In Tobacco Use in Kenya
Total Page:16
File Type:pdf, Size:1020Kb
การศึกษาบทบาทของยาสูบไร้ควันเพื่อการควบคุมยาสูบระดับประเทศ และนานาชาติในทศวรรษหน้า รองศาสตราจารย์ ทันตแพทย์วรนัติ วีระประดิษฐ์ รองศาสตราจารย์ทันตแพทย์เชวงเกียรติ แสงศิรินาวิน รองศาสตราจารย์ ทันตแพทย์หญิงเพ็ญพรรณ เลาหพันธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทันตแพทย์หญิง ดร.วรางคณา ชิดช่วงชัย รองศาสตราจารย์ ทันตแพทย์หญิง ดร.สิริบังอร พิบูลนิยม โขวิฑูรกิจ ทันตแพทย์หญิงวิกุล วิสาลเสสถ์ รองศาสตราจารย์ ทันตแพทย์หญิง ดร.วรานันท์ บัวจีบ การศกษานึ ไดี้ ร้ ับทุนสนับสนนโดยศุ ูนยว์ ิจยและจั ัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสบู (ศจย.) และสํานกงานกองทั นสนุ ับสนุนการสร้างเสริมสขภาพุ (สสส.) สารบญั บทท ี่ หน้า 1 ประวัติของยาสูบไร้ควัน ...................................................................................... 1 1.1 การใช้ยาสูบชนิดเคี้ยว ............................................................................ 1 1.2 การใช้ snuff .......................................................................................... 3 1.3 ทัศนคติ และความเชื่อเกี่ยวกับยาสูบไร้ควัน .......................................... 6 2 การใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบไร้ควัน ............................................................................... 10 2.1 ชนิด ส่วนประกอบ และวิธีการบริโภคผลิตภัณฑ์ยาสูบไร้ควัน .................... 10 2.2 การผลิต การบริโภค และความชุกของการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบไร้ควัน .... 20 2.3 ความสัมพนธั ์ระหว่างการใช้ยาสูบไร้ควันและการสูบบุหรี่ ..................... 43 2.4 สรุป ........................................................................................................ 55 3 ผลของยาสูบไร้ควันต่อสุขภาพ ............................................................................. 104 3.1 สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบในยาสูบไร้ควัน ............................................ 104 3.2 ผลของการเสพยาสูบไร้ควันกับการเกิดและการตายจากโรคหัวใจ ร่วมหลอดเลือด ...................................................................................... 116 3.3 ผลของการเสพยาสูบไร้ควันกับการเกิดรอยโรคในช่องปาก ................... 118 3.4 ผลของการเสพยาสูบไร้ควันกับการเกิดโรคปริทันต์ ............................... 120 3.5 ผลของการใช้ยาสูบไร้ควันต่อการเกิดมะเร็ง .......................................... 122 3.6 ผลของยาสูบไร้ควันต่อสุขภาพของประชากร ......................................... 123 4 การตลาดของอุตสาหกรรมยาสูบไร้ควัน ............................................................... 132 5 กฎหมายและระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับยาสูบไร้ควัน ............................................ 