Serbia-Montenegro-Bosnia&Herzegovina เซอร์เบีย-มอนเตเนโกร-บอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า
Total Page:16
File Type:pdf, Size:1020Kb
1 Wonder of Balkans 12 Days SERBIA-MONTENEGRO-BOSNIA&HERZEGOVINA เซอร์เบีย-มอนเตเนโกร-บอสเนียและเฮอร์เซโกวีน่า 2 โปรแกรมทัวร์บอลข่าน เซอร์เบีย มอนเตเนโกร บอสเนีย จุดหมายปลายทางนั้นไม่ใช่สถานที่ใดที่หนึ่ง หากแต่เป็น การมองเห็นสิ่งต่างๆ ด้วยมุมมองใหม่ๆ ต่างหาก คาบสมุทรบอลข่าน (Balkans) เป็นชื่อทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ หมายถึงดินแดนทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ ของทวีปยุโรป มีพื้นที่ประมาณ 550,000 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรรวมกันราว 53 ล้านคน ชื่อนี้มาจากชื่อของเทือกเขา บอลข่าน ที่พาดผ่านใจกลางประเทศบัลแกเรียไปยังด้านตะวันออกของสาธารณรัฐเซอร์เบีย เซอร์เบีย เป็นประเทศสาธารณรัฐ ตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป เมืองหลวงคือกรุง เบลเกรด เซอร์เบีย มีอาณาเขตติดต่อกับฮังการีในทางทิศเหนือ ติดกับโรมาเนียและบัลแกเรียในทางทิศตะวันออก ติดกับ มาซิโดเนียและแอลเบเนียในทางทิศใต้ และติดกับมอนเตเนโกร โครเอเชีย และ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในทางทิศตะวันตก มอนเตเนโกร มีความหมายว่า "ภูเขาสีดํา" เป็นประเทศเอกราชซึ่งตั้งอยู่ในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ มีอาณาเขตจรด ทะเลเอเดรียติกและโครเอเชียทางทิศตะวันตก จรดบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในทางทิศเหนือ จรดเซอร์เบียในทางทิศตะวันออก และจรดแอลเบเนียในทางทิศใต้ มีพอดกอรีตซาเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ในอดีตมอนเตเนโกรมีสถานะเป็นสาธารณรัฐในสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย และต่อมาได้เป็นส่วนหนึ่งในสหภาพ การเมืองของเซอร์เบีย-มอนเตเนโกร หลังจากมีการลงประชามติเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 มอนเตเนโกรก็ได้ประกาศ เอกราชในวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2006 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มอนเตเนโกรได้รับการกําหนดให้เป็น "รัฐประชาธิปไตย สวัสดิการและสิ่งแวดล้อม" บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เป็นประเทศบอลข่านตะวันตกที่มีภูเขามาก เมืองหลวงชื่อซาราเจโว และมีเมืองมอสตาร์ ที่องค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ขึ้นทะเบียนสะพานมอสตาร์ รวมถึงบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงของสะพานให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2005 บอสเนียเดิมเป็นหนึ่งในหกสาธารณรัฐของอดีตยูโกสลาเวีย ได้รับเอกราชในสงครามยูโกสลาเวียในทศวรรษที่ 1990 และเนื่องจากข้อตกลงเดย์ตัน จึงเป็นรัฐในอารักขาของชุมชนนานาชาติ ปกครองโดยตัวแทนระดับสูงที่เลือกโดยคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งสหประชาชาติ กําหนดการเดินทาง 2563 : 10-21 เมษายน 2563 1) วัน แรก กรุงเทพ - เบลเกรด 18:30 พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 แถว U ประตู 10 เพื่อนําท่านเช็คอินและโหลด กระเป๋าสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนการเดินทาง 21:45 เหินฟ้าสู่เมืองอิสตันบูล โดยสายการบิน Turkish