ไม่ต้องซื้อ ส่วนใหญ่ต�่ำกว่า 40 ปี จ�ำนวน 7 คน และอายุ หาเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นการพัฒนาแปรรูปพืช ระหว่าง 50-59 ปี จ�ำนวน 7 คน รองลงมามีอายุ สมุนไพรบนฐานทรัพยากรชีวภาพท้องถิ่น และจาก ระหว่าง 40-49 ปี จ�ำนวน 5 คน และอายุ 60-69 การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและปรึกษากับทาง จ�ำนวน 1 คน ตามล�ำดับ ผลการศึกษาระดับความ ผู้ใหญ่บ้านก็ได้ให้การสนับสนุนในการท�ำกิจกรรม คิดเห็นในการเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการ ในครั้งนี้ และยังบอกอีกว่าถ้าสนใจจริงๆ จะหา พัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพร พบว่า จากการจัด งบประมาณมาสนับสนุนช่วยทางกลุ่มและผลักดัน อบรมเชิงปฏิบัติการแล้วผู้เข้าร่วมอบรมมีความรู้ ให้เป็นสินค้าชุมชนทาง ตลอดจนทางคณะผู้วิจัยและ ความเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.70 ทางกลุ่มการแปรรูปพืชสมุนไพร ได้ร่วมกันออกแบบ มีความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 91 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้เกิดความ อภิปรายผลการวิจัย น่าสนใจ เกิดมูลค่าเพิ่มในตัวผลิตภัณฑ์ การพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพรท้องถิ่น จากการศึกษาผลการวิจัย พบว่า การ จากความหลากหลายทางชีวภาพด้านพืชสมุนไพร รวมกลุ่มการแปรรูปพืชสมุนไพร การท�ำสบู่สมุนไพร ของชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี อ�ำเภอเมือง กับ การท�ำลูกประคบแห้งสามารถผลักดันให้เป็น จังหวัดก�ำแพงเพชร จากการส�ำรวจความหลาก สินค้าชุมชนได้ เพราะว่ากลุ่มมีความรู้ ความเข้าใจใน หลายทางชีวภาพด้านสมุนไพร ชุมชนมีสมุนไพรที่ การแปรรูป และมีแนวทางในการจัดหางบประมาณ หลากหลายและสามารถน�ำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ โดยมีการปรึกษากับทางกลุ่มผู้น�ำชุมชน ซึ่งกลุ่มผู้น�ำ ของชุมชนได้ ดังนั้น คณะผู้วิจัยจึงได้ร่วมกับชุมชน ชุมชนก็ได้ให้ค�ำส�ำคัญและก�ำลังจะผลักดันให้เป็น ในการพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพรท้องถิ่น โดย สินค้าชุมชน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มพื้นที่การปลูก การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในการท�ำผลิตภัณฑ์ พืชสมุนไพร และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ สมุนไพรคือ สบู่สมุนไพร และการท�ำลูกประคบ ด้านพืชสมุนไพร เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนา ผู้เข้าร่วมอบรมมีความคิดเห็นต่อกิจกรรมอยู่ใน เศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน รวมทั้งเป็นการต่อยอด ระดับมากที่สุดในทุกประเด็น ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นอีกด้วย ชุมชนมีความสนใจในการพัฒนาการแปรรูปพืช ผลการพัฒนาการแปรรูปพืชสมุนไพร สมุนไพร จึงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ขั้นตอน ท้องถิ่น จากความหลากหลายทางชีวภาพด้านพืช การผลิตไม่ยุ่งยาก อีกทั้งสมุนไพรที่ใช้ในการผลิต สมุนไพร ของชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี หาได้ง่ายภายในชุมชน และมีประโยชน์ในการดูแล อ�ำเภอเมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร สามารถสรุป สุขภาพและการผ่อนคลายอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องงาน ประเด็นได้ดังนี้ วิจัยของรุ่งทิวา กองสอง (2551) ที่ศึกษาความหลาก 1. ท�ำให้ประชาชนในชุมชนมีความรู้สึก หลายชนิดของพืชสมุนไพร และการใช้ประโยชน์ของ เห็นคุณค่าของการปลูกพืชสมุนไพร ชุมชน กรณีศึกษาป่าชุมชนโคกหินลาด อ�ำเภอเมือง 2. การวิจัยครั้งนี้เป็นการสร้างผลผลิตให้ จังหวัดมหาสารคาม ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนได้น�ำ กับชุมชน เกิดมูลค่าเพิ่มในตัวผลิตภัณฑ์ พืชสมุนไพรไปใช้ในการบ�ำบัดรักษา บ�ำรุงร่างกาย 3. มีการแปรรูปพืชสมุนไพรให้เป็นสินค้า ในด้านต่างๆ ส่วนพืชน�ำมาเป็นยาสมุนไพร โดยมี ของชุมชน จ�ำนวน 2 รายการ ท�ำให้ประชาชนใน ลักษณะการใช้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญา ชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา มีอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น เกิด ความรู้ของคนในชุมชนหรือหมอยาเป็นผู้บอก การหมุนเวียนของกระแสเงินสดในชุมชนดีขึ้น แนะน�ำการใช้ประโยชน์ 4. งานวิจัยสามารถน�ำไปใช้ได้จริงสู่ภาค แนวทางการแปรรูปพืชสมุนไพรให้เป็น ปฏิบัติของประชาชนในชุมชนที่เข้าร่วมอบรม สินค้าของชุมชนบ้านโพธิ์พัฒนา ต�ำบลคณฑี อ�ำเภอ สามารถน�ำไปผลิตแปรรูปพืชสมุนไพรและจ�ำหน่าย เมือง จังหวัดก�ำแพงเพชร จากการพัฒนาการ สู่ตลาดได้มากขึ้น แปรรูปพืชสมุนไพร คณะผู้วิจัยและชุมชนได้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 92 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ร่วมกันออกแบบบรรจุภัณฑ์และตราสินค้า เพื่อ เอกสารอ้างอิง เป็นการผลักดันผลิตภัณฑ์ให้เป็นสินค้าของชุมชน รุ่งทิวา กองสอง. (2551). ความหลากหลายชนิด ทั้งนี้จะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวผลิตภัณฑ์ ของพืชสมุนไพรและการใช้ประโยชน์ และท�ำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในตราของชุมชน ของชุมชน : กรณีศึกษาป่าชุมชนโคกหิน ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการเพิ่มมูลค่า บรรจุภัณฑ์ ลาด อ�ำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. ของสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ย่อม เรื่องการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ที่กล่าวว่าการ รังสรรค์ ชุณหวรากรณ์. (2558). โลกแห่งสมุนไพร. ออกแบบบรรจุภัณฑ์ เป็นกระบวนการออกแบบ สืบค้นจาก http://www.angelfire.com/ เพื่อให้บรรจุภัณฑ์สินค้าฉีกแนวจากสินค้าคู่แข่ง ซึ่ง ri2/rangsan/preface.html. จะสร้างความสะดุดตา ประทับใจ และเป็นการเพิ่ม สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม. มูลค่าของสินค้า (2559). การเพิ่มมูลค่าผลผลิตและการ ออกแบบผลิตภัณฑ์. สืบค้นจาก www. ข้อเสนอแนะ ismed.or.th. 1. ควรผลักดันกลุ่มการพัฒนาสินค้าด้าน ส�ำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง พืชสมุนไพรให้เป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ชาติ. (2558). งานวิจัยและการพัฒนาพืช 2. ควรออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่สามารถ สมุนไพร. สืบค้นจาก http://www.nstda. บ่งบอกถึงเรื่องราวและอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น or.th/aboutus-nstda. ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมช่องทางการตลาดให้กับ ผลิตภัณฑ์ OTOP Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 93 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี กรณีศึกษา: นักศึกษาไทยในเมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย MARKETING MIX INFLUENCING THE UNIVERSITY CHOICE DECISION OF THAI UNDERGRADUATES IN SURAKARTA AND YOGYAKARTA CITY, INDONESIA เมธาวัตร ภูธรภักดี1* และ ศณัทชา ธีระชุนห์2 Methawat Phutornpukdee1* and Sanatcha Theerachun2 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช1*, 2 [email protected]

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษา ในระดับปริญญาตรีของนักศึกษาไทยในเมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาไทยที่ก�าลังศึกษาระดับปริญญาตรีในเมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย จ�านวน 114 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามความคิดเห็น ใช้การวิเคราะห์เชิงสถิติ หาค่าร้อยละ และ ค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาในระดับปริญญา ตรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาในแต่ละปัจจัยพบว่าทุกข้ออยู่ในระดับมากเช่นกัน ผู้ตอบ แบบสอบถามให้ความส�าคัญมากที่สุดคือปัจจัยด้านราคา รองลงมาคือปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านการ ส่งเสริมการตลาด ปัจจัยด้านกระบวนการให้บริการ ปัจจัยด้านบุคคล ปัจจัยด้านสถานที่ ปัจจัยด้านการ สร้างและน�าเสนอลักษณะทางกายภาพ ตามล�าดับ หัวข้อที่ให้ความส�าคัญมากที่สุดและอยู่ในระดับมาก ที่สุดคือ ค่าเล่าเรียนถูกกว่าเมื่อเทียบกับสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ความหลากหลายของสาขาวิชา การท�าการตลาดโดยใช้กลยุทธ์ปากต่อปาก ผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ คือ มาจากค�าแนะน�าของ ญาติ ครอบครัว เพื่อนและรุ่นพี่ ในภูมิล�าเนาหรือศาสนาเดียวกัน ค�าส�าคัญ: ส่วนประสมทางการตลาด การตัดสินใจ ปริญญาตรี เมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 94 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ABSTRACT The study aimed to study the marketing mix affecting the university choice decisions of Thai undergraduates in Surakarta and Yogyakarta cities, Indonesia. A sample of 114 Thai undergraduates studying in Surakarta and Yogyakarta cities, Indonesia was obtained. Survey questionnaire was used as the research instrument. Statistics used for data analysis were frequencies and means. The research found that overall mean of marketing mix affecting the undergraduate university choice decisions was at high level. When considering into each factors, the findings also showed that every factor was at high level. Price was the most important factor among respondents. After that, product, promotion, process, people, place, and physical evidence and presentation were less important factors respectively. The most important item among respondents at the highest level was “the tuition fees are cheaper when comparing with Thai universities”, “courses in a wide variety of subjects”, “Word of Mouth marketing”. People who influence in the decision makings of the respondents were relatives, family members, friends and seniors from the same hometown or the same religion. Keywords: marketing mix, decision, bachelor degree, Surakarta city and Yogyakarta city บทน�ำ ประเทศอินโดนีเซียถือว่าเป็นประเทศ การศึกษา การมอบทุนการศึกษาแก่นักศึกษาชาว ยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคและสมาคมประชาชาติแห่ง ต่างชาติให้เข้ามาศึกษาภายในประเทศ เช่น ทุน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South มหาวิทยาลัย Muhammadiyah เป็นทุนการศึกษา East Asian Nations) หรือ อาเซียน (ASEAN) ในระดับปริญญาตรี ทุน Developing Countries พื้นที่ประมาณราว 1,904,569 ตารางกิโลเมตร Partnership (KNB) มอบให้แก่ชาวต่างชาติที่สนใจ (Total Area - sq km 2014 Country Ranks, ศึกษาระดับปริญญาโทในประเทศอินโดนีเซีย ทุน By Rank, 2014) มีประชากรราว 253,899,536 Damasiswa ให้ชาวต่างชาติที่สนใจศึกษาด้าน คน (World population review, June, 26th ภาษา ศิลปะ สังคมและวัฒนธรรม ของประเทศ 2014) มากเป็นอันดับ 4 ของโลก อีกทั้งเป็นแหล่ง อินโดนีเซีย เมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตาเป็น ทรัพยากรธรรมชาติที่ส�ำคัญ ทั้งน�้ำมัน ปาล์ม เมืองที่มีสถานศึกษาตั้งอยู่รวมกันไม่ต�่ำกว่า 30 สิ่งทอ ประมง และอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นต้น สถาบัน (id.wikipedia, 2014, September 12) (กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์, (Daftar Nama Kampus-kampus di Yogyakarta, 2555) รัฐบาลอินโดนีเซียมีนโยบายสนับสนุน 2014, September 12) Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 95 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ปัจจุบันประเทศอินโดนีเซียมีคนไทย เข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี โดยใช้กรณีศึกษา อาศัยอยู่แบบถาวรประมาณ 1,200 คน ร้อยละ คือ นักศึกษาไทยที่ก�ำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี 50 เป็นนักศึกษา (สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุง ณ เมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา ซึ่งเป็นเมือง จาการ์ตา, 2557, กันยายน 15) สถาบันการศึกษา ศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ การเมืองและการ ในประเทศอินโดนีเซียได้รับความนิยมจากคนไทย ศึกษาที่ส�ำคัญของประเทศอินโดนีเซีย และชาวต่างชาติ ดังนั้นเครื่องมือที่เหมาะสมใน การวิเคราะห์ตลาดบริการคือส่วนประสมทางการ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ตลาดบริการ หรือ Marketing Mix (7Ps) ซึ่งเป็น เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาด ชุดของเครื่องมือทางการตลาดที่ใช้ด�ำเนินงานเพื่อ ทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษา ให้บรรลุวัตถุประสงค์ในตลาดเป้าหมาย แสดงถึง ในระดับปริญญาตรีของนักศึกษาไทยในเมือง มุมมองจากผู้ขายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระตุ้นผู้ซื้อ ซูราการ์ตา และยอคยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย (คอทเลอร์, 2555 (แปล)) รวมถึงกรอบกระบวนการ ตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยใน ระเบียบวิธีวิจัย หลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น วัฒนธรรม ปัจจัยทางด้าน ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธี สังคม ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทางจิตวิทยา (สุวิมล การสุ่มแบบหลายขั้นตอน โดยเริ่มจากการเลือก แม้นจริง, 2552; วิทวัส รุ่งเรืองผล, 2552; พิมล ตัวอย่างในแต่ละเขตด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ศรีวิกรม์, 2542; เสรี วงษ์มณฑา, 2542) ล้วนมีผล จากความเหมาะสมโดยการอ้างอิงจากข้อมูล ต่อกระบวนการการตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะเป็นการ การลงทะเบียนเข้าร่วมงานกระชับมิตรนักเรียน- มีโอกาสเลือกเรียนสาขาตามความสนใจ (สมบุญ นักศึกษาไทย ในอินโดนีเซียประจ�ำปี 2557 ซึ่ง ตันสกุล, 2550) สามารถเพิ่มความก้าวหน้าและ มีนักศึกษาไทยที่ก�ำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี ความมั่นคงในอาชีพได้ (พรรณพนัช จันหา และ มากที่สุด คือ เมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา อัจฉริยา ปราบอริพ่าย, 2557) เพราะนโยบาย รวม จ�ำนวน 159 คน เป็นจ�ำนวนกลุ่มประชากร และการบริหารงานต่าง ๆ ของภาครัฐมีกระทบถึง ตัวอย่าง และก�ำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดย ผู้เรียนในภาพรวม (เอนก ณะชัยวงค์, 2553) จึง ค�ำนวณจากสูตรของ ทาโร ยามาเน ที่ระดับความ เป็นสิ่งส�ำคัญเร่งด่วนจะต้องท�ำเพื่อพัฒนาและหาก เชื่อมัน 95% และระดับความคลาดเคลื่อนที่ 0.05 ประเทศไทยต้องการเป็นศูนย์กลางทางการศึกษา ได้กลุ่มตัวอย่าง 114 คน จากนั้นท�ำการสุ่มโดย ของภูมิภาคอาเซียน จ�ำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ ก�ำหนดโควตา กลุ่มตัวอย่างที่ได้คือ นักศึกษาไทย จากประเทศที่มีความคล้ายคลึงทางด้านภูมิศาสตร์ ที่ก�ำลังศึกษาระดับปริญญาตรีในเมืองซูราการ์ตา สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งผู้สามารถตอบโจทย์นี้ได้ดี และยอคยาการ์ตาเมืองละ 57 คน และจะต้องก�ำลัง ที่สุดผู้ที่ตัดสินใจเลือกเรียนในประเทศอินโดนีเซีย ศึกษาในระดับปริญญาตรีไม่ต�่ำกว่า 6 เดือน และ ผู้วิจัยเห็นถึงความส�ำคัญในการท�ำวิจัย ท�ำการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างโดยการเลือกแบบ ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ตามความสะดวก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 96 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

การเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล อินโดนีเซีย หาค่าเฉลี่ยถ่วงน�้ำหนัก ตามช่วงค่าเฉลี่ย ผู้วิจัยใช้ แบบสอบถาม และการประเมิน เลขคณิตจ�ำนวน 5 ระดับความส�ำคัญ แต่ละระดับ โดยใช้การเก็บข้อมูลเชิงประจักษ์ ได้แบ่งการเก็บ จะมีความกว้างของอันตรภาคชั้นเท่ากัน ข้อมูล เพื่อการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ตอน ตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามข้อคิดเห็น ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม เพิ่มเติมหรือข้อเสนอแนะ เป็นค�ำถามปลายเปิด วิเคราะห์เชิงสถิติ วิธีหาค่าร้อยละ น�ำค่าตัวแปรที่ เกี่ยวข้องจาการศึกษามาเปรียบเทียบ ใช้เป็นสถิติ สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย วิเคราะห์เชิงพรรณนา สรุปผลการวิจัย ตอนที่ 2 ผู้วิจัยด�ำเนินการส�ำรวจและ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลได้ตามล�ำดับต่อไปนี้ ประเมินตามหลักทฤษฏี ส่วนประสมทางการตลาด ข้อมูลทั่วไปของนักศึกษาไทยที่ก�ำลังศึกษา บริการ (Marketing Mix (7Ps)) โดยมุ่งเน้นที่ อยู่ในระดับปริญญาตรีในเมืองซูราการ์ตาและยอค ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ยาการ์ตา เรียงตามล�ำดับจากมากไปหาน้อย 3 เข้าศึกษาในระดับดับปริญญาตรีของนักศึกษาไทย ล�ำดับแรก ในเมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา ประเทศ ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลทั่วไปของนักศึกษาไทยที่ก�ำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีในเมืองซูราการ์ตาและ ยอคยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย หัวข้อ ประเภท ร้อยละ หัวข้อ ประเภท ร้อยละ ชาย 49.1 ศาสนา อิสลาม 100 เพศ หญิง 50.9 ปกติ 87.7 19 21.9 โครงสร้างหลักสูตร พิเศษ 11.4 21 17.5 อื่น ๆ 0.9 อายุ (ปี) 22 14.9 อังกฤษ 64.9 อื่น ๆ 45.6 หลักสูตรภาษา Bahasa Indonesia 34.2 ใต้ 70.2 อื่น ๆ 0.9 เหนือ 14.9 รัฐบาล 21.1 ภูมิลำ�เนา สถาบันการศึกษา กลาง 12.3 เอกชน 78.9 ตะวันออกเฉียงเหนือ 2.6 Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 97 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

หัวข้อ ประเภท ร้อยละ 50.9) และมีอายุ 19 ปี (ร้อยละ 21.9) ก�ำลังศึกษา 1 31.6 ในชั้นปีที่ 1 (ร้อยละ 31.6) มีภูมิล�ำเนาจากภาคใต้ 4 25.4 (ร้อยละ 70.2) กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดนับถือศาสนา ชั้นปีที่ศึกษา 3 21.1 อิสลาม เลือกเรียนในโครงสร้างหลักสูตรภาคปกติ อื่น ๆ 22 (ร้อยละ 87.7) เรียนในหลักสูตรภาคภาษาอังกฤษ 10,001- 20,000 38.6 (ร้อยละ 64.9) เรียนในสถาบันการศึกษาของ รายได้ เอกชน (ร้อยละ 78.9) มีรายได้ในครอบครัวต่อเดือน ครอบครัว ไม่เกิน 10,000 22.8 10,001–20,000 บาท (เป็นร้อยละ 38.6) ต่อเดือน 20,001- 30,000 19.3 (บาท) ระดับการให้ความส�ำคัญของส่วนประสม อื่น ๆ 19.4 ทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษา จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบ ต่อในระดับปริญญาตรีของนักศึกษาไทยในเมือง แบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ ซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา ในแต่ละด้าน

ตารางที่ 2 แสดงส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ของนักศึกษาไทยในเมืองซูราการ์ตาและยอคยาการ์ตา ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน ระดับ ของนักศึกษาไทย ( X ) มาตรฐาน (S.D.) ความสำ�คัญ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ 3.871 0.750 มาก ปัจจัยด้านราคา 4.099 0.714 มาก ปัจจัยด้านสถานที่ 3.716 0.902 มาก ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด 3.864 0.596 มาก ปัจจัยด้านบุคลากร 3.751 0.834 มาก ปัจจัยด้านกระบวนการการให้บริการ 3.811 0.842 มาก ปัจจัยด้านการสร้างและนำ�เสนอลักษณะทางกายภาพ 3.582 0.901 มาก รวม 3.814 0.792 มาก จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างให้ค่าความส�ำคัญในทุกปัจจัยส่วนประสมทางการ ตลาดอยู่ในระดับมาก ซึ่งสามารถอธิบายเพิ่มเติมได้ดังต่อไปนี้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 98 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ปัจจัยทางด้านผลิตภัณฑ์ ในภาพรวมให้ การน�ำบุคคลที่มีความรู้ความสามารถภายนอกมา ความส�ำคัญในระดับมาก (3.871) โดยให้ความ ให้ความรู้ (3.675) ส�ำคัญในปัจจัยย่อย เรื่องของหลักสูตรที่เปิดสอนมี ปัจจัยด้านกระบวนการให้บริการ ในภาพ ความน่าสนใจมากที่สุด (3.965) และให้ความส�ำคัญ รวมให้ความส�ำคัญในระดับมาก (3.811) โดยให้ เรื่องคาดหวังถึงรายได้จากการท�ำงานที่มากกว่า ความส�ำคัญในปัจจัยย่อย เรื่องการมีกระบวนการ จบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาภายในประเทศ จัดการเรียนการสอนที่รวดเร็ว ถูกต้องและมี น้อยที่สุด (3.763) ประสิทธิภาพมากที่สุด (3.842) และให้ความส�ำคัญ ปัจจัยทางด้านราคา ในภาพรวมให้ความ น้อยที่สุดในเรื่องการมีความปลอดภัย (3.781) ส�ำคัญในระดับมาก (4.099) โดยให้ความส�ำคัญ ปัจจัยด้านการสร้างและการน�ำเสนอใน ในปัจจัยย่อย เรื่องค่าเล่าเรียนถูกกว่าเมื่อเทียบกับ ลักษณะกายภาพ ในภาพรวมให้ความส�ำคัญใน สถาบันการศึกษาในประเทศไทย ในระดับมากที่สุด ระดับมาก (3.870) โดยให้ความส�ำคัญในปัจจัย (4.290) และให้ค่าความส�ำคัญน้อยที่สุดในเรื่องมีทุน ย่อย เรื่องอุปกรณ์สื่อประกอบการเรียนการสอนที่ สนับสนุนการศึกษาด้าน (3.991) พร้อมและทันสมัยมากที่สุด (3.658) และให้ความ ปัจจัยด้านสถานที่ ในภาพรวมให้ความ ส�ำคัญน้อยที่สุดในเรื่องสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ ส�ำคัญในระดับมาก (3.716) โดยให้ความส�ำคัญใน ทั่วถึงและทันสมัย (3.518) ปัจจัยย่อย เรื่องความสะดวกในการเดินทางระหว่าง อภิปรายผลการวิจัย ที่พักและสถานศึกษามากที่สุด (3.833) และให้ จากการวิจัยในครั้งนี้มีข้อค้นพบที่น่า ค่าความส�ำคัญน้อยที่สุดในเรื่องการเดินทางกลับ สนใจสามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ กลุ่มตัวอย่างให้ ภูมิล�ำเนาในประเทศไทยท�ำได้ง่ายกว่าศึกษาใน ความส�ำคัญกับปัจจัยทั้ง 7 ปัจจัยอยู่ในระดับมาก ประเทศอื่น ๆ (3.597) โดยให้ค่าความส�ำคัญของทุกปัจจัยอยู่ในระดับ ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด ในภาพ มาก และให้ค่าความส�ำคัญในปัจจัยย่อยในระดับ รวมให้ความส�ำคัญในระดับมาก (3.864) โดยให้ มากเช่นกัน ยกเว้นปัจจัยทางด้านราคาในหัวข้อ ความส�ำคัญมากที่สุดในปัจจัยย่อย เรื่องมีคณะ/ ค่าเล่าเรียนถูกกว่าเมื่อเทียบกับสถาบันการศึกษา หลักสูตร/สาขาให้เลือกจ�ำนวนมาก (3.947) และ ในประเทศไทยเป็นหัวข้อเดียวที่กลุ่มตัวอย่างให้ ให้ค่าความส�ำคัญน้อยที่สุดในเรื่องมีโครงการ ค่าความส�ำคัญในระดับมากที่สุด สอดคล้องกับ สนับสนุน/ส่งเสริม/กิจกรรม การศึกษาจ�ำนวนมาก กลุ่มผู้ปกครองมีรายได้ส่วนใหญ่เฉลี่ยต่อเดือน (3.720) 10,001–20,000 บาท ถือได้ว่าเป็นรายได้ที่ไม่สูง ปัจจัยด้านบุคลากร ในภาพรวมให้ความ มากนัก จึงเป็นไปได้รายได้เป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อ ส�ำคัญในระดับมาก (3.751) โดยให้ความส�ำคัญมาก การได้มาซึ่งปัจจัยความต้องการพื้นฐานขั้นแรกของ ที่สุดในปัจจัยย่อย เรื่องอาจารย์มีการดูแลนักศึกษา มนุษย์คือ ปัจจัย 4 สอดคล้องกับทฤษฎี 5 ขั้นของ (3.825) และให้ค่าความส�ำคัญน้อยที่สุดในเรื่องมี มาสโลว์ คือ ความต้องการทางร่างกาย เป็นความ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 99 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ต้องการขั้นพื้นฐาน ที่จ�ำเป็นต่อการด�ำรงชีวิต เช่น แม้นจริง (2552) กล่าวถึงปัจจัยหลักที่มีผลกระทบ มีอาหารรับประทาน มีน�้ำดื่ม มีเสื้อผ้า ต่อพฤติกรรมการซื้อ ในส่วนของปัจจัยทางด้าน ปัจจัยทางด้านผลิตภัณฑ์โดยจะค�ำนึงถึง สังคมเกี่ยวกับกลุ่มอ้างอิง มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ความน่าสนใจของหลักสูตรที่เปิดสอน สอดคล้อง ของกันและกัน เช่น ครอบครัว กลุ่มศาสนา เป็นต้น กับผลการวิจัยของพรยศ เสือน้อย (2553) เรื่อง ปัจจัยทางด้านบุคลากรอาจารย์ต้องมีการ ผลกระทบของส่วนประสมทางการตลาดทั้ง 7 (The ดูแลเอาใจใส่นักศึกษาเป็นอย่างดี สอดคล้องกับงาน 7’Ps) ต่อการตัดสินในเรียนในสถาบันสอนดนตรี วิจัยของเกรียงศักดิ์ แสงจันทร์ (2549) เรื่องปัจจัย ของผู้ใหญ่ พบว่าปัจจัยด้านโรงเรียนและหลักสูตร ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อหลักสูตร (product) มีความส�ำคัญอยู่ในระดับมาก รัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต วิทยาลัยการบริหาร ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด ในเรื่อง รัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา พบว่าปัจจัยด้านอาจารย์ ของการได้รับการแนะน�ำจาก ผู้ปกครอง ครูอาจารย์ ผู้สอนอยู่ในระดับมากเช่นกัน ญาติพี่น้อง และเพื่อน รวมถึงการแนะน�ำจากศิษย์ ในส่วนของปัจจัยทางด้านสถานที่เป็น เก่า การท�ำการตลาดทางการศึกษาโดยใช้กลยุทธ์ ปัจจัยที่ยังต้องให้ความส�ำคัญมากที่สุดในเรื่อง ปากต่อปาก มีส่วนส�ำคัญในการกระตุ้นและส่ง ของความสะดวกในการเดินทางระหว่างที่พัก เสริมให้เกิดการสื่อสารแบบปากต่อปาก ซึ่งอาจ และสถานศึกษา สอดคล้องกับงานวิจัยของพรยศ แสดงออกทางการแนะน�ำต่อและการพูดเชิงบวก เสือน้อย เรื่องผลกระทบของส่วนประสมทางการ (เอกชัย ตันธนศักดา, 2552) โดยสังเกตจากผู้ตอบ ตลาดทั้ง 7 ต่อการตัดสินในเรียนในสถาบันสอน แบบสอบถามทั้งหมดมีความคล้ายคลึงกันที่น่าสนใจ ดนตรีของผู้ใหญ่ พบว่าหัวข้อโรงเรียนตั้งอยู่ใน คือ ที่อยู่ภูมิล�ำเนาภูมิภาคเดียวกัน นับถือศาสนา สถานที่ที่เข้าถึงได้ง่าย เป็นหัวข้อที่มีความส�ำคัญ เดียวกัน และ สิ่งที่มีอิทธิพลส่วนหนึ่งก็คือ มาจาก มากที่สุด ค�ำแนะน�ำของ ญาติ ครอบครัว เพื่อน และรุ่นพี่ ท้ายสุดคือ ปัจจัยทางด้านการสร้างและ ดังนั้นจึงท�ำให้การสื่อสารแบบปากต่อปากเป็นแหล่ง น�ำเสนอลักษณะทางกายภาพ ถึงแม้ว่าจะเป็นปัจจัย ข้อมูลอ้างอิงที่ส�ำคัญ (ธีรกิติ นวรัตน ณ อยุธยา, ที่กลุ่มตัวอย่างให้ความส�ำคัญน้อยที่สุดแต่ก็ยังคงให้ 2549) ถูกกระท�ำและถ่ายทอดได้ง่าย ความส�ำคัญในระดับมาก โดยจะให้ความส�ำคัญกับ ปัจจัยด้านกระบวนการการให้บริการ การมี อุปกรณ์สื่อประกอบการเรียนการสอนที่พร้อมและ กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่รวดเร็ว ถูกต้อง ทันสมัย เป็นอันดับแรก ๆ สอดคล้องกับผลการวิจัย และมีประสิทธิภาพ เป็นที่สังเกตว่ากลุ่มตัวอย่างให้ ของ ชุติมา หวังเบ็ญหมัด และคณะ (2556) เรื่อง ความส�ำคัญด้านความปลอดภัยเป็นล�ำดับท้าย ๆ ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ คอนโดมิเนียม ใน ของปัจจัยด้านกระบวนการให้บริการ อีกทั้งกลุ่ม อ�ำเภอหาดใหญ่ ซึ่งผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่าง ตัวอย่างทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลาม จึงอาจเป็น ให้ความส�ำคัญโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อ ไปได้ว่าเนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศสังคม พิจารณารายด้าน พบว่าปัจจัยส่วนประสมทางการ มุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก สอดคล้องตามที่ สุวิมล ตลาดทั้ง 7 ด้าน มีความส�ำคัญอยู่ใน ด้านผลิตภัณฑ์ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 100 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจ�ำหน่าย ด้านการ จึงควรส่งเสริมและน�ำกลยุทธ์ดังกล่าวไปใช้ให้เกิด ส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากร ด้านสิ่งแวดล้อม/ ประโยชน์สูงสุด ลักษณะทางกายภาพ และด้านกระบวนการ ให้ 5. ในการน�ำวิจัยในครั้งนี้ไปใช้ประโยชน์ ความส�ำคัญอยู่ในระดับมากทุกด้าน ควรค�ำนึงถึงความแตกต่างทางด้านสังคมและ ผลที่ได้รับจากการวิจัย สามารถน�ำไปใช้ วัฒนธรรมของกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ ในการสะท้อนมุมมองปัจจัยส�ำคัญของ สูงสุดในการน�ำไปใช้งาน คนไทยที่เลือกไปศึกษาในกลุ่มประเทศอาเซียน คือ เอกสารอ้างอิง อินโดนีเซีย เพื่อรองรับการแข่งขันในการพัฒนา กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์. (2555). มาตรฐานทางการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ เมื่อ คู่มือ การค้าและการลงทุน สาธารณรัฐ มีการเปิดประชาคมอาเซียน และการวิจัยในครั้งนี้ อินโดนีเซีย. กรุงเทพฯ: ส�ำนักข่าวพาณิชย์ จะท�ำให้เห็นถึงข้อควรปรับปรุงและพัฒนาของการ กรมส่งเสริมการส่งออก. ศึกษาในประเทศไทย เกรียงศักดิ์ แสงจันทร์. (2549). ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ข้อเสนอแนะ การตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อหลักสูตร 1. ควรเลือกช่วงเวลาในการเก็บข้อมูล รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต วิทยาลัย ให้เหมาะสม เนื่องจากการเรียนการสอนใน การบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา. ต่างประเทศ มีช่วงเวลาที่ไม่เหมือนกัน รวมถึงควร ปัญหาพิเศษรัฐประศาสนศาสตรมหา มีผู้ประสานงานภายในพื้นที่เพื่อง่ายต่อการเข้าถึง บัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทั่วไป วิทยาลัย กลุ่มประชากรตัวอย่าง การบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา. 2. ควรน�ำเนื้อหาจากการวิจัยในครั้งนี้เพื่อ คอทเลอร์, ฟิลลิฟ. (2555). การจัดการการตลาด. แนวทางกลยุทธ์ดึงดูดผู้เรียนทั้งภายในและภายนอก กรุงเทพฯ: เพียร์สัน เอ็ดดูเคชั่น อินโดไชน่า. ประเทศ ส่งเสริมการศึกษาให้มีความทั่วถึงและได้ ชุติมา หวังเบ็ญหมัดและคณะ. (2556). ปัจจัยที่มี มาตรฐานและเป็นศูนย์กลางการศึกษา ผลต่อการตัดสินใจซื้อ คอนโดมิเนียม ใน 3. รัฐบาลควรน�ำผลของการวิจัยในครั้งนี้ อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา. บทความ ไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการวางรากฐานแผนบริหาร วิจัย เสนอในการประชุมหาดใหญ่วิชาการ การศึกษา โดยเฉพาะในส่วนของปัจจัยทางด้าน ครั้งที่ 4 วันที่ 10 พฤษภาคม 2556 เรื่อง ราคาซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามให้ความส�ำคัญสูงสุด การวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมไทย มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่จะ หาดใหญ่. เป็นทรัพยากรส�ำคัญในการพัฒนาประเทศ ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์. (2551). พฤติกรรมองค์การ. 4. กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการ กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น. ท�ำการตลาดด้านการศึกษาคือ กลยุทธ์ปากต่อปาก ธีรกิติ นวรัตน ณ อยุธยา. (2549). การตลาดบริการ: ดังนั้นสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แนวคิดกลยุทธ์. กรุงเทพฯ: พิมพลักษณ์. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 101 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

พรรณพนัช จันหา และอัจฉริยา ปราบอริพ่าย. เสรี วงษ์มณฑา. (2545). การวิเคราะห์พฤติกรรม (2557). ปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการ ผู้บริโภค. กรุงเทพฯ: ธีระฟิล์มและไซเท็กซ์. ศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัย เอกชัย ตันธนศักดา. (2552). ปัจจัยที่มีอิทธิพล เกษตรศาสตร์. วิทยานิพนธ์ปริญญา ต่อความภักดีและการสื่อสารแบบ มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปากต่อปากของผู้เช่าหอพักในเขต วิทยาเขตก�ำแพงแสน เทศบาลแหลมฉบัง อ�ำเภอศรีราชา พรยศ เสือน้อย. (2553). ผลกระทบของส่วนประสม จังหวัดชลบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหา ทางการตลาดทั้ง7 (The 7’Ps) ต่อการ บัณฑิต วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัย ตัดสินในเรียนใจสถาบันสอนดนตรีของ ราชมงคลสุวรรณภูมิ. ผู้ใหญ่. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต เอนก ณะชัยวงศ์. (2553). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ สาขาวิชาบริหารงานวัฒนธรรม วิทยาลัย การตัดสินใจศึกษาต่อในระดับปริญญา นวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ตรี ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ พิมล ศรีวิกรม์. (2542). พฤติกรรมผู้บริโภค. เชียงใหม่. เชียงใหม่: ส�ำนักส่งเสริมวิชาการ กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์ และงานทะเบียนมหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัย. เชียงใหม่. วิทวัส รุ่งเรืองผล. (2552). หลักการตลาด Principle id.wikipedia. (2014). Daftar perguruan of Marketing. กรุงเทพฯ: มาร์เก็ตติ้งมูฟ. tinggi swasta di Daerah Istimewa สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา. (2557). Yogyakarta. Retreived from http:// คู่มือคนไทยในอินโดนีเซีย. สืบค้นจาก id.wikipedia.org/wiki/Daftar_perguru- http://www.thaiembassy.org/jakarta an_tinggi_swasta_di_Daerah_Istime- /contents/files/thai-people-2013 wa_Yogyakarta. 0329-175245-786274.pdf. Rank. (2014). Total Area - sq km 2014 สมบุญ ตันสกุล. (2550). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการ Country Ranks. Retreived from ตัดสินใจเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี http://www.photius.com/rankings/ หลักสูตรอุตสาหกรรมศาสตรบัณฑิต ที่ geography/total_area_sq_ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรรม. km_2014_0.html. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สถาบัน Worldpopulationreview. (2014). indonesia- เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ. population. Retrieved Sepember สุวิมล แม้นจริง. (2552). การจัดการการตลาด 1, 2014, from http://worldpopula- Marketing Management. พิมพ์ครั้งที่ tionreview.com/countries/indone- 3. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น. sia-population/. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 102 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” บทความวิจัย ความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�าเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ ที่สอดคล้องตาม อัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ SATISFACTION WITH THE FACULTY OF MANAGEMENT SCIENCE OPERATION BASED ON IDENTITY AND UNIQUENESS OF BURIRAM RAJABHAT UNIVERSITY’S FACULTY OF MANAGEMENT SCIENCE ทิพย์สุดา ทาสีด�า1* สุพัตรา รักการศิลป์2 เอมอร แสวงวโรตม์3 ผกามาศ มูลวันดี4 ฐิติพร วรฤทธิ์5 และ แก้วมณี อุทิรัมย์6 Thipsuda Thasedam1* Supatra Rakkarns2 Em-on Sawaengwarot3 Pakamat Moonwandee4 Titiporn Walalite5 and Kawmanee Utiram6 สาขาวิชาการบัญชี คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 1*,2,3,4,5,6 [email protected]*

บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�าเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ ที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ และเปรียบเทียบความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�าเนินงานของคณะ วิทยาการจัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏ บุรีรัมย์ ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลจากอาจารย์ และพนักงานเจ้าหน้าที่ จ�านวน 51 คน และนักศึกษา จ�านวน 469 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติพื้นฐาน ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสมมติฐาน ประกอบด้วย t-test และ F-test ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ประเภทบุคลากร เป็นนักศึกษา สาขาวิชาการบัญชี และอายุ 21 - 25 ปี 2) ความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�าเนินงานของคณะวิทยาการ จัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงล�าดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ เป้าประสงค์ และด้านอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ และ 3) การเปรียบเทียบความพึงพอใจเกี่ยวกับการ ด�าเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ของอาจารย์ พนักงานเจ้าหน้าที่ และนักศึกษา จ�าแนกตามสาขาวิชา มีความ พึงพอใจเกี่ยวกับการด�าเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะ วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ แตกต่างกันอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ค�าส�าคัญ: ความพึงพอใจ การด�าเนินงาน อัตลักษณ์ เอกลักษณ์ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 103 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ABSTRACT The purposes of this research were to study the satisfaction with the operation of the Faculty of Management Science in accordance with the identity and uniqueness and compare the satisfaction with the operation of the Faculty of Management Science based on the Identity and the uniqueness of Buriram Rajabhat University, categorized by sex, category, field and age. The results can be used to develop the operation of the faculty of Management Science, Buriram Rajabhat University, in accordance with the identity and uniqueness. The data collected from 51 instructors and staff and 469 students of the faculty of Management Science of Buriram Rajabhat University. A questionnaire is used for collecting data. The statistics used for data analysis consisted of descriptive statistics, percentage, mean, standard deviation and test hypotheses including t-test and F-test. The results revealed that: 1) Most Instructors, staff and students were female. Students were from the Department of Accountancy and aged between 21-25 years. 2) Satisfaction with the Faculty of Management Science operation in accordance with the identity and uniqueness of Buriram Rajabhat University’s Faculty of Management Science overall and each aspect were at high level, ranked from high to low level as follows: philosophy, vision, mission, goals and unique identity. And, 3) satisfaction comparison of instructors, staff, and students classified by majors with the operation of the Faculty of Management Science based on the identity and uniqueness of Buriram Rajabhat University, was different at .01 significantly statistical level. Keywords: satisfaction, operation, identity, uniqueness

บทน�ำ ประจ�ำปีเสนอต่อหน่วยงานต้นสังกัด และเปิดเผย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ต่อสาธารณชนเพื่อน�ำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและ 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 หมวด 6 มาตรฐานการศึกษา และเพื่อรองรับการรับรอง “มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา” การประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งในการประเมิน มาตรา 48 ก�ำหนดให้หน่วยงานต้นสังกัด และสถาน คุณภาพภายนอกรอบที่สาม (พ.ศ. 2554-2558) ศึกษาต้องจัดให้มีระบบประกันคุณภาพภายใน ส�ำนักงานรับรองมาตรฐานคุณภาพ และประเมิน สถานศึกษา และให้ถือว่าการประกันคุณภาพการ คุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ชื่อเรียกโดย ศึกษาภายในเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการศึกษา ย่อว่า สมศ. ได้ก�ำหนดมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ เกณฑ์การ ที่ต้องด�ำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยจัดท�ำรายงาน ประเมิน และเกณฑ์ในการรับรองมาตรฐานคุณภาพ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 104 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินมาตรฐาน มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เพื่อให้กระบวนการ คุณภาพการศึกษา ประกอบด้วยตัวบ่งชี้ 3 กลุ่ม การผลิตบัณฑิตตรงตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คือ กลุ่มตัวบ่งชี้พื้นฐาน 15 ตัวบ่งชี้ กลุ่มตัวบ่งชี้ และปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ เป้าประสงค์ของคณะ อัตลักษณ์ 2 ตัวบ่งชี้ และตัวบ่งชี้มาตรการส่งเสริม วิทยาการจัดการ และมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 1 ตัวบ่งชี้รวม เป็น 18 ตัวบ่งชี้ (ส�ำนักงานรับรอง ต่อไป มาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2554) ส�ำหรับกลุ่มตัวบ่งชี้อัตลักษณ์ ประกอบ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ด้วย 2 ตัวบ่งชี้ คือ ตัวบ่งชี้ที่ 16 ผลการพัฒนาตาม 1. เพื่อศึกษาความพึงพอใจเกี่ยวกับการ อัตลักษณ์ของสถาบัน และตัวบ่งชี้ที่ 17 ผลการ ด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้อง พัฒนาตามจุดเน้นและจุดเด่นที่ส่งผลสะท้อน ตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการ เอกลักษณ์ของสถาบันในการบรรลุตัวบ่งชี้อัตลักษณ์ จัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ดังกล่าวนั้น มหาวิทยาลัยจะต้องมีการก�ำหนด 2. เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจ อัตลักษณ์และเอกลักษณ์ นอกจากมหาวิทยาลัย เกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ จะต้องบรรลุตัวบ่งชี้อัตลักษณ์แล้ว หน่วยงานระดับ ที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะ คณะต้องผ่านการประเมินตามตัวบ่งชี้ดังกล่าว วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ เช่นกัน ดังนั้น คณะจึงจ�ำเป็นต้องก�ำหนดอัตลักษณ์ จ�ำแนกสาขาวิชา แตกต่างกัน และเอกลักษณ์ของการพัฒนาของแต่ละคณะที่มี ความสอดคล้องกับอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของ ระเบียบวิธีวิจัย มหาวิทยาลัย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากสภา 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ มหาวิทยาลัยโดยมหาวิทยาลัยได้มอบหมายให้คณะ อาจารย์ และพนักงานเจ้าหน้าที่ คณะวิทยาการ ทั้ง 6 คณะก�ำหนดอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ตาม จัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จ�ำนวน 51 คน กระบวนการที่มุ่งให้บุคลากรทุกภาคส่วนและผู้มี และนักศึกษา คณะวิทยาการจัดการ จ�ำนวน 469 ส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการด�ำเนินการก่อนน�ำ คน รวมทั้งสิ้น 520 คน เสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหาร 2. กระบวนการและวิธีการเลือกกลุ่ม มหาวิทยาลัยและสภามหาวิทยาลัยต่อไป ตัวอย่าง ใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง จาก จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น คณะ ประชากรจ�ำนวน 520 คน ได้รับแบบสอบถามกลับ ผู้วิจัยจึงศึกษาความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�ำเนิน คืนมาจ�ำนวน 518 คน คิดเป็นร้อยละ 99.62 ของ งานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้องตาม กลุ่มตัวอย่าง อัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยผลลัพธ์ที่ได้สามารถ แบบสอบถาม ซึ่งได้สร้างตามวัตถุประสงค์และ น�ำไปปรับปรุงแก้ไขการบริหารงาน และพัฒนา กรอบแนวคิดการวิจัยที่ก�ำหนดขึ้น ประกอบด้วย กระบวนการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ความพึงพอใจ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 105 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ 6. สถิติที่ใช้ในการวิจัย คณะผู้วิจัย ที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะ ได้ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติ วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ และ พื้นฐาน ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วน ข้อเสนอแนะอื่น ๆ เบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพ 4. การด�ำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล คณะ ของแบบสอบถาม ประกอบด้วย การหาค่าความ ผู้วิจัยได้ด�ำเนินการเก็บรวบรวมแบบสอบถามด้วย เชื่อมั่นของเครื่องมือ การหาค่าอ�ำนาจจ�ำแนก โดย ตัวเองจากอาจารย์ และพนักงานเจ้าหน้าที่ และ ใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ตามวิธีของครอนบาค นักศึกษา คณะวิทยาการจัดการ รวมทั้งสิ้นจ�ำนวน แบบสอบถามเป็นรายข้อ โดยใช้เทคนิค Cowected 518 ฉบับ Item-Total Correlation และสถิติทดสอบ 5. การหาค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือ สมมติฐาน ประกอบด้วย t-test และ F-test โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ตามวิธีของครอนบาค ซึ่งความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะ สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย วิทยาการจัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และ สรุปผลการวิจัย เอกลักษณ์มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาอยู่ระหว่าง 1. อาจารย์ พนักงานเจ้าหน้าที่ และ 0.8852 - 0.9011 และการหาค่าอ�ำนาจจ�ำแนก นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง นักศึกษาสาขา แบบสอบถามเป็นรายข้อ โดยใช้เทคนิค Cowected วิชาการบัญชี และอายุ 21 - 25 ปี Item – total Correlation ซึ่งความพึงพอใจ 2. ความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�ำเนิน เกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่ งานของคณะวิทยาการจัดการ ที่สอดคล้องตาม สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์มีค่าอ�ำนาจ อัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ จ�ำแนก (r) ระหว่าง 0.8318 - 0.9035 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ดังตาราง 1

ตารางที่ 1 ความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และ เอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยรวมและเป็นรายด้าน ความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน ระดับ จัดการ ที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะ ( X ) มาตรฐาน (S.D.) ความพึง วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ พอใจ 1. ด้านอัตลักษณ์ 4.18 0.60 มาก 2. ด้านเอกลักษณ์ 4.17 0.62 มาก 3. ด้านปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ เป้าประสงค์ 4.24 0.63 มาก รวม 4.23 0.59 มาก วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 106 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

จากตารางที่ 1 พบว่า อาจารย์ พนักงาน (X =4.24, S.D. = 0.63) ด้านอัตลักษณ์ ( X = 4.18, เจ้าหน้าที่ และนักศึกษามีความพึงพอใจเกี่ยวกับการ S.D.=0.60) และด้านเอกลักษณ์ ( X =4.17, S.D. = ด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ ที่สอดคล้อง 0.62) ตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการ 3. ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบความ จัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยรวม พึงพอใจเกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการ และเป็นรายด้านอยู่ในระดับมาก ( X = 4.23, จัดการที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ S.D.=0.59) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านอยู่ในระดับ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มากทุกด้าน โดยเรียงล�ำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหา จ�ำแนกตามสาขาวิชาแตกต่างกัน ดังตาราง 2 น้อย ดังนี้ ด้านปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ เป้าประสงค์ ตารางที่ 2 เปรียบเทียบความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้อง ตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จ�ำแนกตามสาขาวิชา ความพึงพอใจ เกี่ยวกับการ การเงินและ การบัญชี การตลาด การจัดการ เศรษฐศาสตร์ ดำ�เนินงานของ การธนาคาร คณะวิทยาการ จัดการที่ สอดคล้องตาม F p-value อัตลักษณ์ และ N = 144 N = 5 N = 80 N = 62 N = 24 เอกลักษณ์ คณะ วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย X S.D. X S.D. X S.D. X S.D. X S.D. ราชภัฏบุรีรัมย์ 1. ด้านอัตลักษณ์ 4.38 0.48 4.30 0.67 3.96 0.65 4.24 0.59 3.90 0.51 5.077 0.000** 2. ด้านเอกลักษณ์ 4.39 0.48 4.10 0.65 4.04 0.68 4.27 0.59 3.94 0.54 4.043 0.000** 3. ด้านปรัชญา 4.43 0.49 4.30 0.84 4.13 0.73 4.30 0.56 4.04 0.67 3.465 0.000** ปณิธาน พันธกิจ เป้าประสงค์ รวม 4.44 0.48 4.20 0.57 4.05 0.65 4.31 0.54 3.90 0.49 5.530 0.000** ** มีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 107 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 2 (ต่อ) ความพึงพอใจ คอมพิวเตอร์ การบริหาร การสื่อสาร การ อื่น ๆ F p-value เกี่ยวกับการ ธุรกิจ ทรัพยากร มวลชน ท่องเที่ยว ดำ�เนินงานของ มนุษย์ และ คณะวิทยาการ การโรงแรม จัดการที่ สอดคล้องตาม N = 26 N = 50 N = 86 N = 35 N = 6 อัตลักษณ์ และ X S.D. X S.D. X S.D. X S.D. X S.D. เอกลักษณ์ คณะ วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัย ราชภัฏบุรีรัมย์ 1. ด้านอัตลักษณ์ 4.25 0.67 4.26 0.55 4.12 0.62 3.97 0.55 3.75 0.88 5.077 0.000** 2. ด้านเอกลักษณ์ 4.08 0.76 4.18 0.64 4.08 0.59 3.97 0.69 3.75 1.13 4.043 0.000** 3. ด้านปรัชญา 4.08 0.63 4.29 0.49 4.20 0.70 3.99 0.67 3.75 1.21 3.465 0.000** ปณิธาน พันธกิจ เป้าประสงค์ รวม 4.17 0.58 4.34 0.54 4.17 0.63 4.03 0.59 3.75 1.04 5.530 0.000** ** มีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01

จากตารางที่ 2 พบว่า อาจารย์ พนักงาน 1. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจ เจ้าหน้าที่ และนักศึกษา จ�ำแนกตามสาขาวิชา เกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ แตกต่างกัน มีความพึงพอใจเกี่ยวกับการด�ำเนิน ที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะ งานของคณะวิทยาการจัดการที่สอดคล้องตาม วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ อัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะวิทยาการจัดการ เนื่องจาก ในการบริหารจัดการ คณะวิทยาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ โดยรวมและรายด้าน จัดการได้มีการก�ำหนดคุณลักษณะ บัณฑิตเมื่อ ได้แก่ ด้านอัตลักษณ์ ด้านเอกลักษณ์ และด้าน ส�ำเร็จการศึกษาออกไปให้เป็นผู้ที่มีส�ำนึกดี มีความ ปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ เป้าประสงค์ แตกต่างกัน รู้คู่คุณธรรม น�ำชุมชนพัฒนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ บัณฑิต อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จะต้องน�ำไปพัฒนาชุมชนเพื่อเป็นการสร้างมูลค่า อภิปรายผลการวิจัย ของตนเองที่มีต่อสังคมเพื่อน�ำไปสู่การพัฒนา ข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ เป็นไป ท้องถิ่น นอกจากนี้คณะวิทยาการจัดการยังมีการจัด ตามสมมติฐานและวัตถุประสงค์ในการวิจัย โดย หลักสูตรที่เน้นการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ ผลการวิจัยทั้งหมด ซึ่งมีประเด็นส�ำคัญที่น�ำมา ในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ มีการสนับสนุนให้นักศึกษา อภิปรายผล ดังนี้ และบุคลากรเข้าร่วมกิจกรรม/การประกวด/การ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 108 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

แข่งขันที่จัดโดยหน่วยงานภายนอกในระดับชาติ ทางศิลปะมาใช้ในการออกแบบ รวมทั้งเป็นตัว และนานาชาติ มีการบริหารจัดการโดยยึดหลัก ก�ำหนดบุคลิกภาพของผลงานการออกแบบสื่อ ธรรมาภิบาล และมีการส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ ประชาสัมพันธ์ต่อไปได้ และสอดคล้องกับงานวิจัย อาจารย์ และบุคลากรมีส่วนร่วมในการสะท้อนที่ ของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ เน้นการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาท้องถิ่น (2556) พบว่า นักศึกษามีความพึงพอใจเกี่ยวกับการ ที่เป็นที่พึ่งของสังคม นอกจากนั้น คณะวิทยาการ ด�ำเนินงานที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ จัดการยังมีการด�ำเนินงานที่เป็นการพัฒนาบัณฑิต ของมหาวิทยาลัยในภาพรวมระดับดี โดยด้านที่มี ให้มีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณในวิชาชีพ ระดับความพึงพอใจสูงสุดคือด้านเอกลักษณ์ระดับ ต่าง ๆ เพื่อให้เป็นบัณฑิตที่มีความรู้ดี ทักษะเด่น ดี ด้านปรัชญา ปณิธาน พันธกิจ เป้าประสงค์ การ เน้นคุณธรรม น�ำสังคม ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย ก�ำหนดกลยุทธ์ที่ส่งผลต่อการพัฒนาวิชาชีพระดับดี ของ ธัญญรัตน์ อัศวนนท์ (2555) พบว่า การใช้ รองลงมาเป็นการด�ำเนินงานที่ส่งผลต่อการพัฒนา อัตลักษณ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ผังเมือง และ บัณฑิตให้มีคุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณ นฤมิตศิลป์ในสื่อประชาสัมพันธ์ 2 รูปแบบ 1) สื่อ ในวิชาชีพระดับดี และการยอมรับหรือได้รับการ ประชาสัมพันธ์ทั่วไปในการออกแบบมักสื่อสาร ยกย่องในระดับชาติหรือนานาชาติด้านวิชาการของ เพียงส่วนประกอบของอัตลักษณ์องค์กร ไม่มีการ นักศึกษา และ บุคลากรส่วนใหญ่มีความพึงพอใจ สื่อสารจากบุคลิกภาพปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ เกี่ยวกับการด�ำเนินงานที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ หรือคุณค่าองค์กร ไม่ได้ค�ำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่ และเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยในภาพรวมระดับ รับสาร ภาพลักษณ์โดยรวมดูเป็นทางการและเป็น มาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มี ผู้ใหญ่ 2) สื่อประชาสัมพันธ์ที่ใช้ในงานเฉพาะกิจ ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านเอกลักษณ์ระดับมาก รองลง การสื่อสารความเป็นองค์กรปรากฏอยู่เพียงส่วน มาเป็นด้านอัตลักษณ์ระดับมาก โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ย ประกอบของอัตลักษณ์องค์กรบ้างเพียงบางงาน สูงสุดคือ นักศึกษา/บัณฑิตมีคุณลักษณะที่สะท้อน เท่านั้นไม่มีการสื่อสารจากบุคลิกภาพ ปรัชญา ถึงอัตลักษณ์ที่มหาวิทยาลัยก�ำหนดระดับมากที่สุด วิสัยทัศน์ พันธกิจ หรือคุณค่าองค์กรมุ่งสื่อสารตาม รองลงมามีผลการด�ำเนินงานสร้างอัตลักษณ์ของ หัวข้อของการจัดงานเท่านั้น ด้านการรับรู้เกี่ยวกับ มหาวิทยาลัยที่ก่อให้เกิดประโยชน์และหรือสร้าง อัตลักษณ์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ผังเมือง และ คุณค่าต่อสังคม และเอกลักษณ์ “ศิลปวิทยาการ นฤมิตศิลป์จากผู้ตอบแบบสอบถาม รับรู้การสื่อสาร สู่สังคม” ที่มหาวิทยาลัยก�ำหนดสามารถสร้าง จากอัตลักษณ์องค์กร ในระดับมาก รับรู้การสื่อสาร ผลกระทบและเกิดประโยชน์และสร้างคุณค่าต่อ อัตลักษณ์องค์กรผ่านตัวอักษรได้ในระดับปานกลาง สังคม ระดับมากที่สุด ถึงมาก และรับรู้บุคลิกภาพขององค์กร บุคลากร 2. ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจ และนิสิตโดยรวมคือมีสติปัญญา อบอุ่น และใจ เกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ กว้างยอมรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถน�ำไป ที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะ เป็นค�ำส�ำคัญในการพัฒนาการคัดสรรองค์ประกอบ วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 109 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

จ�ำแนกตามสาขาวิชาแตกต่างกัน มีความพึงพอใจ พบว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เกี่ยวกับการด�ำเนินงานของคณะวิทยาการจัดการ ที่มีเพศ และโปรแกรมวิชา มีระดับความพึงพอใจ ที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ คณะ ในอัตลักษณ์ทั้ง 4 ด้านแตกต่างกัน วิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ แตกต่างกัน เนื่องจากในการด�ำเนินงาน คณะ ข้อเสนอแนะ วิทยาการจัดการมีการพัฒนาบัณฑิตให้ตรงตาม 1. ข้อเสนอแนะส�ำหรับการน�ำผลการวิจัย อัตลักษณ์คือ มีการผลิตบัณฑิตให้มีความรู้คู่คุณธรรม ไปใช้ เพื่อน�ำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่น และเอกลักษณ์คือ มี 1.1 ประโยชน์ทางด้านวิชาการ การจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัย และเน้นให้รู้จักหาค�ำตอบผ่านการคิดวิเคราะห์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สาขาวิชา คณะวิชา สังเคราะห์ สร้างสรรค์แก้ปัญหา และตัดสินใจด้วย และมหาวิทยาลัย สามารถน�ำเอาข้อค้นพบการ ตนเอง นอกจากนั้น คณะวิทยาการจัดการยังมีการ ศึกษาด�ำเนินงานที่สอดคล้องตามอัตลักษณ์ และ บริหารจัดการโดยยึดหลักธรรมาภิบาลเป็นหลักใน เอกลักษณ์ เพื่อน�ำไปพัฒนา ปรับปรุง และแก้ไข การบริหาร พร้อมทั้งมีการส่งเสริมและเปิดโอกาส กระบวนการบริหารจัดการ เพื่อให้การผลิตบัณฑิต ให้คณาจารย์และบุคลากรมีส่วนร่วมในการบริหาร ตรงตามอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ จัดการ และมีการก�ำกับ ติดตาม ประเมินผลการ 1.2 ประโยชน์ทางด้านวิชาชีพหรือ ด�ำเนินงานและมีการปรับปรุงการบริหารงานอย่าง การน�ำไปปฏิบัติ เป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาเป็นผู้ที่ความ คณาจารย์ที่อยู่ในสาขาวิชาต่าง ๆ รู้และคุณธรรม จริยธรรม อันก่อให้เกิดประโยชน์ สามารถน�ำผลการวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาบัณฑิตให้ หรือสร้างคุณค่าต่อสังคม มีการผลิตบัณฑิตให้มี เป็นผู้ที่มีอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์ ไปพัฒนาบัณฑิต ความรู้คู่คุณธรรมเพื่อน�ำไปสู่การพัฒนาท้องถิ่น มี ให้ตรงกับวิชาชีพของตนเอง เพื่อเป็นการ การจัดหลักสูตรที่เน้นการปฏิบัติเพื่อให้เกิด และ 2. ข้อเสนอแนะส�ำหรับการวิจัยครั้งต่อไป ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ เพื่อเสริม 2.1 การวิจัยครั้งต่อไปควรมีการเก็บ สร้างอัตลักษณ์นักศึกษา สอดคล้องกับงานวิจัย รวบรวมข้อมูลจากอาจารย์ พนักงานเจ้าหน้าที่ และ ของ จุฑาทิพย์ สุทธิเทพ (2554) พบว่า ความ นักศึกษาในบริบทมหาวิทยาลัย เพื่อท�ำการตรวจ พึงพอใจในอัตลักษณ์ของนักศึกษา ด้านวิชาการ สอบว่ามีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ด้านการแต่งกาย ด้านคุณธรรม และด้านการ หรือไม่ บริการ อยู่ในระดับมาก การทดสอบสมมติฐาน 2.2 การวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษา การเปรียบเทียบความพึงพอใจในอัตลักษณ์ของ กลุ่มตัวอย่างที่เป็นแยกกลุ่มตัวอย่าง เช่น อาจารย์ นักศึกษาโปรแกรมวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและ พนักงานเจ้าหน้าที่ และนักศึกษา ธุรกิจบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 110 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เอกสารอ้างอิง ส�ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. จุฑาทิพย์ สุทธิเทพ. (2554). การศึกษาความ (2556). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่ง พึงพอใจในอัตลักษณ์นักศึกษาโปรแกรม ชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) วิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และธุรกิจ พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ: เดอะบุคส์. บริการ. รายงานการวิจัย. นครราชสีมา: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์. มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา. (2556). ความพึงพอใจของบุคลากร ธัญญรัตน์ อัศวนนท์. (2555). การศึกษาการรับรู้ และนักศึกษาเกี่ยวกับการด�ำเนินงานที่ อัตลักษณ์องค์กร คณะสถาปัตยกรรม- สอดคล้องกับอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ ศาสตร์ ผังเมือง และนฤมิตศิลป์ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. รายงานการ รัตนโกสินทร์. นครปฐม: มหาวิทยาลัย วิจัย คณะสถาปัตยกรรม ผังเมือง และ เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์. นฤมิตศิลป์. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัย ส�ำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการ มหาสารคาม. ศึกษา (องค์กรมหาชน). (2554). คู่มือการ ประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ. 2554 - 2558) ระดับอุดมศึกษา พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์แม็ทช์พอยท์. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 111 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น - พัฒนาการย่านเมืองเก่าเชียงราย กับการเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม THE LOCAL HISTORY DEVELOPMENT OF CHIANG RAI OLD TOWN TO MULTICULTURAL SOCIETY นครินทร์ น�้าใจดี Nakarin Namjaidee ส�านักวิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย [email protected]

