editorial November 2014 Vol.11 No.121

รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

สมัยยังเป็นนักศึกษาฝึกงานหนังสือพิมพ์รายวันที่กรุงเทพฯ, มักจะได้ยินบรรดารุ่นพี่นักข่าวพูดกันอยู่เสมอว่าถ้าเป็นนักข่าวถึง 10 ปีเมื่อไหร่ ก็คงไม่แคล้วจะต้องท�ำไปตลอดชีวิต ไอ้เราก็งงว่าท�ำไม... พี่ๆ เขาก็เลยบอกให้ “ก็เพราะไปไหนไม่รอดน่ะซี่” ไม่รอดยังไงวะ?...อันนี้คิดในใจ ไม่กล้าถาม... เก็บง�ำความสงสัยไว้ในใจ จนมาท�ำงานก็เริ่มเข้าใจขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานวัน นานเดือน นานปี เผลอแป๊บๆ ใกล้ 10 ปีเข้าไปทุกที เออว่ะ... ท�ำหนังสือมาจะ 10 ปีอยู่แล้ว ให้คิดว่าถ้าไม่ท�ำอาชีพนี้ แล้วจะท�ำอะไรต่อไป...? นี่ยังนึกไม่ออกจริงๆ นะ อารมณ์แบบนี้ก็คงคล้ายๆ กับรุ่นพี่นักข่าวเขาบอกล่ะมั้ง?!? ไม่ใช่ไม่มีที่ไป...แต่มันไปไหนไม่รอดดดด!!! เรื่องนี้น่าจะใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการมาช่วยอธิบายได้... เมื่อเราถูกพัฒนาความสามารถทางใดทางหนึ่งอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลายาวนาน จะก่อให้เกิดรูปแบบของวิถีชีวิตขึ้นมา และรูปแบบนั้นจะบ่มเพาะกลายเป็นตัวตนของเราในที่สุด ยังไม่รวมเรื่องพอท�ำอะไรไปนานๆ หมายความว่าก็จะมีความ ‘ชัวร์’ ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็พอจะหาทางแก้ได้ละน่า เพราะก็เคยเจอมาบ้างแล้ว แต่ยังมีอีกเรื่องที่เป็นสาเหตุใหญ่... การท�ำอะไรมาได้ยาวนานนับสิบปี, อย่างน้อยต้องมี ‘ความรัก’ ประกอบด้วยส่วนหนึ่ง แล้วคนที่มีรักเดียวกับคนเดิมมาอย่างมั่นคง ก็คงไม่ใช่คนอ่อนไหวอะไรนัก การจะเปลี่ยนใจจากอะไรไป โดยเฉพาะคนที่รัก ย่อมเป็นเรื่องตัดใจยาก แม้ว่าเวลาที่ผ่านมาอาจจะท�ำให้รักลดความรู้สึกวูบวาบหวือหวาลง หรือบางครั้งที่เบื่อแทบขาดใจ จนนึกอยากจะทิ้งขว้างเธอไป แล้วหาคนใหม่เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยู่กันมานานย่อมมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้น จะตัดก็ไม่ได้ จะขายก็ไม่ขาด นี่ล่ะหนอ...ความรัก นึกอยากจะตัดเธอออกไป แต่ก็เหมือนเฉือนใจตัวเอง

ชลธิดา พระเมเด หัวหน้ากองบรรณาธิการ contents:

Music Scoop 8 Music Review 12 Film 14 Workshop 18 Special Section­­ ­ ­ ­ ­ ­ ­ ­ ­ 21

12 Music Review 21 Special Section ฉลองครบรอบ 10 ปี ของ HIP จึงขอใช้โอกาสนี้นำ�เสนอ 10 ­บรรยากาศอบอุ่นยิ่งขึ้น เริ่มต้นด้วยเพื่อนร่วมรุ่นที่เริ่มทำ�อะไร ผลงานเพลงที่ไม่เคยถูกนำ�เสนอในคอลัมน์นี้มาก่อน ซึ่งเป็น ต่อมิอะไรในปี 2547 เช่นเดียวกันมาพูดคุยกัน รวมทั้งชักชวน ผลงานเพลงดีๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกชอบ จึงอยากจะชวนให้คุณๆ HIP Team รุ่นแรกๆ มา Reunion กันอีกรอบ แถมท้ายด้วยการ ได้ฟังด้วย ประมวลเหตุการณ์ของเชียงใหม่ที่น่าสนใจมาบอกเล่าให้ฟังด้วย มาดูกันซิว่า ใน 10 ปี มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

เทศกาล ม่วนหลุดโลกกกกกกกกกก 14 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2557 CentralFestival Chiangmai

ในโอกาสครบรอบ 1 ปีของศูนย์การค้าที่เต็มไปด้วยสีสันความสนุกแซ่บเวอร์!!!! อย่าง CentralFestival Chiangmai ทั้งทีงานนี้ต้องคืนความสุขให้ชาวเชียงใหม่แบบจัดเต็มจ้าาาา.... เต็มจริง แน่นจัง!!! กับกิจกรรมโดนๆ มันส์ๆ ม่วนๆ ตลอด 47 วัน!!!! กับเทศกาล ‘ม่วนหลุดโลกกกกกก’ เริ่มสนุกสุดมันกันตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน แล้วจัดกิจกรรมม่วนๆ ยาวไปจนถึงวันสิ้นปี ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต จากศิลปินดังๆ โดนๆ ที่หมุนเปลี่ยนเวียนหน้ามามอบสีสันสุดม่วนกันให้มันส์สุดติ่ง รวมทั้งโปรโมชั่นเด็ดๆ โดนใจขาช้อปจากแบรนด์ดัง และร้านค้าชั้นน�ำภายในศูนย์ฯ ที่พร้อมใจกันลดกระหน�่ำรับวินเทอร์ แถมยังเอาใจ ลูกค้าผู้น่ารักด้วยกิจกรรมสุดคุ้มกับ CentralFest Big Surprise ใครมาเดินทุกวัน ก็รับโชคกันไปทุกวัน ช้อปปิ้งคุ้มค่ารับความยิ่งใหญ่กับของรางวัลสุดเซอร์ไพร์สที่คุณจะต้องกรี๊ดด!!!!! เฉลิมฉลองสุดสุขสันต์ 3 วันเต็ม!!! กับพิธีเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ 1st Anniversary CentralFestival Chiangmai มหกรรมความสุขสนุกเว่อร์ กับงานครบรอบ 1 ปีที่เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ 3 วัน 3 คืน ตั้งแต่ 14 ถึง 16 พฤศจิกายน 2557 ตื่นตาตื่นใจกับพิธีเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ พร้อมทั้งงานเปิดไฟต้นคริสต์มาส ที่สูงสุดในภาคเหนือ ร่วมมีทแอนด์กรี๊ดกับศิลปินดาราชื่อดังที่ตอบรับเข้าร่วมเฉลิมฉลองอย่างพร้อมเพรียง ให้สมกับเป็นโอกาสพิเศษ อาทิ ชมพู่ อารยา, โย ยศวดี ส่งท้ายความมันกันให้สุดกับ After Party สุดเก๋ จากศิลปินสุดฮอต อย่าง เอ๊ะ จิรากร และเจนนิเฟอร์ คิ้ม ด�ำเนินรายการโดยพิธีกรสาว กาละแม พัชรศรี แฟชั่นนิสต้าพลาดไม่ได้!!! ไม่อยากเอ้าท์ ต้องมา!!! เพราะงานนี้เรียกได้ว่าเป็นปาร์ตี้สุดชิคที่รวบรวม ไอเท็มชิ้นเด็ดจากแบรนด์ดังมาให้ชาวเชียงใหม่ได้ยลโฉมผ่านรันเวย์สุดคูล ที่จะมาพลิกประวัติศาสตร์แฟชั่น กับการเปิดตัว Winter Fashion Show สุดอลังการตระการตาไปกับคอลเลคชั่นล่าสุดจากแบรนด์เสื้อผ้าระดับโลก พร้อมคัดสรรผลงานการออกแบบ Limited Edition จากดีไซเนอร์ชื่อดังที่ออกแบบเพื่องานนี้โดยเฉพาะ มาให้ขาช้อปได้เลือกไปครองก่อนใคร รวมทั้งกิจกรรมสุด Exclusive ภายในงานอีกเพียบ ตั้งแต่ 6 โมงเย็น ถึงเที่ยงคืนตลอด 3 วัน ติดตามรายละเอียดกิจกรรมตลอดเทศกาล Crazy CentralFestival Festival ม่วนหลุดโลกกกกก Chiangmai ได้ที่ CentralFestival Chiangmai หรือ

6: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 14 November 2014 Celebrate Events - 1st Anniversary CentralFestival Chiangmai - Light Up Christmas - Super Star : - Fashion Show in House Brand @ CentralFestival Chiangmai Highlight : เตรียมพบกับแขกรับเชิญพิเศษ? สุดเซอไพร์ส

Highlight Mini Concert : By AE JIRAKORN

15 November 2014 Winter Fashion Events. SHOW 1 - Fashion show Brand ARTIT BY ATIP Thai Designer at Elle Fashion Week 2012 in Bangkok

SHOW 2 - Fashion Show International Fashion Brand @ CentralFestival Chiangmai Highlight mini concert : By JENNIFER KIM 16 November 2014 Winter Fashion Events. SHOW 1 - Fashion Show Brand Classic Model - Thai Designer Fashion and Coulture Clothing.

SHOW 2

- Fashion Show International Fashion Brand @ Cen- ถ.ซูเปอร์ไฮเวย์ (แยกศาลเด็ก) เชียงใหม่ โทร. 0-5399-8999 tralFestival Chiangmai

MUSIC SCOOP ย้อนรอย จุดเริ่มต้นของ 10 มือกีตาร์ กว่าจะมาเป็นเทพ เรื่อง: ลุงทอย ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กับการที่นิตยสารเล่มหนึ่งเดินทางมาถึงปีที่ 10 จะต้องผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านฝน ผ่านมือชาย ต้องมือหญิง ติดนิ้วเกย์ มาก็ไม่น้อย แต่จะดุเดือด ซาบซ่าน สนุกสนานขนาดไหน ก็คงต้องให้ทีมงานที่คลุกคลีหยิบมาเล่า แต่กับพื้นที่นี้ ในวันที่นิตยสารฮิพ อายุครบ 10 ปี จะพาไปดูการเริ่มต้นของมือกีตาร์ 10 คน ที่คงต้องใช้เวลามากมาย ผ่านอะไรมาไม่น้อย กว่าจะกลายเป็น ‘เทพ’ แห่งเครื่องดนตรี 6 สาย ไปดูกันว่า พวกเขาเริ่มต้นการเป็นเทพกันยังไง JIMMY PAGE (1944 - Present): เพจได้กีตาร์ตัวแรกในปี 1952 ตอนเขาอายุแค่ 8 ขวบ ตอนนั้น ครอบครัวของเขาย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ และมีกีตาร์ถูกทิ้งไว้ในบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นของเจ้าของบ้านคนก่อน และดูเหมือนว่าเพจจะเกิดมา เพื่อเล่นกีตาร์ เขาหัดเล่นเพลงของเอลวิส เพรสลีย์ และพวกเพลงสคิฟเฟิล ที่ได้ยินจากวิทยุบนเกาะอังกฤษตอนยุค 1950s ด้วยตัวเอง พออายุ 12 เขาก็เล่นได้อย่างเชี่ยวชาญ อีกหนึ่งปีถัดมาเขาได้ออกรายการแสดง ความสามารถทางโทรทัศน์ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในวงสคิฟเฟิล 4 ชิ้น เมื่อโตขึ้นเขาปฏิเสธงานในห้องแล็บ และสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น ก็ไม่พ้น สิ่งที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ เพจกลายมาเป็นนักดนตรี ท�ำงานในลอนดอน และเคยเล่นให้กับวงอย่าง เดอะ คิงค์ส และเดอะ ฮูว์ ซึ่งน�ำไปสู่การท�ำงาน กับวง เดอะ ยาร์ดส์เบิร์ดส์ แล้วเขาก็เลือกโรเบิร์ท แพลนท์, จอห์น พอล โจนส์ และจอห์น JACK WHITE บอนแฮม เพื่อกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตลอดกาล (1975 - Present): ลูกคนเล็กจากจ�ำนวนทั้งหมดสิบคน และเป็นลูกชายคนที่ 7 ของบ้าน ไวท์หัดเล่นดนตรี จากเครื่องดนตรีที่พี่ๆ ทิ้ง เริ่มจากกลองตอน 6 ขวบ โดยมีดนตรีคลาสสิคัลเป็นเพลงโปรด จนเข้าเรียนชั้นประถม เขาก็ได้รู้จักกับ เดอะ ดอร์ส, พิงค์ ฟลอยด์ และ เลด เซพเพลิน และ เพลงบลูส์ ไวท์ถูกส่งให้เข้าโรงเรียนสอนศาสนาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งจะต้องเป็นพระในเวลาต่อมา แต่พอรู้ว่า ไม่สามารถเอาแอมพลิไฟเออร์ไปด้วยได้ เขาก็หันมาเรียนในโรงเรียนรัฐแทน แล้วพออายุ 15 ก็ไปฝึกท�ำเฟอร์นิเจอร์หนังกับไบรอัน มัลดูนเพื่อนที่เป็นแฟนเพลงพังค์ ที่ดึงเขา ไปเล่นกีตาร์ด้วยในวงดูโอ หลังจากดูแลบริษัทเฟอร์นิเจอร์ของตัวเองอยู่พักใหญ่ ไวท์ก็น�ำความคิด เรื่องตั้งวงไปคุยกับเม็ก ที่เป็นภรรยาของเขาในเวลาต่อมา และเดอะ ไวท์ สไตรป์ส, อาชีพแปลกๆ ในฐานะ นักดนตรี, โปรดิวเซอร์ และเจ้าของค่ายเพลง ก็ถือก�ำเนิดขึ้น CHUCK BERRY (1926 - Present): ต�ำนานของดนตรีร็อคแอนด์โรลล์ เป็นลูกคนที่ 4 จาก 6 คน การโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง ท�ำให้เขามีโอกาสสัมผัสกับดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก แต่แล้วในปี 1944 เขาก็ถูกจับ หลังปล้นร้านค้า ในแคนซัสซิตี้ และถูกส่งเข้าไปอยู่ในสถานฟื้นฟูเยาวชนชาย ที่นี่เขาก็ตั้งกลุ่มนักร้องที่มีสมาชิก 4 คนขึ้นมา ก่อนจะถูกปล่อยตัวตอนอายุ 21 เขาตัดสินใจแต่งงานกับเด็กสาวคนหนึ่ง และหาเลี้ยงครอบครัว ด้วยงานก๊อกๆ แก๊กๆ ไปเรื่อย จนได้งานนักดนตรีบลูส์ในบาร์กับวงท้องถิ่น ซึ่งกลายเป็นบางอย่าง ที่มากกว่างานอดิเรก ต้องให้เครดิตกับจอห์นนี จอห์นสัน มือคีย์บอร์ดของวง ที่พยายามผลักดันเขา ในปี 1953 เบอร์รีได้เล่นในวงสามชิ้นของจอห์นสัน หลังมือกีตาร์ประจ�ำวงไม่สบาย และต้องขอบคุณ ความสามารถในการแสดงโชว์ และทักษะในการเล่นกีตาร์ที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จากคนแทน เขากลายเป็นหัวหน้าวง และได้เซ็นสัญญากับเชสส์ เรคอร์ดส์ในปี 1955 โดยมีซิงเกิล เพลง Maybelliene ออกมาในปีเดียวกัน และขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ทเพลงอาร์แอนด์บี ซึ่งคนเล่นเปียโน ในเพลงนี้ก็คือ จอห์นสัน

8: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014

JOE BONAMASSA (1977 - Present):