147 6 สรุป และข้อเสนอแนะเพื่อการควบคุมยาสูบไร้ควัน ............................................. 166 บทที่ 1 ประวัติของยาสูบไร้ควัน (History of Smokeless Tobacco) รศ.ทพ.เชวงเกียรติ แสงศิรินาวิน โรงงานยาสูบตั้งขึ้นครั้งแรกบนแผ่นดินใหญ่ระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ส่วนการเพาะปลูก ยาสูบมีมานานไม่น้อยกว่า 5000 ปี มีหลักฐานทางโบราณคดีพบเมล็ดยาสูบในประเทศเม็กซิโกและเปรู ประมาณ 3500 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ ยาสูบเป็นของมีค่าของประชากร (Voges, 1984) ชนเผ่าอินเดียนแดงในประเทศ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นพวกแรกท่ีใช้ยาสูบไร้ควันด้วยการเคี้ยวและจุกยาสูบในปากซึ่งใช้กันมาตั้งแต่ต้น คริสต์ศตวรรษที่ 14 (Christen และคณะ, 1982) ชาวอินเดียนแดงอเมริกันยังมีการสูดนัตถุ์ผงยาสูบที่บดละเอียด เข้าทางจมูก โดยใช้อุปกรณ์ที่สร้างขึ้นเฉพาะ เรียกเครื่องมือนี้ว่า “โทเบโค่”(tobago) หรือ “โทเบคา” (tobaca) ภายหลังเรียกชื่อเป็น “โทเบคโค่” (tobacco) หรือ ยาสูบ (Christen และคณะ, 1982) 1.1 การใช้ยาสูบชนิดเคี้ยว ใน ค.ศ. 1499 นักสํารวจทางทะเลชื่อ Americo Vespucci พบชนเผ่าอินเดียนแดงบนเกาะมาร์การิตา นอกชายฝั่งของประเทศเวเนซุเอลา เคี้ยวสมุนไพรสีเขียวหรือใบยาสูบ เพื่อแก้กระหายน้ํา เพราะทําให้มีน้ําลาย ออกมากขึ้น การเคี้ยวใบยาสูบทําให้ฟันขาวขึ้นและสามารถบรรเทาความหิว (Heimann, 1960; Stewart, 1967 ; Voges, 1984) การเคี้ยวยาสูบมีการแพร่กระจายไปอเมริกากลางและอเมริกาใต้อย่างกว้างขวางในปลาย คริสต์ศักราช 1500 (Voges, 1984) Christopher Columbus สังเกตว่าผู้ชายในวีรากัว (Veragua) ซึ่ง ต่อมาภายหลังคือประเทศคอสตาริกา เคี้ยวสมุนไพรแห้งในปาก (Heimann, 1960) มีรายงานการใช้ยาสูบ plug ในซานโตโดมิงโก (Santo Domingo) ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 การเคี้ยวยาสูบเป็นเรื่องธรรมดาที่ทํากัน ทั่วไปของชนเผ่าอินเดียนแดงอเมริกัน เมื่อต้องเดินทางไกลจะช่วยให้ลดความอยากอาหาร ลดอาการกระหายน้ํา และลดความเหนื่อยเมื่อยล้า ทําให้สามารถเดินทางไกล 2-3 วัน โดยไม่ต้องใช้สารอื่นช่วยนอกจากนี้ยังมีการผสม มะนาวและเกลือบดละเอียดลงในใบยาสูบที่ใช้เคี้ยว (Curtis, 1935) การเคี้ยวยาสูบของชนเผ่าอินเดียนแดงด้วยความเข้าใจว่าเป็นยารักษาโรค เป็นยาบรรเทาอาการปวดฟัน บรรเทาอาการปวดจากการถูกงูกัด แมงมุมและแมลงกัดต่อย และใช้ฆ่าเชื้อโรคเมื่อเกิดบาดแผลโดยการบ้วนน้ํา ยาสูบลงบนบาดแผล (Axton, 1975) 1 ในปี ค.ศ. 1531 ชาวสเปนปลูก และค้าขายยาสูบอย่างแพร่หลายในหมู่เกาะอินเดียตะวันตก และผูกขาด การค้าในตลาดยุโรป จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1575 โปรตุเกสเริ่มขยายอาณานิคมกว้างขวางขึ้น จึงได้มีการปลูกยาสูบ ในยุโรป และแพร่หลายเป็นทั้งของโก้เก๋และเป็นยา ในปี ค.