บทคัดย่อ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาประวัติศาสตร์ พัฒนาการ ในพื้นที่ย่านถนนธนาลัย ถนนอุตรกิจ และพื้นที่โดยรอบ โดยกระบวนการทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เก็บรวบรวมข้อมูลจากการ ศึกษาเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การส�ารวจ การสัมภาษณ์เชิงลึก กระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อให้เห็น สภาพพื้นที่และสิ่งแวดล้อม สภาพสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรม จากการศึกษาสามารถแบ่งผลการศึกษา ได้เป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ พบว่าพื้นที่ย่าน ธนาลัย ถนนอุตรกิจ มีความส�าคัญทาง ด้านประวัติศาสตร์ มีฐานะเป็นย่านตัวเมืองเดิมของเชียงราย มีพัฒนามาตั้งแต่ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้นมา มีการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ 3 ระลอกใหญ่ คือ ระลอกที่ 1 กลุ่มชาว ไทเขิน ไทลื้อ ไทใหญ่ อพยพเข้ามาในช่วงสมัยธนบุรีถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ระลอกที่ 2 รัชสมัยพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการอพยพเข้ามาของกลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล กลุ่มจีนยูนนาน และกลุ่ม มิชชันนารีชาวตะวันตก ระลอกที่ 3 หลังสงครามมหาเอเชียบูรพา มีการอพยพเข้ามาของกลุ่มชาวมุสลิม เชื้อสายปาทาน ในช่วงหลังสงครามมหาเอเชียบูรพายุติ พื้นที่ย่านธนาลัย อุตรกิจ เกิดการขยายตัว มีฐานะ เป็นย่านที่มีความส�าคัญในฐานะศูนย์ ย่านการค้าที่มีวัด มัสยิด ศาลเจ้า และโบสถ์ แสดงให้เห็นถึงความเป็น สังคมพหุวัฒนธรรมในเมืองเชียงราย ส่วนที่ 2 ปรากฏการณ์ทางสังคมพหุวัฒนธรรม ในพื้นที่ย่านเมืองเก่า เชียงราย อธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม อันจะ เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยท�าให้คนในพื้นที่ ตระหนักถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ค�าส�าคัญ: ประวัติท้องถิ่น ย่านเมืองเก่าเชียงราย สังคมพหุวัฒนธรรม วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 112 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ABSTRACT This study was a qualitative research aimed to study, and examine cultural resource management in the area of Thanalai and Uttarakij Road with local historical study techniques. Data was collected from documents, relevant research, surveys, in-depth interview and participatory observes for getting real pictures and environment, and status of society, economic and culture. The study results were divided into two parts as follows. The first part: historical information. The study found that the area of Thanalai and Uttarakij Road was significantly important in the history as a former town of Chiang Rai Province. It was developed since early Rattanakosin period. There were three migrations of minoritices: 1) Tai Khun, Tai Lue , and Tai Yai moved in Thonburi and early Rattanakosin period ; 2) The oversea Chinese, Yunnan Chinese, and western missionaries entered during the reign of Rama IV; and 3) Pathan muslims came after the Greater East Asia War. This area was turned to be important as the center of commerce where the temple, mosque, shrine, and church were located. Moreover it showed the multiple cultures in the old town of Chiang Rai province. The second part: occurrence of multicultural society in the old town of Chiang Rai province showed the relationship within families, economy, politics, society, and culture. This information would be another tool to help local people understand the value of local history. Keywords: local history, old town of Chiang Rai province, multicultural society

บทน�ำ ด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ จนกระทั่งในช่วงปลายรัชสมัย ย่านถนนธนาลัย ถนนอุตรกิจ และพื้นที่โดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 รอบ มีพัฒนาการมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จ (พ.ศ. 2398–พ.ศ. 2411) ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367 - พ.ศ. 2394/ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411– 27 ปี) เป็นต้นมา ในฐานะย่านตัวเมือง ชุมชน พ.ศ. 2453) เกิดระบบการค้าแบบเสรีนิยม มีการ การค้าส�ำคัญของเมือง บริเวณกลางเมืองเป็นที่ตั้ง เคลื่อนย้ายของผู้คนทั้งกลุ่มชาวจีน เข้ามาเป็น ของคุ้มเจ้านายเมืองเชียงราย และวัดส�ำคัญ มีการ แรงงาน และท�ำการค้าขาย เส้นทางการค้าชายแดน อพยพเข้ามาของชาวไทยใหญ่ ไทยเขิน จากเมือง เกิดการขยายตัวมากขึ้น มีกลุ่มพ่อค้าชาวจีนยูนนาน เชียงตุง ตั้งชุมชนกระจายอยู่ตามทิศต่าง ๆ ของ เข้ามาค้าขายภายในย่านการค้าของ นอกจากนั้น เมือง ส่งผลให้เมืองเชียงรายมีความหลากหลาย ยังมีกลุ่มหมอสอนศาสนาชาวอเมริกัน กลุ่ม Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 113 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เพรสไบเรียน (American Presbyterian Mission) วิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ขึ้นมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ เป็นผู้น�ำเทคโนโลยี ภูมิปัญญาท้องถิ่น การศึกษาข้อมูลจากการออก ตะวันตก ทางด้านการแพทย์ การศึกษา การวาง ภาคสนาม การรวบรวมข้อมูลพื้นฐานของชุมชน ผังเมืองเชียงรายใหม่แบบตะวันตก ต่อมาเกิดการ เช่น ประวัติความเป็นมาของชุมชน วิถีชีวิตของ ย้ายศูนย์ราชการออกไปนอกเมืองเชียงราย แต่ ผู้คนในพื้นที่ย่านเมืองเก่า ความสัมพันธ์ของผู้คน ย่านธนาลัย และพื้นที่โดยรอบ ก็ยังคงมีความ จากการสนทนาพูดคุย การสัมภาษณ์เจาะลึกกลุ่ม ส�ำคัญทางเศรษฐกิจ จนถึง ปัจจุบัน มีการอพยพ ตัวอย่าง โดยการสัมภาษณ์เป็นรายบุคคลแบบการ เข้ามาของคนนอกชุมชน ส่งผลให้คนในชุมชน สัมภาษณ์เป็นทางการและสัมภาษณ์ไม่เป็นทางการ ค่อย ๆ พากันอพยพออกไปอยู่นอกชุมชน ท�ำให้ การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม การสังเกตการณ์ อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมชุมชนดังเดิมค่อย ๆ เลือน แบบไม่มีส่วนร่วม เพื่อให้เข้าใจและเข้าถึงผู้คนใน หายไปกับกาลเวลาอย่างน่าเสียดาย การศึกษาใน ท้องถิ่น เพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่าง ครั้งนี้ ผู้ศึกษาใช้กระบวนการทางประวัติศาสตร์ คนในท้องถิ่น กับสถาบันการศึกษาในท้องถิ่น ท้องถิ่น ศึกษาความสัมพันธ์ของผู้คนที่มีความหลาก หลายด้านชาติพันธุ์ในพื้นที่ย่านเมืองเก่าเชียงราย สรุปผลการวิจัย และอภิปรายผลการวิจัย อันจะน�ำไปสู่การปลูกจิตส�ำนึกให้คนในท้องถิ่นเกิด สรุปผลการวิจัย ความรัก หวงแหนในทรัพยากรทางวัฒนธรรมใน แบ่งเป็น 2 ส่วน (1) ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ท้องถิ่น ย่านเมืองเก่าเชียงราย (2) ปรากฏการณ์ทางสังคม พหุวัฒนธรรมในพื้นที่ย่านเมืองเก่าเชียงราย วัตถุประสงค์ของการวิจัย ส่วนที่ 1: ช่วงที่ 1 ชุมชนเมืองเชียงราย 1. ศึกษาประวัติศาสตร์ พัฒนาการ การ ก่อนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 1805 - พ.ศ. ตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาติพันธุ์ที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า 2325/520 ปี) เชียงราย ในฐานะชุมชนท้องถิ่น เมืองเชียงราย สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 1802 2. ศึกษา และวิเคราะห์ปรากฏการณ์ โดยพญามังราย ภายหลังเมื่อพญามังราย ทรง ทางสังคมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ร่วมระหว่างกลุ่ม สร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น เมืองเชียงรายจึงค่อย ๆ ลด ชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ย่านเมืองเก่าเชียงราย บทบาทลง ต่อมาในปี พ.ศ. 2101 เมืองเชียงใหม่ ตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจของพม่าสลับกับการก็ตกอยู่ใน ระเบียบวิธีวิจัย อ�ำนาจของกรุงศรีอยุธยา เมืองเชียงราย ซึ่งเป็นเมือง ศึกษาประวัติศาสตร์พัฒนาการในพื้นที่ ลูกหลวงถูกพม่าเข้ามาปกครอง (พ.ศ. 2101–พ.ศ. ย่านถนนธนาลัย ถนนอุตรกิจ ในฐานะ “ย่านเก่า 2317/217 ปี) จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2347 ในยุค เชียงราย” ประเมินคุณค่าทรัพยากรทางวัฒนธรรม ของเจ้ากาวิละ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ในพื้นที่ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการเก็บ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงส่งให้กรมหลวงเทพหริรักษ์ รวบรวมข้อมูลจากการศึกษาเอกสารและงาน และพระยายมราช ยกกองทัพขึ้นมาขับไล่พม่าออก วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 114 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

จากเชียงแสนได้ส�ำเร็จมีการกวาดต้อนผู้คนจากเมือง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เชียงแสน ส่งผลให้เมืองเชียงแสน รวมไปถึงเมือง เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 การค้าในสยาม เกิดการ เชียงราย กลายเป็นเมืองร้าง (สรัสวดี อ๋องสกุล, ขยายตัวของเส้นทางการค้ากองคาราวานทางไกล 2552) (Long-distance) เมืองเชียงราย ตั้งอยู่บนจุดหนึ่ง ช่วงที่ 2 ก�ำเนิดชุมชนเมืองเชียงราย ของเส้นทางการค้ากองคาราวาน เกิดการอพยพ ในสมัยรัชกาลที่ 3 – รัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2367 – เข้ามาของชาวยูนนาน ภายหลังตั้งถิ่นฐานอยู่ พ.ศ. 2411/44 ปี) บริเวณถนนกองเวียง ต่อมาเปลี่ยนเป็นถนนธนาลัย ภายหลังจากการขับไล่พม่า เมือง (อภิชิต ศิริชัย, สัมภาษณ์เมื่อ 20 กรกฎาคม เชียงรายที่มีสภาพเป็นเมืองร้าง กลับค่อย ๆ 2558) เรียกชุมชนชาวจีนยูนนานว่า “ซอยวัด ฟื้นตัวขึ้น มีการกวาดต้อนผู้คนจาก เมืองเชียงตุง แขก” (โครงการสนับสนุนการเพิ่มวุฒิของการ และสิบสองปันนา ลงมาตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ บุคลากรสู่ระดับบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏ ในเมืองเชียงราย เรียกช่วงนี้ว่า ยุค “เก็บผักใส่ซ้า เชียงราย, 2543) จนกระทั่งในช่วงปลายรัชสมัย เก็บข้าใส่เมือง” (สรัสวดี อ๋องสกุล, 2552) ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นาย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แพทย์วิลเลียม เอ บริกส์ แพทย์ชาวอเมริกัน คณะ รัชกาลที่ 3 ทรงพระราชทานให้ฟื้นเมืองเชียงราย อเมริกันเพรสไบทีเรียน (American Presbyterian ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เจ้าธรรมลังกา (พ.ศ. 2386 Mission) ได้เดินทางขึ้นมาเผยแพร่คริสตศาสนา – พ.ศ. 2407/21 ปี) เจ้านายเชื้อสายเจ้าเจ็ดตน ที่เชียงราย เป็นผู้วางรากฐาน ด้านการแพทย์สมัย เป็นเจ้าหลวงเมืองเชียงราย ได้รับพระราชทินนาม ใหม่ การศึกษาแบบตะวันตก การออกแบบอาคาร ว่า พระยารัตนะอานาเขต ในสมัยของพระยารัตนะ สถาปัตยกรรมตะวันตกในเชียงราย ผลักดันให้ใน อานาเขต (เจ้าธรรมลังกา) (เป็นช่วงแห่งการมีการ ปี พ.ศ. 2460 มีการทุบก�ำแพงเมืองเชียงราย เพื่อ ฟื้นฟู เมืองเชียงราย มีการก่อสร้างก�ำแพงเมือง (ใน ช่วยให้อากาศเกิดการถ่ายเท เป็นส่วนหนึ่งในการ ระหว่าง พ.ศ. 2387–2417 / 30 ปี) ขุดคูเมืองขนาน ป้องกันการแพร่กระจายของโรคอหิวาตกโรค น�ำไป ไปกับแนวก�ำแพงเมือง กลางเมืองสร้างคุ้มหลวง สู่การวางผังเมืองเชียงรายขึ้นใหม่ในระยะเวลาต่อมา เป็นศูนย์กลางปกครองเมืองเชียงราย (อภิชิต ศิริชัย, ช่วงที่ 4 เมืองเชียงรายหลังสมัย 2558) จนกระทั่งในช่วงต้นรัชกาลที่ 4 ภายหลัง เปลี่ยนแปลงการปกครอง – ปัจจุบัน (พ.ศ. 2475– จากสยามได้ท�ำสนธิสัญญาเบาริ่ง ท�ำให้มีแรงงาน ปัจจุบัน) ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ชาวจีนทยอยอพยพเข้ามาท�ำงานเป็นแรงงาน ใน ถนนพหลโยธินเริ่มได้รับความนิยมเข้ามามีบทบาท เมือง (สกินเนอร์, จี วิลเลียม แปลโดย พรรณี ส�ำคัญ การค้าในภาคเหนือเกิดการขยายตัว ต่อมา ฉัตรพลรักษ์ และคณะ, 2529) ในปี พ.ศ. 2484 ประเทศไทยประกาศเข้าร่วมใน ช่วงที่ 3 การเติบโตชุมชนเมืองเชียงราย สงครามมหาเอเซียบูรพา เชียงรายเป็นเมืองที่ตั้ง ในสมัยรัชกาลที่ 5–รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2411-2475 อยู่บนจุดพักหนึ่งของทหารญี่ปุ่น เมื่อสงครามมหา /64 ปี) เอเชียบูรพายุติลง (ญาดา ฉลูรัตน์, 2556) สภาพ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 115 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

บรรยากาศภายในเมืองเชียงรายเริ่มกลับสู่ความ ธนาลัยส่วนหนึ่งภายหลังจึงได้ร่วมกันสร้างมัสยิด คึกคัก ย่านถนนธนาลัยและถนนอุตรกิจ กลับมา ดารุลอามาน ขึ้นเพื่อเป็นสถานที่พบปะพูดคุยและ คึกคักด้านเศรษฐกิจ เกิดการอพยพเข้ามาของ ประกอบกิจทางศาสนา ย่านธนาลัยจึงถือว่าเป็น คนนอกท้องถิ่น มีการรื้อถอนอาคารไม้พื้นถิ่น ปลูก ชุมชนมุสลิมที่เก่าแก่มากที่สุดในเมืองเชียงราย อาคารพาณิชย์ลุกล�้ำพื้นที่ชุมชนดั้งเดิม ท�ำให้คนใน (อิหม่ามอิโบราฮิม แซ่ลิ่ว, สัมภาษณ์วันที่ 25 ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ค่อย ๆ พากันอพยพออกไปอยู่ กรกฎาคม 2558) ต่อมาในช่วงก่อนสงครามมหา ภายนอกพื้นที่ ภายหลังมีการย้ายศูนย์ราชการออก เอเซียบูรพามีการอพยพเข้ามาของชาวปากีสถาน ไปนอกเมืองเพื่อลดการแออัดด้านการจราจร ใน อพยพผ่านชายแดนประเทศพม่า เข้ามาในอ�ำเภอ ปัจจุบันภายในพื้นที่ย่านเมืองเก่าเชียงรายยังคงพบ แม่สอด จังหวัดตาก และอ�ำเภอแม่สาย จังหวัด ทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า แต่ขาดการ เชียงราย แล้วจึงค่อย ๆ ขยับขยายมาตั้งถิ่นฐานใน ศึกษาอย่างลุ่มลึก มีโอกาสเลือนหายไปจากสังคม เมืองเชียงราย จากจุดเล็ก ๆ จ�ำนวน 2 ครอบครัว ท้องถิ่นอย่างน่าเสียดาย เมื่อสงครามมหาเอเซียบูรพายุติลง มีการอพยพ ส่วนที่ 2 กรณีศึกษาปรากฏการณ์ทาง เข้ามาสมทบ อีก 8 ครอบครัว โดยเลือกตั้งชุมชน สังคมพหุวัฒนธรรม ในพื้นที่ย่านเมืองเก่าเชียงราย อยู่ติดกับแม่น�้ำกก มีสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะ การศึกษาในครั้งนี้ เลือกศึกษาเฉพาะ ธรรมชาติกลางล�ำน�้ำกก ชาวบ้านเรียก “บ้านเกาะ” กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในพื้นที่เขตเมืองเก่าเชียงราย เรียกกันต่อมาว่า “กกโท้ง” (ทวีกิจ บุญประเสริฐ, อธิบายผ่านการดัดแปลงมาจากแนวคิดชาติพันธุ์ ผู้บรรยายธรรมประจ�ำมัสยิด นูรุ้ลอิสลามปากีสตาน, สัมพันธ์ (สุเทพ สุนทรเภสัช, 2549) จ�ำนวน 2 สัมภาษณ์วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559) การก�ำเนิด ปรากฏการณ์ ชุมชนชาวปาทาน น�ำสู่การก�ำเนิดตระกูลท้องถิ่น 1) ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เชื้อชาติ ที่ส�ำคัญ ได้แก่ อนุรักษ์, บุญประเสริฐ, เจริญสุข และศาสนา ของกลุ่มชาวจีนยูนนาน (ฮ่อ) และกลุ่ม เป็นต้น ต่อมาภายหลังกลุ่มตระกูลเหล่านี้ กลาย ชาวปากีสถาน (ปาทาน) ปรากฏการณ์ในด้านความ มาเป็นกลุ่มผู้ที่มีบทบาทด้านการเมืองท้องถิ่น และ ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เชื้อชาติและศาสนา เศรษฐกิจ ของเมืองเชียงราย (โครงการเพิ่มวุฒิ สามารถเห็นได้เด่นชัดในกลุ่มวัฒนธรรมผู้ที่นับถือ บุคลากรระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎ ศาสนาอิสลาม การเข้ามาของศาสนาอิสลามใน เชียงราย, 2543) เชียงรายมาพร้อมกับการอพยพเข้ามา ผ่านการค้า อิโบราฮิม (อิหม่าม) ประจ�ำมัสยิดดารุล ทางกองคาราวานทางไกล ระหว่างล้านนา กับดิน อามาน และ คุณทวีกิจ (กาติบ) ประจ�ำมัสยิด แดนที่อยู่นอกเขตล้านนาต่อมาในปี พ.ศ. 2454 นูรุ้ลอิสลาม ปากีสถาน ให้ข้อมูลที่ตรงกันถึง ความ มีการอพยพเข้ามาของชาวมุสลิมยูนนานระลอก สัมพันธ์ร่วมของกลุ่มชาวมุสลิมยูนนาน และกลุ่ม ใหญ่เพื่อหนีภัยความวุ่นวายทางการเมืองภายใน มุสลิมเชื้อสายปาทานว่า สิ่งที่ชาวจีนยูนนานและ ประเทศจีน ท�ำให้มีกลุ่มชาวจีนยูนนานบางส่วน ชาวปาทานมีร่วมกันคือ การยึดจารีตศาสนาอิสลาม อพยพเข้าตั้งรกรากในจังหวัดเชียงรายในย่านถนน ได้แก่ หลักการ (Doctrinal) บทบัญญัติ พระคัมภีร์ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 116 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

อัลกุรอาน (Holy Koran) และจารีตของศาสดา อัตลักษณ์จีนยูนนานที่หารับประทานได้ยากใน มูฮัมหมัด (Hadith) อักษรอาหรับ (Literary) มี ปัจจุบัน ส�ำหรับเลี้ยงผู้ที่เข้ามาร่วมกิจทางศาสนาใน มัสยิดเป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนา ช่วงค�่ำของงานเทศกาล “อัศศิยาม1” หรือ เทศกาล เมื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาวปาทานทราบ ถือศีลอดของชาวมุสลิมและเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ ว่าเมื่อแรกเข้ามาในเชียงราย ชาวปาทาน ในฐานะ กลุ่มมุสลิมโรฮิงยา2 ที่อพยพจากประเทศพม่าเข้ามา มุสลิมใหม่ จะรวมตัวกันมาประกอบศาสนกิจที่ ในเมืองเชียงราย เข้ามาร่วมกิจกรรมทางศาสนาใน มัสยิดกลางใกล้ ๆ กับตลาด (มัสยิดฮ่อ) ภายหลัง ช่วงตลอดเทศกาล นอกจากนั้นยังมีกลุ่มนักศึกษา รวบรวมเงิน และได้รับบริจาคที่ดินจากตระกูล จากสมาคมมุสลิม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เข้า อนุรักษ์ สร้างมัสยิดนูรุ้ลอิสลาม ปากีสถาน ขึ้น มาประกอบศาสนกิจทางศาสนาและพบปะกับคนใน ใหม่ในชุมชนชาวปาทาน แม้ในปัจจุบันชุมชนชาว ท้องถิ่นด้วย (เกตสิริ รุจิพรรณ, สัมภาษณ์วันที่ 23 ปาทานจะมีมัสยิดประจ�ำชุมชนแล้วก็ตาม แต่เมื่อ กรกฎาคม 2558) มีงานเทศกาลส�ำคัญต่าง ๆ มักได้รับเชิญไปร่วม 2) การจัดตั้งกลุ่มและองค์กรทางสังคม งานกับมัสยิดกลางอยู่เสมอ ปัจจุบันมัสยิดดารุล วัฒนธรรม และการศึกษา ของกลุ่มชาวจีนโพ้น อามาน หรือมัสยิดกลาง ก็ยังท�ำหน้าที่เป็นเสมือน ทะเล สามารถเห็นได้ชัดในกลุ่มชาวกลุ่มจีนโพ้น จุดศูนย์กลางของชุมชนชาวมุสลิมในเมืองเชียงราย ทะเล ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรชาติพันธุ์ ที่มีการรวมกลุ่ม ท�ำหน้าที่ ประสานความสัมพันธ์ ของกลุ่มชาวมุสลิม ก้อนอย่างเหนี่ยวแน่นมาอย่างยาวนาน ชาวจีนโพ้น ดั้งเดิม และผู้ที่เข้ามาอาศัยใหม่เป็นพื้นที่แสดงออก ทะเลอพยพเข้ามาในเชียงราย 2 ระลอก ระลอกแรก ในด้านความความสัมพันธ์ทางเครือญาติของกลุ่ม ในช่วงกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า จีนยูนนานกลุ่มต่างภายในเมืองเชียงราย เช่น จาก รัชกาลที่ 4 ในปี พ.ศ. 2398 ภายหลังสยามได้ท�ำสนธิ ชุมชนมัสยิดเด่นห้า เป็นต้น มีการรวมกลุ่มร่วม สัญญาเบาว์ริงกับประเทศอังกฤษและนานาประเทศ กันมาเป็นจิตอาสา ปรุงอาหารพื้นเมือง อาหาร ท�ำให้เกิดระบบการแบบเสรีนิยม กระตุ้นให้มีเกิด

1 อัศศิยาม หรือการถือศีลอดในศาสนาอิสลามเริ่มขึ้นในฮิจเราะห์ที่ 2 (ค.ศ. 623) ในภาษาอาหรับเรียก อัศศิยาม ส่วนใน ภาษามลายู ใช้ค�ำว่า ปัวซาหรือปอซอ หมายถึง การเว้นจากการดื่ม การร่วมสังวาส และการท�ำความชั่วด้วยกายกรรม วจี กรรม และมโนกรรม ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตกดิน ตลอดเดือนรอมฎอน (ส�ำนักงานวัฒนธรรม กีฬา และ การท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร, 2557) 2 ชาวโรฮิงญา เป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนประเทศพม่า อพยพจากประเทศบังกลาเทศเข้ามาอาศัยในประเทศ พม่าในสมัยที่ประเทศพม่าตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของจักรวรรดินิยมอังกฤษ ชาวโรฮิงญานับถือศาสนาอิสลาม มีการใช้ ภาษาจิตตะกอง-เบงกาลี ซึ่งต่างกลุ่มชาติพันธุ์ดังเดิมในประเทศพม่า จากปัจจัยทางด้านประวัติศาสตร์ส่งผลให้รัฐบาล ทหารพม่าไม่รับรองกลุ่มชาวโรฮิงญา เป็นประชากรส่วนหนึ่งในกลุ่มชนพื้นเมือง (Indigenous groups) ในรัฐธรรมนูญพม่า ส่งผลให้ไม่ได้รับสัญชาติพม่า ชาวโรฮิงญาจึงเป็นประชากรที่ไร้สัญชาติและต้องอพยพลี้ภัยไปยังประเทศอื่นเพื่อแสวงหา ชีวิตที่ดีกว่ารวมไปถึงเข้ามาอาศัยอยู่ในจังหวัดที่เป็นเมืองชายแดนไทย พม่า เช่น จังหวัดตาก จังหวัดระนอง และจังหวัด เชียงราย เป็นต้น (http://www.tacdb-burmese.org, เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2559) Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 117 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

การผลิตสินค้าบางอย่างมากขึ้น แรงงานชาวจีน ชาวพื้นเมืองเชียงรายถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ตาม ค่อย ๆ อพยพเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยเป็น หลักการวางผังเมืองพื้นฐานของเมืองในภูมิภาค จ�ำนวนมาก (สวี่ เส้าหลิน, ม.ป.ป.) การอพยพของ เอเชีย เรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์ (เกรียงไกร เกิดศิริ, กลุ่มชาวจีนในเมืองเชียงราย ประกอบไปด้วย จีนห้า 2551) มีการสร้างป้ายเคารพหรือรูปจ�ำลองที่ชาว ภาษา คือ จีนแคะ จีนไหหล�ำ จีนแต้จิ๋ว จีนกวางตุ้ง เชียงรายต่างเชื่อกันว่า เป็นรูปเหมือนพญามังราย และจีนฮกเกี้ยน ภายหลังชาวจีนเหล่านั้นกลายมา มาเป็นเทพเจ้าส�ำคัญของศาลเจ้า โดยตามหลัก เป็นชนชั้นน�ำ ที่น�ำความรู้ ความเจริญเข้ามาสู่เมือง ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าท้องถิ่นของชาวจีนแต้จิ๋ว เชียงราย เช่น ช่างก่อสร้าง เจ้ารถขนานยนต์ และ เรียกเทพเจ้าท้องถิ่น ที่เปลี่ยนสถานะจากเจ้า รถโดยสาร เป็นต้น ระลอกที่ 2 อพยพเข้ามาในช่วง ท้องถิ่นมาเป็นเจ้าของชาวจีนว่า “ปึงเถ่ากง” สงครามมหาเอเชียบูรพา จีนส่วนมากเป็นจีนแคะ (พรพรรณ จันทโรนานนท์, 2553) และบริเวณด้าน จากจังหวัดกาญจนบุรี ต่างหนีจากเมืองกาญจนบุรี ล่างในย่านชุมชนจีนมีการสร้างศาลเจ้าเล็ก ๆ ไว้ เพราะเป็น เป็นจุดยุทธศาสตร์ส�ำคัญในช่วงสงคราม ในบริเวณวัดมิ่งเมือง ชาวบ้านเรียก “วัดช้างมูบ” ไปอยู่ต่างจังหวัด รวมไปถึงจังหวัดเชียงรายด้วย ต่อมาในปี 2504 ชาวจีน เกาะกลุ่มเข็มแข็งขึ้น (ศิริเพ็ญ อึ้งสิทธิพูลพร, 2557) ตามนโยบายใน น�ำไปสู่การก่อตั้งมูลนิธิสาธารณกุลสงเคราะห์ สมัยรัฐบาลในสมัยจอมพล ป พิบูลสงคราม เมือง เชียงราย เป็นองค์กรทางเชื้อชาติ และวัฒนธรรม เชียงรายเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ชาวแคะเลือก เพราะ ผลักดันให้เกิดความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติ ในกลุ่ม มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นเมืองชายแดนที่ส�ำคัญ ต่อ ชาวจีนห้าภาษา โดยมีกลุ่มชาวจีนแคะเป็นกลุ่ม มากลุ่มชาวจีนแคะ กลายมาเป็นนักธุรกิจการเกษตร ผู้ที่มีบทบาทส�ำคัญมากที่สุดในมูลนิธิสาธารณกุศล ส�ำคัญของเชียงราย เช่น เจ้าของเจ้าของโรงสีข้าว สงเคราะห์เชียงรายมีการสร้างศาลเจ้าขึ้นใหม่ เป็น ขนาดใหญ่ (สินธุ์ จงไพรบูลย์กิจ, สัมภาษณ์ 11 พื้นที่ส�ำหรับการรวมตัวของชาวจีนในย่านตัวเมือง สิงหาคม 2558) รวมไปถึงจีนแคะยังมีความสามารถ เชียงราย มีการจัดกิจกรรมผสานความสามัคคี ด้านงานฝีมือ อีกด้วย ภายหลังจึงน�ำความรู้มา ความเข้มแข็ง ด้วยการจัดงานเทศกาลกินเจ งาน เลี้ยงชีพ เปิดกิจการ ร้านตัดรองเท้าหนัง ร้านตัดสูท แห่เจ้าพ่อเจ้าแม่หรืองานงิ้ว ในงานแห่เจ้าพ่อเจ้า เป็นต้น ตัวอย่างร้านจีนแคะ เช่น ร้านสามดาว แม่ มีกิจกรรมส�ำคัญในงานแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ คือ เป็นต้น ความเข้มแข็งของสังคมจีนในเชียงราย มี การกินเลี้ยงเพื่อให้ชาวจีนรุ่นใหม่ และรุ่นเก่าได้มา ปัจจัยจากความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความ พบปะกัน มีการท�ำพิธีประมูลของศักดิ์สิทธิ์ หรือ ยึดมั่น ตามปรัชญาขงจื้อ ที่เน้นความสัมพันธ์ เรียกว่าการประมูลของเจ้า เพื่อน�ำเงินมาท�ำกิจกรรม ตระกูลแซ่ และความกตัญญู ชาวจีนจึงรวมตัวเกิด สาธารณกุศล มีการจัดกิจกรรม เก็บศพไร้ญาติ เป็นกลุ่มขนาดเล็ก ต่อมาค่อย ๆ พัฒนา กลาย และพิธีล้างป่าช้า โดยจะจัดขึ้น 3 ปีต่อหนึ่งครั้ง มาเป็นมูลนิธิสาธารณกุลสงเคราะห์เชียงราย นายสินธุ์ จงไพรบูลย์กิจ ผู้จัดการมูลนิธิสาธารณ จนถึงปัจจุบัน ในด้านความสัมพันธ์กับท้องถิ่น กุศลสงเคราะห์ เล่าถึงความสัมพันธ์ของสมาคมฯ ชาวจีนเลือกตั้งศาลเจ้าขึ้นบริเวณดอยจอมทอง ซึ่ง ในฐานะสังคมพหุวัฒนธรรมว่า วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 118 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

“การเก็บศพไร้ญาติ และพิธีล้างป่าช้า จัด ศึกษาและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องควรร่วมมือกัน ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2522 ครั้งล่าสุดที่ปี พ.ศ. 2558 เพื่อจัดเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอย่าง คนจีนในเมืองเชียงรายและที่อื่น ๆ สละเวลามา จริงจัง อันจะน�ำไปสู่การปลุกจิตส�ำนึกรักท้องถิ่น ร่วมพิธี ศพไร้ญาติ ศพส่วนหนึ่งที่ฝังไว้ในสุสานของ ให้กับคนในพื้นที่ และยังสามารถน�ำองค์ความรู้ไป สมาคมฯ เป็นชาวมุสลิม ซึ่งทางสมาคมก็ด�ำเนินการ ต่อยอด และพัฒนาให้พื้นที่ย่านเมืองเก่าเชียงราย ตามประเพณีของชาวจีน เพื่อให้เป็นไปตามจารีต เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ประเพณีและศีลธรรม โดยไม่ได้แบ่งแยกเชื้อชาติ และศาสนา….” เอกสารอ้างอิง ในด้านการศึกษา กลุ่มชาวจีนโพ้นทะเล มี เกรียงไกร เกิดศิริ. (2551). ชุมชนกับภูมิทัศน์ การสร้างโรงเรียนจีน “ลี้เม้งฮกเก่า” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. วัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: อุษาคเนย์. 2472 เพื่อฝึกหัดถ่ายทอดภาษา ขนบธรรมเนียม โครงการสนับสนุนการเพิ่มวุฒิของการบุคลากรสู่ ประเพณีจีนให้กับบุตรหลานชาวจีนและบุคคล ระดับบัณฑิต. (2543). เชียงรายใน 100 ทั่วไป หนึ่งในกิจกรรมปลูกฝัง ถ่ายทอดวัฒนธรรม ปีที่ล่วงแล้ว. เชียงราย: สยามโฆษณาและ จีน คือ การผลักดันให้เยาวชนที่เรียนในโรงเรียน การพิมพ์. ท�ำหน้าที่ เป็นผู้เชิดมังกร ส่วนหนึ่งท�ำหน้าที่บรรเลง ญาดา ฉลูรัตน์. (2556). แนวทางการจัดการ ดนตรีประกอบการแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ประจ�ำทุกปี อนุรักษ์พระวิหารคริสตจักรที่ 1 เวียง เป็นกระบวนการปลูกฝั่งค่านิยมความเป็นจีนให้กับ เชียงราย โดยการมีส่วนร่วมของภาค กลุ่มจีนรุ่นใหม่ และคนในท้องถิ่นในฐานะคนใน ประชาสังคม. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์ ท้องถิ่นร่วมกัน ปัจจุบันโรงเรียนจีน มีพัฒนาการเป็น มหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. พรรณี วิทยาลัยอาชีวศึกษาพาณิชยการเชียงราย มีด้วยกัน ฉัตรพล. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการต�ำรา ถึง 3 แห่ง (สินธุ์ จงไพรบูลย์กิจ, สัมภาษณ์เมื่อวันที่ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 11 ตุลาคม 2558) พรพรรณ จันทโรนานนท์. (2553). อัตลักษณ์ ทางวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายจีน ข้อเสนอแนะ ในอ�ำเภอโพธาราม: การคงอยู่และการ ในปัจจุบันในเมืองเชียงรายยังคงหลงเหลือ เปลี่ยนแปลง. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น จากคนที่มีอายุ รามค�ำแหง. ร่วมสมัยกับเหตุการณ์ส�ำคัญในอดีต หลักฐานจาก เอกสารในท้องถิ่น แต่ยังขาดการศึกษา การจัด ศิริเพ็ญ อึ้งสิทธิพูลพร. (2557). การฟื้นฟูอาหาร เก็บข้อมูลอย่างลุ่มลึก ในอนาคตหากไม่รีบจัดเก็บ พื้นบ้านจีนแคะ (ฮากกา) ห้วยกระบอก ข้อมูลชุดดังกล่าว มีโอกาสที่จะเลือนหายไปจาก : สิ่งท้าทายในภาวการณ์ที่สวนกระแส. สังคมท้องถิ่นเชียงรายอย่างน่าเสียดาย สถาบันการ วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร. 34(3), 43-64. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 119 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สุเทพ สุนทรเภสัช. (2549). ชาติพันธุ์สัมพันธ์. อภิชิต ศิริชัย. (2558). “777 ปี ชาตกาลพญามังราย กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์เมืองโบราณ. หลวง”. เชียงราย: ส�ำนักพิมพ์ล้อล้านนา. สรัสวดี อ๋องสกุล. (2552). ประวัติศาสตร์ล้านนา- เกตสิริ รุจิพรรณ. สัมภาษณ์วันที่ 23 กรกฎาคม History of Lan na. พิมพ์ครั้งที่ 6. 2558 กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง. สินธุ์ จงไพรบูลย์กิจ. สัมภาษณ์ 11 สิงหาคม 2558. สกินเนอร์, จี วิลเลียม. (2529). สังคมจีนใน อิหม่ามอิโบราฮิม แซ่ลิ่ว. สัมภาษณ์วันที่ 25 ประเทศไทย: ประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ กรกฎาคม 2558 รักษ์. แปลโดย พรรณี ฉัตรพลรักษ์ และ ทวีกิจ บุญประเสริฐ, ผู้บรรยายธรรมประจ�ำมัสยิด คณะ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการต�ำรา นูรุลอิสลามปากีสตาน, สัมภาษณ์วันที่ 5 สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. กุมภาพันธ์ 2559) สวี่ เส้าหลิน. การหลอมตัวผสมกลมกลืนกับคน อภิชิต ศิริชัย. สัมภาษณ์วันที่ 20 กรกฏาคม 2558, ท้องถิ่นเป็นหลักแห่งการพัฒนาของจีน 9 ตุลาคม 2558. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียศึกษา โพ้นทะเล. คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตยในพม่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (กรพ.). (2559). สนธิสัญญาปางโหลง ส�ำนักงานวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมใน กรุงเทพมหานคร.(2557). วันส�ำคัญ ประเทศพม่า. สืบค้นจาก http://www. ทางประเพณี วัฒนธรรม และศาสนา. tacdb-burmese.org/. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 120 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” บทความวิจัย ผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระดับนักศึกษา โดยสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ THE RESULTS OF PHILOSOPHY OF SUFFICIENCY ECONOMY DRIVEN BY INSTITUTE OF SUFFICIENCY ECONOMY OF RAJABHAT RAJANAGARINDRA UNIVERSITY’S STUDENTS สายฝน เสกขุนทด Saifon Sekkhunthod สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ [email protected]

บทคัดย่อ การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) น�าเสนอวิธีการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระดับ นักศึกษา และ 2) ศึกษาผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระดับนักศึกษา โดยสถาบันเศรษฐกิจ พอเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2-4 จ�านวน 320 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบบันทึกการเสวนา สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าสูงสุด ค่าต�่าสุด ฐานนิยม ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ ANOVA สรุปผลการวิจัย ได้ดังนี้ 1. วิธีการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระดับนักศึกษา คือ โครงการอบรม หลักสูตร “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงระดับนักศึกษา” (หลักสูตร 2 วัน พักค้าง 1 คืน) จ�านวน 4 รุ่น รุ่นละ 80 คน รวมทั้งสิ้น 320 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (55.00%) เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 (38.75%) นักศึกษา 3 คณะมีจ�านวนเท่ากัน (25.00%) ส่วนคณะวิทยาศาสตร์ฯ (17.19%) และคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (7.81%) 2. ผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า 1) หลังอบรมแล้วนักศึกษามีระดับด้าน พุทธิพิสัย ระดับความสามารถในการคิดเกี่ยวกับเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อยู่ในระดับมากทุกข้อ 2) นักศึกษาทักษะพิสัย หรือระดับพฤติกรรมในการน้อมน�าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ใน การด�าเนินชีวิตประจ�าวัน อยู่ในระดับบ่อยครั้ง นักศึกษามีจิตพิสัยหรือเจตคติทางด้านจิตใจเกี่ยวกับค่านิยม ความรู้สึก ทัศนคติ ความเชื่อ ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามอยู่ในระดับเห็นด้วยทุกข้อ 3. การเปรียบเทียบผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และ จิตพิสัย จ�าแนกตามเพศ ชั้นปี และคณะที่สังกัด พบว่าแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส�าคัญทางสถิติ ค�าส�าคัญ: ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง โครงการอบรม Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 121 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ABSTRACT This study aimed to present the driven methods of philosophy of sufficiency economy and determine the results of philosophy of sufficiency economy driven by students at Institute of Sufficiency Economy of Rajabhat Rajanagarindra University. The samples were 320 year 2-4 undergraduate students. Data were collected by questionnaire and focus group form. The statistics employed were frequency, percentage, maximum, minimum, mode, mean, standard deviation, t-test, analysis of variance. The research results showed that : 1. Driven method philosophy of sufficiency economy of students was training course “Driving sufficiency economy students level” (2 days 1 night). There were 320 samples divided into 4 batches and each batch contained 80 students. Most were female (55.00%), the second year students (38.75%) from 3 faculties equally (25.00%); faculty of science and technology (17.19%) and faculty of industrial technology (7.81%). 2. The results of driving the philosophy of sufficiency economy found that 1) after the training students had cognitive domain and thinking ability at high level, 2) students often applied the philosophy of sufficiency economy all items, 3) students had appropriate behaviors to do in line with the philosophy of sufficiency economy, and 4) students had affective domain, i.e., values, feeling, attitudes, and belief with agreement. 3. The comparison results found that the cognitive domain, psychomotor domain and affective domain were not statistically significant difference. Keywords: philosophy, Sufficiency Economy, training project

บทน�ำ ถึงพระราชด�ำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่องค์ ทรงให้ความหมายของค�ำว่า เศรษฐกิจพอเพียงว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชด�ำริชี้แนะ ประหยัดไม่ใช่ขี้เหนียว ท�ำอะไรด้วยความละมุน แนวทางการด�ำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมา ละม่อมด้วยเหตุและผล จะเป็นเศรษฐกิจพอเพียง โดยตลอดเป็นเวลานาน ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ และทุกคนจะมีความสุข และพระองค์ได้ทรงย�้ำค�ำว่า ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย�้ำ พอเพียง คือไม่โลภ ไม่เบียดเบียน และพอเพียงนี้ แนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถ อาจมีมากก็ได้ แต่ต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น และต้อง ด�ำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้ความ พอประมาณ ตามอัตภาพ นอกจากนี้ยังได้กล่าวว่า เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกษม วัฒนชัย (2550) ได้อธิบาย การน�ำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้จะต้องมี วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 122 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เงื่อนไข 3 ประการคือ 1) เงื่อนไขหลักวิชา ปรัชญา ศึกษาขั้นพื้นฐาน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้ ของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการน�ำหลักวิชาความรู้ ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของ และเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ ทั้งในขั้นวางแผน ชาติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 แต่การขับเคลื่อนปรัชญา และปฏิบัติ เป็นเศรษฐกิจบนพื้นฐานของความรู้ ของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาได้เริ่มใน พ.ศ. และเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ 2) เงื่อนไขคุณธรรม 2548 ส่วนระดับอาชีวศึกษา มีสถานศึกษาในสังกัด การสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมโดยกลไกการ ส�ำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาที่ผ่าน เลี้ยงดูในครอบครัว การศึกษาอบรมในโรงเรียน การประเมินเป็นสถานศึกษาพอเพียงแบบอย่าง การสั่งสอนศีลธรรมจากศาสนา และการฝึกจิต จ�ำนวน 82 แห่ง ในปี พ.ศ. 2552 นอกจากนี้ การ ข่มจิตของตนเอง ซึ่งบุคคล ครอบครัว องค์กรหรือ จัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ชุมชนที่จะน�ำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ (กศ.น.) ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเรียนรู้ได้ จะต้องน�ำระบบคุณธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตมา ตลอดชีวิตก็เปิดวิชาเศรษฐกิจพอเพียงในหลักสูตร ประพฤติปฏิบัติก่อน 3) เงื่อนไขในการด�ำเนินชีวิต การเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และมี ต้องมีความรอบรู้ที่เหมาะสมในการด�ำเนินชีวิต มี หลักคิดหลักปฏิบัติในการด�ำรงชีวิต ไปสู่ความเจริญ ความเข้มแข็ง อดทน มีความเพียร มีสติปัญญา และ ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ส�ำหรับระดับอุดมศึกษา การ มีความรอบคอบ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากปรัชญา ขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับ ของเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นระบบเศรษฐกิจ อุดมศึกษาเป็นอย่างกว้างขวางในทุกสถาบัน โดย แห่งความสุข ระบบเศรษฐกิจแห่งคุณธรรม และ มีการบรรจุปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่าง เป็นระบบเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืน เมื่อน�ำมา เหมาะสมในหลักสูตรการเรียนการสอน ทั้งหลักสูตร ประยุกต์ใช้กับตัวเองและหน่วยงานจะช่วยให้ชีวิต ระยะสั้น และในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และ และหน่วยงานมีความสมดุล ทั้งในยามปกติและ ปริญญาเอก มีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง ยามวิกฤตจะมีภูมิคุ้มกันหรือความเข้มแข็ง พร้อม มหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมยิ่งขึ้น รับผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่าง รวมไปถึงการจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับการประยุกต์ ไม่คาดคิดหรือทราบล่วงหน้า ใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่บุคคลทั่วไป กระทรวงศึกษาธิการ เป็นหน่วยงาน (ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ หลักในการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจ สังคมแห่งชาติ, 2555) พอเพียงสู่สถานศึกษา โดยมีศูนย์ขับเคลื่อน กระทรวงศึกษาได้ประกาศเรื่อง นโยบาย เศรษฐกิจพอเพียงซึ่งอยู่ในก�ำกับดูแลของส�ำนัก การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงภาค กิจการพิเศษ ส�ำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการและ การศึกษา ประกาศ ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง 2558 โดยมียุทธศาสตร์ที่ต้องบูรณาการ การปฏิบัติ ภาคการศึกษา โดยมีรัฐมนตรีเป็นประธาน เริ่ม งานร่วมกัน 7 ด้าน ในยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริมการ ด�ำเนินการจัดท�ำยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนปรัชญา ขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจ ของเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่ปี 2550 โดยระดับการ พอเพียงในภาคการศึกษา เพื่อปลูกฝังให้เด็ก Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 123 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เยาวชนและประชาชน มีคุณลักษณะ “อยู่อย่าง และยั่งยืน (พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พอเพียง” โดยมีกระทรวงศึกษาธิการ เป็นเจ้าภาพ พ.ศ. 2547, 2547) สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ตั้ง หลัก และตามนโยบายก�ำหนดให้มีกิจกรรมเพื่อ อยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ต�ำบล สนับสนุนส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้และการพัฒนา หัวไทร อ�ำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็น ต่อยอดความรู้ เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ส่วนงานภายในของมหาวิทยาลัย มีเป้าหมาย วิสาหกิจ การประกอบอาชีพและด�ำเนินธุรกิจ ที่จะมุ่งมั่นเดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท มี ควบคู่ไปกับการเผยแพร่องค์ความรู้และแนวทาง ปณิธานมุ่งสู่ความเป็น “มหาวิทยาลัยท้องถิ่น การประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพ่อ” มีอุดมการณ์ที่จะเป็นศูนย์บริการแบบ มาใช้กับการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน ในการศึกษา เบ็ดเสร็จ (one stop services) แก่ประชาชนทุก ทั้งในระบบและนอกระบบอย่างเป็นรูปธรรม ระดับทุกสาขาอาชีพอย่างแท้จริง ตามแนวทาง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ฉะเชิงเทรา เป็น พระราชด�ำริของพระบาทสมเสด็จพระเจ้าอยู่หัว สถานศึกษาระดับอุดมศึกษา ภายใต้ส�ำนักงานคณะ มีวิสัยทัศน์ “เป็นสถาบันศึกษา พัฒนา วิจัย กรรมการการอุดมศึกษาได้รับพระราชทานนาม จัดการความรู้ น้อมน�ำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ “ราชภัฏ” มีความหมายว่า “ฅนของพระราชา” ที่ พอเพียงตามแนวพระราชด�ำริลงสู่การปฏิบัติ จะท�ำงานตามรอยพระยุคลบาทของพระองค์ท่าน เผยแพร่สู่ประชาชนในท้องถิ่นและนานาชาติ” เพื่อสืบสานพระราชปณิธานด้านการศึกษาและ ค่านิยมองค์การ “เศรษฐกิจพอเพียง: สู่ความสุขที่ การพัฒนาท้องถิ่นตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจ ยั่งยืน” อัตลักษณ์ “จิตอาสา ใฝ่รู้ สู้งาน” พันธกิจ พอเพียง อุดมการณ์ในการพัฒนาการศึกษาที่จะ “เป็นสถาบันที่น้อมน�ำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ น�ำสังคมและท้องถิ่น ๆ ไปสู่ความพอเพียง จึงมี พอเพียงตามแนวพระราชด�ำริลงสู่การปฏิบัติและ เงื่อนไขที่ส�ำคัญสองประการ คือ ความรู้ คุณธรรม เผยแพร่สู่ประชาชน” ก�ำหนดวัตถุประสงค์ไว้ดังนี้ บุคลากรทางการศึกษาทุกภาคส่วนของราชภัฏ จึง 1) เพื่อเป็นศูนย์ศึกษา พัฒนา และวิจัยวิถีชีวิตตาม ควรยึดมั่นอุดมการณ์ของความเป็นฅนของพระราชา หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) เพื่อเป็น คือ อุดมการณ์แห่งราชภัฏ อุดมการณ์เศรษฐกิจ ศูนย์จัดการความรู้ และกระบวนการเรียนรู้ตาม พอพียง โดยอุดมการณ์แห่งราชภัฏตามพระราช หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3) เพื่อถอด บัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 มาตรา องค์ความรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชด�ำริ 7 ให้มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการ และสร้างเครือข่ายขยายผลโครงการอันเนื่องมาจาก พัฒนาท้องถิ่นที่เสริมสร้างพลังปัญญาของแผ่นดิน พระราชด�ำริสู่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ฟื้นฟูพลังการเรียนรู้ เชิดชูภูมิปัญญาของท้องถิ่น 4) เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์ สร้างสรรค์ ศิลปวิทยา เพื่อความเจริญก้าวหน้า ฝึกอบรม และบริการวิชาการแก่ชุมชนท้องถิ่นที่มี อย่างมั่นคงและยั่งยืนของปวงชน มีส่วนร่วมใน ชีวิตและจิตวิญญาณ 5) เพื่อส่งเสริมการพัฒนา การจัดการ การบ�ำรุงรักษา การใช้ประโยชน์จาก และพึ่งพาตนเอง จากการด�ำเนินงานตามหลัก ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงบนพื้นฐานของ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 124 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ธรรมาภิบาล ตลอดระยะเวลาตั้งแต่จัดตั้งสถาบัน เป็นวิธีการขับเคลื่อนในลักษณะการจัดกิจกรรม เศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ เสริมหลักสูตร การปลูกฝังปรัชญาของเศรษฐกิจ จวบจนถึงทุกวันนี้ ภารกิจที่ส�ำคัญอย่างหนึ่งที่ต้อง พอเพียงผ่านกระบวนการเรียนรู้ทั้งในและนอก ด�ำเนินการอย่างต่อเนื่อง เต็มที่ เต็มใจ เต็มพลัง ห้องเรียนให้กับนักศึกษา ซึ่งถือเป็นเยาวชนที่เป็น คือ ภารกิจการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจ ก�ำลังส�ำคัญของประเทศ เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต พอเพียงไปยังทุกภาคส่วน ผ่านรูปแบบโครงการ/ จะเป็นวิธีการเตือนสติให้นักศึกษามีการด�ำเนินชีวิต กิจกรรมที่หลากหลาย เนื่องจากเป็นนโยบายส�ำคัญ ในความพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน สามารถ ของรัฐบาลในการพัฒนาองค์กรและบุคลากร อีกทั้ง รองรับผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น นักศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ในวัยที่ก้าวผ่านความ บนพื้นฐานของความรู้และคุณธรรม ซึ่งมหาวิทยาลัย เป็นวัยรุ่น และก�ำลังจะเป็นบัณฑิตก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ มีหน้าที่ที่จะเตรียมความพร้อมและปลูกฝังให้ วัยของคนท�ำงานและสร้างครอบครัวของตนเอง นักศึกษาเป็นผู้ที่จะด�ำเนินชีวิตตามวิถีพอเพียง เป็น เป้าหมายส�ำคัญของการขับเคลื่อนปรัชญา แบบอย่างให้แก่ผู้อื่น รวมทั้งเป็นแกนน�ำขับเคลื่อน ของเศรษฐกิจพอเพียงคือ การท�ำให้เยาวชนรู้จัก ตนเอง และขับเคลื่อนผู้อื่นเพื่อใช้หลักปรัชญาของ ความพอเพียง ปลูกฝัง อบรมบ่มเพาะให้เยาวชน เศรษฐกิจพอเพียงให้เป็นรากฐานของชีวิต รากฐาน มีความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความมั่นคงของแผ่นดินต่อไป และวัฒนธรรม โดยสอดแทรกแนวคิดปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร วัตถุประสงค์การวิจัย สาระเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ ในการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ถูกต้องและชัดเจน เพื่อปลูกฝังให้เด็กและเยาวชน 1. เพื่อน�ำเสนอวิธีการขับเคลื่อนปรัชญา มีวิธีปรับเจตคติอุปนิสัย และพฤติกรรมที่สอดคล้อง ของเศรษฐกิจพอเพียงระดับนักศึกษา โดยสถาบัน กับการด�ำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ เศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ พอเพียง วิธีการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจ 2. เพื่อศึกษาผลการขับเคลื่อนปรัชญา พอเพียงระดับเยาวชน นักเรียน นักศึกษา มีหลาย ของเศรษฐกิจพอเพียงระดับนักศึกษา โดยสถาบัน วิธี อาทิ การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียน เศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ การสอนและกิจกรรมเสริมหลักสูตร การจัด บรรยากาศและสภาพแวดล้อมภายในสถานศึกษา ระเบียบวิธีวิจัย การจัดระบบบริหารจัดการสถานศึกษา การให้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ผู้ปกครองและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ศึกษาของสถานศึกษา และการติดตามประเมินผล ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2-4 ทุกคณะ การจัดการศึกษา ดังนั้น ผู้วิจัยมีความประสงค์ที่ ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 2/2558 จ�ำนวน จะขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระดับ 1,945 คน ทั้งนี้ไม่นับรวมนักศึกษาลงทะเบียน นักศึกษา ผ่านโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการซึ่ง รายวิชาฝึกประสบการณ์วิชาชีพในสถานศึกษา หรือ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 125 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ในสถานประกอบการ (งานทะเบียนและประมวลผล จ�ำนวน 30 ข้อ ซึ่งทุกข้อเป็นข้อความเชิงบวกทั้งหมด มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์, 2558) แต่ละข้อมีระดับพฤติกรรมคือ บ่อยครั้ง นาน ๆ ครั้ง 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย และไม่เคย ครั้งนี้ ได้แก่ 1) นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปี ตอนที่ 4 ผลการขับเคลื่อนหลักปรัชญา ที่ 2-4 ทุกคณะที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ ของเศรษฐกิจพอเพียงด้านจิตพิสัย และสร้าง 2/2558 ก�ำหนดขนาดตัวอย่างจากตารางส�ำเร็จรูป แบบสอบถามวัดเจตคติทางด้านจิตใจของนักศึกษา ของ เครจซีและมอร์แกน (Krejcie and Morgan, เกี่ยวกับค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ 1970) ได้ขนาดตัวอย่าง 320 คน จากนั้นเลือก ความเชื่อ ความสนใจ และคุณธรรมจริยธรรมที่ใช้ ตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างโดยไม่ใช้ความน่าจะ เป็นตัวควบคุมพฤติกรรมที่เป็นนิสัยประจ�ำตัวของ เป็นแบบโควต้า ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาจากคณะ ตน ให้ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ซึ่งทุก ครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ ข้อเป็นข้อความเชิงบวกทั้งหมด และมีระดับจิตพิสัย คณะวิทยาการจัดการ จ�ำนวนคณะละ 80 คน ส่วน คือ เห็นด้วย เฉย ๆ และไม่เห็นด้วย คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จ�ำนวน 55 คน 2.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม จ�ำนวน 25 คน โดย เชิงคุณภาพ ได้แก่ แบบบันทึกการจัดเสวนากลุ่ม แต่ละคณะคัดเลือกนักศึกษาเป็นตัวแทนคณะเข้า 2.3 การตรวจหาคุณภาพเครื่องมือ รับการอบรมตามจ�ำนวนที่ก�ำหนด เสนอผู้เชี่ยวชาญประเมินความเที่ยงตรง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ของแบบสอบถามเพื่อหาค่าความสอดคล้องระหว่าง 2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ วัตถุประสงค์กับข้อค�ำถาม หรือเรียกว่าค่า IOC ซึ่ง ได้แก่ แบบสอบถาม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง ซึ่งมีจ�ำนวน ได้ค่า IOC ระหว่าง 0.80-1.00 และน�ำไปทดลองใช้ 4 ตอน ดังนี้ นักศึกษาชั้นปีที่ 2-4 ปีการศึกษา 2558 จ�ำนวน 30 ตอนที่ 1 คุณลักษณะส่วนบุคคลของ คน เพื่อหาค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์ นักศึกษา ได้แก่ เพศ ชั้นปี และคณะที่สังกัด และ แอลฟ่าของครอนบาค (ล้วน สายยศ และ อังคณา สร้างเป็นแบบสอบถามแบบเลือกตอบ สายยศ, 2538) ได้ค่าความเชื่อมั่น ทั้งฉบับ เท่ากับ ตอนที่ 2 ผลการขับเคลื่อนหลักปรัชญา .967 ของเศรษฐกิจพอเพียงด้านพุทธิพิสัย ซึ่งเป็นแบบ 3. การฝึกอบรมและเก็บรวบรวมข้อมูล 2 ตัวเลือกคือ ใช่ (ถูกต้อง) และ ไม่ใช่ (ไม่ถูกต้อง) 3.1 จัดโครงการอบรมหลักสูตร จ�ำนวน 30 ข้อ “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียงระดับนักศึกษา ตอนที่ 3 ผลการขับเคลื่อนหลักปรัชญา (หลักสูตร 2 วัน พักค้าง 1 คืน)” จ�ำนวน 4 รุ่น แต่ละ ของเศรษฐกิจพอเพียงด้านทักษะพิสัย ซึ่งสร้าง รุ่น จ�ำนวน 80 คน ดังนี้ แบบสอบถามพฤติกรรมหรือการแสดงออกในเรื่อง รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ ต่าง ๆ ที่แสดงถึงการน้อมน�ำปรัชญาของเศรษฐกิจ พ.ศ. 2559 ได้แก่ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ พอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 126 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

รุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ 4.1 ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลด้วย พ.ศ. 2559 ได้แก่ นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส�ำเร็จรูป เทคโนโลยี และคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.2 ลักษณะส่วนบุคคลของนักศึกษา รุ่นที่ 3 ระหว่างวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ วิเคราะห์โดยใช้ค่าความถี่ และร้อยละ แล้วเสนอ พ.ศ. 2559 ได้แก่ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และ ข้อมูลในรูปตารางพร้อมทั้งค�ำบรรยายใต้ตาราง สังคมศาสตร์ 4.3 ผลการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของ รุ่นที่ 4 ระหว่างวันที่ 5-6 มีนาคม พ.ศ. เศรษฐกิจพอเพียงด้านพุทธิพิสัย วิเคราะห์โดยใช้ 2559 ได้แก่ นักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าสูงสุด และค่าต�่ำสุด 3.2 เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณด้วย 4.4 ผลการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของ ตนเองและทีมงานของสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย หลังจากเสร็จสิ้นการอบรมแต่ละรุ่น จนครบทั้ง 4 วิเคราะห์โดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ และฐานนิยม รุ่น ได้แบบสอบถามกลับคืนร้อยละ 100 4.5 เปรียบเทียบผลการขับเคลื่อน 3.3 เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านพุทธิพิสัย โดยการจัดเสวนากลุ่มนักศึกษา จ�ำนวน 15 คน ด้านทักษะพิสัย และด้านจิตพิสัย จ�ำแนกตามเพศ ที่ผ่านการฝึกอบรมแล้ว คัดเลือกโดยวิธีเจาะจง วิเคราะห์โดยสถิติการทดสอบค่าที (Independent ซึ่งเป็นการติดตามผลหลังเข้ารับการอบรมแล้ว sample t-test) จ�ำแนกตามชั้นปี และคณะที่ 1 เดือน โดยจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน สังกัด การวิเคราะห์โดยการทดสอบความแปรปรวน 2559 ณ ห้องประชุม อาคารสัมมนาคาร บางปะกง ANOVA) ปาร์ค 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏราชครินทร์ บางคล้า 4.6 น�ำเสนอผลการจัดเสวนากลุ่ม วิธีการคือ ให้นักศึกษาได้พูดคุยบอกเล่าความ ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา รู้สึก หรือบอกเล่าถึงการกระท�ำของตนหลังจาก ได้ผ่านการอบรมไปแล้ว ว่าได้น�ำหลักปรัชญาของ สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย เศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในประเด็นดัง สรุปผลการวิจัย กล่าวต่อไปนี้อย่างไร ประเด็นเสวนามีทั้งหมด 5 การวิจัยครั้งนี้ สรุปผลดังต่อไปนี้ ประเด็น คือ 1) ด้านการเรียนรู้ 2) ด้านการดูแล 1. วิธีการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจ รักษาสุขภาพ 3) ด้านเศรษฐกิจและการใช้จ่าย พอเพียงระดับนักศึกษา 4) ด้านการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม และ 5) ด้าน วิธีการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนและเผยแพร่หลักปรัชญาของ พอเพียงระดับนักศึกษา ด�ำเนินการภายใต้โครงการ เศรษฐกิจพอเพียง อบรมหลักสูตร “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง 4. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการ ระดับนักศึกษา” (หลักสูตร 2 วัน พักค้าง 1 คืน) โดย วิเคราะห์ข้อมูล มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างกิจกรรม ให้นักศึกษาได้ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 127 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เรียนรู้เรื่องการพึ่งตนเองตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง 2) เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้แก่นักศึกษา โดย ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจของพอเพียง 3) เพื่อให้นักศึกษาสามารถน�ำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจ�ำวัน ทั้งด้านความเป็นอยู่ และด้านการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก�ำหนดการฝึกอบรม ดังนี้ วันเสาร์ที่ 6 , 13 , 27 กุมภาพันธ์ 2559 และ 5 มีนาคม 2559 เวลา กิจกรรม วิทยากร 09.01–10.00 น. ลงทะเบียน/รับเอกสาร/ปฐมนิเทศผู้เข้าอบรม บุคลากร สกพ. ทุกคน 10.01–12.00 น. บรรยาย เรื่อง หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง. อ.ไตรภพ โคตรวงษา 12.01–13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน บุคลากร สกพ. ทุกคน 13.01–16.00 น. แบ่งกลุ่มฟังบรรยาย และลงฐานปฏิบัติ (เวียนฐาน) 1. ฐานฅนรักษ์สุขภาพ นายธนานันท์ เหล็กเกตุ 2. ฐานฅนรักษ์แม่ธรณี นายจ�ำรัส เพชรดงไพร 16.01–18.00 น. แบ่งกลุ่มท�ำกิจกรรม “กิจกรรมพึ่งตัวเอง หาอยู่หากิน” บุคลากร สกพ. ทุกคน 18.01–19.00 น. เคารพธงชาติ และรับประทานอาหารเย็น บุคลากร สกพ. ทุกคน 19.01–20.00 น. บรรยายเรื่องสาเหตุแห่งการล่มสลายของประเทศ อ.ไตรภพ โคตรวงษา กรณีศึกษาอาเจนติน่า 20.01–22.00 น. สรุปบทเรียน ถอดองค์ความรู้ และน�ำเสนอ น.ส.พนิตตา สนน�ำพา วันอาทิตย์ที่ 7 , 14 , 28 กุมภาพันธ์ และ 6 มีนาคม 2559 เวลา กิจกรรม วิทยากร 05.01–07.00 น. บรรยายและฝึกปฏิบัติ เรื่อง การพัฒนาพลังกาย พลังจิต นายธนานันท์ เหล็กเกตุ พลังปัญญา 07.01–08.00 น. บรรยายและฝึกปฏิบัติ เรื่อง หลักกสิกรรมธรรมชาติ นายจ�ำรัส เพชรดงไพร 08.01–09.00 น. เคารพธงชาติ และ รับประทานอาหารเช้า บุคลากร สกพ. ทุกคน 09.01–11.00 น. แบ่งกลุ่มฟังบรรยาย และลงฐานปฏิบัติ (เวียนฐาน) 1. ฐานฅนมีน�้ำยา น.ส.พนิตตา สนน�ำพา 2. ฐานการแปรรูปอาหารเพื่อการบริโภค นายธนานันท์ เหล็กเกตุ 11.01–12.00 น. บรรยาย เรื่อง การวางแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน อ.ไตรภพ โคตรวงษา เศรษฐกิจพอเพียง 12.01–13.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน บุคลากร สกพ. ทุกคน วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 128 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เวลา กิจกรรม วิทยากร 13.01–15.00 น. แบ่งกลุ่มปฏิบัติและน�ำเสนอ เรื่อง การเขียนแผน อ.ไตรภพ โคตรวงษา ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง 15.01–16.00 น. พิธีมอบวุฒิบัตร มอบจรรยาบรรณ และภารกิจ ผศ. ดร.สายฝน เสกขุนทด แก่ผู้ผ่านการอบรม 16.00 น.. เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ นักศึกษาทุกคน

1. ผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจ ได้แก่ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (7.81%) พอเพียงระดับนักศึกษา 1.2 ผลการขับเคลื่อนหลักปรัชญา 1.1 กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 320 คน ของเศรษฐกิจพอเพียงด้านพุทธิพิสัย จ�ำแนกตาม พบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง (55.00%) เป็น ข้อความ พบว่า หลังจากเข้าโครงการอบรม นักศึกษา นักศึกษาชั้นปีที่ 2 (38.75%) รองลงมาเป็นนักศึกษา มีระดับความรู้ สติปัญญาความคิด หรือพฤติกรรม ชั้นปีที่ 3 (31.88%) นักศึกษาจาก 3 คณะ ได้แก่ ทางด้านสมองที่เฉลียวฉลาด มีความสามารถในการ ครุศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ คิดเกี่ยวกับเรื่องหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วิทยาการจัดการจ�ำนวนเท่ากัน (25.00%) ส่วนคณะ อยู่ในระดับมากทุกข้อ รายละเอียดดังตาราง 1 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (17.19%) น้อยที่สุด

ตารางที่ 1 ผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านพุทธิพิสัย พิจารณารายข้อความ ผู้ตอบถูก ระดับ ข้อความ จำ�นวน ร้อยละ ความรู้ 1. สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์จัดตั้งเมื่อ 286 89.38 มาก พ.ศ. 2548 2. การสร้างฐานการเรียนรู้ตามแนวพระราชด�ำริของสถาบันเศรษฐกิจ 315 98.44 มาก พอเพียงจะต้องเป็นฐานที่มีชีวิต ทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมสามารถมีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ นอกจากนี้อาจารย์ของมหาวิทยาลัยสามารถใช้ฐานเหล่านี้ ในการ เรียนการสอนด้วย 3. พอเพียง หมายถึง เต็มที่ตามต้องการ ไม่มากไม่น้อยเกินไป ไม่ขาดแคลน 320 100.00 มาก เน้นความพอดี ความไม่ขัดสน และไม่ฟุ้งเฟ้อ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 129 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 1 (ต่อ) ผู้ตอบถูก ระดับ ข้อความ จำ�นวน ร้อยละ ความรู้ 4. เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชด�ำริ มีหลักการคือรู้จักพออยู่พอกินและ 313 97.81 มาก พอเพียงในทุกเรื่อง ประหยัดไม่ใช่ขี้เหนียว ท�ำอะไรด้วยความละมุนละม่อม ด้วย เหตุและผล 5. เศรษฐกิจพอเพียงมิติด้านเศรษฐกิจ ไม่ใช่เศรษฐกิจ แบบทุนนิยมที่เน้นการ 307 95.94 มาก ประกอบ สัมมาอาชีพ เพื่อมุ่งหวังก�ำไรสูงสุด 6. เศรษฐกิจพอเพียงมิติด้านจิตใจ เน้นที่จิตใจที่รู้จักพอ คือ พอดี พอประมาณ 312 97.50 มาก และพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ไม่โลภ โดยเริ่มจากใจที่รู้จักพอเป็นการ ปฏิบัติตามทางสายกลางหรือมัชฌิมาปฏิปทา 7. เศรษฐกิจพอเพียงมิติด้านสังคม มุ่งให้เกิดสังคมที่มีความสุขสงบ ประชาชน 309 96.56 มาก มีความเมตตาเอื้ออาทร ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มุ่งให้เกิดความสามัคคี 8. เศรษฐกิจพอเพียงมิติด้านวัฒนธรรม มุ่งให้เกิดวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตที่ 308 96.25 มาก ประหยัดอดออม มีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุนิยม และบริโภคนิยม 9. เศรษฐกิจพอเพียงเหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย ทุกอาชีพ 308 96.25 มาก 10. การส่งเสริมการน้อมน�ำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้จะต้องเริ่มต้น 309 96.56 มาก จากระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศ 11. “ความพอประมาณ” หมายถึง ความพอดีตามฐานะและก�ำลัง ไม่น้อยเกิน 308 96.25 มาก ไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น (ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ และ ด้านเทคโนโลยี) 12. “ความมีเหตุผล” หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับความพอเพียงนั้น จะต้อง 306 95.63 มาก เป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพัฒนาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนค�ำนึงถึง ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระท�ำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ 13. “การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว” หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับ 313 97.81 มาก ผลกระทบและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน อนาคตทั้งใกล้และไกล 14. ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หมายถึง การมีหนี้ไม่ก่อรายได้ ฟุ้งเฟ้อ ยุ่งยาก ขาด 307 95.94 มาก การประกันความเสี่ยง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 130 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 1 (ต่อ) ผู้ตอบถูก ระดับ ข้อความ จ�ำนวน ร้อยละ ความรู้ 15. เงื่อนไข ความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้ เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่ 300 93.75 มาก เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะน�ำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้ เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวัง ในขั้นปฏิบัติ 16. นักศึกษาควรมีความรู้ลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเชี่ยวชาญ และควรมี 309 95.56 มาก ความรู้รอบด้านในเรื่องอื่น ๆ 17. เงื่อนไข คุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน 306 95.63 มาก คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการ ด�ำเนินชีวิต มีความประหยัด มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคีและมีน�้ำใจ 18. เศรษฐกิจพอเพียงคือหลักการพึ่งตนเองด้านเศรษฐกิจโดยต้องพยายามเพิ่ม 301 94.06 มาก รายได้ให้เพียงพอต่อรายจ่ายของครอบครัว ในขณะเดียวกันต้องลดรายจ่ายที่ ไม่จ�ำเป็นลง 19. การปฏิบัติตนตามแนวทางเศรษฐกิจแบบพอเพียง ยึดความประหยัด 300 93.75 มาก ดังกระแสพระราชด�ำรัส ความตอนหนึ่งว่า “...ความเป็นอยู่ที่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อต้อง ประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง...” 20. เศรษฐกิจพอเพียงคือการไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพ้นจากความ 288 90.00 มาก ทุกข์ยาก ดังนั้น นักศึกษาจะต้องพยายามเรียนรู้ เพื่อการประกอบอาชีพ โดย ไม่ต้องแก่งแย่ง แข่งขัน หรือเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น 21. “ระเบิดจากข้างใน” คือการเกิดจิตส�ำนึก มีความศรัทธา เชื่อมั่น เห็นคุณค่า 305 95.31 มาก และน�ำไปปฏิบัติด้วยตนเอง แล้วจึงขยายไปสู่ครอบครัว ชุมชน องค์กรสังคม และประเทศต่อไป 22. ความพอเพียงระดับบุคคลและครอบครัว จะเริ่มจากตัวเองก่อน ด้วยการ 320 100.00 มาก ฝึกจิตข่มใจตนเอง และอบรมเลี้ยงดูคนในครอบครัวให้มีคุณธรรมกินอยู่ตาม อัตภาพ พึ่งพาตนเองอย่างเต็มความสามารถ ไม่ท�ำอะไรเกินตัว ด�ำเนินชีวิต โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา และมีการพัฒนาตนเองอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อความมั่นคงในอนาคต และเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่นได้ในที่สุด 23. บันได 3 ขั้นในการน�ำปรัชญาไปใช้ ได้แก่ เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจ 300 93.75 มาก พอเพียงให้เข้าใจถ่องแท้ และเกิดศรัทธา ร่วมมือกันขับเคลื่อนปรัชญาฯ สู่การ ปฏิบัติ และใช้ปรัชญาเป็นหลักในการด�ำรงชีวิตอย่างต่อเนื่อง Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 131 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 1 (ต่อ) ผู้ตอบถูก ระดับ ข้อความ จ�ำนวน ร้อยละ ความรู้ 24. การพัฒนาตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะต้องเชื่อฟัง 292 91.25 มาก ค�ำสั่งสอนของพ่อแม่ ครูอาจารย์ ซึ่งคอยแนะน�ำก�ำกับติดตามตลอดเวลาเพื่อ ให้ประสบผลส�ำเร็จ 25. การพัฒนาตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คือ มีการเรียน 249 77.81 มาก ต่อเนื่อง สร้างวินัยกับตนเอง โดยเฉพาะวินัยทางการเงิน 26. เป้าหมายส�ำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงคือการพัฒนาตนเอง ครอบครัว 300 93.75 มาก ชุมชน สังคม ประเทศชาติ ให้ก้าวหน้าไปพร้อมกับความสมดุล มั่นคง และยั่งยืน 27. เศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักคิดและหลักปฏิบัติเพื่อให้คนส่วนใหญ่มีความ 300 93.75 มาก มั่งคั่งยั่งยืนตลอดไป 28. การปฏิบัติตนตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงควรลดการพึ่งพาจาก 276 86.25 มาก ต่างประเทศ เน้นการใช้สินค้าที่ผลิตด้วยตนเอง หรือผลิตในประเทศไทย 29. การสร้างนิสัยที่มีความคิดก้าวหน้ามุ่งมั่นในเป้าหมาย หมั่นพิจารณาความ 279 87.19 มาก คิด ตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยตนเอง เป็นระบบโดยใช้ความรู้ที่ตนเองมี ไม่รบกวน ผู้อื่น รับผิดชอบต่อตนเอง สังคม และครอบครัว คือการปฏิบัติตนตามปรัชญา ของ เศรษฐกิจพอเพียง 30. ตัวชี้วัดระดับการพึ่งตนเองตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคล 265 82.81 มาก เช่น ท�ำบัญชีครัวเรือน เก็บออม ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์บริโภค ลดรายจ่าย เป็นต้น

ผลการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านทักษะพิสัย จ�ำแนกตามข้อความพฤติกรรม พบว่า หลังจากเข้าโครงการอบรมนักศึกษามีระดับพฤติกรรมหรือการแสดงออกในเรื่องต่าง ๆ ของนักศึกษา ที่แสดงถึงการน้อมน�ำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน อยู่ในระดับ บ่อยครั้ง 28 ข้อจาก 30 ข้อ รายละเอียดดังตารางที่ 2 วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 132 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 2 ผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านทักษะพิสัย พิจารณารายข้อความ ความถี่ และ ฐานนิยม ข้อความพฤติกรรม ร้อยละของระดับพฤติกรรม (Mode) บ่อยครั้ง นาน ๆ ครั้ง ไม่เคย 1. ข้าพเจ้าซื้อของสินค้าอุปโภคบริโภคเท่าที่ 293 18 9 บ่อยครั้ง จ�ำเป็น 91.56% 5.63% 2.81% 2. ข้าพเจ้าให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อสิ่งของตาม 298 19 3 บ่อยครั้ง ที่ต้องการ 93.13% 5.94% 0.94% 3. ข้าพเจ้าท�ำบัญชีรายรับ-รายจ่ายตามหลัก 277 43 นาน ๆ - เศรษฐกิจพอเพียง 86.56% 13.44% ครั้ง 4. ข้าพเจ้าน�ำสิ่งของที่เหลือใช้มาดัดแปลงใช้ใหม่ 64 78 178 ไม่เคย 20.00% 24.38% 55.63% 5. ข้าพเจ้าจัดสรรการใช้จ่ายเงินให้พอใช้ในแต่ละ 239 61 20 บ่อยครั้ง เดือน 74.69% 19.06% 6.25% 6. ข้าพเจ้าคิดไตร่ตรองก่อนลงมือท�ำสิ่งต่าง ๆ 242 69 9 บ่อยครั้ง อย่างรอบคอบ 75.63% 21.56% 2.81% 7. ข้าพเจ้าวางแผนการเรียนอย่างเป็นระบบ 235 84 1 บ่อยครั้ง แบบแผน 73.44% 26.25% 0.31% 8. ข้าพเจ้าใช้เหตุผลในการหาข้อบกพร่องเมื่อเกิด 201 113 6 บ่อยครั้ง ข้อผิดพลาดในการเรียน และการท�ำงาน 62.81% 35.31% 1.88% 9. ข้าพเจ้าใช้เวลาว่างศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม 200 115 5 บ่อยครั้ง ทั้งจากห้องสมุดและอินเทอร์เน็ต 62.50% 35.94% 1.56% 10. ข้าพเจ้าสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เมื่อ 191 118 11 บ่อยครั้ง ทะเลาะหรือมีปัญหากับเพื่อน 59.69% 36.88% 3.44% 11. ข้าพเจ้าน�ำความรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจ 280 40 บ่อยครั้ง - พอเพียงมาใช้ในการด�ำเนินชีวิตประจ�ำวัน 87.50% 12.50% 12. ข้าพเจ้าใช้จ่ายอย่างประหยัดและคุ้มค่า 229 87 4 บ่อยครั้ง เป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จ�ำเป็นให้กับ 71.56% 27.19% 1.25% ครอบครัว Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 133 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 2 (ต่อ) ความถี่ และ ฐานนิยม ข้อความพฤติกรรม ร้อยละของระดับพฤติกรรม (Mode) บ่อยครั้ง นาน ๆ ครั้ง ไม่เคย 13. ข้าพเจ้าน�ำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา 222 89 9 บ่อยครั้ง ช่วยในการแสวงหาความรู้ในรายวิชาต่าง ๆ 69.38% 27.81% 2.81% 14. ข้าพเจ้าการสร้างภูมิคุ้มกันหรือป้องกันความ 165 142 13 บ่อยครั้ง เสี่ยงที่จะเกิดขึ้นให้กับตนเองในทุกเรื่อง 51.56% 44.38% 4.06% 15. ข้าพเจ้าช่วยดูแลทรัพยากรของมหาวิทยาลัย 203 109 8 บ่อยครั้ง ประหนึ่งเป็นสมบัติของตนเอง 63.44% 34.06% 2.50% 16. ข้าพเจ้าสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย 273 44 3 บ่อยครั้ง การไม่ท�ำลายสิ่งแวดล้อม 85.31% 13.75% 0.94% 17. ข้าพเจ้าใช้ความพยายามและความอดทน 241 76 3 บ่อยครั้ง อย่างยิ่งยวดในการท�ำงานที่ยากล�ำบากกว่าปกติ 75.31% 23.75% 0.94% 18. ข้าพเจ้าแจ้งค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครองทราบตาม 249 68 3 บ่อยครั้ง ความเป็นจริง 77.81% 21.25% 0.94% 19. ข้าพเจ้าซื้อสินค้าโดยค�ำนึงถึงคุณภาพเป็น 183 133 4 บ่อยครั้ง อันดับแรก 57.19% 41.56% 1.25% 20. ข้าพเจ้าสามารถท�ำงานร่วมกับผู้อื่นได้โดย 212 105 3 บ่อยครั้ง ไม่มีปัญหา 66.25% 32.81% 0.94% 21. ข้าพเจ้าช่วยเหลือตนเองและพึ่งพาตนเองใน 204 112 4 บ่อยครั้ง ทุกเรื่อง 63.75% 35.00% 1.25% 22. ข้าพเจ้าให้ความส�ำคัญและดูแลรักษาสุขภาพ 191 125 4 บ่อยครั้ง ตนเองเป็นอย่างดี 59.69% 39.06% 1.25% 23. ข้าพเจ้าดื่มน�้ำสมุนไพรหรือรับประทาน 216 103 1 บ่อยครั้ง อาหารเพื่อสุขภาพ 67.50% 32.19% 0.31% 24. ข้าพเจ้าใช้สินค้าที่ผลิตและจ�ำหน่ายโดย 240 76 4 บ่อยครั้ง คนไทย 75.00% 23.75% 1.25% 25. ข้าพเจ้าปลูกต้นไม้และดูแลรักษาต้นไม้ที่ 239 78 3 บ่อยครั้ง ตนเองและผู้อื่นปลูก 74.69% 24.38% 0.94% วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 134 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 2 (ต่อ) ความถี่ และ ร้อยละของระดับ ฐานนิยม ข้อความพฤติกรรม พฤติกรรม (Mode) บ่อยครั้ง นาน ๆ ครั้ง ไม่เคย 26. ข้าพเจ้ารักษาชาติและบ�ำรุงชาติด้วยการท�ำ 261 56 3 บ่อยครั้ง เกษตรอินทรีย์ 81.56% 17.50% 0.94% 27. ข้าพเจ้าท�ำข้าวของเครื่องใช้เพื่อใช้ใน 254 65 1 บ่อยครั้ง ครัวเรือน 79.38% 20.31% 0.31% 28. ข้าพเจ้าใช้สินค้าที่เน้นการรักษา หรือไม่ 249 69 2 บ่อยครั้ง ท�ำลายธรรมชาติ 77.81% 21.56% 0.63% 29. ข้าพเจ้าประกอบอาหารให้ตนเองและ 237 79 4 บ่อยครั้ง ครอบครัวรับประทาน 74.06% 24.69% 1.25% 30. ข้าพเจ้ารู้หน้าที่และกระท�ำตามหน้าที่ของ 243 72 5 บ่อยครั้ง ตนให้ดีที่สุดเพื่อทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และ 75.94% 22.50% 1.56% พระมหากษัตริย์ ผลการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านจิตพิสัย พบว่า หลังจากเข้าโครงการอบรม นักศึกษามีจิตพิสัยหรือเจตคติทางด้านจิตใจของนักศึกษาเกี่ยวกับค่านิยมความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจ และคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่มีเจตคติ อยู่ในระดับ เห็นด้วยทุกข้อ รายละเอียดดังตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านจิตพิสัย พิจารณารายข้อความ ความถี่ และ ฐานนิยม ข้อความพฤติกรรม ร้อยละของระดับพฤติกรรม (Mode) เห็นด้วย เฉย ๆ ไม่เห็นด้วย 1. รู้สึกเต็มใจที่จะดำ�เนินชีวิตแบบสมถะและ 305 12 3 เห็นด้วย พอใจในสิ่งที่ตนมีตามปรัชญาของเศรษฐกิจ 95.31% 3.75% 0.94% พอเพียง 2. รู้สึกภูมิใจที่สามารถพึ่งตนเองได้ตามปรัชญา 300 19 1 เห็นด้วย ของเศรษฐกิจพอเพียง 93.75% 5.94% 0.31% 3. ควบคุมตนเองไม่ให้โกรธเพื่อน แม้ว่าเพื่อนจะ 298 18 4 เห็นด้วย ทำ�ผิดกติกาก็ตาม 93.13% 5.63% 1.25% Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 135 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 3 (ต่อ) ความถี่ และ ร้อยละของระดับ ฐานนิยม ข้อความพฤติกรรม พฤติกรรม (Mode) เห็นด้วย เฉย ๆ ไม่เห็นด้วย 4. มีความเชื่อว่ายิ่งให้สิ่งใดกับใคร เรายิ่งได้รับ 300 13 7 เห็นด้วย สิ่งนั้นมากขึ้น 93.75% 4.06% 2.19% 5. การน้อมนำ�ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา 290 20 10 เห็นด้วย ใช้ในการดำ�รงชีวิตจะทำ�ให้ประชาชนทุกระดับมี 90.63% 6.25% 3.13% ชีวิตที่ดีขึ้น 6. การปฏิบัติตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 294 19 7 เห็นด้วย ทำ�ได้ง่ายไม่ยุ่งยากเพราะเป็นหลักคิด หลักปฏิบัติ 91.88% 5.94% 2.19% เน้นการพึ่งตนเองเป็นหลัก 7. การปฏิบัติตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 306 11 3 เห็นด้วย เป็นการเตรียมตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่ 95.63% 3.44% 0.94% จะเกิดขึ้น 8. เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่มุ่งเน้นการแก้ 308 7 5 เห็นด้วย ปัญหาความยากจนของประชาชน ทำ�ให้พออยู่ 96.25% 2.19% 1.56% พอกินพอใช้ 9. การน้อมนำ�ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ 307 10 3 เห็นด้วย ในชีวิตประจำ�วันเป็นเรื่องง่ายเพราะมีแบบอย่าง 95.94% 3.13% 0.94% ให้เรียนรู้หลากหลาย 10. การปฏิบัติตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 301 15 4 เห็นด้วย เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับตนเอง ครอบครัว 94.06% 4.69% 1.25% และสังคมไทย 11. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นวิถีการ 320 เห็นด้วย - - ดำ�เนินการชีวิตที่ใช้คุณธรรมกำ�กับความรู้ 100.00% 12. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นวิถีที่ทำ�ให้ 320 เห็นด้วย คนอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุลและยั่งยืน 100.00% 13. หากคนในสังคมหันมาใช้ปรัชญาของ 304 13 3 เห็นด้วย เศรษฐกิจพอเพียงจะทำ�ให้สังคมสงบสุขได้ 95.00% 4.06% 0.94% วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 136 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ความถี่ และ ร้อยละของระดับ ฐานนิยม ข้อความพฤติกรรม พฤติกรรม (Mode) เห็นด้วย เฉย ๆ ไม่เห็นด้วย 14. การดำ�รงชีวิตตามปรัชญาของเศรษฐกิจ 299 20 1 เห็นด้วย พอเพียงทำ�ให้สังคมเข้มแข็ง 93.44% 6.25% 0.31% 15. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทำ�ให้คนคิด 298 18 4 เห็นด้วย รอบคอบ รอบด้าน และไม่ประมาท 93.13% 5.63% 1.25% 16. ผู้ดำ�เนินชีวิตตามปรัชญาของเศรษฐกิจ 305 11 4 เห็นด้วย พอเพียงเป็นผู้ที่คิดมาก และระมัดระวังมาก 95.31% 3.44% 1.25% เกินไป ไม่ยืดหยุ่น 17. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทำ�ให้คนแต่ละ 303 12 5 เห็นด้วย คนอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีรากเหง้าทางวัฒนธรรม 94.69% 3.75% 1.56% 18. ประเทศชาติจะเจริญกว่านี้ ถ้าประชาชน 304 13 3 เห็นด้วย ดำ�เนินชีวิตตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 95.00% 4.06% 0.94% 19. ข้าพเจ้าจะตัดสินใจทำ�สิ่งต่าง ๆ จะใช้เหตุผล 299 20 1 เห็นด้วย ความรอบคอบระมัดระวังเสมอ 93.44% 6.25% 0.31% 20. ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามปรัชญา 298 18 4 เห็นด้วย ของเศรษฐกิจพอเพียงให้ได้ 93.13% 5.63% 1.25% ผลการเปรียบเทียบการขับเคลื่อนหลัก ประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้ได้จริงทุกคนทุกระดับ ดัง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงระหว่างเพศชายและ ค�ำกล่าวต่อไปนี้ เพศหญิง นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ชั้นปีที่ 3 ชั้นปีที่ 4 และ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสอน คณะที่สังกัด พบว่านักศึกษามีพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย ให้ผมต้องพึ่งตนเองด้านการเรียนอย่างมาก ตนแล และจิตพิสัย แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส�ำคัญทางสถิติ เป็นที่พึ่งแห่งตน ผมต้องขยันมากขึ้น และรับผิดชอบ ผลการจัดเสวนากลุ่ม ตัวเองมากยิ่งขึ้น” นักศึกษาได้พูดคุยบอกเล่าความรู้สึก หรือ “เศรษฐกิจพอเพียงสอนให้หนูรู้จักพอ บอกเล่าถึงการกระท�ำของตนหลังจากได้ผ่านการ ประมาณในการอ่านหนังสือ ไม่หักโหมเกินไป เพราะ อบรมไปแล้ว ว่าได้น�ำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ ไม่เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน และสอนให้หนูรู้จัก พอเพียงไปประยุกต์ใช้ในประเด็นดังกล่าวต่อไปนี้ ป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหากหนูอ่านหนังสือ อย่างไร ประเด็นเสวนามีทั้งหมด 5 ประเด็น ดังนี้ สอบในระยะเวลากระชั้นชิด” 1. ด้านการเรียนรู้ นักศึกษาให้ข้อมูลว่า 2. ด้านการดูแลรักษาสุขภาพ นักศึกษา สามารถน�ำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไป ให้ข้อมูลว่า สามารถน�ำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 137 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

พอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการดูแลรักษาสุขภาพ “ผมว่า การจะเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ตนเอง ดังตัวอย่างค�ำกล่าวนี้ ต้องเริ่มจากการเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ของ “หนูท�ำความสะอาดห้องน�้ำ ห้องส้วม เพื่อนในห้องเรียน ซึ่งทุกคนจะต้องเคารพนับถือและ บ่อยมากขึ้น โดยใช้น�้ำยาอเนกประสงค์ที่เรียนไป ให้เกียรติกัน เราไม่ต้องเรียนแข่งกัน แต่ต้องเรียนแข่ง จากสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง” กับตัวเอง ดังนั้นทุกคนต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของ “ตอนนี้หนูท�ำสบู่เหลวใช้เองใน ตนเองครับ” ครอบครัวค่ะ ได้เรียนรู้วิธีการท�ำจากฐานฅนมีน�้ำยา “ดิฉันคิดว่า การรับผิดชอบตนเอง พึ่ง ไป ผสมสมุนไพร เช่น น�้ำมะขามเปียก ขมิ้นชัน ดอก ตนเอง ดูแลตัวเองก็ถือว่าเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม อัญชัน ท�ำให้ดีต่อสุขภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายค่ะ” แล้วค่ะ หลังจากดิฉันผ่านการอบรมจากหลักสูตรนี้ “ผมชอบฐานฅนรักษ์แม่ธรณีมากครับ ไป ท�ำให้ดิฉันพึ่งพาตนเองมากยิ่งขึ้น ดีใจและภูมิใจ ผมพึ่งทราบว่าการใส่ปุ๋ยเป็นการบ�ำรุงดิน แล้วดินไป มาก ๆ ที่ได้มาเข้ารับการอบรมค่ะ” บ�ำรุงพืช ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าการใส่ปุ๋ยคือการให้ 5. ด้านการขับเคลื่อนและเผยแพร่หลัก อาหารพืช แต่จริง ๆ ปลายทางสุดท้ายก็คือท�ำให้พืช ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นักศึกษาทุกคนกล่าว เจริญเติบโต และให้ประโยชน์ 4 อย่าง ท�ำให้มนุษย์ ค�ำมั่นสัญญาว่าจะช่วยเป็นตัวแทนท�ำหน้าที่ในการ พออยู่ พอกิน พอใช้ และพอร่มเย็น” ขับเคลื่อนและเผยแพร่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจ 3. ด้านเศรษฐกิจและการใช้จ่าย ดัง พอเพียงไปยังคนใกล้ชิด พ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมถึง ตัวอย่างค�ำกล่าวต่อไปนี้ เพื่อน ๆ รุ่นพี่รุ่นน้องให้มากที่สุด ดังนี้ “ดิฉันวางแผนการใช้จ่ายเงินมากยิ่งขึ้น “วิธีที่ดีที่สุดส�ำหรับการเผยแพร่หลัก ซื้อของก็ค�ำนึงถึงความจ�ำเป็น ลดความต้องการของ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในความคิดของผม ตนเองลงค่ะ” ก็การเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนใกล้ชิด ท�ำต่อสิ่งที่ “อาจารย์ท�ำให้พวกผมรู้ว่า ท�ำไมรัฐบาล ถูกสิ่งที่ดีงาม จะเกิดผลดีต่อตนเองและสังคมครับ” จึงให้พวกผมกู้ยืมเงินเรียน ผมขอบคุณประเทศที่ใช้ “ผมคิดว่าการขับเคลื่อนหลักปรัชญา โอกาสผมเรียน เมื่อผมมีงานท�ำผมจะใช้หนี้คืนให้กับ ของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหน้าที่ของทุกคนครับ ประเทศครับ” รัฐบาลไม่ควรออกนโยบายเฉย แต่ควรหาวิธีน�ำ “สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง โดย นโยบายลงสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมด้วย” อาจารย์และทีมงาน สอนให้ผมรู้จักคุณค่าของเงิน อภิปรายผลการวิจัย และคุณค่าของข้าวปลาอาหารมากขึ้นครับ ผมจะ 1. วิธีการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจ ไม่ฟุ่มเฟือย และจะกินอาหารให้หมดทุกเม็ดทุกค�ำ พอเพียงระดับนักศึกษา ด�ำเนินการภายใต้โครงการ เพราะชาวนาล�ำบากมาก รวมถึงคนอดอยากกว่า อบรมหลักสูตร “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง เรายังมีอีกเยอะครับ” ระดับนักศึกษา” เป็นหลักสูตรที่สถาบันเศรษฐกิจ 4. ด้านการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ดัง พอเพียง มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์พัฒนา ตัวอย่างค�ำกล่าวต่อไปนี้ ขึ้น เป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่สอดคล้องกับ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 138 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

วิธีการและเป้าหมายของการขับเคลื่อนปรัชญา ศรัทธา เชื่อมั่น เห็นคุณค่า และน�ำไปปฏิบัติด้วย ของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในการเสริมสร้างความรู้ ตนเอง แล้วจึงขยายไปสู่ครอบครัว ชุมชน องค์กร ความเข้าในที่ถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจ สังคม และประเทศต่อไป ทั้งนี้สอดคล้องกับผลงาน พอเพียงเพื่อให้สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ในการ วิจัยของฉัตรรุ่ง เงินอ้น (2553) วิจัยเรื่อง การพัฒนา ด�ำรงชีวิต จ�ำเป็นต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่าง วิธีการ “การน�ำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไป เข้มข้น นักศึกษาจะต้องได้รับการฝึกปฏิบัติ เน้นการ บูรณาการในสาระการเรียนรู้ด้านไอซีที” พบว่า วิเคราะห์ที่กระบวนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นกลไกส�ำคัญ ด้านความรู้ ความเข้าใจ และ เจตคติที่ดี มีนักศึกษา ในการสนับสนุนหรือปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ จะน�ำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ โลกทัศน์ ค่านิยมและวิถีการด�ำรงชีวิต ยุทธศาสตร์ ในการด�ำเนินชีวิตของตนเองในฐานะที่เป็นบัณฑิต ในการเรียนรู้เกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พบว่าอยู่ในเกณฑ์คุณภาพระดับดี คิดเป็น 23.28% จึงต้องท�ำความเข้าใจแบบบูรณาการในวิธีการเรียนรู้ ระดับดีมาก คิดเป็น 76.71% สอดคล้องกับสันสกฤต และคิดอย่างเป็นระบบอย่างที่ที่ระบุในหลักสูตรการ มุนีโมไนย (2551) ได้ศึกษาเรื่อง ความรู้ ความ ฝึกอบรม เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ความสามารถใน เข้าใจและการน�ำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไป การสังเคราะห์วิเคราะห์และน�ำไปประยุกต์ใช้ในการ ใช้ในการด�ำเนินชีวิต: กรณีศึกษานักศึกษาปริญญา ด�ำรงชีวิตต่อไป โท ภาคพิเศษ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม 2. ผลการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พบว่า ส่วนใหญ่ พอเพียงด้านพุทธิพิสัย พบว่า หลังจากเข้าโครงการ 93.8% มีความรู้ ความเข้าใจในปรัชญาเศรษฐกิจ อบรม นักศึกษามีระดับความรู้ สติปัญญาความคิด พอเพียง อยู่ในระดับสูง แต่ไม่สอดคล้องกับผล มีความสามารถในการคิดเกี่ยวกับเรื่องหลักปรัชญา งานวิจัยของเพ็ญพรรณ ชูติวิศุทธิ์ (2553) ท�ำวิจัย ของเศรษฐกิจพอเพียง อยู่ในระดับมากทุกข้อ เรื่อง การประยุกต์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการ ด้านทักษะพิสัย นักศึกษาน้อมน�ำปรัชญาของ จัดการเรียนการสอนระดับปริญญาตรี ผลการศึกษา เศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการด�ำเนิน พบว่า ระดับความรู้ความเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจ ชีวิตประจ�ำวัน อยู่ในระดับ บ่อยครั้ง และด้านจิต พอเพียงของนักศึกษา ในแต่ละด้านอยู่ในเกณฑ์ พิสัยนักศึกษาส่วนใหญ่มีเจตคติ อยู่ในระดับเห็น ระดับปานกลางจนถึงระดับต�่ำ ด้วยทุกข้อ ซึ่งผลการขับเคลื่อนทั้งสามด้านไปใน 3. ผลการเปรียบเทียบการขับเคลื่อน ทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้เป็นเพราะนักศึกษาตระหนัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านพุทธพิสัยทักษะ ถึงความส�ำคัญของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พิสัย และจิตพิสัย จ�ำแนกตามเพศ ชั้นปี และคณะที่ พอเพียง จึงมีความสนใจที่จะศึกษาทั้งได้เรียนใน สังกัด นักศึกษามีพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย รายวิชาต่าง ๆ รวมทั้งเรียนรู้ผ่านกิจกรรมโครงการ แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส�ำคัญทางสถิติ ทั้งนี้เป็น ฝึกอบรมที่สถาบันเศรษฐกิจพอเพียงจัดขึ้น ท�ำให้ เพราะปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักคิด “ระเบิดจากข้างใน” คือการเกิดจิตส�ำนึก มีความ และหลักปฏิบัติที่ทุกคน ทุกเพศ ทุกชั้นปี ทุกคณะ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 139 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ทุกวัยจะใช้เป็นวิถีการด�ำเนินชีวิตที่ใช้คุณธรรม เอกสารอ้างอิง ก�ำกับความรู้ เป็นการพัฒนาตนเอง ครอบครัว เกษม วัฒนชัย. (2550). เศรษฐกิจพอเพียงตามแนว องค์กร ชุมชน สังคม ประเทศชาติให้ก้าวหน้า พระราชด�ำริ. วารสารผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปพร้อมกับความสมดุล มั่นคง ยั่งยืน เพื่อให้คน ของรัฐสภา. 5(2), 155-156. ส่วนใหญ่พออยู่พอกินพอใช้ได้อย่างมั่นคง เพื่อให้ งานทะเบียนและประมวลผลมหาวิทยาลัย คนในสังคม สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข อยู่ ราชภัฏราชนครินทร์. (2558). ข้อมูล กับธรรมชาติได้อย่างสมดุล ยั่งยืน และเพื่อให้แต่ละ นักศึกษาปีการศึกษา 2558. ฉะเชิงเทรา: คนอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีรากเหง้าทางวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์. ฉัตรรุ่ง เงินอ้น. (2553). รายงานการวิจัย เรื่อง ข้อเสนอแนะ การพัฒนาวิธีการ “การน�ำหลักปรัชญา ควรเพิ่มช่องทางหรือวิธีการในการ เศรษฐกิจพอเพียงไปบูรณาการใน ขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้ลงสู่ สาระการเรียนรู้ด้านไอซีที”. เชียงใหม่: การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยทุกคน ทุกภาคส่วน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. ต้อง “ระเบิดจากข้างใน” ต้องมุ่งพัฒนาเพื่อสร้าง พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547. ความเข้มแข็งให้กับตนเองคนและครอบครัวเสียก่อน (2547). ราชกิจจานุเบกษา. ฉบับ แล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคมภายนอก กฤษฎีกา, 121 (ตอนพิเศษ 23 ก), 1-24. กิตติกรรมประกาศ เพ็ญพรรณ ชูติวิศุทธิ์. (2553). การประยุกต์ปรัชญา งานวิจัยนี้ส�ำเร็จลงได้ เพราะได้รับการ เศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการเรียนการ สนับสนุนงบประมาณจากเงินรายได้ และบุคลากร สอนระดับปริญญาตรี. วารสารร่มพฤกษ์. ของสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัย 28(2). ราชภัฏราชนครินทร์ ได้รับสนับสนุนงบประมาณ ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ. (2538). เทคนิค ในการประชุมเสนอผลงานวิจัยระดับชาติในครั้งนี้ การวิจัยทางการศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 5). จากสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏ กรุงเทพฯ: สุวีริยาส์น. ราชนครินทร์ ผู้วิจัยขอขอบคุณเป็นอย่างสูง สันสกฤต มุนีโมไนย. (2551). ความรู้ ความเข้าใจและ ขอขอบคุณ ผู้เชี่ยวชาญทุกท่าน ที่กรุณาเสียสละเวลา การน�ำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการตรวจสอบเครื่องมือการวิจัย ให้ข้อแนะน�ำแก่ ไปใช้ในการด�ำเนินชีวิต : กรณีศึกษา ผู้วิจัยเพื่อให้งานวิจัยมีคุณภาพยิ่งขึ้น ขอขอบใจ นักศึกษาปริญญาโท ภาคพิเศษ คณะ นักศึกษา ทุกคนทุกรุ่นที่ให้ความร่วมมือในการท�ำ พัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบัน กิจกรรมและการวิจัยในครั้งนี้ บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. ภาคนิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 140 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ Krejcie, Robert V. and Morgan, Daryle W. สังคมแห่งชาติ. (2555). จากปรัชญาของ (1970). Determinining Sample Size เศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติกว่า ๑ for Research Activities. Educational ทศวรรษ. กรุงเทพฯ: มปพ. and Psychological Measurement. 30, 607-610. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 141 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย รูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�าชุมชน ในจังหวัดบุรีรัมย์ THE MODEL TO STRENGTHEN DEMOCRATIC POLITICAL CULTURE OF COMMUNITY LEADERS IN BURIRAM PROVINCE OF THAILAND สถาพร วิชัยรัมย์1* และ สุธีกิติ์ ฝอดสูงเนิน2 Sathaporn wichiram1* and Sutheekit Fodsungnern2 สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์1*, 2 [email protected]

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย สร้างและ ยืนยันรูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�าชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้น�าชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ที่เข้าร่วมเวทีประชาพิจารณ์เพื่อร่างรัฐธรรมนูญ จากคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดบุรีรัมย์ จาก 23 อ�าเภอ ๆ ละ 20 คน รวม 460 คน ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือก แบบเจาะจง การก�าหนดโควต้า และสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ทั้งแบบตรวจสอบรายการ แบบมาตราส่วนประมาณค่า แบบค�าถามปลายเปิด และแบบตรวจสอบยืนยัน รูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดย การทดสอบค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดยก�าหนดค่านัยส�าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า ผู้น�าชุมชนส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 41-50 ปี มีสถานภาพสมรส มีการศึกษาใน ระดับมัธยมศึกษา มีอาชีพเป็นเกษตรกร และมีรายได้ระหว่าง 10,000-20,000 บาท มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับประชาธิปไตย ทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ค่านิยมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยอยู่ในระดับสูง และมีระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ ประชาธิปไตยในภาพรวมอยู่ในระดับสูง ( X = 3.91) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงล�าดับค่าเฉลี่ยจาก มากไปหาน้อยแล้วพบว่า 1) การยึดมั่นและเชื่อถือในหลักความส�าคัญและศักดิ์ศรีของบุคคล 2) การเคารพ ในกติกาของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย 3) ความส�านึกในหน้าที่พลเมืองและมีความเชื่อมั่นใน ตนเอง 4) การไม่มีจิตใจเป็นเผด็จการ 5) การเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมทางการเมือง 6) ความเชื่อมั่นและ ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย 7) ความสนใจและติดตามกิจกรรมทางการเมือง 8) การวิพากษ์วิจารณ์ ทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ 9) การมองโลกในแง่ดี มีความไว้วางใจและยอมรับความสามารถของบุคคล อื่น และ 10) การยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 142 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับปัจจัยเชิงสาเหตุทางการเมืองแล้ว พบว่า ผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีเพศ มีการศึกษาต่างกัน มีอาชีพหรือต�ำแหน่งหน้าที่ต่างกัน มีปัจจัยเชิงสาเหตุ ทางการเมืองแตกต่างกัน ส่วนผู้ที่มีสถานภาพสมรสและรายได้แตกต่างกัน มีปัจจัยเชิงสาเหตุทางการเมือง ไม่แตกต่างกัน และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย พบว่า ในภาพรวมแตกต่างกัน เฉพาะผู้ที่มีการศึกษาแตกต่างกัน นอกนั้นแม้ปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกัน แต่มีวัฒนธรรมทางการเมืองไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 รูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ด้วยแบบ ตรวจสอบยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญในภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง ( X = 4.75) สามารถน�ำไปใช้กับผู้น�ำชุมชนในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไปได้ ค�ำส�ำคัญ: ผู้น�ำชุมชน วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ประชาธิปไตย

ABSTRACT The objectives of this research were 1) to determine the level of democratic political culture of community leaders in Buriram province, and 2) to create and verify a model for strengthening democratic political culture of community leaders in Buriram province. The populations as a community leader in Buriram province who participated stage public hearings to draft the constitution of the Election Commission Buriram Province are the 23 districts of 20 people, including 460 people. The research methods were selected purposively and by quotas (quota selection). The instrument used for data collection were a questionnaire checklist, ratting scale, opened questionnaire and Expert Verify. Data were analyzed by means of frequency, mean, standard deviations. The hypothesis was tested by t-test and one-way analysis of variance (one-way ANOVA) by the level of statistical significance of .05. The results of this research found that : Community leaders, the most respondents were male, aged between 41-50 years, married, the secondary education, a career as a farmer, income from 10,000-20,000 baht, a deeper understanding of democracy, democratic political attitudes, a democratic political values, democratic Political participation is high level and the level of democratic political culture as a whole is high (X = 3.91). When considering the descending order from the highest to lowest found that ; 1) Adherence to and trust in the importance and dignity of individuals. 2) Respect for the rules of democracy. 3) The sense of civic duty and have Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 143 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV confidence in themselves. 4) The mind is no dictator. 5) The value of political participation. 6) The confidence and faith in democracy. 7) There are interesting and pursuing to political activities. 8) There is political criticism constructively. 9) There are optimistic trust and acceptance of others. 10) There is acceptance of different views. When comparing the differences between the causal, personal and political factors found that community leaders in Buriram province who have a different gender, a different study, a different profession or position and have a causal factor of political differences. For those who are married and have different names based upon a causal factor politically no different. And when comparing the personal factors of democratic political culture, it found that there is overall difference between those who are educated differently. Then even personal factors but have different political culture is no different by the level of statistical significance of .05. Model of strengthen democratic political culture created by the researcher. There is a model validation (expert verify) and confirmed by experts in the overall rankings, strongly disagree ( X = 4.75). It can be used as community leaders in other areas. Keywords: community leader, democratic political culture, democracy

บทน�ำ ให้มีเสถียรภาพและมีความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง การปกครองประชาธิปไตยของไทยแม้จะ ไดนั้น ขึ้นอยู่กับความมีประสิทธิภาพของสถาบัน มีการวางรากฐานมากหลายยุคสมัยแต่ก็มีอุปสรรค ทางการเมือง และวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ และล้มเหลวหลายครั้งเป็นเพราะวัฒนธรรม ประชาธิปไตยที่ต้องเสริมสร้างให้เกิดขึ้นใน การเมืองไทยมีลักษณะผสมระหว่างแบบดั้งเดิม ความส�ำนึกของประชาชนอย่างแท้จริง (อเนก กับประชาธิปไตยที่พยายามน�ำเข้ามาใช้ ลักษณะที่ เหล่าธรรมทัศน์, 2545) การสร้างวัฒนธรรม ส�ำคัญคือ ประชาชนไมมีส่วนร่วมทางการเมือง ยอม ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยให้บรรลุตาม จ�ำนนต่ออ�ำนาจบังคับซึ่งตรงกันข้ามกับลักษณะ จุดมุ่งหมายปลายทางให้ไดนั้น ต้องใช้เวลาในการ วัฒนธรรมการเมืองประชาธิปไตยที่ประชาชน ปรับเปลี่ยนนานพอสมควรและต้องกระท�ำอย่าง ส่วนใหญ่จะมีความรอบรูความเชื่อมั่นประชาธิปไตย ต่อเนื่อง (คะนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม และคณะ, 2545) และมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง (Rationality วัฒนธรรมทางการเมืองที่ดีย่อมเอื้อต่อการ Activist) (กนก วงษ์ตระหง่าน, 2532) การที่จะ พัฒนาระบบการเมือง เป็นเครื่องมือสนับสนุนให้ พัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย โครงสร้างทางการเมืองเข้มแข็ง เกิดระบบทางการ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 144 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เมืองแบบประชาธิปไตย ในทางตรงกันข้ามถ้า วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย เป็น คนในสังคมขาดวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ สิ่งจ�ำเป็นส�ำหรับการมีเสถียรภาพและประสิทธิผล ประชาธิปไตย การพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของ ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ระบบ สังคมนั้น มักจะเป็นไปด้วยความยากล�ำบาก (สมบัติ การเมืองจะด�ำรงอยู่ได้จะต้องมีวัฒนธรรมทางการ ธ�ำรงธัญวงศ์, 2537) ดังนั้น การเรียนรู้และการ เมืองที่เอื้ออ�ำนวยต่อการปกครองด้วย ซึ่งกลุ่ม ท�ำความเข้าใจถึงแนวโน้มของพฤติกรรมของคนใน บุคคลที่ถือว่ามีบทบาทอย่างยิ่งในการเสริมสร้าง สังคมทั้งในปัจจุบันและอดีต จะท�ำให้สามารถเข้าใจ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยใน วัฒนธรรมทางการเมืองของแต่ละสังคมมากยิ่งขึ้น สังคมหรือชุมชน ก็คือ ผู้น�ำชุมชน เนื่องจาก และสามารถน�ำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาระบบ ส่วนใหญ่แล้วผู้น�ำชุมชนมักเป็นผู้ที่มีทัศนคติ การเมืองการปกครองของไทยได้ในอนาคต (ธีรภัทร์ ความเชื่อ ค่านิยม หรือท่าทีต่อรูปแบบการปกครอง เสรีรังสรรค์, 2550) ซึ่งการศึกษาพฤติกรรมทางการ หรือมีความโน้มเอียง หรือมีความสนใจไปในทางการ เมืองของคนในสังคมไทยต้องอาศัยรากฐานความ เมืองมากกว่าผู้อื่นในชุมชนนั้น และขณะเดียวกันก็ รู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมืองของ จะพยายามด�ำเนินการกล่อมเกลาทางการเมืองไป คนในสังคมนั้นเป็นเกณฑ์ เพราะถ้าปราศจาก สู่คนในสังคมตามคติความเชื่อ ค่านิยม ท่าที ความ ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัฒนธรรม โน้มเอียง และความสนใจไปสู่รูปแบบการเมืองการ ทางการเมืองของคนในสังคมนั้น การวิเคราะห์หรือ ปกครองที่ตนมีอยู่เป็นอยู่ การปกครองในระบอบ การตีความพฤติกรรมทางการเมืองของคนในสังคม ประชาธิปไตยในสังคมไทย จึงจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่ต้อง นั้นอาจผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง อาศัยผู้น�ำชุมชนเป็นผู้ขับเคลื่อนส่งเสริมไปสู่วิถีการ ได้ ทั้งนี้ เพราะพฤติกรรมทางการเมืองของคนใน ปกครองที่พึงปรารถนานี้ (สถาบันพระปกเกล้า, ทุกสังคมล้วนขึ้นอยู่กับกระบวนการหล่อหลอมทาง 2550) สังคม และทางการเมืองจะเป็นกลไกส�ำคัญในการ ดังนั้น คณะผู้วิจัยจึงสนใจที่ศึกษาระดับ ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจตลอดจนการบ่มเพาะ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของ และปลูกฝังให้คนในสังคมมีความเชื่อ ค่านิยม และ ผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อน�ำไปสร้างเป็น ทัศนคติเกี่ยวกับระบบการเมือง และจะมีผลต่อ รูปแบบและน�ำไปสู่การพัฒนาชุมชนสู่วิถีความเป็น ความคิดและพฤติกรรมทางการเมืองของบุคคลใน ประชาธิปไตยอื่น ๆ ต่อไป สังคม (สมบัติ ธ�ำรงธัญวงศ์, 2551) การสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง เป็น วัตถุประสงค์ของการวิจัย เรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนานโดยอาศัย เพื่อศึกษาระดับวัฒนธรรมทางการเมือง กระบวนการกลอมเกลาทางการเมือง (political แบบประชาธิปไตยและพัฒนารูปแบบการเสริมสร้าง socialization) เป็นปัจจัยหลัก ซึ่งมีผลก่อให้เกิด วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�ำ มโนทัศน์ ทัศนคติและวัฒนธรรมทางการเมือง ชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ แบบใดแบบหนึ่งขึ้นได (ทินพันธุ์ นาคะตะ, 2539) Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 145 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สมมติฐานของการวิจัย กรกฎาคม 2558 จ�ำนวน 23 อ�ำเภอ รวม 813 คน 1. ผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีสภาพ ในส่วนของกลุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีการคัดเลือกแบบ ทั่วไป ความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติทางการเมือง เจาะจง ให้กลุ่มตัวอย่างอ�ำเภอละ 20 คน จากนั้น ค่านิยม และการมีส่วนร่วมทางการเมืองต่างกัน มี ใช้วิธีการคัดเลือกแบบก�ำหนดโควต้า ประกอบด้วย ระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ผู้น�ำชุมชน คือ ก�ำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรก�ำนัน แตกต่างกัน หรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ครูหรือบุคลากรทางการศึกษา 2. รูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรม อาสาสมัครสาธารณสุข สมาชิกองค์กรปกครองส่วน ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยที่พัฒนาขึ้น ท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน และพระสงฆ์ จากนั้นจึง สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้กับผู้น�ำชุมชนในจังหวัด การสุ่มอย่างง่าย ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 460 คน บุรีรัมย์และชุมชนอื่น ๆ ต่อไปได้ ส�ำหรับเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ได้ ความส�ำคัญของการวิจัย ปรับปรุงมาจากแบบสอบถามของบุษบง ภูโคกเนิน ทราบระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ (2556) และสุธีกิติ์ ฝอดสูงเนิน (2558) ตรวจสอบ ประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์และ คุณภาพของเครื่องมือด้านเนื้อหา ความหมาย ได้รูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง การใช้ภาษา โครงสร้าง และความสอดคล้องของ แบบประชาธิปไตยที่สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้กับ ข้อค�ำถามกับวัตถุประสงค์ (Item Objective ผู้น�ำชุมชนอื่น ๆ ต่อไปได้ Congruence: IOC) โดยผู้ทรงคุณวุฒิจ�ำนวน 5 ท่าน ได้ค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80-1.00 (ข้อ ระเบียบวิธีวิจัย ค�ำถามใช้ได้ทุกข้อ) หลังจากนั้น น�ำแบบสอบถาม ผู้วิจัยแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ระยะ โดยใน ไปทดลองใช้กับชุมชนอื่นจ�ำนวน 30 คน ณ บ้าน แต่ละระยะจะน�ำเสนอวิธีการได้มาซึ่งกลุ่มประชากร โคกพริก ต�ำบลสองชั้น อ�ำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และประชากรเป้าหมาย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ ซึ่งไม่ได้เป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย (รังสรรค์ รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และการแปรผลข้อมูล สิงหเลิศ, 2551) แล้ววิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ของแบบสอบถามทั้งฉบับ โดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์ ก. การวิจัยระยะที่ 1 มีวัตถุประสงค์ แอลฟ่า ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach, lee เพื่อศึกษาระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ Joseph, 1972, อ้างถึงใน รังสรรค์ สิงหเลิศ, 2551) ประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ ก�ำหนดให้ประชากรเป็นผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ .81 ด้านการเก็บรวบรวมข้อมูล ท�ำการจัดเก็บข้อมูล ทั้ง 23 อ�ำเภอ ที่ได้รับการคัดเลือกจากส�ำนักงาน ด้วยตนเองทั้งหมด จัดท�ำแบบสอบถาม ขอหนังสือ คณะกรรมการการเลือกตั้งประจ�ำจังหวัดบุรีรัมย์ รับรองและแนะน�ำตัวผู้วิจัย ขอความร่วมมือจาก ให้เข้าร่วมเวทีการมีส่วนร่วมและรับฟังความคิด ประชากรวิจัยที่เข้าร่วมเวทีการมีส่วนร่วมและรับ เห็นของประชาชนประจ�ำจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อการ ฟังความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดบุรีรัมย์ เก็บ ปฏิรูปประเทศไทย ระหว่างเดือนมกราคม 2558- รวบรวมได้ 460 ชุด คิดเป็นร้อยละ 100 ในส่วนของ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 146 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

การวิเคราะห์ข้อมูล ได้น�ำข้อมูลมาจัดหมวดหมู่ และ การวิเคราะห์ข้อมูล และการยืนยัน บันทึกคะแนนแต่ละข้อในรูปรหัส น�ำไปวิเคราะห์ รูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ส�ำเร็จรูป โดยการวิเคราะห์ ประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ เชิงพรรณนา เพื่ออธิบายข้อมูลทั่วไป สถิติที่ใช้ใน ท�ำการวิเคราะห์ข้อวิจารณ์และข้อเสนอแนะที่ได้ การวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ความถี่ และค่า จากแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าและขอรับ เบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติวิเคราะห์ ที่ใช้ทดสอบ ข้อเสนอแนะจากบทวิพากษ์ของผู้เชี่ยวชาญ ในส่วน สมมติฐาน ใช้การวิเคราะห์เพื่อหาค่าที (t-test) และ ของแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าผู้วิจัยได้ ค่าเอฟ (F-test) One way ANOVA เพื่ออธิบาย แบ่งระดับความคิดเห็นต่อความเป็นไปได้ตามวิธี ระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย การของลิเคอร์ท (Likert) มี 5 ระดับ และน�ำผล ของผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์โดยก�ำหนดระดับ จากการเสนอแนะมาปรับปรุงเป็นรูปแบบการเสริม นัยส�ำคัญทางสถิติที่ .05 (Level of Significant .05) สร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของ ข. การวิจัยระยะที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อ ผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อน�ำมาวิเคราะห์ ยืนยันรูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง ข้อมูลมาจัดท�ำรูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรม แบบประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนใน มีรายละเอียด ดังนี้ จังหวัดบุรีรัมย์ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ประชากรเป้าหมาย ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ ในระยะที่ 2 นี้ ผู้วิจัยน�ำข้อมูลทั้งหมดมาจัดหมวด นักวิชาการ พระสงฆ์ ผู้บริหารส่วนภูมิภาคหรือ หมู่ และบันทึกคะแนนแต่ละข้อในรูปรหัส วิเคราะห์ ส่วนท้องถิ่น ตัวแทนผู้น�ำชุมชน จ�ำนวน 20 รูป/ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส�ำเร็จรูป เป็นการ คน ใช้การเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย วิเคราะห์เชิงพรรณนา เพื่ออธิบายระดับความคิด ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้แทน เจ้าคณะจังหวัด เห็นของผู้เชี่ยวชาญว่าเห็นด้วยกับรูปแบบที่สร้างขึ้น หรือผู้แทน ท้องถิ่นจังหวัดหรือผู้แทน ผู้เชี่ยวชาญ/ หรือไม่เพียงใด สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ นักวิชาการ ก�ำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารสถาน ค่าความถี่ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ศึกษาและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือผู้แทน เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบตรวจสอบยืนยัน สรุปผลการวิจัยและการอภิปรายผลการวิจัย “Expert Verify” รูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรม สรุปผลการวิจัย ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนใน 1. สถานภาพส่วนบุคคลของผู้น�ำชุมชน จังหวัดบุรีรัมย์ ที่คณะผู้วิจัยน�ำผลมาจากการวิจัยใน ที่ตอบแบบสอบถาม พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ระยะที่ 1 มาสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นร่างในการพิจารณา ร้อยละ 66.09 มีอายุระหว่าง 41-50 ปี ร้อยละ ตรวจสอบยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญ การเก็บข้อมูลใน 31.30 มีสถานภาพเป็นผู้สมรสแล้ว ร้อยละ 85.65 ระยะนี้ เก็บจากแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณ มีการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ร้อยละ 37.39 มี ค่าและข้อเสนอแนะจากข้อพิพากษ์ของผู้เชี่ยวชาญ อาชีพหรือต�ำแหน่งหน้าที่เป็นก�ำนันหรือผู้ใหญ่บ้าน Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 147 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ร้อยละ 38.70 และผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มี กัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงยอมรับ รายได้ระหว่าง 10,000-20,000 บาท ร้อยละ 45.65 สมมติฐานที่ตั้งไว้ 2. ผลการพิสูจน์สมมติฐาน (5) ผู้น�ำชุมชนที่มีอาชีพหรือ 2.1 เปรียบเทียบสถานภาพส่วนบุคคล ต�ำแหน่งหน้าที่ต่างกัน มีความรู้ความความเข้าใจ กับปัจจัยเชิงสาเหตุทางการเมือง เกี่ยวกับประชาธิปไตย มีทัศนคติทางการเมือง (1) ผู้น�ำชุมชนที่มีเพศต่างกัน มี แบบประชาธิปไตย มีค่านิยมทางการเมืองแบบ ความรู้ความความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยมี ประชาธิปไตย และการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบ ทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย มีค่านิยม ประชาธิปไตยแตกต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และการมีส่วนร่วม ที่ระดับ .05 จึงยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแตกต่างกัน อย่างมี (6) ผู้น�ำชุมชนที่มีรายได้ต่างกัน นัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงยอมรับสมมติฐาน มีความรู้ความความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตย ที่ตั้งไว้ มีทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย มี (2) ผู้น�ำชุมชนที่มีอายุต่างกัน มี ค่านิยมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และการมี ความรู้ความความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยมี ส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในภาพรวม ทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และการ ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยแตกต่าง จึงไม่ปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ กัน แต่มีค่านิยมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย 2.2 เปรียบเทียบสถานภาพส่วนบุคคล ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ (1) ผู้น�ำชุมชนที่มีเพศต่างกัน (3) ผู้น�ำชุมชนที่มีสถานภาพ มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยใน การสมรสต่างกัน ความรู้ความความเข้าใจเกี่ยวกับ ภาพรวมไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ประชาธิปไตย มีทัศนคติทางการเมืองแบบประชา- ที่ระดับ .05 จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ธิปไตย มีค่านิยมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย (2) ผู้น�ำชุมชนที่มีอายุต่างกัน และการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยใน ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ภาพรวมไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ จึงไม่ปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ระดับ .05 จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ (4) ผู้น�ำชุมชนที่มีระดับการศึกษา (3) ผู้น�ำชุมชนที่มีสถานภาพ ต่างกัน มีความรู้ความความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตย การสมรสต่างกัน มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ มีทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย มีค่านิยม ประชาธิปไตยในภาพรวมไม่แตกต่างกัน อย่างมี ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และการมีส่วนร่วม นัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงปฏิเสธสมมติฐาน ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในภาพรวมแตกต่าง ที่ตั้งไว้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 148 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

(4) ผู้น�ำชุมชนที่มีระดับการศึกษา ประชาธิปไตย มีความส�ำนึกในหน้าที่พลเมืองและ ต่างกัน มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย มีความเชื่อมั่นในตนเอง การไม่มีจิตใจเป็นเผด็จการ ในภาพรวม แตกต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ การเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมทางการเมือง มี ระดับ .05 จึงยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย มี (5) ผู้น�ำชุมชนที่มีอาชีพหรือ ความสนใจและติดตามกิจกรรมทางการเมือง มีการ ต�ำแหน่งหน้าที่ต่างกัน มีวัฒนธรรมทางการเมือง วิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ มีการ แบบประชาธิปไตยในภาพรวมไม่แตกต่างกัน อย่าง มองโลกในแง่ดี มีความไว้วางใจและยอมรับความ มีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงปฏิเสธสมมติฐาน สามารถของบุคคลอื่น ส่วนล�ำดับสุดท้าย ได้แก่ มี ที่ตั้งไว้ การยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง (6) ผู้น�ำชุมชนที่มีรายได้ต่างกัน 4. ผลการยืนยันรูปแบบการเสริมสร้าง มีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยใน วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ภาพรวม ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ผลการยืนยันรูปแบบการเสริมสร้าง ที่ระดับ .05 จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�ำ 2. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมทางการ ชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ ได้รูปแบบส�ำหรับเสริม เมืองแบบประชาธิปไตย พบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ สร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�ำ ของผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้ ชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ มีจ�ำนวน 4 ด้าน ประกอบ ให้ความคิดเห็นต่อการสร้างรูปแบบและเนื้อหา ด้วย ปัจจัยด้านความรู้ความความเข้าใจเกี่ยวกับ ในการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรม ประชาธิปไตย ปัจจัยด้านทัศนคติทางการเมืองแบบ ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนใน ประชาธิปไตย ปัจจัยด้านค่านิยมทางการเมืองแบบ จังหวัดบุรีรัมย์ ในภาพรวมอยู่ระดับมากที่สุด ( X ประชาธิปไตย และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมทางการ =4.78, S.D.=.05) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดย เมืองแบบประชาธิปไตย เรียงล�ำดับจากมากไปหาน้อยตามล�ำดับ ดังนี้ ด้าน 3. ระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ การยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง ด้านการไม่มี ประชาธิปไตย พบว่า ในภาพรวมผู้น�ำชุมชนใน จิตใจเป็นเผด็จการ ด้านความเชื่อมั่นและศรัทธา จังหวัดบุรีรัมย์มีระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ ในระบอบประชาธิปไตย ด้านการมองโลกในแง่ดี มี ประชาธิปไตยอยู่ในระดับสูง ( X =3.91 , S.D.=.10) ความไว้วางใจและยอมรับความสามารถของบุคคล เมื่อจ�ำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ผู้น�ำชุมชนใน อื่น ด้านความสนใจและติดตามกิจกรรมทางการ จังหวัดบุรีรัมย์มีระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ เมือง ด้านการเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมทางการ ประชาธิปไตย โดยเรียงล�ำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหา เมือง ด้านทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย น้อยตามล�ำดับ ดังนี้ มีการยึดมั่นและเชื่อถือในหลัก ด้านการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ความส�ำคัญและศักดิ์ศรีของบุคคล รองลงมาได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตย ด้าน มีการเคารพในกติกาของการปกครองในระบอบ การเคารพในกติกาของการปกครองในระบอบ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 149 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ประชาธิปไตย ด้านการยึดมั่นและเชื่อถือในหลัก 4. ด้านการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบ ความส�ำคัญและศักดิ์ศรีของบุคคล ด้านค่านิยม ประชาธิปไตย ผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันรูปแบบที่ผู้วิจัย ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และด้านความ สร้างขึ้นจ�ำนวน 3 แนวทาง/คุณลักษณะ ได้แก่ ส�ำนึกในหน้าที่พลเมืองและมีความเชื่อมั่นใน 4.1 การเคารพในสิทธิ และหน้าที่ผู้อื่น ตนเอง ได้รูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการ 4.2 การส่งเสริมการปฏิบัติตาม เมืองแบบประชาธิปไตย จ�ำนวน 8 รูปแบบ 30 กฎหมาย คุณลักษณะ ดังนี้ 4.3 การส่งเสริมการมีส่วนร่วมทาง 1. ด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การเมือง ประชาธิปไตย ผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันรูปแบบที่ผู้วิจัย 5. ด้านการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง สร้างขึ้นจ�ำนวน 4 แนวทาง/คุณลักษณะ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันรูปแบบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจ�ำนวน 1.1 การส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ 4 แนวทาง/คุณลักษณะ ได้แก่ 1.2 การพัฒนาความเสมอภาค 5.1 เปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมคิด ร่วมท�ำ 1.3 การส่งเสริมการมีส่วนร่วม ร่วมรับผิดชอบในกิจกรรมของสังคม ทางการเมือง 5.2 ส่งเสริมการใช้เหตุผลและความคิด 1.4 การสร้างเจตนารมณ์ประชาธิปไตย สร้างสรรค์ในการพัฒนาประเทศ 2. ด้านทัศนคติทางการเมืองแบบ 5.3 ให้ความส�ำคัญกับการแก้ไขปัญหา ประชาธิปไตย ผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันรูปแบบที่ผู้วิจัย ด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างขึ้นจ�ำนวน 3 แนวทาง/คุณลักษณะ ได้แก่ 5.4 มีกระบวนการตัดสินใจที่ได้รับการ 2.1 การส่งเสริมความรู้ในวิถี ยอมรับจากคนในชุมชน ประชาธิปไตย 6. ด้านการยึดมั่นและเชื่อถือในหลัก 2.2 การพัฒนาการเรียนรู้เสริมประสม ความส�ำคัญและศักดิ์ศรีของบุคคล ผู้เชี่ยวชาญได้ การณ์ในประชาธิปไตย ยืนยันรูปแบบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จ�ำนวน 4 แนวทาง/ 2.3 การส่งเสริมคุณค่าด้านประโยชน์ คุณลักษณะ ได้แก่ ในระบอบประชาธิปไตย 6.1 ส่งเสริมให้ทุกคนมีสิทธิทางการ 3. ด้านค่านิยมทางการเมืองแบบ เมืองเท่าเทียมกัน ประชาธิปไตย ผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันรูปแบบที่ผู้วิจัย 6.2 ส่งเสริมการท�ำงานและแก้ไข สร้างขึ้นจ�ำนวน 3 แนวทาง/คุณลักษณะ ได้แก่ ปัญหาร่วมกัน 3.1 การให้ความส�ำคัญในการปกครอง 6.3 ส่งเสริมการใช้ความรู้ความ ตนเอง สามารถและความคิดสร้างสรรค์ 3.2 การส่งเสริมหลักสิทธิเสรีภาพ 6.4 ส่งเสริมจารีตประเพณีที่ให้ความ 3.3 การพัฒนาหลักเสมอภาค ส�ำคัญกับทุกเพศ/วัย วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 150 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

