ปญหาพิเศษปริญญาตรี ภาควิชาพืชสวน
เรื่อง
การเกิดยอดจากชอดอกออนของหยาดนาค้ํ าง (Drosera burmannii Vahl) Shoots Regeneration from young Inflorescence of Drosera burmannii Vahl
โดย นางสาววิกนดาั อยูศรี
ควบคุมและอนุมัติโดย
______วนทั ี่ 20 เดอนื พฤษภาคม พ.ศ. 2546 (อ.ดร.เสริมศิริ จันทรเปรม)
______วันที่ 20 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2546 (อ.ดร.สุรพงษ ดารงกํ ิตติกุล)
การเกิดยอดจากชอดอกออนของหยาดน้ําคาง (Drosera burmannii Vahl)
นางสาววิกันดา อยูศร ี
บทคัดยอ
หยาดน้ําคางเปนพืชที่มีคุณสมบัติทางยา แตในสภาพธรรมชาติมีอายุสั้น และพบเฉพาะ บางฤดูกาล จึงไดทําการทดลองขยายพันธุดวยวิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยนําสวนของชอดอก ออนจากตนที่เลี้ยงอยูในสภาพปลอดเชื้อ มาเลี้ยงบนอาหารสูตร MS ซึ่งดัดแปลงโดยการเติม 6-benzylaminopurine (BA) ความเขมขน 0 0.5 1 1.5 และ 2 มิลลิกรัม/ลิตร น้ําตาลซูโครส 30 กรัม/ลิตร และวุน 6.5 กรัม/ลิตร pH 5.7 ในสภาพที่ไดรับแสง 28 µmol/m2/s 16 ชั่วโมง/วัน อุณหภูมิ 25±2 องศาเซลเซียส เปนเวลานาน 90 วัน พบวา ชิ้นสวนชอดอกออนที่นํามาเพาะเลี้ยง ตอบสนองตอ BA ที่ใชดีมาก โดยสามารถชักนําใหเกิดยอดจํานวนมากไดจากชอดอกออน และ ระดับความเขมขนของ BA ที่ใช ไมทําใหจํานวนชิ้นของชอดอกออนที่เกิดยอดมีความแตกตางกัน แตจากการศึกษา พบวา อาหารที่เติม BA ความเขมขน 1 และ 1.5 มิลลิกรัม/ลิตร มีแนวโนมทําให จํานวนชิ้นของชอดอกออนที่เกิดยอด และจํานวนยอด/ชิ้นสวนเริ่มตนเกิดขึ้นมากที่สุด
คําสําคัญ : การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ หยาดน้ําคาง BA สาขาวิชา : ปรับปรุงพันธุพืชและเทคโนโลยีชวภาพี ปญหาพิเศษ : ปริญญาตรี ภาควิชาพืชสวน มหาวทยาลิ ัยเกษตรศาสตร อาจารยท ี่ปรึกษา : อ.ดร.เสริมศิริ จันทรเปรม ปที่พิมพ : 2546 จํานวนหนา : 12
Shoot Regeneration from Young Inflorescence of Drosera burmannii Vahl
Miss Wikanda Yoosri
Abstract
Drosera spp. are one of the medicinal plant that, in nature, can be seasonally found due to their shortlife. In this experiment, the attempted to micropropagate D. burmannii Vahl using young inflorescence explant was emploied. The in vitro young inflorescence were cultured on MS medium supplemented with 0, 0.5, 1, 1.5 and 2 mg/l BA plus 30 g/l sucrose, 6.5 g/l agar-agar powder and the pH of media were adjusted to 5.7. The cultures were incubated at 25±2 °C and 28 µmol/m2/s of 16 hr/d light for 90 days. The result demonstrated that the explants were highly response to BA supplemented to the medium and could produced high number of new plantlets. All concentrations of BA tested yielded similar high number of reqenerants. However, the MS media containing 1 or 1.5 mg/l BA yielded the highest number of regenerated explants and also highest number of regenerants per explant.