ศ. 1559 Jean Nicot ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นฑูตเข้าเฝ้า พระมหากษัตริย์ Sebastian ของประเทศโปรตุเกส ได้รับเกียรติใช้ชื่อเป็นชื่อเรียกของพืชยาสูบ Nicotiana ซึ่งตั้ง ชื่อโดยพระมหากษัตริย์ Sebastian ของประเทศโปรตุเกส ซึ่งทรงสามารถทํารายได้จากยาสูบมาก และโฆษณา ผลิตภัณฑ์ยาสูบว่ามีคุณสมบัติวิเศษสามารถรักษาได้ทุกโรค (cure-all) โดยช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ยาสูบได้เป็น สินค้าส่งออกที่สําคัญอันดับหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา (Christen และคณะ, 1982) และมีการใช้ในรูปแบบ ต่าง ๆ และแผ่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศตุรกี รัสเซีย อราเบีย จีน และอลาสกา (Axton, 1975) กะลาสีเรือชาวโปรตุเกสและสเปนที่ติดยาสูบ มักจะปลูกต้นยาสูบไว้บนเรือ เมื่อการสูบบุหรี่บนเรือถูกห้าม โดยกองทัพเรืออังกฤษเนื่องจากอาจเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ กะลาสีเรือจึงเปลี่ยนไปนิยมเคี้ยวยาสูบและจุก snuff ในปากแทน ในทวีปยุโรป ยาสูบถือเป็นสารป้องกันโรคระบาด ซึ่งสําหรับผู้ที่ไม่ชอบการสูบบุหรี่อาจเลือกใช้ยาสูบชนิด เคี้ยว มีการแนะนําให้เคี้ยวยาสูบเพื่อทําความสะอาดฟันของสตรีและเด็ก (Brooks, 1952) ในระหว่างครึ่งแรกของ ศตวรรษที่ 19 การเคี้ยวยาสูบเป็นที่นิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา (Gottsegen, 1940) แม้จะผ่านสองศตวรรษของ การสูบไปป์ และการใช้ snuff แต่ในช่วง ค.ศ. 1850 ประชากรในทวีปอเมริกาเหนือไม่ยอมรับแนวทางปฏิบัติของ ประชากรในทวีปยุโรป รวมถึงไม่ยอมรับแนวทางปฏิบัติของชาวอังกฤษซึ่งใช้กล่องยาเส้น และเน้นพิธีการ ชาว อเมริกันมักสะดวกที่จะใช้ยาสูบชนดเคิ ี้ยวระหว่างการเดินทาง ในระหว่างค.ศ. 1860 มีการใช้ยาสูบชนิดเคี้ยวทั้งใน รูปแบบของ plug และ twist ซึ่งมีโรงงานยาสูบถึง 348 โรงใน Virginia และ North Carolina แต่มีเพียง 7 โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ที่ทํายาสูบ (Heimann, 1960) ผู้บุกเบิกของอเมริกันใช้ยาสูบไร้ควันโดยทําเองเป็น plug รส หวาน ทําให้มีรสชาติอรอย่ (Axton, 1975) ใน ค.ศ. 1797 Adam Clarke รัฐมนตรีเมทอดสติ ขอร์ ้องให้ผู้บริโภคยาสูบทั้งหมดและผู้ตดตามทางศาสนาิ หลีกเลี่ยงการใช้ยาสูบเพื่อประโยชน์ของสุขภาพของตน นอกจากนี้การบ้วนน้ําลายจากการใช้ยาสูบยังทําให้พื้น สกปรก และขาดสุขอนามัยเมื่อคุกเข่าเพื่ออธิษฐานหรือสวดมนต์ (Brooks, 1952) ในช่วงหลังของศตวรรษที่ 19 ทฤษฎีของการติดเชื้อทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเคี้ยวยาสูบในประเทศ สหรัฐอเมริกา เนื่องจากการบ้วนน้ําลายลงบนพื้นจะเป็นแหล่งของมลภาวะและการแพร่กระจายของโรค ในปี ค.ศ. 1890 การเคี้ยวยาสูบในที่สาธารณะเป็นพฤติกรรมที่สังคมรังเกียจและไม่เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งผิดกฎหมาย (Christen และคณะ, 1982) มีกฎหมายควบคุมการบ้วนน้ําลายจากการเคี้ยวยาสูบในปี ค.ศ. 1896 ที่ รัฐฟิลาเดล เฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และในปี ค.ศ. 1904 ที่ เมืองโตรอนโต ประเทศคานาดา (Kozlowski, 1981) ตลาดของยาสูบชนิดเคี้ยวมียอดจําหน่ายสูงสุด ในปี ค.ศ. 1890 มียอดใช้ยาสูบนี้ราวคนละ 3 ปอนด์ หรือ 1.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ในประเทศสหรัฐอเมริกา (Heimann, 1960) อย่างไรก็ตามการเคี้ยวยาสูบในประเทศ 2 สหรัฐอเมริกายังคงรูปแบบเดิม จนกระทั่งถึงการขยายตัวของอุตสาหกรรมบุหรี่ ในปี ค.