7. ด้านการเคารพในกติกาของการ ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย สามารถอธิบาย ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผู้เชี่ยวชาญได้ ความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ ยืนยันรูปแบบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจ�ำนวน 5 แนวทาง/ ประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ คุณลักษณะ ได้แก่ ได้ สอดคล้องกับงานวิจัยของบุษบง ภูโคกเนิน 7.1 ยกย่องผู้น�ำที่เคารพกติกาให้เป็น (2556) ที่ได้ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรม แบบอย่างที่ดี ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของประชาชนใน 7.2 มีบทลงโทษที่เหมาะสมและเป็น เขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ธรรมแก่ผู้ละเมิดกติกา พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมทางการ 7.3 ให้ความรู้และเสริมสร้างทัศนคติ เมืองแบบประชาธิปไตย ได้แก่ เพศ สถานภาพ ที่ดี การศึกษา อาชีพ อายุ รายได้ ความรู้ความเข้าใจ 7.4 กติกาที่บังคับใช้ในสังคมต้องมา ในระบอบประชาธิปไตย ทัศนคติทางการเมือง จากคนในสังคม แบบประชาธิปไตย และค่านิยมทางการเมืองแบบ 7.5 ปรับปรุงกติกาให้ทันสมัยและ ประชาธิปไตย มีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยในรูปคะแนน บังคับใช้อย่างเป็นธรรม ดิบของค่านิยมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย 8. ด้านการเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วม ทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย รายได้ เพศ ทางการเมือง ผู้เชี่ยวชาญได้ยืนยันรูปแบบที่ผู้วิจัย และนอกจากนั้น ยังสอดคล้องกับจิตติมา สร้างขึ้นจ�ำนวน 4 แนวทาง/คุณลักษณะ ได้แก่ ตรีริยะ (2547) ที่ได้ศึกษาวิจัยเรื่องวัฒนธรรม 8.1 ส่งเสริมการเมืองภาคประชาชน ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของนายกองค์การ 8.2 ส่งเสริมกิจกรรมทางการเมืองตาม บริหารส่วนต�ำบล จังหวัดจันทบุรี พบว่า นายก แนวสันติวิธี องค์การบริหารส่วนต�ำบล จังหวัดจันทบุรี มีระดับ 8.3 เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยใน ในระบอบประชาธิปไตยและจิตส�ำนึกความเป็น ระดับปานกลาง และผลการทดสอบสมมติฐาน พลเมือง โดยใช้ระดับนัยส�ำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 8.4 สนับสนุนกิจกรรมการเสริมสร้าง พบว่า อายุ สถานภาพสมรส และวุฒิการศึกษา ความสามัคคีและสันติสุขในสังคม ไม่มีผลท�ำให้ระดับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ อภิปรายผลการวิจัย ประชาธิปไตยแตกต่างกัน ยกเว้นจ�ำนวนครั้งหรือ จากการศึกษาวิจัยในเบื้องต้น ผู้วิจัย สมัยที่ด�ำรงต�ำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนต�ำบล สามารถอภิปรายผลการวิจัยได้ดังนี้ ที่แตกต่างกัน มีผลระดับวัฒนธรรมทางการเมือง ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ สถานภาพ แบบประชาธิปไตยแตกต่างกัน การสมรส การศึกษา อาชีพ อายุ รายได้ ความรู้ ปัจจัยเชิงสาเหตุทางด้านการเมือง พบว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย ทัศนคติ ผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์มีระดับความรู้ความ ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และค่านิยม เข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยในระดับสูง มีทัศนคติ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 151 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในระดับสูง และมี ทางการเมืองของผู้น�ำเยาวชนไทย พบว่า ความ ส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย สัมพันธ์ระหว่างระดับความรู้ความเข้าใจต่อระบบ ในระดับสูง ซึ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของ ทรงกต ประชาธิปไตย ระดับทัศนคติทางการเมืองแบบ พิลาลัย (2552) ที่ได้ศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง ประชาธิปไตย และพฤติกรรมทางการเมืองของ แบบประชาธิปไตยของข้าราชการเรือนจ�ำ จังหวัด ผู้น�ำเยาวชนไทย ผลการวิจัยพบว่า ระดับความรู้ มหาสารคาม โดยศึกษาใน 3 ประเด็น ประกอบ ความเข้าใจต่อระบอบประชาธิปไตยสามารถอธิบาย ด้วย ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการเมือง ระดับทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตยได้ การปกครองของไทยในปัจจุบัน ทัศนคติเกี่ยวกับ ร้อยละ 76.8 โดยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีค่าความ การเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน และ แกร่ง 0.876 จึงถือว่ามีความสัมพันธ์ในระดับสูง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง พบว่า แต่เมื่อวิเคราะห์ต่อระดับทัศนคติทางการเมือง ข้าราชการในเรือนจ�ำจังหวัดมหาสารคามมีความ แบบประชาธิปไตยกับพฤติกรรมทางการเมืองแบบ รู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ประชาธิปไตยของผู้น�ำเยาวชนไทย พบว่า ได้ร้อยละ ของไทย มีเกณฑ์เฉลี่ยของช่วงคะแนนร้อยละของ 18.7 โดยเฉพาะระดับความรู้ความเข้าใจต่อระบอบ แบบสอบถามทั้งหมดเท่ากับ 80.89 แสดงถึงการ ประชาธิปไตยสามารถอธิบายพฤติกรรมทางการ มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง เมืองได้เพียงร้อยละ ไทยในระดับดีมาก ทัศนคติเกี่ยวกับการเมืองการ ผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์มีระดับ ปกครองของไทยในปัจจุบันของข้าราชการใน วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย เรือนจ�ำจังหวัดมหาสารคามมีเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของ ในระดับสูง สอดคล้องกับงานวิจัยของ บุษบง ช่วงคะแนนร้อยละแบบสอบถามทั้งหมดเท่ากับ ภูโคกเนิน (2556) ที่ได้ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ 3.66 แสดงถึงการมีความคิดเห็นอยู่ในเกณฑ์เห็น วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยของ ด้วย และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม จังหวัด พบว่า ข้าราชการในเรือนจ�ำจังหวัดมหาสารคามมี มหาสารคาม พบว่า ระดับวัฒนธรรมทางการเมือง เกณฑ์ค่าเฉลี่ยของช่วงคะแนนร้อยละแบบสอบถาม แบบประชาธิปไตยโดยรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อ ทั้งหมดเท่ากับ 2.75 แสดงถึงการมีส่วนร่วมอยู่ใน พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีวัฒนธรรมทางการ ระดับไม่แน่ใจ เมืองแบบประชาธิปไตยอยู่ในระดับสูง รวม 4 ด้าน และการที่ผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์มี เรียงล�ำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ 1) ด้านการ ระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยใน ยอมรับความเห็นที่แตกต่าง 2) ด้านการเคารพใน ระดับสูง มีทัศนคติทางการเมืองแบบประชาธิปไตย กติกาและกฎระเบียบที่เป็นประชาธิปไตย 3) ด้าน ในระดับสูง และมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการ การวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เมืองแบบประชาธิปไตยในระดับสูง ยังสอดคล้อง และ 4) ด้านการเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วม กับงานวิจัยของสมบัติ ธ�ำรงธัญวงศ์ (2551) ที่ได้ ทางการเมือง และระดับปานกลาง รวม 3 ด้าน เรียง วิจัยวัฒนธรรมทางการเมืองและการมีส่วนร่วม ล�ำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ 1) ด้านความ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 152 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

สนใจและติดตามกิจกรรมทางการเมือง 2) ด้าน เมื่อได้เรียนรู้ สัมผัส มีประสบการณ์ จนเกิดความ ความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย โน้มเอียงในเชิงรับรู้จนเกิดเป็นความรู้ความเข้าใจ และ 3) ด้านความไว้วางใจและยอมรับความสามารถ ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ ต่อจากนั้นก็จะเกิดความ ของบุคคลอื่น โน้มเอียงในเชิงความรู้สึก ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความ นอกจากนั้น ระดับวัฒนธรรมทางการ ผูกพัน อาจจะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็ได้ และเกิด เมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนในจังหวัด ความโน้มเอียงในเชิงประเมินค่าตามมา ซึ่งอาจเอา บุรีรัมย์ จ�ำนวน 10 ด้าน อยู่ในระดับสูง สอดคล้อง ค่านิยมมาเป็นเครื่องมือในการวัดว่าเกิดประโยชน์ กับงานวิจัยของจ่าเอกส�ำราญ ทองสิงห์คลี (2555) หรือไม่ และเกิดประโยชน์อย่างไร สอดคล้องกับ ได้ศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย แนวคิดของสุธีกิติ์ ฝอดสูงเนิน (2558) ที่ได้ศึกษา ของพนักงานส่วนต�ำบล อ�ำเภอท่าชนะ จังหวัด วิจัยเรื่อง รูปแบบการกล่อมเกลาทางสังคมสู่วิถี สุราษฎร์ธานี ผลการวิจัยพบว่า พนักงานส่วนต�ำบล ความเป็นประชาธิปไตยของชุมชนรัฐบวรในภาค มีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อหลักการปกครองระบอบ ตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (ร้อยเอ็ด ขอนแก่น ประชาธิปไตย ยึดมั่นและเชื่อถือในความส�ำคัญและ มหาสารคาม กาฬสินธุ์) ที่กล่าวว่า ปัจจัยด้าน ศักดิ์ศรีของบุคคล เคารพในกติกาของการปกครอง ทัศนคติที่มีส่วนส�ำคัญที่มีผลต่อรูปแบบการเสริม ในระบอบประชาธิปไตยมีส่วนร่วมในกิจกรรม สร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย คือ ทางการเมืองและการปกครอง เป็นผู้มีความส�ำนึก 1. การส่งเสริมความรู้ในวิถีประชาธิปไตย ในหน้าที่พลเมืองของตนและมีความเชื่อมั่นใน เป็นการพัฒนาเจตคติในวิถีประชาธิปไตย ตนเอง มองโลกในแง่ดี มีความไว้วางใจเพื่อนมนุษย์ โดยส่งเสริมให้มีความรู้ความเข้าในในระบอบ วิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผลและเป็นไปในทาง ประชาธิปไตยการมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตาม สร้างสรรค์ ไม่มีจิตใจเป็นเผด็จการ หลักประชาธิปไตย ผู้วิจัยพบว่า ปัจจัยด้านทัศนคติ เป็น 2. การพัฒนาการเรียนรู้เสริมประสบการณ์ ความรู้สึกนึกคิด หรือความพร้อมของแต่ละบุคคล ในประชาธิปไตย เป็นการพัฒนาการเรียนรู้ที่ ที่จะแสดงพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้าในสังคม เสริมสร้างประสบการณ์ให้มีความเข้าใจในระบอบ ครอบครัว หรือแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมใน ประชาธิปไตย เข้าใจในเรื่อง สิทธิ เสรีภาพ ความ ทางที่จะสนับสนุนหรือต่อต้านประสบการณ์ บุคคล เสมอภาค สถาบัน หรือแนวคิดบางอย่างทั้งในเชิงบวกหรือ 3. การส่งเสริมคุณค่าด้านประโยชน์ พอใจและเชิงลบหรือไม่พอใจ และเมื่อเกิดทัศนคติ ในระบอบประชาธิปไตย เป็นการพัฒนาให้เห็น ขึ้นแล้ว ก็จะแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณค่าที่มีประโยชน์ของการปกครองในระบอบ ออกมา ดังนั้น ทัศนคติจึงส่งผลต่อวัฒนธรรมทางการ ประชาธิปไตยที่ให้ความส�ำคัญในเรื่อง สิทธิ เมืองแบบประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนในจังหวัด เสรีภาพ ความเสมอภาค สอดคล้องกับงานวิจัย บุรีรัมย์ ทั้งนี้ เพราะธรรมชาติของมนุษย์จะเกิด ของ ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์ (2552) ได้วิจัยเรื่อง ความรู้สึกนึกคิดต่อวิถีความเป็นประชาธิปไตยต่อ การพัฒนารูปแบบ การฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้าง Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 153 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ความรู้ เจตคติ และการมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นการรักษาสิทธิของตนเองและป้องกันมิให้ผู้อื่น แบบประชาธิปไตย ส�ำหรับผู้น�ำท้องถิ่น ผลการ ใช้สิทธินั้นโดยไม่ชอบธรรมและโดยไม่ฟังความคิด วิจัยพบว่า 1) ผู้น�ำท้องถิ่นที่ได้รับการอบรมด้วย เห็นของประชาชน การด�ำเนินนโยบายหรือกิจกรรม รูปแบบการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ เจตคติ หรือโครงการต่าง ๆ ของรัฐจะส�ำเร็จได้เพราะต้อง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ตามเจตนารมณ์ของประชาชน แสดงให้เห็นว่า มีคะแนนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองแบบ ประชาชนใส่ใจตรวจสอบและเข้ามีส่วนร่วมในการ ประชาธิปไตย คิดเป็นร้อยละ 88.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ท�ำงานของหน่วยงานรัฐอย่างสม�่ำเสมอ สอดคล้อง ที่ก�ำหนด และมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ความเข้าใจ กับแนวคิดของสุธีกิติ์ ฝอดสูงเนิน (2558) ที่ได้ เกี่ยวกับการเมืองแบบประชาธิปไตยหลังการอบรม ศึกษาวิจัยเรื่อง รูปแบบการกล่อมเกลาทางสังคมสู่ สูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ วิถีความเป็นประชาธิปไตยของชุมชนรัฐบวรในภาค ระดับ .01 2) ผู้น�ำท้องถิ่นที่ได้รับการอบรมตาม ตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (ร้อยเอ็ด ขอนแก่น รูปแบบการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ เจตคติ มหาสารคาม กาฬสินธุ์) ที่กล่าวสนับสนุนข้อความ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ข้างต้น และยังมีข้อคิดเห็นที่ได้จากการวิจัย ดังนี้ มีเจตคติต่อการเมืองแบบประชาธิปไตยหลังการ 1. การส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ เป็นการ อบรม คิดเป็นร้อยละ 85.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ พัฒนาความรู้ในความเข้าใจด้านหลักการในเรื่อง ก�ำหนด และมีค่าเฉลี่ยคะแนนเจตคติต่อการเมือง ของสิทธิของแต่ละบุคคล การเคารพสิทธิ การ แบบประชาธิปไตยหลังการอบรมสูงกว่าก่อน สร้างการมีส่วนร่วมในทุกเรื่อง ส่งเสริมการพัฒนา การอบรมอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ตนเอง การเปิดโอกาสทางการเมือง และเสรีภาพที่ 3) ผู้น�ำท้องถิ่นที่เข้ารับการอบรมโดยใช้รูปแบบ ไม่กระทบบุคคลอื่น การอบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ เจตคติ และการมี 2. การพัฒนาความเสมอภาค เป็นแนวทาง ส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย มีคะแนน การพัฒนาที่ต้องพัฒนาความรู้ในด้านการให้ความ การมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย คิด เสมอภาคแก่ทุกคนโดยให้เข้าใจในหลักความ เป็นร้อยละ 86.41 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก�ำหนด และ เสมอภาค ความเท่าเทียมกันในสังคม ให้ความ มีค่าเฉลี่ยคะแนนการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบ เสมอภาคทางการเมืองความเสมอภาคทางสังคม ประชาธิปไตยหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรม ความเสมอภาคในโอกาส ความเสมอภาคทาง อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เศรษฐกิจ และความเสมอภาคต่อการปฏิบัติของ ผู้วิจัยพบว่า ปัจจัยด้านความรู้มีผล กฎหมาย ต่อการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ 3. การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ประชาธิปไตยของผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าว โดยการให้ความรู้ความเข้าใจในหลักการมีส่วนร่วม คือ ผู้น�ำชุมชนที่มีความรู้ความเข้าใจในสิทธิและ สร้างความส�ำคัญของประชาชนคือเจ้าของอ�ำนาจให้ เสรีภาพของตนเองในฐานะพลเมือง จะให้ความ มีบทบาทส�ำคัญ สร้างการมีส่วนร่วมโดยการเลือกตั้ง ส�ำคัญและเข้ามีส่วนร่วมไม่ทอดธุระ เพราะเห็นว่า หรือแนวทางอ้อมผ่านสถาบันทางการเมือง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 154 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

4. การสร้างเจตนารมณ์ประชาธิปไตย วัฒนธรรมชุมชนที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน รู้สึกถึง เป็นการพัฒนาความรู้ ให้เข้าใจในหลักประชาธิปไตย ความใกล้ชิดและต้องพึ่งพาอาศัยกัน ถึงแม้บางกรณี คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อ ที่เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคมหรือในกระบวนการ ประชาชน ระดมความคิดเห็นเพื่อจัดกิจกรรมต่าง ๆ ก็จะมีการ 5. การสร้างความรู้ในขอบเขตของอ�ำนาจ แก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อมิให้ความขัดแย้งนั้นรุนแรง ในประชาธิปไตย เป็นการพัฒนาความรู้ในการทราบ และมักมีคนกลางเข้ามาจัดการหรือไกล่เกลี่ยเพื่อ ที่มาของขอบเขตอ�ำนาจในระบอบประชาธิปไตย ระงับความขัดแย้งเสมอ สะท้อนถึงวัฒนธรรมของ โดยอ�ำนาจสูงสุดมาจากประชาชน ชุมชนอันเกี่ยวเนื่องกับทัศนคติ ความเชื่อ และค่า หลักการส�ำคัญที่ท�ำให้ชุมชนสามารถอยู่ นิยมของประชาชนในชุมชนนั้นที่มีต่อการปกครอง ร่วมกันอย่างสันติสุขปราศจากความขัดแย้งนั้น แบบประชาธิปไตย ที่ส่งผลต่อการกระท�ำหรือ คือ ประชาชนใช้หลักการอยู่ร่วมกันด้วยความ พฤติกรรมที่แสดงออกมาของคนในชุมชน เสมอภาคและเท่าเทียมกัน ทุกคนในชุมชนมี สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่าง ข้อเสนอแนะ เท่าเทียมกัน การปรึกษาหารือกัน การใช้เหตุและ 1. ข้อเสนอแนะจากผลการศึกษา ผลในการตัดสินปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ร่วมกัน 1.1 ควรปลูกฝังค่านิยมประชาธิปไตย ต้องอาศัยการวิเคราะห์ถึงสาเหตุอันแท้จริงที่ก่อให้ ที่ถูกต้องและเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย เกิดปัญหาโดยประชาชนทุกคนและทุกฝ่ายต้องมี เพราะจากการศึกษา พบว่า วัฒนธรรมประชาธิปไตย การประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน การหากิจกรรม ที่มีอยู่มีลักษณะไม่สอดคล้องกับค่านิยมของสังคม ต่าง ๆ มาช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด การท�ำงาน ไทย ลักษณะโครงสร้างทางสังคม จารีตประเพณี ร่วมกันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความรุนแรง การ ความเชื่อเรื่องชนชั้นระบบอุปถัมภ์ที่อยู่ภายใต้ สร้างจิตส�ำนึกของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การ ร่มโพธิ์ร่มไทรของผู้มีอ�ำนาจจนกลายเป็นอุปสรรค มุ่งรักสามัคคีปราศจากความขัดแย้งซึ่งสอดคล้อง ต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย กับการศึกษาของ พงษ์ศักดิ์ ทักษิณสุข (2551) ได้ 1.2 ปัจจุบันพบว่า วัฒนธรรมทางการ ศึกษาวิถีความเป็นประชาธิปไตยของประชาชน เมืองของไทยมีลักษณะไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรม ต�ำบลท่าศาลา อ�ำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผลการ ประชาธิปไตย จึงควรมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยน ศึกษาพบว่า ประชาชนในต�ำบลท่าศาลา มีวิถีความ เรียนรู้กับนักวิชาการหลาย ๆ ฝ่ายและประชาชน เป็นประชาธิปไตยซึ่งจะเห็นได้จากการใช้หลักฉันทา ที่สนใจ เพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับวัฒนธรรม มติของเสียงข้างมาก เป็นหลักเกณฑ์ส�ำคัญในการ ประชาธิปไตยที่เหมาะสม จัดการกับปัญหาที่มีความคิดเห็นที่ค่อนข้างหลาก หลายภายใต้ข้อมูลและความเป็นเหตุเป็นผล อีกทั้ง Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 155 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

1.3 รัฐบาลควรมีการปรับปรุงระบบ 3. ข้อเสนอเพื่อการศึกษาวิจัยต่อไป การเรียนการสอนและกระบวนการปลูกฝังอบรม 3.1 เนื่องจากการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ หล่อหลอมกล่อมเกลา ด้วยการส่งเสริมวัฒนธรรม ใช้สถิติวิเคราะห์ทั่วไปที่มีความละเอียดไม่มากนัก ประชาธิปไตยผ่านการศึกษาแก่เยาวชนของชาติ จึงท�ำให้งานวิจัยนี้ไม่ได้แสดงความสัมพันธ์ของ 2. ข้อเสนอเชิงนโยบาย ตัวแปรที่ละเอียด ดังนั้น ควรมีการใช้สถิติชั้นสูงเพื่อ 2.1 ควรมีการรณรงค์เผยแพร่เกี่ยวกับ การวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้างในการออกแบบ วัฒนธรรมประชาธิปไตยผ่านสื่อวิทยุและโทรทัศน์ การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ เพื่อให้ประชาชนเกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ประชาธิปไตยส�ำหรับผู้น�ำชุมชนในจังหวัดบุรีรัมย์ ประชาธิปไตยผ่านสื่อวิทยุและโทรทัศน์ และ 3.2 รูปแบบที่ได้รับการยืนยันจาก ตระหนักในคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย เห็น ผู้เชี่ยวชาญควรได้รับการน�ำไปศึกษาต่อว่าตัวแปรใด ความส�ำคัญของการมีส่วนร่วมในการแสดงความ มีความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างกันอย่างไร และแต่ละ คิดเห็นอย่างกว้างขวาง ตัวแปรควรมีการพัฒนาอย่างไร 2.2 ควรมีการเสริมสร้างวัฒนธรรม 3.3 ควรมีการศึกษาวิจัยในระดับ ประชาธิปไตยในสถาบันหลักของสังคม เช่น ปฏิบัติการหรือในเชิงพื้นที่เพื่อเป็นการต่อยอดผล ครอบครัว โรงเรียน วัด และหน่วยงานของรัฐ ด้วย จากการวิจัย โดยน�ำผลการวิจัยครั้งนี้ไปทดลองใช้ วิธีการให้การศึกษาและอบรมสั่งสอนให้มีวิธีคิด กับชุมชนที่เป็นอาสาสมัคร เช่น ในหมู่บ้านต้นแบบ และวิถีชีวิตที่เอื้ออ�ำนวยต่อการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย หมู่บ้านต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียง ประชาธิปไตย รู้จักสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ของ โดยมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบทั้งก่อนและหลัง มี ตนเอง อดทนอดกลั้น มีระเบียบวินัย รู้จักเคารพ กระบวนการวิจัยที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น การ กฎหมาย รู้จักการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของ ระดมสมอง หรือจัดประชุมกลุ่มย่อย สังคมหรือการอยู่ร่วมกับคนอื่น เป็นคนที่มีเหตุผล 3.4 ควรมีการศึกษารูปแบบวัฒนธรรม มีความรับผิดชอบ รู้จักการพัฒนาตนเอง ยอมรับ ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยในกลุ่มองค์กร เสียงข้างมาก รู้จักการประนีประนอม รับฟังความ สมาคม ชมรม หรือองค์กรภาครัฐหรือภาคเอกชน คิดเห็น มีความรัก ความเมตตา มีความยุติธรรม อื่น ๆ แล้ว น�ำรูปแบบที่ได้จากแต่ละองค์กรมาสร้าง ฝึกเป็นผู้น�ำและผู้ตามที่ดี เชื่อมั่นในความสามารถ เป็นรูปแบบการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง ของลูก มีความสามัคคี ศีลธรรม และพ่อแม่ต้องท�ำ แบบประชาธิปไตย เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก เป็นต้น วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 156 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เอกสารอ้างอิง พงษ์ศักดิ์ ทักษิณสุข. (2551). วิถีความเป็น กนก วงษ์ตระหง่าน. (2532). วัฒนธรรมทางการ ประชาธิปไตยของประชาชนต�ำบล เมืองในระบอบประชาธิปไตย. นนทบุรี: ท่าศาลา อ�ำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต คะนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม และคณะ. (2545). รายงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. การวิจัย เรื่อง แนวทางการเสริมสร้าง ภูมิพงศ์ จอมหงศ์พิพัฒน์. (2552). การพัฒนา ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมตาม รูปแบบการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. เจตคติ และการมีส่วนร่วมทางการเมือง 2540: ปัญหา อุปสรรคและทางออก. แบบประชาธิปไตย ส�ำหรับผู้น�ำท้องถิ่น. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ทินพันธ์ นาคะตะ. (2517). ประชาธิปไตย: ความ 1(1). หมายปัจจัยเอื้ออ�ำนวยและการสร้างจิต. รังสรรค์ สิงหเลิศ. (2551). สถิติชั้นสูงในการ วารสารธรรมศาสตร์. 3, 8-12 วิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์. ทินพันธุ์ นาคะตะ. (2539). การเมืองการบริหาร มหาสารคาม: คณะมนุษยศาสตร์ และ ของไทยในทศวรรษ 1980: ปัญหา สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ และแนวทางพัฒนา. กรุงเทพฯ: คณะ มหาสารคาม. รัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต สถาบันพระปกเกล้า. (2550). วัฒนธรรมการเมือง พัฒนบริหารศาสตร์. จริยธรรมและการปกครอง. กรุงเทพฯ: ทินพันธ์ นาคะตะ. (2546). วิถีชีวิตไทย วัฒนธรรม สถาบันพระปกเกล้า. ทางการเมืองของคนรุ่นใหม่. พิมพ์ครั้งที่ สมบัติ ธ�ำรงธัญวงศ์. (2537). วัฒนธรรมทางการ 1. กรุงเทพฯ: สหายบล็อกและการพิมพ์. เมืองของชนชั้นกลางในสังคมไทย. ธีรภัทธ์ เสรีรังสรรค์. (2550). วัฒนธรรมทางการ กรุงเทพฯ: โครงการเอกสารและต�ำรา เมืองจริยธรรมและการปกครอง. ใน คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิต เอกสารประกอบการประชุมวิชาการ. พัฒนบริหารศาสตร์. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกกล้า. สมบัติ ธ�ำรงธัญวงศ์. (2551). รายงานผลวิจัยฉบับ นิธิ เอียวศรีวงศ์. (2550). วัฒนธรรมทางการเมือง สมบูรณ์ เรื่อง ปัจจัยภูมิหลัง วัฒนธรรม จริยธรรมและการปกครอง. ในเอกสาร ทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการ ประกอบการประชุมวิชาการ. กรุงเทพฯ: เมืองของผู้น�ำเยาวชนไทย. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า. ส�ำนักพิมพ์เสมาธรรม. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 157 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สุธีกิติ์ ฝอดสูงเนิน. (2558). รูปแบบการกล่อมเกลา อเนก เหล่าธรรมทัศน์. (2545). การเมืองของ ทางสังคมสู่วิถีความเป็นประชาธิปไตย พลเมือง. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : ของชุมชน รัฐ-บ-ว-ร ในภาคตะวันออก โครงการจัดพิมพ์คบไฟ มูลนิธิเพื่อการ เฉียงเหนือตอนกลาง (ร้อยเอ็ด ขอนแก่น ศึกษาประชาธิปไตยและการพัฒนา. มหาสารคาม กาฬสินธุ์). มหาสารคาม: Almond, A. Gabriel and Verba Sidney. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. (1965). The Civic Culture : Political ส�ำราญ ทองสิงห์คลี. (2555). วัฒนธรรมทางการ Attitude and Democracy in Five เมืองแบบประชาธิปไตยของพนักงาน Nations. New Jersey: Princeton ส่วนต�ำบลอ�ำเภอท่าชนะ จังหวัด University Press. สุราษฎร์ธานี. นนทบุรี: มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 158 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” บทความวิจัย ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองโบราณเวียงเชียงแสน : จากมรดกท้องถิ่นสู่มรดกชาติ LOCAL HISTORY OF WIANG CHIANG SAEN ANCIENT CITY : FROM LOCAL HERITAGE TO NATIONAL HERITAGE ภัทรีพันธุ์ พันธุ ดุจฤดี คงสุวรรณ์ จันจิรา วิชัย ศศิภา ค�าก�่า และ ทศพล คชสาร Pattareepan Puntu Dujluedee Kongsuwan Chanjira Wichai and Tosapon Koschasan สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ส�านักวิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สาขาวิชาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ส�านักวิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย [email protected]

บทคัดย่อ การศึกษา “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองโบราณเวียงเชียงแสน : จากมรดกท้องถิ่นสู่มรดกชาติ” มี วัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของแหล่งโบราณสถานในเขตเมืองโบราณ เวียงเชียงแสนผ่านค�าบอกเล่าของคนในชุมชน (2) เพื่อประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ในการจัด ระบบฐานข้อมูลแหล่งโบราณสถานในเขตเมืองโบราณเวียงเชียงแสน ด้วยวิธีการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นจาก เอกสาร พงศาวดาร หรือบันทึกที่เกี่ยวกับชุมชนและประวัติศาสตร์ของชุมชน แล้วจึงลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์ รูปแบบทางศิลปะ และหลักฐานทางโบราณคดี ต่อจากนั้นเป็นการสร้างเครื่องมือการวิจัยเพื่อสอบถาม ข้อมูลเชิงพื้นที่ การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่โบราณสถาน ความสัมพันธ์ระหว่างโบราณสถานกับคนพื้นที่ และความเชื่อที่คนมีต่อโบราณสถาน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เพื่อสืบค้นข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมือง โบราณเวียงแสนจากค�าบอกเล่าของผู้ที่มีความสัมพันธ์กับโบราณสถาน แล้วจึงน�าข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียง วิเคราะห์และพรรณาเชิงประวัติศาสตร์ สุดท้ายจึงน�าข้อมูลดังกล่าวไปจัดท�าแผนที่ของโบราณสถานโดย ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ผลการศึกษาพบว่า ข้อมูลจากค�าบอกเล่าของผู้ที่มีความสัมพันธ์กับโบราณสถานในฐานะที่อยู่ติด กับโบราณสถาน และในฐานะผู้รู้ในชุมชน ซึ่งโบราณสถานแต่ละแห่งสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ทั้งสิ้น 4 ประเด็น คือ (1) ประวัติศาสตร์จากเอกสารและหลักฐานทางโบราณคดี (2) การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ โบราณสถาน (3) ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโบราณสถาน (4) ความเชื่อที่มีต่อโบราณสถาน หลังจาก อธิบายข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของโบราณสถานแต่ละแห่งแล้วจึงน�ามาจัดท�าแผนที่เพื่อระบุต�าแหน่งที่ตั้ง ของโบราณสถานที่พบหลักฐานทางโบราณคดีและมีเรื่องเล่าจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้กับโบราณสถาน ร่องรอย ของโบราณสถานและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์จากค�าบอกเล่าของชุมชนมีทั้งสิ้น 56 แห่ง และป้อมประตู เมืองอีก 5 แห่ง โดยแบ่งกลุ่มของโบราณสถานตามการแบ่งชุมชนในเขตเทศบาลต�าบลเวียงเชียงแสน ได้เป็น Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 159 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

6 กลุ่ม คือ ชุมชนนางเซิ้ง มีจ�ำนวน 7 แห่ง ชุมชนผ้าขาวป้าน จ�ำนวน 10 แห่ง ชุมชนล้านทอง จ�ำนวน 12 แห่ง ชุมชนเจดีย์หลวง จ�ำนวน 6 แห่ง ชุมชนทัพม่าน จ�ำนวน 10 แห่ง ชุมชนริมโขง จ�ำนวน 11 แห่ง และ กลุ่มโบราณสถานประเภทป้อมประตูเมืองอีก 5 แห่ง คือ ป้อมประตูยางเทิง ป้อมประตูหนองมูด ป้อมประตู เชียงแสน ป้อมประตูทัพม่าน และป้อมประตูดินขอ แล้วน�ำมาประยุกต์ใช้ข้อมูลร่วมกับระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตร์เพื่อพัฒนาเป็นแผนที่โบราณสถาน ค�ำส�ำคัญ: โบราณสถาน ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เมืองโบราณเวียงเชียงแสน มรดกชาติ

ABSTRACT The objectives of this study entitled “Local History in Wiang Chiang Saen Ancient City: From Local Heritage to National Heritage” were to (1) discover the local history of the archaeological sites in Wiang Chiang Saen Ancient City, and (2) to apply the Geographic Information System (GIS) for database system management about the archaeological sites in Wiang Chiang Saen Ancient City. Primary data was collected from the chronicles, or community records as well as community histories. Also, art styles and archaeological evidences were explored during the field work study. After that the research instrument was used to collect the spatial data, area Wiang Chiang of the archaeological sites, relationship between people with the archaeological sites, and beliefs towards the archaeological sites by interviewing people who had been living near the archaeological sites. Moreover the map of the archaeological sites with GIS was created after all collected data were compiled, analyzed, and described in term of the history. The study revealed that the local history in Chiang Saen Ancient City have four issues that were indicated from each archaeological site were (1)the history from documents and archaeological evidences, (2) the area changes of the archaeological sites, (3) the relationship between people with the archaeological sites, and (4) beliefs towards the archaeological sites. After history of each archaeological site was explained, a map was created to specify the locations according to the archaeological evidences and narrative from villagers living near the archaeological sites. There were 56 archaeological sites and 5 gate forts from the word of mouth of people in the communities. The 56 archaeological sites were categorized into 6 groups according to communities in Wiang Chiang Saen sub-district municipality including 7 site in Nang Soeng community 10 sites in Pha Khao Pan community, 12 sites in Lan Thong วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 160 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

community, 6 sites in Chedi Luang community, 10 sites in Thap Man community, 11 sites in Rim Khong community. Also the 5 archaeological sites as the ancient gate forts were Yang Thoeng Gate Fort, Nong Mut Gate Fort, Chiang Saen Gate Fort, Thap Man Gate Fort, and Din Kho Gate Fort. Keywords: archaeological site, local history, Wiang Chaing Saenancient city, national heritage

บทน�ำ แหล่งโบราณสถาน ทั้งนี้เพื่อเป็นสิ่งที่แสดงถึง จากการศึกษาวิจัยและจัดท�ำฐานข้อมูล ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนกับโบราณสถาน ในเรื่อง “การกระจายตัวของแหล่งโบราณคดีใน ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการรวบรวมเรื่องราวทาง เขตต�ำบลเวียง อ�ำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย” ประวัติศาสตร์ที่ได้จากค�ำบอกเล่าของคนในชุมชน (ถิรวัสส์ ประเทืองไพศรี และคณะ, 2553) พบว่า ที่สามารถแสดงให้เห็นมุมมองของประวัติศาสตร์ อายุแหล่งโบราณสถานอยู่ในช่วงระหว่างพุทธ ท้องถิ่นที่จะสะท้อนความมีชีวิตหรือพลวัตของ ศตวรรษที่ 19-22 ท�ำให้คณะวิจัยได้เห็นถึงมุมมอง ชุมชนได้เป็นอย่างดี เหตุเพราะงานศึกษาที่ผ่าน ทางด้านพัฒนาการของชุมชนโบราณเชียงแสน มาจัดเป็นการมุ่งเน้นการวิเคราะห์เอกสาร ต�ำนาน จากมิติทางศิลปกรรมที่ประกอบด้วยเรื่องราว และหลักฐานทางโบราณคดี ตามครรลองการศึกษา และองค์ความรู้ และเมื่อรวมกับกระแสสังคม ประวัติรัฐชาติที่ถือเป็นประวัติศาสตร์กระแสหลัก ในปัจจุบันที่มุ่งเน้นจะพัฒนาการท่องเที่ยวใน อันเป็นผลให้ประวัติศาสตร์จากค�ำบอกเล่าของ รูปแบบต่าง ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การ คนในชุมชนถูกละเลย ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม หรือการท่องเที่ยวเชิง ข้อมูลข้างต้นแสดงถึงทุนทางวัฒนธรรม สุขภาพ จนสามารถเชื่อมโยงเป็นเส้นทางท่องเที่ยว และทุนทางสังคม ของเมืองโบราณเวียงเชียงแสน เชิงศิลปกรรมในเขตต�ำบลเวียงเชียงแสน อ�ำเภอ ที่มีอยู่มากมายและควรค่าแก่การเป็นมรดกของถิ่น เชียงแสน จังหวัดเชียงราย (ภัทรีพันธุ์ พันธุ และ และมรดกชาติ โดยงานวิจัยนี้มุ่งเน้นการบูรณาการ คณะ, 2555) ได้ทั้งสิ้น 6 เส้นทาง ได้แก่ (1) รูปทรง องค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี สังคมวิทยา ของเจดีย์ (2) ลักษณะงานปูนปั้น (3) อิริยาบถและ มานุษยวิทยา และประวัติศาสตร์จากค�ำบอกเล่าใน ปางของพระพุทธรูป (4) อิทธิพลทางศิลปะที่ได้รับ ฐานะประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เข้ากับวิธีวิทยาการ (5) รูปแบบอื่น ๆ และภาพรวมของกลุ่มศิลปกรรม ศึกษาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ในการเผยแพร่ เชียงแสนอีก 1 กลุ่ม ข้อมูลเพื่อเน้นย�้ำถึงความส�ำคัญของเวียงเชียงแสน ถึงกระนั้นก็ตามคณะวิจัยพบว่าแหล่ง ในการเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ส�ำคัญ โบราณคดีในเขตต�ำบลเวียงเชียงแสนนอกจากจะ ของชาติสืบไป ปรากฏในเอกสารทางวิชาการแล้วยังควรมีเรื่อง การวิจัยครั้งนี้ได้น�ำเอาแนวคิดเกี่ยวกับ ราวค�ำบอกเล่าของชุมชน ผู้ที่อยู่อาศัยใกล้ชิดกับ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเข้ามาใช้เพื่อเป็นเครื่องมือ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 161 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ในการเก็บข้อมูลที่แสดงให้เห็นความเป็นมาของ ของชาติเพื่อให้เกิดระเบียบ หรือกฎหมายในการ ผู้คนในท้องถิ่น โดยมีพื้นฐานทางความเชื่อและ ปกป้องสิ่งที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ให้อย่าง ศีลธรรมเดียวกัน โดยวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ ยั่งยืน ซึ่งศิลปะวัฒนธรรมที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน หลักฐานเป็นสิ่งส�ำคัญที่สุด เอกสารลายลักษณ์ บางแห่งพบว่าอยู่ในภาวะอันตรายและถูกท�ำลาย อักษร การสัมภาษณ์ หลักฐานทางโบราณคดี จนลดคุณค่าความส�ำคัญลง แหล่งธรรมชาติและ (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2549) ประวัติศาสตร์ ศิลปกรรมเหล่านี้จ�ำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอนุรักษ์ให้ ท้องถิ่นเป็นกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ เป็นมรดกของชาติไทย (ส�ำนักงานนโยบายและแผน สังคมที่เน้นมวลชน เป็นประวัติศาสตร์ที่คนภายใน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ออนไลน์) ท้องถิ่นเชื่อว่าเป็นจริง ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แนวคิดเกี่ยวกับภูมิวัฒนธรรม “ภูมิ เป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตและเป็นพลวัตเสมอ วัฒนธรรม” ที่มีที่มาจากการประมวลวิธีการศึกษา ประวัติศาสตร์จากภายในมิได้คาดหมายหาข้อเท็จ ท้องถิ่นในมุมมองทางโบราณคดีและมานุษยวิทยาที่ จริงจากข้อมูล แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกเชื่อว่าเป็น เน้นกระบวนการทางสังคม โดยกล่าวว่า นอกเหนือ เช่นนั้น ประวัติศาสตร์แบบนี้จึงเกิดจากแรงสะท้อน จากความสัมพันธ์ระหว่าง “คน” กับ “พื้นที่” แล้ว ทางความคิดของคนในสังคม ซึ่งปรากฏในรูปของ ยังน�ำไปสู่เรื่องของ “นิเวศวัฒนธรรม” (cultural ต�ำนาน นิทานพื้นบ้าน เรื่องปรัมปรามาแล้วแต่ ecology) อันหมายถึงการศึกษาความสัมพันธ์ อดีตและโดยการสัมภาษณ์ สืบสวนในปัจจุบัน (ธิดา ระหว่างสังคมและสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ สาระยา, 2529) ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือที่ดีใน รูปแบบของชีวิตและระบบนิเวศที่สนับสนุน การสร้างส�ำนึกให้กับชุมชน ซึ่งสร้างส�ำนึกให้คนใน การด�ำเนินชีวิต เมื่อสร้างบ้านเมืองจนเกิดเป็น ท้องถิ่นปราบถึงประวัติความเป็นมาของเมืองและ “ท้องถิ่น” มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา เห็นความส�ำคัญของสถานที่ประวัติศาสตร์ของเมือง ศาสนาและวัฒนธรรม แต่ทางกลับกันก็มีส�ำนึกใน อันจะเป็นการช่วยรักษาพื้นที่ สถานที่ และรื้อฟื้น ท้องถิ่นร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎ กติกา ข้อบังคับ ความทรงจ�ำในอดีต รวมทั้งมีส่วนช่วยให้หน่วยงาน ความเชื่อ ต�ำนาน ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ (ศรีศักร ของรัฐได้รื้อฟื้นการก่อสร้างปรับปรุงสถานที่ในอดีต วัลลิโภดม, 2549) มากกว่าการท�ำลายและปล่อยให้ผุพังไปในที่สุด งานวิจัยที่เกี่ยวข้องของ สุรัตน์ เลิศล�้ำ (2556) “พลัง” นี้จึงเท่ากับเป็นการต่ออายุและรักษาพื้นที่ ได้ศึกษาความเชื่อมโยงของวัฒนธรรมท้องถิ่น ทางประวัติศาสตร์ (ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ, 2554) สมัยอดีตถึงปัจจุบันเพื่อพัฒนาฐานข้อมูลวัฒนธรรม แนวคิดมรดกชาติเป็นโครงการมรดกของ และอารยธรรมโบราณในพื้นที่บริเวณลุ่มแม่น�้ำโขง ชาติไทยที่น�ำร่องโดยส�ำนักงานนโยบายและแผน และคาบสมุทร มลายา ระยะที่ 2 ผลการวิจัยแสดง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้นยังเป็น ถึงประวัติการใช้โลหะในประเทศไทย พัฒนาการ โครงการต้นแบบและอยู่ระหว่างการทดสอบ แต่ ของเส้นทางโบราณ ความสัมพันธ์ของแหล่ง ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีในการส่งเสริมให้เกิดการ โบราณคดีตามแกนวัฒนธรรม การพัฒนาข้อมูล อนุรักษ์ และเห็นถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม สารสนเทศเพื่อการเผยแพร่และใช้ประโยชน์ ซึ่งให้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 162 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ข้อมูลในด้านการเปรียบเทียบและสามารถก�ำหนด วัตถุประสงค์ของการวิจัย ประเภทการก่อสร้างถนนเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ 1. เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของ ทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง การเดินทางภายใน และ แหล่งโบราณสถานในเขตเมืองโบราณเวียงเชียงแสน ด้านการใช้งานเฉพาะกิจ ในกลุ่มสังคมระดับแคว้น ผ่านค�ำบอกเล่าของคนในชุมชน และระดับยุคโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2. เพื่อประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศ เรวดี ประเสริฐเจริญสุข (2546) ได้ศึกษา ภูมิศาสตร์ในการจัดระบบฐานข้อมูลแหล่งโบราณ พลวัตประวัติศาสตร์วัฒนธรรมท้องถิ่นท่ามกลาง สถานในเขตเมืองโบราณเวียงเชียงแสน กระแสการเปลี่ยนแปลงต�ำบลคลองด่าน ซึ่งศึกษา ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชุมชนจากมุมมองของคนใน ระเบียบวิธีวิจัย ท้องถิ่นเอง ผ่านการบอกเล่าจากข้อมูลบนเวที วิธีการวิจัย : เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดย เสวนาย่อย ซึ่งท�ำให้เข้าใจถึงประวัติศาสตร์ความ ใช้เครื่องมือตามรูปแบบของการศึกษาวิจัยทาง เป็นมาของชุมชนคลองด่านที่มีวิถีชีวิต การท�ำมา ศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น หากิน การด�ำรงความเป็นท้องถิ่น ต�ำบลคลองด่าน ประชากร : แหล่งโบราณสถานที่อยู่ในเขต มีความสัมพันธ์โดยตรงกับทรัพยากรชายฝั่งและ เวียงเชียงแสน จ�ำนวน 56 แห่ง และผู้รู้ในชุมชน ทะเล ซึ่งเป็นรากฐานขององค์ความรู้ และภูมิปัญญา จ�ำนวน 5 คน คนในชุมชนที่มีความสัมพันธ์กับแหล่ง ท้องถิ่นของชาวคลองด่าน มีความแตกต่างของกลุ่ม โบราณสถานในเขตเทศบาลต�ำบลเวียงเชียงแสน ชาติพันธุ์ แต่ใช้ระบบนิเวศร่วมกันซึ่งเป็นการพึ่งพิง จ�ำนวน 50 คน ทรัพยากรทางธรรมชาติจนถึงรัชกาลที่ 5 เครื่องมือวิจัย : ประกอบด้วย แบบ ประโยชน์ที่ได้จากการวิจัย (1) เกิด สัมภาษณ์ แนวค�ำถามประวัติศาสตร์ท้องถิ่น แผนที่ องค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ของแหล่งโบราณ ทางอากาศและแผนที่ดาวเทียม โปรแกรมทางระบบ สถานในเขตต�ำบลเวียงเชียงแสนในมุมมองของ สารสนเทศภูมิศาสตร์ และเครื่องระบุพิกัดทาง ชุมชน (2) เกิดฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ท้องถิ่นเพื่อให้องค์กรท้องถิ่นน�ำไปใช้ประโยชน์ ขั้นตอนการเก็บข้อมูล : แบ่งเป็น 6 (3) ข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ในการจัดเก็บ ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ศึกษาเอกสารและบริบทชุมชน และจัดการข้อมูลเพื่อแสดงข้อมูลของแหล่งโบราณ ขั้นที่ 2 ส�ำรวจภาคสนามเพื่อเก็บข้อมูลเชิงพื้นที่ สถานในเชิงพื้นที่ (4) ประยุกต์ฐานข้อมูลทาง ขั้นที่ 3 การสัมภาษณ์แบบเชิงลึกกับบุคคลผู้รู้ใน ประวัติศาสตร์เมืองโบราณเวียงเชียงแสนให้บุคคล ชุมชนหรือบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับโบราณสถาน ทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะทั้งรูปแบบของ ขั้นที่ 4 วิเคราะห์ เรียบเรียง และบรรยายข้อมูล สื่อออนไลน์และเอกสาร (5) มีการใช้ฐานข้อมูลและ ทางประวัติศาสตร์ร่วมกับเอกสารและหลักฐานทาง ผลงานวิจัยไปใช้เพื่อส่งเสริมให้เวียงเชียงแสนเป็น โบราณคดี ขั้นที่ 5 จัดท�ำแผนที่โบราณสถานโดยใช้ มรดกชาติ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ขั้นที่ 6 ถ่ายทอดผลงาน วิจัยให้ชุมชน Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 163 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สรุปผลการวิจัยอภิปรายผลการวิจัย ชาวพุทธ ดังนั้นอาจพบเห็นการน�ำเครื่องสักการะมา สรุปผลการวิจัย วางไว้บริเวณฐานของเจดีย์ ส่วนความสัมพันธ์ใน จากการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมือง ฐานะที่เป็นโบราณสถานที่อยู่ใกล้ชิดกับบ้านเรือน โบราณเวียงเชียงแสน : จากมรดกท้องถิ่นสู่มรดก นั้นเป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า “ต่างคนต่างอยู่” ชาติ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ซึ่งทางกรมศิลปากรได้เข้ามาดูแลพื้นที่โบราณสถาน ประชาชนที่อาศัยในเขตเวียงเชียงแสนและมีพื้นที่ โดยในอดีตมีการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ชาวบ้าน ติดแนวคูเมือง ก�ำแพงเมือง และโบราณสถาน เพื่อให้อยู่ร่วมกันกับโบราณสถานได้ แต่ปัจจุบัน จ�ำนวน 56 แห่ง และกลุ่มป้อมประตูเมือง 5 ชาวบ้านรุ่นเก่าล้มหายตายจาก คนรุ่นใหม่ก็มุ่งเน้น แห่ง เพื่อน�ำข้อมูลทางประวัติศาสตร์และความ การพัฒนาให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจแทน จึงท�ำให้การ สัมพันธ์กับโบราณสถานมาวิเคราะห์ร่วมกับระบบ มีส่วนร่วมของชาวบ้านในการจัดการโบราณสถาน สารสนเทศภูมิศาสตร์ และน�ำข้อมูลประวัติศาสตร์ น้อยลง ความผูกพันที่มีต่อโบราณสถานก็น้อยลง เมืองโบราณเวียงเชียงแสนเผยแพร่ในรูปแบบที่ เช่นกัน เช่นนี้จึงท�ำให้ชาวบ้านไม่เห็นความส�ำคัญ เหมาะสม เพื่อน�ำไปสู่การส่งเสริมการท่องเที่ยว ของโบราณสถาน และไม่เกิดเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เชิงประวัติศาสตร์ในชุมชน โดยผู้วิจัยได้แยกข้อมูล ของโบราณสถานนั้น ยกเว้นผู้ที่สนใจซึ่งอาจไม่ได้ เป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่ง คือ ประวัติศาสตร์ อาศัยอยู่ใกล้กับโบราณสถาน ท้องถิ่นเมืองโบราณเวียงเชียงแสน และส่วนที่สอง ความเชื่อที่มีต่อโบราณสถานแบ่งได้เป็น 2 คือ แผนที่แหล่งโบราณสถานกับความส�ำคัญทาง กลุ่มความเชื่อ คือ กลุ่มแรกเป็นความเชื่อว่าโบราณ ประวัติศาสตร์ สถานเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ ดังนั้นจึงเกิด การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่โบราณสถาน ความรู้สึกอบอุ่นใจ กลุ่มที่สองเป็นความเชื่อในเรื่อง อาจแบ่งได้เป็น 3 ช่วง คือ ช่วงเชียงแสนถูกทิ้งเป็น เหนือธรรมชาติ และเรื่องวิญญาณ เมืองร้าง ซึ่งวิเคราะห์ได้จากภาพถ่ายเก่า จารึก และ ข้อมูลประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของแหล่ง เอกสาร ในช่วงเวลานี้โบราณสถานมีต้นไม้ปกคลุม โบราณสถานในเขตเมืองโบราณเวียงเชียงแสนผ่าน หนาแน่น มีโบราณวัตถุกระจายเกลื่อนกลาดทั่ว ค�ำบอกเล่าของคนในชุมชนนั้นสามารถแบ่งได้เป็น บริเวณ ช่วงถัดมาเป็นช่วงที่กลุ่มคนอพยพมาจาก 6 กลุ่ม คือ ชุมชนนางเซิ้งปัจจุบันสามารถอธิบาย ล�ำพูน เชียงใหม่ ซึ่งจะเป็นช่วงที่ผู้คนเข้าจับจองที่ดิน เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ความสัมพันธ์ เพื่ออยู่อาศัยและท�ำการเกษตร โดยอาจจะไม่ทราบ กับคนในชุมชนโดยเชื่อมโยงกับต�ำแหน่งโบราณ ว่าเป็นพื้นที่ของโบราณสถาน และช่วงปัจจุบันที่กรม สถานที่ปรากฏในแผนที่ได้ จ�ำนวนทั้งสิ้น 7 แห่ง ศิลปากรได้เข้ามาท�ำการบูรณะและปรับพื้นที่ของ ประกอบด้วย วัดศรีชุม วัดแสนเมืองมา วัดต้นยางใน โบราณสถาน วัดอ้อมแก้ว วัดเสาเคียน วัดเชียงมั่น และวัดภูมิเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโบราณสถาน ชุมชนผ้าขาวป้าน จ�ำนวนทั้งสิ้น 10 แห่ง ประกอบ จะปรากฏเพียงในแง่ของความเชื่อในฐานะที่โบราณ ด้วย วัดเชตวัน วัดร้างหมายเลข 23 วัดผ้าขาวป้าน สถานคือ วัด และวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของ วัดพวกพันตอง วัดสังฆาแก้วดอนทัน วัดอาทิต้นแก้ว วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 164 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

วัดป่างัวเชียง วัดเชียงน้อยต้นลาน วัดมงคล และ ร้างหมายเลข 13 วัดพระนอน วัดพระยืน วัดทอง วัดมหาโพธิ์ ชุมชนล้านทอง จ�ำนวนทั้งสิ้น 12 แห่ง น้อย และวัดพระบวช ชุมชนริมโขง จ�ำนวนทั้งสิ้น ประกอบด้วย วัดปราสาทประตู วัดมหาอาราม วัด 11 แห่ง ประกอบด้วย วัดศรีบุญเรือง วัดสัสดี วัด หอแก้ว วัดร้างหมายเลข 4 วัดวงกตใน วัดมหาธาตุ จ�ำปาเหลือง วัดหมื่นเชียง วัดบ้านร้อง วัดปงสนุก วัดมุงเมือง วัดพระเจ้าล้านทอง วัดร้างหมายเลข 7 วัดคว้าง วัดร้างหมายเลข 14 วัดปราสาทคุ้ม วัดชุม วัดมหาวัน วัดร้อยข้อ และวัดเสาจันทร์ ชุมชนเจดีย์ วัด และวัดกู่ค�ำ และกลุ่มป้อมประตูอีก 5 แห่ง คือ หลวง จ�ำนวนทั้งสิ้น 6 แห่ง ประกอบด้วย วัดเจดีย์ ป้อมประตูยางเทิง ป้อมประตูหนองมูด ป้อมประตู หลวง วัดช้างค�้ำ วัดร้างหมายเลข 25 วัดพระยอม เชียงแสน ป้อมประตูทัพม่าน และป้อมประตูดินขอ วัดอโศก และวัดศรีค�ำ ชุมชนทัพม่าน จ�ำนวนทั้งสิ้น จากการลงพื้นที่เพื่อก�ำหนดต�ำแหน่งของ 10 แห่ง ประกอบด้วย วัดประทุมใต้ วัดสอยดาว วัด โบราณสถานและข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของโบราณ ร้างหมายเลข 12 วัดอุดม วัดร้างหมายเลข 10 วัด สถาน สามารถแสดงให้เห็นเป็นแผนที่ ดังนี้

ภาพที่ 1 แผนผังแสดงต�ำแหน่งโบราณสถานที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของเทศบาลต�ำบลเวียง เชียงแสน Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 165 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

อภิปรายผลการวิจัย การพัฒนาให้เป็น “มรดกชาติ” ซึ่งขณะนี้ถึงแม้ว่า งานวิจัยฉบับนี้เป็นลักษณะของการสืบค้น ยังเป็นโครงการต้นแบบและอยู่ระหว่างการทดสอบ ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ (ส�ำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ พูดคุยกับคนในชุมชน และสิ่งแวดล้อม, ออนไลน์) ทั้งนี้ผลการศึกษาอาจ เพื่อทราบถึงเรื่องราวในอดีตของโบราณสถานและ ช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการใช้เป็นฐานข้อมูล หรือ ความเชื่อของคนที่มีต่อโบราณสถาน ซึ่งถือได้ว่า เป็นเครื่องมือในการส่งเสริม เน้นย�้ำ ให้เกิดการ สอดคล้องกับกระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ เคลื่อนไหวของการด�ำเนินการดังกล่าวอย่างเป็น ของเทศบาลต�ำบลเวียงเชียงแสนโดยการน�ำเอา รูปธรรมมากขึ้น แนวคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นโดยใช้เป็น ความสัมพันธ์ระหว่าง “คน” กับ “พื้นที่” เครื่องมือในการเก็บข้อมูล ซึ่งใช้หลักฐานทั้งเอกสาร ที่ปรากฏในเมืองโบราณเวียงเชียงแสนแสดงให้เห็น ลายลักษณ์อักษร การสัมภาษณ์ และหลักฐานทาง ถึงการอพยพย้ายถิ่นฐานของคนจากภายนอก เข้า โบราณคดี (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2549) และถือได้ มายังภายในเขตเทศบาลต�ำบลเวียงเชียงแสน ซึ่ง ว่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเป็นประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต ส่งผลต่อความทรงจ�ำของชาวบ้านที่มีต่อโบราณ และเป็นพลวัตเสมอ ซึ่งปรากฏในรูปของต�ำนาน สถาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “ภูมิวัฒนธรรม” นิทานพื้นบ้าน เรื่องปรัมปรามาแล้วแต่อดีตและโดย (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2549) แต่จากการเก็บข้อมูล การสัมภาษณ์ สืบสวนในปัจจุบัน (ธิดา สาระยา, ท�ำให้เห็นรูปแบบของความสัมพันธ์ที่ต่างออกไป 2529) สอดคล้องกับผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นถึง กล่าวคือ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโบราณสถาน การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ในเขตโบราณสถาน เป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า “ต่างคนต่างอยู่” กล่าว การมีส่วนร่วมของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกับโบราณ คือ ชาวบ้านก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโบราณสถาน สถาน และความเชื่อในปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ไม่ท�ำลายโบราณสถาน แต่ก็ไม่ได้ช่วยดูแลหรือ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับเอกสารหรือหลักฐานทาง เป็นหูเป็นตาให้กับทางกรมศิลปากร ความสัมพันธ์ ประวัติศาสตร์แต่ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพื้นฐาน มีเพียงความเชื่อว่าเป็นวัด จึงเกิดความเคารพว่า ความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของคนในชุมชน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่ได้ท�ำพิธีกรรมใด ๆ ดังกล่าวนั้นจึงถือได้ว่าเป็นพลวัตของชุมชน แต่ นอกจากนั้นความสัมพันธ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือเรื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนั้นย่อมแตกต่าง เล่าเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ หรือเรื่อง กับประวัติศาสตร์รัฐซึ่งมุ่งเน้นการให้ความส�ำคัญ เกี่ยวกับวิญญาณ กับการบอกเล่าเท่า ๆ กับหลักฐานทางเอกสารหรือ ส่วนกระบวนการศึกษาวิจัยนั้นมีความ หลักฐานทางโบราณคดี สอดคล้องกับงานวิจัยของสุรัตน์ เลิศล�้ำ (2556) นอกจากนั้นการพัฒนาพื้นที่เมืองโบราณ ในการน�ำข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาพัฒนาร่วมกับ เวียงเชียงแสนไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เกิด ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อให้ชุมชนน�ำไป ประโยชน์กับทั้งชาติ ท้องถิ่น และชุมชน รวมถึงคน ต่อยอดและใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย นอกจากนั้น ที่อาศัยและใช้ประโยชน์กับพื้นที่นี้อย่างเต็มที่ โดย ผลการวิจัยยังสอดคล้องกับผลการศึกษาของ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 166 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เรวดี ประเสริฐเจริญสุข (2546) ที่แสดงให้เห็นถึง สรัสวดี อ๋องสกุล. (2554). ประวัติศาสตร์ล้านนา. การเปลี่ยนแปลงของชุมชน การใช้พื้นที่ ซึ่งเป็นผล นนทบุรี: อมรินทร์. มาจากการพัฒนาไปสู่ความเป็นเมืองมากขึ้น ถิรวัสส์ ประเทืองไพศรี. (2553) “การกระจายตัว ของแหล่งโบราณคดีในเขตต�ำบลเวียง ข้อเสนอแนะ อ�ำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย”. น�ำฐานข้อมูลและผลงานวิจัยไปใช้เพื่อ เชียงราย: มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. ส่งเสริมให้เวียงเชียงแสนให้เป็นมรดกชาติ และ ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ. (2554). แนวคิดและแนวทาง ส่งเสริมให้เกิดแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นร่วมกัน การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น. ระหว่างชุมชน รัฐ และนักวิชาการ ในการพัฒนา กรุงเทพฯ: อินทนิล. เมืองโบราณเวียงเชียงแสนเพื่อการอนุรักษ์อย่าง สุรัตน์ เลิศล�้ำ. (2556). ความเชื่อมโยงของ ยั่งยืน โดยการสร้างจิตส�ำนึกในการรักษาโบราณ วัฒนธรรมท้องถิ่นสมัยอดีตถึงปัจจุบัน สถาน ซึ่งอาจใช้กระบวนการพัฒนาโดยให้ชุมชน เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลวัฒนธรรมและ เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อให้เกิดความรัก อารยธรรมโบราณในพื้นที่บริเวณลุ่ม และผูกพันต่อโบราณสถาน แม่น�้ำโขงและคาบสมุทรมลายา ระยะที่ 2. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุน เอกสารอ้างอิง งานวิจัย (สกว.). ศรีศักร วัลลิโภดม.(2549). เปิดประเด็น : ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น : แนวคิดและ เรวดี ประเสริฐเจริญสุข. (2546). พลวัต วิธีการ. จดหมายข่าวมูลนิธิ เล็ก-ประไพ ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมท้องถิ่น วิริยะพันธุ์ ; ฉบับที่ 63. ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงต�ำบล คลองด่าน. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงานกองทุน สนับสนุนงานวิจัย (สกว.). Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 167 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย วิเคราะห์รูปแบบและความสัมพันธ์ของเกษตรกรภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา : ศึกษาเกษตรกรอ�าเภอปะค�า จังหวัดบุรีรัมย์ AN ANALYSIS OF FARMERS’ PATTERNS AND CORRELATIONS UNDER CONTRACT FARMING: A CASE STUDY OF FARMERS IN , BURIRAM PROVINCE นพดล ธีระวงศ์ภิญโญ Noppadon Theerawongpinyo มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ [email protected]

บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเกษตรกรและรูปแบบของสัญญา ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตร และปัญหาที่เกิดจากข้อตกลง ในสัญญาดังกล่าว ภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา เพื่อเสนอแนะแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาที่เกิด จากการท�าสัญญา กลุ่มตัวอย่าง คือ เกษตรกรแบบมีพันธสัญญา ในเขตอ�าเภอปะค�า จังหวัดบุรีรัมย์ จ�านวน 52 ราย ผลการวิจัยพบว่ารูปแบบของสัญญา กรณีเกษตรกรอ�าเภอปะค�า จังหวัดบุรีรัมย์ มีรูปแบบการ ท�าสัญญาแบบการกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรฯ (ธ.ก.ส.) มากที่สุด รองลงมาคือกู้นอกระบบ และ ท�าสัญญากับผู้ประกอบการฯ ส่วนความสัมพันธ์ของเกษตรกรกับผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตรพบ ว่าเกษตรกรส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์แบบประกันราคา รองลงมาคือความสัมพันธ์แบบประกันตลาด และ ความสัมพันธ์แบบประกันรายได้ โดยพบว่าเกษตรกรมีปัญหาด้านการรับรู้รายละเอียดของสัญญามากที่สุด โดยเฉพาะปัญหาเรื่องอ่านข้อสัญญาแล้วไม่เข้าใจเนื้อหาในสัญญา ทั้งปัญหากรณีผู้ประกอบการธุรกิจ ทางการเกษตรไม่ได้มอบคู่สัญญาให้เกษตรกร และปัญหาเรื่องการผูกขาดด้านปัจจัยการผลิตโดยผู้ประกอบ การธุรกิจทางการเกษตร ผู้วิจัยเสนอแนะว่าก่อนที่เกษตรกรจะตกลงท�าสัญญา เกษตรกรควรอ่านและ ท�าความเข้าใจในเนื้อหาของสัญญาก่อน และผู้ประกอบการฯต้องมอบคู่สัญญาให้เกษตรกรไว้อย่างน้อย 1 ชุด โดยรัฐควรมีมาตรการทางกฎหมายในการป้องกันมิให้มีการขายปัจจัยการผลิตที่มีลักษณะผูกขาด ค�าส�าคัญ: รูปแบบ ความสัมพันธ์ ระบบเกษตรพันธสัญญา วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 168 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ABSTRACT The purposes of this research were to investigate general information about farmers and contract farming patterns, to study correlations between entrepreneurs and farmers, and to analyze the problems caused by agreements under contract farming and to recommend the appropriate ways to solve the problems caused by making contract under contract farming. The samples in this study were 52 farmers under contract farming in Pakham district, Buriram province. The research findings were found that in the case study of farmers in Pakham district, Buriram province, the contract patterns of the bank loan with the bank of Agriculture and Agricultural Cooperatives were at the highest level, followed by informal loan and contract with entrepreneurs respectively. With reference to correlations between entrepreneurs and farmers, it was found that farmers were mostly related to price insurance, followed by marketing insurance, and income insurance respectively. It was also found that farmers had the most problems of recognizing the details of contracts, especially no understanding of the contents of contracts, no receiving a party of contracts, and monopoly of product factors. For problem-solving, the researcher recommended that before agreeing to make contracts, formers should read the contents of contract so that they could understand them in details and entrepreneurs had to give them a party of contracts. Besides, the government should have the defensive measure of laws for monopoly of product purchasing factors. Keywords: patterns, correlation, contract farming

บทน�ำ ที่ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของบริษัทหรือนายทุนที่เป็น จากการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตในภาค โรงงานแปรรูปต่าง ๆ ให้มีการเพาะปลูกพืชหรือ เกษตรกรรมจากเศรษฐกิจแบบพอเพียงมาเป็นการ เลี้ยงปศุสัตว์ โดยมีข้อตกลงเกี่ยวกับราคา ปริมาณ ผลิตในเชิงพาณิชย์ที่เน้นการเพิ่มปริมาณและลด คุณภาพ และระยะเวลาของผลผลิตไว้ล่วงหน้า ต้นทุนทางการผลิตเพื่อสนองความต้องการทาง รวมทั้งมีข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดหาปัจจัยการ ตลาด ท�ำให้เกิดระบบการผลิตในรูปแบบระบบ ผลิต ตลอดจนค�ำปรึกษาด้านเทคโนโลยี การผลิต เกษตรพันธสัญญา หรือที่เรียกกันว่า Contract เพื่อให้มาตรฐานของผลผลิตนั้นเป็นไปตามสัญญา Farming ขึ้น เป็นการตกลงระหว่าง “เกษตรกร” กับ แต่พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีมาตรการ “ผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตร” ซึ่งต่อไปใน ทางกฎหมายที่จะน�ำมาบังคับใช้กับการท�ำสัญญา รายงานวิจัยฉบับนี้จะใช้ค�ำย่อว่า “ผู้ประกอบการฯ” ภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญาได้โดยตรง แม้จะ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 169 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

มีร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบ จากความเป็นมาและความส�ำคัญของ เกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรมฯ หรือร่างพระราช ปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาข้อมูลทั่วไป บัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม (ฉบับที่...) เกี่ยวกับเกษตรกรและรูปแบบของสัญญาภายใต้ พ.ศ.ฯ ที่มีการก�ำหนดเกี่ยวกับเกษตรพันธสัญญา ระบบเกษตรพันธสัญญา ทั้งศึกษาความสัมพันธ์ แต่ร่างดังกล่าวก็ยังไม่ได้เป็นกฎหมายที่จะน�ำมา ระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการธุรกิจทางการ บังคับใช้ได้ อาจเนื่องจากรัฐเห็นว่าเป็นเรื่องระหว่าง เกษตร และปัญหาที่เกิดจากข้อตกลงในสัญญา เอกชนกับเอกชน การท�ำสัญญาภายใต้ระบบเกษตร ภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา เพื่อเสนอแนะ พันธสัญญาจึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักอิสระในทาง แนวทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาที่เกิดจากการ แพ่งและหลักเสรีภาพในการท�ำสัญญา แต่ในความ ท�ำสัญญาภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา ของ เป็นจริงแล้วโครงสร้างของระบบเกษตรพันธสัญญา เกษตรกรอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ ยังไม่เกิดความสมดุล เนื่องจากโครงสร้างทางการ ผลิตและการตลาดเอื้อให้ผู้ประกอบการฯ มากกว่า วัตถุประสงค์ของการวิจัย เกษตรกร โครงสร้างที่ไม่สมดุลดังกล่าวย่อมส่งผลต่อ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเกษตรกร เกษตรกรในระบบเกษตรพันธสัญญามากมาย สภาพ และรูปแบบของสัญญาภายใต้ระบบเกษตร ปัญหาดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยหลายเรื่อง เช่น พันธสัญญา ของเกษตรกรอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ สุภากร ยอดประทุม (2557) ทั้งนี้ ในปัจจุบันยังไม่มี 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง มาตรการทางกฎหมายที่จะน�ำมาบังคับใช้กับการท�ำ เกษตรกรกับผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตร สัญญาภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญาได้โดยตรง และปัญหาที่เกิดจากข้อตกลงในสัญญาภายใต้ระบบ อีกทั้งยังขาดการส่งเสริมและควบคุมที่จริงจังจาก เกษตรพันธสัญญา ภาครัฐ จึงท�ำให้บทบัญญัติที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน 3. เพื่อเสนอแนะแนวทางที่เหมาะสมใน เกิดความไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมแก่เกษตรกร การแก้ปัญหาที่เกิดจากการท�ำสัญญาภายใต้ระบบ หรือกรณี อิศรากร คงทองค�ำ (2557) ปัญหาการน�ำ เกษตรพันธสัญญา ข้อสัญญาไม่เป็นธรรมมาใช้ในเกษตรพันธสัญญา ปัญหาจากการที่บริษัทใช้สัญญาส�ำเร็จรูป ซึ่งได้ ระเบียบวิธีวิจัย ระบุก�ำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ รวมถึงข้อตกลงยกเว้น 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ความรับผิดไว้ในสัญญา ท�ำให้เกษตรกรเสียเปรียบ ประชากร ได้แก่ เกษตรกรแบบมี ปัญหาการปรับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญา พันธสัญญาในเขตอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ ทั้งสิ้น ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 กับระบบเกษตรพันธสัญญา จ�ำนวน 60 ราย ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างจากตาราง ซึ่งเกิดข้อเสียเปรียบกับเกษตรกรในการฟ้องคดีและ พิจารณาขนาดตัวอย่างของ Krejcie and Morgan ปัญหาการไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายและการขาด (1970) จากประชากรเกษตรกรแบบมีพันธสัญญา องค์กรในการแก้ไขปัญหาข้อสัญญาไม่เป็นธรรมให้ ในเขตอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้กลุ่มตัวอย่าง กับเกษตรกรในระบบเกษตรพันธสัญญา จ�ำนวน 52 ราย วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 170 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แยกด�ำเนิน สัมพันธ์แบบประกันราคา ความสัมพันธ์แบบประกัน การเป็น 2 ส่วน ดังนี้ รายได้ และความสัมพันธ์แบบประกันตลาด ส่วนแรก ข้อมูลทุติยภูมิ เป็นการ โดยค�ำถามเชิงนิมาน ให้คะแนน 5, 4, 3, รวบรวมข้อมูลพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของเกษตรกร 2 และ 1 ตามล�ำดับ ส�ำหรับค�ำถามเชิงนิเสธ การ จากกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรสหกรณ์ ทั้งยัง ให้คะแนนเป็นตรงกันข้าม คือ 1, 2, 3, 4 และ 5 ศึกษาจากต�ำรา บทความ นิตยสาร วิทยานิพนธ์ ที่ ตามล�ำดับ ตามแบบของ Likert ส่วนหลักเกณฑ์ เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการศึกษาในส่วนที่ การประเมินค่านั้นสามารถพิจารณาจากหลักเกณฑ์ เกี่ยวข้องกับระบบนิติกรรมสัญญา แนวคิด ทฤษฎี เฉลี่ย ดังต่อไปนี้ และข้อมูลอ้างอิงต่าง ๆ ข้อความที่มีความหมายทางบวก ส่วนที่สอง ข้อมูลปฐมภูมิ เป็นการ คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 4.51-5.00 หมายถึง เก็บข้อมูลจากเกษตรกรกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ เป็นจริงมากที่สุด แบบสอบถาม ซึ่งแบบสอบถามที่สร้างขึ้นนั้น คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 3.51-4.50 หมายถึง ครอบคลุมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่จะ เป็นจริงมาก ท�ำการศึกษา แบบสอบถามมีทั้งปลายเปิดและ คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 2.51-3.50 หมายถึง ปลายปิด เป็นจริงปานกลาง 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 1.51-2.50 หมายถึง ในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิจัย เป็นจริงน้อย ผู้วิจัยจะเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตัวเอง โดยการแจก คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 1.00-1.50 หมายถึง แบบสอบถามจ�ำนวน 52 ชุด ให้กับกลุ่มตัวอย่าง เป็นจริงน้อยที่สุด เกษตรกรแบบมีพันธสัญญาในเขตอ�ำเภอปะค�ำ ข้อความที่มีความหมายทางลบ จังหวัดบุรีรัมย์ และเก็บกลับมาได้จ�ำนวน 52 ชุด คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 4.51-5.00 หมายถึง คิดเป็นร้อยละ 100 เป็นจริงน้อยที่สุด 4. การวิเคราะห์ข้อมูล คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 3.51-4.50 หมายถึง ผู้วิจัยได้ออกแบบแบบสอบถาม เป็นจริงน้อย ประกอบด้วย 2 ส่วน ดังนี้ คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 2.51-3.50 หมายถึง 1) ข้อมูลทั่วไปของเกษตรกรและ เป็นจริงปานกลาง รูปแบบของสัญญา วิเคราะห์ด้วยการแจกแจง คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 1.51-2.50 หมายถึง ความถี่ หาค่าร้อยละแล้วน�ำเสนอข้อมูลเป็นตาราง เป็นจริงมาก แสดงจ�ำนวน และร้อยละ คะแนนเฉลี่ยระหว่าง 1.00-1.50 หมายถึง 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง เป็นจริงมากที่สุด เกษตรกับผู้ประกอบการฯ โดยแบ่งออกเป็นความ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 171 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย ประกันการช�ำระหนี้เพื่อกู้เงินจากธนาคารไปท�ำ สรุปผลการวิจัย โรงเรือนเลี้ยงไก่หรือสุกรได้ ท�ำให้เกษตรกรเลือก จากการวิเคราะห์รูปแบบและความสัมพันธ์ ท�ำการเกษตร เช่น การปลูกมันส�ำปะหลังและปลูก ของเกษตรกรภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญาศึกษา อ้อยแทน เพราะค่าใช้จ่ายหรือลงทุนน้อยกว่า เกษตรกรอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ ผู้วิจัยได้ ประสบการณ์ของเกษตรกรในการท�ำ วิเคราะห์ข้อมูล โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน ดังนี้ เกษตรแบบมีพันธสัญญาในเขตอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัด 1. ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเกษตรกรและ บุรีรัมย์ยังมีประสบการณ์น้อย อาจเนื่องมาจาก รูปแบบสัญญา ดังข้อมูลในตารางภาพที่ 1 สรุปผล ระบบเกษตรแบบมีพันธสัญญาเพิ่งเริ่มมีการท�ำ การวิจัยได้ดังนี้ มากขึ้นในประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเกษตรกร พบว่า พบว่าเกษตรกรที่มีประสบการณ์ ระหว่าง 1-5 ปี เกษตรกรแบบมีพันธสัญญาในเขตอ�ำเภอปะค�ำ มากที่สุด รองลงมามี ประสบการณ์ระหว่าง 6-10 จังหวัดบุรีรัมย์ จ�ำนวน 52 ราย เกษตรกรเป็น ปี และมีประสบการณ์ระหว่าง 11-15 ปี เพศชายมากที่สุด โดยมีอายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 36- เกษตรกรอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ 45 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ท�ำการเกษตรแบบมีพันธ ยังคงอยู่ในระบบครอบครัวขนาดกลาง ถึงแม้ สัญญาส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยกลางคน เป็นวัยที่ ปัจจุบันการท�ำการเกษตรจะลดลง เพราะเริ่มส่งเด็ก มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ และแสวงหา เข้าสู่ระบบโรงเรียน และเป็นสายพานเข้าสู่ระบบ ประสบการณ์ในการท�ำงานเพื่อสร้างครอบครัว อุตสาหกรรมมากขึ้น แต่ในชนบท หรือต่างจังหวัด ส่วนระดับการศึกษาของเกษตรกรอาจจะยังไม่ เช่น อ�ำเภอปะค�ำยังคงมีวิถีชีวิตเป็นระบบครอบครัว เพียงพอเนื่องจากปัจจุบันการท�ำการเกษตรนั้น ขนาดกลาง โดยมีจ�ำนวนสมาชิกในครอบครัวอยู่ มีการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีที่สูงมากขึ้น แต่ ระหว่าง 3-4 คน มากที่สุด ส่วนจ�ำนวนสมาชิก พบว่าเกษตรกรอ�ำเภอปะค�ำ ส่วนมากการศึกษา ที่ท�ำงานเต็มเวลา พบว่า 2-5 คน มากที่สุด ส่วน อยู่ในประถมศึกษามากที่สุด รองลงมาคือระดับ เนื้อที่ในการท�ำการเกษตรภายใต้ระบบเกษตรแบบ มัธยมศึกษา และระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีพันธสัญญาพบว่าส่วนใหญ่เป็นฟาร์มขนาดเล็ก มี ประเภทของการเกษตรแบบมีพันธ- เนื้อที่ 1-5 ไร่ และมูลเหตุจูงใจในการตัดสินใจท�ำ สัญญาในเขตอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า เกษตรแบบมีพันธสัญญา พบว่าส่วนใหญ่ต้องการ ส่วนใหญ่ปลูกมันส�ำปะหลัง รองลงมาคือปลูก เพิ่มรายได้ อ้อย เลี้ยงไก่ และเลี้ยงสุกร สาเหตุที่เกษตรกรที่ รูปแบบของสัญญา พบว่า เกษตรมี เลี้ยงไก่และสุกรน้อยอันเนื่องมาจากเกษตรกรส่วน รูปแบบการท�ำสัญญากับธนาคารมากที่สุด รองลง ใหญ่มีเพียงสิทธิครอบครองในที่ดินเท่านั้น ยังไม่มี มาท�ำสัญญากู้ยืมเงินนอกระบบ และท�ำสัญญากับ กรรมสิทธิ์ ดังนั้น จึงไม่สามารถน�ำที่ดินไปวางเป็น ผู้ประกอบการฯ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 172 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเกษตรกร ตารางที่ 1 (ต่อ) และรูปแบบของสัญญา โดยวิเคราะห์ข้อมูลจาก จำ�นวน ข้อมูลทั่วไปฯ ร้อยละ เกษตรกร อ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ จ�ำนวน 52 (ราย) ตัวอย่าง จำ�นวนสมาชิกในครัวเรือน จำ�นวน ข้อมูลทั่วไปฯ ร้อยละ 1-2 คน 0 0.00 (ราย) 3-4 คน 34 65.38 เพศ 5-6 คน 14 26.92 ชาย 44 84.62 มากกว่า 6 คน 4 7.69 หญิง 8 15.38 จำ�นวนสมาชิกทำ�งานเต็มเวลา อายุ 1 คน 20 38.46 ไม่เกิน 25 ปี 0 00.00 2-5 คน 26 50.00 26-35 ปี 15 28.85 6-15 คน 5 9.62 36-45 ปี 21 40.38 16-25 คน 1 1.92 46-55 ปี 9 17.31 มากกว่า 26 คน 0 0.00 56 ปีขึ้นไป 7 13.46 เนื้อที่ทำ�การเกษตรภายใต้ระบบพันธสัญญา การศึกษา 1-5 ไร่ 31 59.62 ประถมศึกษา 26 50.00 6-10 ไร่ 13 25.00 มัธยมศึกษา 19 36.54 11-15 ไร่ 5 9.62 อนุปริญญา 1 1.92 16-20 ไร่ 2 3.85 ปริญญาตรีขึ้นไป 6 11.54 20-25 ไร่ 1 1.92 ประเภทของการเกษตร มูลเหตุจูงใจในการตัดสินใจทำ�เกษตรพันธ ในระบบเกษตรพันธสัญญา สัญญา เลี้ยงไก่ 3 5.77 เพิ่มรายได้ 46 88.46 เลี้ยงหมู 2 3.85 เพื่อนบ้านแนะนำ� 2 3.85 ปลูกอ้อย 15 28.85 เพิ่มรายได้และ 4 7.69 ปลูกมันสำ�ปะหลัง 32 61.54 เพื่อนฯ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 173 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 1 (ต่อ) ตารางที่ 2 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรกับ จำ�นวน ผู้ประกอบการฯ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากเกษตรกร ข้อมูลทั่วไปฯ ร้อยละ (ราย) ในเขตอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ จ�ำนวน 52 ราย มูลเหตุจูงใจในการตัดสินใจทำ�เกษตร ความสัมพันธ์ของเกษตรกร จำ�นวน ร้อยละ พันธสัญญา กับผู้ประกอบการฯ เพิ่มรายได้ 46 88.46 1. ความสัมพันธ์แบบ 23 44.23 เพื่อนบ้านแนะนำ� 2 3.85 ประกันราคา เพิ่มรายได้และ 2. ความสัมพันธ์แบบ 12 23.08 4 7.69 ประกันรายได้ เพื่อนฯ 3. ความสัมพันธ์แบบ 17 32.69 รูปแบบของสัญญา ประกันตลาด ทำ�สัญญากู้ยืมเงิน 38 73.08 รวม 52 100.00 จากธนาคาร 2.2 ความสัมพันธ์แบบประกันราคา ทำ�สัญญากับ 4 7.69 ผู้ประกอบการฯ ความสัมพันธ์แบบประกันราคา จากเกษตรกรอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ จ�ำนวน ทำ�สัญญากู้ยืมเงิน 10 19.23 23 ราย ดังตารางที่ 3 โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้ นอกระบบ 2.2.1 ด้านการรับรู้รายละเอียด รวม 52 100.00 ของสัญญา พบว่า เกษตรกรแบบประกันราคา 2. ความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกรกับ จ�ำนวน 23 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีส่วนรวมในการ ผู้ประกอบการฯ และปัญหาข้อสัญญา ภายใต้ระบบ ร่างสัญญา ส่วนการรับรู้รายละเอียดของสัญญาพบ เกษตรพันธสัญญา ในเขตอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัด ว่า เกษตรกรไม่ได้อ่านข้อสัญญาแต่ก็ตกลงเข้าท�ำ บุรีรัมย์ สัญญากับผู้ประกอบการฯ คิดเป็นร้อยละ 17.39 2.1 ความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกร โดยมีเกษตรกรที่อ่านข้อสัญญาก่อนเข้าท�ำสัญญา กับผู้ประกอบการฯ พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง แต่เกษตรกรไม่เข้าใจเนื้อหาหรือรายละเอียดใน เกษตรกรกับผู้ประกอบการฯ ในเขตอ�ำเภอปะค�ำ ข้อสัญญาอย่างชัดเจน คิดเป็นร้อยละ 73.91 และ จังหวัดบุรีรัมย์ มีความสัมพันธ์แบบประกันราคามาก มีเกษตรกรบ้างส่วนที่อ่านข้อสัญญาและท�ำความ ที่สุด จ�ำนวน 23 ราย คิดเป็นร้อยละ 44.23 รองลง เข้าใจในข้อสัญญาเป็นอย่างดีแล้วก่อนตกลงเซ็น มาคือ ความสัมพันธ์แบบประกันตลาด จ�ำนวน 17 สัญญา คิดเป็นร้อยละ 4.35 และยังพบอีกว่าภาย ราย คิดเป็นร้อยละ 32.69 และความสัมพันธ์แบบ หลังจากท�ำสัญญาแล้วมีผู้ประกอบการฯ ส่วนน้อย ประกันรายได้ จ�ำนวน 12 ราย คิดเป็นร้อยละ 23.08 ได้มอบคู่สัญญาให้เกษตรกรเก็บไว้ 1 ชุด คิดเป็น ดังตารางที่ 2 ร้อยละ 4.35 วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 174 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

2.2.2 ด้านการรับรู้เกณฑ์การคิด ผู้ประกอบการฯ สามารถคิดดอกเบี้ยจากปัจจัย ค่าตอบแทน การผลิตกับเกษตรกรได้ด้วย พบว่า เป็นจริงมาก ด้านการรับรู้เกณฑ์การคิด (X = 2.30) ผู้ประกอบการฯ มีการส่งมอบปัจจัย ค่าตอบแทนในความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกร การผลิตที่ไม่แน่นอนตามแต่เวลาผู้ประกอบการฯ กับผู้ประกอบการฯ แบบประกันราคา พบว่า เห็นสมควร พบว่า เป็นจริงปานกลาง (X = 3.17) ผู้ประกอบการฯ เป็นผู้ก�ำหนดราคารับซื้อผลผลิต 2.2.4 ด้านปัญหาความไม่เป็น จากเกษตรกรแต่เพียงฝ่ายเดียว (X = 1.13) เป็น ธรรมในการก�ำหนดข้อตกลงในสัญญา จริงมากที่สุด ทั้งผู้ประกอบการฯ ยังมีสิทธิในการ จากการวิเคราะห์ด้านปัญหา ค�ำนวณและหักค่าตอบแทนแต่เพียงฝ่ายเดียว ความไม่เป็นธรรมในการก�ำหนดข้อตกลงใน โดยเกษตรกรไม่ทราบรายละเอียด พบว่าเป็น สัญญาของเกษตรแบบแบบประกันราคาจาก พบ จริงมากที่สุด (X = 1.26) และผู้ประกอบการฯ ว่าผู้ประกอบการฯก�ำหนดให้เกษตรกรต้องรับ มีเกณฑ์การวัดคุณภาพในการรับซื้อผลผลิตที่ ความเสี่ยงภัยแต่ฝ่ายเดียวแม้จะมิใช่ความผิดของ แน่นอน พบว่าเป็นจริงน้อย (X = 1.26) มีจ�ำนวน เกษตรกร เช่น กรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นจริงมาก ค่าตอบแทนที่แน่นอนและชัดแจ้ง พบว่า เป็นจริง (X = 1.78) ทั้งผู้ประกอบการฯสามารถเรียกให้ มาก (X = 3.78) ทั้งผู้ประกอบการฯ มีสิทธิใน ช�ำระค่าปรับแม้ในกรณีที่มิได้เกิดจากการกระท�ำผิด การเปลี่ยนแปลงค่าตอบแทนได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ ของเกษตรกร เช่น ในกรณีเกิดโรคระบาดกับผลผลิต เกษตรกรทราบ พบว่า เป็นจริงน้อย (X = 3.57) ทั้งหมดหรือบางส่วน พบว่าเป็นจริงปานกลาง (X เกษตรกรมีสิทธิเข้าไปตรวจสอบคุณภาพและการ = 3.04) และผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกร ชั่งน�้ำหนักผลผลิตจากผู้ประกอบการฯ ได้ พบว่า ตกลงยอมรับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการฯ เป็นจริงน้อย (X = 1.26) และผู้ประกอบการฯ ไม่มี อาจจะก�ำหนดขึ้นภายหลังท�ำสัญญาแล้ว พบว่า ก�ำหนดระยะเวลาการจ่ายค่าตอบแทนที่แน่นอน เป็นจริงมาก (X = 2.26) ตลอดจนในสัญญามี พบว่าเป็นจริงปานกลาง (X = 1.26) ข้อตกลงยกเว้นความรับผิดของผู้ประกอบการฯ 2.2.3 ด้านข้อตกลงเรื่องปัจจัย แต่เพียงฝ่ายเดียว พบว่าเป็นจริงปานกลาง (X = การผลิต 3.26) ส่วนผู้ประกอบการฯสามารถบอกเลิกสัญญา จากการวิเคราะห์ด้าน ได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งเกษตรกรล่วงหน้า พบว่าเป็น ข้อตกลงเรื่องปัจจัยการผลิตของเกษตรแบบ จริงปานกลาง (X = 2.61) ส่วนกรณีที่เกษตรกร ประกันราคา จาก พบว่าผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด ผลิตได้ปริมาณมากกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด ให้เกษตรกรต้องซื้อวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิตใน จากผู้ประกอบการฯ เท่านั้น เป็นจริงมากที่สุด ส่วนที่เกินได้ พบว่าเป็นจริงมาก (X = 2.43) ส่วน (X = 1.13) ผู้ประกอบการฯ ให้เกษตรกรซื้อ ถ้าปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ วัตถุดิบและปัจจัยการผลิต โดยไม่ทราบราคาที่ ก�ำหนด ผู้ประกอบการฯมีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อ แน่นอน พบว่า เป็นจริงมากที่สุด (X = 1.26) ผลผลิตทั้งหมดหรือบางส่วน พบว่าเป็นจริงมาก Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 175 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

(X = 2.44) และถ้าปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิเรียกค่า ปรับหรือค่าเสียหายแก่ปริมาณผลผลิตที่ขาดไปจากการเกษตรกรได้ พบว่าเป็นจริงมาก (X = 2.17)

ตารางที่ 3 แสดงข้อมูลแบบประกันราคา จากเกษตรกรแบบประกันราคา จ�ำนวน 23 ราย ค�ำถามด้านการรับรู้รายละเอียดของสัญญา จ�ำนวน ร้อยละ 1. เกษตรกรมีส่วนร่วมในการร่างสัญญา 0 0.00 2. เกษตรกรไม่ได้อ่านข้อสัญญา แต่ก็ตกลงเข้าท�ำสัญญากับ 4 17.39 ผู้ประกอบการฯ 3. เกษตรกรอ่านข้อสัญญาแล้วแต่ไม่เข้าใจเนื้อหาหรือรายละเอียด 17 73.91 ในข้อสัญญาอย่างชัดเจน แต่ก็ตกลงเข้าท�ำสัญญากับผู้ประกอบการ 4. เกษตรกรอ่านข้อสัญญาและท�ำความเข้าใจในข้อสัญญาเป็นอย่างดี 1 4.35 แล้วก่อนตกลงเซ็นสัญญา 5. หลังจากท�ำสัญญาแล้วผู้ประกอบการฯ ได้มอบคู่สัญญาให้เกษตรกร 1 4.35 เก็บไว้ 1 ชุด S.D. (Std. ระดับ ค�ำถามด้านการรับรู้เกณฑ์การคิดค่าตอบแทน (Mean) Deviation) ความเป็นจริง 1. ผู้ประกอบการฯ เป็นผู้ก�ำหนดราคารับซื้อผลผลิตจาก 1.13 0.539 เป็นจริง เกษตรกรแต่เพียงฝ่ายเดียว มากที่สุด 2. ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิในการค�ำนวณและหัก 1.26 0.833 เป็นจริง ค่าตอบแทนแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเกษตรกรไม่ทราบ มากที่สุด รายละเอียด 3. ผู้ประกอบการฯ มีเกณฑ์การวัดคุณภาพในการรับซื้อ 2.13 0.935 เป็นจริงน้อย ผลผลิตที่แน่นอน 4. มีจ�ำนวนค่าตอบแทนที่แน่นอนและชัดแจ้ง 2.30 1.8568 เป็นจริงน้อย 5. ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิในการเปลี่ยนแปลง 3.57 1.980 เป็นจริงน้อย ค่าตอบแทนได้โดยไม่ต้องแจ้งให้เกษตรกรทราบ 6. เกษตรกรมีสิทธิเข้าไปตรวจสอบคุณภาพและการชั่ง 1.26 1.080 เป็นจริง น�้ำหนักผลผลิต จากผู้ประกอบการฯ ได้ น้อยที่สุด 7. ผู้ประกอบการฯ ไม่มีก�ำหนดระยะเวลาการจ่าย 3.04 2.177 เป็นจริง ค่าตอบแทนที่แน่นอน ปานกลาง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 176 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 3 (ต่อ) S.D. (Std. ระดับ ค�ำถามด้านข้อตกลงเรื่องปัจจัยการผลิต (Mean) Deviation) ความเป็นจริง 1. ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรต้องซื้อวัตถุดิบและปัจจัย 1.13 0.337 เป็นจริง การผลิต จากผู้ประกอบการฯ เท่านั้น มากที่สุด 2. ผู้ประกอบการฯ ให้เกษตรกรซื้อวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต 1.26 0.529 เป็นจริง โดยไม่ทราบราคาที่แน่นอน มากที่สุด 3. ผู้ประกอบการฯ สามารถคิดดอกเบี้ยจากปัจจัยการผลิตกับ 2.30 0.953 เป็นจริงมาก เกษตรกรได้ด้วย 4. ผู้ประกอบการฯ มีการส่งมอบปัจจัยการผลิตที่ไม่แน่นอนตาม 3.17 0.315 เป็นจริง แต่เวลาผู้ประกอบการฯ เห็นสมควร ปานกลาง ค�ำถามด้านความไม่เป็นธรรมในการก�ำหนดข้อตกลงในสัญญา 1. ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรต้องรับความเสี่ยงภัย 1.78 0.778 เป็นจริงมาก แต่ฝ่ายเดียวแม้จะมิใช่ความผิดของเกษตรกร เช่น กรณีเกิด ภัยพิบัติต่าง ๆ 2. ผู้ประกอบการฯ สามารถเรียกให้ช�ำระค่าปรับแม้ในกรณีที่ 3.04 0.751 เป็นจริง มิได้เกิดจากการกระท�ำผิดของเกษตรกร เช่น ในกรณีเกิดโรค ปานกลาง ระบาดกับผลผลิตทั้งหมดหรือบางส่วน 3. ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรตกลงยอมรับหลักเกณฑ์ 2.26 0.792 เป็นจริงมาก ต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการฯ อาจจะก�ำหนดขึ้นภายหลังท�ำสัญญาแล้ว 4. ในสัญญามีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดของผู้ประกอบการฯ 3.26 0.845 เป็นจริง แต่เพียงฝ่ายเดียว ปานกลาง 5. ผู้ประกอบการฯ บอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้ง 2.61 0.642 เป็นจริง เกษตรกรล่วงหน้า ปานกลาง 6. กรณีเกษตรกรผลิตได้ปริมาณมากกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด 2.43 0.876 เป็นจริงมาก ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิตในส่วนที่เกินได้ 7. ถ้าปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด ผู้ประกอบ 2.44 0.970 เป็นจริงมาก การฯ มีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิตทั้งหมดหรือบางส่วน 8. ถ้าปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด 2.17 0.916 เป็นจริงมาก ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายแก่ปริมาณ ผลผลิตที่ขาดไปจากการเกษตรกรได้ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 177 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

2.3 วิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบ ค่าตอบแทนที่แน่นอนและชัดแจ้ง พบว่าเป็นจริง ประกันรายได้ มาก (X = 3.61) ทั้งผู้ประกอบการฯ มีสิทธิใน วิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์แบบ การเปลี่ยนแปลงค่าตอบแทนได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ ประกันรายได้ จากเกษตรกร อ�ำเภอปะค�ำ จังหวัด เกษตรกรทราบ พบว่าเป็นจริงมากที่สุด (X = 1.48) บุรีรัมย์ จ�ำนวน 12 ราย ดังตารางที่ 4 โดยแบ่งออก เกษตรกรมีสิทธิเข้าไปตรวจสอบคุณภาพและการชั่ง เป็น 4 ด้าน ดังนี้ น�้ำหนักผลผลิตจากผู้ประกอบการฯ ได้ พบว่าเป็น 2.3.1 ด้านการรับรู้รายละเอียด จริงน้อยที่สุด (X = 1.30) และผู้ประกอบการฯ ไม่มี ของสัญญา พบว่า เกษตรกรแบบประกันรายได้ไม่มี ก�ำหนดระยะเวลาการจ่ายค่าตอบแทนที่แน่นอน ส่วนร่วมในการร่างสัญญา ส่วนการรับรู้รายละเอียด พบว่าเป็นจริงมาก (X = 2.48) ของสัญญาพบว่า เกษตรกรไม่ได้อ่านข้อสัญญา แต่ 2.3.3 ด้านข้อตกลงเรื่องปัจจัย ก็ตกลงเข้าท�ำสัญญากับผู้ประกอบการฯ คิดเป็น การผลิต ร้อยละ 17.39 แต่ก็มีเกษตรกรที่อ่านข้อสัญญา จากการวิเคราะห์ด้าน ก่อนเข้าท�ำสัญญา แต่เกษตรกรไม่เข้าใจเนื้อหาหรือ ข้อตกลงเรื่องปัจจัยการผลิตของเกษตรแบบแบบ รายละเอียดในข้อสัญญาอย่างชัดเจน คิดเป็นร้อยละ ประกันรายได้ดัง พบว่าผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้ 91.67 และมีเกษตรกรบางส่วนที่อ่านข้อสัญญาและ เกษตรกรต้องซื้อวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต จาก ท�ำความเข้าใจในข้อสัญญาเป็นอย่างดีแล้วก่อน ผู้ประกอบการฯ เท่านั้น เป็นจริงน้อยที่สุด (X = ตกลงเซ็นสัญญา คิดเป็นร้อยละ 8.33 และยังพบอีก 4.61) ผู้ประกอบการฯ ให้เกษตรกรซื้อวัตถุดิบและ ว่าภายหลังจากท�ำสัญญาแล้วผู้ประกอบการฯ ไม่ได้ ปัจจัยการผลิต โดยไม่ทราบราคาที่แน่นอน พบว่า มอบคู่สัญญาให้เกษตรกร เป็นจริงน้อยที่สุด (X = 4.74) ผู้ประกอบการฯ 2.3.2 ด้านการรับรู้เกณฑ์การคิด สามารถคิดดอกเบี้ยจากปัจจัยการผลิตกับเกษตรกร ค่าตอบแทน ได้ด้วย พบว่า เป็นจริงน้อยที่สุด (X = 4.70) ด้านการรับรู้เกณฑ์การ ผู้ประกอบการฯ มีการส่งมอบปัจจัยการผลิตที่ไม่ คิดค่าตอบแทนในความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกร แน่นอนตามแต่เวลาผู้ประกอบการฯ เห็นสมควร กับผู้ประกอบการฯ แบบประกันรายได้ พบว่า พบว่าเป็นจริงมาก (X = 3.96) ผู้ประกอบการฯ เป็นผู้ก�ำหนดราคารับซื้อผลผลิต 2.2.4 ด้านปัญหาความไม่เป็น จากเกษตรกรแต่เพียงฝ่ายเดียว (X = 1.39) เป็น ธรรมในการก�ำหนดข้อตกลงในสัญญา จริงมากที่สุด ทั้งผู้ประกอบการฯยังมีสิทธิในการ จากการวิเคราะห์ด้าน ค�ำนวณและหักค่าตอบแทนแต่เพียงฝ่ายเดียว โดย ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการก�ำหนดข้อตกลง เกษตรกรไม่ทราบรายละเอียด พบว่าเป็นจริงมาก ในสัญญาของเกษตรแบบแบบประกันรายได้ ที่สุด (X = 1.43) และผู้ประกอบการฯ มีเกณฑ์ พบว่าผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรต้องรับ การวัดคุณภาพในการรับซื้อผลผลิตที่แน่นอน ความเสี่ยงภัยแต่ฝ่ายเดียวแม้จะมิใช่ความผิดของ พบว่าเป็นจริงน้อยที่สุด (X = 1.35) ทั้งยังมีจ�ำนวน เกษตรกร เช่น กรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นจริงน้อย วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 178 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

(X = 3.57) ทั้งผู้ประกอบการฯสามารถเรียกให้ (X = 2.35) ส่วนกรณีที่เกษตรกรผลิตได้ปริมาณ ช�ำระค่าปรับแม้ในกรณีที่มิได้เกิดจากการกระท�ำผิด มากกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด ผู้ประกอบการฯ ของเกษตรกร เช่น ในกรณีเกิดโรคระบาดกับผลผลิต มีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิตในส่วนที่เกินได้ พบว่า ทั้งหมดหรือบางส่วน พบว่าเป็นจริงมาก (X = เป็นจริงน้อย (X = 3.65) ส่วนถ้าปริมาณผลผลิตมี 2.39) และผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกร น้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด ผู้ประกอบการฯ ตกลงยอมรับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิตทั้งหมดหรือบางส่วน อาจจะก�ำหนดขึ้นภายหลังท�ำสัญญาแล้ว พบว่า พบว่า เป็นจริงน้อย (X = 3.52) และถ้าปริมาณ เป็นจริงมากที่สุด (X = 1.48) ตลอดจนในสัญญามี ผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด ข้อตกลงยกเว้นความรับผิดของผู้ประกอบการฯ แต่ ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหาย เพียงฝ่ายเดียว พบว่าเป็นจริงมาก (X = 2.43) ส่วน แก่ปริมาณผลผลิตที่ขาดไปจากการเกษตรกรได้ ผู้ประกอบการฯ สามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดย พบว่า เป็นจริงมากที่สุด (X = 1.39) ไม่ต้องแจ้งเกษตรกรล่วงหน้า พบว่าเป็นจริงมาก ตารางที่ 4 แสดงข้อมูลแบบประกันรายได้ จากเกษตรกรแบบประกันราคา จ�ำนวน 12 ราย ค�ำถามด้านการรับรู้รายละเอียดของสัญญา จ�ำนวน ร้อยละ 1. เกษตรกรมีส่วนร่วมในการร่างสัญญา 0 0.00 2. เกษตรกรไม่ได้อ่านข้อสัญญา แต่ก็ตกลงเข้าท�ำสัญญากับผู้ประกอบการฯ 0 0.00 3. เกษตรกรอ่านข้อสัญญาแล้วแต่ไม่เข้าใจเนื้อหาหรือรายละเอียดในข้อสัญญา 11 91.67 อย่างชัดเจน แต่ก็ตกลงเข้าท�ำสัญญากับผู้ประกอบการ 4. เกษตรกรอ่านข้อสัญญาและท�ำความเข้าใจในข้อสัญญาเป็นอย่างดีแล้วก่อน 1 8.33 ตกลงเซ็นสัญญา 5. หลังจากท�ำสัญญาแล้วผู้ประกอบการฯ ได้มอบคู่สัญญาให้เกษตรกรเก็บไว้ 1 ชุด 0 0.00 ค�ำถามด้านการรับรู้เกณฑ์การคิดค่าตอบแทน (Mean) S.D.(Std. ระดับ Deviation) ความเป็นจริง 1. ผู้ประกอบการฯ เป็นผู้ก�ำหนดราคารับซื้อผลผลิตจาก 1.39 0.735 เป็นจริง เกษตรกรแต่เพียงฝ่ายเดียว มากที่สุด 2. ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิในการค�ำนวณและหัก 1.43 0.935 เป็นจริง ค่าตอบแทนแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเกษตรกรไม่ทราบ มากที่สุด รายละเอียด 3. ผู้ประกอบการฯมีเกณฑ์การวัดคุณภาพในการรับซื้อ 1.35 0.702 เป็นจริงน้อย ผลผลิตที่แน่นอน Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 179 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 4 (ต่อ) ค�ำถามด้านการรับรู้เกณฑ์การคิดค่าตอบแทน (Mean) S.D.(Std. ระดับ Deviation) ความเป็นจริง 4. มีจ�ำนวนค่าตอบแทนที่แน่นอนและชัดแจ้ง 3.61 0.857 เป็นจริงมาก 5. ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิในการเปลี่ยนแปลงค่าตอบแทน 1.48 1.444 เป็นจริงน้อย ได้โดยไม่ต้องแจ้งให้เกษตรกรทราบ 6. เกษตรกรมีสิทธิเข้าไปตรวจสอบคุณภาพและการชั่ง 1.30 1.042 เป็นจริง น�้ำหนักผลผลิต จากผู้ประกอบการฯ ได้ น้อยที่สุด 7. ผู้ประกอบการฯ ไม่มีก�ำหนดระยะเวลาการจ่าย 2.48 2.061 เป็นจริง ค่าตอบแทนที่แน่นอน ปานกลาง ค�ำถามด้านข้อตกลงเรื่องปัจจัยการผลิต 1. ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรต้องซื้อวัตถุดิบและ 4.61 0.820 เป็นจริง ปัจจัยการผลิต จากผู้ประกอบการฯ เท่านั้น น้อยที่สุด 2. ผู้ประกอบการฯ ให้เกษตรกรซื้อวัตถุดิบและปัจจัยการ 4.74 0.529 เป็นจริง ผลิต โดยไม่ทราบราคาที่แน่นอน น้อยที่สุด 3. ผู้ประกอบการฯ สามารถคิดดอกเบี้ยจากปัจจัยการผลิต 4.70 0.547 เป็นจริง กับเกษตรกรได้ด้วย น้อยที่สุด 4. ผู้ประกอบการฯ มีการส่งมอบปัจจัยการผลิตที่ไม่แน่นอน 3.96 0.359 เป็นจริงมาก ตามแต่เวลาผู้ประกอบการฯ เห็นสมควร ค�ำถามด้านความไม่เป็นธรรมในการก�ำหนดข้อตกลงในสัญญา 1. ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรต้องรับความเสี่ยงภัย 3.57 0.770 เป็นจริงน้อย แต่ฝ่ายเดียวแม้จะมิใช่ความผิดของเกษตรกร เช่น กรณี เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ 2. ประกอบการฯ สามารถเรียกให้ช�ำระค่าปรับแม้ในกรณีที่ 2.39 0.642 เป็นจริงมาก มิได้เกิดจากการกระท�ำผิดของเกษตรกร เช่น ในกรณีเกิด โรคระบาดกับผลผลิตทั้งหมดหรือบางส่วน 3. ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรตกลงยอมรับ 1.48 0.651 เป็นจริง หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการฯ อาจจะก�ำหนดขึ้น มากที่สุด ภายหลังท�ำสัญญาแล้ว วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 180 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 4 (ต่อ) ค�ำถามด้านความไม่เป็นธรรมในการก�ำหนดข้อตกลงใน (Mean) S.D.(Std. ระดับ สัญญา Deviation) ความเป็นจริง 4. ในสัญญามีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดของ 2.43 0.712 เป็นจริงมาก ผู้ประกอบการฯ แต่เพียงฝ่ายเดียว 5. ผู้ประกอบการฯ บอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้ง 3.65 0.865 เป็นจริงมาก เกษตรกรล่วงหน้า 6. กรณีเกษตรกรผลิตได้ปริมาณมากกว่าที่ผู้ประกอบการฯ 2.43 0.876 เป็นจริงน้อย ก�ำหนด ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิต ในส่วนที่เกินได้ 7. ถ้าปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด 3.52 0.773 เป็นจริงน้อย ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิตทั้งหมด หรือบางส่วน 8. ถ้าปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด 1.39 0.766 เป็นจริง ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายแก่ มากที่สุด ปริมาณผลผลิตที่ขาดไปจากการเกษตรกรได้

2.4 วิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบ ตกลงเซ็นสัญญา คิดเป็นร้อยละ 41.18 และยังพบ ประกันตลาด อีกว่าภายหลังจากท�ำสัญญาแล้วผู้ประกอบการฯ วิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์แบบ ไม่ได้มอบคู่สัญญาให้เกษตรกร ประกันตลาด จากเกษตรกร อ�ำเภอปะค�ำ จังหวัด 2.4.2 ด้านการรับรู้เกณฑ์การคิด บุรีรัมย์ จ�ำนวน 17 ราย ดังตารางที่ 5 โดยแบ่งออก ค่าตอบแทน เป็น 4 ด้าน ดังนี้ ด้านการรับรู้เกณฑ์การ 2.4.1 ด้านการรับรู้รายละเอียด คิดค่าตอบแทนในความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกร ของสัญญา พบว่าเกษตรมีส่วนรวมในการร่างสัญญา กับผู้ประกอบการฯ แบบประกันตลาด พบว่า แบบประกันตลาด คิดเป็นร้อยละ 5.88 ส่วนการ ผู้ประกอบการฯ เป็นผู้ก�ำหนดราคารับซื้อผลผลิต รับรู้รายละเอียดของสัญญาพบว่า เกษตรกรอ่าน จากเกษตรกรแต่เพียงฝ่ายเดียว (X = 4.52) เป็น ข้อสัญญาก่อนเข้าท�ำสัญญา แต่เกษตรกรไม่เข้าใจ จริงน้อยที่สุด ทั้งผู้ประกอบการฯยังมีสิทธิในการ เนื้อหาหรือรายละเอียดในข้อสัญญาอย่างชัดเจน คิด ค�ำนวณและหักค่าตอบแทนแต่เพียงฝ่ายเดียว โดย เป็นร้อยละ 52.94 และมีเกษตรกรที่อ่านข้อสัญญา เกษตรกรไม่ทราบรายละเอียด พบว่าเป็นจริงน้อย และท�ำความเข้าใจในข้อสัญญาเป็นอย่างดีแล้วก่อน (X = 3.70) และผู้ประกอบการฯมีเกณฑ์การวัด Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 181 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

คุณภาพในการรับซื้อผลผลิตที่แน่นอน พบว่าเป็น สัญญาของเกษตรแบบแบบประกันตลาดดัง พบ จริงมาก (X = 3.91) ทั้งยังมีจ�ำนวนค่าตอบแทน ว่าผู้ประกอบการฯก�ำหนดให้เกษตรกรต้องรับ ที่แน่นอนและชัดแจ้ง พบว่าเป็นน้อย (X = 2.42) ความเสี่ยงภัยแต่ฝ่ายเดียวแม้จะมิใช่ความผิดของ ทั้งผู้ประกอบการฯ มีสิทธิในการเปลี่ยนแปลง เกษตรกร เช่น กรณีเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นจริง ค่าตอบแทนได้โดยไม่ต้องแจ้งให้เกษตรกรทราบ มากที่สุด (X = 1.48) ทั้งผู้ประกอบการฯ สามารถ พบว่าเป็นจริงน้อย (X = 3.87) เกษตรกรมีสิทธิ เรียกให้ช�ำระค่าปรับแม้ในกรณีที่มิได้เกิดจากการ เข้าไปตรวจสอบคุณภาพและการชั่งน�้ำหนักผลผลิต กระท�ำผิดของเกษตรกร เช่น ในกรณีเกิดโรค จากผู้ประกอบการฯ ได้ พบว่าเป็นจริงปานกลาง (X ระบาดกับผลผลิตทั้งหมดหรือบางส่วน พบว่า เป็น = 3.43) และผู้ประกอบการฯ ไม่มีก�ำหนดระยะเวลา จริงน้อยที่สุด (X = 4.48) และผู้ประกอบการฯ การจ่ายค่าตอบแทนที่แน่นอน พบว่าเป็นจริงน้อย ก�ำหนดให้เกษตรกรตกลงยอมรับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ (X = 4.26) ที่ผู้ประกอบการฯ อาจจะก�ำหนดขึ้นภายหลังท�ำ 2.4.3 ด้านข้อตกลงเรื่องปัจจัย สัญญาแล้ว พบว่าเป็นจริงน้อยที่สุด (X = 4.65) การผลิต ตลอดจนในสัญญามีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดของ จากการวิเคราะห์ด้าน ผู้ประกอบการฯแต่เพียงฝ่ายเดียว พบว่าเป็นจริง ข้อตกลงเรื่องปัจจัยการผลิตของเกษตรแบบแบบ ปานกลาง (X = 3.48) ส่วนผู้ประกอบการฯ สามารถ ประกันตลาด พบว่าผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้ บอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้งเกษตรกร เกษตรกรต้องซื้อวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต จาก ล่วงหน้า พบว่าเป็นจริงมาก (X = 2.35) ส่วนกรณีที่ ผู้ประกอบการฯ เท่านั้น เป็นจริงน้อยที่สุด (X = เกษตรกรผลิตได้ปริมาณมากกว่าที่ผู้ประกอบการฯ 4.57) ผู้ประกอบการฯให้เกษตรกรซื้อวัตถุดิบและ ก�ำหนด ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อ ปัจจัยการผลิต โดยไม่ทราบราคาที่แน่นอน พบว่า ผลผลิตในส่วนที่เกินได้ พบว่าเป็นจริงน้อยที่สุด เป็นจริงน้อย (X 4.57) ผู้ประกอบการฯ สามารถ (X = 4.52) ส่วนถ้าปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่ คิดดอกเบี้ยจากปัจจัยการผลิตกับเกษตรกรได้ด้วย ผู้ประกอบการฯก�ำหนด ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิ พบว่าเป็นจริงน้อยที่สุด (X = 4.74) ผู้ประกอบการฯ ปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิตทั้งหมดหรือบางส่วน พบ มีการส่งมอบปัจจัยการผลิตที่ไม่แน่นอนตามแต่เวลา ว่าเป็นจริงน้อยที่สุด (X = 4.65) และถ้าปริมาณ ผู้ประกอบการฯเห็นสมควร พบว่า เป็นจริงน้อย ผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด (X = 4.17) ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหาย 2.4.3 ด้านปัญหาความไม่เป็น แก่ปริมาณผลผลิตที่ขาดไปจากการเกษตรกรได้ ธรรมในการก�ำหนดข้อตกลงในสัญญา พบว่าเป็นจริงน้อยที่สุด (X = 4.78) จากการวิเคราะห์ด้าน ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการก�ำหนดข้อตกลงใน วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 182 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 5 แสดงข้อมูลแบบประกันตลาด จากเกษตรกรแบบประกันตลาด จ�ำนวน 17 ราย ค�ำถามด้านการรับรู้รายละเอียดของสัญญา จ�ำนวน ร้อยละ 1. เกษตรกรมีส่วนร่วมในการร่างสัญญา 1 5.88 2. เกษตรกรไม่ได้อ่านข้อสัญญา แต่ก็ตกลงเข้าท�ำสัญญากับผู้ประกอบการฯ 0 0.00 3. เกษตรกรอ่านข้อสัญญาแล้วแต่ไม่เข้าใจเนื้อหาหรือรายละเอียดในข้อสัญญา 9 52.94 อย่างชัดเจน แต่ก็ตกลงเข้าท�ำสัญญากับผู้ประกอบการ 4. เกษตรกรอ่านข้อสัญญาและท�ำความเข้าใจในข้อสัญญาเป็นอย่างดีแล้วก่อน 7 41.18 ตกลงเซ็นสัญญา 5. หลังจากท�ำสัญญาแล้วผู้ประกอบการฯ ได้มอบคู่สัญญาให้เกษตรกรเก็บไว้ 1 ชุด 0 0.00 S.D. (Std. ระดับ ค�ำถามด้านการรับรู้เกณฑ์การคิดค่าตอบแทน (Mean) Deviation) ความเป็นจริง 1. ผู้ประกอบการฯ เป็นผู้ก�ำหนดราคารับซื้อผลผลิตจาก 4.52 1.275 เป็นจริงน้อย เกษตรกรแต่เพียงฝ่ายเดียว ที่สุด 2. ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิในการค�ำนวณและหักค่าตอบแทน 3.70 1.414 เป็นจริงน้อย แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเกษตรกรไม่ทราบรายละเอียด 3. ผู้ประกอบการฯ มีเกณฑ์การวัดคุณภาพในการรับซื้อ 3.91 0.725 เป็นจริงมาก ผลผลิตที่แน่นอน 4. มีจ�ำนวนค่าตอบแทนที่แน่นอนและชัดแจ้ง 2.42 0.625 เป็นน้อย 5. ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิในการเปลี่ยนแปลงค่าตอบแทนได้ 3.87 2.001 เป็นจริงน้อย โดยไม่ต้องแจ้งให้เกษตรกรทราบ 6. เกษตรกรมีสิทธิเข้าไปตรวจสอบคุณภาพและการชั่ง 3.43 1.117 เป็นจริง น�้ำหนักผลผลิต จากผู้ประกอบการฯได้ ปานกลาง 7. ผู้ประกอบการฯ ไม่มีก�ำหนดระยะเวลาการจ่ายค่า 4.26 2.329 เป็นจริงน้อย ตอบแทนที่แน่นอน ค�ำถาม ด้านข้อตกลงเรื่องปัจจัยการผลิต 1. ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรต้องซื้อวัตถุดิบและ 4.57 0.577 เป็นจริง ปัจจัยการผลิตจากผู้ประกอบการฯ เท่านั้น น้อยที่สุด 2. ผู้ประกอบการฯ ให้เกษตรกรซื้อวัตถุดิบและปัจจัยการผลิต 4.57 0.648 เป็นจริงน้อย โดยไม่ทราบราคาที่แน่นอน Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 183 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 4 (ต่อ) S.D. (Std. ระดับความ ค�ำถามด้านข้อตกลงเรื่องปัจจัยการผลิต (Mean) Deviation) เป็นจริง 3. ผู้ประกอบการฯ สามารถคิดดอกเบี้ยจากปัจจัยการผลิต 4.74 0.529 เป็นจริงน้อย กับเกษตรกรได้ด้วย ที่สุด 4. ผู้ประกอบการฯ มีการส่งมอบปัจจัยการผลิตที่ไม่แน่นอน 4.17 0.480 เป็นจริงน้อย ตามแต่เวลาผู้ประกอบการฯ เห็นสมควร ค�ำถาม ด้านความไม่เป็นธรรมในการก�ำหนดข้อตกลงในสัญญา 1. ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรต้องรับความเสี่ยงภัย 1.48 0.580 เป็นจริงมาก แต่ฝ่ายเดียวแม้จะมิใช่ความผิดของเกษตรกร เช่น กรณีเกิด ที่สุด ภัยพิบัติต่าง ๆ 2. ผู้ประกอบการฯ สามารถเรียกให้ช�ำระค่าปรับแม้ในกรณีที่ 4.48 0.651 เป็นจริงน้อย มิได้เกิดจากการกระท�ำผิดของเกษตรกร เช่น ในกรณีเกิด ที่สุด โรคระบาดกับผลผลิตทั้งหมดหรือบางส่วน 3. ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนดให้เกษตรกรตกลงยอมรับหลัก 4.65 0.560 เป็นจริงน้อย เกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผู้ประกอบการฯ อาจจะก�ำหนดขึ้นภายหลัง ที่สุด ท�ำสัญญาแล้ว 4. ในสัญญามีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดของผู้ประกอบการฯ 3.48 0.651 เป็นจริงปาน แต่เพียงฝ่ายเดียว กลาง 5. ผู้ประกอบการฯ บอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยไม่ต้องแจ้ง 2.35 0.813 เป็นจริงมาก เกษตรกรล่วงหน้า 6. กรณีเกษตรกรผลิตได้ปริมาณมากกว่าที่ผู้ประกอบการฯ 4.52 0.651 เป็นจริงน้อย ก�ำหนด ผู้ประกอบการฯมีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิตใน ที่สุด ส่วนที่เกินได้ 7. ถ้าปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด 4.65 0.560 เป็นจริงน้อย ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิปฏิเสธไม่รับซื้อผลผลิตทั้งหมดหรือ ที่สุด บางส่วน 8. ถ้าปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่ผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด 4.78 0.507 เป็นจริงน้อย ผู้ประกอบการฯ มีสิทธิเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายแก่ ที่สุด ปริมาณผลผลิตที่ขาดไปจากการเกษตรกรได้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 184 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

อภิปรายผลการวิจัย ข้อเสนอแนะ วิเคราะห์รูปแบบและความสัมพันธ์ของ ข้อเสนอแนะแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ เกษตรกรภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา: ศึกษา ปัญหาที่เกิดจากการท�ำสัญญาภายใต้ระบบเกษตร เกษตรกรอ�ำเภอปะค�ำ จังหวัดบุรีรัมย์ แบ่งออกเป็น แบบมีพันธสัญญา ดังนี้ สองส่วน คือ ส่วนที่หนึ่ง คือ ด้านรูปแบบของสัญญา 1. ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย พบว่ามีการกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและ 1.1 ด้านเกษตรกร เกษตรกรควรอ่าน สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หรือสหกรณ์การเกษตร หรือท�ำความเข้าใจในข้อตกลงในสัญญา ก่อนตกลง มากที่สุด ผลการวิจัยดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัย ท�ำสัญญา ของอัมพันธ์ สุริยัง (2557) วิจัยเรื่องการยอมรับ 1.2 ด้านผู้ประกอบการฯ ผู้ประกอบ- ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดหวานต่อการท�ำเกษตร การฯ ต้องมอบคู่สัญญาให้เกษตรกรอย่างน้อย 1 ชุด แบบมีพันธสัญญาในอ�ำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ 1.3 ด้านความรับผิดชอบของรัฐ รัฐ ผลการศึกษาพบว่าเกษตรกรที่ท�ำการกู้เงินมาเพื่อ ต้องป้องกันมิให้มีการขายปัจจัยการผลิตที่มีลักษณะ ท�ำการปลูกข้าวโพดหวานมักจะมีแหล่งเงินทุนคือ ผูกขาด ธนาคารเพื่อการเกษตร 2. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป ส่วนที่สอง คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง ควรมีวิจัยเกี่ยวกับทัศนคติของ เกษตรกรกับผู้ประกอบการฯและปัญหาข้อสัญญา ผู้ประกอบการธุรกิจทางการเกษตรต่อร่างพระราช ภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา แบบประกันราคา บัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา และประกันรายได้ พบว่าผู้ประกอบการฯ ก�ำหนด ที่เป็นธรรม พ.ศ. ... ให้เกษตรต้องซื้อวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตจาก ผู้ประกอบการฯ เท่านั้น โดยเกษตรกรไม่มีโอกาส เอกสารอ้างอิง ได้เข้าไปตรวจสอบคุณภาพของปัจจัยการในการ จิรวรรณ กิจชัยเจริญและคณะ. (2557). ความ ผลิตดังกล่าว ผลการวิจัยดังกล่าวสอดคล้องกับงาน เสี่ยง ผลตอบแทน และการปรับตัว วิจัยของจิรวรรณ กิจชัยเจริญและคณะ (2557) ของเกษตรกรในการท�ำฟาร์มปศุสัตว์ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ความเสี่ยง ผลตอบแทน และ ภายใต้ระบบพันธสัญญาในเขตจังหวัด การปรับตัวของเกษตรกรในการท�ำฟาร์มปศุสัตว์ ภาคเหนือ. เชียงใหม่: ศูนย์วิจัยระบบ ภายใต้ระบบพันธสัญญาในเขตจังหวัดภาคเหนือ ทรัพยากรเกษตร และภาควิชาเศรฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า เกษตรกร เกษตรและส่งเสริมเผยแพ่งการเกษตร ต้องใช้ปัจจัยการผลิตตามคุณภาพที่ได้รับจากบริษัท คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. อย่างไม่สามารถเลือกได้ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 185 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สุภากร ยอดประทุม. (2557).“มาตรการทาง อิศรากร คงทองค�ำ. (2557). ปัญหากฎหมาย กฎหมายในการควบุคมการท�ำสัญญา ข้อสัญญาไม่เป็นธรรมของระบบเกษตร ภายใต้ระบบเกษตรพันธสัญญา.” พันธสัญญาวารสารบัณฑิตศึกษา. วารสาร วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง. สวนสุนันทา. 7(2), 78-87. อัมพันธ์ สุริยัง. (2557). “การยอมรับของเกษตรกร Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). ผู้ปลูกข้าวโพดหวานต่อการท�ำเกษตร Determining Sample Size for แบบมีพันธะสัญญาในอ�ำเภอแม่วาง Research Activities. Educational จังหวัดเชียงใหม่.” วิทยานิพนธ์วิทยา and Psychological Measurement, ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนา 30(3), pp.607-610. ทรัพยากรชนบท มหาวิทยาลัยแม่โจ้. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 186 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” บทความวิจัย การพัฒนายางพาราในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ THE PARA RUBBER DEVELOPMENT OF SISAKET PROVINCE BORDER AREAS เอมอร แสนภูวา Emon Seanphuwa สาขาวิชาการพัฒนาชุมชนมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ [email protected]

บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการแนวทางการพัฒนาและจัดท�า ข้อเสนอเชิงนโยบายในการปลูกยางพาราให้เกิดประสิทธิภาพในพื้นที่ชายแดน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิง คุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เจาะลึกเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ จ�านวน 60 ครัวเรือน และสนทนากลุ่มกับผู้เกี่ยวข้อง จ�านวน 30 คน จากตัวแทนของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแต่ละ ครัวเรือนโดยกระจายไปตามอ�าเภอที่ปลูกมากที่สุด 3 อันดับในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราทั้งจังหวัดมี 28,415 ครัวเรือน พื้นที่การเพาะปลูก จ�านวน 288,929 ไร่ ส�าหรับสภาพปัญหาการปลูกยางพาราในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ พบว่า 1) ราคายางพาราตกต�่า 2) อ�าเภอกันทรลักษ์มีพื้นที่ปลูกยางพาราส่วนใหญ่ทับซ้อนที่ดินอุทยานแห่งชาติ เขาพระวิหารและพื้นที่ทหาร อ�าเภอขุนหาญส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทับซ้อนป่าไม้ ไม่มีเอกสารสิทธิ์และพื้นที่ ให้เช่าของนายทุน อ�าเภอภูสิงห์พื้นที่การปลูกยางพาราเป็นพื้นที่ส�านักงานปฏิรูปเพื่อการเกษตรไม่มีแบบ แสดงรายการที่ช�าระภาษีบ�ารุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ที่องค์การบริหารส่วนต�าบลออกให้ และไม่มีเอกสารสิทธิ์ 3) ปัจจัยการผลิตยางพารามีราคาสูง 4) ขาดความรู้เกี่ยวกับการปลูกยางพาราทุกขั้นตอน 5) ตลาดที่รับ ซื้อยางพาราในพื้นที่มีไม่แน่นอน 6) ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากแหล่งรับซื้อพ่อค้าคนกลาง 7) เกษตรกร ไม่ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารจากรัฐบาล ทั้งนโยบายและการช่วยเหลือ 8) ไม่มีการรวมกลุ่มเป็นเครือข่าย 9) หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่รับซื้อยางพาราไม่จ่ายเงินสด หรือจ่ายเงินล่าช้าแก่เกษตรกร 10) พื้นที่ปลูก ยางพาราเขตอ�าเภอกันทรลักษ์แห้งแล้ง และ 11) เกิดการขโมยยางพารา ความต้องการในการปลูกยางยางพาราพบว่า 1) ภาครัฐช่วยเรื่องชลประทาน 2) รัฐบาลดูแลราคา ยางพาราให้มีราคาสูง 3) ให้ราคาปุ๋ยซึ่งเป็นต้นทุนในการผลิตลดลง 4) จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการ ปลูกยางพาราทุกขั้นตอน และ 5) ภาครัฐช่วยจัดหาตลาดซื้อขายในพื้นที่ ค�าส�าคัญ: การพัฒนา ยางพารา พื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 187 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ABSTRACT The research objectives were to study the problems and needs for the guidelines of developing and to set up policy recommendations in order to effectively grow the para rubber trees along the border areas via qualitative research using in-depth interviews. The key informants were 60 para rubber planting farmers residing along the border areas of Sisaket Province and a focus group discussion was conducted with 30 relevant farmers residing in the most three districts of growing the para rubber trees in the said province. The research results revealed that there were 28,415 para rubber planting farmers in total across the province of sisaket with the planting areas of 288,929 rais. The problems of planting para rubber three in Sisaket Province border areas were: 1) the decline in rubber price ; 2) overlapping planting area, especially, in kahtharalak district’s most rubber planting areas were overlapping with KhaoPhraWihan National Park and military zones; most of Khunhan district’s rubber planting areas were overlapping with the forest areas and without land title deeds and renting areas of the businessmen; the rubber planting aresa in Phusing district were spreading across the areas of the Office of Agricultural Land Reform without certificates of land ownership issued by sub-district administrative organization and no land deeds; 3) High cost para rubber production factors; 4) lacking of snowing para the knowledge and skills related to all steps of rubber; 5) uncertain local para rubber purchasing markets; 6) receiving injustice from purchasing sources or rubber dealers; 7) the farmers receiving no information from the government and support; 8) no network aggregation; 9) governmental units undertaking para rubber purchasing were central markets did not pay in cash or pay late; 10) drought situation in rubber planting areas in Kanthalak district ; and 11) rubber burglaries. The needs of rubber planting were: 1) state sector’s help with irrigation system; 2) the government’s attention for para rubber price increase; 3) fertilizer price decrease; 4) conducting training courses on all steps of para rubber; and 5) the government’s help to find local rubber purchasing markets. Keywords: development, para rubber, Sisaket Province border area วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 188 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