Airlines เที่ยวบินที่ TK065 (ใช้เวลาบิน 10 ชั่วโมง 25 นาที) อาหารบนเครื่องบิน 3 2) วันที่สอง เบลเกรด (-/L/D) 04:10 เดินทางถึง เมืองอิสตันบูล เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่องไปยัง เมืองเบลเกรด 07:40 เหินฟ้าสู่ เมืองเบลเกรด โดยสายการบิน Turkish Airlines เที่ยวบิน TK1081 (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 40 นาที) 08:20 เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเบลเกรด นิโคลา เทสลา เมืองเบลเกรด เมืองหลวงของประเทศเซอร์เบีย หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว นําท่านเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวง กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน เมืองเบลเกรด (Belgrade) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเซอร์เบีย มีการตั้งถิ่นฐานครั้ง แรกในบริเวณนี้ตั้งแต่สมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ เมื่อราวๆ 5,700-4,800 ปีก่อนคริสตกาล และได้มีอารยธรรมที่ เรียกกันว่า อารยธรรมวินชา ซึ่งเป็นอารยธรรมในยุคหินใหม่แพร่หลายในอาณาเขตประเทศเซอร์เบียในปัจจุบัน กลุ่มชนของอารยธรรมวินชานั้นได้รับการเชื่อถือกันว่าเป็นกลุ่มอารยธรรมแรกสุดของโลกที่รู้การหลอมแร่ทองแดง เพื่อประดิษฐ์เป็นสิ่งต่างๆ เบลเกรดมีแม่นํ้าสําคัญไหลผ่านเมือง 2 สาย คือ แม่นํ้าซาวา (Sava River) ไหลจากทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้วมาบรรจบกับแม่นํ้าดานูบ (Danube River) โดยจุดที่แม่นํ้าทั้งสองสายไหลมารวมกันถือว่า เป็ นชัยสมรภูมิที่ดีมาแต่ยุคโบราณ จึงเป็นที่ตั้งของเมืองเบลเกรด นําท่านผ่านชม จัตุรัสใจกลางเมือง เบลเกรด (Belgrade Republic Square) ซึ่งเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เจ้าชายแห่งเซอร์เบียทรงม้า ที่มีพระนามว่า Prince Mihailo Obrenovic III และมีพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติตั้งอยู่ด้านหลังของอนุสาวรีย์แห่งนี้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นใน ปีค.ศ.1844 ส่วนอาคารด้านข้างใกล้ๆกัน เป็นโรงละครแห่งชาติ ซึ่งทั้งสองอาคารดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนให้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติเซอร์เบียอีกด้วย จากนั้นนําท่านชม วิหารเซ็นต์ ซาวา (Church of St. Sava) เป็นโบสถ์เซอร์เบียน ออร์โธดอกซ์ตั้งอยู่บริเวณที่ ราบสูงวราซาร์ (Vracar Plateau) ในเมืองเบลเกรด เป็นโบสถ์ออร์โธ ดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คริสตจักรสร้างให้เป็นเกียรติกับ นักบุญซาวา ผู้ก่อตั้งเซอร์เบียน ออร์โธดอกซ์ เชื่อกันว่าที่นี่เป็นสถานที่ ที่ร่างของนักบุญซาวาถูกนํามาเผาโดยพวกออตโตมัน เพื่อทําลายความ ศรัทธาที่ผู้คนมีต่อนักบุญซาวา ซึ่งเป็ นที่เคารพอย่างยิ่งของชาว เซอร์เบีย ตัวอาคารเริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ.1935 แต่ก็การก่อสร้างได้ หยุดชะงักลง จนกระทั่งมีการเริ่มสร้างใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ.1985 จนถึง ปัจจุบันภายในอาคารก็ยังก่อสร้าง ตกแต่งไม่เสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามคาดว่าวิหารแห่งนี้จะสร้างเสร็จในปี ค.