เป็นเทพกีตาร์ ที่ถ้าไม่คิดจะเล่นกีตาร์ ก็ไม่มีทางหนีพ้น เพราะพ่อ-แม่ของเขา เป็นเจ้าของร้านกีตาร์ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่โจจะจับกีตาร์ตั้งแต่ 4 ขวบ โดยมีที่ปรึกษาในช่วงสั้นๆ เป็นมือกีตาร์ฝีมือดี อย่าง แดนนี แกตตอน วางรากฐานเส้นทางเดินให้ ซึ่งก็รวมไปถึงการเล่นในวงบลูส์-ร็อค บลัดไลน์ กับสมาชิกในวงที่ประกอบด้วย ลูกชายของไมลส์ เดวิส, ร็อบบี ครีเกอร์ และ เบอร์รี โอคลีย์ในยุค 90s ที่น่าสนใจก็คือ ขณะที่มือกีตาร์บลูส์-ร็อครายอื่นๆ จะได้อิทธิพลดนตรีจากพ่อเพลงบลูส์อเมริกัน โบนาแมสซา กลับได้อิทธิพลดนตรีมาจากศิลปินบลูส์อังกฤษ หรือไอริช อย่าง เดอะ เจฟฟ์ เบ็ค กรุ็ป, เอริค แคลปตัน และศิลปินบลูส์ไอริช - รอรี กัลลาเกอร์ แล้วมีอัลบั้มของ จอห์น มายอลล์ แอนด์ เดอะ บลูส์ เบรคเคอร์ กับ เอริค แคลปตัน หรือ The Beano Album, Irish Tour ของรอรี กัลลาเกอร์ และ Goodbye ของครีมเป็นอัลบั้มที่มีอิทธิพลต่อชีวิต แต่ก็ยังมีอัลบั้ม Texas Flood ของสตีวี เรย์ วอห์น เป็นงานที่มีอิทธิพลกับเขาตอนเด็กๆ ขณะที่ชื่ออัลบั้มชุดแรกของเขา A New Day Yesterday ในปี 2000 ก็มีที่มาจากเพลงชื่อเดียวกันของเจโธร ทูลล์ ที่เขาเอามาคัฟเวอร์ในอัลบั้มด้วย DAN AUERBACH (1979 - Present): อาวเออร์บาคโตมาในครอบครัวที่มีรากทางดนตรี ถึงจะฟังเพลงบลูส์เก่าๆ จากแผ่นเสียงของคุณพ่อ-คุณแม่ มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย และทั้งคู่ก็พาเขาไปชมคอนเสิร์ตของ ศิลปินดังๆ อยู่หลายต่อหลายครั้ง โดยคอนเสิร์ตแรกในชีวิต ที่อาวเออร์บาคได้ดูคือ การแสดงของวิทนีย์ ฮุสตันกับแม่ ขณะที่ครั้งที่ 2 เป็นการชมเดอะ เกรทฟูล เดด กับพ่อ แต่ว่าที่ สมาชิกวงดนตรีเดอะ แบล็ค คียส์ ในฐานะมือกีตาร์ และ นักร้อง ก็ไม่ได้สนใจเรื่องดนตรีอย่างจริงจังเลย จนกระทั่ง PETE TOWNSHEND เข้าเรียนในระดับคอลเลจ ซึ่งเขาเอาจริงโคตรๆ ในระดับถึงกับ (1945 - Present): ดร็อปเรียนเพื่อให้ความสนใจกับการเล่นกีตาร์แบบเน้นๆ หลังจากไปหลงมนตร์เสน่ห์ในงานของพ่อเพลงบลูส์จาก สมัยเด็กๆ ทาวน์เชนด์ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก (สังเกตได้จากหน้าตา) มิสซิสซิปปี้ จูเนียร์ คิมบรอห์ ด้วยเหตุนี้จึงหมดสิ้น เขามักจะใช้เวลาไปกับการอ่านนิยายอย่าง Gullivers Travels และ Treasure ข้อสงสัยเลยว่า เดอะ แบล็ค คียส์ เอาซาวนด์ร็อคแอนด์โรลล์ Island แล้วก็สนุกกับการไปเที่ยวทะเลช่วงหน้าร้อนกับที่บ้าน และในปี 1956 แบบบลูส์ๆ มาจากไหน ทาวน์เชนด์ในวัย 11 ปี ก็ได้ชมหนังเพลงร็อคแอนด์โรลล์ เรื่อง Rock Around แต่อาวเออร์บาคไปไกลกว่านั้น เมื่อเขาท�ำให้ตัวเอง the Clock ที่ท�ำให้เขาสนใจเพลงร็อคแอนด์โรลล์ อเมริกัน โดยเฉพาะของ ‘ฟิน’ สุดๆ ด้วยการท�ำงานร่วมกับ คิมบรอห์แบบคู่ดูโอในอีพี บิลล์ เฮลีย์ แอนด์ เดอะ โคเม็ทส์ ซึ่งท�ำให้เขาเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นในเรื่อง ชุด Chulahoma: The Songs of Junior Kimbrough ความรักดนตรี แต่เป็นลูกไม้ที่หล่นไกลเอาการในเรื่องการเป็นนักดนตรี ด้วยความที่ ที่ออกมาเมื่อปี 2006 พ่อเป็นมือแซ็กโซโฟนในวงของกองทัพอากาศแห่งอังกฤษ เขาชอบหนังเรื่องนี้มาก ขนาดดูอีกซ�้ำแล้วซ�้ำเล่า จนย่าถึงกับซื้อกีตาร์ ตัวแรกมาให้ เขาเองก็เปลี่ยนความตั้งใจอยากจะเป็นนักข่าวเป็นนักดนตรีแทน ไม่ช้าไม่นาน เขาก็ได้เล่นในวงดนตรีหลายต่อหลายวงร่วมกับ พอล เอนท์วิสเทิล ERIC CLAPTON แล้วก็มีคนอย่าง โรเจอร์ ดัลทรีย์ และมือกลองที่ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว (1945 - Present): อย่าง คีธ มูน มาร่วมแรง หลังจากนั้นทุกคนก็รู้จักพวกเขาในนาม เดอะ ฮูว์ นี่คือมือกีตาร์ที่เป็นยิ่งกว่าเทพ เพราะแคลปตันคือพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่มือดีคนหนึ่ง พ่นข้อความเอาไว้บนก�ำแพงด้วยสีสเปรย์ แต่เชื่อเหอะ แคลปตัน นี่เมินกีตาร์มาแล้วนะ ตอนนั้นเขาอายุแค่ 13 ปี แล ้วได้กีตาร์ฮอยเออร์จากเยอรมันนีเป็นของขวัญวันเกิด ด้วยความที่ เป็นกีตาร์ใช้สายเหล็กราคาถูก ท�ำให้เขารู้สึกว่าการเล่นกีตาร์มัน... เอ่อ… ยาก แต่เจ้า เครื่องดนตรีชิ้นนี้ยังส่งแรงดึงดูดมหาศาล จนเขาทนไม่ไหว และเมื่อมาจับอีกทีตอนอายุ 15 เขาก็ลากยาวต่อเนื่อง แคลปตันได้อิทธิพลมาจากเพลงบลูส์ ซึ่งเขาใช้เวลาวันละหลายๆ ชั่วโมง ไปกับการเล่นคลอไปกับแผ่นเสียงเพลงบลูส์ที่เปิดอยู่ และบันทึกเสียงการเล่นลงเครื่องอัดแบบ เทปรีล จากนั้นก็ฟังและเล่นอีกซ�้ำแล้วซ�้ำเล่าจนกว่าจะถูกเป๊ะๆ โดยตอนได้เข้าวง เดอะ ยาร์ดเบิร์ดส์ในปี 1963 นั้น แคลปตันอายุแค่ 18 ปีเอง และนั่นคือการเริ่มต้น หนึ่งในการท�ำงานที่มีเรื่องราวมากมายของวงการเพลง โดยเฉพาะ การร่วมงานกับผู้คนมากมายในแต่ละครั้ง และยอดขายอัลบั้มมากมายไม่แพ้กัน

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :9 GARY CLARK, JR. (1984 - Present):

JIMI HENDRIX (1942 - 1970):

ก่อนจับกีตาร์ เครื่องดนตรีชิ้นแรกของเฮนดริกซ์คือ อูคูเลเล ที่ได้จากกองขยะของบ้านสาวใหญ่ ที่ก�ำลังจะย้ายออกไป ตอนนั้นเขาอายุแค่ 14 ปี เธอบอกให้เขาเก็บมันไว้ แม้จะมีแค่สายเดียวเขาเริ่มฝึก ด้วยการฟังเพลงของเอลวิส เพรสลีย์ แกะโน้ตออกมาเป็นตัวๆ จนปีต่อมาเขาถึงได้เล่นกีตาร์จริงๆ ซึ่งเขาเก็บเงินซื้อด้วยราคาแค่ 5 เหรียญ และใช้เวลาฝึกฝนด้วยการดู-ศึกษา กลเม็ดต่างๆ จากเซียนๆ ในยุคนั้น เด็กหนุ่มที่เกิดและโตในออสตินอย่างคลาร์ค จับกีตาร์ รวมไปถึงฟังเพลงบลูส์ของ มัดดี วอเทอร์ส, บีบี คิง, ฮาวลิน วูลฟ์ และโรเบิร์ท จอห์นสัน โดยเพลงแรก มาเล่นตั้งแต่อายุแค่ 12 ปี ในตอนที่เขาได้พบกับ ฟิล แอนโทน ที่เขาหัดเล่นคือ เพลงธีมจากซีรี่ส์ทีวี Peter Gunn เจ้าของคลับและโปรโมเตอร์คอนเสิร์ตในออสตินที่ใครๆ จากนั้นเขาก็ตั้งวง เดอะ เวลเว็ทโทนส์ แต่เสียงกีตาร์อะคูสติคของเขาถูกเครื่องดนตรีชิ้นอื่นกลบหมด ก็ให้การยกย่องนับถือ เขายังเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นตะลอนๆ ท�ำให้เขาอยากได้กีตาร์ไฟฟ้า ซึ่งต่อมาพ่อก็จัดหามาให้และได้เล่นในวงโนเนม แต่แค่การแสดงครั้งแรก ไปเล่นโชว์เล็กๆ ตามที่ต่างๆ อยู่เลย แอนโทนเกิดปิ๊งฝีไม้ลายมือ เขาก็โดนไล่ออกเพราะ ‘โชว์’ มากเกินไป ก่อนจะได้เล่นกับวงดนตรีอีกหลายๆ วงในเวลาต่อมา ของคลาร์ค แล้วก็จับเขาขึ้นเวทีกับนักดนตรีฝีมือดีอย่าง แต่ถึงจะเล่นดนตรีอาชีพตั้งแต่เป็นวัยรุ่น และใช้เวลาบ่มเพาะฝีมือ ประสบการณ์อยู่นาน ในฐานะ เจมส์ คอตตอน และฮูเบิร์ท ซัมลิน รวมไปถึงจิมมี วอห์น นักดนตรีรับจ้าง เล่นแบ็คอัพให้ศิลปินอย่าง วิลสัน พิคเก็ทท์, แซม คุ้ก และลิตเติล ริชาร์ดส์ แต่เขาก็ยัง การได้เล่นร่วมกับยอดฝีมือระดับนี้ ท�ำให้เขาขึ้นชั้นได้เร็วขึ้น ไม่เป็นโล้เป็นพาย จนย้ายมาลอนดอนในปี 1966 ซึ่งเขาได้กลายเป็นนักดนตรี เป็นศิลปินที่มีตัวตนของตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาไม่นานก่อนหน้าที่เอริค แคลปตัน จะโทรมา จริงๆ แชส แชนด์เลอร์ ผู้จัดการของเขา เป็นคนจับโนล เรดดิง กับมิทช์ มิทเชลล์ มาร่วมเล่นกับเฮนดริกซ์ เชิญชวนคลาร์คไปเล่นในงานคอนเสิร์ต Crossroads Guitar ในแบบวง 3 ชิ้น พวกเขากลายเป็นที่รู้จักจากการเล่นตามคลับต่างๆ ซึ่งมีคนดูที่เป็นสมาชิกของวงดนตรี Festival ของเขาในปี 2010 อย่าง เดอะ บีเทิลส์, โรลลิง สโตนส์, เดอะ ฮูว์ หรือกระทั่ง เอริค แคลปตัน แคลปตันยังหนีบคลาร์คไปทัวร์บราซิลเมื่อปี 2011 ด้วย หกเดือนต่อมา เฮนดริกซ์ออกอัลบั้ม Are You Experienced งานชุดแรกจาก 4 ชุดของเขา โดยให้เล่นเป็นศิลปินเปิดโชว์ตลอดการแสดง ที่ออกวางจ�ำหน่ายก่อนที่เจ้าตัวจะจากไปในปี 1970 และทุกอย่างหลังจากอัลบั้มนั้น คือ… ประวัติศาสตร์ JOHN MAYER (1977 - Present): ห หลังดูหนัง Back to the Future แล ้วเห็นไมเคิล เจ ฟ็อกซ์ ในบท มาร์ตี แม็คฟลาย เล่นกีตาร์ เมเยอร์ก็ลุ่มหลงเครื่องดนตรี ชิ้นนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น พออายุครบ 13 พ่อก็จัดการเช่ากีตาร์ มาให้เขาเล่นตัวหนึ่ง ส่วนเพื่อนบ ้านก็รู ้ใจ ยกคาสเส็ทท์เพลงของ สตีวี เรย์ วอห์นมาให้ฟัง ท�ำให้เขาเริ่มหลงใหลในเสียงเพลงบลูส์ มานับแต่นั้น ที่ส�ำคัญความรักกีตาร์ของเมเยอร์ ท�ำให้พ่อแม่ จิตตก ถึงกับพาเขาไปพบจิตแพทย์ หลังเข้าเรียนสถาบันดนตรีเบิร์คลีย์ได้แค่ 2 เทอม เมเยอร์ ก็ถอยดีกว่า เขาเดินทางไปแอตแลนตาเพื่อเล่นดนตรีกับเพื่อน ในนามวงดูโอ โลไฟ มาสเตอร์ส และพอวงแตก เมเยอร์ ตัดสินใจท�ำงานเดี่ยว ออกอีพีชุด Inside Wants Out ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เมื่อเพลง No Such Thing กลายเป็นเพลงฮิตเพลงแรกของเมเยอร์ ซึ่งต่อมาเขาจับมาใส่ใน งานชุดแรกของตัวเอง Room for Squares ด้วย เพลงนี้ ขึ้นถึงอันดับ 13 ในชาร์ทเพลงฮิตของบิลล์บอร์ด และน�ำไปสู่ การเซ็นสัญญากับสังกัดใหญ่อย่างโคลัมเบีย

10: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 ARTIST BEHIND THE RABBITS เบื้องหลังพระจันทร์และเหล่ากระต่ายบนปก& THE MOON HIP เรื่อง: ระพินทรนาถ เห็นภาพบนปกทั้งสองฝั่งของ HIP กันแล้วใช่ไหม เชื่อว่าหลายๆ คนคงอยากรู้ว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังผลงานชิ้นนี้ ด้วยเหตุนี้เราจึงน�ำตัว Rabbit Boy เจ้าของผลงานดังกล่าวมานั่งคุยกัน เพื่อให้คุณๆ ได้รู้จักว่าเขาเป็นใครมาจากไหน รวมทั้งถามเขาถึงไอเดียและการท�ำงานตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่จะได้ออกมาเป็นผลงานสวยๆ บนหน้าปก HIP ฉบับนี้

RABBIT BOY X ANNATAR

HIP : คุณเป็นใครมาจากไหน? แล้วก่อนหน้านี้ท�ำอะไรกันมาบ้าง? ต่อเนื่องจากปกแรก ด้วยการเพิ่มฐานปล่อยพระจันทร์เทียมเข้าไป Rabbit Boy : ผมเป็นศิลปินไส้แห้งที่เล่นดนตรีเลี้ยงชีพครับ ให้ดูเหมือนว่าจากที่กระต่ายสร้างพระจันทร์เทียมอยู่ในปกแรก ส่วนเวลาที่ไม่ได้เล่นดนตรี ผมก็ท�ำงานกราฟิกดีไซน์ต่างๆ เป็นงานรอง พอมาถึงปกนี้พระจันทร์เสร็จสมบูรณ์แล้ว ก็เลยถูกปล่อยออกไปใน HIP : แล้วไปยังไงมายังไง คุณถึงมาท�ำงานนี้ได้? อวกาศ โดยมีกระต่ายปักธงบนดวงจันทร์ตามที่ Annatar ท�ำเอาไว้ อยู่ด้วย จากนั้นก็จัดการเอาสเก็ตช์มาท�ำต่อจนออกมาเป็นผลงานจริงๆ Rabbit Boy : คืองานที่ผมชอบท�ำมีบางส่วนที่ใกล้เคียงกับโจทย์ รวมทั้งจัดการรายละเอียดในส่วนของงานกราฟิกทั้งหมด ก็ท�ำอยู่พัก ของงานนี้ โดยโจทย์ที่ได้มาก็คืออยากจะให้ในงานมีกระต่าย ใหญ่ล่ะครับกว่าจะได้เป็นผลงานทั้งสองชิ้นออกมาอย่างที่เห็น กับพระจันทร์ ทีนี้ตัวผมเองก็ชอบกระต่าย ในงานที่เคยท�ำก็มีกระต่าย HIP : แต่ว่ากระต่ายของผมจะออกแนวโหดๆ หน่อย แล้วงานนี้มันจะมี หลังจากท�ำงานนี้ส�ำเร็จแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง? โจทย์ค่อนข้างชัดเจน ก็เลยเหมือนอยากลองดูว่าเราจะท�ำงานให้ Rabbit Boy : ก็รู้สึกดีครับที่ได้ท�ำงานกับเพื่อน คิดว่าหลังจากนี้ ออกมาส�ำเร็จตรงตามนั้นได้ไหม อีกอย่างพอรู้ว่างานนี้จะท�ำให้ HIP คงจะต้องหาโอกาสท�ำงานด้วยกันอีก อีกอย่างก็ดีใจครับที่สามารถ ด้วย ก็เลยอยากลองดู ท�ำงานที่มีโจทย์มาให้จนเสร็จสมบูรณ์ได้ เพราะยอมรับว่าปกติจะท�ำ HIP : กระบวนการท�ำงานชิ้นนี้เป็นยังไงบ้าง? เล่าให้เราฟังหน่อยสิ แต่งานที่ได้ท�ำอะไรตามใจตัวซะมากกว่า แต่พอมาท�ำงานที่มี โจทย์ชัดเจน มันก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง ที่เหลือก็หวังว่าแฟนๆ HIP Rabbit Boy : ตอนที่เริ่มต้นท�ำงาน ผมจะตีความก่อนว่าจะท�ำงาน จะชอบงานทั้งสองชิ้นนี้นะครับ ประมาณไหน คิดไว้ว่าอยากให้มันเป็นงานที่มีเรื่องราว ก็เลยท�ำสเก็ตช์ ปกแรก (A Side) ออกมาเป็นภาพโรงงานในอวกาศที่บรรดากระต่าย ABOUT HIM ก�ำลังสร้างพระจันทร์เทียมอยู่ พอได้สเก็ตช์เบื้องต้นแล้วก็นึกได้ว่า เพื่อนของผมคือ Annatar ซึ่งเคยเรียนด้วยกันที่คณะวิจิตรศิลป์ มช. Rabbit Boy เป็นชื่อแคแร็คเตอร์สมมติของศิลปินหนุ่ม ศิษย์เก่าจากสาขา เขาเก่งเรื่องออกแบบคาแร็คเตอร์ แล้วก็ชอบกระต่ายเหมือนกันด้วย ออกแบบ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ปัจจุบันท�ำงานกราฟิกดีไซน์ หลากหลายรูปแบบควบคู่ไปกับการท�ำงานดนตรีที่เขารัก โดยเขาเลือกใช้ชื่อนี้เพื่อ ก็เลยไปชวนให้เขามาช่วยเติมดีเทลของกระต่ายแต่ละตัว ส่วนปกอีก แทนตัวเองในการท�ำงานที่ปรากฏบนหน้าปก HIP ทั้งสองด้าน ส�ำหรับใครที่เห็น ด้านหนึ่ง (B Side) Annatar เขาท�ำสเก็ตช์ภาพกระต่ายเหยียบ ผลงานของเขาแล้วติดใจในฝีไม้ลายมือ ก็ไปพูดคุยกับเขาที่ tanzanyde@ ดวงจันทร์มา ผมเห็นแล้วเกิดไอเดีย เลยเอามาต่อยอดให้มันมีเรื่องราว hotmail.com กันได้เลย MUSIC REVIEW HIP’S PICK OF THEรวมเพลงเด็ดตกส�ำ รวจจากMONTH HIP เรื่อง: ระพินทรนาถ JANUARY MOON Snowbird ในทุกๆ เดือน Music Review พยายามที่จะสรรหางานเพลงที่เราคิดว่า เข้าท่าและคุณๆ ก็น่าจะชอบมาน�ำเสนอกันเป็นประจ�ำอยู่แล้ว แต่ถึงจะแนะน�ำกัน หลายคนอาจจะตื่นเต้นเมื่อรู้ว่า เดือนหนึ่งตั้งหลายแผ่น ก็ยังมีผลงานเพลงดีๆ อีกมากมายที่เราไม่ได้เอามา หนึ่งในสมาชิกของ แนะน�ำในแต่ละเดือน ทั้งด้วยเหตุที่ว่าไม่มีที่จะลง (แล้ว) ต้องปิดเล่มก่อนจะได้ฟัง กลับมาท�ำเพลงอีกครั้ง ต้องตัดใจเลือกงานอื่นที่เห็นว่าจะเข้ากับคอลัมน์ในฉบับนั้นๆ มากกว่า ไปจนถึง หรือรายชื่อแขกที่มาร่วมงาน (ได้สมาชิก พลาดไม่ได้ฟัง ก็ว่ากันไปในแต่ละเดือน ของ Radiohead และ มาช่วย) จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวงาน ดังนั้นเมื่อการบ้านของฉบับนี้คือการเล่นกับเลข 10 เพื่อฉลองครบรอบ 10 ปีของ HIP แต่สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดจากการท�ำงานร่วมกัน เราจึงขอใช้โอกาสนี้น�ำเสนอ 10 ผลงานเพลงที่ไม่เคยถูกน�ำเสนอในหน้านี้มาก่อน โดยเลือกจาก ระหว่าง Simon และ Stephanie Dosen บรรดาอัลบั้มที่ออกมาในแต่ละเดือน ก่อนจะเลือกเพียงเดือนละ 1 ชุดแล้วเอามาแนะน�ำ ในนาม Snowbird คือความงดงามของท่วงท�ำนองและเสียงร้องที่ท�ำออกมา แบบเรียงเดือน (ตั้งแต่มกราฯ ถึงตุลาฯ) กันไปเลย งานนี้นอกจากจะเป็นการไถ่โทษที่ตอนผล ได้อย่างลงตัวและไพเราะน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง จนท�ำให้ผลงานชุดแรกนี้ งานเขาออกดันไม่ได้เขียนถึงแล้ว แต่ละชุดที่จะได้เจอต่อจากนี้นั้นเราฟังแล้ว ‘ชอบมาก’ เป็นการเปิดตัวที่ฟังแล้วอยากจะให้เขาและเธอจับคู่กันต่อไปอีกนานๆ จนอยากชวนให้คุณๆ ได้ฟังด้วย เหลือเกิน