บทน�ำ ภูสิงห์ ยังพบว่ามีพื้นที่ปลูกยางพาราในปี 2552 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จ�ำนวน 176,096 ไร่ และพื้นที่กรีดยางพาราในปี ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) มีการประเมิน 2552 จ�ำนวน 40,950 ไร่ ซึ่งเป็นล�ำดับที่ 2 รองมา ปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อความเข้มแข็งของ จากจังหวัดบุรีรัมย์ อย่างไรก็ตาม ยังพบปัญหาเชิง ภาคเกษตร ซึ่งนับว่าเป็นความมั่นคงด้านสังคม ระบบในการขับเคลื่อนยางพาราที่เป็นพืชเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและความมั่นคงด้านอาหารพลังงาน ล�ำดับที่ 2 ของจังหวัดต่อจากการผลิตข้าว ชีวภาพของประเทศ ดังนั้น จึงจ�ำเป็นต้องเร่งสร้าง ปัจจุบัน ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจทาง ภูมิคุ้มกันให้เพิ่มขึ้นและรักษาภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ เพื่อ เลือกใหม่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เกษตรกร ให้สามารถป้องกันและลดผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยง ให้ความสนใจปลูกยางพารา พื้นที่ชายแดนจังหวัด ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต ศรีสะเกษเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีการปลูกยางพารา จากแนวคิดข้างต้น ท�ำให้การขับเคลื่อน เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศสามารถปลูกยางพารา ภาคการเกษตรต้องเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการ ได้ จากการที่รัฐบาลมุ่งที่จะพัฒนาการปลูกยางพารา ผลิต ให้ความส�ำคัญกับการสร้างความมั่นคงระหว่าง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเพิ่มรายได้ ยก พืชอาหาร รวมถึงยางพาราซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจ ระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวสวนยางพารา ที่ส�ำคัญของประเทศ น�ำไปสู่กระบวนการเพิ่ม รวมถึงส่งเสริมให้มีการปลูกยางพาราในพื้นที่ใหม่ ประสิทธิภาพภายใต้การผลิตบนฐานกระบวนการ ของภาครัฐบาล แต่ยังไม่สามารถหาตลาดมารองรับ วิจัยและพัฒนายางพาราของประเทศที่มีการส่งออก ได้นั้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาการพัฒนายางพารา ยางธรรมชาติมากที่สุดในโลก ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษเพื่อศึกษาสภาพ ข้อมูลจากการทบทวนพบว่าปริมาณ ปัญหาและความต้องการ แนวทางพัฒนาและจัด การส่งออกยางพาราไทยเพิ่มขึ้นทุกปี ในปี 2552 ท�ำข้อเสนอเชิงนโยบายในการปลูกยางพาราให้เกิด ปริมาณการส่งออกไทยมีทั้งสิ้น 2,726,193 ตัน ประสิทธิภาพในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่ง ส�ำหรับพื้นที่ปลูกยางพาราในภาคตะวันออกเฉียง เป็นพื้นที่ติดกับราชอาณาจักรกัมพูชา และท�ำให้เกิด เหนือตอนล่างมีประมาณ 7 แสนไร่ โดยจังหวัด การพัฒนาที่ยั่งยืนภายในประเทศ บุรีรัมย์มีพื้นที่ปลูกยางพารามากที่สุด คือ 178,331 ไร่ รองลงมาคือ จังหวัดศรีสะเกษ 176,096 ไร่ วัตถุประสงค์ของการวิจัย และ อุบลราชธานี 168,523 โดยเป็นพื้นที่ที่เริ่ม 1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความ เปิดกรีดยางได้แล้ว จ�ำนวน 75,956 ไร่ 40,950 ไร่ ต้องการในการปลูกยางพาราพื้นที่ชายแดนจังหวัด และ 32,626 ไร่ ตามล�ำดับ (ส�ำนักงานเศรษฐกิจ ศรีสะเกษ การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, 2553) 2. เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและจัด จังหวัดศรีสะเกษ ส่วนใหญ่มีพื้นที่ปลูกยางพารา ท�ำข้อเสนอเชิงนโยบายในการปลูกยางพาราให้เกิด คือ อ�ำเภอกันทรลักษ์ อ�ำเภอขุนหาญ และอ�ำเภอ ประสิทธิภาพในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 189 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ขอบเขตของการวิจัย 1. ขอบเขตพื้นที่ พื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ 3 อ�ำเภอ ได้แก่ อ�ำเภอกันทรลักษ์ อ�ำเภอขุนหาญ และอ�ำเภอ ภูสิงห์ 2. ขอบเขตเวลา ระยะเวลาในการวิจัย ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2556 – 30 กันยายน 2557 กรอบแนวคิดในการวิจัยปรากฏดังแผนภาพ ดังนี้ แผนภาพแสดงกรอบแนวคิดการพัฒนายางพาราในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ

การพัฒนายางพาราในพื้นที่ ชายแดนในพื้นที่จังหวัด ศรีสะเกษ (อ.กันทรลักษ์ อ.ขุนหาญ อ.ภูสิงห์) การจัดทำ�ข้อเสนอ 1. บริบทพื้นที่การศึกษา แนวทางพัฒนาการปลูก เชิงนโยบายในการ 2. สถานการณ์การปลูก ยางพาราให้เกิดประสิทธิภาพ ปลูกยางพาราใน ยางพาราในพื้นที่การวิจัย ในพื้นที่ชายแดนจังหวัด พื้นที่ชายแดนจังหวัด 3. สภาพเศรษฐกิจของผู้ปลูก ศรีสะเกษ ศรีสะเกษ ยางพาราในพื้นที่การวิจัย 4. สภาพปัญหาและความ ต้องการในการปลูกยางพารา

ระเบียบวิธีวิจัย รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ บทความ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ และรายงานทางวิชาการ ข้อมูลจากสื่ออิเล็กทรอ ก�ำหนดพื้นที่แบบเจาะจงเป็นพื้นที่มีการปลูก นิคส์ที่สามารถน�ำมาสนับสนุนงานวิจัยได้ ยางพารามากที่สุดในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ 2. ศึกษาภาคสนาม ดังนี้ ใน 3 อ�ำเภอ ได้แก่ อ�ำเภอกันทรลักษ์ อ�ำเภอขุนหาญ 1. สังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มี และอ�ำเภอภูสิงห์ตามล�ำดับและมีพื้นที่ปลูกติดกับ ส่วนร่วม ในการเก็บข้อมูลพื้นฐานบริบท พื้นที่ปลูก ชายแดนราชอาณาจักรกัมพูชา ยางพาราในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ การเก็บรวบรวมข้อมูล อ�ำเภอกันทรลักษ์ อ�ำเภอขุนหาญ และอ�ำเภอภูสิงห์ 1. ศึกษาค้นคว้าและทบทวนวรรณกรรม 2. สัมภาษณ์เจาะลึกผู้ให้ข้อมูลที่ส�ำคัญ จากเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนายางพารา รายละเอียดดังนี้ ในพื้นที่ชายแดนและข้อมูลอื่น ๆ ได้แก่ หนังสือ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 190 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

กลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่ส�ำคัญในการสัมภาษณ์ ยางพารา จ�ำนวนพื้นที่ยางพาราที่ยังไม่ได้กรีด คือ เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในเขตพื้นที่ชายแดน และกรีดแล้ว วิธีการกรีดยางพารา สาเหตุที่ปลูก จังหวัดศรีสะเกษ โดยเลือกแบบเจาะจงเป็นตัวแทน ยางพารา การเรียนรู้วิธีการปลูกยางพารา การร่วม ของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแต่ละครัวเรือนโดย กิจกรรม การเป็นสมาชิก การอบรมหรือได้รับความรู้ กระจายไปตามอ�ำเภอที่ปลูกมากที่สุด 3 พื้นที่ ใน เกี่ยวกับยางพารา ความรู้ที่ต้องการเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ 3 อ�ำเภอ ได้แก่ ยางพารา คุณภาพชีวิตหลังจากการปลูกยางพารา อ�ำเภอกันทรลักษ์ อ�ำเภอขุนหาญ และอ�ำเภอภูสิงห์ ปัญหาเมื่อมีพื้นที่ปลูกยางพาราติดกับชายแดนไทย- จ�ำนวน 60 ครัวเรือน พื้นที่ละ 20 ครัวเรือน โดย กัมพูชา การรับทราบข้อมูลในการปลูกยางพาราของ ก�ำหนดคุณสมบัติผู้ให้ข้อมูลที่ส�ำคัญเพื่อสัมภาษณ์ เกษตรกรชาวกัมพูชาหรือประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ คือ มีพื้นที่ปลูกยางพาราในเขตชายแดนจังหวัด ราคาขายยางในพื้นที่ปัจจุบัน ราคาสูงสุดที่เคยขาย ศรีสะเกษ และเป็นพื้นที่กรีดได้ผลผลิต ยางพาราในพื้นที่ (น�้ำยาง ยางก้อน ยางแผ่นยาง กลุ่มผู้ให้ข้อมูลที่ส�ำคัญในการสนทนา รมควัน) การใช้บริการของตลาดกลางที่รัฐจัดให้ กลุ่ม เจาะจงเลือกจากตัวแทนของเกษตรกรผู้ปลูก ในพื้นที่ตลาดขายยางพาราในพื้นที่ ความพึงพอใจ ยางพาราแต่ละครัวเรือนโดยกระจายไปตามอ�ำเภอ ราคายางพาราในปัจจุบัน การรับฟังข่าวสารต่าง ๆ ที่ปลูกมากที่สุด 3 อันดับในพื้นที่ชายแดนจังหวัด เกี่ยวกับยางพารา การรับทราบหรือติดตามนโยบาย ศรีสะเกษ 3 อ�ำเภอ ได้แก่ อ�ำเภอกันทรลักษ์ อ�ำเภอ เกี่ยวกับยางพาราของรัฐบาล ขุนหาญ และอ�ำเภอภูสิงห์ จ�ำนวน 30 คน ได้แก่ ส่วนที่ 3 สภาพปัญหาและความต้องการ เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในพื้นที่วิจัย และตัวแทน ปลูกยางพาราในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จ�ำนวน 12 คน ประกอบ ประกอบด้วย ปัญหา ความต้องการเกี่ยวกับการปลูก ด้วย ตัวแทนจากส�ำนักงานเกษตรจังหวัดศรีสะเกษ ยางพารา ความต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนส�ำนักงานเกษตรอ�ำเภอ ตัวแทนส�ำนักงาน หรือรัฐบาลช่วยเหลือเกี่ยวกับยางพารา แนวทาง สภาเกษตรกรจังหวัดศรีสะเกษ ตัวแทนส�ำนักงาน การพัฒนาการปลูกยางพาราให้เกิดประสิทธิภาพ กองทุนสงเคราะห์สวนยางจังหวัดศรีสะเกษ และ ในพื้นที่ชายแดน ตัวแทนผู้รับซื้อยางพาราในพื้นที่วิจัย ส่วนที่ 4 ข้อเสนอแนะอื่น ๆ รายละเอียดของค�ำถามแบ่งเป็น 4 ส่วน การวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนที่ 1 ข้อมูลพื้นฐานของผู้ให้ข้อมูลส�ำคัญ เชิงพรรณนา พร้อมกับการเก็บรวบรวมข้อมูล โดย ส่วนที่ 2 ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการ ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกและการ ปลูกยางพารา ประกอบด้วย จ�ำนวนพื้นที่ในการ สนทนากลุ่ม พร้อมทั้งตรวจสอบข้อมูลโดยใช้เทคนิค ปลูก ระยะเวลาในการปลูก ระยะเวลาที่ได้กรีด สามเส้าเพื่อตรวจสอบข้อมูล ยางพารา สถานะความเป็นเจ้าของในพื้นที่ปลูก Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 191 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย ไร่ อ�ำเภอเบญจลักษ์ 6,201 ไร่ อ�ำเภอห้วยทับทัน สรุปผลการวิจัย 4,808.75 ไร่ อ�ำเภอกันทรารมย์ 4,365 ไร่ อ�ำเภอ บริบทพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ พบว่า จังหวัด ไพรบึง 4,129.75 ไร่ อ�ำเภอโนนคูณ 4,041.15 ไร่ ศรีสะเกษมีชายแดนติดกับราชอาณาจักรกัมพูชา อ�ำเภอเมืองศรีสะเกษ 3,404 ไร่ อ�ำเภอวังหิน 3,342 22 อ�ำเภอ 206 ต�ำบล 2,626 หมู่บ้าน ประชากร ไร่ อ�ำเภออุทุมพรพิสัย 2,409.85 ไร่ อ�ำเภอพยุห์ 1,452,203 คน มีพื้นที่ประมาณ 8,839,976 ตาราง 1,444 ไร่ อ�ำเภอเมืองจันทร์ 1,181.25 ไร่ อ�ำเภอ กิโลเมตร หรือ 5,524,985 ไร่ มีแนวชายแดนติด โพธิ์ศรีสุวรรณ 1,031.25 ไร่ ราษีไศล 526 ไร่ อ�ำเภอ ราชอาณาจักรกัมพูชาประมาณ 127 กิโลเมตร ซึ่งติด บึงบูรพ์ 479 ไร่ อ�ำเภอยางชุมน้อย 372 ไร่ และ อ�ำเภอกันทรลักษ์ อ�ำเภอขุนหาญ และอ�ำเภอภูสิงห์ อ�ำเภอศิลาลาด 43 ไร่ ตามล�ำดับ (ส�ำนักงานกองทุน ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ท�ำนา สงเคราะห์การท�ำสวนยางจังหวัดศรีสะเกษ, 2557) ท�ำไร่พืชเศรษฐกิจที่ส�ำคัญได้แก่ หอมแดง กระเทียม อ�ำเภอที่อยู่ติดพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ และพริกขี้หนูใหญ่ ส่วนยางพาราปลูกทางตอนใต้ อ�ำเภอกันทรลักษ์ อ�ำเภอขุนหาญ และอ�ำเภอภูสิงห์ ของจังหวัด รายได้เฉลี่ยประชากร 29,174 บาท /คน บริบทพื้นที่ ข้อมูลพื้นฐาน สภาพปัญหา /ปี ซึ่งต�่ำที่สุดของประเทศ ศิลปวัฒนธรรมมีปราสาท และความต้องการในการปลูกยางพาราพื้นที่ หินและวัตถุโบราณหลายแห่ง ภาษาส่วนใหญ่เป็น ชายแดนอ�ำเภอกันทรลักษ์ คนพื้นเมืองแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ชาวพื้นเมืองที่ บริบทพื้นที่ อ�ำเภอกันทรลักษ์ พบว่า มี พูดภาษาไทยอีสาน และคนพื้นเมืองที่พูดภาษาเขมร พื้นที่ทั้งหมด 1,346 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ นอกจากนั้นมีคนพื้นเมืองที่พูดภาษาส่วย ภาษา 847,500 ไร่ เป็นที่ราบสูงสลับเขา อาณาเขตทิศ เยอไม่มากนัก (ส�ำนักงานท้องถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ, เหนือติดอ�ำเภอศรีรัตนะ อ�ำเภอเบญจลักษ์ จังหวัด 2557) ศรีสะเกษ ทิศใต้ติดอ�ำเภอจอมกระสานต์ จังหวัด ข้อมูลพื้นฐานการปลูกยางพาราในพื้นที่ พระวิหาร ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีเทือกเขาพนม ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ดงรักเป็นเส้นกั้นพรมแดน ทิศตะวันออกติดอ�ำเภอ จังหวัดศรีสะเกษมีเกษตรกรปลูก ทุ่งศรีอุดม อ�ำเภอน�้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี และ ยางพาราทั้งสิ้น 28,415 ครัวเรือน พื้นที่เพาะ ทิศตะวันตกติดอ�ำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ปลูก 288,929.87 ไร่ พื้นที่เปิดกรีด 170,609.05 แบ่งเป็น 20 ต�ำบล 275 หมู่บ้าน ประชากร 178,072 ไร่ พื้นที่ยังไม่เปิดกรีด 118,320.82 ไร่ ส่วนใหญ่ คน ชาย 89,399 คน หญิง 88,672 คน 41,364 ผลิตยางพาราเป็นยางก้อน เป็นเกษตรกรราย ครัวเรือน รายได้เฉลี่ยประชาชน 33,889 บาท/คน/ปี ย่อย เนื้อที่เพาะปลูกยางพารา 22 อ�ำเภอ ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานการปลูกยางพาราใน อ�ำเภอกันทรลักษ์ 101,084.32 ไร่ อ�ำเภอขุนหาญ พื้นที่ชายแดนอ�ำเภอกันทรลักษ์ พบว่าเกษตรกร 62,938.48 ไร่ อ�ำเภอภูสิงห์ 49,514.05 ไร่ อ�ำเภอ ผู้ปลูกยางพารา8,332 ครัวเรือน เนื้อที่เพาะปลูก น�้ำเกลี้ยง 24,226.64 ไร่ อ�ำเภอขุขันธ์ 12,187.25 ไร่ 101,084.32 ไร่ เนื้อที่เปิดกรีด 86,151.34 ไร่ และ อ�ำเภอศรีรัตนะ 8,191.98 ไร่ อ�ำเภอปรางค์กู่ 6,509 เนื้อที่ยังไม่เปิดกรีด 14,932.98 ไร่ ส่วนใหญ่มีพื้นที่ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 192 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ปลูกยางพารา 9-30 ไร่ กรีดและให้ผลผลิตได้เกือบ ภาครัฐช่วยเหลือเรื่องชลประทานให้มีแหล่งน�้ำเพื่อ ทั้งหมด เป็นเกษตรกรรายย่อย การปลูกยางพารา การเพาะปลูก 2) รัฐบาลผลักดันให้ราคายางพารา เริ่มปี พ.ศ. 2546-2549 เป็นช่วงที่รัฐบาลสนับสนุน เพิ่มขึ้น 3) ราคาปุ๋ยลดลง 4) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ประชาชนปลูกประมาณ 9-11 ปี การปลูก จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับยางพาราทุกขั้นตอน ยางพาราเป็นอาชีพของครอบครัวหรือเครือญาติ 5) ภาครัฐช่วยหาตลาดรองรับในพื้นที่เพิ่มขึ้น และ และมีบางส่วนจ้างคนกรีด แบ่งผลประโยชน์ 50/50 6) หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับอุทยานแห่งชาติ และ 70/30 สาเหตุที่ท�ำให้เกษตรกรหันมาสนใจปลูก เขาพระวิหารจัดท�ำเขตพื้นที่ให้ประชาชนทราบ ยางพารา เนื่องจากได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลโดย อย่างแน่นอน ส�ำนักงานกองทุนสงเคราะห์การท�ำสวนยาง (สกย.) บริบทพื้นที่ ข้อมูลพื้นฐาน สภาพปัญหา รวมทั้งมีแรงจูงใจต้องการมีรายได้เพิ่มเพื่อให้มี และความต้องการในการปลูกยางพาราพื้นที่ คุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉลี่ยรายได้ประมาณ 5,000- ชายแดนอ�ำเภอขุนหาญ 40,000 บาท/เดือน/ครัวเรือน ปัจจุบันประสบกับ บริบทพื้นที่ อ�ำเภอขุนหาญ พบว่า เป็นพื้นที่ ปัญหาราคายางพาราตกต�่ำ ราคายางก้อน 19-25 ชายแดนติดราชอาณาจักรกัมพูชา มีภูเขาพนมดงรัก บาท/กิโลกรัม เกษตรในพื้นที่นิยมท�ำยางก้อน เป็นแนวเขตเนื้อที่ทั้งหมด 772.39 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากกระบวนการผลิตง่าย มีความสะดวก หรือประมาณ 483,062.5 ไร่ อาณาเขตทิศเหนือ ส่วนน้อยท�ำยางแผ่นและยางรมควัน ตลาดที่น�ำ ติดอ�ำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ทิศใต้ติดกับ ยางพาราไปขายในพื้นที่ไม่มี ส่วนใหญ่ขายยางพารา ราชอาณาจักรกัมพูชา ทิศตะวันออกติดอ�ำเภอ ให้กับพ่อค้าคนกลางภายในหมู่บ้านและพ่อค้าบาง กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ทิศตะวันตกติดอ�ำเภอ คนมารับซื้อถึงพื้นที่ ซึ่งท�ำให้ถูกเอาเปรียบกดราคา ภูสิงห์ อ�ำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ภูมิประเทศ ปัญหาและความต้องการในการปลูก เป็นที่ราบลุ่ม การปกครองแบ่งออกเป็น 12 ต�ำบล ยางพาราพื้นที่ชายแดนอ�ำเภอกันทรลักษ์ พบว่า 145 หมู่บ้านประชากร 104,898 คน ชาย 52,437 1) พื้นที่ปลูกยางพารามีความแห้งแล้งแคลนน�้ำ คนหญิง 52,461 คน ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบ 2) ราคาตกต�่ำราคายางก้อนในพื้นที่ 19-25 บาท/ อาชีพเกษตรกรรม รายได้เฉลี่ยประชาชน ประมาณ กิโลกรัม และยางแผ่น 50-60 บาท/กิโลกรัม 32,531 บาท/คน/ปี 3) ปุ๋ยมีราคาสูง 4) เกษตรกรขาดความรู้เกี่ยวกับ ข้อมูลพื้นฐานการปลูกยางพาราพื้นที่ ยางพาราทุกขั้นตอน 5) พื้นที่การปลูกไม่มีเอกสาร ชายแดนอ�ำเภอขุนหาญ พบว่า ผู้ปลูกยางพาราใน สิทธิ์ 6) สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจากกรณี พื้นที่ 4,641ครัวเรือน เนื้อที่เพาะปลูก 62,938.48 พิพาทเขาพระวิหาร ท�ำให้เกษตรกรหวาดระแวง ไร่ เนื้อที่เปิดกรีด 58,051.74 ไร่ และเนื้อที่ยังไม่ ไม่มั่นใจในสถานการณ์ชายแดน และ 7) พื้นที่ปลูก เปิดกรีด 4,886.74 ไร่ ท�ำเป็นครอบครัว พื้นที่ปลูก อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ยางพารา 5-15 ไร่ มีส่วนน้อยที่ปลูกตั้งแต่ 16–50 ความต้องการในการปลูกยางพาราพื้นที่ ไร่ เริ่มปลูกเมื่อ พ.ศ. 2547–2548 สามารถกรีดได้ ชายแดนอ�ำเภอกันทรลักษ์ พบว่า 1) ให้หน่วยงาน ผลผลิต และบางส่วนเป็นพื้นที่ปลูกยางพาราใหม่ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 193 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เกษตรกรรายย่อยนิยมผลิตเป็นยางก้อน ระยะ แน่นอน และ 16) ไม่มีการรวมกลุ่มเป็นเครือข่าย เวลาการปลูก 8-10 ปี โดยการส่งเสริมของรัฐบาล ความต้องการในการปลูกยางพาราพื้นที่ ในโครงการของส�ำนักงานกองทุนสงเคราะห์การ ชายแดน พบว่า 1) ความรู้เรื่องการตลาด เพราะ ท�ำสวนยาง (สกย.) ช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรตามแนว ตลาดยางพาราไม่แน่นอน 2) ความรู้เรื่องวิธีการปลูก ชายแดนมีฐานะที่ดีขึ้นทุกครัวเรือน บางครัวเรือน ยางพาราที่ท�ำให้น�้ำยางมีคุณภาพ วิธีการบ�ำรุงรักษา ยึดอาชีพปลูกยางพาราเป็นหลัก บางครัวเรือนได้ และการกรีด 3) รัฐบาลพยุงราคายางพาราให้สูงขึ้น ปรับไร่นาให้เป็นไร่ยางพาราแทน พื้นที่บางส่วนถูก 4) ความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรคยางพารา เช่น จับจองซื้อโดยนายทุนเพื่อปลูกยางพารา บางส่วน หน้ายางแตก หน้ายางแห้ง เป็นต้น 5) ให้มีตลาด ได้เช่าซื้อที่ดินเพื่อมาปลูกยางพารา เกษตรกรตาม รับซื้อยางพาราของรัฐบาลในพื้นที่ และ 6) ให้ แนวชายแดนปลูกยางพารามากขึ้น มีเหตุจูงใจ คือ รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือในส่วนของพื้นที่ปลูกให้มี ต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี การปลูกยางพาราเป็น เอกสารสิทธิ์ พืชที่ปลูกแล้วท�ำรายได้ระยะยาวหลายปีโดยไม่ต้อง บริบทพื้นที่ข้อมูลพื้นฐาน ปัญหาและความ ลงทุนอีก และที่ผ่านมายางพาราราคาดี เกษตรกรใน ต้องการการปลูกยางพาราในพื้นที่ชายแดนอ�ำเภอ พื้นที่จึงเปลี่ยนมาปลูกยางพาราเพิ่มมากขึ้น ภูสิงห์ ปัญหาและความต้องการปลูกยางพาราใน บริบทพื้นที่อ�ำเภอภูสิงห์ พบว่า พื้นที่ พื้นที่ชายแดนอ�ำเภอขุนหาญ พบว่า 1) อุปกรณ์ ชายแดนติดราชอาณาจักรกัมพูชา และมีจุดผ่าน การผลิตมีราคาแพง 2) สภาพพื้นที่ไม่พร้อมและ แดนถาวรช่องสะง�ำ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เดินทางไป ไม่เหมาะสมต่อการปลูก แต่เกษตรกรก็ยังปลูก ยังนครวัดนครธม ใช้ถนนสาย 67 ผ่านช่องสะง�ำ เพราะยางพารามีราคาสูง 3) เปลือกต้นยางพาราแข็ง อ�ำเภออัลลองเวง และจังหวัดเสียมราฐ ระยะทาง น�้ำยางไหลตลอดเวลา เกิดภาวะเปลือกต้นยางพารา 135 กิโลเมตรตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของ แห้งและตายในที่สุด 4) ขาดความรู้ในการบ�ำรุง จังหวัดศรีสะเกษ มีอาณาเขตทิศเหนือติดอ�ำเภอ รักษาต้นยางพารา 5) ต้นยางพาราเป็นโรค เช่น ขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ทิศใต้ติดอ�ำเภออัลลองเวง โรคราเส้นด�ำ เป็นต้น 6) การดูแลบ�ำรุงรักษา จังหวัดโอดดาร์เมียนเจีย ราชอาณาจักรกัมพูชา ทิศ ไม่ถูกวิธี 7) ยางพาราถึงระยะการกรีดพบว่าน�้ำยาง ตะวันออกติดอ�ำเภอขุขันธ์ อ�ำเภอขุนหาญ จังหวัด ไม่ไหล 8) พื้นที่ปลูกส่วนใหญ่ทับซ้อนเขตป่าไม้และ ศรีสะเกษ และ ทิศตะวันตกติดอ�ำเภอบัวเชด จังหวัด ไม่มีเอกสารสิทธิ์ 9) เป็นพื้นที่ให้เช่าของนายทุน สุรินทร์ การปกครองแบ่งเป็น 7 ต�ำบล 86 หมู่บ้าน 10) ขาดทักษะในการกรีด 11) ราคายางตกต�่ำ ข้อมูลพื้นฐานการปลูกยางพาราพื้นที่ 12) ขาดความรู้ทางการตลาด 13) ตลาดในการรับซื้อ ชายแดนอ�ำเภอภูสิงห์ พบว่า เกษตรกรปลูกยางพารา ยางพาราของรัฐมีน้อย 14) เกษตรกรบางคนยัง 4,440 ครัวเรือนเนื้อที่เพาะปลูก 49,514.05 ไร่ ไม่ได้รับการชดเชยราคายางยังไม่ได้ส่วนต่างจาก เนื้อที่เปิดกรีด 38,291.57 ไร่ และเนื้อที่ยังไม่เปิด รัฐบาล เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน กรีด 11,222.48 ไร่ พื้นที่การปลูก ประมาณ 5-20 ที่เกี่ยวข้องไม่ทั่วถึง 15) ขาดตลาดขายยางพาราที่ ไร่ ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย และมีส่วนน้อย วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 194 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ที่ปลูกยางพารา ประมาณ 21-50 ไร่เริ่มปลูกตั้งแต่ ท�ำให้ถูกกดราคา พ.ศ. 2547-2549 ระยะเวลาในการปลูกประมาณ ความต้องการปลูกยางพาราพื้นที่ชายแดน 8-10 ปี และมีบางส่วน 16 ปี การปลูกเป็นครอบครัว อ�ำเภอภูสิงห์ พบว่า 1) ให้มีโรงงานรับซื้อยางพารา มีบางส่วนซึ่งไม่มากที่เช่าซื้อเกษตรกร บางครัวเรือน ที่อยู่ใกล้ในพื้นที่ 2) ให้รัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จ้างกรีด โดยมีส่วนแบ่ง 70/30 ซึ่งในพื้นที่วิจัยมี เข้ามาอบรมให้ความรู้ทุกขั้นตอน และ 3) ให้พื้นที่ ผู้รับจ้างที่มีประสบการณ์ในการกรีดยางพาราโดย ปลูกมีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องหรือ นส.3 ซึ่งเกษตรกร เคยรับจ้างกรีดทางภาคใต้ เมื่อกลับมาบ้านก็ปลูก ส่วนใหญ่ประสบกับปัญหา ยางพาราเป็นของตนเองและรับจ้าง สาเหตุที่ปลูก แนวทางการพัฒนาและจัดท�ำข้อเสนอเชิง ยางพาราเพราะว่าต้องการมีฐานะดี โดยศึกษา นโยบายในการปลูกยางพาราให้เกิดประสิทธิภาพ จากผู้ปลูกยางพาราก่อน ครอบครัวมีคุณภาพชีวิต ในพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ ที่ดี อีกทั้งรัฐบาลส่งเสริมโดยผ่านส�ำนักงานกองทุน ข้อมูลจากการสนทนากลุ่ม พบว่าแนวทาง สงเคราะห์การท�ำสวนยาง (สกย.) เพื่อให้เกษตรกร การพัฒนาในการปลูกยางพาราให้เกิดประสิทธิภาพ มีรายได้เพิ่มขึ้น และสร้างอาชีพเสริมให้กับเกษตรกร ได้แก่ 1) เกษตรกรต้องปรับตัวและครอบครัวลด จนกลายเป็นอาชีพหลัก อีกทั้งยางพาราเป็นพืชที่ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่ไม่จ�ำเป็น 2) หาเกษตรทาง ปลูกแล้วท�ำรายได้ระยะยาวโดยไม่ต้องลงทุนอีก เลือกอื่น ๆ เพื่อเสริมเพิ่มรายได้เกิดการหมุนเวียน ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมายางพารามีราคาดี จึง 3) เกษตรกรต้องปรับลดต้นทุนในการผลิต เช่น เป็นเหตุผลที่ท�ำให้มีเกษตรกรปลูกยางพาราเพิ่ม พยายามใช้แรงงานในครอบครัวเลิกจ้างแรงงาน ขึ้น ปัจจุบันราคายางก้อน 17 -20 บาท/กิโลกรัม รับจ้างและท�ำปุ๋ยชีวภาพใช้ 3) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นิยมผลิตยางก้อนเพราะง่ายและกระบวนการผลิต ส่งเสริมการปลูกยางพาราของรัฐ เช่น ส�ำนักงาน ไม่ยุ่งยาก เนื่องจากมีพื้นที่ติดกับชายแดนปัญหา กองทุนสงเคราะห์การท�ำสวนยาง (สกย.) จัดอบรม ชายแดน ไม่ส่งผลกระทบต่อการปลูกยางพารา ให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตทั้งระบบ 4) หน่วยงาน ในพื้นที่ แต่ประสบกับปัญหาคนในพื้นที่ลักขโมย ที่เกี่ยวข้องจัดหาแหล่งน�้ำเพื่อการเกษตรเก็บกักน�้ำ ยางพาราที่แปรรูปเป็นก้อนยางหรือยางแผ่น 5) รัฐบาลควรออกกฎหมายเพื่อก�ำกับควบคุมพ่อค้า ปัญหาและความต้องการการปลูกยางพารา คนกลางที่รับซื้อเพื่อให้เกิดความยุติธรรม 6) รัฐบาล ในพื้นที่ชายแดนอ�ำเภอภูสิงห์ พบว่า 1) ราคา ช่วยเหลือเรื่องราคายางพาราตกต�่ำให้มีราคาสูงกว่า ยางพาราตกต�่ำ 2) อุปกรณ์เกี่ยวกับการปลูกและ เดิมโดยประกันราคายางพาราและหาตลาดกลาง ผลิตมีราคาแพง 3) ขาดความรู้ในการดูแลรักษาและ เพื่อรองรับ 7) รัฐบาลก�ำกับดูแลราคาปุ๋ยให้ถูกลง การกรีด 4) ขาดความรู้เกี่ยวกับโรคของยางพารา และ 8) ส่งเสริมการรวมกลุ่มเป็นเครือข่าย เช่น ราเส้นด�ำ ใบด่าง เปลือกแห้ง 5) พื้นที่ปลูกไม่มี ข้อเสนอเชิงนโยบายในการปลูกยางพารา เอกสารสิทธิ์ และ 6) ตลาดรับซื้อยางพาราในพื้นที่มี ให้เกิดประสิทธิภาพในพื้นที่ชายแดนจังหวัด น้อย เกษตรกรขายยางพาราผ่านพ่อค้าคนกลางซึ่ง ศรีสะเกษ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 195 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

1. รัฐบาลช่วยเหลือดูแลราคายางให้มี เป็นนโยบายเพื่อกระจายรายไดแกเกษตรกร ท�ำให้ ราคาที่สูงโดยเสนอยางก้อนราคากิโลกรัมละ 30-70 มีการพัฒนาการปลูกยางพาราเพิ่มมากขึ้น การที่ บาท ยางแผ่นราคากิโลกรัมละ 70-100 บาท และ รัฐมีนโยบายในการส่งเสริมให้ขยายพื้นที่การปลูก ยางรมควันราคากิโลกรัมละ 100-110 บาท ยางพาราในภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่งผลให้ 2. รัฐบาลออกกฎหมายดูแลราคาปุ๋ย โดย พื้นที่การปลูกยางพาราเพิ่มจ�ำนวนอย่างรวดเร็ว เสนอราคากระสอบละ 500-800 บาท มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภาครัฐและภาคเอกชน 3. รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมเรื่องการ ส่งเสริมให้เกษตรกรได้รับความรู้เกี่ยวกับการท�ำ ชั่งตวงวัด และกดราคาเรื่องความชื้นของพ่อค้า สวนยางพาราและผลผลิตยางพารา การถ่ายทอด คนกลาง ให้ความรู้โดยการอบรมด้านวิชาการและปฏิบัติ 4. หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ความ แกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสอดคล้องกับงาน รู้กับเกษตรกรรายย่อย เช่น ส�ำนักงานกองทุน วิจัยของสมหมาย ทาจิตร (2553) ว่าเกษตรกร สงเคราะห์การท�ำสวนยาง (สกย.) อบรมวิธีการปลูก ผู้ปลูกยางพาราในพื้นที่ส่วนใหญ่เกิดจากแรงจูงใจใน การบ�ำรุงรักษา การกรีด และโรคเกี่ยวกับยางพารา ผลตอบแทนที่เห็นผล เมื่อเทียบกับการปลูกอย่างอื่น เช่น หน้ายางแตก หน้ายางตายนิ่ง ใบยางเป็นจุดด่าง แต่หลังจากปี พ.ศ. 2540 มีผู้ปลูกและมีพื้นที่ปลูก เป็นต้น เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2549–2551 มี 5. รัฐบาลช่วยหาตลาดที่มั่นคงในพื้นที่ตาม ความต้องการปลูกมาก เนื่องจากราคายางพารา แนวชายแดนให้กับเกษตรกร โดยการจัดตั้งสหกรณ์ ดีมาก และการสนับสนุนโครงการของรัฐ สวนยาง ยางพาราในหนึ่งอ�ำเภอหนึ่งจุด ส่วนใหญ่พบว่าใช้แรงงานครัวเรือนหรือญาติพี่น้อง อภิปรายผลการวิจัย ช่วยกรีด ปัญหาอุปสรรค พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ปลูกมัก จากการวิจัยอภิปรายผลได้ว่า การปลูก จะเป็นพื้นที่ส�ำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร ยางพาราพื้นที่ชายแดนจังหวัดศรีสะเกษมีสภาพ (สปก.) ที่รัฐจัดสรรให้กับเกษตรกรที่ไม่มีที่ท�ำกิน ใน บริบทที่เหมือนและใกล้เคียงกัน มีพื้นที่ติดกับ ความดูแลของส�ำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร ราชอาณาจักรกัมพูชา (ส�ำนักงานสภาเกษตรกร (สปก.) สอดคล้องกับงานวิจัยของ ประคอง ส่งเสริม จังหวัดศรีสะเกษ, 2557) ในการปลูกยางพารา (2542) ที่ได้ศึกษาความต้องการของเกษตรก่อนการ ส่วนใหญ่รับการส่งเสริมจากภาครัฐ โดยส�ำนักงาน ส่งเสริมการผลิตยางพาราในจังหวัดหนองคาย พบว่า กองทุนสงเคราะห์การท�ำสวนยาง สภาพปัญหาการ ปัญหาส�ำคัญที่พบในการผลิตยางพารา ได้แก่ เงิน ปลูกยางพารามีลักษณะใกล้เคียงกันและเหมือน ลงทุนไม่เพียงพอ ไม่ทราบแหล่งรับซื้อยางพารา กัน ได้แก่ ราคายางพาราตกต�่ำเพราะในพื้นที่วิจัย และราคายางพาราตกต�่ำ นอกจากนี้เกษตรกร และพื้นที่อื่น ๆ มีผู้ปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นและได้รับ มีความรู้ด้านการผลิตไม่เพียงพอ ขาดแรงงาน การสนับสนุนจากภาครัฐให้ปลูกมากขึ้นในช่วงหลัง กรีดยางพารา ไม่มีการติดตามให้ค�ำแนะน�ำของ สอดคล้องกับข้อมูลของส�ำนักงานกองทุนสงเคราะห์ เจ้าหน้าที่ ปัจจัยการผลิตไม่เพียงพอ และไม่มีการ การท�ำสวนยาง (2549) ว่าการส่งเสริมปลูกยางพารา จัดตั้งกลุ่มผู้ผลิตยางพารา ตลาดขายยางพาราใน วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 196 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

พื้นที่มีไม่แน่นอน ท�ำให้เกษตรกรต้องน�ำยางพารา 4. ควรส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายเกษตรกร ไปขายให้พ่อค้าคนกลาง และไม่ได้รับความเป็น ปลูกยางพารา เพื่อให้มีพลังในการต่อรองและ ธรรม สอดคล้องกับงานวิจัยของ ดารุณี โกศัยเสวี เป็นกลุ่มที่เข้มแข็ง และคณะ (2547) ศึกษาการแปรรูปและขายผลผลิต 5. เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราควรศึกษา ผล ว่าปัญหาที่เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในพื้นที่ หาความรู้เพิ่มมากขึ้นและต่อเนื่องในเรื่องการปลูก การวิจัยไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารการประชาสัมพันธ์ ยางพารา และควรหาอาชีพอื่นเพื่อเสริมรายได้ของ จากหน่วยงานของรัฐ เช่น ข่าวสารนโยบาย การ ครอบครัวในขณะที่ราคายางพาราตกต�่ำ ช่วยเหลือเกี่ยวกับยางพาราการขายหรือสอบถาม ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยต่อไป ราคายาง และเกษตรกรไม่มีการรวมกลุ่มเป็น 1. ควรวิจัยเพื่อพัฒนาเครือข่ายเกษตรกร เครือข่ายส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยซึ่งมี ผู้ปลูกยางพาราในพื้นที่ชายแดนให้เกิดความเข้มแข็ง ส่วนน้อยที่มีการรวมกลุ่มเพื่อขายยางพาราในพื้นที่ และสามารถสร้างพลังในการต่อรอง 2. ควรศึกษาวิจัยการจัดตั้งสหกรณ์กลุ่ม ข้อเสนอแนะ เกษตรกรยางพาราในพื้นที่ชายแดน ข้อเสนอแนะเพื่อการน�ำผลการวิจัยไปใช้ 3. ควรศึกษาวิจัยพัฒนาการแปรรูป งาน ยางพารา 1. ควรจัดตั้งสหกรณ์ซึ่งจะท�ำให้กลุ่ม เข้มแข็งและสามารถสร้างพลังในการต่อรอง เอกสารอ้างอิง อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองให้กับสมาชิกในกลุ่ม ดารุณี โกสัยเสวี และคณะ. (2547). ศึกษาการ เพื่อรองรับการซื้อยางพาราของกลุ่มเกษตรกรหนึ่ง เจริญเติบโตของยางพันธุ์ต่าง ๆ ที่ปลูก อ�ำเภอต่อหนึ่งจุด ที่ระดับความสูง 900 เมตร จากระดับ 2. ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้ น�้ำทะเลปานกลาง. รายงานวิจัย ปี 2543 ความรู้ วิธีการปลูกยางพาราครบทุกขั้นตอน โรค สถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร. เกี่ยวกับยางพารา การแปรรูป และด้านการตลาด ประคอง ส่งเสริม. (2542). ความต้องการของ อย่างต่อเนื่อง เกษตรกรต่อการส่งเสริมการผลิต 3. ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามา ยางพาราในจังหวัดหนองคาย. ขอนแก่น: ช่วยเหลือหรือแก้ไขในปัญหาพื้นที่การปลูกยางพารา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ให้มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้อง หรือ นส.3 Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 197 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

สมหมาย ทาจิตร. (2553). ประวัติความเป็น ส�ำนักงานกองทุนสงเคราะห์การท�ำสวนยางจังหวัด มาของยางพาราในจังหวัดศรีสะเกษ ศรีสะเกษ. (2557). แผนปฏิบัติงาน (สัมภาษณ์). พนักงานขับรถ ส�ำนักงาน คณะท�ำงานด้านยางพารา. ศรีสะเกษ: กองทุนสงเคราะห์การท�ำสวนยางจังหวัด ส�ำนักงานกองทุนสงเคราะห์การท�ำสวน ศรีสะเกษ, 16 มีนาคม 2553. ยางจังหวัดศรีสะเกษ. ส�ำนักงานท้องถิ่นจังหวัดศรีสะเกษ. (2557). แผน ส�ำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดศรีสะเกษ. (2557). ปฏิบัติราชการประจ�ำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติงานคณะท�ำงานด้าน ประจ�ำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557. ยางพารา. ศรีสะเกษ: ส�ำนักงานสภา ศรีสะเกษ: ส�ำนักงานท้องถิ่นจังหวัด เกษตรกรจังหวัดศรีสะเกษ. ศรีสะเกษ. ส�ำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงกระเกษตร ส�ำนักงานกองทุนสงเคราะห์การท�ำสวนยาง. (2549). และสหกรณ์. (2553). ข้อมูลการผลิต การปลูกยางพารา. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงาน สินค้าการเกษตร. กรุงเทพฯ: ส�ำนักงาน กองทุน สังเคราะห์การท�ำสวนยาง เศรษฐกิจการเกษตร. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 198 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” บทความวิจัย การพัฒนาบทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�านองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้าง ทักษะการอ่านโน้ตส�าหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา DEVELOPMENT OF MUSIC NOTE SINGING LESSON WITH FOLK SONG MELODY TO IMPLEMENTING MUSIC NOTE READING SKILLS FOR MUSIC EDUCATION STUDENTS ธิติ ปัญญาอินทร์ Thiti Panya-in สาขาวิชาดนตรีศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ [email protected]

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�านองเพลงพื้นบ้านเพื่อ เสริม สร้างทักษะการอ่านโน้ตส�าหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะ การอ่านโน้ตด้วยบทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�านองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ตส�าหรับ นักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา และ 3) ประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทฝึกการขับร้องโน้ต ด้วยท�านองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ตส�าหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา ประชากร และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา ชั้นปีที่ 1 หมู่ 3 (ดนตรีไทย) ที่ ได้จากการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จ�านวน 20 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ บทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�านองเพลงพื้นบ้าน แบบประเมินทักษะ การอ่านโน้ตและแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าความถี่ร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเปรียบเทียบ t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า บทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�านองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่าน โน้ตส�าหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา มี 6 บทฝึก โดยเน้นพัฒนาทักษะการอ่านโน้ตจากการร้องโน้ต มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับลักษณะการเรียนรู้และความต้องการของผู้เรียน ผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะอ่าน โน้ตของนักศึกษากลุ่มทดลองที่ใช้บทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�านองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการ อ่านโน้ตและ กลุ่มควบคุม แตกต่างกันอย่างมีนัยส�าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นักศึกษามีความพึงพอใจต่อ บทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�านองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ตพบว่าอยู่ในระดับมากโดย มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.16 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.59 ค�าส�าคัญ: การขับร้องโน้ต ท�านองเพลงพื้นบ้าน ทักษะการอ่านโน้ต Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 199 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ABSTRACT This research aims: 1) to develop music note singing lesson with folk music melody to enhance the note reading skills for music education students, 2) to study achievement of music note reading skills by using music note singing lesson with folk music melody to enhance the music note reading skills for music education students, and 3) to evaluate the satisfaction of students toward music note singing lesson with folk music melody to enhance the music note reading skills for music education students. This study conducted with an experimental research by static group comparison design method. The sample was a group of the first year 20 music education students (Group 3 of Thai music education students) by purposive sampling and then divided into two groups, 10 people per group. Tools of this study were music note singing lesson by using folk music, assessment of music note reading skills and assessment of satisfaction. This research conducted with percentage, mean, standard deviation, independent-samples t-test and content analysis. The result of this research was found that: The music note singing lesson with folk music melody to enhance the music note reading skills for music education students, there were 6 exercises and focusing on sight-reading from note singing lesson, all exercises were suitable for learning and students’ demand. The music note reading skills achievement of the sample after using music note singing lesson with folk music melody to enhance the music note reading skills between the sample and controllers group statistically significant level.01. The satisfaction of students toward music note singing lesson with folk music melody to enhance the sight-reading skills for music education students was shown at a very good level, on the average 4.16 and standard deviation 0.59. Keywords: music note singing lesson, folk music melody, music note reading skills

บทน�ำ ภาคทฤษฎีเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาดนตรีที่มี การจัดการศึกษาในปัจจุบันมีการจัดให้ ความส�ำคัญเป็นส่วนเชื่อมสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการ ดนตรีเป็นวิชาหนึ่งที่ผู้เรียนจะต้องได้เรียนในทุก ปฏิบัติดนตรีและการศึกษาดนตรีในด้านต่าง ๆ ซึ่ง ระดับเพื่อให้ผู้เรียนนั้นได้เกิดประสบการณ์ทาง การศึกษาทางด้านดนตรีมีความคล้ายกับการศึกษา ดนตรีเกิดความเข้าใจในการที่จะรับรู้ดนตรีและ ของศาสตร์ด้านอื่น ๆ ที่ต้องมีการเรียนรู้ ฝึกฝน เพื่อ สามารถเลือกสรรผลงานทางดนตรีที่ดีที่พึงเกิด ให้เกิดความรู้ทางดนตรี สามารถรับรู้และเข้าใจ คุณค่าและประโยชน์ต่อตนเองได้ การศึกษารายวิชา ดนตรีได้อย่างแท้จริง ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2541) วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 200 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ได้กล่าวถึงการเรียนดนตรีในระดับอุดมศึกษาว่า ทักษะที่มีความส�ำคัญเป็นส่วนเชื่อมความสัมพันธ์ ผู้เรียนในระดับนี้ต้องการผู้ชี้น�ำที่ดีตลอดจนการ ในด้านทฤษฎีดนตรี การปฏิบัติดนตรี และการ มีส่วนร่วมในประสบการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียน ศึกษาดนตรีในด้านอื่น ๆ ที่จะน�ำไปสู่กระบวนการ สามารถเข้าใจแนวคิดทางดนตรีได้อย่างลึกซึ้ง เรียนรู้ของผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ทั้งในห้องเรียน สามารถเรียนรู้และฝึกทักษะดนตรีอย่างมีความ และนอกห้องเรียน ดังที่ ชูวิทย์ ยุระยง (2535) หมายได้โดยการแนะน�ำของผู้สอน ซึ่งสิ่งที่ขาดมิได้ กล่าวว่าวิชาทฤษฎีดนตรีเป็นอีกวิชาหนึ่งซึ่งถือได้ คือการจัดกิจกรรมดนตรีให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งใน ว่าเป็นพื้นฐานที่ส�ำคัญในการศึกษาดนตรี เพราะ ฐานะผู้สร้างสรรค์ผู้แสดงและผู้ฟัง ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มพูน จะท�ำให้เราสามารถเข้าใจในบทเพลงต่าง ๆ ที่ได้รับ ประสบการณ์ทางดนตรีแก่ผู้เรียนให้มากที่สุด การบันทึกและถ่ายทอดมาเป็นภาษาหรือสัญลักษณ์ The National Association for Music ที่เราเรียกว่าตัวโน้ต และ วิลลี่ เอเปิล (Willi Apel, Education (2001) ได้กล่าวถึงมาตรฐานส�ำหรับ 1926) กล่าวว่า ทฤษฎีดนตรีในปัจจุบันหมายถึง การศึกษาทางดนตรีไว้ดังนี้ มาตรฐานส�ำหรับ ความรู้ทางวิชาการดนตรีส�ำหรับนักดนตรีโดย การศึกษาดนตรีประกอบด้วย ด้านการร้องเพลง เฉพาะทฤษฎีดนตรี ได้แก่ การอ่านอักษรดนตรี การ ทั้งร้องเดี่ยว หรือการร้องเพลงแบบอื่น ๆ ที่มีความ เรียบเรียงเสียงประสาน และการประพันธ์ดนตรี หลากหลายเป็นองค์ประกอบทางดนตรี ด้านการ เป็นต้น ปฏิบัติเครื่องดนตรี ในลักษณะของการแสดงเดี่ยว การเรียนรู้ทางดนตรีทักษะที่มีความส�ำคัญ หรือการแสดงร่วมกับผู้อื่นที่มีความหลากหลาย และจ�ำเป็นอย่างยิ่งต่อการเรียนด้านทฤษฎีดนตรี ทางดนตรี ด้านการด้นท�ำนอง (improvise) การ และปฏิบัติดนตรี คือ ทักษะการอ่านโน้ต การอ่าน แปรท�ำนอง (variations) และประดับตกแต่ง โน้ตดนตรีหรือบทเพลงต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกันกับ ท�ำนอง (ornamentation) ด้านประพันธ์และการ การอ่านหนังสือโดยทั่วไป กล่าวคือ ผู้เรียนหรือ เรียบเรียง ด้านการอ่านและเขียนโน้ต ด้านการฟัง ผู้อ่านต้องจดจ�ำสัญลักษณ์ หรือพยัญชนะเบื้องต้น การวิเคราะห์ และการบรรยายทางดนตรี ด้านการ ที่ใช้แทนเสียง เช่น ก ถึง ฮ หรือสระต่าง ๆ แล้ว ประเมินดนตรี และแสดงดนตรี มีความเข้าใจถึง จึงน�ำสิ่งเหล่านั้นมารวมกันแล้วสะกดเป็นค�ำ ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีกับศิลปะแขนงอื่น ๆ จึงจะมีความหมายที่เราสามารถใช้เขียนเป็นการ และมีความเข้าใจในความเกี่ยวข้องของดนตรีกับ แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ และเป็นการ ประวัติศาสตร์ดนตรีกับศิลปะแขนงอื่น ๆ ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ในทางดนตรีก็เช่นกัน ความคิด จากความส�ำคัญของการศึกษาด้านดนตรี ของผู้ประพันธ์เพลงที่แต่งเพลงออกมาจะถูกบันทึก สามารถกล่าวได้ว่า ความรู้เกี่ยวกับทฤษฏีดนตรีเป็น ไว้ด้วยตัวโน้ตเพื่อให้นักดนตรีได้เล่น และถ่ายทอด สิ่งที่มีความส�ำคัญต่อผู้เรียนดนตรีอย่างยิ่ง เพราะ อารมณ์ออกมาให้ผู้ฟังได้ โดยที่นักดนตรีผู้นั้น การเรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีดนตรีจะท�ำให้ผู้เรียนได้ ไม่เคยรู้จักมาก่อนได้ ตัวโน้ตที่ใช้บันทึกในลักษณะ เรียนรู้เพื่อใช้เป็นความรู้พื้นฐานในการเรียนวิชา ต่าง ๆ นั้นจะกลายเป็นภาษาของผู้ฟังที่สามารถ ดนตรีในขั้นที่สูงต่อไป ทั้งนี้ ทักษะการอ่านโน้ตเป็น รับรู้ได้ ทั้งนี้ จากประสบการณ์ของผู้วิจัยที่ได้ท�ำ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 201 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

หน้าที่ผู้สอนดนตรีมาในระยะเวลา 15 ปี พบว่า 2. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะการ บทฝึกทางดนตรีที่ใช้การพัฒนาทักษะการอ่านโน้ต อ่านโน้ตโดยใช้บทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนอง ส�ำหรับผู้เรียนนั้น มักใช้บทฝึกตามรูปแบบของปกติ เพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ต ทั่วไปที่พัฒนาจากท�ำนองเพลงของตะวันตกเป็น ส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา ส่วนใหญ่ ซึ่งอาจจะเป็นท�ำนองที่ผู้เรียนไม่มีความ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่ คุ้นเคย มีต่อการใช้บทฝึกทักษะการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนอง หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาดนตรี เพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ต ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ได้ก�ำหนดให้ ส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา นักศึกษาได้ฝึกทักษะในการขับร้องประสานเสียง ซึ่งผู้เรียนจะต้องมีทักษะในการอ่านโน้ตและขับร้อง ระเบียบวิธีวิจัย โน้ตได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้การอ่านโน้ตและขับร้องโน้ต การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยในลักษณะการ มักจะเป็นอุปสรรคในการเรียนที่เรียนของนักศึกษา วิจัยเชิงทดลอง ที่มีความถนัดทางด้านดนตรีไทย ซึ่งในการเรียน ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษา ด้านดนตรีไทยไม่เน้นการอ่านโน้ตแต่จะเน้นการใช้ สาขาวิชาดนตรีศึกษา ชั้นปีที่ 1 หมู่ 3 (ดนตรีไทย) ที่ การจ�ำในการเรียนเพลงจากผู้สอน (อุทัย ศาสตรา, ได้จากการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จ�ำนวน 2553) 20 คน โดยเกณฑ์ในการคัดเลือกจากนักศึกษาที่ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเห็นว่า การด�ำเนินการ อ่านโน้ตไม่ได้ จ�ำนวน 20 คน หลังจากคัดเลือก ศึกษาการพัฒนาบทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนอง กลุ่มตัวอย่างต่อมาท�ำการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เพลงพื้นบ้าน เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ต เพื่อท�ำการแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่ม ส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษาจะเป็นการ ทดลองกลุ่มละ 10 คน สร้างพื้นฐานทางดนตรีที่เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ให้ความส�ำคัญกับพัฒนาทักษะการอ่านโน้ตเพื่อใช้ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการ เป็นพื้นฐานในการพัฒนาตนเอง และท�ำให้ผู้เรียน เก็บรวบรวมข้อมูลดังนี้ เห็นความส�ำคัญของเพลงพื้นบ้านซึ่งเป็นเอกลักษณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ บทฝึก และวัฒนธรรมของชาติ ทักษะการขับร้องด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้าน เพื่อเสริม สร้างทักษะการอ่านโน้ต บทฝึกมีทั้งหมด 6 บทฝึก วัตถุประสงค์ของการวิจัย ซึ่งเป็นบทฝึกที่เน้นพัฒนาทักษะการอ่านโน้ตจาก 1. เพื่อพัฒนาบทฝึกทักษะการขับร้องโน้ต การขับร้องโน้ต โดยมีขั้นตอนการพัฒนาบทฝึก ดังนี้ ด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้านด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้าน ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรียมการ ศึกษาเอกสาร เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ตส�ำหรับนักศึกษา แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างบทฝึก สาขาวิชาดนตรีศึกษา ศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับทักษะการขับร้องโน้ตและ ทักษะการอ่านโน้ต การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ใน วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 202 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

การสอนดนตรี และศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยใช้ค่ากลางระหว่างคะแนน 0–3 แบ่งเป็น 4 ช่วง ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาบทฝึกทักษะดนตรี ใน คือ ดีเยี่ยม (2.50–3.00) ดี (1.50–2.49) ปรับปรุง การก�ำหนดรูปแบบขอบเขตเนื้อหาสาระเพื่อมา (0.50–1.49) และไม่ผ่าน (0–0.49) ก�ำหนดเนื้อหาสาระในบทฝึกทักษะการขับร้องด้วย แบบสอบถามความพึงพอใจของ ท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่าน นักศึกษาที่มีบทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนองเพลง โน้ต พื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ตที่ผู้วิจัย ขั้นตอนที่ 3 คัดเลือกท�ำนองบทเพลง พัฒนาขึ้น โดยก�ำหนดเกณฑ์ค่าคะแนนเป็นแบบ ท�ำนองเพลงพื้นบ้านส�ำเนียงอีสาน ที่มีความ ประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งใช้ประเมิน 3 ด้าน คือ เหมาะสมกับนักศึกษา จ�ำนวน 1 เพลง โดยน�ำมา 1) เนื้อหาสาระของบทฝึก 2) ตัวโน้ตและสัญลักษณ์ ใช้มีการวิเคราะห์เนื้อหาขอบเขตในบทฝึกโดยมี ทางดนตรี 3) เวลาในการฝึก หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกเพลง ดังนี้ 1) บทเพลง การเก็บรวบรวมข้อมูล ในการเก็บรวบรวม ที่มีความคุ้นเคย 2) ช่วงเสียงไม่กว้างมากจนเกินไป ข้อมูลผู้วิจัยได้ด�ำเนินการประกอบด้วย 3 ขั้นตอน 3) ลีลาจังหวะไม่ซับซ้อน คือ ก่อนการทดลองระหว่างการทดลองและหลัง ขั้นตอนที่ 4 น�ำท�ำนองเพลงพื้นบ้านที่เลือก การทดลอง รวมระยะเวลา 8 สัปดาห์ มีรายละเอียด มาวิเคราะห์โครงสร้างดนตรี และน�ำมาพัฒนาเป็น ดังต่อไปนี้ บทฝึกทักษะการอ่านโน้ต ขั้นตอนที่ 1 ก่อนการทดลอง ขั้นตอนที่ 5 น�ำบทฝึกทักษะการอ่านโน้ต 1) น�ำผู้เรียนทั้ง 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลอง ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ตรวจสอบความเหมาะสมด้าน และกลุ่มควบคุม ท�ำการประเมินด้านทักษะการอ่าน เนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการศึกษา โน้ตก่อนการทดลอง ขั้นตอนที่ 6 ปรับปรุงและแก้ไขบทฝึกตาม 2) ด�ำเนินการฝึกกลุ่มทดลองและกลุ่ม ค�ำแนะน�ำของผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน โดยผู้เชี่ยวชาญได้ ควบคุมแบบกลุ่มโดยใช้บทฝึกทักษะการขับร้องด้วย ประเมินคุณภาพของบทฝึก ท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่าน ขั้นตอนที่ 7 ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องใน โน้ต ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น รวมทั้งหมด 6 บทฝึก ใน 1 บทฝึกทักษะการอ่านโน้ต ให้เหมาะสมกับผู้เรียน บทฝึก ใช้เวลา 30 นาที ในเวลา 8 สัปดาห์ ก่อนการ มากขึ้นเพื่อน�ำไปใช้ในการทดลอง เรียนในรายขับร้องประสานเสียง เก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการบันทึกปัญหาไว้ทุกบทฝึก ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 2 ระหว่างการทดลองทั้ง 6 บท แบบประเมินทักษะการอ่านโน้ตก่อนและ ฝึก ผู้วิจัยใช้แบบประเมินทักษะเพื่อประเมินทักษะ หลังการทดลอง ซึ่งใช้ประเมินทักษะการอ่านโน้ต 5 ของผู้เรียนในชั้นเรียนทั้ง 2 กลุ่มทดลองและกลุ่ม ด้าน ดังนี้ 1) จังหวะ 2) ระดับเสียง 3) การออกเสียง ควบคุม 4) ความต่อเนื่อง 5) การปฏิบัติตามเครื่องหมาย ขั้นตอนที่ 3 หลังการทดลองประเมินทักษะ โดยก�ำหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายค่าเฉลี่ย ด้านการอ่านโน้ตและประเมินความพึงพอใจของ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 203 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ผู้เรียนทั้ง 2 กลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าสถิติพื้นฐานประกอบด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเปรียบเทียบ t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา

สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย สรุปผลการวิจัย ส่วนที่หนึ่ง บทฝึกทักษะการขับร้องโน้ต ด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้านด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้าน เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ตส�ำหรับนักศึกษา ภาพที่ 1 โน้ตท�ำนองเพลงเต้ยโขงที่ผู้วิจัยจัดท�ำขึ้น สาขาวิชาดนตรีศึกษา บทฝึกทักษะการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนอง ส่วนที่สอง ผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะการ เพลงพื้นบ้านด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริม อ่านโน้ตโดยการใช้บทฝึกทักษะการขับร้องโน้ตด้วย สร้างทักษะการอ่านโน้ตส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชา ท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่าน ดนตรีศึกษา บทฝึกทั้ง 6 บทฝึก ในแต่ละบทฝึกมี โน้ตส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา ทั้งหมด 5 หัวข้อ โดยมีส่วนของเนื้อหาเป็นส่วนที่ ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผล ผู้เรียนต้องท�ำความเข้าใจก่อนฝึก รวมถึงส่วนของ สัมฤทธิ์ด้านทักษะการอ่านโน้ตระหว่างกลุ่มทดลอง กิจกรรม และกลุ่มควบคุมหลังการทดลองการใช้บทฝึกทักษะ กิจกรรมประกอบจะเป็นการจัดกิจกรรม การขับร้องโน้ตด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริม อย่างมีระบบของผู้สอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะ สร้างทักษะการอ่านโน้ตส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชา ด้านการอ่านโน้ต ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้เลือกท�ำนองเพลง ดนตรีศึกษา พบว่ากลุ่มทดลอง มีค่าเฉลี่ยระดับดี เต้ยโขงมาพัฒนาเป็นบทฝึกขับร้องโน้ต เนื่องจาก ( x =2.37 S.D.=0.15) กลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยระดับดี เป็นท�ำนองเพลงพื้นบ้านที่ผู้เรียนคุ้นเคย ช่วงเสียง ( x = 2.06 S.D.= 0.11) เมื่อเปรียบเทียบทักษะ ไม่กว้าง และลีลาจังหวะไม่ซับซ้อน ซึ่งท�ำนองเพล การอ่านโน้ตพบว่ามีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่ม งเต้ยโขง ซึ่งเป็นท�ำนองเพลงที่อยู่ในบันไดเสียง ทดลองและกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ (Scale) ที่ใช้กลุ่มเสียงหลัก 5 เสียง (Pentatonic ระดับ .01 (t=7.964, P = 0.000) (ตารางที่ 1) scale) เป็นเพลงที่ยืนเสียงส�ำคัญที่ขั้นที่ 6 ของกลุ่ม เสียง C D E G A ในทุกประโยคของเพลงเทียบได้กับ บันไดเสียง (Scale) ของดนตรีตะวันตก คือ บันได เสียง A minor หรือบันไดเสียง C Major ดังภาพที่ 1 วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 204 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ตารางที่ 1 แสดงผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการอ่านโน้ตโดยใช้บทฝึกทักษะ การขับร้องโน้ตด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ต ทักษะการอ่านโน้ต กลุ่มทดลอง n=10 กลุ่มควบคุม n=10 t P x S.D. แปลผล x S.D. แปลผล 1. จังหวะ 2.37 0.49 ดี 2.04 0.20 ดี 2. ระดับเสียง 2.31 0.47 ดี 2.09 0.28 ดี 3. การออกเสียง 2.17 0.38 ดี 2.02 0.15 ดี 4. ความต่อเนื่อง 2.02 0.14 ดี 2.02 0.15 ดี 5. การปฏิบัติตาม 3.00 0.00 เยี่ยม 2.15 0.36 ดี เครื่องหมาย รวม 2.37 0.15 ดี 2.06 0.11 ดี 7.964 0.000