Key words : BA, Drosera burmanii, tissue culture Field : Crop Improvement and Biotechnology Degree : B.S. (Agric.), Department of Horticulture, Kasetsart University Adviser : Dr. Sermsiri Chanprame Year : 2003 Pages : 12
คํานํา
หยาดน้ําคาง มีชื่อวิทยาศาสตรวา Drosera burmannii Vahl ชื่อสามัญคือ Sundew จัด อยูในวงศ Droseraceae และมีชื่อพื้นเมืองวา จอกบวาย พืชในวงศนี้พบกระจายตัวอยูในแถบ ประเทศอินเดีย คาบสมุทรอินโดจีน มาเลเซีย ญี่ปุน และทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ตามบริเวณที่ชื้นแฉะ หรือดินปนทราย (Smitinand และ Larsen,1987) ในประเทศไทยพบพืชชนิด นี้ขึ้นอยูทั่วไปทางเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เชน อุทยานแหงชาติภูกระดึง เขตรักษาพันธุ สัตวปาภูหลวง หยาดน้ําคาง จัดเปนไมลมลุกที่ที่มีอายุสั้น เมื่อดินแหงตนจะตายหลังจากที่ผลิต เมล็ดจํานวนมาก ซึ่งจะงอก และเจริญเติบโตขึ้นเปนตนใหมในฤดูฝน ไมมีสวนของลําตน มีระบบ รากเปนรากฝอย ใบขึ้นเรียงซอนกันคลายกุหลาบ (rosette) แบนชิดกับดิน มีขนาดเสนผาน ศูนยกลาง 1-3 เซนติเมตร ใบมีสีเขียวอมแดงรูปไขกลับ (obovate) ถึงรูปวงกลม (orbicular) สวน ปลายเปนแบบหยักซี่ฟน (toothed) ยาว 6-15 มิลลิเมตร กวาง 5-8 มิลลิเมตร ชอดอกเปนแบบ raceme มี 1-3 ชอ/ตน ลักษณะตั้งตรงจากใจกลางตนยาว 7-20 เซนติเมตร ขึ้นอยูกับขนาดตน แกนกลาง (rhachis) ยาว 2-9 มิลลิเมตร ผิวเกลี้ยง ประกอบดวยดอกยอย 2-25 ดอก/ชอ กานดอก ยอยยาว 2-5 มิลลิเมตร กลีบดอกวงนอกรูปขอบขนาน (oblong) ยาว 2-3 มิลลิเมตร กลีบดอก วงในสีขาว รูปไขกลับ (obovate) ยาว 4-5 มิลลิเมตร มีเกสรตัวผูและกานเกสรตัวเมียอยางละ 5 รังไขมี 5 carpells ฝกยาว 1-2 มิลลิเมตร (Smitinand และ Larsen,1987) ในดานสรรพคุณทางยาของตนหยาดน้ําคางนั้น Slack (1979) รายงานถึงประวัติการใช ประโยชนทางยาของพืชสกุล Drosera ซึ่งแนะนําใหใชปองกันโรคเกี่ยวกับปอด เชน วัณโรค และมี คุณสมบัติเปนยากระตุนกําหนัดเมื่อทดสอบในวัวและแกะตัวเมีย และ Finnie และ Staden (1993) กลาววาสาร plumbagin ที่สกัดจาก Drosera sp. เปนสารอยูในกลุม naphthoquinone มี คุณสมบัติทางยาใชรักษาโรคตาปลา หูด ใชเปนสวนประกอบในเครื่องสําอางเพื่อลดกระ และ รักษาอาการไหมที่ผิวหนังเนื่องจากแสงแดด ใชรักษาโรคทางหลอดลม ไอกรน นอกจากนี้พบวา สาร plumbagin มีองคประกอบประเภท liposoluble ที่สามารถปองกันโรควัณโรคที่เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis โดยสารนี้ไปยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียสาเหตุโรควัณโรค ดังกลาว ดวยคุณประโยชนดังกลาวของพืชในสกุลนี้จึงมีผูทําการศึกษาเพื่อขยายพันธุสําหรับปลูก เปนการคา การขยายพันธุพืชในสกุลนี้ตามธรรมชาติทําไดหลายวิธี (Finnie และ van Staden, 1993) เชน 2