FEBUARY MARCH APRIL THE HADEN TRIPLETS LOST IN THE DREAM TREMORS The Haden Triplets The War on Drugs SOHN Third Man Records Secretly Canadian 4AD

ว่ากันว่าเกิดมา งานชุดที่สาม งานของหนุ่มที่ เป็นลูกคนเก่งคนดัง ของวงจากฟิลาเดลเฟีย เป็นทั้งนักร้อง นักดนตรี นั้นล�ำบาก (เพราะมักจะ (จริงๆ น่าจะเรียกว่า และโปรดิวเซอร์คนนี้ โดนจับมาเปรียบเทียบ งานโซโลของ Adam เป็นส่วนผสมที่ลงตัว กับพ่อแม่) แต่ดูเหมือน Granduciel มากกว่า) ของซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ สมาชิกสามสาวจาก ที่งานสองชุดก่อนหน้า หลากแบบกับเสียงร้อง The Haden Triplets สร้างชื่อด้วยสุ้มเสียงที่ ในแบบโซล แม้ดูเผินๆ ไม่จ�ำเป็นจะต้องกังวล ชวนให้นึกถึง Bob จะค่อนไปทางหม่นเศร้า กับปัญหานี้ เพราะนอกจากพวกเธอแต่ละคน Dylan หรือ Bruce Springsteen และดนตรีที่ท�ำได้ มากกว่ารื่นเริง (และชวนให้นึกถึง James Blake อยู่ จะมีคุณภาพดีเหลือเฟือ (ไม่เชื่อลองฟังเสียงประสานของ เข้าท่า ในงานชุดใหม่ ภาคดนตรีที่มีร็อคเป็นแกนหลักนั้น พอสมควร) แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นผลงานเปิดตัว พวกเธอดูก็ได้) ชนิดที่คุณพ่ออย่าง Charlie Haden โดดเด่นด้วยเสียงกีตาร์กับบรรดาเสียงสังเคราะห์ต่างๆ ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่น (ทั้งการเลือกใช้ซาวด์ น่าจะภูมิใจแล้ว แฝดสามสาวยังท�ำงานออกมา ที่ถูกหยิบมาใช้ เช่นเดียวกับซาวด์หลายๆ ส่วนในอัลบั้ม หรือสไตล์การร้อง) แถมเพลงยังออกมาเข้าท่าเข้าทาง ได้กลมกล่อมดีและได้อารมณ์โฟล์ค-คันทรี่ที่ครบเครื่อง ซึ่งสื่อถึงอิทธิพลจากศิลปินรุ่นพี่ๆ ที่ไม่ใช่ว่าไปลอกกันมา ดีเสียด้วย ดูหน่วยก้านแล้วไม่น่าแปลกใจที่หน้า ดีทีเดียว ถึงจะมีจุดอ่อนอยู่บ้างตรงที่ยังไม่มีเพลง หากแต่รู้จักน�ำมาปรับให้กลายเป็นสไตล์ของพวกเขาเอง Music Scoop เพิ่งจะแนะน�ำไว้ว่าเป็นศิลปินน่าจับตา เป็นของตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ท�ำให้ความดีของงานชุดแรก ส่วนท่วงท�ำนองก็เคลื่อนไหวได้อย่างหนักแน่นมีพลัง เพราะว่าหนุ่มคนนี้เขา ‘มีของ’ จริงๆ ของสามสาวลดน้อยลงแต่อย่างใด และฟังสนุกดีทีเดียว

12: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 MAY JUNE JULY WHAT HAVE WE BECOME? WHAT IS THIS HEART? NEVER HUNGOVER AGAIN Paul Heaton & Jacqui Abbott How to Dress Well Joyce Manor Virgin EMI Weird World Epitaph

แค่เห็นชื่อ ถ้าว่ากันเฉพาะ ระยะเวลาของ Paul Heaton และ หน้าปก งานของหนุ่ม ตัวงานตั้งแต่ต้นจนจบ Jacqui Abbott Tom Krell (ชื่อจริงๆ นับว่าสั้น (มี 10 เพลง แฟนๆ The Beautiful ของ How to Dress แต่ว่ายาวเพียงแค่ South ก็น่าจะปลื้มแล ้ว Well) ก็ดูจะธรรมดาๆ เกือบ 20 นาทีเท่านั้น) ยิ่งถ้าได้ฟังงานจนจบ ไม่ชวนให ้รู ้สึกว่าน่าสนใจ ถึงกระนั้นความสั้น ด้วยก็น่าจะยิ่งปลื้ม สักเท่าไหร่ แต่ข ้างในงาน ของแต่ละเพลงก็ไม่ได้ มากกว่าเดิม เพราะ ชุดที่สามของเขานั้น เป็นสิ่งที่ลดทอนความดี การท�ำงานร่วมกันของอดีตสองสมาชิกของวงนั้น มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่เยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของ ของงานชุดที่สามจากวงป๊อปพังค์กลุ่มนี้ลงไปแต่อย่างใด ให้ผลลัพธ์ที่นอกจากจะท�ำให้แฟนๆ ได้ระลึกถึงวันคืน เจ้าของงานที่ถือว่าร้องดีน่าฟัง ภาคดนตรีที่หยิบเอาซาวด์ สิ่งที่จะได้เจอในงานของ Joyce Manor คือท่วงท�ำนอง เก่าๆ แล้ว ยังช่วยบรรเทาความคิดถึง The Beautiful หลากหลายแบบมาช่วยเสริมให้ดนตรีอาร์แอนด์บีที่เป็น ที่ฟังง่ายติดหูแต่มีชั้นเชิง ขณะที่ภาคดนตรีก็เคลื่อนไหว South ลงได้พอสมควรอีกต่างหาก ส่วนคนที่ไม่คุ้นเคย แกนหลักนั้นมีสีสันและแตกต่างออกไปจากอาร์แอนด์บี ได้อย่างคึกคักและมีพลังชนิดสมกับการเป็นเพลงพังค์ นี่คือตัวอย่างของงานอินดี้ป๊อปที่ไม่เพียงแต่จะฟังสนุก ที่คุ้นเคย รวมถึงท่วงท�ำนองที่ไม่ซ�้ำซากแต่ฟังเพลินติดหู แถมทุกอย่างที่ว่ายังอยู่รวมกันได้อย่างเหมาะเจาะพอดี อย่างมีชั้นเชิงเท่านั้น หากแต่ยังมีคุณภาพในทุกๆ ส่วน และมีครบรสทุกอารมณ์ตั้งแต่สุขจนถึงโศก เรียกว่า ไม่มีอะไรแปร่งหู เป็นงานที่จะฟังแบบเน้นเอาความมัน และแสดงให้เห็นว่า ที่ชื่อเสียงโด่งดังมานานของเจ้าของงาน ถ้าใครมองเมินเพราะปกไม่ดึงดูดต้องบอกว่าน่าเสียดาย หรือจะฟังแบบขอดูคุณภาพฝีมือก็สอบผ่านได้ในทุกด้าน นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

AUGUST SEPTEMBER OCTOBER LP1 THIS IS ALL YOURS YOU’RE DEAD! FKA Twigs Alt-J Flying Lotus XL Atlantic Warp

ถามว่ารู้จัก ถึงงานชุดที่สอง Steven Ellison FKA Twigs ไหม วงดนตรีจากลีดส์วงนี้ หรือ Flying Lotus หลายคนน่าจะตอบว่าไม่ จะต้องเดินต่อไปโดย ไม่ได้ท�ำแค่เพลงฮิพ ฮอพ (หรือต่อให้บอกชื่อจริง ไม่มีมือเบสส์ (และ แต่ว่าเขาพามันไปไกล อย่าง Tahilah Barnett กลายมาเป็นวงสามชิ้น) มากกว่านั้นด้วยการ ก็ไม่น่าจะรู้จักอยู่ดี) แต่ Alt-J ก็แสดง น�ำซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ แต่นับจากนี้ไปแนะน�ำว่า ให้เห็นว่า การที่พวกเขา กลิ่นอายแบบดนตรี จ�ำชื่อเธอคนนี้เอาไว้ ได้รับรางวัลเมอร์คิวรี่ ทดลองและเวิลด์มิวสิค ให้ดีๆ เพราะทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ภายใน LP1 นั้น เมื่อสองปีที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คตรงไหน ตัวงาน ไปจนถึงจังหวะในแบบแจ็ซซ์และฟิวชั่นเข้ามาผสม คืองานทริป ฮอพ-อาร์แอนด์บีที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะด้วย ที่มีองค์ประกอบอย่างสุ้มเสียงอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ก่อนจะขัดเกลาจนออกมาเป็นผลงานที่ท�ำให้เซอร์ไพรส์ เสียงร้องที่ดูลึกลับ หม่นเศร้าและน่าค้นหาแต่ว่ามีพลัง เสียงประสาน, ซาวด์แบบเวิลด์มิวสิค, ไปจนถึงกลิ่นอาย ในความหลากหลายที่ท�ำให้ตื่นตาตื่นใจ สารพัดเสียง ท่วงท�ำนองที่ดูเหมือนจะเรียบเรื่อย หากแต่มี ดนตรีอย่างโฟล์ค อินดี้ป๊อปและร็อคนั้น ทุกอย่าง ที่ท�ำให้ทึ่งในไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ และ รายละเอียดที่น่าติดตาม และภาคดนตรีที่ปรุงแต่งออกมา สอดประสานกันได้อย่างอลังการและทรงพลังภายใต้ บทเพลงที่ฟังแล ้วต้องซูฮกในความสามารถ นี่อาจไม่ใช่งาน ได้อย่างดีเยี่ยมและเปี่ยมไปด้วยความสร้างสรรค์ คุณภาพที่ไม่มีอะไรให้ต้องต�ำหนิ ทั้งยังช่วยให้แต่ละ จ�ำพวกฟังง่าย-ฟังเพลินและอาจเป็นของยากส�ำหรับ จนท�ำให้ไม่แปลกใจที่นักวิจารณ์พากันชื่นชมงานของ บทเพลงของพวกเขาออกมายอดเยี่ยมและสร้าง หลายๆ คน แต่ความยอดเยี่ยมนั้นก็ดีเสียจนน่าเสียดาย สาวจากอังกฤษคนนี้กันมากมายเหลือเกิน ความประทับใจในการรับฟังได้เป็นอย่างดี หากจะมองข้าม

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :13 FILM LET’S TRY THESE

(MUSIC)HIP ชวนลอง 10 หนังดนตรีFILMS! เรื่อง: ระพินทรนาถ

เชื่อว่าปีนี้คงมีหลายๆ คนที่ยกให้ Begin Again เป็นหนึ่งในหนังในดวงใจประจ�ำปี ซึ่งจะว่าไปแล้วปีนี้ก็ถือเป็นอีกปีที่มีภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเพลงและดนตรี (ไม่ว่าจะตรงๆ หรือเฉี่ยวๆ) มาให้ได้ชมกันหลายเรื่อง (อย่างเช่นเรื่องที่อ้างชื่อไว้ ตั้งแต่บรรทัดแรกนั่นแหละ) ทีนี้พอได้ดูหนังที่เกี่ยวกับเพลงหรือดนตรีหลายเรื่องเข้า ก็เลยอยากจะเขียนถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับดนตรีเหมือนกันดูบ้าง ยิ่งเมื่อฉบับนี้ เป็นฉบับครบ 10 ปีด้วยแล้ว ก็เลยจะขอเปลี่ยนรูปแบบ หันมาน�ำเสนอภาพยนตร์ ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับดนตรีรวม 10 เรื่องให้เข้ากับบรรยากาศหน่อยก็แล้วกัน หมายเหตุ : เนื่องจากไม่อยากให้เจอแต่หนังหน้าซ�้ำๆ อย่าง High Fidelity หรือ Almost Famous (ถึงเราจะชอบมากก็เถอะ) 10 เรื่องที่น�ำเสนอกันตรงนี้จึงผสมกันทั้งหนังเก่า (ไม่มาก) – หนังใหม่ และหนังดัง – หนังไม่ดัง โดยเลือกที่เราเห็นว่าดูสนุกดี และคิดว่าน่าจะโดนใจคุณผู้อ่านบ้าง (ส่วนจะโดน จริงไหมก็ขอเชิญไปชมกันตามสะดวกละกันนะจ๊ะ)

AUGUST RUSH 01 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : พระเอก (Freddie Highmore จะให้ถูกควรเรียกว่า พระเอกเด็กสินะ) เด็กก�ำพร้าที่เดินทางมานิวยอร์คแล้วกลายเป็นนักดนตรีข้างถนน เพราะเชื่อว่าสักวันดนตรีจะท�ำให้ได้เจอพ่อกับแม่ที่พลัดพรากกันไป ขณะที่พ่อ (Jonathan Rhys Meyers) เป็นนักร้องวงร็อค ส่วนแม่ (Keri Russell) เป็นนักเชลโล เท่านี้ก็คงเกี่ยวกับดนตรีพอแล้วมั้ง? มีอะไรน่าสนอีก? : ถ้าชอบเรื่องน�้ำเน่าแบบดาวพระศุกร์ก็มาถูกเรื่องแล้ว เพราะ ชีวิตพระเอกเด็กของเรานั้นเศร้ามาก (โดนคุณตาเอาไปทิ้งเพราะเคืองที่แม่ ไปท้องกับพ่อที่เป็นไอ้หนุ่มนักร้องที่ไหนก็ไม่รู้) แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีพรสวรรค์ทางดนตรีมากด้วยเหมือนกัน (ได้เชื้อทั้งพ่อและแม่เลยว่างั้น) ส่วนถ้าสนใจดารา นอกจากชื่อที่บอกไปแล้ว ในเรื่องยังมี Robin Williams และ Terrence Howard ร่วมแสดงด้วย ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : Raise It Up เพลงจากหนังเรื่องนี้ (ร้องโดยหนูน้อย Jamia Simone Nash ร่วมกับ Impact Repertory Theatre) ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในการประกาศรางวัล ออสการ์ครั้งที่ 80 แต่ว่าแพ้ให้กับเพลง Falling Slowly จาก Once ไป THE ROCKER 02 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : ดูโปสเตอร์หนังก็คงเห็นกันชัดแจ๋วว่าเป็น วงดนตรี ขยายความเพิ่มก็คือ ฟิช (Rainn Wilson) พระเอกเคยเป็นมือกลอง วงร็อคที่โดนเพื่อนๆ ร่วมวงไล่ออก (เพราะนายทุนไม่ปลื้ม) ความเจ็บที่โดน หักหลังท�ำให้ฟิชกลายเป็นคนล้มเหลวและเพี้ยนในสายตาคนอื่น จนกระทั่ง เขาจับพลัดจับผลูมาเป็นมือกลองให้วงดนตรีของหลานชาย ซึ่งไปๆ มาๆ ดันชื่อเสียงโด่งดังจนถึงขั้นได้เล่นเป็นวงเปิดให้วงเก่าของเขาเอง มีอะไรน่าสนอีก? : นอกจากความเพี้ยนของ Rainn Wilson ที่หลุดโลกได้ใจ และฮากระจายแล้ว หนังเขายังรู้จักเอาใจผู้ชมให้ครบทุกกลุ่มด้วยการมี Teddy Geiger กับ Emma Stone มาให้คนหนุ่มสาวได้กรี๊ดกัน อ้อ! งานนี้ พ่อหนุ่ม Teddy ซึ่งปกติก็เป็นนักร้อง/นักดนตรีอยู่แล้วรับหน้าที่ร้องเพลงประกอบในหนังไปหลายเพลง ด้วยนะ (ซึ่งก็ออกมาเข้าท่าดี) ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : ในหนังมีฉากที่คิม (Christina Applegate) แม่ของเคอร์ติส (Teddy Geiger) บอกกับฟิชว่าเธอเคยเป็นสมาชิกวงพังค์หญิงมาก่อนตอนเป็นวัยรุ่น ซึ่งในชีวิตจริง เธอเป็นสมาชิกยุคแรกๆ ของกลุ่มนักเต้นที่กลายเป็น The Pussycat Dolls ในภายหลัง