ศ.2020 โดยจะมีการสร้างลิฟท์ขนาดใหญ่เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงบริเวณฐานโดมของ วิหารแห่งนี้ได้ เดินทางต่อไปชม พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ยูโกสลาเวีย (Museum of Yugoslav History) และหลุมฝังศพของ นายพลติโต (House of Flowers) อดีตประธานาธิบดีของประเทศ ยูโกสลาเวียและผู้นําการเคลื่อนไหวของประเทศในช่วงสงครามเย็น ซึ่ง ภายในจัดตกแต่งด้วยเครื่องบรรณาการจากนานาประเทศ ปืนและอาวุธ มากมายที่ใช้ในการทําสงครามต่างๆ รวมถึงเครื่องแต่งกายของนายพลติ โต ผู้นําแห่งประเทศยูโกสลาเวีย นายพลติโตเป็นนายทหารที่ผ่านการรบ ในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งมาอย่างโชกโชน มีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบชั้น 4 เชิงชนิดหาตัวจับยากคนหนึ่ง ครั้นจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ติโตมองออกว่าถ้ายูโกสลาเวียตามก้นโซเวียตอยู่ก็จะ กลายสภาพเป็นรัฐบริวารของโซเวียตตลอดไป จึงดําเนินนโยบายดึงยูโกสลาเวียออกมาจากกลุ่มสนธิสัญญา วอร์ซอ และนําพาประเทศเข้าสู่ทางสายกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ดังนั้นยูโกสลาเวียในสมัยที่ติโตยังปกครองอยู่ จึงไม่ ค่อยมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ เพราะติโตดําเนินนโยบายทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของทุก ชาติพันธุ์อย่างเท่าเทียมกันภายใต้ธงชาติยูโกสลาเวีย ทําให้ประชาชนจํานวนมากต่างรักและบูชานายพลติโต เหมือนรัฐบุรุษคนหนึ่ง กระทั่งนายพลติโตถึงแก่อสัญกรรมยูโกสลาเวียก็เกิดความวุ่นวายจากสงครามนองเลือด ของกลุ่มชนในรัฐต่างๆที่แตกต่างในชาติพันธุ์ จนเกิดสงครามกลางเมืองที่รุนแรงและต่อเนื่องตลอดทศวรรษ 1990 กระทั่งสหประชาชาติต้องส่งทหารเข้ามา ก่อนที่บรรดารัฐต่างๆจะแยกตัวออกไปปกครองตนเอง จนทําให้ประเทศ ยูโกสลาเวียถึงกาลล่มสลายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน จากนั้นนําท่าน ล่องเรือในแม่นํ้าซาวาและแม่นํ้าดานูบ เพื่อชมบรรยากาศสองฟากฝั่งของแม่นํ้า เส้นทางการ ล่องเรือ จะลอดผ่านสะพานหลายแห่ง ผ่านย่านเมืองใหม่ Belgrade Water Front ที่พึ่งถูกพัฒนาด้วยทุนมหาศาล เพื่อให้ เป็นโครงการริมนํ้าที่รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน เช่น อาคาร สํานักงาน อพารต์เม้นท์ โรงแรมร้านอาหาร ศูนย์การค้าขนาด ใหญ่ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น นอกจากนี้เรือจะล่องไปยังจุด บรรจบแม่นํ้าทั้งสองสายหลัก แม่นํ้าซาวาและแม่นํ้าดานูบ ซึ่งเป็น จุดกําเหนิดของแม่นํ้าสายย่อยอื่นๆกว่า 100 สาย ซึ่งบริเวณนี้เอง ถือว่าจุดขอพรวิเศษที่เรียกว่า Happy Buoy ตามความเชื่อ ท้องถิ่นของชาวเบลเกรด ซึ่งจะมีข้อห้ามในการขอพรเพียง 2 ข้อเท่านั้น คือ ห้ามขอพรมากกว่า 1 อย่าง และ ห้าม ขอพรในสิ่งที่ไม่เป็นจริงหรือเป็นไปไม่ได้ จากนั้นเรือจะล่องผ่านป้อมปราการเบลเกรด ให้ท่านได้ถ่ายรูปป้อม ปราการจากมุมผ่านทางแม่นํ้าได้อย่างสวยงาม ต่อด้วยการนําชม ป้ อมปราการโบราณเบลเกรด (Belgrade Fortress) ป้อมปราการแห่งนี้มีเรียกกันในอีกชื่อหนึ่ง ในภาษาเตอร์กิซว่า “คาเลเมกดาน” (Kalemegdan) เป็ นป้ อม ปราการที่สําคัญให้แก่ชนกลุ่มต่างๆตลอดระยะเวลากว่าสองพัน ปี ถูกทําลายลงแล้วสร้างกลับขึ้นมาใหม่หลายสิบครั้ง ปัจจุบัน ป้อมปราการแห่งนี้ประกอบไปด้วยส่วนของตัวป้อมปราการเก่า และส่วนของสวนสาธารณะคาเลเมกดาน ซึ่งภายในบริเวณป้อม ปราการเก่าจะมีประตูเข้าออกหลายทาง หากดูจากภายนอกจะ เห็นว่าป้อมปราการแห่งนี้ ถูกล้อมรอบด้วยกําแพงหินที่สูงและ หนามาก ประตูแต่ละด้านทั้งหนาทั้งใหญ่ อาทิเช่น ประตูฝั่งด้านแม่นํ้าซาวา (Defterdar’s Gate) ประตูคุกในช่วง ศตวรรษที่15 (Zindan Gate) ประตูใหญ่ที่สร้างใน ค.