ศ. 1918 (Maxwell 1980) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1945 กระโถนบ้วนยาสูบถูกนําออกจากอาคารของรัฐบาลกลางทั้งหมดตามคําสั่งของศาลแขวง ประเทศสหรัฐอเมริกาในกรุงวอชิงตันดีซี (Brooks, 1952) เป็นการลดลงของยาสูบชนิดเคี้ยว ตามรายงานเมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1955 ของบริษัทผลิตยาสูบประเทศสหรัฐอเมริกา (the American Tobacco Company) ซึ่ง ระบุว่า “เป็นไปไม่ได้ในการจ้างคนในพื้นที่นิวยอร์กเพื่อทําความสะอาด และดูแลกระโถนบ้วนยาสูบ……จึงต้อง ยกเลิกยาสูบชนิดเคี้ยวโดยทันที (Heimann, 1960) แต่แล้วระหว่างครึ่งปีหลังของ ค.ศ. 1960 จนถึง ค.ศ. 1970 ก็ มีการฟื้นตัวของการเคี้ยวยาสูบขึ้นอีกในประเทศสหรัฐอเมริกา (Christen และ Glover, 1981) 1.2 การใช้ snuff ประชากรพื้นเมืองของประเทศบราซิลเป็นพวกแรกที่รู้จักการใช ้ snuff โดยการใช้ถ้วยและสากที่ทําจากไม้ เนื้อแดงบดใบยาสูบให้เป็นผงละเอียดซึ่งจะได้กลิ่นหอมจากเนื้อไม้ (Curtis, 1935) ชาวอเมริกันเชื้อสาย อินเดียนแดงสูดดมยานัตถุ์ที่ทําจากผงใบยาสูบบดทางจมูกผ่านอุปกรณ์ที่ทําเป็นท่อกลวงลักษณะเป็นตัวอักษร Y เข้าทางจมูก (Christen และคณะ, 1982) นักบวช Friar Ramón Pané ชาว Franciscan เดินทางไปพร้อมกับ Christopher Columbus ในการเดินทางของเขาครั้งที่สองเพื่อไปยังโลกใหม่ในปี ค.ศ. 1493 รายงานว่าชนเผ่า อินเดียนแดงแถบคาริบเบียนใช้ snuff (Christen และคณะ, 1982) ในประเทศเฮติ ผง snuff ใช้เป็นยาสําหรับ การล้างช่องจมูก และ เป็นยาระงับปวด (Stewart, 1967) เมื่อ Friar Pané กลับไปยังประเทศสเปนได้นําการใช้ snuff มายังทวีปยุโรป ทําให้มีการใช้ snuff กันแพร่หลายเป็นเวลาหลายศตวรรษ ในปี ค.ศ. 1519 Ocaranza พบว่า ชนเผ่าอินเดียนแดงแถบเม็กซิโกใช้ผงยาสูบสมานแผลไฟไหม้และ บาดแผลสด และ Herrera (ค.ศ. 1525) ยังสังเกตว่าชาวอินเดียนแดงแถบนี้อมผงยาสูบในปากเพื่อชวยให่ ้นอนหลับ และลดความเจ็บปวด (Stewart, 1967) ชาวดัชช์เป็นผู้ตั้งชื่อผงยาสูบว่า “snuff” และใช้ snuff ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1560 (Christen และคณะ, 1982) โดยในปี ค.ศ. 1600 snuff ได้กลายเป็นสินค้าราคาแพงและมีการแพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีปอเมริกาใต้และ แอฟริกา และประเทศจีน และญี่ปุ่น ต้นกําเนิดของกระบวนการที่เรียกว่า “carotte” และ “rappee” เริ่มต้นจาก ค.ศ. 1600 เมื่อยาสูบที่ใช้ทํา snuff ถูกเตรียมไว้ในรูปแบบของหัวแครอทเป็นรูปร่างเฉพาะ ในปริมาณที่ต้องการ สําหรับการใช้งาน (Curtis, 1935) ปี ค.ศ. 1620 โรงงานผลิต snuff ของรัฐก่อตั้งขึ้นใน Seville และที่นี่เป็น ศูนย์กลางของการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ (Voges, 1984) การใช้ Snuff ได้ขยายไปยังประเทศญี่ปุ่นจนถึง ประเทศจีนสมัยราชวงศ์ชิง (Ching Dynasty) ในปี ค.ศ. 1650 ซึ่งช่างในพระราชวังได้ประดิษฐ์ขวดยานัตถุ์ชนิด แกะสลัก ชนิดเคลือบและชนิดระบายสีพร้อมช้อนขนาดเล็กที่ใช้ตักผงยานัตถุ์ติดกับจุกปิด