14: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 PIRATE RADIO 03 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : ในยุค 60s รัฐบาลอังกฤษห้ามไม่ให้เปิดเพลงร็อค ผ่านทางวิทยุ แต่ของแบบนี้ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ว่าแล้วบรรดาดีเจสุดแสบทั้งหลาย ซึ่งน�ำขบวนโดยเดอะ เคานต์ (Philip Seymour Hoffman) จึงแหกกฎเปิดเพลง ที่เขาห้ามทั้งหลายออกอากาศในรายการเถื่อนที่ส่งกระจายเสียงผ่านสถานี ที่อยู่บนเรือในทะเลเหนือกันซะเลย มีอะไรน่าสนอีก? : เห็นชื่อ Richard Curtis (Love Actually, About Time) ก็วางใจได้เยอะว่าหนังน่าจะออกมาสนุก (ซึ่งก็บันเทิงดีจริงๆ นั่นแหละ) ส่วนคนที่ ชอบเรื่องเพลงทั้งหลาย แค่ได้เห็นชื่อสารพัดศิลปินจากยุค 60s (น�ำขบวนโดย The Rolling Stone) ในซาวด์แทร็คหนังก็ฟินสุดๆ แล้ว ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : แม้เรื่องที่เกิดในหนังนั้นเป็นเรื่องแต่ง แต่จะว่าไปมันก็มีที่มาจากเรื่องจริงอยู่ด้วย เพราะ รายการวิทยุที่ออกอากาศอย่างผิดกฎหมายโดยจัดจากสถานีที่อยู่บนเรือนั้นมีอยู่จริงในโลก โดย Radio Caroline รายการที่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1964 นั้นออกอากาศจากเรือเหมือนกัน ต่างกันแค่เป้าหมายของ Radio Caroline นั้นต้องการจะเลี่ยงอิทธิพลที่ควบคุมเรื่องเพลงของบรรดาค่ายเพลงและสถานีวิทยุ BBC ไม่ได้ประท้วงรัฐเหมือนในหนังแต่อย่างใด TAKING WOODSTOCK 04 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : รู้จักวู้ดสต็อกกันไหมจ๊ะ? (ถ้าไม่รู้จักจริงๆ ก็เสิร์ชกูเกิลดูละกันนะ) เอาล่ะ ถึงในเรื่องนี้พระเอก (รวมถึงคนรอบๆ ตัวทั้งหลาย) จะไม่มีใครเล่นดนตรีหรือชอบดนตรีเป็นเรื่องเป็นราวอะไรเลยก็เถอะ แต่เรื่องของ ครอบครัวเจ้าของโมเต็ลที่เปลี่ยนสภาพจากคนที่ก�ำลังจะหมดตัวมาเป็นส่วนหนึ่ง ของประวัติศาสตร์เทศกาลดนตรีที่เป็นที่รู้จักกันทั้งโลกนั้น มันก็ฟังดูน่าสนุก และน่าสนใจดีอยู่ไม่ใช่รึ? มีอะไรน่าสนอีก? : เรื่องราวในหนังน่ะก็สนุกดีอยู่แล้วนะ แถมยังชวนให้ยิ้ม กับการได้เห็นดาราฝีมือดีหลายๆ คนมารับบทเล็กๆ น้อยๆ ในหนัง (อาทิเช่น Liev Schreiber, Eugene Levy, Emile Hirsch, Paul Dano และ Jeffrey Dean Morgan) และอย่าลืมด้วยว่าผู้ก�ำกับหนังเรื่องนี้น่ะชื่อ อั้ง ลี่! ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังนั้นมีที่มาจากเรื่องจริง โดยบทภาพยนตร์พัฒนามาจากเนื้อหา ใน Taking Woodstock : A True Story of a Riot, a Concert and a Life ผลงานของ Elliot Tiber (คนเดียวกันกับชื่อพระเอกในหนังนั่นแหละ) ที่พิมพ์เผยแพร่ในปี 2007 JANIE JONES 05 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : เรื่องนี้นี่เกี่ยวแน่ๆ เพราะตัวเอกเป็นนักดนตรี แล้วเพิ่มความดราม่าเข้าไปด้วยการวางเรื่องให้เขาได้มาเจอกับลูกสาวที่ไม่เคย เจอกันมาก่อน (แม่ซึ่งเป็นอดีตแฟนเพลงพาเธอมาแล้วทิ้งให้อยู่กับพ่อ) ส�ำหรับนักดนตรีขี้เหล้าที่ชื่อเสียงก�ำลังร่วงโรย การที่อยู่ๆ ต้องมารู้ว่าตัวเองมีลูก แถมต้องมาดูแลรับผิดชอบด้วยนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าตัวคงไม่ปลื้มสักเท่าไหร่ จนกระทั่ง การได้อยู่ด้วยกันค่อยๆ เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ มีอะไรน่าสนอีก? : นอกจากเรื่องจะดราม่าได้ใจแล้ว การมี Abigail Breslin (อดีตหนูน้อยจอมป่วนจาก Little Miss Sunshine) และการมารับบทน�ำ ของ Alessandro Nivola (ที่ก่อนหน้านี้ถ้าไม่เล่นบทรองๆ ก็มักจะได้เป็น ผู้ร้ายซะมากกว่า) เป็นอีกเหตุผลที่ท�ำให้เราชอบหนังเรื่องนี้ แถมเสียงร้องของเธอกับเขาที่มีให้ฟังในหนังนั้น ก็ถือว่าไม่เลวเลยส�ำหรับดาราที่ต้องมารับหน้าที่ร้องเพลง (เพลงในหนังเพราะด้วยนะขอบอก) ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : David M. Rosenthal ผู้ก�ำกับหนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจในการท�ำหนังมาจาก ประสบการณ์จริงในชีวิตของตัวเขาเอง ที่ได้พบกับลูกสาวที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนเป็นครั้งแรกตอนที่เขา อายุ 30 (ส่วนเธออายุ 11) KILLING BONO 06 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : เรื่องราวของสองพี่น้องชาวไอริชที่ท�ำวงดนตรีและ มั่นอกมั่นใจว่าอนาคตของพวกเขาจะรุ่งโรจน์ ปัญหาคือพวกเขาถูกน�ำไปเปรียบกับ วงดนตรีของเพื่อนสมัยมัธยมที่ดูเหมือนจะเป็นที่สนใจของชาวบ้านมากกว่า มาโดยตลอดและไม่เคยแจ้งเกิดได้เลย แถมไอ้วงดนตรีของเพื่อนที่ว่านั้น ต่อมา คนทั้งโลกรู้จักวงนี้ในชื่อ U2 ซึ่งการเห็นความส�ำเร็จของเพื่อนเก่านั้นมันท�ำให้พวกเขา ช�้ำใจเหลือจะเอ่ย มีอะไรน่าสนอีก? : เรื่องราวในหนังส่วนหนึ่งมีที่มาจากเรื่องจริง (พี่น้อง McCormick นั้นเป็นเพื่อนกับโบโนและสมาชิกคนอื่นๆ ของ U2 จริงๆ), เราว่า Ben Barnes ในหนังเรื่องนี้ดูเข้าท่ากว่าบทเจ้าชายใน The Chronicles of Narnia ตั้งเยอะ และนี่คือ ผลงานชิ้นสุดท้ายของ Pete Postlethwaite ในโลกภาพยนตร์ ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : ในชีวิตจริงถึงจะไม่ได้เป็นร็อคสตาร์ แต่ Neil McCormick ก็ยังเกี่ยวข้องกับโลกดนตรีอยู่ เพราะเขากลายเป็นนักเขียนและนักวิจารณ์เพลงที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างสูง โดยเรื่องราว ในหนังนั้นส่วนหนึ่งก็เอามาจากหนังสือเรื่อง I Was Bono’s Doppelganger ที่เขาเป็นคนเขียนนั่นเอง

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :15 INSIDE LLEWYN DAVIS 07 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : ในเรื่องนี้ Llewyn Davis (Oscar Isaac) เป็นนักดนตรีโฟล์คซองตกอับที่ชีวิตก�ำลังดิ่งลงเหว ทั้งอดีตเพื่อนร่วมวงฆ่าตัวตาย, มีผลงานเพลงที่ขายไม่ออก, ไปเล่นดนตรีที่ไหนกับใครก็ไม่แคล้ววงแตก แถมยังต้อง วุ่นวายกับการตามหาและดูแลแมวอีก ดูแล้วจะซาบซึ้งว่าชีวิตนักดนตรีแท้จริง แสนล�ำบากและไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบกันทุกคนเสมอไป และฝีมือดีอย่างเดียว ก็ไม่ได้เป็นค�ำตอบของความส�ำเร็จเสมอไปด้วยเหมือนกัน มีอะไรน่าสนอีก? : เห็นชื่อสองพี่น้อง Joel และ Ethan Coen ท�ำหน้าที่กุมบังเหียน หนังเรื่องนี้ แฟนๆ ก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งแล้วว่างานของสองศรีพี่น้องนั้น ไม่ค่อยท�ำให้ผิดหวังเท่าไหร่ อีกอย่างเพลงประกอบในหนังนั้นก็แจ๋วด้วยเช่นกัน (ได้ T Bone Burnett มารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้) ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : หนังได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตของ Dave Van Ronk นักร้องเพลงโฟล์คที่มีผลงาน ชื่อ Inside Dave Van Ronk ออกมาในยุค 60s (บนปกอัลบั้มก็มีแมวเข้าเฟรมด้วยนะ) ส่วนตัวพระเอก Oscar Isaac ที่เห็นอยู่กับแมวในหนังซะหลายฉากนั้น ในชีวิตจริงแล้วเขาเกลียดแมวอย่างแรง! ONLY LOVERS LEFT ALIVE 08 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : ดูเผินๆ มันก็เป็นหนังรักที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ ระหว่างพระเอกนางเอกซึ่งต้องเจอปัญหาเพราะคนอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง (ตัวพระเอกที่รับบทโดย Tom Hiddleston นั้นเป็นนักดนตรี) แต่สิ่งที่ท�ำให้ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่หนังรักที่พบเจอกันได้ทั่วไปก็คือ คู่พระ-นางในเรื่องน่ะ เขาเป็นแวมไพร์! มีอะไรน่าสนอีก? : เฉพาะพล็อตที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างแวมไพร์หนุ่ม นักดนตรีกับแวมไพร์สาวที่หลงใหลหนังสือจะฟังดูน่าสนใจมากแล้ว การได้ Tom Hiddleston และ Tilda Swinton มารับบทคู่พระนางในหนังก็ยิ่งเพิ่ม แรงดึงดูดใจให้อยากดูมากขึ้นไปอีก ยังไม่รวมถึงการที่หนังเรื่องนี้เป็นผลงาน ของ Jim Jarmusch ผู้ก�ำกับที่มีสไตล์ชัดเจนไม่ว่าจะกับตัวเองหรือภาพยนตร์ที่เขาเคยก�ำกับซึ่งท�ำให้ งานชิ้นนี้ ‘แนว’ กันเข้าไปใหญ่ ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : จริงๆ แล้วในหนังมีฉากบู๊อยู่บ้าง แต่พอถูกขอร้องให้เพิ่มฉากแบบที่ว่าเข้าไปอีกหน่อย เพื่อเสริมความตื่นเต้น ผู้ก�ำกับ Jim Jarmusch เลยสนองด้วยการตัดฉากบู๊ทั้งหลายออกไปจนหมด กันเสียอย่างนั้น อีกอย่างถึงตัวละครในเรื่องจะเป็นผีดูดเลือด แต่ถ้าสังเกตจะพบว่าไม่มีการเอ่ยค�ำว่า ‘แวมไพร์’ ในหนังเลย SVENGALI 09 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : ดิ๊กซี่ (Jonny Owen) ยอมทิ้งงานเก่าและ ออกจากบ้านที่เวลส์มาสู่ลอนดอนเพราะมีความฝันว่าอยากจะเป็นผู้จัดการ วงดนตรีชื่อดัง เรื่องราวดูเหมือนจะไปได้สวยเพราะเขาเจอวงดนตรีที่ว่า (The Premature Congratulations) และวงก็ยอมให้เขาท�ำหน้าที่ดูแล แต่ยิ่งเขา พยายามจะผลักดันให้วงโด่งดังมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็เริ่มสงสัยว่านี่คือชีวิตที่เขา ใฝ่ฝันถึงมาตลอดจริงๆ หรือเปล่ามากขึ้นตามไปด้วย และสุดท้ายแล้วระหว่าง ความฝันกับความรัก อะไรคือสิ่งที่มีค่ากับเขามากกว่ากัน มีอะไรน่าสนอีก? : ตัวหนังนั้นบันเทิงดีทีเดียว ส่วนอีกอย่างที่เจ๋งมากก็คือ บรรดาเพลงในหนังซึ่งทั้งหลากหลายแนวและมาจากหลากหลายศิลปิน (ทั้งเก่า-ใหม่/ดังมาก-ดังน้อย) ใครที่ชอบฟังเพลงเจอแล้วน่าจะโดนไม่น้อย ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : คุณ Jonny Owen ซึ่งรับบทพระเอกในเรื่องเป็นทั้งดาราและโปรดิวเซอร์ (และเป็น คนเวลส์แท้ๆ) คงไม่ค่อยมีใครรู้จักกันนักในบ้านเรา แต่ดูประวัติของหมอนี่แล้วสนุกดี เพราะก่อนจะมาเป็นดารา ตอนเป็นวัยรุ่นเขาเคยเป็นแชมป์มวย กับเป็นมือเบสส์/นักร้องในวงดนตรีที่เกือบจะได้ออกผลงานของตัวเอง มาแล้วด้วย GOD HELP THE GIRL 10 มันเกี่ยวกับดนตรีตรงไหน? : เกี่ยวสิ ก็สองสาว (อีฟกับแคสซี่) กับอีกหนึ่งหนุ่ม (เจมส์) ตัวละครหลักในเรื่อง (รับบทโดย Emily Browning, Hannah Murray และ Olly Alexander ตามล�ำดับ) มารู้จักกันได้ก็เพราะดนตรี ก่อนที่ทั้งสามคนจะตัดสินใจตั้งวงดนตรีร่วมกัน แต่ความรักของเจมส์ที่มีต่ออีฟและความสัมพันธ์ของอีฟกับนักดนตรีหนุ่มคนอื่น ท�ำให้อนาคตของวงดนตรีวงนี้ชักจะไม่แน่ไม่นอนสักเท่าไหร่ มีอะไรน่าสนอีก? : แฟนหนังเห็นชื่อ Stuart Murdoch ในฐานะผู้ก�ำกับอาจจะสงสัยว่าใคร แต่แฟนเพลง (โดยเฉพาะพวกที่ฟังงานอินดี้ทั้งหลาย) เห็นชื่อแล้วมีกรี๊ด เพราะเขาคนนี้ คือนักร้องน�ำและคนแต่งเพลงหลักของ Belle & Sebastian วงอินดี้ป๊อปชื่อดังจากสก็อตแลนด์ (ใครยังไม่รู้จักก็ไปลองฟังดูนะจ๊ะ) ยังไม่รู้กันล่ะสิ? : ถ้าเสิร์ชหาข้อมูลของหนังแล้วไปเจอโปรเจ็คท์งานดนตรีในชื่อเดียวกันก็อย่าแปลกใจ เพราะ Stuart Murdoch เริ่มต้น God Help the Girl จากการท�ำเพลงร่วมกับนักร้องหญิงมาก่อน แล้วตัวงานค่อยเติบโต จนน�ำไปสู่การเป็นภาพยนตร์เพลงในภายหลัง (โปรเจ็คท์ที่ว่ามีอีพีและอัลบั้มออกมาด้วยนะ)

16: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 MOVIE ATTRACTION MOVIES PROGRAM ON NOVEMBER เดือนนี้ขอน�ำเสนอหนังใหม่มาแรง หลากรส หลายอารมณ์ เริ่มต้นที่หนังไซไฟเน้นอารัมภบทถึงหายนะของโลกจากภัยธรรมชาติ จนน�ำไปสู่ภารกิจเดินทาง ข้ามจักรวาล ต่อด้วยหนังรักอารมณ์ดี จี้ต่อมคิดถึงให้หวนนึกถึงเพื่อนสนิทในวันวาน พร้อมกระชากอารมณ์สู่ความน่ากลัวกับโปรแกรมสยองขวัญ และอีกหลายอรรถรสส�ำหรับ โปรแกรมดีๆ ในเดือนนี้ ที่คอหนังไม่ควรพลาด!!!