การเพาะเมล็ด ทําการเพาะไดดีในชวงปลายฤดูหนาว โดยโรยเมล็ดลงบนผิวหนาดินผสม แลวเก็บรักษา ในสภาพอุณหภูมิต่ําและชื้น เปนเวลา 6 สัปดาห จากนั้นคลุมกระถางดวยถุงพลาสติกไวในสภาพ ที่ไดรับแสง จนกระทั่งเมล็ดเริ่มงอกจึงนําถุงพลาสติกออก เมื่อตนกลาโตทําการยายลงกระถาง การตัดชําใบ ใชวิธีตัดใบตรงบริเวณฐานใบ แลววางนอนบนผิวดินผสมใหดานที่มีขนอยูดานบน กลบ ปลายใบดวยดิน ระวังอยาใหกลบโดนขน จากนั้นคลุมกระถางดวยถุงพลาสติกไวในสภาพที่ไดรับ แสง ตนใหมจะเกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห จึงนําถุงพลาสติกออก การตัดชําราก ตนหยาดน้ําคางที่มีรากขนาดใหญสามารถขยายพันธุโดยตัดสวนรากยาว 5 เซนติเมตร วางนอนบนผิวดินผสม แลวกลบดวยดินหนาประมาณ 1 เซนติเมตร จากนั้นคลุมกระถางดวย ถุงพลาสติกไวในสภาพที่ไดรับแสง เมื่อมีตนใหมเกิดขึ้นจึงนําถุงพลาสติกออก นอกจากนี้ยังมีรายงานเกี่ยวกับการขยายพันธุพืชในสกุลนี้ เชน มีรายงานวานําเมล็ด มาขยายพันธุดวยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อได (Finnie และ van Staden, 1993) ซึ่งสามารถทําไดทุก ฤดูกาล และไดตนปริมาณมากในระยะเวลาสั้น ทั้งนี้รังสฤษดิ์ (2540) กลาววา ในการเพาะเลี้ยง เนื้อเยื่อพืชนั้น มักมีการเติมสารควบคุมการเจริญเติบโตลงในอาหารเพาะเลี้ยง เพื่อชวยในการเพิ่ม อัตราการเจริญเติบโตหรือการกําเนิดอวัยวะ สําหรับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสกุล Drosera ที่ผาน มานั้น มีงานวิจัยหลายงาน เชน Bonnet และคณะ (1984) พบวา D. rotundifolia ที่เลี้ยงในอาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเขมขน 10-5 โมลาร และเติมหรือไมเติม NAA สามารถชักนําใหเกิดยอดมากกวา 20 ยอด/ชิ้นสวนเริ่มตน และเมื่อเติม NAA ความเขมขน 10-5 โมลาร รวมกับ BA ความเขมขนต่ํา จะชักนําใหเกิดรากอยางเดียว Kukulczanka และ Czastka (1988) พบวา D. rotundifolia ที่เลี้ยงในอาหารสูตร MS ที่เติม NAA ความเขมขน 0.2 มิลลิกรัม/ลิตร รวมกับ BA ความเขมขน 1 มิลลิกรัม/ลิตร สามารถ ชักนําใหเกิดยอดมากกวา 100 ยอด จากที่กลาวมาขางตนวา หยาดน้ําคางเปนพืชที่มีอายุสั้น และการขยายพันธตามธรรมชาตุ ิ ขึ้นอยูกับฤดูกาล การขยายพันธุโดยใชเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ จึงเปนแนวทางหนึ่งที่จะชวย ขยายพันธุหยาดน้ําคางใหสามารถปลูกเลี้ยงไดในทุกฤดูกาล และใหตนปริมาณมากในระยะเวลา อันสั้น และจากงานวิจัยที่กลาวมาขางตน จะเห็นไดวา BA มีผลตอการชักนําใหเกิดยอดของ 3