ศ. 1750 (Inner Stambol Gate) ฯลฯ อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ กลางแจ้งจัดแสดงรถถังและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆที่ใช้รบในสมัยสงครามโลก หอสังเกตการณ์โบราณ และอนุสาวรีย์ แห่งชัยชนะ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “The Victor Monument” สร้างโดยสถาปนิก Ivan Mestrovic เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ ของเมืองเบลเกรด เป็นต้น เย็น รับประทานอาหารเย็น เข้าสู่โรงแรมที่พักเมืองเบลเกรด ระดับ 5*, Belgrade (Serbia) หรือเทียบเท่า 5 3) วันที่สาม สมีเดอเรโว - วิมินาซิอุม - โกลูบัค – เบลเกรด (B/L/D) เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ออกเดินทางสู่ เมืองสมีเดอเรโว (Smederevo) ระยะทาง 55 กิโลเมตร (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) สมีเดอเรโว เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของประเทศเซอร์เบีย เมืองถูกสร้างในยุคกลางและมีความสําคัญใน ประวัติศาสตร์ของประเทศ เนื่องจากสมีเดอเรโว เคยเป็นอดีตเมืองหลวงของเซอร์เบีย ในช่วงยุคกลางในช่วง ค.ศ.1430-1439 เมืองจึงเต็มไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรม ปัจจุบันครอบคลุม พื้นที่ 485 กิโลเมตร และตั้งอยู่ขนานกับแม่นํ้าดานูบทางทิศเหนือ สัญลักษณ์ของ เมือง คือ ป้อมปราการสมี เดอเรโว ซึ่งเป็นป้อมปราการยุคกลางที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป นําท่านชม ป้อมปราการสมีเดอเรโว (Smederevo Fortress) ถูกสร้างขึ้นใน คริสต์ศตวรรษที่ 15 ราวค.ศ. 1430 โดย Despot Durad Brankovic ป้อมปราการ แห่งนี้ กล่าวกันว่าใช้เวลาสร้างเพียงแค่สองปี โดยใช้แรงงานชาวเมืองเร่งสร้าง ควบคุมการก่อสร้างโดยเยดิน่า (Yedina) ภรรยาของผู้ปกครอง Despot Durad Brankovic สถาปัตยกรรมของป้อมปราการ เป็นรูปแบบเซอร์เบียผสมไบแซนไทน์ รูปทรงสามเหลี่ยม มี 25 หอคอย มีแม่นํ้าเยซาวา (Jezava River) แม่นํ้าสายเล็กที่ ไหลขนาบด้านข้างป้อมปราการ โดยไหลมาบรรจบกับแม่นํ้าดานูบที่ขนาบอยู่ ด้านหน้า กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน พาท่านไปชม เมืองโบราณวิมินาซิอุม (Viminacium) นับเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีชื่อเสียงของประเทศเซอร์เบีย ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองคอสโตแลค แหล่งอุตสาหกรรมเหมืองแร่ถ่านหินและ โรงงานไฟฟ้าพลังงานไอนํ้าที่สําคัญของประเทศ “วิมินาซิอุม” เป็นหนึ่งใน เมืองโรมันที่ใหญ่สุดในช่วงศตวรรษที่ 1-5 มีการสร้างบ้านเรือนอย่างหรูหรา มีถนนหนทางที่กว้างใหญ่ มีโรงอาบนํ้า โรงละคร และสิ่งก่อสร้างต่างๆครบ ตามลักษณะของเมืองโบราณโรมันอันยิ่งใหญ่ ต่อมาเมืองนี้ได้ถูกชาวฮ ั ่นบุก เข้าทําลายล้างและมีการบูรณะเมืองขึ้นใหม่ ก่อนจะถูกรื้อถอนทําลายอีก ครั้งในศตวรรษที่ 6 ซึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882 จนถึงปัจจุบันมีการค้นพบ สิ่งประดิษฐ์โบราณนับหมื่นชิ้น ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องสีทองแกะสลัก สัญลักษณ์เกี่ยวกับเวทมนตร์ของชาวโรมัน หยก ประติมากรรมหินอ่อน เครื่องปั้นดินเผา