Interstellar Love, Rosie Ouija ผู้ก�ำกับ : Christopher Nolan ผู้ก�ำกับ : Christian Ditter ผู้ก�ำกับ : Stiles White วันที่เข้าฉาย : 6 พฤศจิกายน 2557 วันที่เข้าฉาย : 6 พฤศจิกายน 2557 วันที่เข้าฉาย : 13 พฤศจิกายน 2557 แนวหนัง : Adventure, Sci-Fi แนวหนัง : Comedy, Romance แนวหนัง : Horror นักแสดง : Matthew McConaughey, Anne นักแสดง : Lily Collins, Sam Claflin, Art Parkinson นักแสดง : Olivia Cooke, Daren Kagasoff, Hathaway, Jessica Chastain Ana Coto อินเตอร์สเตลลาร์ โรซี ดันน์ (ลิลลี่ Ouija กระดานผี ทะยานดาวกู้โลก เป็นเรื่องราว คอลลินส์) กับเพื่อนสนิท กระชากวิญญาณ ภาพยนตร์ ของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ คิดไม่ซื่ออย่าง อเล็กซ์ สจ็วต สยองขวัญเหนือธรรมชาติ ที่อาศัยประโยชน์จากการ (แซม คลาฟลิน) ที่โตมาด้วยกัน เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนที่ต้อง ค้นพบรูหนอน ซึ่งสามารถ และใฝ่ฝันว่าจะเข้าเรียน เผชิญกับความกลัวสุดสะพรึง ท�ำให้มนุษย์นั้นก้าวข้าม มหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน จากพลังมืดของกระดาน ขีดจ�ำกัดของจักรวาล โดย ในอเมริกา แต่หลังจากปาร์ตี้ โบราณ หนุ่มสาววัยรุ่นกลุ่มนี้ จุดมุ่งหมายของกลุ่มนัก แบบสุดเหวี่ยงในคืนหนึ่ง โรซี ใช้กระดานนี้ติดต่อกับ วิทยาศาสตร์คือการหาดาว กลับพบว่าตัวเองพลาดตั้งท้อง วิญญาณ เพื่อค้นหาค�ำตอบ เพื่อสร้างโลกใหม่ของมนุษย์ หลังจากที่โลกมีมลพิษ เธอตัดสินใจที่จะปล่อยให้อเล็กซ์ก้าวไปสู่สังคมใหม่ เกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนง�ำของเพื่อนรัก ในอากาศ จนท�ำให้พืชผลไม่สามารถปลูกได้อีกต่อไป โดยปราศจากเธอ จนเวลาล่วงเลยไป เพื่อนรักทั้งสอง แต่กระดานนี้กลับน�ำไปสู่เหตุการณ์สุดสยอง ก�ำลังจะโคจรกลับมาพบกันอีกครั้ง เพื่อค้นหาค�ำตอบ อย่างไม่คาดคิด ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นคือบททดสอบของโชคชะตา และพวกเขาคือคนที่เกิดมาเพื่อคู่กันจริงๆ หรือไม่ Before I Go to Sleep The Hunger Games: Horns ผู้ก�ำกับ : Rowan Joffe Mockingjay - Part 1 ผู้ก�ำกับ : Alexandre Aja วันที่เข้าฉาย : 13 พฤศจิกายน 2557 ผู้ก�ำกับ : Francis Lawrence วันที่เข้าฉาย : 27 พฤศจิกายน 2557 แนวหนัง : Mystery, Thriller วันที่เข้าฉาย : 20 พฤศจิกายน 2557 แนวหนัง : Drama, Fantasy, Horror นักแสดง : Nicole Kidman, Mark Strong, แนวหนัง : Adventure, Sci-Fi นักแสดง : Daniel Radcliffe, Juno Temple, Colin Firth นักแสดง : Jennifer Lawrence, Josh Hutcherson, Sabrina Carpenter เรื่องราวของ คริสทีน Liam Hemsworth Horns เล่าความ (นิโคล คิดแมน) ผู้หญิงที่ จากเกมล่าชีวิต เดินทาง มหัศจรรย์ที่เกิดกับ อิ๊ก เพอร์ริช หลังจากประสบอุบัติเหตุ สู่สงครามที่จะตัดสินอนาคตของ (แดเนียล แรดคลิฟฟ์) ชายหนุ่ม ร้ายแรง ท�ำให้เธอต้องสูญเสีย ทุกชะตากรรมใน The Hunger ผู้ตกอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจ ความจ�ำทั้งหมด โดยสมอง Games เมื่อ แคทนิส ในฐานะของ จากการเสียชีวิตของแฟนสาว ของเธอจะมีความจุเพียงแค่ ม็อกกิ้งเจย์ ผนึกก�ำลังกับ เกล ที่ถูกฆ่าข่มขืนอย่างทารุณ ในเช้า วันเดียวเท่านั้น และทุกเช้า และ ฟินนิค น�ำทีมเหล่านักรบ วันหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาพร้อมความ ที่ตื่นขึ้นมาก็เหมือนกดปุ่ม กบฏจากเขต 13 จุดประกายไฟ ประหลาดใจ เมื่อพบว่าตัวเอง รีเซ็ทตัวเอง เธอพยายาม สงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเผชิญหน้ากับ มีเขางอกออกมาจากศีรษะ และสามารถส่งพลังพิเศษ ปะติดปะต่อเรื่องราวว่าตัวเองเป็นใคร ว่าเกิดอะไรขึ้น ประธานาธิบดีสโนว์ เพื่อน�ำพาสันติสุขที่แท้จริงกลับคืนสู่ ให้ใครก็ตามที่สนทนากับเขา เพื่อสารภาพความจริงในใจ และที่ส�ำคัญก็คือการหาค�ำตอบว่าใครที่ท�ำให้เธอ พาเน็ม พร้อมกับช่วยเหลือพีต้า คนรักของเธอให้รอดพ้น ออกมา ซึ่งรวมถึงความใจร้าย ความเห็นแก่ตัว และ เป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่า คริสทีน จะมีทั้งสามี (โคลิน เฟิร์ธ) จากการควบคุมของแคปิตอล จุดเริ่มต้นของบทสรุป ความปรารถนาอันน่ากลัวที่เผยให้เห็นด้านมืด และหมอ (มาร์ค สตรอง) ที่คอยดูแลเธอ แต่แท้จริงแล้ว แห่งสงครามม็อกกิ้งเจย์ ที่ทั้งโลกรอคอย ของมนุษย์ เธอจะสามารถเชื่อใจพวกเขาได้จริงๆ หรือไม่ ***หมายเหตุ: โปรแกรมหนังอาจมีการเปลี่ยนแปลง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เชียงใหม่ เช็ครอบ จองตั๋ว โทรสายตรง ชั้น 4 เซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต โทร.053-283-939 ชั้น 5 เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ โทร.053-288-852

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :17 WORKSHOP

CHIANG MAI DESIGN WEEK 2014 CREATIVE SPACE WORKSHOP

ในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ เชียงใหม่ (TCDC and natural dye demonstration โดย Studio Naenna (สตูดิโอแน่นหนา), ร่วมเรียนรู้ Chiang Mai) ศูนย์กลางความรู้ด้านการออกแบบและบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์แห่งแรก และสนุกไปกับการลงมือสร้างสรรค์ผลงานด้วยวัสดุเหลือใช้ แล้วน�ำมาสร้างคุณค่าใหม่ ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน เล็งเห็นความส�ำคัญของการยกระดับและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในรูปแบบของตัวเอง โดย Tua Pen Not, เรียนรู้กระบวนการ สร้างสรรค์งานเซรามิก ด้านการออกแบบท้องถิ่น เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตผู้บริโภคยุคใหม่ เตรียมจัดเทศกาล ตั้งแต่คุณลักษณะของดิน ขั้นตอนการเผา ไปจนถึงการปั้นถ้วยชาด้วยการขึ้นรูปด้วยมือ งานออกแบบครั้งแรกในประเทศไทย Chiang Mai Design Week 2014 ร่วมกับ และการตกแต่งชิ้นงาน กับกิจกรรม นัยย์-ดิน โดย Inclay Studio หลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวมผลงานเชิงสร้างสรรค์ เรียนรู้ขั้นตอนและเทคนิคการผลิตสินค้า พร้อมลงมือสร้างสรรค์สินค้าเครื่องหนัง มากกว่า 56 โชว์เคส 26 เวิร์กช็อป และ 25 งานบรรยาย ร่วมกับกว่า 100 แบรนด์ดัง ขนาดเล็กด้วยตนเอง กับกิจกรรม เครื่องหนัง Handmade โดย Ars D Sine, ในท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และองค์กรระหว่างประเทศ เปิดประสบการณ์การผลิตกระดาษรักษ์โลกจากกากกาแฟด้วยตัวเอง พร้อมทั้งน�ำกระดาษ มาจัดแสดงทั่วเมืองเชียงใหม่ ระหว่าง 6 - 14 ธันวาคม นี้ เพื่อเป็นสะพานเชื่อมโยงศักยภาพ ที่ได้มาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท กับกิจกรรม Coffee Paper Making นักออกแบบและนักสร้างสรรค์สู่โอกาสในตลาดดีไซน์สากล โดย G-Create, ร่วมเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับงานออกแบบแพทเทิร์นดีไซน์ โดยเฉพาะกิจกรรมที่นับว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงานที่นักออกแบบ และผู้สนใจ และข้อจ�ำกัดด้านเงินทุน ฝึกคิด ออกแบบ และสร้างสรรค์ปกหนังสือจากสิ่งใกล้ตัว ด้านงานออกแบบห้ามพลาด นั่นคือกิจกรรมเวิร์กช็อปที่เปิดรับสมัครผู้สนใจให้เข้าร่วมได้ โดย นกฮูกดีไซน์ (Nokhookdesign), เดินตลาดเช้าเพื่อสัมผัสวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัด ฟรี!!! ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ชาวเชียงใหม่และผู ้สนใจในพื้นที่ใกล ้เคียงจะได้ร่วมวงสร้างสรรค์ เรียนรู้วิธีการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่อยู่ในการด�ำเนินชีวิตของผู้คน และเดินทางไปฟัง ผลงานชั้นเยี่ยมกับ 26 นักออกแบบ สตูดิโอ และนักการตลาดที่ประสบความส�ำเร็จ การบรรยายโดย อ.จุลพร นันทพานิช รวมทั้งน�ำเสนอผลงานการออกแบบ และแลกเปลี่ยน ในเชียงใหม่ ที่จะมาร่วมคิดค้น ต่อยอด และถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านการสัมมนา ความคิดเห็นร่วมกัน กับกิจกรรม What I have seen : ฉันเห็นอะไร โดย Rubber Killer เชิงปฏิบัติการ เพื่อเรียนรู้เคล็ดลับและกลยุทธ์ในการสร้างธุรกิจสร้างสรรค์ รวมทั้งทดลอง (รับเบอร์ คิลเลอร์), เวิร์กช็อปสร้างสรรค์เนื้อหาเกี่ยวกับธุรกิจท้องถิ่นในเชียงใหม่และค้นหา ผลิตผลงานจริง โดยมีนักออกแบบมืออาชีพคอยดูแลและให้ค�ำแนะน�ำอย่างใกล้ชิด ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อการจัดจ�ำหน่าย กับกิจกรรม Print Matters! อาทิ กิจกรรม Why use natural products? โดย Sabu Sabu (สบู๊ สบู่) ร่วมเรียนรู ้ by Rabbit Studio โดย Rabbithood Studio (แร็บบิตฮู้ด สตูดิโอ) และชมขั้นตอนการท�ำสบู่ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ, ค้นหา โดยผู ้สนใจสามารถดูรายละเอียด และสมัครเข ้าร่วมเวิร์กช็อปโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แรงบันดาลใจจากธรรมชาติรอบตัว และน�ำมาสร้างสรรค์เป็นลวดลายเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผ้า ได้ที่ TCDC เชียงใหม่ (รับจ�ำนวนจ�ำกัด) สอบถามข ้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ กับกิจกรรม Inspiration from the Skies โดย The Tigris Moon by Sabina Fay TCDC โทร. 0-5208-0500 ต่อ 1 เว็บไซต์ www.chiangmaidesignweek.com Braxton, เรียนรู้กรรมวิธีและขั้นตอนการย้อมสีธรรมชาติและเทคนิคการท�ำผ้ามัดหมี่ อีเมล [email protected] เฟซบุ๊ก facebook.com/TCDCChiangMai และชมคอลเลคชั่นสะสมส่วนตัวของ อ.แพทริเซีย ชีสแมน กับกิจกรรม Tie-dye workshop ทวิตเตอร์ twitter.com/tcdc

18: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014

10

20: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 YEARS AGO รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลงHIP Team เมื่อ HIP ครบ 10 ปีในฉบับที่แล้ว และขึ้นปีที่ 11 ในฉบับนี้, นอกจาก เรื่อง: / ภาพ: เราจะมีเรื่องราวน่าสนใจมาน�ำเสนอกันเช่นเคยเหมือนทุกๆ ฉบับแล้ว ในปีนี้เราก็มี Special Contents มาฝากไว้ในอ้อมใจในโอกาสครบรอบนี้ เช่นกัน และเพื่อให้บรรยากาศอบอุ่นยิ่งขึ้น เราได้เชิญเพื่อนร่วมรุ่นที่เริ่ม ท�ำอะไรต่อมิอะไรในปี 2547 เช่นเดียวกันมาพูดคุยถึงการท�ำงานของพวกเขา และเธอ รวมทั้งวิธีการประคับประคองสิ่งที่รัก ความฝัน และหน้าที่รับผิดชอบ 10เหล่านั้น ให้รอดผ่านมรสุมทั้งร้อนฝนหนาวมาได้โดยไม่อับปางไปเสียก่อน รวมทั้งชักชวน HIP Team รุ่นแรกๆ มา Reunion กันอีกรอบ ด้วยการ ให้โจทย์ไปว่า ขอให้ช่วยเขียนถึงสิ่งที่พวกเขาและเธอก�ำลังสนใจอยู่ในตอนนี้ ส่งมาให้หน่อยพร้อมภาพประกอบ ซึ่งแต่ละคนก็ให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน แม้จะก�ำลังวุ่นกับหน้าที่ในแต่ละบทบาทของแต่ละคนอยู่ก็ตาม และ อีกส่วนหนึ่งที่อยากน�ำเสนอในฐานะสื่อมวลชนที่เห็นความเปลี่ยนแปลง ของเชียงใหม่มาเป็นเวลาถึง 10 ปี เราก็อยากจะประมวลเหตุการณ์ น่าสนใจผ่านสายตา HIP มาบอกกล่าวเล่าให้ฟังเพื่อย้อนความทรงจ�ำ กันอีกครั้งว่าเชียงใหม่แบบ HIP HIP เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กับปัจจุบันนี้แตกต่าง กันมากน้อยเพียงไหนหนอ... 22: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 เพื่อนร่วมรุ่น