พืชในวงศ Droseraceae ดังนั้น การทดลองนี้จึงมุงที่จะทดลองหาความเขมขนของ BA ที่สามารถ ชักนําใหเกิดยอดจํานวนมากใน D. Burmannii Vahl
4
อุปกรณและวิธีการ
นําตนหยาดน้ําคางที่เลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ มาตัดสวนของชอดอกออนโดยใหติดกาน ชอดอกขนาดยาวประมาณ 0.5 เซนติเมตร แลวนําไปเลี้ยงบนอาหารสูตร MS (Murashige and Skoog ,1962) ที่เติม 6-Benzylaminopurine (BA) ระดับความเขมขน 0 0.5 1 1.5 และ 2 มิลลิกรัม/ลิตร น้ําตาลซูโครส 30 กรัม/ลิตร และวุน 6.5 กรัม/ลิตร pH 5.7 โดยวางชอดอกออนบน อาหารขวดละ 3 ชิ้น เลี้ยงในสภาพที่ไดรับแสง 28 µmol/m2/s 16 ชั่วโมง/วัน อุณหภูมิ 25±2 องศาเซลเซียส เปนเวลานาน 90 วัน โดยถายเปลี่ยนอาหารทุก 30 วัน วางแผนการทดลองแบบ สุมตลอด (Completely Randomized Design ; CRD) มี 5 ทรีทเมนต ทรีทเมนตละ 15 ซ้ํา ซ้ําละ 1 ชิ้นชอดอกออน
บันทึกผลการทดลอง ภายหลังการเพาะเลี้ยงชอดอกออนเปนเวลา 90 วัน 1. นับจํานวนชิ้นชอดอกออนที่เกิดยอด 2. ใหคะแนนจํานวนยอดที่เกิดตอชิ้นสวนชอดอกออน
สถานที่ทําการทดลอง หองปฏิบัติการเพาะเลยงเนี้ อเยื้ ื่อ ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลยเกษตรศาสตรั วทยาเขตกิ ําแพงแสน จ.นครปฐม
ระยะเวลาในการทดลอง เริ่มทําการทดลองเดือนกันยายน 2545 และสิ้นสุดการทดลองเดือนพฤศจิกายน 2545 5
ผล
ภายหลังจากที่ไดทําการเพาะเลี้ยงชิ้นสวนชอดอกออนของหยาดน้ําคางในสภาพ ปลอดเชื้อ ลงบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA ระดับความเขมขน 0 0.5 1 1.5 และ 2 มิลลิกรัม/ลิตร พบวา จํานวนชิ้นสวนชอดอกออนที่เกิดยอด หลังจากเลี้ยงบนอาหารที่เติม BA ความเขมขน ตางกัน ไมมีความแตกตางกันทางสถิติ แตอาหารที่เติม BA มีแนวโนมทําใหจํานวนชิ้นชอดอกออน ที่เกิดยอดมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารที่ไมไดเติม BA (control) โดยอาหารที่เติม BA ระดับ ความเขมขน 0.5-1.5 มิลลิกรัม/ลิตร มีแนวโนมทําใหมีจํานวนชิ้นชอดอกออนที่เกิดยอดมากที่สุด คือ 12 ชิ้น หรือคิดเปน 80 เปอรเซ็นต (ตารางที่ 1) และพบวา การเกิดยอดนั้นจะเกิดตรงรอยตัด ของกานชอดอก โดยเกิดเปนตุมเล็ก ๆ สีเขียวกอน แลวพัฒนากลายเปนยอด จากการศึกษาปริมาณการเกิดยอดจากชิ้นสวนชอดอกออน โดยใหคะแนนการเกิดยอด ตอชิ้นชอดอกออน (ภาพที่ 1) ภายหลังการเพาะเลี้ยงบนอาหารเปนเวลา 90 วัน พบวา อาหารที่ เติม BA สามารถชักนําใหเกิดยอดจํานวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณยอดที่เกิดจากชิ้นสวน ชอดอกออนที่เลี้ยงบนอาหารที่ไมเติม BA โดยอาหารที่เติม BA ที่ระดับความเขมขน 1-1.5 มิลลิกรัม/ลิตร มีคะแนนการเกิดยอดตอชิ้นชอดอกออนมากที่สุด คือ 3.8 คะแนน แตชอดอกออน ที่เลี้ยงบนอาหารที่ไมเติม BA มีคะแนนการเกิดยอดเพียง 0.8 คะแนน เทานั้น (ตารางที่ 1)