ส่วนที่สาม ความพึงพอใจของนักศึกษา ได้ง่าย ( x =4.59 S.D.=0.50) และมีความเหมาะสม สาขาวิชาดนตรีศึกษา ชั้นปีที่ 1 หมู่ 3 (ดนตรีไทย) ของขั้นตอนในการฝึกปฏิบัติ ( x =4.53 S.D.=0.51) ที่ได้ใช้บทฝึกทักษะการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนองเพลง รองลงมาคือ มีความเหมาะสมของเทคนิคในการ พื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ตส�ำหรับ น�ำเสนอ ( x =4.35 S.D.=0.77) และความ นักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษามีความพึงพอใจ เหมาะสมของเวลาเรียน ( x =4.35 S.D.=0.49) ต่อบทฝึกทักษะการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนองเพลง ตัวโน้ตมีความชัดเจน ( x = 4.29 S.D.=0.52) พื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ต ในภาพ การจัดเนื้อหามีความกระชับพอดีเหมาะสมกับเวลา รวมมีค่าเฉลี่ยในระดับมาก ( x =4.16 S.D. =0.59) ( x =4.29 S.D.=0.58) และมีระบบในการสาธิตการ เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ข้อที่มีค่าเฉลี่ยในระดับ ปฏิบัติ เหมาะสมกับเนื้อหา ( x =4.24 S.D.=0.61) มากที่สุด คือ การจัดล�ำดับเนื้อหาท�ำให้ผู้เรียนเข้าใจ (ตารางที่ 2) Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 205 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ตารางที่ 2 ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อ บทฝึกการขับร้องโน้ต ด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริม สร้างทักษะการอ่านโน้ตส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา S.D. (Std. รายการประเมิน แปลผล (Mean) Deviation) 1. เนื้อหาสาระของบทฝึก 1.1 เนื้อหาถูกต้องตามหลักสูตร 3.71 0.46 มาก 1.2 เนื้อหามีความสอดคล้องกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 3.85 0.44 มาก 1.3 มีการจัดเนื้อหาเป็นไปตามล�ำดับอย่างชัดเจนและถูกต้อง 4.12 0.54 มาก 1.4 เนื้อหาของบทฝึกเหมาะสมกับผู้เรียน 4.24 0.65 มาก 1.5 การจัดล�ำดับเนื้อหาท�ำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย 4.59 0.50 มากที่สุด 1.6 การจัดล�ำดับเนื้อหามีความกระชับพอดีเหมาะสมกับเวลา 4.00 0.85 มาก 1.7 เนื้อหาแต่ละขั้นตอนมีความสอดคล้องและต่อเนื่องกัน 3.88 0.69 มาก 1.8 มีความชัดเจนในการอธิบายเนื้อหา 4.06 0.81 มาก 2. ตัวโน้ตและสัญลักษณ์ทางดนตรี 2.1 ตัวโน้ตมีความชัดเจน 4.29 0.52 มาก 2.2 มีความเหมาะสมของขั้นตอนในการฝึกปฏิบัติ 4.53 0.51 มากที่สุด 2.3 มีความเหมาะสมของเทคนิคในการน�ำเสนอ 4.35 0.77 มาก 2.4 ภาพประกอบการสาธิตดึงดูดความสนใจของผู้เรียน 4.09 0.83 มาก 2.5 มีระบบในการสาธิตการปฏิบัติ เหมาะสมกับเนื้อหา 4.24 0.61 มาก 3. เวลาในการฝึก 3.1 ความเหมาะสมของเวลาเรียน 4.35 0.49 มาก 3.2 ความเหมาะสมของเวลาฝึกด้วยตนเอง 3.97 0.52 มาก 3.3 การจัดเนื้อหามีความกระชับพอดีเหมาะสมกับเวลา 4.29 0.58 มาก รวม 4.16 0.59 มาก วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 206 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

อภิปรายผลการวิจัย 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในภาพรวม 1. บทฝึกการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนองเพลง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใน พื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ตส�ำหรับ ภาพรวมสูงกว่ากลุ่มควบคุม แสดงให้เห็นว่า บทฝึก นักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา มุ่งเน้นให้ผู้เรียน ช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะการอ่านโน้ตใน มีพัฒนาการทักษะการอ่านโน้ตของนักศึกษา ซึ่ง ภาพรวมให้กับผู้เรียนได้มาก เมื่อเปรียบเทียบกับ ทักษะการอ่านโน้ต ผ่านการขับร้องโน้ต ซึ่งผู้วิจัย บทฝึกแบบปกติของกลุ่มควบคุม เนื่องจากบทฝึก ได้เลือกท�ำนองเพลงเต้ยโขง เนื่องจากเป็นท�ำนอง ของกลุ่มทดลอง มีการเน้นให้ผู้เรียนได้ฝึกระบบ เพลงพื้นบ้านที่ผู้เรียนคุ้นเคย ช่วงเสียงไม่กว้างมาก ความคิดและได้ท�ำกิจกรรมในการฟัง การร้อง การ จนเกินไป และลีลาจังหวะไม่ซับซ้อนสอดคล้องกับ อ่าน ตลอดจนทักษะการปฏิบัติ เมื่อเปรียบเทียบ แนวคิดของโคดาย ดังที่ ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2555) กับบทฝึกของกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้มีการใช้ท�ำนอง กล่าวว่า หลักการของโคดายเน้นการร้องเพลงเป็น เพลงพื้นบ้านท�ำให้การเชื่อม โยงในการเรียนรู้ ส�ำคัญ (Zoltan Kodaly, 1882 - 1967) จาก ไม่มีหลากหลายเท่ากับกลุ่มควบคุมทั้งนี้จึงอาจส่ง จุดเริ่มต้นนี้เอง ท�ำให้โคดายเริ่มคิดวิธีการสอนเพื่อ ผลต่อการเรียนในภาพรวมตามล�ำดับและทักษะ พัฒนาความรู้ความ สามารถทางดนตรีของเด็ก โดย ในการอ่านเพลงในทันที (Sight reading) ซึ่งมี ใช้การร้องเป็นกิจกรรมส�ำคัญในเบื้องต้น โคดาย ความสอด คล้องกับแนวคิดของดาลโครช (Emile พัฒนาหลักการสอนดนตรีขึ้นโดยมีรายละเอียด Jaques Dalcrouze, 1865–1950) ดังที่ ณรุทธ์ อย่างมาก ซึ่งเน้นการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน มีการ สุทธจิตต์ (2555) ได้กล่าวเกี่ยวกับแนวคิดของ จัดล�ำดับเนื้อหาดนตรีจากง่ายไปยากโดยใช้บริบท ดาลโครชว่า การได้ยินเสียงดนตรี หมายถึง การ ทางสังคมดนตรีเป็นพื้นฐาน ท�ำให้โคดายเน้นการ รับรู้เกี่ยวกับเสียงภายในสมองและจิตการอ่านโน้ต ใช้เพลงพื้นบ้านเป็นวรรณกรรมส�ำคัญ ทั้งนี้ การ เพลงในทันที (Sight reading) เป็นผลรวมของการ อ่านโน้ตในการเรียนดนตรี ผู้เรียนควรมีเสียงในหัว รับรู้ทางด้านเสียงภายในสมองและจิตของผู้เรียน เมื่อเห็นโน้ตและสามารถนึกจังหวะจากการเห็นโน้ต เมื่อพิจารณาผลในรายข้อพบว่า การปฏิบัติตาม ดนตรีได้อย่างเป็นรูปธรรมจากการใช้สัญลักษณ์และ เครื่องหมายของกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รอง การออกเสียง ทักษะการอ่านโน้ตจึงเป็นเป้าหมาย ลงมาคือจังหวะระดับเสียง ส่วนกลุ่มควบคุมมีค่า เบื้องต้นในระบบของโคดายที่จะต้องมาก่อนการ เฉลี่ยสูงสุดคือการปฏิบัติตามเครื่องหมาย รองลง เรียนดนตรีขั้นอื่น ๆ ในหลักสูตรการศึกษา (ณรุทธ์ มา คือ ระดับเสียง จังหวะ เมื่อเปรียบเทียบทักษะ สุทธจิตต์, 2541, ธวัชชัย นาควงษ์, 2544) ทักษะ การอ่านโน้ตพบว่ามีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่ม ด้านการอ่านโน้ตเป็นพื้นฐานทักษะส�ำคัญที่ผู้เรียน ทดลองและกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ควรได้รับการพัฒนา เพราะจะท�ำให้ผู้เรียนสามารถ เนื่องมาจาก 1) บทฝึกทักษะการขับร้องด้วยท�ำนอง ฝึกบทเพลงได้ด้วยตนเองจากการอ่านโน้ต (วิภาพร เพลงพื้นบ้านและแบบปกติ อาจมีความแตกต่าง อ�ำไพพิทักษ์วงศ์, 2552) กันในเชิงหลักการ วิธีการสอนเทคนิค แต่ท้ายสุด Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 207 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

แล้วหนึ่งในจุดประสงค์ของการสอนทั้งสองวิธี คือ ของนงจิตร แก้วไชย (2547) ที่ได้ศึกษาผลของการใช้ ผู้เรียนจะต้องมีทักษะการอ่านโน้ต 2) หลังจาก กิจกรรมดนตรีตามแนวคิดของโคดายที่มีต่อทักษะ การฝึกในการเรียนขับร้องประสานเสียงแต่ละครั้ง ทางดนตรีการร้องของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ผู้เรียนทั้ง 2 กลุ่ม ได้มีการทบทวนบทเรียนร่วมกัน พบว่า การใช้กิจกรรมดนตรีตามแนวคิดของโคดาย กับผู้สอน ท�ำให้ผู้เรียนได้ทบทวนและมีความเข้าใจ ท�ำให้นักเรียนมีทักษะทางดนตรีการร้องมากขึ้นกว่า ในการอ่านโน้ตมากขึ้น 3) ความถูกต้องของจังหวะ นักเรียนที่ได้รับการให้ข้อสนเทศ อย่างมีนัยส�ำคัญ ที่ไม่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากวิธีการฝึกในเรื่อง ทางสถิติที่ระดับ .01 จังหวะของทั้งสองกลุ่มได้ให้ความส�ำคัญในเรื่องของ 3. ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการ จังหวะก่อนการอ่านโน้ต โดยสร้างความ คุ้นเคยกับ ใช้บทฝึกทักษะการขับร้องโน้ต ด้วยท�ำนองเพลง จังหวะ โดยการร้องโน้ตในท�ำนองที่ซ�้ำเดิม หลังจาก พื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ตส�ำหรับ นั้นกระบวนการของทักษะการอ่านโน้ตจะเพิ่มขึ้น นักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา โดยรวมพบว่า ตามมา ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ โคดาย ดังที่ มีความพึงพอใจต่อบทฝึกทักษะการขับร้องด้วย ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2543) กล่าวว่าระบบการสอนของ ท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่าน โคดายเน้นทักษะทางดนตรีด้านการร้องเป็นหลักซึ่ง โน้ตในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยในระดับมาก ( x =4.16 หัวใจส�ำคัญของการเข้าถึงทักษะทางดนตรีด้านอื่น ๆ S.D.=0.59) ซึ่งผลเป็นเช่นนี้อาจเนื่องมาจากบทฝึก ซึ่งรวมไปถึงการอ่านโน้ตด้วย วิธีการของโคดายที่ ทักษะการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนองเพลงพื้นบ้านมีการ ใช้ในการสอนจึงมุ่งส่งเสริมในทักษะทางดนตรีเรื่อง จัดเรียง ล�ำดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก ผู้เรียนสามารถ การร้องและการอ่าน ประเมินทักษะการอ่านโน้ตด้วยตนเองได้ รวมทั้ง จากผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะการอ่าน การเลือกใช้ท�ำนองเพลงพื้นบ้านที่ผู้เรียนคุ้นเคย โน้ตดังกล่าวได้สอดคล้องกับงานวิจัยของพงษ์ลดา ช่วงเสียงไม่กว้างมากจนเกินไปและลีลาจังหวะ นาควิเชียร (2537) พบว่า ผู้เรียน กลุ่มที่สอนตาม ไม่ซับซ้อน ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการสอนของโคดาย แนวคิดของโคดายมีคะแนนทักษะการร้องและ ดังที่ ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2555) กล่าวว่า วิธีการ ทักษะการอ่านโน้ตสูงกว่ากลุ่มที่สอนตามแนวคิด ของโคดายเน้นการร้องเพลงเป็นหลัก วิธีการของ ของเบอร์เกตันและบอร์ดแมนอย่างมีนัยส�ำคัญทาง โคดายจึงมีลักษณะเป็นระบบระเบียบเป็นขั้นตอน สถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับงานวิจัยของวราพร มิฉะนั้นเด็กจะไม่สามารถร้องเพลงได้ถ้าน�ำเพลง ธิกุลชร (2549) ที่ได้ศึกษาผลการใช้กิจกรรมดนตรี ที่ยากเกินไปกว่าความ สามารถของเด็กจะร้องได้ ตามแนวคิดของโคดายที่มีต่อทักษะทางดนตรี การ มาใช้ วิธีการนี้เริ่มด้วยแนวคิดที่ง่ายและไม่ซับซ้อน อ่านโน้ตของนักเรียนมัธยม ศึกษาปีที่ 6 พบว่า ก่อนในระยะต่อมาแนวคิดที่ยากขึ้นและซับซ้อน นักเรียนได้รับการใช้กิจกรรมดนตรีตามแนวคิดของ มากขึ้นจึงเข้ามีบทบาทและสอดคล้องกับผลการ โคดายมีทักษะทางดนตรีการอ่านโน้ตมากขึ้นกว่า วิจัยของพัฒนพงศ์ บรรณการ (2552) ที่ได้ท�ำการ นักเรียนที่ได้รับการให้ข้อสนเทศ อย่างมีนัยส�ำคัญ วิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบฝึก เรื่องการเป่าขลุ่ยไทย ทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับผลงานวิจัย ส�ำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งผลการวิจัย วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 208 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

พบว่านักเรียนมีความสนใจกระตือรือร้นในการเรียน ข้อเสนอแนะในการท�ำวิจัยครั้งต่อไป สามารถท�ำแบบฝึกได้ถูกต้อง นักเรียนมีผลการเรียน 1. ควรมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนา รู้ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 บทฝึกเครื่องดนตรีด้วยน�ำท�ำนองเพลงพื้นบ้าน หลังการเรียนนักเรียนมีความสามารถในการเป่าขลุ่ย ส�ำหรับการปฏิบัติเครื่องดนตรี เพื่อหาแนวทางใน ไทยในระดับสูง การส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน ได้อย่างเหมาะสม ข้อเสนอแนะ 2. ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับการจัดกิจกรรม ข้อเสนอแนะในการน�ำผลการวิจัยไปใช้ การเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านโน้ตด้วยวิธีการ 1. บทฝึกทักษะการขับร้องโน้ต ด้วย อื่น ๆ ท�ำนองเพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่าน โน้ตส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา เป็นบท เอกสารอ้างอิง ฝึกที่ใช้ในการวิจัยที่ด�ำเนินการทดลองกับนักศึกษา ชูวิทย์ ยุระยง. (2535). การสอนทฤษฎีดนตรี ที่มีพื้นฐานทางด้านดนตรีน้อย ซึ่งหากน�ำไปศึกษา สากล. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ กับผู้เรียนที่มีความพร้อมด้านพื้นฐานทางดนตรี อาจ มหาวิทยาลัย. เห็นผลที่แตกต่างกันออกไป ณรุทธ์ สุทธจิตต์. (2541). จิตวิทยาการสอน 2. บทฝึกที่พัฒนาขึ้นผู้วิจัยได้ท�ำความ ดนตรี. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ เข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของผู้เรียน พัฒนาการของ มหาวิทยาลัย. ผู้เรียน ลักษณะการเรียนรู้ เพื่อได้รู้และเข้าใจถึง ณรุทธ์ สุทธจิตต์. (2543). สาระดนตรี : แนวคิดสู่ ลักษณะและความต้องการของผู้เรียนในการน�ำ ปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการฝึกทักษะการอ่าน มหาวิทยาลัย. โน้ตหรือปรับกิจกรรมให้มีความเหมาะสมกับความ ณรุทธ์ สุทธจิตต์. (2555). ดนตรีศึกษา: หลักการ ต้องการของผู้เรียนและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสาระส�ำคัญ. พิมพ์ครั้งที่9. กรุงเทพฯ: 3. บทฝึกทักษะการขับร้องโน้ตด้วยท�ำนอง ส�ำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เพลงพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านโน้ต ส�ำหรับนักศึกษาสาขาวิชาดนตรีศึกษา สามารถใช้ ณัชชา โสคติยานุรักษ์. (2542). ทฤษฎีดนตรี. เป็นแนวทางพัฒนาบทฝึกทางดนตรีในด้านทักษะ กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ อื่น ๆ ได้ โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความ มหาวิทยาลัย. เหมาะสม ทั้งนี้บทเพลงที่น�ำมาใช้อาจเป็นบทเพลง ธวัชชัย นาควงษ์. (2544). โคไดสู่การปฏิบัติ. เดิมหรือบทเพลงที่หลากหลายแต่ควรจัดให้มีความ กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย สอดคล้องกันระหว่างบทเพลงและเนื้อหาสาระ เกษตรศาสตร์. ดนตรีที่ผู้เรียนควรได้รับครบถ้วน Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 209 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

พัฒนพงศ์ บรรณการ. (2552). การพัฒนาบทฝึก วิภาพร อ�ำไพพิทักษ์วงศ์. (2552). สื่อการสอนดนตรี เรื่อง การเปล่าขลุ่ยไทยส�ำหรับ นักศึกษา ชนิดเกมกระดานแนวคิดเกมเศรษฐีเพื่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ สอนอ่านโน้ตของนักเรียนเปียโนชั้นต้น. ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (หลักสูตรและ วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชา การนิเทศ) มหาวิทยาลัยศิลปากร. ดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัย พงษ์ลดา นาควิเชียร. (2537). ผลสัมฤทธิ์ในการ มหิดล. เรียนดนตรีสากลขั้นพื้นฐานตามแนวคิด อุทัย ศาสตรา. (2553). การศึกษากระบวนการ ของโคดายของนักเรียนชั้นประถม ถ่ายทอดการบรรเลงระนาดเอกของ ศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์ ครูประสิทธิ์ ถาวร ศิลปินแห่งชาติ. มหาวิทยาลัยฝ่ายประถม. วิทยานิพนธ์ วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต ปริญญามหาบัณฑิตสาขาวิชาประถมศึกษา สาขาวิชาดนตรีศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นงจิตร แก้วไชย. (2547). ผลของการใช้กิจกรรม Apel Willi. (1926) The Havard Briefs ดนตรีตามแนวคิดของโคดายที่มีต่อ Dictionary o Music. New York: ทักษะทางดนตรีการร้องของนักเรียน Washington Square Press. มัธยมศึกษา ปีที่ 6. ปริญญานิพนธ์ The National Association for Music Education. การศึกษามหาบัณฑิต (การมัธยมศึกษา) (2001). National Standards for มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. Music Education. Retrieve From : ภัทรภร ผลิตากุล. (2552). การพัฒนากิจกรรมการ http://www.menc.org/Publication/ เรียนรู้เปียโนตามแนวคิดการเรียนรู้โดย books/standards Html. ใช้สมองเป็นฐานส�ำหรับเด็กอายุ 9-11 ปี. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขา วิชาดนตรีศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วราพร ธิกุลชร. (2549). ผลของการใช้กิจกรรม ดนตรีตามแนวคิดของโคดายที่มีต่อ ทักษะทางดนตรีการอ่านโน้ตของนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 6. ปริญญานิพนธ์การ ศึกษามหาบัณฑิต (การมัธยมศึกษา) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 210 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔” บทความวิจัย แนวทางการแก้ไขปัญหาไม้สยาขึ้นราในกระบวนการจัดเก็บ SOLUTION OF SAYA WOOD MOLD IN STORAGE PROCESS จุฑามาศ พรหมมนตรี1* บุตรี บุญโรจน์พงศ์2 และ จารุวรรณี ไชยพรรณ3 Jutamas Prommontree1* , Boottree Boonrotepong2 and Jaruwannee Chaiyaphan3 สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่1*,2 สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช3 [email protected]*

บทคัดย่อ งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อวิเคราะห์สาเหตุไม้สยาขึ้นรา (2) เพื่อปรับปรุงกระบวนการ ท�างานและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา ผลการศึกษา พบว่า ไม้สยามีเปอร์เซ็นต์ปัญหาขึ้นรามากที่สุด จากการวิเคราะห์หาสาเหตุซึ่งใช้การระดมสมองผ่านแผนภาพก้างปลา พบมี 4 สาเหตุหลักจากทั้งหมด 9 สาเหตุ คือ 1) กิจการด�าเนินงานในรูปสัญญาเช่าพื้นที่ 2) บริษัทมีพื้นที่จ�ากัด 3) บริษัทไม่มีการส�ารองไม้ เพื่อรอจ�าหน่าย 4) น�าไม้ลงจากรถบรรทุกขณะฝนตก ตามล�าดับ ทั้งนี้ได้ท�าการเสนอแนวทางปรับปรุงการ ท�างานและแนวทางการแก้ไขปัญหา ค�าส�าคัญ: รา ไม้สยา กระบวนการจัดเก็บ

ABSTRACT The purposes of this research were (1) to analyze the causes of Saya wood mold, and (2) to improve the working process and suggest the problem solutions. The results of study found that the Saya wood was the most possibility to be moldy. The analysis of the causes of the brainstorming via fishbone diagram. found that the four followings, i.e., 1) Space lease, 2) The Space restrictions 3) There are not inventory for selling, and 4) The moving salaya wood while raining, are the course of problems. There fore, the proposed guidelines to improve the functionality and solutions. Keywords: mold, Saya wood, storage process Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 211 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

บทน�ำ จากการศึกษาข้อมูลไม้แปรรูปที่จัดเก็บอยู่ สภาวะปัจจุบันการแข่งขันทางธุรกิจภายใน ในคลังสินค้าพบว่า ผู้ประกอบการประสบปัญหา ประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการธุรกิจ ไม้สยาขึ้นราจ�ำนวนมาก ท�ำให้บริษัทต้องสูญเสีย ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ รายได้จากการจ�ำหน่ายไม้สยา โดยไม้สยาที่ขึ้นราจะ ย่อมต้องสร้างหนทางหรือวิธีการในการที่จะอยู่ จ�ำหน่ายได้ในราคาที่ต�่ำกว่าปกติเป็นปัญหาส�ำคัญที่ รอดในธุรกิจ ดังนั้นการด�ำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้นใน ควรได้รับการแก้ไขเร่งด่วน ส่วนของการบริหารจัดการการผลิตและการควบคุม ด้วยเหตุนี้จึงเลือกท�ำการศึกษาเพื่อหา คุณภาพเป็นหลักจึงมีส่วนช่วยในการลดต้นทุน แนวทางการลดปัญหาไม้สยาขึ้นราของ ห้างหุ้นส่วน และเพิ่มผลผลิตท�ำให้เกิดผลก�ำไรที่มีมูลค่าสูงสุด จ�ำกัด หาดใหญ่สตาร์เฟอร์นิชิงค์ โดยน�ำเครื่องมือ นอกจากนั้นยังสามารถแข่งขันกับธุรกิจประเภท คุณภาพ 7 ชนิด (7 QC Tools) เข้ามาใช้ในการ เดียวกันได้ และที่ส�ำคัญที่สุดคือ สามารถสร้าง ค้นหาสาเหตุไม้ สยาขึ้นราและปรับปรุงกระบวนการ ความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วย ส�ำหรับในการ ท�ำงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ปรับปรุงคุณภาพการผลิตจะสามารถลดปริมาณของ เสียได้ เช่นเดียวกับรัฐพงษ์ ละเลิศ (2557) พีรพัฒน์ วัตถุประสงค์ของการวิจัย บัวทอง และไพโรจน์ พิภพเอกสิทธิ์ (2557) วีระเทพ 1. เพื่อวิเคราะห์สาเหตุปัญหาไม้สยาขึ้นรา ไตรรงค์รัตน์ (2557) และอดิศร แสงฉาย (2555) ได้ 2. เพื่อปรับปรุงกระบวนการท�ำงานและ ท�ำการศึกษาเพื่อลดจ�ำนวนของเสียในกระบวนการ เสนอแนวทางแก้ไขปัญหา ผลิตโดยใช้หลักการพาเรโตในการจ�ำแนกล�ำดับ ความส�ำคัญของปัญหาแล้วท�ำการค้นหาต้นเหตุของ ขอบเขตของการวิจัย ปัญหาด้วยแผนภาพแสดงเหตุและผล ผลจากการ ศึกษากระบวนการท�ำงานตั้งแต่การขนส่ง วิเคราะห์และปรับปรุงแก้ไขท�ำให้ปัญหาลดลง จนกระทั่งรอส่งมอบไม้แปรรูปให้ลูกค้าของห้างหุ้น ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด หาดใหญ่สตาร์ ส่วนจ�ำกัด หาดใหญ่สตาร์เฟอร์นิชิ่งค์ เก็บรวบรวม เฟอร์นิชิงค์ เป็นผู้จ�ำหน่ายไม้แปรรูป ไม้สยา ข้อมูลปัญหาไม้แปรรูปในคลังสินค้าตั้งแต่วันที่ 2 ไม้กาเปอร์ ไม้เสียดช่อ ไม้จ๋อย และไม้อัด มกราคม ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2558 เพื่อน�ำมา นอกจากนี้ยังรับท�ำบานประตู-หน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ วิเคราะห์หาสาเหตุต่าง ๆ ที่ท�ำให้ไม้สยาขึ้นราด้วย บริษัทได้น�ำเข้าไม้แปรรูปทั้งหมดมาจากประเทศ แผนผังสาเหตุและผล รวบรวมและจัดล�ำดับความ มาเลเซียโดยไม้แปรรูปทั้งหมดที่บริษัทรับมาใช้ ส�ำคัญของสาเหตุด้วยแผนผังพาเรโตเพื่อเสนอ การขนส่งทางรถบรรทุกผ่านทางด่านศุลกากร แนวทางการแก้ไข อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 212 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

กรอบแนวคิดของการวิจัย

ศึกษากระบวนการผลิตตั้งแต่ขนส่ง สาเหตุของการเกิดข้อบกพร่อง จนกระทั่งรอส่งมอบให้ลูกค้า (แผนผังสาเหตุและผล) - การขนส่ง - รับ ตรวจสอบ - จัดเก็บวัตถุดิบ - รวบรวมและประมวลข้อมูล เพื่อจัดล�ำดับความส�ำคัญของ สาเหตุด้วยวิธีแผนผังพาเรโต - แนวทางการแก้ไขปัญหาและ ข้อเสนอแนะ

ระเบียบวิธีวิจัย 4. จัดล�ำดับความส�ำคัญสาเหตุปัญหาโดย 1. ศึกษารวบรวมข้อมูลเบื้องต้น ตรวจ ใช้แผนผังพาเรโตและแบบสอบถามจากผู้ที่เกี่ยวข้อง สอบเอกสารที่เกี่ยวข้องรวมทั้งทฤษฏีและงานวิจัย ในการให้คะแนนความถี่สาเหตุของปัญหา ที่เกี่ยวข้อง 5. สรุปรายละเอียดลักษณะของปัญหา 2. ศึกษากระบวนการท�ำงานผ่านแผนภูมิ สาเหตุของปัญหาและแนวทางการแก้ไข การไหลตั้งแต่ขั้นตอนการขนส่งไม้แปรรูปจนกระทั่ง 5.1 เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ถึงขั้นตอนการส่งมอบสินค้าให้ลูกค้า เพื่อศึกษา 5.1.1 แผนผังแสดงเหตุและผล สภาพปัญหาเบื้องต้น เตรียมการวิเคราะห์สาเหตุ (อดิศร แสงฉาย, 2555) ใช้ในการค้นหาสาเหตุของ ของปัญหาโดยแผนผังสาเหตุและผลต่อไป ปัญหาด้วยการก�ำหนดกลุ่มปัจจัยเพื่อน�ำไปสู่การ 3. วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาโดยใช้ แยกแยะสาเหตุต่าง ๆ 4 M 1 E คือ M-Machine แผนผังสาเหตุและผล ด้านเครื่องจักร M-Man ด้านบุคคล M-Material จากการศึกษากระบวนการท�ำงานและ ด้านวัตถุดิบ M-Method ด้านวิธีการท�ำงาน และ สภาพปัญหาเบื้องต้นน�ำมาประกอบการพิจารณา E-Environment สภาพแวดล้อม โดยใช้หลักการ เพื่อเขียนแผนผังเหตุและผล ในการค้นหาสาเหตุ ระดมสมองจากตัวแทนแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ของแต่ละปัญหานั้นพิจารณากลุ่มปัจจัย 4 M 1 E มาแสดงความคิดเห็นร่วมกัน คือ M-Machine ด้านเครื่องจักร M-Man ด้านบุคคล 5.1.2 แผนผังพาเรโต (คัทซึยะ, M-Material ด้านวัตถุดิบ M-Method ด้านวิธีการ 2546) ผังหรือแผนภูมิกราฟแท่งที่แสดงความ ท�ำงาน และ E-Environment สภาพแวดล้อม โดย สัมพันธ์ระหว่างค่าหรือขนาดความถี่ในการตรวจ ใช้หลักการการระดมสมอง พบปัญหาหรือหน่วยวัดหรือลักษณะจ�ำเพาะควบคุม Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 213 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ใด ๆ ที่มีการจ�ำแนกประเภทออกจากกันและเขียน เริ่มต้น ต่อกันโดยเรียงล�ำดับตามความส�ำคัญจัดล�ำดับ ความส�ำคัญของสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดปัญหาไม้สยา ขนส่งไม้แปรรูปด้วยรถสิบล้อ ขึ้นรา จากมากไปหาน้อย โดยสาเหตุที่มีล�ำดับความ ส�ำคัญมากที่สุดจะถูกน�ำมาหาแนวทางการแก้ไขเป็น ล�ำดับแรก ตรวจสอบขนาด/ 5.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล จ�ำนวน/คุณภาพไม้ 5.2.1 จัดตั้งทีมเพื่อศึกษาและ แปรรูป 100% รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ของกิจการ โดยคณะท�ำงาน ที่ดีควรประกอบด้วยบุคลากรประมาณ 6-8 คน จัดเก็บไม้ตามขนาด/คุณภาพ ประกอบด้วยประธานคณะท�ำงานควรเป็นระดับ บริหารและคณะท�ำงานควรมีสมาชิกเป็นลักษณะ ข้ามสายงานมีความรู้เฉพาะด้าน มีความส�ำนึกที่ดี รอจ�ำหน่าย เลื่อยและประกอบ ต่อการปรับปรุงคุณภาพ โดยแต่ละหน้าที่จะต้อง ประตู/วงกบ มีการก�ำหนดบทบาทและความรับผิดชอบอย่าง ชัดเจน รอจ�ำหน่าย 5.2.2 ศึกษากระบวนการผลิต ด้วยการวิเคราะห์แผนภูมิการไหล (flow chart) จบ แสดงในภาพที่ 1 เพื่อค้นหาสภาพปัญหาทาง ภาพที่ 1 กระบวนการผลิต คุณภาพในปัจจุบัน เมื่อเลือกปัญหาหลักออกมาได้ แล้วจะท�ำความเข้าใจในแต่ละกระบวนการผลิตเพื่อ 5.3 วิเคราะห์หาสาเหตุของข้อ เตรียมการวิเคราะห์หาสาเหตุโดยใช้แผนผังแสดง บกพร่องตั้งแต่การขนส่ง รับ ตรวจสอบและจัดเก็บ เหตุและผล สินค้าเพื่อรอจ�ำหน่าย ร่วมกับแผนผังแสดงเหตุและ ผล เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของ ปัญหา (ผล) กับปัจจัยต่าง ๆ (สาเหตุ) ที่เกี่ยวข้อง 5.4 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาโดยการ ศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง ศึกษาสภาพทั่วไปใน กระบวนการผลิตของบริษัทตัวอย่าง ตลอดจนศึกษา ถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อขีดความสามารถ ด้านการผลิตและตัวแปรต่าง ๆ ที่ต้องควบคุม โดย วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 214 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

การสัมภาษณ์พนักงานบัญชี พนักงานฝ่ายคลังสินค้า และการจัดเก็บไม้เพื่อรอการจ�ำหน่าย และปัญหา และตรวจสอบคุณภาพ เบื้องต้นที่ส่งผลต่อคุณภาพไม้แปรรูป วิเคราะห์สาเหตุที่ส่งผลให้เกิดปัญหา 2. ข้อบกพร่องและสาเหตุของการเกิด ไม้สยาขึ้นรา โดยใช้ค่าความถี่ เปอร์เซ็นต์สะสมจาก ข้อบกพร่องผลิตภัณฑ์ไม้แปรรูป แบบสอบถาม และน�ำมาหาแนวทางการแก้ไขปัญหา ปัญหาที่พบในไม้แปรรูปจากการเก็บข้อมูล ย้อนหลัง 3 เดือนตั้งแต่ 2 มกราคม 2558 ถึง 31 สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย มีนาคม 2558 จ�ำนวนไม้แปรรูปทั้งหมด 19,600 สรุปผลการวิจัย ท่อน แบ่งเป็น ไม้สยา 7,000 ท่อน ไม้กาเปอร์ 4,000 1. ผลจากการศึกษาและวิเคราะห์แผนภูมิ ท่อน ไม้เสียดช่อ 3,000 ท่อน ไม้จ๋อย 5,000 ท่อน การไหลของกระบวนการ ท�ำให้ทราบถึงรายละเอียด ไม้อัด 600 แผ่น สามารถสรุปปัญหาที่เกิดขึ้นกับไม้ กระบวนการขนส่ง การตรวจสอบไม้ก่อนการจัดเก็บ แปรรูปชนิดต่าง ๆ ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 แสดงเปอร์เซ็นต์ปัญหาที่พบในไม้แปรรูป ชนิดของไม้ ไม้สยา ไม้กาเปอร์ ไม้เสียดช่อ ไม้จ๋อย ไม้อัด ปัญหา (7,000 ท่อน) 4,000 ท่อน) (3,000 ท่อน) (5,000 ท่อน) (600 แผ่น) ขึ้นรา 3,500 10 5 - 2 (17.86%) (0.05%) (0.03%) (0.01%) โค้งงอ - 20 - - - (0.10%) บิดงอ 5 - 80 - - (0.03%) (0.41%) ไม้หัก - - - - - หัวไม้แตก 50 10 30 (0.26%) (0.05%) (0.15%) จากตารางที่ 1 พบว่า ชนิดไม้แปรรูปที่มีค่าเปอร์เซ็นต์ปัญหาสูงที่สุด คือ ไม้สยามีเปอร์เซ็นต์ปัญหา การขึ้นรา คิดเป็นร้อยละ 17.6 คิดเป็นมูลค่า 28,000 บาท ซึ่งมีค่ามูลสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับปัญหาด้าน อื่น ๆ ผู้ท�ำวิจัยจึงให้ความสนใจเลือกไม้สยามาแก้ไขปัญหาเป็นอันดับแรก Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 215 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ภาพที่ 2 ไม้สยาขึ้นรา ภาพที่ 3 วิเคราะห์หาสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดไม้สยา จากข้อมูลกระบวนการผลิตในภาพที่ 1 ขึ้นรา และตารางที่ 1 สามาถน�ำข้อมูลที่ได้มาท�ำการ น�ำข้อมูลสาเหตุจากแผนผังแสดงเหตุ วิเคราะห์หาสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดไม้สยาขึ้นราโดย และผลที่ท�ำให้เกิดไม้สยาขึ้นรา มาจัดล�ำดับความ ใช้แผนผังก้างปลาดังภาพที่ 3 ส�ำคัญด้วยการสัมภาษณ์และให้คะแนนสาเหตุต่าง ๆ จากพนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจ�ำนวน 3 คน ประกอบด้วยพนักงานบัญชี 1 คนและพนักงานดูแล คลังสินค้า 2 คน แสดงดังตารางที่ 2 และภาพที่ 4

ตารางที่ 2 แสดงความถี่และเปอร์เซ็นต์สะสมสาเหตุไม้สยาขึ้นรา ล�ำดับ ตัวแปร สาเหตุ ความถี่ เปอร์เซ็นต์ เปอร์เซ็น (%) สะสม(%) 1 a กิจการด�ำเนินงานในรูปสัญญาเช่าพื้นที่ |||||||| 23.53 23.53 2 b บริษัทมีพื้นที่จ�ำกัด ||||||| 20.59 44.12 3 c บริษัทไม่มีการส�ำรองไม้เพื่อรอจ�ำหน่าย |||||| 17.65 61.77 4 d น�ำไม้ลงจากรถบรรทุกขณะฝนตก |||| 11.76 73.53 5 e ฤดูฝน ||| 8.82 82.35 6 f ผ้าใบรั่วขณะขนส่ง || 5.88 88.23 7 g พนักงานไม่ป้องกันไม้แปรรูปขณะฝนตก || 5.88 94.11 8 h ระยะทางขนส่งไกล | 2.94 97.05 9 i พนักงานวางวัตถุดิบในพื้นที่ไม่มีหลังคา | 2.94 100 รวม 34 100 100 วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 216 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

จากตารางที่ 2 แสดงการวิเคราะห์ความถี่ จากการจ�ำแนกสาเหตุข้อบกพร่องโดยน�ำ และเปอร์เซ็นต์สะสมสาเหตุไม้สยาขึ้นรา สามารถ ค่าความถี่และเปอร์เซ็นสะสมในตารางที่ 2 และ จ�ำแนกโดยเรียงล�ำดับตามความส�ำคัญของสาเหตุ ท�ำแผนภาพพาเรโตในภาพที่ 4 ท�ำให้สามารถแยก ดังนี้ แนวโน้มสาเหตุไม้สยาขึ้นราเป็นกลุ่ม A กลุ่ม B และ กลุ่ม A มีทั้งหมด 4 รายการ ได้แก่ a,b,c กลุ่ม C ส�ำหรับในการท�ำวิจัยได้เลือกแนวโน้มของ และ d ผลจากข้อบกพร่อง กลุ่ม A เป็นกลุ่มแรกเพื่อน�ำมา กลุ่ม B มีทั้งหมด 3 รายการ ได้แก่ e, f และ g หาแนวทางในการแก้ไขแสดงในตารางที่ 3 กลุ่ม C มีทั้งหมด 2 รายการ ได้แก่ h และ i แนวทางการแก้ไขปัญหาไม้สยาขึ้นรา จากการจัดล�ำดับความส�ำคัญสาเหตุที่ท�ำ ให้ไม้สยาขึ้นราด้วยแผนผังพาเรโตในภาพที่ 4 เพื่อ เป็นแนวทางในการตัดสินใจเลือกสาเหตุที่ท�ำให้เกิด ข้อบกพร่อง ทางคณะวิจัยตัดสินใจเลือกที่จะท�ำการ วิเคราะห์ข้อมูลที่มีค่าเปอร์เซ็นต์สะสมอยู่ในช่วง 0 – 80 (กลุ่ม A) ผลที่ได้ออกมานั้นมีทั้งหมด 4 สาเหตุ ที่ต้องท�ำการแก้ไขจากทั้งหมด 9 สาเหตุ จากนั้นน�ำ มาจัดท�ำตารางการแก้ไขปัญหาดังตารางที่ 3 ภาพที่ 4 กราฟพาเรโตแสดงความถี่และเปอร์เซ็น สะสมของสาเหตุไม้สยาขึ้นรา

ตารางที่ 3 การแก้ไขสาเหตุที่ท�ำให้ไม้สยาขึ้นรา ล�ำดับ สาเหตุ กิจกรรมปรับปรุงการท�ำงาน ผู้รับผิดชอบ 1 กิจการด�ำเนินงาน บริษัทควรตกลงกับผู้ให้เช่า ขอก่อสร้างหลังคาด้านหน้า ผู้จัดการ ในรูปสัญญาเช่า คลังสินค้าแบบชั่วคราว พื้นที่ 2 บริษัทมีพื้นที่จ�ำกัด - พนักงานดูแลคลังสินค้าส�ำรวจพื้นที่จัดเก็บ น�ำไม้ หัวหน้าคลัง แปรรูปที่ค้างสต๊อกเป็นเวลานานออกจ�ำหน่ายหรือ สินค้า และ ดัดแปลงเป็นบานประตู-หน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ เพื่อลด พนักงานฝ่าย ปริมาณไม้ที่จัดเก็บด้วยการเพิ่มช่องทางการจ�ำหน่าย บัญชี และช่วยเพิ่มพื้นที่ - การสั่งซื้อปริมาณไม้ควรวางแผนให้สอดคล้องกับ พื้นที่จัดเก็บ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 217 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ล�ำดับ สาเหตุ กิจกรรมปรับปรุงการท�ำงาน ผู้รับผิดชอบ 3 บริษัทไม่มีการ กิจการควรคาดคะเนความต้องการของลูกค้าด้วยการ พนักงานฝ่าย ส�ำรองไม้เพื่อรอ ดูผลประกอบการย้อนหลังเพื่อวางแผนส�ำรองไม้สยา บัญชี และ จ�ำหน่าย ให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า หัวหน้าคลัง สินค้า 4 น�ำไม้ลงจากรถ บริษัทควรตกลงกับผู้ให้เช่า ขอก่อสร้างหลังคาด้านหน้า ผู้จัดการ บรรทุกขณะฝนตก คลังสินค้าแบบชั่วคราว

อภิปรายผลการวิจัย ละเลิศ (2557) พีรพัฒน์ บัวทอง และไพโรจน์ พิภพ จากการเข้าไปลดปัญหาไม้สยาขึ้นราใน เอกสิทธิ์ (2557) และวีระเทพ ไตรรงค์รัตน์ (2557) กระบวนการท�ำงานของ ห้างหุ้นส่วนจ�ำกัด หาดใหญ่ ศึกษาสาเหตุหลักของปัญหาของเสียในกระบวนการ สตาร์เฟอร์นิชิงค์ ผลปรากฏว่าพบไม้สยาขึ้นรา ผลิตโดยการก�ำหนดกลุ่มปัจจัยหลัก 4 M (ด้าน 17.86 % ของไม้แปรรูปทั้งหมดที่กิจการจัดเก็บใน บุคคล ด้านวัตถุดิบ ด้านวิธีการ ด้านเครื่องจักร) คลังสินค้าหรือคิดเป็นมูลค่า 28,000 บาท ซึ่งเป็น ปัญหาที่ส่งผลต่อกิจการมากที่สุด ข้อเสนอแนะ ผู้ท�ำวิจัยเข้าไปศึกษาและเสนอการแก้ไข 1. ช่วงฤดูฝนไม้มีโอกาสเกิดข้อบกพร่อง ปัญหาโดยเลือกเครื่องมือคุณภาพ 7 ชนิด (7QC ได้ง่ายเนื่องจากความชื้นในอากาศและเปียกน�้ำจาก tools) เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์กระบวนการด้วย การขนส่งผู้ประกอบการควรวางแผนปริมาณสั่งซื้อ แผนภูมิการไหล แผนผังแสดงเหตุและผล ใช้ในการ ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและจัดส่ง ค้นหาสาเหตุของปัญหาด้วยการก�ำหนดกลุ่มปัจจัย ไม้ให้ลูกค้าเร็วที่สุด 4 M 1 E คือ ด้านบุคคล ด้านวัตถุดิบ ด้านวิธีการ 2. การจัดเก็บไม้ควรแยกระหว่างไม้เปียก ด้านเครื่องจักร และด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้อง และไม้แห้งเพื่อป้องกันการขึ้นราของไม้ทั้งหมด กับงานวิจัยของ อดิศร แสงฉาย (2555) ในการ 3. ในการท�ำวิจัยมีข้อจ�ำกัดเรื่องระยะเวลา ก�ำหนดกลุ่มปัจจัยไม่จ�ำเป็นต้องใช้ 4 M1 E เสมอไป ท�ำให้ไม่ได้ประเมินผลหลังการปรับปรุงแก้ไขดังนั้น หากขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มปัจจัยนั้นสามารถแยกแยะและ ในอนาคตควรมีการประเมินผลหลังการปรับปรุง ก�ำหนดสาเหตุต่าง ๆ ได้ เช่น งานวิจัยของรัฐพงษ์ แก้ไข วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 218 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เอกสารอ้างอิง รัฐพงษ์ ละเลิศ. (2557). รูปแบบการลดของ คะทซึยะ โฮโซตานิ. (2546). การแก้ปัญหาแบบ เสียในกระบวนการหล่อขึ้นรูปล้อ QC. แปลโดย วีรพงษ์ เฉลิมจิระรัตน์. อัลลอยโดยใช้กิจกรรมกลุ่มคุณภาพ: กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์สมาคมส่งเสริม กรณีศึกษา บริษัท ยาชิโยดาอัลลอยวีล เทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น). จ�ำกัด. พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัย พีรพัฒน์ บัวทองและไพโรจน์ พิภพเอกสิทธิ์. (2558). เทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ การศึกษาสาเหตุหลักของปัญหาของ วีระเทพ ไตรรงค์รัตน์. (2557). การลดของเสียใน เสียในกระบวนการติดชิพไอซี กรณี กระบวนการพ่นสีเหล็กด้วยเทคนิคเอฟ ศึกษา โรงงานผลิตแผงวงจรไฟฟ้ารวม. เอ็มอีเอ: กรณีศึกษา บริษัทโกลด์เพรส ภาควิชาการจัดการอุตสาหกรรม คณะ อินดัสตรี จ�ำกัด. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีและการจัดการอุตสาหกรรม เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า อดิศร แสงฉาย. (2555). การปรับปรุงคุณภาพของ พระนครเหนือ. 26 พฤษภาคม 2558 การ กระบวนการผลิตเครื่องถ่วงน�้ำหนัก กรณี ประชุมวิชาการครุศาสตร์อุตสาหกรรม ศึกษา บริษัท สตีลเลอร์ สตีล เวอร์คส์ ระดับชาติ ครั้งที่ 8 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี จ�ำกัด. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ. ราชมงคลธัญบุรี. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 219 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV บทความวิจัย พิธีกรรมฟ้อนผีในสังคมวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ FON PHI CEREMONIES IN SOCIO-CULTURE OF CHIANG MAI PROVINCE นิรันดร์ ภักดี Niran Phakdee สาขาวิชาดนตรี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏล�าปาง [email protected]

บทคัดย่อ บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของพิธีกรรมฟ้อนผีในสังคมวัฒนธรรมจังหวัด เชียงใหม่ โดยเลือกใช้ระเบียบวิธีวิจัยตามกระบวนการศึกษาสาขาวิชาชาติพันธุ์ดนตรีวิทยา และใช้การวิจัย เชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบส�าคัญของพิธีกรรมฟ้อนผีประกอบด้วย ความเชื่อ พิธีกรรม ผู้ประกอบพิธีกรรม และวงดนตรีปี่พาทย์พื้นบ้านล้านนา องค์ประกอบด้านความเชื่อประกอบด้วยความเชื่อ พื้นฐานในสังคมวัฒนธรรมล้านนาที่ปรากฏในพิธีกรรมฟ้อนผี และความเชื่อต่อผีปู่ย่า และองค์เทพ ที่ให้ ความช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองแก่ลูกหลาน และร่างทรง พิธีกรรมฟ้อนผีประกอบด้วยพิธีกรรมฟ้อน ผีมด พิธีกรรมฟ้อนผีเม็ง และพิธีกรรมฟ้อนผีเจ้านาย โดยมีผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นผู้ที่ควบคุม และด�าเนิน การประกอบพิธีกรรมฟ้อนผีตั้งแต่การจัดเตรียมงานจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ในขณะที่วงดนตรีปี่พาทย์พื้นบ้าน ล้านนา เป็นวงดนตรีหลักที่มีหน้าที่บรรเลงตลอดพิธีกรรม องค์ประกอบส�าคัญดังกล่าวต่างมีความสัมพันธ์ ผสมผสานกันจนกลายเป็นพิธีกรรมส�าคัญ และด�ารงอยู่ในมโนทัศน์ของกลุ่มชาวบ้านในสังคมวัฒนธรรม จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป ค�าส�าคัญ: องค์ประกอบของพิธีกรรมฟ้อนผี ความเชื่อในพิธีกรรมฟ้อนผี วงดนตรีปี่พาทย์พื้นบ้านล้านนา

ABSTRACT This research article aimed to study elements of Fon Phi ceremonies in the socio-culture of Chiang Mai province. The research methodology was conducted by using the ethnomusicological methodology and the qualitative research. The findings revealed that the main elements of the ceremony composed of belief, rituals, ritual masters, and Pi Pat Lanna traditional music. The belief consisted of basic belief in cultural society in performing the Fon Phi ceremony and the belief toward Phi Pu-Ya ancestral spirits วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 220 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

and gods who protect and support descendants and their spirit mediums. The rituals consisted of Fon Phi Mod, Fon Phi Meng and Fon Phi Chao Nai which were controlled and conducted by the ceremony masters from preparing until finishing the ceremony. The Pi Pat Lanna traditional music was the main music band to perform the music all the time in the ceremony. These main elements had their unique relationships which blended together to express their vitalities. They also continued to signify the concept of Chiang Mai socio-culture. Keywords: elements of Fon Phi ceremony, belief in Fon Phi ceremony, Pi Pat Lanna traditional music

บทน�ำ ปัจจุบันในสังคมวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ กระแสความเจริญก้าวหน้าทางด้าน ยังมีการประกอบพิธีกรรมฟ้อนผีขึ้นเป็นประจ�ำทุก วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบันท�ำให้ผู้คน ปีแม้ว่าดูสวนทางกับกระแสความเจริญก้าวหน้า สามารถด�ำรงชีวิตได้อย่างสะดวกสบายมากกว่าใน ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบันก็ตาม อดีต ในขณะที่วิทยาการสมัยใหม่ก้าวล�้ำน�ำสมัย แต่การประกอบพิธีกรรมฟ้อนผียังคงจัดขึ้นเป็น แต่ความทันสมัยกลับท�ำให้สังคมวัฒนธรรมเกิด ประจ�ำตามธรรมเนียมประเพณีของครอบครัว และ การเปลี่ยนแปลง ดังเช่น ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ยังรักษาธรรมเนียมประเพณีเดิมที่เน้นความสัมพันธ์ ล้านนา จากที่เคยมีบทบาทหลักในประเพณีและ กับวิถีชีวิตชาวบ้าน โดยไม่แสดงความขัดแย้ง หรือ พิธีกรรม กลับกลายเป็นเพียงศิลปะการแสดงที่น�ำ ขัดขวางแนวทางการพัฒนาสังคม การประกอบ เสนอเพียงภาพภายนอก และใช้ส่งเสริมการตลาดใน พิธีกรรมฟ้อนผีมีจุดเริ่มต้นจากกรอบมโนทัศน์ของ ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวเท่านั้น ในขณะที่ภาครัฐเน้น ความเชื่อในอ�ำนาจของผี ทั้งผีปู่ย่า หรือผีมด ผีเม็ง การพัฒนาระบบเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรม และผีเจ้านาย รักษาองค์รวมของศิลปวัฒนธรรม ที่ให้ผลตอบแทนที่มีมูลค่าสูง ท�ำให้ผู้คนในสังคม ภูมิปัญญาล้านนา ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ บางส่วนหลงใหลไปตามกระแสเหล่านั้นจนละเลย ภายในครอบครัว และชุมชน ด้วยองค์ประกอบที่ คุณค่าของศิลปวัฒนธรรม แต่จากการศึกษาข้อมูล ส�ำคัญของพิธีกรรมที่แสดงคุณค่าทางวัฒนธรรม ภาคสนามในพื้นที่กลับพบว่า กลุ่มประชาชนใน การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยจึงมุ่งศึกษาองค์รวม ชุมชนท้องถิ่นยังคงยึดมั่น และมีความเชื่อเรื่องผีมด ของพิธีกรรมฟ้อนผี โดยศึกษาความหมายในเชิง ผีเม็ง และผีเจ้านาย ถึงแม้ว่า บางฝ่ายจะกล่าวหาว่า สัญลักษณ์ต่าง ๆ ของพิธีกรรม โดยไม่มุ่งเน้นการ เป็นความเชื่อที่งมงาย และไม่สามารถพิสูจน์ทราบ พิสูจน์ หรือค้นคว้าหาความจริงตามกระบวนการ ในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ก็ตาม ศึกษาทางวิทยาศาสตร์ว่าความเชื่อเรื่องผี ความ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 221 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เชื่อทางไสยศาสตร์ และสภาวะของร่างทรงในขณะ อาวุโส และชาวบ้านผู้ทรงภูมิปัญญาในหมู่บ้าน และ ที่มีองค์เทพมาประทับอยู่ เป็นความจริงหรือไม่ แต่ ชุมชนต่าง ๆ มุ่งศึกษาในมิติคุณค่าทางวัฒนธรรม ผู้วิจัยมั่นใจว่า การรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยการ ผลจากการวิจัยในครั้งนี้จะท�ำให้สังคม และชุมชน รวบรวมข้อมูลเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ท้องถิ่นตระหนักถึงความส�ำคัญของพิธีกรรมฟ้อนผี และเน้นการบวนการวิจัยภาคสนาม โดยผู้วิจัยเข้า ต่อสังคมวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งมีความ ร่วมพิธีกรรมฟ้อนผี ตั้งแต่ก่อนการจัดงาน ระหว่าง เข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนั้นยัง การจัดงาน และหลังจากการจัดงาน ซึ่งผู้วิจัยใช้ เป็นการบันทึกข้อมูลที่เป็นองค์ความรู้จากการจัด วิธีการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ คือ ใช้การ พิธีกรรมฟ้อนผี ช่วยธ�ำรงรักษาธรรมเนียมประเพณี สนทนาทั่วไป ทั้งการสัมภาษณ์แบบเดี่ยว และ ในพิธีกรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา เป็นวัฒนธรรม เป็นกลุ่ม ในประเด็นค�ำถามเกี่ยวกับองค์ประกอบ ประเพณีที่ดีงามของล้านนาให้คงอยู่ต่อไป ของพิธีกรรมฟ้อนผี ก่อนการเริ่มต้นสัมภาษณ์ ผู้วิจัยได้ขออนุญาตผู้ให้ข้อมูลทุกครั้ง โดยใช้แบบ วัตถุประสงค์ของการวิจัย บันทึกข้อมูลการสัมภาษณ์ และสมุดบันทึกหากมี เพื่อศึกษาองค์ประกอบของพิธีกรรม ประเด็นที่ต่างไปจากแบบบันทึกการสัมภาษณ์ และ ฟ้อนผีในสังคมวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วม โดยผู้วิจัยมีส่วนร่วม ในระหว่างการเตรียมงาน ช่วยเหลือการจัดเตรียม ระเบียบวิธีวิจัย สถานที่ พร้อมกับสอบถามพูดคุยถึงวิธีการ และ การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้วิธีวิจัยตาม ขั้นตอนของการประกอบพิธีกรรม รวมทั้งเข้าร่วม กระบวนการศึกษาชาติพันธุ์ดนตรีวิทยา และใช้การ บรรเลงเครื่องประกอบจังหวะในวงเต่งถิ้งระหว่าง วิจัยเชิงคุณภาพ มุ่งศึกษาวิเคราะห์ และตีความการ การประกอบพิธีกรรม ซึ่งระหว่างการสังเกต ผู้วิจัย ประกอบพิธีกรรมฟ้อนผี วิเคราะห์องค์ประกอบ บันทึกการสังเกตในสมุดบันทึกโดยละเอียด รวมทั้ง ของพิธีกรรมฟ้อนผี โดยเน้นการศึกษาข้อมูลภาค บันทึกภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว ส�ำหรับการจัด สนามในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และศึกษาข้อมูล กระท�ำข้อมูล และการตรวจสอบข้อมูลในขั้นตอน เอกสาร รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้องประกอบการ ต่อไป วิเคราะห์ และน�ำเสนอข้อมูลโดยการพรรณนา ขั้นการจัดกระท�ำข้อมูล ผู้วิจัยด�ำเนินการ วิเคราะห์ ขั้นตอนการวิจัยเริ่มจากการศึกษา รวบรวมข้อมูลเอกสารที่สัมพันธ์กับประเด็นในการ วิเคราะห์ ตีความ และสังเคราะห์ข้อมูลเอกสาร และ ศึกษา และสอดคล้องกับข้อมูลภาคสนาม ส�ำหรับ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านมานุษยวิทยา วัฒนธรรม การวิเคราะห์องค์ประกอบของพิธีกรรมฟ้อนผี หาก ศึกษา ดนตรีชาติพันธุ์วิทยา และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลไม่สมบูรณ์ผู้วิจัยได้ด�ำเนินการจัดเก็บข้อมูล ต่อมาด�ำเนินการส�ำรวจข้อมูลเบื้องต้นโดยเข้าพื้นที่ เพิ่มเติมให้ข้อมูลมีความครบถ้วนสมบูรณ์ส�ำหรับ วิจัยเพื่อติดต่อผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย นักดนตรี การวิเคราะห์ การตรวจสอบข้อมูล ผู้วิจัยใช้วิธีการ วงเต่งถิ้งที่รับงานแห่ในพิธีกรรมฟ้อนผี ร่างทรง ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า ทั้งด้านข้อมูล และวิธี วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 222 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

การรวบรวมข้อมูล กระท�ำโดยการสัมภาษณ์ซ�้ำจาก ประพฤติปฏิบัติตนตามครรลองคลองธรรม หากมี ผู้ให้ข้อมูลหลัก หรือน�ำข้อมูลไปสอบถามผู้ให้ข้อมูล เรื่องเดือดร้อน หรือเกิดอาการเจ็บป่วย ลูกหลาน คนอื่น จากประเด็นเดิม และ/หรือประเด็นใหม่ที่พบ จึงได้บนบานสารกล่าวขอให้ผีปู่ย่าช่วยเหลือ หาก จากการตีความข้อมูลภาคสนาม การวิเคราะห์ข้อมูล หายจากอาการป่วยก็จะมาจัดพิธีกรรมฟ้อนผีให้ ผู้วิจัยเน้นการสรุป ตีความ และวิเคราะห์ข้อมูลภาค ดังนั้น การประกอบพิธีกรรมฟ้อนผีขึ้นด้วยสาเหตุ สนามจากกระบวนการศึกษาทางชาติพันธุ์ดนตรี แห่งความเชื่อจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการประกอบ วิทยา โดยศึกษาข้อมูลอย่างเข้มข้นในสนามวิจัย พิธีกรรมฟ้อนผี ที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่ ทั้งข้อมูลที่เป็นบริบท และข้อมูลจากบันทึกการ รุ่น ซึ่งการประกอบพิธีกรรมฟ้อนตามธรรมเนียม สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูล รวมทั้งใช้แนวคิด “ต้นไม้แห่ง ประเพณีได้ก�ำหนดให้มีระยะเวลาห่างกันประมาณ คุณค่า” ของ กาญจนา แก้วเทพ เป็นกรอบส�ำหรับ 2 – 5 ปี แต่หากเป็นการประกอบพิธีเพื่อแก้บน การวิเคราะห์องค์ประกอบของพิธีกรรมฟ้อนผี ไม่จ�ำเป็นต้องครบรอบเวลาที่ก�ำหนด หากประสบ ผลดังที่ได้บนบานไว้ ต้องด�ำเนินการประกอบพิธี สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย ตามสัจวาจา ปัจจุบันยังมีการประกอบพิธีกรรม สรุปผลการวิจัย ฟ้อนผีมดผีเม็งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นประจ�ำ องค์ประกอบของพิธีกรรมฟ้อนผีในสังคม ทุกปี แสดงว่าความเชื่อเรื่องผีปู่ย่ายังคงเป็นสิ่งที่ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย ความเชื่อ ชาวบ้านเชื่อถือ และปฏิบัติสืบต่อกันมา นอกจากนี้ พิธีกรรม ผู้ประกอบพิธีกรรม และวงดนตรีปี่พาทย์ ปัจจุบันพบว่ามีความเชื่อเรื่องผีวีรบุรุษ หรือที่เรียก พื้นบ้านล้านนา ดังรายละเอียด ดังนี้ ว่า ผีเจ้านาย กระจายเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ และได้ ความเชื่อ ประกอบพิธีกรรมฟ้อนผีเป็นประจ�ำทุก ๆ ปี จาก ความเชื่อเป็นองค์ประกอบที่ส�ำคัญของ กรอบมโนทัศน์ความเชื่อในพิธีกรรมฟ้อนผีเกิด พิธีกรรมฟ้อนผี ในสังคมวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ คุณค่าแฝงจากความเชื่อต่ออ�ำนาจของผีมีส่วนช่วย กลุ่มชาวบ้านยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องผี โดยเฉพาะ ควบคุมครอบครัว ชุมชน และสังคม ให้ปฏิบัติตาม ผีบรรพบุรุษ หรือผีปู่ย่า ซึ่งปรากฏอย่างชัดเจนใน ความเชื่อเรื่องผีปู่ย่า และผีเจ้านาย แสดงนัยของ พิธีกรรมฟ้อนผีมด และผีเม็ง จากแนวคิด “ต้นไม้ ความเป็นรากแก้วของต้นไม้ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการ แห่งคุณค่า” ความเชื่อเป็น “ราก” ซึ่งเป็นส่วนที่ ประกอบพิธีกรรม และมีความส�ำคัญช่วยหล่อเลี้ยง ไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ท�ำหน้าที่ส�ำคัญ คือช่วย ครอบครัว และชุมชน ให้คงอยู่ต่อไป ดูดซึมอาหารหล่อเลี้ยงต้นไม้ให้เจริญเติบโต ความ พิธีกรรม เชื่อต่อผีปู่ย่าเป็นกรอบมโนทัศน์ที่แสดงถึงอ�ำนาจ การประกอบพิธีกรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตาม และชาวบ้านต่างมี ตอบสนองต่อความเชื่อของชาวบ้าน โดยมีจุดเริ่ม ความเชื่อในอ�ำนาจของผีปู่ย่าว่าสามารถช่วยเหลือ ต้นจากสถาบันครอบครัว พิธีกรรมมีบทบาทส�ำคัญ ปกป้องคุ้มครองให้ลูกหลานด�ำรงชีวิตอยู่ได้อย่าง ช่วยสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัว และชุมชน มีความสุข รวมทั้งควบคุมก�ำกับดูแลให้ลูกหลาน ซึ่ง เป็นกระบวนหนึ่งของการขัดเกลาทางสังคม จาก Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 223 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