ปริญญา ไพสิฐกุลวิวัฒน์ เจ้าของร้าน 22 Mini Cocktail Bar

- ผมชอบการท�ำงานศิลปะ แล้วก็ชอบที่จะเป็นบาร์เทนเดอร์ด้วย เพราะมีบางอย่าง - เมื่อเราดีกับคนอื่น คนอื่นก็จะดีกับเรา ที่คล้ายกัน - 10 ปีที่ผ่านมา ผมพบว่าความสัมพันธ์ที่จริงใจต่อกันเป็นสิ่งที่คนมักจะละเลย เมื่อก่อน - ที่มาอยู่เชียงใหม่เพราะว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ที่นี่ พอได้มาอยู่ที่นี่แล้วก็ชอบมาก ผมเปิดร้านก็คิดแค่ว่าให้มีเพื่อนฝูงมาเที่ยวก็พอแล้ว แต่พอโตขึ้นก็ได้เรียนรู้อะไร บอกตัวเองว่าเราอยากอยู่ที่นี่แหละ รู้สึกว่าเมืองนี้เหมาะกับวิถีชีวิตของเราดี มากขึ้น รู้ว่าต้องคิดให้กว้างกว่านั้น ก็เลยพยายามที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่น - ตอนเรียนปี 3 มีรุ่นพี่ที่สนิทกันเปิดร้านอาหาร และเป็นบาร์เหล้าด้วย ผมก็เลย พยายามสนับสนุนน้องๆ ที่เรารู้จัก ที่ท�ำอะไรคล้ายๆ กัน เท่าที่สามารถท�ำได้ พยายาม ไปช่วยงานตั้งแต่วันแรกที่ร้านเปิด พอท�ำไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าชอบชีวิตที่ได้ท�ำงาน บอกพวกเขาว่าอย่าคิดแค่เรื่องท�ำมาหากิน มีอะไรช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยเหลือกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ฟังดูเหมือนน่าจะเหนื่อยนะ แต่เราท�ำจนคุ้นเคย เลยไม่เคย เขามีงานอะไรเราก็ไปร่วม ไปพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนะกัน ท�ำให้ดูเป็นตัวอย่าง รู้สึกว่ามันเหนื่อย กลายเป็นว่ากลางวันก็ท�ำงานศิลปะ ท�ำงานในวิชาเรียน ตอนกลางคืน ไม่ได้คิดว่าคนอื่นเป็นคู่แข่ง จนถึงทุกวันนี้ เวลามีลูกค้าไปที่ร้านคนอื่นแล้วบอกว่า ก็ท�ำงานที่ร้าน อยากกินค็อกเทล พวกน้องๆ ก็จะแนะน�ำว่าให้มาที่ร้านของผม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ - ความรู้เกี่ยวกับการท�ำค็อกเทลต่างๆ ผมศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่ก็ได้จาก สวยงามนะ การอ่านหนังสือนี่แหละ ทุกวันนี้ยังมีคนที่เอาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องค็อกเทลมาให้ผม - คนเอารัดเอาเปรียบมันมีอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติ อย่างผมก็เคยท�ำงานแล้วโดนโกง อยู่เลย แต่เรื่องลบๆ พวกนี้ผมไม่ใส่ใจเลยนะ มันเปล่าประโยชน์ คิดแล้วเปลืองสมอง - ดื่มค็อกเทลให้พอดีๆ : ซัก 3 แก้วก็พอแล้ว ถ้ามัวแต่จ�ำอะไรแบบนี้ ก็เหมือนเรากล่อมตัวเองให้คิดว่าจะท�ำอะไรแย่ๆ หรือเอาเปรียบ - เดี๋ยวนี้หลายคนเข้าใจว่าการเป็นบาร์เทนเดอร์เป็นความเท่ แต่ในความเป็นจริง คนอื่นบ้างก็ได้ บาร์เทนเดอร์ไม่ได้มีแค่การท�ำเครื่องดื่ม แต่ยังมีเรื่องของความสัมพันธ์และการ - เรื่องแย่ๆ มันต้องเกิดขึ้นกับชีวิตทุกคนอยู่แล้ว ไม่งั้นก็ไม่มีอะไรมาสอนเราสิ ให้บริการลูกค้าด้วย เราต้องอ่านว่าลูกค้าที่เข้ามาว่าเป็นยังไง เขาควรจะดื่มอะไร ไม่ใช่ - มีน้องคนหนึ่งบอกกับผมว่า ถ้าไม่มี 22 Bar เขาคงเรียนไม่จบ เพราะสังคมที่นี่คอยเตือน สักแต่ว่าท�ำเครื่องดื่มให้เขาเมาแค่นั้น ให้เขาตั้งใจเรียน อย่าเหลวไหล จนทุกวันนี้เขากลายเป็นหมอที่เก่งได้ ฟังดูเหลือเชื่อ - เหตุผลที่อยากมีร้านของตัวเอง ก็เพราะอยากได้ร้านที่เหมาะกับตัวเรา แล้วที่ผ่านมา ส�ำหรับร้านเหล้าร้านหนึ่งนะว่าจะเกิดสังคมดีๆ แบบนี้ได้ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรายังไม่เจอร้านแบบนั้น - ไม่เคยคิดเลยว่าจะเปิดร้านไปถึงเมื่อไหร่ แค่รู้สึกว่าอยากท�ำร้านนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เคยคิดว่า - เป้าหมายตอนที่เริ่มท�ำร้าน คืออยากได้ร้านแบบที่ตัวเองชอบ และถ้ามีคนอื่นชอบด้วย เมื่อไหร่จะหยุด ร้านกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ ก็น่าจะดี ผมชอบใช้ชีวิตตอนกลางคืนด้วยมั้ง เป็นคนนอนเร็วไม่เป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร - ตอนที่มาเจอที่ตั้งร้านตรงนี้ ผมรู้สึกว่าขนาดมันกะทัดรัดพอดี ไม่ล�ำบากส�ำหรับผม วันไหนนอนตีหนึ่งนี่ถือว่าเร็วมาก ที่จะดูแล พื้นที่มีพอให้จัดอีเวนท์จัดคอนเสิร์ตเล็กๆ ได้บ้าง แล้วผู้คนรอบข้างก็เป็นมิตร - ทุกวันนี้ผมยังคงท�ำค็อกเทลให้ลูกค้าเองทุกแก้ว เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มท�ำร้านแล้ว ก็เลยอยู่ตรงนี้มาตลอด ได้ท�ำค็อกเทลให้คนดื่มแล้วมีการติชม ปรับโน่นปรับนี่หน่อยนี่เป็นสิ่งที่ผมรู้สึก - การที่ร้านมีบุคลิกชัดเจน มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยคัดกรองคนที่จะเข้ามาอย่างหนึ่งด้วย ดีใจมากเลย - ผมบอกคนที่มาที่ร้านเสมอว่าไม่ต้องมาที่นี่ทุกวันหรอก ถ้าอยากฟังดนตรีสด อยากไปเต้น อยากไปกินอะไรอร่อยๆ ก็ไปร้านอื่น แต่วันไหนอยากนั่งดื่มเงียบๆ อยากมานั่งคุยกันก็ค่อยมาที่นี่ เพราะถ้าทุกๆ ร้านเหมือนกันหมด แข่งกันหมด มีอะไรเหมือนๆ กัน นั่งที่ไหนก็ได้ มันคงไม่มีความแตกต่าง ผมคิดว่าอยู่ที่เชียงใหม่ ต้องคิดต้องสร้างสรรค์ให้มีความต่าง ดีไม่ดีค่อยปรับกันไป - เพราะเชียงใหม่มีร้านที่มีความแตกต่างกันนี่แหละ ถึงได้มีเสน่ห์ และท�ำให้เมืองนี้ น่าอยู่ About HIM - หลักในการท�ำงานของผม : อดทน และท�ำให้ดีที่สุด - สิ่งที่ผมประทับใจตลอดเวลาที่ท�ำร้านก็คือ ผมมีโอกาสได้เชื่อมโยงให้คนอื่นๆ นับตั้งแต่กลับจากไปท�ำงานอยู่ในเมืองหลวง และตัดสินใจเปิดร้านของตัวเองที่เชียงใหม่ ในปี 2547 ดี้ – ปริญญา โยกย้ายสถานที่ตั้งร้านมาแล้วสองครั้ง ก่อนจะมาพบกับสถานที่ซึ่ง ได้รู้จักกัน ตัวผมชอบมีเพื่อนใหม่ๆ อยู่แล้ว ทีนี้เวลาเจอคนใหม่ๆ เราก็จะพยายาม 22 Mini Cocktail Bar ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ทุกวันนี้นอกจากจะอยู่ประจ�ำที่ร้านเกือบทุกวัน ท�ำความรู้จักกับเขา แล้วก็แนะน�ำให้เขาได้รู้จักกับคนอื่นๆ ด้วย แล้วพอเขาไปคุยกันต่อก็ (ยกเว้นวันพุธที่เป็นวันหยุดของร้าน) แล้ว เขายังวางแผนเอาไว้ว่า หลังจากเปิดร้านมายาวนานได้ กลายเป็นเพื่อนกันไปเอง หลายคนคิดว่าร้านเหล้าก็คือที่ที่มากินเหล้า แต่กับที่นี่ ถึง 10 ปี เป้าหมายต่อจากนี้ของเขาก็คือ อยากจะเสาะหาสถานที่สักแห่ง เพื่อท�ำธุรกิจที่พักตามแบบ มันมีมิตรภาพเกิดขึ้นจริงๆ ที่เขาชอบดูบ้าง

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :23 เพื่อนร่วมรุ่น

วริยา ขัติพิบูลย์ ครูสอนการแสดง/นักแสดง

- จะเรียกว่าการได้เป็นนักแสดงเป็นความฝันมั้ย ก็คงไม่นะ เล่นละครเวทีมาตั้งแต่ - การเดินทางกับเล่นละครเป็นสองอย่างที่เราชอบมาก ถ้าต้องเลือกได้แค่อย่างเดียว เด็กๆ แล้ว ถ้าใครเคยเรียนจะรู้ว่าเวลาเข้าคลาสสนุกมาก ไม่เหมือนเรียน และเรา ก็เคยถามตัวเองนะว่าจะเลือกอะไร เรานึกอยู่นาน แล้วก็เลือกไม่ได้ แต่เราให้ค�ำตอบ ท�ำได้ดี เลยเป็นสิ่งที่ท�ำมาตลอด ตัวเองได้ว่าเหตุผลที่เราชอบสองอย่างนี้เพราะอะไร ในการเล่นละครเหมือนกับ - การเรียนละครท�ำให้เรารู้จักตัวเอง ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วก็ท�ำให้เราเข้าใจ การที่เราได้ลองเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เรา แต่การเดินทางคือการได้ไปเที่ยวในที่อื่นๆ คนอื่นด้วย การเรียนละครเป็นการเรียนรู้มนุษย์นะ ท�ำให้เราใช้ชีวิตบนโลกอย่าง การเล่นละครเหมือนการไปเที่ยวโดยผ่านจิตใจ ใช้ความรู้สึกไปเที่ยวผ่านการเป็นคนอื่น มีความสุขขึ้น แต่การเดินทางคือใช้ร่างกายของเราไปเที่ยว และใช้สายตาเรามองเห็น การมาท�ำงาน - ส่วนเล่นละครคือการเล่นเป็นคนอื่น ท�ำให้เราเข้าใจและยอมรับการกระท�ำ ที่พุกาม ท�ำให้เราได้ใช้ความชอบทั้งสองอย่าง ได้เที่ยวทั้งร่างกาย และได้ใช้จิตใจเที่ยวด้วย ของคนอื่นได้ ว่าท�ำไมเขาถึงท�ำแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักคนทุกคน - พอท�ำงานมานานๆ การได้งานเป็นผลมาจากงานที่เคยท�ำมากกว่า ถ้าเขาชอบงานเรา บนโลกนะ รับได้ก็ได้ รับไม่ได้ก็จะไม่ยุ่ง เขาก็จะไปบอกต่อกันเอง ปากต่อปาก ถ้าเราท�ำดีก็มีงาน ถ้าเราห่วยก็ไม่มีคนจ้าง - ตอนเด็กๆ เราเคยอิจฉาคนที่ได้ท�ำงานที่รัก แล้วก็เลี้ยงชีพด้วยการท�ำสิ่งที่รัก ก็เท่านั้นล่ะ ความคาดหวังของเราก็คงเป็นอย่างนั้น คือท�ำในสิ่งที่ตัวเองรัก และก็เลี้ยงชีพได้ด้วย - เราไม่เคยเบื่อที่เล่นละคร ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยจังที่จะไปซ้อม เราตื่นเต้นกับสิ่งที่เราท�ำ - บางครั้งก็เคยถามตัวเองว่านี่เลือกถูกรึเปล่าวะ เราเป็นคนท�ำอะไรเพราะเราอยากท�ำ ทุกๆ วัน เราเรียนปริญญาโท ก็ไม่ได้คิดว่าจะเอาไปท�ำอะไร รู้แค่ว่าอยากเรียนละคร เขาเปิดสอน - ไม่คาดหวังว่าตัวเองจะได้บทเด่น แต่คาดหวังว่าจะได้บทที่ดี มีความท้าทาย เราก็เรียน เล่นละครก็เพราะมีความสุข จะไม่ท�ำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบ เคยคิดว่า ถ้ายิ่งได้บทยาก ต้องตีความ ได้ใช้ความสามารถ ก็น่าจะสนุก และเป็นเรื่องดีนะ ถ้าไปท�ำอย่างอื่นก็คงจะรวยกว่านี้ แต่คงไม่มีความสุขมากเท่านี้ และทุกวันนี้ - ถึงในอนาคตเราจะไปท�ำอย่างอื่น แต่ไม่จ�ำเป็นต้องเลิกเล่นละครนี่ เราก็มีเงินใช้ปกติ - ต่อให้ได้เล่นบทตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีบทบาทอะไรเลย เราก็จะต้องหาโมเม้นต์ - ส�ำหรับเราเงินไม่ใช่ค�ำตอบ ใช่เงินอาจจะซื้อได้ทุกอย่าง แต่ว่าความสุขจากการ ที่จะเอ็นจอยกับมันให้ได้ สมมุติว่าจะต้องเล่นเป็นแม่ค้า เราก็ต้องหากิมมิคให้ตัวเอง ได้ท�ำสิ่งที่เรารักจริงๆ บางทีเงินก็ซื้อไม่ได้ ว่าจะเป็นแม่ค้าแรด หรือจะเป็นแม่ค้าขี้งก ซึ่งเราสนุกกับการหามุมเหล่านั้นมาท�ำให้ - อยู่กับการแสดงละครมานานมาก จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว บทของตัวเองน่าสนใจ - การเป็นนักแสดงหรือการเป็นครูสอนการแสดงนี่ ถ้าไม่มีใครจ้าง ก็ไม่มีเงินเลยนะ - การเล่นละครได้ดี ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเรื่องของพรสวรรค์ ครูที่เคยสอนเราตอนเรียน - ท�ำไมเป็นดัชชี่เกิร์ลแล้วไม่เข้าวงการบันเทิงน่ะเหรอ จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นตอนเรียน ปริญญาโทบอกไว้ว่า คนที่สามารถเล่นละครได้ดีจะต้องมีคุณสมบัติ 4 อย่าง ปริญญาโท เรารู้สึกว่าตัวเองอยากเป็นครูสอนการแสดงมากกว่า และข้อจ�ำกัด คือต้องเป็นคนเปิดเผย เป็นคนจริงใจ เป็นคนเซ้นซิทีฟ และเป็นคนซื่อสัตย์กับตัวเอง ของการเป็นดารามีค่อนข้างเยอะ ก็เลยเลือกไม่เข้าวงการ พอเราได้ฟังแล้วก็อ๋อ… มิน่าล่ะเราถึงเล่นละครได้ดี เพราะนี่คือบุคลิกของเรา - คุณสมบัติของคนเรียนละครคือคนที่เข้าใจคนอื่น ถ้าเราจะเป็นครูสอนการแสดง ก็อยากเป็นครูแบบที่นักเรียนกล้าเข้าหา และพร้อมจะเรียนรู้ไปด้วยกัน About HER - ความฝันของเราก็คงอยากมีสตูดิโอเล็กๆ ของตัวเอง เปิดสอนเด็กที่อยากเล่นละคร ตุ้ย - วริยา ขัติพิบูลย์ เรียนจบปริญญาตรี วิชาเอกศิลปะไทย วิชาโทการละคร คณะวิจิตรศิลป์ คนละอย่างกับสอนให้เป็นดารานะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เข้าประกวดดัชชี่เกิร์ลและได้ต�ำแหน่งในปี 2006 เคยขึ้นปกเป็นนางแบบ HIP - ให้บอกอะไรกับคนที่ก�ำลังรู้สึกท้อแท้กับสิ่งที่ท�ำเหรอ ถ้าเขารักสิ่งนั้น เราคงไม่บอก ในฉบับที่ 4 จากนั้นตุ้ยไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการละคร ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างนั้น เธอยังคงด�ำรงต�ำแหน่งดัชชี่เกิร์ลไปด้วย พร้อมทั้งท�ำงานในวงการบังเทิง แต่ด้วยความรัก อะไร แต่คงถามกลับไปว่ารักจริงๆ มั้ย ถ้ารักจริงต่อให้มีเหตุต้องทิ้งไปในช่วงนึง ในการแสดงมากกว่าจะเป็นดารา และอยากเป็นครูสอนการแสดง เธอจึงหันมาเอาดีทางการเป็น แต่สุดท้ายเขาก็จะหาทางกลับมาท�ำต่อได้เอง แอคติ้งโค้ชไปพร้อมกับรับงานแสดงละครเวที ผลงานล่าสุดของเธอคือแสดงละครเวทีฟอร์มยักษ์ - เราชอบเที่ยว ชอบออกเดินทาง ชอบเจออะไรที่ในชีวิตประจ�ำวันเราไม่เคยเจอ เรื่องแม่เบี้ย และด้วยความสามารถทางการแสดงของเธอ ท�ำให้ตุ้ยได้รับบทน�ำเป็นราชินีผู้เลอโฉม ในโชว์ Dandaree MYANMAR’S Most STUNNING SHOW การแสดงโชว์ เลยตัดสินใจไม่ยากที่จะต้องไปอยู่พม่า 6 เดือนเพื่อแสดงละครเวที เพราะนอกจาก ณ พระราชวัง BAGAN GOLDEN PALACE เมืองพุกาม ประเทศพม่า ซึ่งก�ำลังจะเปิด เล่นละครแล้ว ก็เหมือนการย้ายสิ่งแวดล้อม ได้เจอคนใหม่ๆ เปลี่ยนอาหารการกิน การแสดงในเดือนพฤศจิกายนนี้ โอกาสครั้งนี้ท�ำให้ตุ้ยต้องไปเก็บตัวเพื่อฝึกซ้อมอยู่ที่พม่า เจอวิถีชีวิตแบบใหม่ ถึง 6 เดือนเต็ม

24: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 ภาพ: วริยา ขัติพิบูลย์

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :25 26: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 เพื่อนร่วมรุ่น