6
ตารางที่ 1 จํานวนชิ้นและเปอรเซ็นตที่เกิดยอดของชอดอกออนหยาดน้ําคางที่เลี้ยงบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเขมขน 5 ระดับ ภายหลังการเพาะเลี้ยงเปนเวลา 90 วัน จํานวนชอดอกออน เปอรเซ็นต คะแนน สูตรอาหาร ที่เกิดยอด ชอดอกออน การเกิดยอด (ชิ้น) ที่เกิดยอด MS 8 53.3 0.8 MS + BA ความเขมขน 0.5 มก./ล. 12 80.0 3.4 MS + BA ความเขมขน 1.0 มก./ล. 12 80.0 3.8 MS + BA ความเขมขน 1.5 มก./ล. 12 80.0 3.8 MS + BA ความเขมขน 2.0 มก./ล. 11 73.3 3.4 F-test ns ns คาเฉลี่ยไมมีความแตกตางกันทางสถิติ
7
0 คะแนน 1 คะแนน
3 คะแนน 5 คะแนน
ภาพที่ 1 เกณฑการใหคะแนนการเกิดยอดตอชิ้นสวนชอดอกออนของตนหยาดน้ําคาง 8
วิจารณ
จากการเพาะเลี้ยงชอดอกออนของหยาดน้ําคางบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA ที่ระดับ ความเขมขนตาง ๆ พบวา ในอาหารที่เติม และไมเติม BA สามารถชักนําใหเกิดยอดไดเชนเดียวกัน ทั้งนี้อาจเนื่องจากสวนของดอกสวนใหญประกอบดวยเซลล parenchyma (ประศาสตร, 2536) ซึ่งโดยทั่วไป เซลลดังกลาวมีความสามารถที่จะแบงตัวไดถึงแมวามีการเจริญเต็มที่แลว (เทียมใจ, 2542) และในสวนของกานดอกที่มีการแตกแขนงอาจมีเนื้อเยื่อเจริญอยูดวย (ประศาสตร, 2536) รวมทั้งมีฮอรโมนสะสมอยูในเนื้อเยื่อ เมื่อเลี้ยงบนอาหารที่ไมเติม BA จึงสามารถเกิดยอดได อยางไรก็ตาม จํานวนยอดที่เกิดขึ้นในอาหารที่ไมเติม BA มีจํานวนนอยมาก เนื่องจากฮอรโมนที่มี อยูภายในเนื้อเยื่อแมจะสามารถชักนําใหเซลลมีการพัฒนาเปนยอดได แตมีไมมากพอที่จะทําให เกิดการพัฒนาเปนยอดจํานวนมาก ดังนั้นจึงพบวาเมื่อระดับความเขมขนของ BA เพิ่มขึ้น ชอดอกออนมีแนวโนมในการพัฒนาเปนยอดเพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคลองกับการทดลองของวิไลลักษณ (2524) ที่พบวา สามารถชักนํากานชอดอกออนของแกลดิโอลัสใหมีการสรางแคลลัสจํานวนมาก ซึ่งจะเจริญไปเปนยอดเมื่อเลี้ยงบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเขมขน 0.1-6 มิลลิกรัม/ลิตร และงานวิจัยของ Seabrook และ Cummimg (1977) ซึ่งพบวา เมื่อเลี้ยงเนื้อเยื่อกานชอดอกของ วานสี่ทิศ บนอาหารสูตร MS ที่เติม NAA หรือ 2,4-D รวมกับ BA ความเขมขนตาง ๆ สามารถ ชักนําใหเกิดเปนตนออนได และ Chu และ Huang (1983) สามารถชักนํากานชอดอกของเยอบีรา ใหเกิดยอด เมื่อเลี้ยงบนอาหารสูตร MS โดยใชธาตุอาหารลดลงครึ่งเทา