แนวคิดต้นไม้แห่งคุณค่า การประกอบพิธีกรรมฟ้อน รอให้ครบรอบตามประเพณี พิธีกรรมฟ้อนผีมด ผีในส่วนที่เป็นราก เปรียบได้กับธรรมเนียมการ ผีเม็ง สะท้อนถึงความเป็นอยู่ และวิถีชีวิต รวมทั้ง ปฏิบัติในพิธีกรรมที่มีความส�ำคัญ และมีขั้นตอน การละเล่นของชาวบ้าน ผู้ที่มาร่วมงานส่วนใหญ่ ตามระเบียบพิธีที่ถูกต้อง รวมทั้งองค์ความรู้ในการ เป็นกลุ่มเครือญาติ และกลุ่มสายผีปู่ย่าเดียวกัน ประกอบพิธีกรรม ส่วนที่สามารถมองเห็นได้ เปรียบ แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ผูกร้อยรวมกันของสาย เป็นต้น กิ่ง ก้าน ใบ ผล คือ สถานที่ประกอบพิธี ที่ ตระกูลด้วยพิธีกรรมฟ้อนผี ส�ำหรับพิธีกรรมการ เรียกว่า ผาม รวมทั้ง อาหาร และเครื่องสักการะ และ ฟ้อนผีเจ้านาย เป็นพิธีกรรมที่แสดงความเคารพ ส่วนที่เป็นล�ำต้น คือ ภูมิปัญญาในพิธีกรรม ซึ่งเป็น ความกตัญญูต่อครูซึ่งเป็นองค์เทพที่ร่างทรงให้ สิ่งที่ท�ำให้พิธีกรรมมีความสมบูรณ์ และส่วนแก่น ความเคารพ และเป็นการเสริมบารมีของร่างทรง ไม้ที่การประกอบพิธีกรรมฟ้อนผีจ�ำเป็นต้องรักษา องค์ประกอบส�ำคัญ คือ การจัดเตรียมขันครู เครื่อง ไว้ คือ คุณค่าของการประกอบพิธีกรรมในด้านการ เซ่นสังเวย และเครื่องสักการบูชาต่าง ๆ เพื่อถวายต่อ ปลูกฝังคุณธรรมเรื่องความกตัญญู ความภาคภูมิใจ ครูเทพ ส�ำหรับผู้ที่มาร่วมพิธีกรรมฟ้อนผีเจ้านาย ในรากเหง้าของครอบครัว การสร้างความสามัคคี ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกศิษย์ และเครือข่ายของร่างทรง ต่อชุมชน และการบรรเลงบทเพลงพื้นบ้าน การ ที่สนิทสนมคุ้นเคย ประกอบพิธีตามขั้นตอนที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และช่วง ผู้ประกอบพิธีกรรม การฟ้อนร�ำที่สนุกสนาน ท�ำให้ผู้เข้าร่วมพิธีกรรม พิธีกรรมฟ้อนผีมีระเบียบปฏิบัติตาม และญาติพี่น้องมีความสุข ส่งผลดีด้านจิตใจ สุดท้าย ธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อที่มีรายละเอียด ส่วนของเปลือกไม้ และกระพี้ ที่สามารถปรับเปลี่ยน และขั้นตอนมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีกรรม ได้บ้างในพิธีกรรมฟ้อนผี คือ การบรรเลงดนตรีจาก การฟ้อนผีมด และผีเม็ง ดังนั้น ระหว่างการประกอบ วงเต่งถิ้งสามารถบรรเลงบทเพลงลูกทุ่งยอดนิยม พิธีจึงต้องมีผู้น�ำส�ำหรับการประกอบพิธีกรรมคือ ที่มีจังหวะสนุกสนานระหว่างการฟ้อนร�ำ และการ เก๊าผี ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการสืบทอดหน้าที่ของสาย ประสมวงดนตรีจากเครื่องดนตรีพื้นบ้านร่วมกับ ตระกูล มีความรู้ความช�ำนาญในการประกอบพิธี เครื่องดนตรีสากล ให้ถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณี และมีความเชื่อ พิธีกรรมฟ้อนผีในสังคมวัฒนธรรมจังหวัด ว่า หากกระท�ำไม่ถูกต้อง เกิดความผิดพลาด ไม่ เชียงใหม่ ประกอบด้วย พิธีกรรมการฟ้อนผีมด ผีเม็ง ครบถ้วนสมบูรณ์ตามธรรมเนียมปฏิบัติ อาจจะ และผีเจ้านาย การฟ้อนผีมด และผีเม็ง เป็นการ ถูกผีปู่ย่าลงโทษให้เจ็บไข้ได้ป่วยได้ ดังนั้น การ แสดงความเคารพต่อผีปู่ย่าซึ่งเป็นผีบรรพบุรุษของ ประกอบพิธีกรรมฟ้อนผีต้องเริ่มต้นด้วยความ ครอบครัว และสายผีของตนเอง ตามประเพณีการ ละเอียดรอบคอบตั้งแต่การเตรียมสถานที่ การจัด ประกอบพิธีกรรมของสายตระกูลจัดขึ้นเป็นประจ�ำ เตรียมเครื่องบูชาต่าง ๆ เมื่อเริ่มประกอบพิธีกรรม โดยเว้นระยะห่างระหว่าง 2-5 ปี แต่หากเป็นการจัด “เก๊าผี” ท�ำหน้าที่ควบคุมการประกอบพิธีกรรมจน ขึ้นเพื่อแก้บน เมื่อประสบความส�ำเร็จตามความ ส�ำเร็จลุล่วง และในระหว่างการประกอบพิธีกรรม ประสงค์แล้วจึงจัดพิธีกรรมฟ้อนผีขึ้นโดยไม่ต้อง นั้นมี “ตั้งข้าว” เป็นผู้ช่วยส�ำหรับการจัดเตรียม วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 224 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

เครื่องบูชา ในขณะที่พิธีกรรมบางแห่งไม่มีตัวแทน แบบประยุกต์ได้น�ำเครื่องดนตรีสากลมาประสมวง ญาติพี่น้องที่สืบทอดเป็นเก๊าผี ท�ำให้ญาติพี่น้อง เพิ่มเติม คือ กีตาร์ไฟฟ้า กีตาร์เบส กลองชุด และ ต้องไปเชิญ ตั้งข้าว จึงเป็นผู้ท�ำหน้าที่ในพิธีกรรม คีย์บอร์ด การบรรเลงบทเพลงสามารถบรรเลงได้ แทนทั้งหมด ส�ำหรับพิธีกรรมการฟ้อนผีเจ้านายมี ทั้งแบบพื้นเมือง และบรรเลงแบบประยุกต์ แต่ “ร่างทรงองค์เทพ” เป็นศูนย์กลาง และเป็นผู้ด�ำเนิน นิยมแห่บรรเลงบทเพลงลูกทุ่งสมัยนิยมที่มีจังหวะ การประกอบพิธีกรรม มีกลุ่มลูกศิษย์เป็นผู้ช่วยใน สนุกสนานมากกว่า และนิยมใช้บรรเลงในพิธีกรรม ระหว่างการประกอบพิธี จากแนวคิดต้นไม้แห่ง ฟ้อนผีเจ้านายมากกว่าพิธีกรรมฟ้อนผีมด ผีเม็ง ใน คุณค่า องค์ความรู้เกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติใน ขณะการแห่บรรเลงต้องใช้เครื่องขยายเสียงที่มีก�ำลัง พิธีกรรมฟ้อนผีที่เก๊าผี ตั้งข้าว และร่างทรงองค์เทพ วัตต์สูงให้มีเสียงดังกระหึ่ม เมื่อวิเคราะห์ตามแนวคิด ได้รับการถ่ายทอด และสั่งสมมาเปรียบเป็น ราก ต้นไม้แห่งคุณค่า ในส่วนที่สามารถมองเห็นได้ คือ ที่ได้หล่อเลี้ยงล�ำต้น คือ ภูมิปัญญาการจัดเตรียม เครื่องดนตรี รูปแบบการจัดวง บทเพลง และขันครู เครื่องบูชาในพิธีกรรมฟ้อนผี ที่มีกรอบมโนทัศน์ ส่วนของแก่นไม้ คือ บทเพลงพื้นเมืองประกอบ ความเชื่อต่ออ�ำนาจของผีเข้ามาก�ำกับ พิธีกรรม การสืบทอดภูมิปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่ควร วงปี่พาทย์พื้นบ้านล้านนา รักษาและสืบทอดสู่กลุ่มนักดนตรีรุ่นใหม่ ในขณะ วงปี่พาทย์พื้นบ้านล้านนา หรือวงเต่งถิ้ง ที่ส่วนของเปลือกไม้ คือ บทเพลงลูกทุ่งสมัยนิยม เป็นวงดนตรีหลักส�ำหรับการบรรเลงในพิธีกรรม ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมของสังคม ฟ้อนผี ทั้งผีมด ผีเม็ง และผีเจ้านาย โดยแบ่งเป็น และการน�ำเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่เพื่อให้มีเสียง สองลักษณะ คือ วงเต่งถิ้งแบบพื้นเมือง และวง ดังเป็นส่วนเสริมเพิ่มเติมซึ่งสามารถปรับเปลี่ยน และ เต่งถิ้งแบบประยุกต์ วงเต่งถิ้งแบบพื้นเมืองประสม พัฒนาได้ และส่วนที่มองไม่เห็นเปรียบเป็นราก คือ วงด้วยเครื่องดนตรีแบบพื้นเมือง ประกอบด้วย พิธีกรรมความเชื่อความเคารพต่อครูกลอง ทั้งการ ป้าดเอก ป้าดทุ้ม ป้าดฆ้อง ป้าดเหล็ก กลองเต่งถิ้ง ไหว้ครูกลองก่อนการแห่แต่ละวัน และการไหว้ครู กลองป่งป้ง แนหน้อย แนหลวง และเครื่องประกอบ ประจ�ำปีของคณะดนตรี สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้น จังหวะ เช่น ฉิ่ง ฉาบ เป็นต้น วงแบบพื้นเมืองนิยม และช่วยฟูมฟักหล่อเลี้ยงให้ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการ ใช้แห่บรรเลงในพิธีกรรมฟ้อนผีมด และผีเม็ง โดย รักษาขนบทางวัฒนธรรมดนตรียังคงอยู่ในสังคม บรรเลงบทเพลงพื้นเมืองเป็นหลัก และบรรเลง วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ต่อไป เพลงลูกทุ่งสมัยนิยมในช่วงการฟ้อน ส่วนวงเต่งถิ้ง 227

ประยุกต วงเตงถิ้งแบบพื้นเมืองประสมวงดวยเครื่องดนตรีแบบพื้นเมือง ประกอบดวย ปาดเอก ปาดทุม ปาด ฆอง ปาดเหล็ก กลองเตงถิ้ง กลองปงปง แนหนอย แนหลวง และเครื่องประกอบจังหวะ เชน ฉิ่ง ฉาบ เปน ตน วงแบบพื้นเมืองนิยมใชแหบรรเลงในพิธีกรรมฟอนผีมด และผีเม็ง โดยบรรเลงบทเพลงพื้นเมืองเปนหลัก และบรรเลงเพลงลูกทุงสมัยนิยมในชวงการฟอน สวนวงเตงถิ้งแบบประยุกตไดนําเครื่องดนตรีสากลมาประสม วงเพิ่มเติม คือ กีตารไฟฟา กีตารเบส กลองชุด และคียบอรด การบรรเลงบทเพลงสามารถบรรเลงไดทั้งแบบ พื้นเมือง และบรรเลงแบบประยุกต แตนิยมแหบรรเลงบทเพลงลูกทุงสมัยนิยมที่มีจังหวะสนุกสนานมากกวา และนิยมใชบรรเลงในพิธีกรรมฟอนผีเจานายมากกวาพิธีกรรมฟอนผีมด ผีเม็ง ในขณะการแหบรรเลงตองใช เครื่องขยายเสียงที่มีกําลังวัตตสูงใหมีเสียงดังกระหึ่ม เมื่อวิเคราะหตามแนวคิดตนไมแหงคุณคา ในสวนที่ สามารถมองเห็นได คือ เครื่องดนตรี รูปแบบการจัดวง บทเพลง และขันครู สวนของแกนไม คือ บทเพลง พื้นเมืองประกอบพิธีกรรม การสืบทอดภูมิปญญา ซึ่งเปนสิ่งที่ควรรักษาและสืบทอดสูกลุมนักดนตรีรุนใหม ในขณะที่สวนของเปลือกไม คือ บทเพลงลูกทุงสมัยนิยมซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความนิยมของสังคม และการนําเครื่องขยายเสียงขนาดใหญเพื่อใหมีเสียงดังเปนสวนเสริมเพิ่มเติมซึ่งสามารถปรับเปลี่ยน และ พัฒนาได และสวนที่มองไมเห็นเปรียบเปนราก คือ พิธีกรรมความเชื่อความเคารพตอครูกลอง ทั้งการไหวครู กลองกอนการแหแตละวัน และการไหวครูประจําปของคณะดนตรี สิ่งเหลานี้เปนจุดเริ่มตน และชวยฟูมฟก หลอเลี้ยงใหภูมิปญญาPhranakhonเกี่ยวกับการรักษาขนบทางวัฒนธรรมดนตรียังคงอยูในสังคมวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 225 ตอไป4 th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

อาหาร เครื่องสักการะ บทเพลงลูกทุงสมัยนิยม

ผาม สวนที่มองเห็น ภูมิปญญา ความกตัญู การสรางความสามัคคี ความภาคภูมิใจในรากเหงาวัฒนธรรมตนเอง บทเพลงพื้นบาน

พิธีไหวครูกลอง สวนที่มองไมเห็น

ภาพที่ 1 “ต้นไม้แห่งคุณค่า” ของพิธีกรรมฟ้อนผีความเชื่อ ธรรมเนียมปฏิบัติ องคความรู ที่มา : รูปภาพต้นไม้ https://leanarch.eu ภาพที่ 1 “ตนไมแหงคุณคา” ของพิธีกรรมฟอนผี ที่มา: รูปภาพตนไมอภิปรายผลการวิจัย https://leanarch.eu, 9 ตุลาคมญาติพี่น้องต่างแสดงความเคารพต่อผีปู่ย่าในร่าง 59 15.50 น. ความเชื่อ ของเก๊าผี แสดงออกถึงความรักความผูกพัน รวม

มโนทัศน์ความเชื่อเรื่องผีของชาวบ้านใน ทั้งการแสดงออกถึงความสนุกสนานในช่วงการ สังคมวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ยังคงด�ำรงอยู่ ละเล่น และการฟ้อนร�ำ กิจกรรมแต่ละขั้นตอนยัง ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ เป็นการผูกร้อยความสัมพันธ์ระหว่างญาติพี่น้อง และเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ โดยเฉพาะ ในขณะที่กลุ่มลูกหลานคนรุ่นใหม่บางคนประสบ ความหลงใหลในกระแสของโลกสังคมออนไลน์ ปัญหาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคม ท�ำให้ แต่กลุ่มชาวบ้านส่วนใหญ่ก็สามารถปรับตัวเข้า เกิดความกังวล เกิดความเครียด หรือมีอาการป่วย กับกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ ส่วนใหญ่ ดังนั้น จึงได้หันมาพึ่งพาอ�ำนาจของผีปู่ย่าด้วยการ กลุ่มชาวบ้านอาวุโสมีความเชื่อเรื่องผีปู่ย่าจากการ บนบานขอความช่วยเหลือ เมื่อประสบผลส�ำเร็จ อบรมสั่งสอนกันมาจากรุ่นสู่รุ่นสืบต่อกันมา โดย หรือหายจากอาการป่วยทั้ง ๆ ที่เคยเข้ารักษาตาม การแสดงความเคารพความศรัทธาต่ออ�ำนาจของ โรงพยาบาลต่าง ๆ อย่างไรก็ไม่หาย เมื่อได้ตาม ผีปู่ย่า และแสดงออกถึงความผูกพันระหว่างลูก ความต้องการจึงต้องประกอบพิธีกรรมฟ้อนผีขึ้น หลานญาติพี่น้องต่อญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว ตามสัจวาจา เป็นการแสดงถึงการยอมรับต่อความ ด้วยการปรนนิบัติเลี้ยงดู คอยถวายข้าวปลาอาหาร เชื่อ และอ�ำนาจของผีปู่ย่า ที่สามารถดลบันดาลให้ ให้ผีปู่ย่าอยู่เสมอ และเมื่อมีพิธีกรรมฟ้อนผี กลุ่ม ลูกหลานมีความร่มเย็นเป็นสุข หรือ อาจจะให้คุณให้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 226 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

โทษได้เช่นกัน สอดคล้องกับ อานันท์ กาญจนพันธุ์ แสดงนัยของความเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์ (2555) กล่าวว่า “ผีปู่ย่ามีอ�ำนาจสามารถดลบันดาล มะพร้าวแสดงนัยของความบริสุทธิ์ และขนุน ให้เกิดทั้งคุณและโทษต่อลูกหลาน ขึ้นอยู่กับว่า แสดงนัยของการมีผู้สนับสนุนค�้ำจุน การประกอบ ลูกหลานมีพฤติกรรมเช่นไร หากละเลยพิธีกรรมหรือ พิธีกรรมฟ้อนผีมด ผีเม็ง แต่ละขั้นตอนมีความ ข้อห้ามบางประการของตระกูล เชื่อกันว่าลูกหลาน หมายที่มุ่งให้ลูกหลานมีความสุขความเจริญ และ ผู้นั้นจะถูกอ�ำนาจของผีปู่ย่าท�ำให้ล้มเจ็บลง จึง สร้างความรักความสามัคคีภายในครอบครัวรวมถึง ต้องแก้ไขด้วยการเลี้ยงผีเพื่อขอขมา และอ้อนวอน ชุมชนหมู่บ้าน ส�ำหรับพิธีกรรมฟ้อนผีเจ้านาย เน้น ให้ผีปู่ย่าช่วยให้หายจากอาการเจ็บป่วย แต่ถ้า ความส�ำคัญในขั้นตอนการไหว้ครูซึ่งเป็นองค์เทพ ลูกหลานปฏิบัติตามจารีตอย่างดี ผีปู่ย่าก็มีอ�ำนาจ ที่มาใช้ร่างตนเองเป็นร่างทรง หรือที่เรียกว่า ม้าขี่ ดลบันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และความ และเรียกพิธีไหว้ครูว่า “ยกครู” เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์ เจริญงอกงามแก่การเพาะปลูกให้แก่ครอบครัวลูก และเป็นการเสริมบารมีให้แก่ร่างทรง ดังที่ สุริยา หลาน” ซึ่งสอดคล้องกับค�ำสัมภาษณ์ของเก๊าผีบ้าน สมุทคุปติ์ และคณะ (2539) กล่าวว่า “พิธีกรรมนี้ ป่ากล้วย ต�ำบลสันนาเม็ง อ�ำเภอสันทราย กล่าว เจ้าภาพจัดขึ้นเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อ ว่า “บ้านไหนที่ดูแลเลี้ยงดูผีปู่ย่าได้ดีท�ำให้มีความ ครูอาจารย์ บิดามารดา และเพื่อเสริม “บารมี” เจริญรุ่งเรือง ในทางตรงกันข้าม ถ้าดูแลไม่ดีจะกลับ ของเจ้าภาพเอง โดยการเชิญร่างทรงจากต�ำหนัก เป็น “ผีร้าย” และถ้าจัดงานฟ้อน (พิธีกรรมฟ้อนผี อื่น และองค์เทพเทวดาทุกสารทิศมาร่วมอ�ำนวย มด ผีเม็ง) ได้ดี เรียบร้อยดีก็เป็นผลดี” (สมบูรณ์ พรให้เจ้าภาพ เนื่องจากพิธีจัดขึ้นเป็นประจ�ำทุก พรมปัน, สัมภาษณ์) จากการที่มโนทัศน์ความเชื่อ ปี ปีละหนึ่งครั้ง พิธีไหว้ครูจึงเป็นโอกาสให้เครือ เรื่องผียังคงด�ำรงอยู่ได้ในปัจจุบันทั้งมาจากเหตุผล ข่ายของเจ้าภาพแต่ละงานกับร่างทรงท่านอื่น ๆ ได้ ที่ญาติผู้ใหญ่ได้อบรมสั่งสอนสืบต่อกันมา บางกลุ่ม มาประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ร่วมกัน” แต่จากการ ก็เชื่อเนื่องจากประทับใจกับบรรยากาศในขณะ ศึกษาภาคสนามพบว่ามีแนวความคิด และแนว ร่วมพิธีกรรมฟ้อนผี ในขณะที่ญาติพี่น้องบางกลุ่ม ปฏิบัติที่ย้อนแย้งกันระหว่างกลุ่มผู้ใหญ่อาวุโส ซึ่ง ก็ประสบกับตัวเองถึงความเชื่อในอ�ำนาจของผีปู่ย่า ด�ำเนินการประกอบพิธีกรรมฟ้อนผีมด ผีเม็ง ตาม ว่าสามารถให้คุณ หรือให้โทษได้ ด้วยเหตุนี้ความ ขนบธรรมเนียมประเพณี และเน้นความศักดิ์สิทธิ์ เชื่อเรื่องผีปู่ย่าจึงยังคงด�ำรงอยู่ในสังคมวัฒนธรรม ของพิธีกรรม แต่ในทางตรงกันข้ามกลุ่มหนุ่มสาว จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ กลับขาดการศึกษาเรียนรู้ในความหมาย พิธีกรรม และจุดเน้นของพิธีกรรม แล้วเข้าร่วมและแสดงออก พิธีกรรมฟ้อนผีมีกรอบมโนทัศน์ความเชื่อ เฉพาะกิจกรรมที่มีความสนุกสนาน โดยเฉพาะเมื่อ เป็นองค์ประกอบหลัก สิ่งที่ส�ำคัญ คือ การประกอบ แต่ละคนได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กันจนเมามาย พิธีตามจารีตประเพณี และมีความศักดิ์สิทธิ์ ในขณะ กอรปกับเสียงดนตรีจากวงเต่งถิ้งแบบประยุกต์ที่ ที่การจัดเตรียมเครื่องเซ่นสังเวยต่าง ๆ โดยการใช้ บรรเลงบทเพลงลูกทุ่งยอดนิยมด้วยจังหวะกระแทก เมล็ดธัญพืช เช่น ถั่ว งา ฯลฯ หน่อกล้วย ต้นอ้อย กระทั้น และมีเสียงดัง แต่ละคนก็เริ่มออกมาเต้นร�ำ Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 227 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

ด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสม แสดงออกเฉพาะความ (2545) กล่าวว่า “การศึกษาเรื่องผีเจ้านาย มิได้มี สนุนสนานที่เกินขอบเขตวัตถุประสงค์ของการ วัตถุประสงค์ที่จะถกเถียง หรือพิสูจน์กันตามหลัก ประกอบพิธีกรรม ภาพองค์รวมของการประกอบ วิทยาศาสตร์ว่า ผีมีจริงหรือไม่? การทรงผีเจ้านาย พิธีจึงผิดเพี้ยนไปจากจารีตประเพณีที่เคยปฏิบัติกัน เป็นเรื่องจริง หรือเรื่องหลอกลวง ประเด็นส�ำคัญอยู่ มา ซึ่งอาจน�ำไปสู่ภาวะการเสื่อมคลายความเชื่อต่อ ตรงที่ว่า เมื่อความเชื่อนี้ยังคงด�ำรงอยู่ก็ย่อมแสดง ผีปู่ย่าในอนาคต ว่า อย่างน้อยผู้คนที่เกี่ยวข้องกับประเพณีนี้เชื่อว่า ผู้ประกอบพิธีกรรม ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ” การศึกษาดังกล่าวกลุ่ม พิธีกรรมการฟ้อนผีมด ผีเม็ง มีเก๊าผี และ ชาวบ้านด�ำรงความเชื่อด้วยความสนิจใจ การเป็น ตั้งข้าวเป็นผู้ประกอบพิธีโดยเป็นตัวแทนสายผีของ ร่างทรงท�ำให้ชีวิตมีความสุข ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถ ครอบครัว เป็นผู้มีความรู้ความในการประกอบพิธี พิสูจน์ทราบในทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับร่างทรงด้วย ให้ถูกต้องตามจารีตประเพณี ปัจจุบันส่วนใหญ่เป็น กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม แต่ในเชิง ผู้หญิงสูงอายุ ดังนั้น หากขาดผู้สืบทอดความรู้และ วัฒนธรรมพบว่าร่างทรงเป็นผู้ประกอบพิธีกรรม ภูมิปัญญานี้ไว้อาจจะท�ำให้พิธีกรรมฟ้อนผีมด และ ฟ้อนผีเจ้านายที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตชาวบ้าน ผีเม็ง ลดน้อยลงไปในอนาคต จึงเป็นภาระหน้าที่ ในท้องถิ่นตลอดมา ของลูกหลานต้องไปศึกษาเรียนรู้ธรรมเนียมปฏิบัติ วงดนตรีปี่พาทย์พื้นบ้านล้านนา หรือ และสืบทอดความเชื่อดั้งเดิมของสายตระกูล เพื่อ วงเต่งถิ้ง ให้พิธีกรรมฟ้อนผียังคงอยู่ในสังคมวัฒนธรรมจังหวัด วงเต่งถิ้งเป็นวงดนตรีหลักในพิธีกรรม เชียงใหม่ต่อไป แต่จากการศึกษาพบว่ามีผู้ประกอบ ฟ้อนผีในสังคมวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ โดยวง พิธีกรรมที่เป็นผีเจ้านายมีจ�ำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง เต่งถิ้งแบบพื้นเมืองนิยมใช้แห่บรรเลงในพิธีกรรม บางคนมีความเชื่อทั้งผีปู่ย่า และองค์เทพในร่าง ฟ้อนผีมด และผีเม็ง ซึ่งการประกอบพิธีกรรมต้อง เดียวกันแต่แสดงตัวเป็นร่างทรงองค์เทพมากกว่า บรรเลงบทเพลงพื้นบ้านในแต่ละช่วงให้เป็นไปตาม และประกอบพิธีกรรมฟ้อนผีเจ้านายเป็นประจ�ำ ธรรมเนียมประเพณี ส่วนช่วงของการละเล่น และ ทุกปี ซึ่ง ก่อนเข้าสู่สถานะการเป็นร่างทรง หรือ การฟ้อนร�ำ ก็สามารถบรรเลงบทเพลงลูกทุ่งยอด ม้าขี่ ส่วนใหญ่เริ่มจากมีอาการเจ็บป่วยโดยไม่ทราบ นิยมสมัยใหม่ได้ การแห่บรรเลงของวงเต่งถิ้งแบบ สาเหตุ เมื่อแพทย์ตรวจรักษาก็ไม่สามารถวินิจฉัย พื้นเมืองแต่ละครั้งไม่จ�ำเป็นต้องใช้เครื่องขยาย โรคได้ เมื่อตัดสินใจรับเป็นร่างทรงอาการป่วยต่าง ๆ เสียง เนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีแบบพื้นบ้าน และ ก็ดีขึ้นจนหายเป็นปลิดทิ้ง อีกทั้งการได้ร่วมพิธีกรรม มีเสียงดังมากพอส�ำหรับการแห่บรรเลงในพิธีกรรม ฟ้อนผีทุก ๆ ปี ชีวิตก็สุขสบายเรื่อยมา แต่มีบางปี ส่วนวงเต่งถิ้งแบบประยุกต์นิยมใช้แห่บรรเลงใน ไม่ได้เข้าร่วมพิธีฟ้อน ท�ำให้มีอาการป่วยขึ้นมาอีก พิธีกรรมฟ้อนผีเจ้านาย โดยบรรเลงบทเพลงแบบ จนกว่าการได้เข้าร่วมในปีต่อไปอาการป่วยต่าง ๆ พื้นเมืองเฉพาะช่วงพิธียกครู ส่วนช่วงอื่น ๆ แห่ จึงดีขึ้น (Heinze, 1997) และสอดคล้องกับการ บรรเลงบทเพลงลูกทุ่งสมัยนิยมมากกว่า และ ศึกษาวิจัยเรื่อง ผีเจ้านาย ของ ฉลาดชาย รมิตานนท์ สิ่งส�ำคัญวงเต่งถิ้งแบบประยุกต์จ�ำเป็นต้องมีเครื่อง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 228 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) การประชุมวิชาการระดับชาติ และนานาชาติ “ราชภัฏวิจัย ครั้งที่ ๔”

ขยายเสียงซึ่งเป็นสิ่งจ�ำเป็นที่ขาดไม่ได้ส�ำหรับ เสนาะต่าง ๆ ในพิธีราบรื่น และเร้าใจ ดนตรีจะเล่น วงเต่งถิ้งที่รับงานแห่ในพิธีกรรมฟ้อนผีเจ้านาย รับ หรือประกอบกับบทสวดต่าง ๆ ขณะเดียวกัน เนื่องจากเสียงจากการแห่บรรเลงที่มีเสียงดังเปรียบ เสียงจังหวะ และจินตนาการอันเกิดจากเสียง เสมือนพิธีฟ้อนผีเจ้านายมีความยิ่งใหญ่เพิ่มขึ้น อีก ดนตรี ท�ำให้การอัญเชิญองค์เทพลงมาประทับทรง ทั้งบางงานยังได้ว่าจ้างวงเต่งถิ้งไปแห่บรรเลง 2 – 3 หรือการแสดงอากัปกริยาต่าง ๆ ของร่างทรงเป็น คณะ เป็นการแสดงบทบาททางสังคมของเจ้าภาพ ไปอย่างเคร่งขรึมเต็มไปด้วยพลังอ�ำนาจและความ แต่อย่างไรก็ตามพิธีกรรมฟ้อนผีไม่ว่าจะเป็นผีมด ศักดิ์สิทธิ์...” ผีเม็ง หรือ ผีเจ้านาย เมื่อก�ำหนดจัดงานขึ้นต้อง ติดต่อประสานงานจองวัน–เวลา ส�ำหรับว่าจ้างวง ข้อเสนอแนะ เต่งถิ้งก่อนทุกครั้ง หากวงดนตรีไม่ว่างก็ไม่สามารถ จากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยมี ประกอบพิธีได้ แสดงถึงความส�ำคัญของเสียงดนตรี ข้อเสนอแนะ ดังนี้ ส�ำหรับประกอบพิธีกรรมฟ้อนผี ดังการศึกษาของ 1. ด้านการวิจัย ควรศึกษาวิจัยพิธีกรรม ฉลาดชาย รมิตานนท์ (2545) กล่าวว่า “วงดนตรี ฟ้อนผีในเขตพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดภาคเหนือ ที่ใช้บรรเลงในงานเป็นวงดนตรีที่มีอาชีพรับจ้าง และควรศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพิธีกรรม บรรเลงในงานไหว้ครูผีเจ้านายโดยเฉพาะหรือเป็น เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) วงหลัก และมีข้อที่น่าสังเกตเกี่ยวกับวงดนตรีก็คือ รวมทั้งควรศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เราสามารถจะเห็นการผสมผสานระหว่างของเก่ากับ เกี่ยวกับสุขภาพของร่างทรง และนักดนตรี เนื่องจาก ของใหม่อย่างไม่ขัดเขิน จะเห็นได้จากเครื่องดนตรี กลุ่มร่างทรง และนักดนตรี มักสูบบุหรี่ และดื่ม ทั้งเครื่องดนตรีที่ถือเป็นของท้องถิ่น เช่น ระนาด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในระหว่างการประกอบ และเครื่องดนตรีที่เป็นของตะวันตก คือ กลองชุด พิธีกรรมฟ้อนผีเป็นประจ�ำ กีตาร์ไฟฟ้า กีตาร์เบสไฟฟ้า” การใช้วงเต่งถิ้งบรรเลง 2. ด้านการส่งเสริมความเข้าใจในพิธีกรรม ในพิธีเป็นส่วนส�ำคัญในการสร้างบรรยากาศทั้ง ฟ้อนผี ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์การ ความศักดิ์สิทธิ์ และความสนุกสนาน สอดคล้อง ปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการประกอบพิธีในเขต กับการศึกษาของสุริยา สมุทคุปติ์ และคณะ รับผิดชอบท�ำการศึกษาระเบียบประเพณีของ (2539) กล่าวว่า “ดนตรีเป็นส่วนประกอบส�ำคัญ พิธีกรรมฟ้อนผี เพื่อเป็นกรอบในการให้การ ที่จะขาดไม่ได้ในระหว่างการประกอบพิธีไหว้ครู สนับสนุน ทั้งเป็นการธ�ำรงรักษาวัฒนธรรมที่ดี และ เจ้าภาพต้องว่าจ้างคณะปี่พาทย์ไว้ส�ำหรับเล่นเพลง สร้างความสัมพันธ์อันดีภายในชุมชน ต่าง ๆ เพื่อเสริมให้การสวด แหล่ หรือขับท�ำนอง Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) Vol.11 Special Edition (November 2016) 229 4th Rajabhat University National and International Research and Academic Conference: RUNIRAC IV

เอกสารอ้างอิง อานันท์ กาญจนพันธุ์. (2555). พิธีบูชาผีปู่ย่าใน ฉลาดชาย รมิตานนท์. (2545). ผีเจ้านาย. พิมพ์ครั้ง ล้านนา: กรณีผีมดผีเม็ง เจ้าที่และผีปู่ย่า: ที่ 2. เชียงใหม่: โรงพิมพ์มิ่งเมือง. พลวัตของความรู้ชาวบ้าน อ�ำนาจและ สมบูรณ์ พรมปัน, สัมภาษณ์, 16 ตุลาคม 2558. ตัวตนของคนท้องถิ่น. เชียงใหม่: ภาค สุริยา สมุทคุปติ์ และคณะ. (2539). ทรงเจ้า วิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะ เข้าผี: วาทกรรมของลัทธิพิธี และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. วิกฤตการณ์ของความทันสมัยในสังคม Heinze, Ruth-Inge. (1997). Trance and ไทย. กรุงเทพฯ: พิฆเณศ พริ้นติ้ง เซ็นเตอร์. Healing in Southeast Asia Today. (2nd revised). Bangkok Thailand: White Lotus. Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) 269 Vol.11 No.1 (January - June 2016)

ภาคผนวก Phranakhon Rajabhat Research Journal (Humanities and Social Sciences) 269 Vol.11 No.1 (January - June 2016)

ภาคผนวก วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ PhranakhonPhranakhon RajabhatRajabhat ResearchResearch JournalJournal (Humanities(Humanities andand SocialSocial Sciences)Sciences) 232282270 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) 271283 ปีที่การประชุมวิชาการระดับชาติ 11 ฉบับที่ 12 (มกราคม(กรกฎาคม-ธันวาคม และนานาชาติ - มิถุนายน 2559)“ราชภัฏวิจัย2559) ครั้งที่ ๔” Vol.11Vol.11 No.2 No.1 (July (January - December - June 2016)2016)

ขั้นตอนการด�าเนินงานของการจัดท�า วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

ผู้เขียน (Authors) ส่งบทความผ่านระบบออนไลน์ แบบฟอร์มเสนอบทความเพื่อพิจารณาน�าลงพิมพ์ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ แก้ไข ไม่เกิน 7 วัน กองบรรณาธิการ (Editors) วันที่...... เดือน...... พ.ศ...... พิจารณา ตรวจรูปแบบบทความ ไม่ผ่าน  ผ่านระบบออนไลน์ ชื่อ-นามสกุล (นาย/นาง/นางสาว) อาจารย์  (ไม่เกิน 5 วัน) ...... นักศึกษาระดับปริญญาโท  นักศึกษาระดับปริญญาเอก ปฏิเสธการตีพิมพ์  อื่น ๆ ระบุ......

ผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewers) หลักสูตร...... สาขา...... พิจารณาบทความ ไม่ผ่าน ผ่านระบบออนไลน์ มหาวิทยาลัย (ไม่เกิน 30 วัน) ...... ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ เลขที่...... หมู่ที่...... ซอย...... ถนน...... รับตีพิมพ์บทความแบบมีเงื่อนไข (ปรับแก้ไข) ต�าบล/แขวง...... อ�าเภอ/เขต...... จังหวัด...... รหัสไปรษณีย์...... โทรศัพท์…………………………………………………….E-mail...... ผู้เขียน (Authors) ปรับแก้ไขบทความ ชื่อเรื่องบทความภาษาไทย ...... ผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewers) พิจารณาบทความ ชื่อเรื่องบทความภาษาอังกฤษ (ตัวพิมพ์ใหญ่) ผ่านระบบออนไลน์ ...... มีความประสงค์ขอส่ง แก้ไข ไม่เกิน 3 วัน     กองบรรณาธิการ (Editors) ผู้เขียน (Authors) ปรับแก้ไข บทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทรรศน์ บทวิจารณ์หนังสือ ตรวจสอบความถูกต้อง ในการนี้ข้าพเจ้ายินดีให้กองบรรณาธิการวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีสิทธิ์ ในการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิโดยอิสระ เพื่อพิจารณาต้นฉบับที่ข้าพเจ้า (และผู้แต่งร่วม) ส่งมา และยินยอมรับผลการพิจารณา กองบรรณาธิการ (Editors) แจ้งผลยืนยันรับบทความ ของผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อลงตีพิมพ์ ตรวจสอบต้นฉบับก่อนตีพิมพ์ ลงชื่อ...... ผู้ส่งบทความวิจัย พิมพ์เผยแพร่ (...... ) วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ PhranakhonPhranakhon RajabhatRajabhat ResearchResearch JournalJournal (Humanities(Humanities andand SocialSocial Sciences)Sciences) 282270 Vol.11 Special Edition (November 2016) 271233283 ปีที่ 11 ฉบับที่ 12 (มกราคม(กรกฎาคม-ธันวาคม - มิถุนายน 2559)2559) 4th Rajabhat University National and International ResearchVol.11 andVol.11 Academic No.2 No.1 (July (JanuaryConference: - December - June RUNIRAC 2016)2016) IV

ขั้นตอนการด�าเนินงานของการจัดท�า วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

ผู้เขียน (Authors) ส่งบทความผ่านระบบออนไลน์ แบบฟอร์มเสนอบทความเพื่อพิจารณาน�าลงพิมพ์ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ แก้ไข ไม่เกิน 7 วัน กองบรรณาธิการ (Editors) วันที่...... เดือน...... พ.ศ...... พิจารณา ตรวจรูปแบบบทความ ไม่ผ่าน  ผ่านระบบออนไลน์ ชื่อ-นามสกุล (นาย/นาง/นางสาว) อาจารย์  (ไม่เกิน 5 วัน) ...... นักศึกษาระดับปริญญาโท  นักศึกษาระดับปริญญาเอก ปฏิเสธการตีพิมพ์  อื่น ๆ ระบุ......

ผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewers) หลักสูตร...... สาขา...... พิจารณาบทความ ไม่ผ่าน ผ่านระบบออนไลน์ มหาวิทยาลัย (ไม่เกิน 30 วัน) ...... ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ เลขที่...... หมู่ที่...... ซอย...... ถนน...... รับตีพิมพ์บทความแบบมีเงื่อนไข (ปรับแก้ไข) ต�าบล/แขวง...... อ�าเภอ/เขต...... จังหวัด...... รหัสไปรษณีย์...... โทรศัพท์…………………………………………………….E-mail...... ผู้เขียน (Authors) ปรับแก้ไขบทความ ชื่อเรื่องบทความภาษาไทย ...... ผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewers) พิจารณาบทความ ชื่อเรื่องบทความภาษาอังกฤษ (ตัวพิมพ์ใหญ่) ผ่านระบบออนไลน์ ...... มีความประสงค์ขอส่ง แก้ไข ไม่เกิน 3 วัน     กองบรรณาธิการ (Editors) ผู้เขียน (Authors) ปรับแก้ไข บทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทรรศน์ บทวิจารณ์หนังสือ ตรวจสอบความถูกต้อง ในการนี้ข้าพเจ้ายินดีให้กองบรรณาธิการวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีสิทธิ์ ในการสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิโดยอิสระ เพื่อพิจารณาต้นฉบับที่ข้าพเจ้า (และผู้แต่งร่วม) ส่งมา และยินยอมรับผลการพิจารณา กองบรรณาธิการ (Editors) แจ้งผลยืนยันรับบทความ ของผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อลงตีพิมพ์ ตรวจสอบต้นฉบับก่อนตีพิมพ์ ลงชื่อ...... ผู้ส่งบทความวิจัย พิมพ์เผยแพร่ (...... ) วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ PhranakhonPhranakhon RajabhatRajabhat ResearchResearch JournalJournal (Humanities(Humanities andand SocialSocial Sciences)Sciences) 234284272 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) 273285 ปีที่การประชุมวิชาการระดับชาติ 11 ฉบับที่ 12 (มกราคม(กรกฎาคม-ธันวาคม และนานาชาติ - มิถุนายน 2559)“ราชภัฏวิจัย2559) ครั้งที่ ๔” Vol.11Vol.11 No.2 No.1 (July (January - December - June 2016)2016)

*ข้าพเจ้าขอรับรองว่าบทความนี้ยังไม่เคยลงตีพิมพ์ในวารสารใดมาก่อน ตลอดจน “ไม่อยู่ในระหว่างการ รายละเอียดการเตรียมบทความเสนอการตีพิมพ์ พิจารณาของวารสารฉบับอื่น” และจะไม่น�าส่งไปเพื่อพิจารณาลงตีพิมพ์ในวารสารอื่น ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ข้าพเจ้า ได้ส่งบทความฉบับนี้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เป็นวารสารราย 6 เดือน เผยแพร่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ ความเห็นของกองบรรณาธิการวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์์และสังคมศาสตร์ ความรู้ และเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนข่าวสารสาระส�าคัญ ประสบการณ์ด้านการวิจัยต่าง ๆ แก่นักวิจัย  ถูกต้องตามรูปแบบของบทความ นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ  ไม่ถูกต้องตามรูปแบบบทความ ค�าแนะน�าการเตรียมต้นฉบับ รับการตีพิมพ์ผลงานทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทความจะต้องพิมพ์ด้วย TH SarabunPSK ขนาด 16 พ. ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ต้นฉบับต้องพิมพ์ในกระดาษขาว ขนาด A4 โดยก�าหนดตั้งค่า ...... หน้ากระดาษ ซ้าย 1 นิ้ว ขวา 1 นิ้ว บน 1 นิ้ว ล่าง 1 นิ้ว ส�าหรับการอ้างอิงเอกสารต้องมีรูปแบบเดียวกัน (...... ) หมดทั้งบทความ กองบรรณาธิการวารสารวิจัย ฯ 1. บทความทางวิชาการ (Article) ประมาณ 10 หน้า ต่อบทความ วันที่...... เดือน...... พ.ศ...... 2. บทความวิจัย (Research Article) ประมาณ 12 หน้า ต่อบทความ 3. บทความปริทรรศน์ (Review Article) ประมาณ 8 หน้า ต่อบทความ 4. บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) ประมาณ 3 หน้า ต่อบทวิจารณ์ ให้พิมพ์ผลงานด้วยกระดาษ A4 พิมพ์หน้าเดียว โดยทุกบทความต้องมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ และมีส่วนประกอบดังนี้

บทความทางวิชาการ บทความวิจัย บทความปริทรรศน์ บทวิจารณ์หนังสือ (Article) (Research Article) (Review Article) (Book Review 1. บทน�า 1. บทน�า 1. บทน�า บทความที่วิพากษ์วิจารณ์เนื้อหา 2. กรอบในการวิเคราะห์ 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2. บทสรุป สาระ คุณค่า และคุณูปการของ 3. เนื้อหา 3. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 3. เอกสารอ้างอิง หนังสือ บทความ หรือผลงาน 4. สรุป (ถ้ามี) ศิลปะ อาทิ นิทรรศการทัศนศิลป์ 5. เอกสารอ้างอิง 4. ขอบเขตของการวิจัย และการแสดงละครหรือดนตรี 5. สมมติฐาน (ถ้ามี) โดยใช้หลักวิชาและดุลยพินิจ 6. กรอบแนวคิดของการวิจัย อันเหมาะสม 7. ระเบียบวิธีวิจัย 8. สรุปผลการวิจัยและ อภิปรายผลการวิจัย 9. ข้อเสนอแนะ 10. เอกสารอ้างอิง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ PhranakhonPhranakhon RajabhatRajabhat ResearchResearch JournalJournal (Humanities(Humanities andand SocialSocial Sciences)Sciences) 284272 Vol.11 Special Edition (November 2016) 273235285 ปีที่ 11 ฉบับที่ 12 (มกราคม(กรกฎาคม-ธันวาคม - มิถุนายน 2559)2559) 4th Rajabhat University National and International ResearchVol.11 andVol.11 Academic No.2 No.1 (July (JanuaryConference: - December - June RUNIRAC 2016)2016) IV

*ข้าพเจ้าขอรับรองว่าบทความนี้ยังไม่เคยลงตีพิมพ์ในวารสารใดมาก่อน ตลอดจน “ไม่อยู่ในระหว่างการ รายละเอียดการเตรียมบทความเสนอการตีพิมพ์ พิจารณาของวารสารฉบับอื่น” และจะไม่น�าส่งไปเพื่อพิจารณาลงตีพิมพ์ในวารสารอื่น ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ข้าพเจ้า ได้ส่งบทความฉบับนี้ วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เป็นวารสารราย 6 เดือน เผยแพร่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ ความเห็นของกองบรรณาธิการวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์์และสังคมศาสตร์ ความรู้ และเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนข่าวสารสาระส�าคัญ ประสบการณ์ด้านการวิจัยต่าง ๆ แก่นักวิจัย  ถูกต้องตามรูปแบบของบทความ นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ  ไม่ถูกต้องตามรูปแบบบทความ ค�าแนะน�าการเตรียมต้นฉบับ รับการตีพิมพ์ผลงานทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทความจะต้องพิมพ์ด้วย TH SarabunPSK ขนาด 16 พ. ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ต้นฉบับต้องพิมพ์ในกระดาษขาว ขนาด A4 โดยก�าหนดตั้งค่า ...... หน้ากระดาษ ซ้าย 1 นิ้ว ขวา 1 นิ้ว บน 1 นิ้ว ล่าง 1 นิ้ว ส�าหรับการอ้างอิงเอกสารต้องมีรูปแบบเดียวกัน (...... ) หมดทั้งบทความ กองบรรณาธิการวารสารวิจัย ฯ 1. บทความทางวิชาการ (Article) ประมาณ 10 หน้า ต่อบทความ วันที่...... เดือน...... พ.ศ...... 2. บทความวิจัย (Research Article) ประมาณ 12 หน้า ต่อบทความ 3. บทความปริทรรศน์ (Review Article) ประมาณ 8 หน้า ต่อบทความ 4. บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) ประมาณ 3 หน้า ต่อบทวิจารณ์ ให้พิมพ์ผลงานด้วยกระดาษ A4 พิมพ์หน้าเดียว โดยทุกบทความต้องมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ และมีส่วนประกอบดังนี้

บทความทางวิชาการ บทความวิจัย บทความปริทรรศน์ บทวิจารณ์หนังสือ (Article) (Research Article) (Review Article) (Book Review 1. บทน�า 1. บทน�า 1. บทน�า บทความที่วิพากษ์วิจารณ์เนื้อหา 2. กรอบในการวิเคราะห์ 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2. บทสรุป สาระ คุณค่า และคุณูปการของ 3. เนื้อหา 3. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 3. เอกสารอ้างอิง หนังสือ บทความ หรือผลงาน 4. สรุป (ถ้ามี) ศิลปะ อาทิ นิทรรศการทัศนศิลป์ 5. เอกสารอ้างอิง 4. ขอบเขตของการวิจัย และการแสดงละครหรือดนตรี 5. สมมติฐาน (ถ้ามี) โดยใช้หลักวิชาและดุลยพินิจ 6. กรอบแนวคิดของการวิจัย อันเหมาะสม 7. ระเบียบวิธีวิจัย 8. สรุปผลการวิจัยและ อภิปรายผลการวิจัย 9. ข้อเสนอแนะ 10. เอกสารอ้างอิง วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ PhranakhonPhranakhon RajabhatRajabhat ResearchResearch JournalJournal (Humanities(Humanities andand SocialSocial Sciences)Sciences) 236286274 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) 275287 ปีที่การประชุมวิชาการระดับชาติ 11 ฉบับที่ 12 (มกราคม(กรกฎาคม-ธันวาคม และนานาชาติ - มิถุนายน 2559)“ราชภัฏวิจัย2559) ครั้งที่ ๔” Vol.11Vol.11 No.2 No.1 (July (January - December - June 2016)2016)

ชื่อเรื่อง : ควรกะทัดรัด ไม่ยาวจนเกินไป ถ้าบทความเป็นภาษาไทย ชื่อเรื่องต้องมีทั้งภาษาไทยและ 3. อ้างอิงจากวิทยานิพนธ์ ภาษาอังกฤษ รูปแบบ : ผู้แต่ง.//(ปี พ.ศ.ที่พิมพ์).//ชื่อวิทยานิพนธ์.//ชื่อปริญญา (เต็ม)//หน่วยงาน ชื่อผู้เขียน : ชื่อเต็ม-นามสกุลเต็ม ของผู้เขียนครบทุกคนทั้งบทความภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ ส�าหรับ ตัวอย่าง : จงกลรัตน์ อาจศัตรู. (2544). การศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนตามแบบวัฏจักร ผู้เขียนหลักต้องใส่ที่อยู่โดยละเอียด หมายเลขโทรศัพท์ / โทรสาร และ E-mail address การเรียนรู้ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ที่สามารถติดต่อได้ และลงเครื่องหมายดอกจันก�ากับด้วย ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขา บทคัดย่อ : จะปรากฏน�าหน้าตัวเรื่อง ทั้งบทคัดย่อภาษาไทย และภาษาอังกฤษมีความยาวระหว่าง 200 การศึกษาวิทยาศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. ถึง 250 ค�า Choomchuay, S. (1993). Algorthm and Architecture for Reed-Solomon ค�าส�าคัญ : ให้มีค�าส�าคัญไม่เกิน 5 ค�า ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ Decoding. Ph.D. Thesis, Imperial Colleg, University of London, UK. รูปภาพ : ขึ้นหน้าใหม่ ให้มี 1 รูป ต่อ 1 หน้า และแยกบันทึกเป็นไฟล์ภาพที่มีนามสกุล TIFFs, หรือ JPEGs 4. อ้างอิงจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ถ้าเป็นภาพถ่ายกรุณาส่งภาพต้นฉบับ เพื่อคุณภาพในการพิมพ์ หมายเลขรูปภาพ และกราฟ รูปแบบ : ผู้แต่ง.//(ปี พ.ศ.ที่พิมพ์).//ชื่อเรื่อง.//สืบค้นจาก//วิธีการเข้าถึงและสถานที่ของข้อมูล. ให้เป็นเลขอารบิก ค�าบรรยายและรายละเอียดต่าง ๆ อยู่ด้านล่างของรูปภาพ และกราฟ ตัวอย่าง : อรรถศิษฐุ์ วงศ์มณีโรจน์. (2542). ประวัติความเป็นมาของวิชาการอุดมสมบูรณ์ของดิน. กรุณาขึ้นหน้าใหม่ ให้มี 1 ตาราง ต่อ 1 หน้า หมายเลขตารางให้เป็นเลขอารบิก ค�าบรรยาย ตาราง : สืบค้นจาก http://web.sut.ac.th/farm/farm/index.php/th/2012-06-03- และรายละเอียดต่าง ๆ อยู่ด้านบนของตาราง 05-02-12/68-2012-06-22-09-24-9 เอกสารอ้างอิง : รายชื่อเอกสารที่ใช้เป็นหลักในการค้นคว้าวิจัย ที่ได้ตรวจสอบเพื่อน�ามาเตรียมรายงาน และ Noam, E.M. (1994). Telecommunication Policy Issue for the Next Century. มีการอ้างถึง ต้องจัดเรียงล�าดับตามพยัญชนะตัวแรก โดยอ้างอิงกลุ่มเอกสารภาษาไทยก่อน Retrived from gopher://198.80.36...//global/telcom.txt.

รูปแบบการพิมพ์เอกสารอ้างอิง การส่งบทความ 1. อ้างอิงจากหนังสือ ผูเขียนต้้ องส้้ งต่่ นฉบับทางออนไลน์เท่านั้น้้ โดยการสมัครสมาชิก (Register) วารสารวิจัยราชภัฏ รูปแบบ : ผู้แต่ง.//(ปี พ.ศ.ที่พิมพ์).//ชื่อหนังสือ.//ครั้งที่พิมพ์.(ถ้ามี)//เมืองที่พิมพ์/: //ส�านักพิมพ์. พระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในระบบ ThaiJO (https://www.tci-thaijo.org/index. ตัวอย่าง : : นฤมิตร ลิ่วชันมงคลลิ่วชันมงคล, สุภาพ แสงบุญไทยแสงบุญไทย และและถาวร ถาวร เก็งวินิจ. (2527). . กรุงเทพฯ: คู่มือตึกแถวคู่มือตึกแถว. php/ PNRU_JHSS/user/register) เพื่อขอรับ Username และ Password แล้วคลิกที่ปุ่ม Log In เพื่อ โรงพิมพ์น�าอักษรการพิมพ์. เข้าสู่ระบบ ThaiJO ในกรณีที่เป็นสมาชิกของวารสารแล้ว กรุณาเข้าสู่ระบบ log in และไปยังขั้นตอน Davis, C.V. (1980). Handbook of Applied Hydraulics. 3rd Edition. New York: การ SUBMISSION McGraw – Hill. 2. อ้างอิงจากวารสาร หมายเหตุ: 1. กองบรรณาธิการฯ ขอสงวนสิทธิ์ ในการแก้ไขข้อความบางส่วนโดยไม่กระทบต่อเนื้อหาหลัก รูปแบบ : ผู้แต่ง.//(ปี พ.ศ.ที่พิมพ์).//ชื่อบทความ.//ชื่อวารสาร.//ปีที่(ฉบับที่),//เลขหน้า-เลขหน้า. ของบทความ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบการตีพิมพ์ของวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร ตัวอย่าง : ถวิล พึ่งมา, พิชญ์ บุญตรา. (2533). การพัฒนาเครื่องมือวัดปริมาณน�้าฝนส�าหรับ สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ประเทศไทย. วิศวกรรมสาร. 43(2), 73-76. 2. บทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนเท่านั้น Ozaki, M., Adachi, Y., Iwahori, Y. & Ishii, N. (1998). Application of Fuzzy Theory to Writer Recognition of Chinese Characters. International Journal of Modeling and Simulation. 18(2), 112-116. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ PhranakhonPhranakhon RajabhatRajabhat ResearchResearch JournalJournal (Humanities(Humanities andand SocialSocial Sciences)Sciences) 286274 Vol.11 Special Edition (November 2016) 275237287 ปีที่ 11 ฉบับที่ 12 (มกราคม(กรกฎาคม-ธันวาคม - มิถุนายน 2559)2559) 4th Rajabhat University National and International ResearchVol.11 andVol.11 Academic No.2 No.1 (July (JanuaryConference: - December - June RUNIRAC 2016)2016) IV

ชื่อเรื่อง : ควรกะทัดรัด ไม่ยาวจนเกินไป ถ้าบทความเป็นภาษาไทย ชื่อเรื่องต้องมีทั้งภาษาไทยและ 3. อ้างอิงจากวิทยานิพนธ์ ภาษาอังกฤษ รูปแบบ : ผู้แต่ง.//(ปี พ.ศ.ที่พิมพ์).//ชื่อวิทยานิพนธ์.//ชื่อปริญญา (เต็ม)//หน่วยงาน ชื่อผู้เขียน : ชื่อเต็ม-นามสกุลเต็ม ของผู้เขียนครบทุกคนทั้งบทความภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ ส�าหรับ ตัวอย่าง : จงกลรัตน์ อาจศัตรู. (2544). การศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนตามแบบวัฏจักร ผู้เขียนหลักต้องใส่ที่อยู่โดยละเอียด หมายเลขโทรศัพท์ / โทรสาร และ E-mail address การเรียนรู้ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ที่สามารถติดต่อได้ และลงเครื่องหมายดอกจันก�ากับด้วย ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขา บทคัดย่อ : จะปรากฏน�าหน้าตัวเรื่อง ทั้งบทคัดย่อภาษาไทย และภาษาอังกฤษมีความยาวระหว่าง 200 การศึกษาวิทยาศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. ถึง 250 ค�า Choomchuay, S. (1993). Algorthm and Architecture for Reed-Solomon ค�าส�าคัญ : ให้มีค�าส�าคัญไม่เกิน 5 ค�า ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ Decoding. Ph.D. Thesis, Imperial Colleg, University of London, UK. รูปภาพ : ขึ้นหน้าใหม่ ให้มี 1 รูป ต่อ 1 หน้า และแยกบันทึกเป็นไฟล์ภาพที่มีนามสกุล TIFFs, หรือ JPEGs 4. อ้างอิงจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ถ้าเป็นภาพถ่ายกรุณาส่งภาพต้นฉบับ เพื่อคุณภาพในการพิมพ์ หมายเลขรูปภาพ และกราฟ รูปแบบ : ผู้แต่ง.//(ปี พ.ศ.ที่พิมพ์).//ชื่อเรื่อง.//สืบค้นจาก//วิธีการเข้าถึงและสถานที่ของข้อมูล. ให้เป็นเลขอารบิก ค�าบรรยายและรายละเอียดต่าง ๆ อยู่ด้านล่างของรูปภาพ และกราฟ ตัวอย่าง : อรรถศิษฐุ์ วงศ์มณีโรจน์. (2542). ประวัติความเป็นมาของวิชาการอุดมสมบูรณ์ของดิน. กรุณาขึ้นหน้าใหม่ ให้มี 1 ตาราง ต่อ 1 หน้า หมายเลขตารางให้เป็นเลขอารบิก ค�าบรรยาย ตาราง : สืบค้นจาก http://web.sut.ac.th/farm/farm/index.php/th/2012-06-03- และรายละเอียดต่าง ๆ อยู่ด้านบนของตาราง 05-02-12/68-2012-06-22-09-24-9 เอกสารอ้างอิง : รายชื่อเอกสารที่ใช้เป็นหลักในการค้นคว้าวิจัย ที่ได้ตรวจสอบเพื่อน�ามาเตรียมรายงาน และ Noam, E.M. (1994). Telecommunication Policy Issue for the Next Century. มีการอ้างถึง ต้องจัดเรียงล�าดับตามพยัญชนะตัวแรก โดยอ้างอิงกลุ่มเอกสารภาษาไทยก่อน Retrived from gopher://198.80.36...//global/telcom.txt.

รูปแบบการพิมพ์เอกสารอ้างอิง การส่งบทความ 1. อ้างอิงจากหนังสือ ผูเขียนต้้ องส้้ งต่่ นฉบับทางออนไลน์เท่านั้น้้ โดยการสมัครสมาชิก (Register) วารสารวิจัยราชภัฏ รูปแบบ : ผู้แต่ง.//(ปี พ.ศ.ที่พิมพ์).//ชื่อหนังสือ.//ครั้งที่พิมพ์.(ถ้ามี)//เมืองที่พิมพ์/: //ส�านักพิมพ์. พระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในระบบ ThaiJO (https://www.tci-thaijo.org/index. ตัวอย่าง : : นฤมิตร ลิ่วชันมงคลลิ่วชันมงคล, สุภาพ แสงบุญไทยแสงบุญไทย และและถาวร ถาวร เก็งวินิจ. (2527). . กรุงเทพฯ: คู่มือตึกแถวคู่มือตึกแถว. php/ PNRU_JHSS/user/register) เพื่อขอรับ Username และ Password แล้วคลิกที่ปุ่ม Log In เพื่อ โรงพิมพ์น�าอักษรการพิมพ์. เข้าสู่ระบบ ThaiJO ในกรณีที่เป็นสมาชิกของวารสารแล้ว กรุณาเข้าสู่ระบบ log in และไปยังขั้นตอน Davis, C.V. (1980). Handbook of Applied Hydraulics. 3rd Edition. New York: การ SUBMISSION McGraw – Hill. 2. อ้างอิงจากวารสาร หมายเหตุ: 1. กองบรรณาธิการฯ ขอสงวนสิทธิ์ ในการแก้ไขข้อความบางส่วนโดยไม่กระทบต่อเนื้อหาหลัก รูปแบบ : ผู้แต่ง.//(ปี พ.ศ.ที่พิมพ์).//ชื่อบทความ.//ชื่อวารสาร.//ปีที่(ฉบับที่),//เลขหน้า-เลขหน้า. ของบทความ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบการตีพิมพ์ของวารสารวิจัยราชภัฏพระนคร ตัวอย่าง : ถวิล พึ่งมา, พิชญ์ บุญตรา. (2533). การพัฒนาเครื่องมือวัดปริมาณน�้าฝนส�าหรับ สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ประเทศไทย. วิศวกรรมสาร. 43(2), 73-76. 2. บทความในวารสารฉบับนี้ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนเท่านั้น Ozaki, M., Adachi, Y., Iwahori, Y. & Ishii, N. (1998). Application of Fuzzy Theory to Writer Recognition of Chinese Characters. International Journal of Modeling and Simulation. 18(2), 112-116. วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ PhranakhonPhranakhon RajabhatRajabhat ResearchResearch JournalJournal (Humanities(Humanities andand SocialSocial Sciences)Sciences) 238288276 ปีที่ 11 ฉบับพิเศษ (พฤศจิกายน 2559) 277289 ปีที่การประชุมวิชาการระดับชาติ 11 ฉบับที่ 12 (มกราคม(กรกฎาคม-ธันวาคม และนานาชาติ - มิถุนายน 2559)“ราชภัฏวิจัย2559) ครั้งที่ ๔” Vol.11Vol.11 No.2 No.1 (July (January - December - June 2016)2016)

ตัวอย่าง ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย (16 หนา) (16 บาง)...... การพัฒนารูปแบบรายวิชาคู่ขนานในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการโรงแรม 1 กับวิชาหลักการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ขอบเขตของการวิจัย (16 หนา) (16 บาง)...... SEQUENCED COURSES MODEL DEVELOPMENT BETWEEN ENGLISH 18 หนา FOR HOTEL 1 AND HOTEL PRINCIPLES กรอบแนวคิดของการวิจัย (16 หนา) AT PHRANAKHON RAJABHAT UNIVERSITY (16 บาง)......

กัญณภัทร นิธิศวราภากุล1*,, นาตยา ปิลันธนานนท์ปิลันธนานนท์22 และและนพวรรณ นพวรรณ ฉิมลอยลาภ33 ระเบียบวิธีวิจัย (16 หนา) Kannaphat Nithitwaraphakun1*, Nataya Pilanthananond2 and 14 บาง (16 บาง)...... Nopphawan Chimroylarp3 หลักสูตรศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตสาขาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์1* สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย (16 หนา) 2,3 สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 12 บาง (16 บาง)...... [email protected]* ข้อเสนอแนะ (16หนา) บทคัดย่อ่ (16 หนา) (16 บาง)...... (16 บาง)...... เอกสารอ้างอิง (16 หนา) ค�าส�าคัญ:...... (16 บาง)......

ABTRACT (16 หนา) (16 บาง)......

Keywords:......

บทน�า (16 หนา) (16 บาง)......

วัตถุประสงค์ของการวิจัย์ (16 หนา) (16 บาง)...... วารสารวิจัยราชภัฏพระนคร สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ PhranakhonPhranakhon RajabhatRajabhat ResearchResearch JournalJournal (Humanities(Humanities andand SocialSocial Sciences)Sciences) 288276 Vol.11 Special Edition (November 2016) 277239289 ปีที่ 11 ฉบับที่ 12 (มกราคม(กรกฎาคม-ธันวาคม - มิถุนายน 2559)2559) 4th Rajabhat University National and International ResearchVol.11 andVol.11 Academic No.2 No.1 (July (JanuaryConference: - December - June RUNIRAC 2016)2016) IV

ตัวอย่าง ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย (16 หนา) (16 บาง)...... การพัฒนารูปแบบรายวิชาคู่ขนานในรายวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการโรงแรม 1 กับวิชาหลักการโรงแรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ขอบเขตของการวิจัย (16 หนา) (16 บาง)...... SEQUENCED COURSES MODEL DEVELOPMENT BETWEEN ENGLISH 18 หนา FOR HOTEL 1 AND HOTEL PRINCIPLES กรอบแนวคิดของการวิจัย (16 หนา) AT PHRANAKHON RAJABHAT UNIVERSITY (16 บาง)......

กัญณภัทร นิธิศวราภากุล1*,, นาตยา ปิลันธนานนท์ปิลันธนานนท์22 และและนพวรรณ นพวรรณ ฉิมลอยลาภ33 ระเบียบวิธีวิจัย (16 หนา) Kannaphat Nithitwaraphakun1*, Nataya Pilanthananond2 and 14 บาง (16 บาง)...... Nopphawan Chimroylarp3 หลักสูตรศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตสาขาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์1* สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผลการวิจัย (16 หนา) 2,3 สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 12 บาง (16 บาง)...... [email protected]* ข้อเสนอแนะ (16หนา) บทคัดย่อ (16 หนา) (16 บาง)...... (16 บาง)...... เอกสารอ้างอิง (16 หนา) ค�าส�าคัญ:...... (16 บาง)......

ABTRACT (16 หนา) (16 บาง)......

Keywords:......

บทน�า (16 หนา) (16 บาง)......

วัตถุประสงค์ของการวิจัย (16 หนา) (16 บาง)......