จักรา ชินพงษ์ และ เจษฎา หิรัญรังสฤษดิ์ เจ้าของร้าน Cafe De Nimman

- ตัดสินใจเปิดร้านของตัวเองด้วยความรู้สึกว่าเริ่มอิ่มตัวกับงานประจ�ำ อยากหาจุดพัก - การพูดคุยแบบเข้าหาลูกค้าด้วยตัวเอง ถ้าเขาไม่พอใจอะไร เราต้องขอโทษก่อนเลย ให้กับตัวเอง เป็นโมเม้นต์ที่ต้องคิดถึงอนาคตแล้วล่ะว่าเราจะแก่ไปกับงานประจ�ำ หรือ จะไม่เถียงกับลูกค้า รับฟังเขา แล้วก็แก้ปัญหาให้เขาพอใจมากที่สุด จะออกมาท�ำอะไรที่เราชอบ - ช่วงไหนคนเงียบก็ได้คนจีนนี่ล่ะมาช่วยอุดหนุน โชคดีที่ลูกค้าคนจีนที่มาร้านเรา - การเริ่มต้นท�ำอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาสักอย่าง เวลา จังหวะ และโอกาสที่พอดีกัน คือสิ่งส�ำคัญ จะเป็นคนจีนรุ่นใหม่ ไม่ค่อยรุงรัง อาจจะเพราะว่าเราดูแลสถานที่ให้สะอาด - ไม่เคยคิดว่าจะท�ำร้านไปยาวนานขนาดไหน แต่คิดอยู่เสมอว่าต้องท�ำให้ดีที่สุด เท่าที่เรา เป็นระเบียบ เขาก็เลยเหมือนปรับตัวตามสภาพแวดล้อม จะท�ำได้ เพราะนี่เป็นอาชีพหลักอาชีพเดียวของเรา - สิ่งที่ท�ำให้เรารู้สึกแย่ตอนย้ายร้านคือเสียงกบ นั่งท�ำร้านอยู่กับช่างถึงประมาณสองทุ่ม - ใช้เวลาประมาณ 22 วัน ในการตกแต่งและตระเตรียมร้านขึ้นมาจากห้องเปล่าๆ เสียงกบดังชัดมาก อ๊อบแอ๊บๆ ก็คิดในใจว่าลูกค้าจะมามั้ย ไกลผู้คนขนาดนี้ แต่พอ จนกลายเป็น Cafe de Nimman ร้านแรก ริมถนนนิมมานเหมินท์ เปิดร้านลูกค้าก็ยังตามมากินอยู่เหมือนเดิม - ไม่คาดหวังว่าจะต้องประสบความส�ำเร็จ ท�ำเพราะความชอบ ท�ำเพราะอยากจะท�ำ - การบริหารคนของร้านนี้คือเราฟังเขา เขาฟังเรา บางทีลูกน้องก็อาจจะมีอะไรอยากแนะน�ำ คิดแค่ว่าอยากท�ำร้านอาหารที่ทุกคนมากินได้ แค่นั้นล่ะ เราก็ได้ ถ้าเราไม่ฟังเขาเลย เขาก็คงไม่แฮปปี้ที่จะอยู่กับเรา - ออกจากงานประจ�ำมาท�ำร้านตัวเอง ถามว่ากลัวมั้ย ก็กลัวนะ แต่ตัดสินใจว่าจะสู้แล้ว - พนักงานเสิร์ฟที่นี่จะใช้นักศึกษาเป็นพาร์ทไทม์หมด อย่างน้อยเขาก็จะได้มีค่าขนม ก็ต้องลองดูสักตั้ง ค่าใช้จ่ายระหว่างเรียน ก็ค่อยๆ หัดให้เขาเรียนรู้การท�ำงานไป อาจจะมีผิดพลาดบ้าง - แต่ละวันของการท�ำร้านอาหารมีปัญหาเข้ามาตลอดล่ะ แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสมากขนาดนั้น เรื่องบริหารจัดการพนักงานในร้านมากกว่า - เวลามีปัญหาเกิดขึ้นจะปลอบใจตัวเองว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป All Things Must Pass - คิดว่าร้านอยู่มานานขนาดนี้ก็ด้วยมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างเรากับลูกค้า เรากับลูกน้อง ทุกปัญหามีทางออกของมันอยู่ ถือว่าเป็นความโชคดีที่เรามีคนเอ็นดู และช่วยเหลืออยู่เสมอ - ท�ำร้านอาหารมานาน 10 ปี แหม่มรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นขึ้นนะ นี่ล่ะมั้ง - ตอนต้องย้ายร้านจากที่เดิมมาอยู่ที่นี่ ปิดร้านไป 10 วัน เป็นช่วงที่ขาดรายได้ แต่เราก็ คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เลือกจ่ายเงินลูกน้องเต็มจ�ำนวน ร้านขาดรายได้เราอยู่ได้ แต่ถ้าลูกน้องขาดรายได้ - ถ้าให้บอกอะไรกับตัวเองเมื่อ 10 ปีที่แล้วคงไม่กลับไปบอกอะไรนะ แต่อยากไปยืนรอ แล้วเขาจะอยู่ยังไง อยู่ข้างหน้าในอีก 10 ปี ปรบมือให้ตัวเองว่าเก่งจังเลยมาได้ถึงขนาดนี้ - ดีที่ทั้งโก้และแหม่มมีสไตล์การท�ำงานต่างกัน คนนึงช้า คนนึงเร็ว ท�ำให้การท�ำงาน - อย่ากลัวที่จะลองผิดลองถูก และอย่าท้อในการลอง ถ้าคิดว่าสิ่งที่เราจะท�ำมันดีที่สุดแล้ว ของเราเหมือนเติมเต็มในส่วนที่ขาดของแต่ละคน ก็ให้ท�ำ ถ้ามันผิดก็ถือว่าได้ลองแล้ว ท�ำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะเจอสิ่งที่ถูกเอง - เป็นสามีภรรยา และต้องท�ำงานด้วยกันก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง แต่แป๊บเดียวหาย - ไม่เคยคิดว่าจะหยุดท�ำร้านเลยนะ เพราะก่อนจะท�ำคิดเป็นอย่างดีแล้วว่าจะท�ำ เพราะด้วยวุฒิภาวะที่ก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะมาง้องแง้งเหมือนวัยรุ่นก็คงไม่ได้ ฉะนั้นจะไม่มีค�ำว่าล้ม สุดท้ายก็ต้องหันหน้าคุยกันอยู่ดี - ค�ำแนะน�ำส�ำหรับคนที่อยากท�ำอะไรให้ได้ยาวนาน ก็คงต้องให้เขาถามตัวเองว่า - สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในการท�ำร้านนี้ก็คือ ได้เพื่อน รู้สึกโชคดีที่มีคนเอ็นดูอยู่ตลอด เขารักอะไร อยากท�ำอะไร ถ้าได้ท�ำในสิ่งที่ชอบก็จะต่อยอดไปได้ แต่ถ้าต้องฝืนท�ำในสิ่งที่ มีมิตรภาพเกิดขึ้นอยู่เสมอ ลูกค้าบางคนมาบ่อยจนกลายเป็นเพื่อนกันไปเลยก็มี ไม่มีความสุข ก็หยุดเถอะ - การที่ร้านอยู่มาได้นานขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะว่าเราโชคดีที่ท�ำอาหารรสชาติถูกปาก - มิตรภาพเกิดขึ้นทุกวินาที ทุกครั้งที่เช็คบิล เวลามีปัญหาลูกค้าไม่เคยทอดทิ้งเราเลย คนส่วนใหญ่ นี่ล่ะคือน�้ำหล่อเลี้ยงจิตใจที่ดีมาก - ถ้าจะเปลี่ยนรสชาติอาหารตามคอมเม้นต์อยู่ตลอดอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดี เราต้องรักษา - จะท�ำอะไรก็ตามอย่าพยายามเป็นคนอื่น ถึงเราจะเปลี่ยนไปแต่งตัวเหมือนคนอื่น มาตรฐานของตัวเองไว้ แต่ก็จะหมั่นเทสต์รสชาติอยู่ตลอดเหมือนกัน เขาอาจจะสวย เราอยากเป็นแบบนั้น แต่เราก็เดินไม่ถนัด เยื้องย่างไปไหนก็ดูขัดเขิน - ส�ำหรับแหม่มจะบอกโก้อยู่เสมอว่า ของในร้านเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่ห้าม สุดท้ายก็ต้องถอดทิ้งกลับมาใส่เสื้อผ้าตามสไตล์เราอยู่ดี ถ้าเราชัดเจนในตัวเอง เปลี่ยนยี่ห้อเครื่องปรุงที่ฉันสั่ง ถ้าเครื่องปรุงรสไม่เหมือนเดิมก็จะส่งผลให้รสชาติ เดี๋ยวก็จะมีคนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กับเราเข้ามาหาเอง อาหารเปลี่ยนด้วย - คุณภาพต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าลูกค้าคอมเพลนมาจะรีบไปดูในครัวก่อนเลยว่า ผิดพลาดที่ตรงไหน About THEM - ส�ำหรับร้านเราจะไม่ถือลูกค้าเป็นพระเจ้า คิดว่าลูกค้าเป็นเพื่อนมากกว่า มีอะไร โก้ - จักรา ชินพงษ์ และ แหม่ม - เจษฎา หิรัญรังสฤษดิ์ สองสามีภรรยาอารมณ์ดี ทั้งคู่ อยากให้คุยกันได้ ไม่ว่าจะติหรือชม ตัดสินใจออกจากงานประจ�ำเพื่อมาปลุกปั้นร้าน Cafe De Nimman ริมถนนนิมมานเหมินท์ - ร้านนี้จะไม่อนุญาติให้ลูกค้าโกรธออกไปจากร้าน สมมุติโกรธสองร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อ 10 ปีที่แล้วตั้งแต่ย่านนี้ยังไม่บูม ด้วยประสบการณ์ด้านร้านอาหาร บวกกับความชอบ ก็จะพยายามท�ำทุกวิถีทางเพื่อให้เขาลดความโกรธลงให้เหลือน้อยที่สุด ท�ำอาหาร เมนูทุกจานของร้านจึงได้รับความใส่ใจทั้งเรื่องรสชาติ และมิตรภาพ

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :27 เพื่อนร่วมรุ่น

ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้ก�ำกับภาพยนตร์

- เราโตมาในยุคของการเปลี่ยนแปลงจากฟิล์มมาเป็นดิจิตอลพอดี เริ่มท�ำหนังตั้งแต่ - เรื่องงานเพลงวางแผนไว้ว่าอยากท�ำออกมาน้อยๆ แต่โดน สร้างกระแสให้อยู่ยาวๆ เรียนปี 2 พัฒนาจากการท�ำหนังรับน้อง ท�ำเอ็มวี ไปสู่การท�ำหนังสั้นเข้าประกวด มากกว่าจะท�ำอัลบั้มออกมา เพราะธรรมชาติของคนในยุคนี้เขาฟังทีละเพลง - หนังเปลี่ยนชีวิตเราตอนไหนรู้มั้ย เปลี่ยนตรงที่พอเห็นคนดูหัวเราะ ร้องไห้ ไปกับหนัง พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เราก็ต้องปรับตาม ของเรา สามารถท�ำให้คนเป็นร้อยเป็นพันมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งที่เราท�ำ ก็รู้สึกว่านี่ - ตั้งแต่เรียนจบมาอายุ 23-24 ตอนนี้อายุ 33-34 ช่วงชีวิตนี้คือการเป็น Player ต้องท�ำงาน เป็นอาชีพที่เราท�ำแล้วมีความสุข ต้องเหนื่อย เป็นช่วงเวลาที่คนมีศักยภาพในการท�ำงานสูงมากๆ และเราก็ยังอยากจะ - หนังจะสมบูรณ์ได้ก็เพราะมีคนดู ณ โมเม้นต์ที่เขาเอ็นจอยกับการดูหนังของเรา ท�ำงานนี้อยู่ นั่นล่ะคือความส�ำเร็จของคนท�ำหนังแล้ว - ถ้าถามว่าอยากจะท�ำอะไร ตอบกันหน้าด้านๆ เลยว่า ใครๆ ก็อยากอยู่เฉยๆ แล้วรวย - เริ่มท�ำหนังแบบสตูดิโอกับโปรเจ็คท์ยักษ์เล็ก ด้วยการชักชวนของพี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว) แต่คงเป็นไปไม่ได้ จริงๆ คนเรามีอะไรที่ต้องการ Archive มากกว่าการรวยรึเปล่า เป็นโปรเจ็คท์ที่ให้ทุนคนท�ำหนังสั้นได้มาลองท�ำหนังโปรดัคท์ชั่นใหญ่ๆ ตอนนั้นได้ทุน โอเคเราอาจจะอยู่บ้านเฉยๆ รวยก็ได้ แต่เราอาจจะไม่ได้สร้างผลงานที่คนทั้งโลกจดจ�ำ ท�ำหนังเรื่องแรกมา 5 ล้าน ไม่ได้เคยมีงานที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคน ถ้าคุณเป็นศิลปินคุณวาดรูปก็อยากให้คนเห็น - ท�ำหนังเรื่องแรกก็ไม่ได้คิดอะไรมากนะ คิดแค่ว่าจะท�ำเรื่องอะไรดี ที่ท�ำให้คน คุณร้องเพลงก็อยากให้มีคนฟังใช่มั้ย คุณเกิดมาเพื่อท�ำหนังก็อยากให้มีคนดู ซึ่งอันนี้ เอ็นเตอร์เทนด้วย ใช้เงินไม่เยอะ สุดท้ายก็มาจบที่หนังผี (ภาพยนตร์เรื่อง คน ผี ปีศาจ) เป็นความแตกต่างกับการท�ำอะไรแล้วรวย มันเป็น Soul Food เป็นอาหารทางจิตวิญญาณ - ผู้ก�ำกับหลายๆ คนในวงการ ไม่ว่าจะเป็นปีเตอร์ แจ็คสัน (Peter Jackson) หรือจะเป็น - การที่ผลงานของเราส่งผลกระทบต่อคนอีกจ�ำนวนมาก ท�ำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง แซม ไรมี (Sam Raimi) ทุกคนเกิดมาจากการท�ำหนังสั้นทุนต�่ำกันทั้งนั้น เปลี่ยนแปลงชีวิต เปลี่ยนแปลงครอบครัว สิ่งเหล่านี้ล่ะที่ท�ำให้เราอยากท�ำหนังต่อไปเรื่อยๆ - พี่ปรัชบอกเราว่าท�ำหนังเหมือนพาคนไปสวนสนุก จะท�ำยังไงให้คนไปโรงหนัง - เราจะไม่ปล่อยให้ค�ำวิพากษ์วิจารณ์มาท�ำให้ท้อถอย เพราะคนเหล่านั้นเขาก็ไม่ได้ ไปดูหนัง จ่ายเงิน มีค่าเท่ากับเขาซื้อตั๋วขึ้นไปเล่นเครื่องเล่น โรงหนังมัลติเพล็กซ์ ท�ำอะไรนี่ ก็แค่พิมพ์อยู่หน้าคอม แต่เราต้องรับผิดชอบคนอีกตั้งมากมาย รับผิดชอบเงิน เหมือนสวนสนุกที่มีเครื่องเล่นหลากหลาย หนังฮอลลีวู้ดระดับบล็อกบัสเตอร์ จ�ำนวนมหาศาลที่เขาไว้วางใจให้เรามาท�ำงาน (Blockbuster) ก็เหมือนรถไฟเหาะ หวาดเสียวตื่นเต้น ทุนสร้างเยอะ แล้วความสนุก - เราเป็นคนมองโลกในแง่ดีนะ ฉะนั้นเวลาท�ำงานออกไปแล้วอาจจะมีคนด่าเรามากมาย แบบไหนล่ะที่ทุนสร้างน้อย แต่สนุกสนานตื่นเต้นพอกัน ก็คือบ้านผีสิง ผู้ก�ำกับหน้าใหม่ แต่เอ๊ะ...คนกดไลค์ก็มีตั้งเยอะนี่ แสดงว่ามีคนชอบงานเราเหมือนกัน เพียงแต่เขาไม่ได้ ส่วนมากเขาก็ให้ทุนสร้างบ้านผีสิงก่อนทั้งนั้นแหละ ก่อนจะไปสร้างรถไฟเหาะ พูดออกมา - หนังของผมค่อนข้างเกี่ยวข้องกับคน เพราะคนมีความเป็นปัจเจก มีความซับซ้อน - การจะท�ำอะไรให้ส�ำเร็จต้องอดทน เพราะสิ่งต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืน อย่างตอนนี้สนใจเกี่ยวกับเรื่องคนฆ่าตัวตาย ในแง่ของคนรอบข้างที่ยังมีชีวิตอยู่ ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะในการสร้าง ในการกล่อมเกลา ทุกวันนี้จะคิดฝันมันง่าย มากกว่า เรื่องที่ว่าท�ำไมคนนั้นถึงฆ่าตัวตาย แต่ถ้าลงมือท�ำแล้วถึงจะรู้ว่ามีอุปสรรค มีข้อจ�ำกัดมากมาย ถ้ายอมแพ้ก็แสดงว่าห่วยไง - ท�ำหนังได้หมดทุกแบบ ไม่เคยมีหนังอะไรที่ไม่คิดท�ำ หรือไม่อยากท�ำ มีแต่ถนัด แต่อยากท�ำต่อมั้ยล่ะ ถ้าอยากท�ำก็ต้องหาวิธีที่จะท�ำออกมาให้จงได้ กับไม่ค่อยถนัด - ในชีวิตการท�ำงานนี่โดนเรื่องดราม่าอยู่ตลอด แต่เรามองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ - หนังมีพลังในการ Inception มีพลังในการเปลี่ยนความคิดคน เป็นเรื่องของความเชื่อ ถ้าไปใส่ใจก็บั่นทอนชีวิต แล้วคนสมัยนี้จะเชื่อไปก่อนเลยว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ท�ำให้เราคล้อยตามไปโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว ฉะนั้นเวลาน�้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง ก็มองเป็นเรื่องบันเทิงไป - เรื่องรักแห่งสยามนี่เห็นชัดว่าเปลี่ยนแปลงสังคม เกิดความเคลื่อนไหวในสังคม - ความชัดเจนในตัวเรา คือสิ่งที่ยึดถือมาตลอด ถ้าอยากท�ำแก้วทรงนี้ก็ต้องท�ำให้ได้ เรื่องความรักในครอบครัว เรื่องเกย์ในวัยรุ่น ท�ำให้คนเหล่านี้กล้าแสดงตัวออกมา แก้วทรงนี้ จะบอกว่าศิลปะไม่มีผิดไม่มีถูกก็ไม่ใช่นะ ศิลปะก็มีผิดมีถูก คุณอยากจะ พ่อแม่ก็ต้องเริ่มมาคิดแล้วว่า เฮ้ย…ถ้าลูกเราเป็นเกย์แล้วเราจะเกลียดมันเหรอ วาดเสือแต่คนมองเป็นหมาก็ผิดวัตถุประสงค์ - ท�ำงานมายาวนานถึงจุดนี้ในแง่ของวิธีการท�ำงานก็คงจะเข้มข้น คงความสมบูรณ์แบบ - ท�ำธุรกิจให้อยู่รอดต้องมองให้ออกว่าลูกค้าเราเป็นใคร มาจากไหน แล้วค่อยมอง ไว้เหมือนเดิม แต่ตอนนี้ประนีประนอมมากขึ้น เข้าใจสังคมมากขึ้น แต่อุดมการณ์ การลงทุนในกลุ่มเป้าหมายของเราว่าคุ้มค่ามั้ย ลงทุนเท่าไหร่ถึงจะไม่เจ็บตัว ท�ำไปก่อน ก็ยังอยู่ ให้ได้ก�ำไร แล้วค่อยสร้างลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ อย่างเพลงค่ายเราอยู่ในชาร์ทเงียบๆ แต่ก็ - ช่วงที่พ่อป่วย และต้องกลับมาดูแลครอบครัว ก็พยายามหาลู่ทางเพื่อที่จะกลับมา อยู่ตลอด ไปกินเอ็มเคก็ยังได้ยินเพลงเสือโคร่ง ในผับทุกผับก็ยังเปิด ฉะนั้นค�ำม่วนสตูดิโอ อยู่เชียงใหม่ ก็เลยลาออกจากบาแรมยู แล้วก็ตั้งค�ำม่วนสตูดิโอขึ้นมา จะเน้นท�ำน้อยๆ แต่อยู่นานๆ - เวลาที่เราก�ำลังจะสูญเสียคนส�ำคัญไป ก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ส�ำคัญ ท�ำให้เรา เปลี่ยนความสนใจในเนื้อหาหนัง กลับมาเล่าน้อยๆ ตรงประเด็น และกระแทกใจ About HIM จนกลายมาเป็นเรื่อง Home และเกรียนฟิกชั่นในเวลาต่อมา มะเดี่ยว - ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล จบปริญญาตรีจากภาควิชาภาพยนตร์และภาพนิ่ง - งานของเราช่วงก่อนๆ จะสนใจเรื่องในวงกว้างนะ อย่างรักแห่งสยาม ก็มีแนวคิด คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มท�ำงานในฐานะผู้ก�ำกับหนังแบบสตูดิโอ ทางสังคม ทางการเมืองอยู่ในนั้น ตั้งแต่เรื่องโฮมและเกรียนฟิกชั่นเป็นต้นมา เริ่มมอง จากเรื่อง คน ผี ปีศาจ ที่ออกฉายในปี 2547 จากนั้นรับก�ำกับทั้งภาพยนตร์, มิวสิควิดีโอ, ความเป็นปัจเจก พยายามเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนรอบข้าง ละคร, แต่งเพลง, เขียนบท ฯลฯ ย้ายกลับมาอยู่เชียงใหม่เนื่องจากต้องกลับมาดูแล ครอบครัว และตั้งค�ำม่วนสตูดิโอขึ้นมา ตอนนี้ก�ำลังถ่ายท�ำซีรีย์เรื่อง เกรียน เฮ้าส์ - ตอนแรกเปิดค�ำม่วนสตูดิโอมาเพื่อดูแลวงออกัส ตอนนี้ก็ไม่มีวงแล้ว ก็เหลือแค่ ซึ่งเป็นภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องเกรียนฟิกชั่น ออกฉายเวลา 20:50 – 21:45 น. พิชญ์ (โพธิ์คัณธา) ก็ดูแลต่อ แล้วก็มีวงเสือโคร่งที่เราดูแลมาตั้งแต่น้องอยู่ ม.4 ตอนนี้ ทางโมเดิร์น ไนน์ ทีวี และในเดือนนี้มีภาพยนตร์เรื่อง The Eyes Diary : คนเห็นผี น้องก็เข้ามหาวิทยาลัยกันแล้ว ผลงานล่าสุดที่ถือเป็นการกลับมาก�ำกับหนังผีอีกครั้งในรอบ 10 ปี

28: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :29 ภาพ: Frontage Music Label

30: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 เพื่อนร่วมรุ่น

อภิวัฒน์ พงษ์วาท นักร้องน�ำ-มือกลอง วง ETC.