และเติม BA ความเขมขน 10 มิลลิกรัม/ลิตร รวมกับ IAA ความเขมขน 0.1 มิลลิกรัม/ลิตร งานวิจัยเหลานี้แสดงใหเห็นวา BA มีผลตอการชักนําใหเกิดยอด ทั้งนี้เนื่องจาก BA เปนสารควบคุมการเจริญเติบโตในกลุมไซโตไคนิน มีผลตอสภาพทางสรีรวิทยาของพืชคือ สามารถชักนําใหเกิดการแบงเซลล การขยายขนาดของ เซลลและเนื้อเยื่อ โดยไซโตไคนินไปมีผลทําใหธาตุอาหาร วิตามิน และสารควบคุมการเจริญเติบโต อื่น ๆ เคลื่อนยายมายังบริเวณที่มีไซโตไคนิน (Arteca, 1995) Brock และ Kaufman (1991) และ Machackova (1992) รายงานวา ไซโตไคนินมีบทบาทสําคัญในการกระตุนการแบงเซลล โดย กระตุนการสังเคราะหโปรตีนที่จําเปนในระยะ translation สงเสริมการสราง ribosome ซึ่งมีผลตอ การชักนําใหเกิดตายอด เนื่องจาก ไซโตไคนินสามารถดึงสาร และกรดอะมิโนชนิดตาง ๆ เขาใกล ตัว ทําใหสามารถสราง RNA และ DNA ไดดี ซึ่งสารเหลานี้เปนสารที่จําเปนในการสรางโปรตีน (สมบุญ, 2544) พรทิพย (2528) พบวา ไซโตไคนินกระตุนใหเกิดการแบงเซลล ควบคุมการสราง อวัยวะ และมีผลตอการเปลี่ยนแปลงพัฒนาของเนื้อเยื่อพืชเปนอยางมาก ทําใหเกิด organ ใหม 9
จากการใหคะแนนการเกิดยอดตอชิ้นสวนชอดอกออนของหยาดน้ําคาง พบวา ชิ้นสวน ชอดอกออนที่เลี้ยงบนอาหารที่ไมเติม BA มีคะแนนการเกิดยอดเฉลี่ยนอยที่สุดคือ 0.8 คะแนน ในขณะที่อาหารที่เติม BA ความเขมขน 1-1.5 มิลลิกรัม/ลิตร จะมีคะแนนการเกิดยอดเฉลยสี่ งทู สี่ ดุ คือ 3.8 คะแนน ซ่ึงจากการศึกษาพบวา ยอดที่เกิดในอาหารที่ไมไดเติม BA จะมีขนาดใหญกวา ยอดที่เกิดในอาหารที่เติม BA ซึ่งยอดมีขนาดเล็ก และอัดตัวกันแนน เนื่องจากสารในกลุม ไซโตไคนินสงเสริมการสังเคราะหโปรตีน กระตุนการแบงเซลล จึงสงผลใหเกิดการสรางยอดจํานวน มาก และการที่ยอดมีการเพิ่มจํานวนมาก อาจเปนเหตุใหจํานวนใบ การเจริญเติบโต และความ ยาวของใบลดลง เพราะธาตุอาหารตาง ๆ ถูกนําไปใชสรางยอดที่เกิดใหมแทน แตเมื่อความเขมข น ของ BA เพิ่มเปน 2 มิลลิกรัม/ลิตร คะแนนการเกิดยอดเฉลี่ยลดลงคือ 3.4 คะแนน แสดงวามี จํานวนยอดนอยลง ทั้งนี้อาจเนื่องจากความเขมขนดังกลาวอาจสูงเกินไปสําหรับชิ้นสวน ชอดอกออนของหยาดน้ําคาง ทําใหเปนพิษกับเนื้อเยื่อได 10
สรุป
จากการทดลองเพาะเลี้ยงชิ้นสวนชอดอกออนของหยาดน้ําคางบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA ระดับความเขมขนตาง ๆ พบวา อาหารทุกสูตรที่ทดสอบสามารถชักนําใหเกิดยอดได โดย สูตรอาหารที่เหมาะสมที่สุดในการชักนําใหเกิดยอด คือ อาหารสูตร MS ที่เติม BA 1 หรือ 1.5 มิลลิกรัม/ลิตร 11
เอกสารอางอ ิง
เทียมใจ คมกฤส. 2542. กายวิภาคของพฤกษ. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. 308 น.
ประศาสตร เกื้อมณี. 2536. เทคนิคการเพาะเลยงเนี้ อเยื้ ื่อพืช. สานํ ักพิมพโอเด ียนสโตร, กรุงเทพฯ. 158 น.
พรทิพย ธนูทอง. 2528. วธิ ีเพาะเลี้ยงเซลและเนื้อเยื่อพืช. มหาวิทยาลัยขอนแกน , ขอนแกน. 114 น.
รังสฤษดิ์ กาวตี ะ. 2540. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช : หลักการและเทคนิค. มหาวทยาลิ ัย เกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. 219 น.
วิไลลักษณ ชนะจิ ิตร. 2524. การศึกษาการเพาะเลยงเนี้ ื้อเยื่อแกลดโอลิ ัส. วทยานิ ิพนธ ปริญญาโท. มหาวทยาลิ ัยเกษตรศาสตร, กรงเทพฯุ
สมบุญ เตชะภิญญาวัฒน. 2544. สรีรวทยาของพิ ืช. มหาวิทยาลยเกษตรศาสตรั , กรุงเทพฯ. 237 น.
Arteca, R.N. 1995. Plant Growth Substance : Principles and Applications. International Thomson Publishing, New York. 332 p.
Bonnet, M., M. Coumans, J.L. Ramaut and T. Gasper. 1984. Vegetative multiplication in vitro of the sundew Drosera rotundifolia. Arch. Int. Physiol. Biochem. 9 : 16-17.
Brock, T.C. and P.B. Kaufman. 1991. Growth regulators : an account of hormone and growth regulation, pp. 277-340. In F.C. steward (ed.). Plant Physiology : A Treatise. Vol 10 : Growth and Development. Academic Press Inc., London.
12
Chu, C.Y. and M.C. Huang. 1983. In vitro formation of gerbera (Gerbera hybrida Hort.) plants through excised scape culture. J. Japan. Soc. Hort. Sci. 52(1) : 45-50.
Finnie, J.F. and J. van Staden. 1993. Drosera spp. (sundew) : micropropagation and the in vitro production of plumbagin, pp. 165-177. In Y.P.S. Bajaj (ed.). Biotechnology in Agriculture and Forestry 24 : Medicinal and Aromatic Plants V. Springer-Verlag, Berlin.
Kukulczanka, K. and B. Czastka. 1988. In vitro cultures of Drosera sp. Acta Hort. 226: 631-634.
Machackowa, I. 1992. Growth and growth regulators, pp. 215-269. In J. Sebanek (ed.). Development in Crop Science 21 : Plant Physiology. Elsevier Science Publishers, The Netherlands.
Murashige, T. and F. Skoog. 1962. A revised medium for rapid growth and bioassays with tobacco tissue cultures. Physiol. Plant. 15 : 473-479
Seabrook, J.E.A. and B.G. Cumming. 1977. The in vitro propagation of amaryllis. In Vitro. 13 : 831-836.
Slack, A. 1979. Carnivorous plants. MIT Press, Cambridge.
Smitinand, T. and K. Larsen. 1987. Flora of Thailand. The Forest Herbarium, Royal Forest Department, Bangkok. 138 p.