- ข้อดีของการเป็นศิลปินมา 10 ปี : ไม่ต้องแกะเพลงของคนอื่นเยอะ กับเล่นเพลง - คิดย้อนกลับไปก็ต้องขอบคุณบอร์ดของค่ายที่ไม่ให้เพลงของเราผ่านซักที ตอนนั้น ตัวเองแล้วรู้สึกดี โกรธนะ รู้สึกสงสัยว่าเพลงมันใช้ไม่ได้เลยหรือไง พอปล่อยออกมาคนก็ชอบ แต่พอคิดอีกที - เมื่อก่อนตอนที่ยังเล่นดนตรีกลางคืน ได้ยินชื่อเสียงของ ETC. มาเยอะมาก ถ้าเขาไม่แย้งเราในวันนั้น เราก็คงไม่ตัดสินใจออกจากค่ายมา แล้วถ้ายังอยู่ต่องานของเรา รู้ว่าพวกเขาเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ประกวดมาแล้วหลายเวที แล้วก็ฝีมือดีมาก ก็อาจจะไม่ได้เป็นเหมือนทุกวันนี้ - เรื่องที่หลายคนไม่รู้ : ผมสนิทกับโซ่ (แมนลักษณ์ ทุมกานนท์) ก่อน เพราะว่า - ก่อนจะท�ำงานชุดที่สองเสร็จน่าจะเป็นช่วงตกต�่ำที่สุดของวง ไม่ค่อยมีงาน ไม่รู้จะ เล่นดนตรีแจ็ซซ์ด้วยกัน กับจริงๆ แล้วตอนที่ ETC. มาชวนให้ไปร่วมวง พวกเขา ท�ำอะไรต่อ บางคนรู้สึกว่าพอแล้ว อยากกลับบ้านแล้ว ที่ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ อยากให้ผมไปเป็นนักร้อง แต่ว่าผมปฏิเสธ พอตอนหลังพวกเขากลับมาชวนใหม่ ก็เพราะพยายามตั้งหน้าตั้งตาท�ำเพลงไปเรื่อยๆ คิดอะไรได้ก็ท�ำไป ไม่ชอบก็ท�ำใหม่ บอกว่าจะให้เป็นมือกลอง ผมถึงตกลงเข้าวงด้วย พอท�ำแล้วเริ่มมีเพลงที่เราคิดว่าดี มีเพลงครบ มันก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา - เป็นสมาชิกใหม่ต้องปรับตัวมากไหม? คงเพราะเป็นคนเหนือเหมือนๆ กัน ก็เลย - ท�ำเพลงป๊อปมันก็ต้องฟังง่ายนะ ถ้าฟังยากเกินไป คนเข้าไม่ถึงมันก็คงไม่ใช่ คุยกันง่าย - ความส�ำเร็จส�ำหรับพวกเรามันเป็นสิ่งที่ค่อยๆ เห็นผลทีละนิดมากกว่า ตอนเริ่มต้น - ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ของคนในวงก็ยังเหมือนเดิม ที่เปลี่ยนก็แค่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราไม่ใช่วงที่ดังเปรี้ยง ดังแค่ประมาณหนึ่ง จากนั้นเราก็ค่อยๆ ปรับปรุงงานของเราไป เหมือนแต่ก่อนเท่านั้น อย่างตอนแต่ละคนหาบ้านก็ยังเลือกอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ เวลา ค่อยๆ เข้าใจมากขึ้นว่าอะไรคือสิ่งที่ท�ำแล ้วตัวเราชอบ แล ้วคนฟังก็ชอบด้วย จนถึงทุกวันนี้ ไปท�ำงานจะได้ไปด้วยกันง่ายๆ ก็ถือว่าจับทางถูกแล้ว - เวลาท�ำงานกับคนไฟแรง ขยัน ท�ำอะไรก็สนุกไปหมด - มุมมองในการเล่นดนตรีของผมเปลี่ยนไปนะ คือไม่ได้มองว่าเล่นอะไรยากๆ ได้ - ประสบการณ์ที่ได้จากการเล่นดนตรีกลางคืนในร้านที่มีลูกค้าเยอะๆ ท�ำให้เรารู้ว่า คือเก่ง คือมาตรฐานฝีมือต้องมีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายแล้วการถ่ายทอดอารมณ์ให้เข้าถึง เพลงแบบไหนที่คนฟังจะรู้สึกสนุกและมีอารมณ์ร่วม ซึ่งประสบการณ์ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผม คนฟังได้ส�ำคัญกว่า เอามาแชร์กับเพื่อนๆ แล้วค่อยๆ ปรับจนท�ำให้วงเปลี่ยนจากเดิมที่เน้นเล่นดนตรี - เคยคิดเหมือนกันนะว่า ถ้าเกิด ETC. มีชื่อเสียงแล้ว เราจะกลายเป็นคนเรื่องมาก โชว์ฝีมืออย่างเดียว มาเป็นวงที่เล่นเพลงให้คนจ�ำนวนมากรู้สึกสนุกได้ด้วย เหมือนศิลปินหลายๆ คนที่เราเคยเจอหรือเปล่า แต่จนถึงทุกวันนี้พวกเราก็ยังเป็น - ตอนท�ำงานเพลงชุดแรกก็ลงมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ทุกคนอยู่บ้านหลังเดียวกัน บ้านก็ คนง่ายๆ สบายๆ ใครขออะไรถ้าท�ำให้ได้ก็ท�ำกันอยู่นะ รกๆ หน่อยตามประสาวัยรุ่น ห้องหนึ่งก็นอนกันสองสามคน แต่ไม่มีใครคิดว่าล�ำบากอะไร - ถามว่าเป็นศิลปินมาได้นานถึง 10 ปีต้องท�ำยังไง? ก็ต้องรักงานที่ท�ำก่อน สิ่งที่ผมท�ำ ก็อยู่กันจนบ้านพังไปเป็นหลังๆ เลย คือสิ่งที่รักมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หลงใหลมาก พอได้ท�ำแล้วมันเลยดีตรงที่ถึงจะเหนื่อย - ตอนที่งานชุดแรกออกมาก็ดีใจที่ท�ำจนส�ำเร็จ เชื่อว่ามีเพลงเพราะๆ อยู่หลายเพลง ถึงจะมีช่วงเวลาที่ยากล�ำบากขนาดไหน แต่ว่าเราจะไม่ท้อ จะรู้สึกว่าเราสามารถ คิดว่าน่าจะดัง แต่ปรากฏว่ามันดังแค่ ‘เจ้าชายนิทรา’ เพลงเดียว พอหยุดโปรโมททุก คิดหาทางออกได้เสมอ อย่างก็เงียบ มีงานแค่ไม่กี่งานเท่านั้นเอง - เป็นนักดนตรี ท�ำงานได้เงินมาแล้วต้องคิดเผื่อถึงเวลาที่ไม่มีเงินไว้ด้วย - จริงๆ ตอนท�ำงานชุดแรกทางค่ายเขาไม่ให้วงรับงานเองนะ แต่พอถึงจุดหนึ่งถึงจะรู้ว่า - ทุกวันนี้เวลาเห็นวงรุ่นพี่ๆ ยังมีงานกันอยู่เรื่อยๆ ก็หวังว่าอีกหน่อยตอนเราอายุมากขึ้น ผิดกฎแต่ก็ต้องรับ ไม่งั้นก็ไม่มีเงิน ถ้าจะยังมีงานแบบพวกพี่ๆ เขาได้ก็คงจะดี - ETC. ได้พี่โก้ (มิสเตอร์แซ็กแมน) ช่วยเหลือไว้เยอะมาก ทั้งช่วยหางานให้ ให้พวกเรา - ถ้าได้เจอตัวเองเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จะบอกเขาว่าที่ท�ำอยู่น่ะดีแล้ว อย่าหยุด ท�ำๆ ไปเถอะ มาเล่นแบ็คอัพให้พี่โก้กับพี่คิ้ม (เจนนิเฟอร์ คิ้ม) ซึ่งนอกจากจะช่วยให้พวกเรามีรายได้แล้ว เดี๋ยวอะไรๆ มันก็จะดีเอง การท�ำงานกับพี่เขาท�ำให้เราได้ประสบการณ์ว่านักร้อง-นักดนตรีรุ่นใหญ่เขาเล่นกันยังไง เขาเอ็นเตอร์เทนคนดูยังไงด้วย - เหตุผลที่ออกจากค่ายก็เพราะไม่มีจะกิน อีกอย่างตอนนั้นต้องเอาเพลงให้บอร์ด About HIM พิจารณา ซึ่งส่งไปทีไรก็ไม่ผ่านซักที ส่งแล้วก็แก้ เป็นอย่างนี้อยู่เกือบครึ่งปี หนึ่ง – อภิวัฒน์ เป็นสมาชิกคนเดียวของ ETC. ที่ไม่ได้ศึกษาที่คณะดุริยศิลป์ มหาวิทยาลัยพายัพ พอโปรดิวเซอร์ย้ายค่ายแล้วชวนพวกเราไปอยู่ด้วย ก็เลยไปขอยกเลิกสัญญา เหมือนเพื่อนร่วมวงคนอื่นๆ (จบการศึกษาจากคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) แต่ ตลอด 10 ปีที่พวกเขาเป็นศิลปินและมีผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้ฟังกันแล้วถึง 4 ชุด ก็น่าจะบอก แล้วย้ายค่ายเลย ได้ว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาส�ำหรับพวกเขาแต่อย่างใด ส่วนใครที่อยากอัพเดตเรื่องงานเพลง - เพลง ‘เปลี่ยน’ คือเพลงที่บอร์ดบอกให้ไปแก้ตั้งหลายรอบนั่นแหละ แต่ตอนใช้ นอกจากช่วงนี้เราจะได้ฟังเพลงที่เขาไปร่วมงานกับศิลปินคนอื่นๆ แล้ว อีกไม่นานเพลงใหม่จากฝีมือ ในอัลบั้มพวกเราตัดสินใจใช้เวอร์ชั่นแรกที่ไม่แก้ไขอะไรเลย ของ ETC. ก็จะออกมาให้แฟนๆ ได้หายคิดถึงกันอีกด้วย

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :31 REUNION ชวนชาวฮิพรุ่นแรกมาคืนสู่เหย้ากันอีกครั้งในโอกาสครบรอบ 10 ปี หลังจากแต่ละคนแยกย้ายกันออกไป คืนสู่เหย้า มีครอบครัวบ้าง ไปท�ำงานสายอื่นบ้าง ไปเที่ยวหาประสบการณ์บ้าง ตอนนี้พวกเขาก�ำลังท�ำและมีความสุขกับสิ่งใด

จุดเปลี่ยน ชื่อ : เสาวตรี ภัทราวราพันธ์ ชื่อปัจจุบัน : กัญญา โกเกียรติกุล ต�ำแหน่ง : ผู้ช่วยบรรณาธิการ HIP รุ่นก่อตั้ง ปี 2547 - 2551

ในชีวิตหนึ่งเราจะเจอกับสถานการณ์บางอย่างทั้งดีและไม่ดี ซึ่งจะส่งผลต่อ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนที่เปลี่ยนไปในทางที่สนุกสนาน เป็นตัวของตัวเอง จนน่าชื่นชม อนาคตข้างหน้า ราวสองถึงสามครั้งในชีวิต หรือ ที่เห็นชัดๆ กับ บอกอ คนเดิม ที่มีสีผมเปลี่ยนไป (!) สังเกตจากชีวิตที่ผ่านๆ มาของตัวเองก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็น ครั้งหนึ่งเคยได้มีส่วนร่วมในจุดเปลี่ยนส�ำคัญของนิตยสาร ว่าจะ เลี้ยวซ้าย การเปลี่ยนงาน มีลูก มีครอบครัว ความเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุ เรื่องทั้งดีและร้าย หรือ เลี้ยวขวา ตอนนั้นอาจมีลังเล แต่ที่ท�ำให้การตัดสินใจของบอกอ ไม่ยาก ยิ่งแก่ลงก็ยิ่งเห็นตรงมากขึ้น ซึ่งเหตุการณ์แต่ละครั้งล้วนท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จนเกินไป คือจุดยืนและเป้าหมายที่ชัดเจน ท�ำให้ก้าวข้ามปัญหาต่างๆ ได้ อะไรบางอย่างไม่ว่าจะเป็นด้านนอกหรือภายในใจเราเอง หลังจากได้ลองออกมาใช้ชีวิตครอบครัว นับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เคยมีคนบอกกับเราว่า “คนเราอยู่ไปนานๆ ควรเปลี่ยนตัวเอง คนที่ไม่เปลี่ยนสิ จากชีวิตที่เดินคนเดียวไม่เคยรอใคร เป้าหมายสับสนวุ่นวาย กลายเป็นเดินช้าลง แปลก” แสดงว่าถ้ามีคนไม่ได้เจอกันมานานทักทายว่านิสัยเหมือนเดิมเลยนะ กับเรื่องราวรอบตัวที่แสนจะพะรุงพะรัง แต่กลับมีเป้าหมายชัดเจน โปรดอย่าเพิ่งดีใจ จุดเปลี่ยน มีได้ แต่อย่าเลี้ยวผิดจนเปลี่ยนจุดหมาย ความเจริญของเมืองเชียงใหม่ เพื่อนสนิท คนรู้จัก เด็กที่เติบโต คนที่เรารัก บอกอ สอนเรื่องการท�ำหนังสืออย่างที่ใครไม่เคยบอกกับเรา แต่ส�ำหรับ เมื่อถึงเวลา ก็คงมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป หรือบางอย่างไม่น่าเปลี่ยนก็ดันเปลี่ยน เรื่องการใช้ชีวิต เขาท�ำให้ดู... หรือกระทั่งนิตยสารเล่มนี้ก็เช่นกัน ถ้าพูดถึงความเปลี่ยนแปลง หนังสือ ภูมิใจทุกครั้งกับการที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของนิตยสารเล่มนี้ หน้าตาสวยงาม อ่านสนุก คอลัมน์น่าสนใจ เผลอแป๊ปเดียวก็อ่านจบเล่มเอาง่ายๆ ยินดีอีกครั้งกับการก้าวเข้าสู่ปีที่ 11 HIP Magazine

32: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 สวนผักในบ้าน ชื่อ : เกริกวิชช์ พ่วงส�ำเภา ต�ำแหน่ง : ช่างภาพ HIP รุ่น 2 ปี 2549 - 2551

สิ่งที่ดูง่ายก็เหมือนจะไม่ง่าย สิ่งที่ดูยากก็เหมือนจะไม่ยาก ในทุกวันนี้มี ความสะดวกสบายในทุกๆ ด้าน จนเดี๋ยวนี้ผู้คนเลยแทบจะไม่ต้องท�ำอะไร เพียงออกบ้าน ไปจับจ่ายก็ได้สิ่งของที่ต้องการกลับมาแล้ว เพียงแค่คุณมีเงิน ด้วยเหตุผลนี้ผมจึงอยากลองท�ำอะไร ด้วยตัวเองดูบ้าง โดยเริ่มกระบวนการทั้งหมด ด้วยตัวเอง จึงมองว่าสวนผักในบ้านนี่แหละ ตากล้อง โลโม่ รี โค้ก เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ไม่ง่ายและไม่ยากสามารถ ท�ำด้วยตัวคนเดียวได้ เหมือนกับได้คุยกับตัวเอง ชื่อ : อัจฉรี ถาวรประเสริฐ เวลาลงมือท�ำ เรื่อยๆ ไม่รีบ ค่อยๆ ใส่ใจลงไป ต�ำแหน่ง : บรรณาธิการฝ่ายภาพ คอยดูการเจริญเติบโตในทุกๆ วันของผัก HIP รุ่นก่อตั้ง ปี 2547 - 2556 มีความสุขดีครับ เด็กสองคนนี้เป็นผลผลิตที่ได้มาจาก HIP Magazine การที่ได้มาท�ำ HIP Magazine กับพี่โหน่ง และพี่น้องชาว HIP ทุกคน ได้เรียนรู้ อะไรหลายๆ อย่าง มีช่วงเวลาที่ดีบ้าง ร้ายบ้างปะปนกันไป พวกเราก็สู ้มาด้วยกัน ท�ำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดี มาจนถึงทุกวันนี้ เป็นประสบการณ์ที่ช่างผ่านมาอย่างรวดเร็วเหลือเกิน จะมีกี่คนที่โชคดีอย่างเรา ขอบคุณ พี่โหน่ง พี่ปู มากๆ ค่ะ

ภาพ: คนเลี้ยงม้า เรื่อง: หนุ่มพลังม้า A CAT AND A DOG แมวแมวหมาหมา ชื่อ : ธนาคาร พฤกษะวัน ต�ำแหน่ง : บรรณาธิการฝ่ายศิลป์ HIP รุ่นก่อตั้ง ปี 2547 - 2553

แมวสาวแสนซนโตเต็มวัย นิสัยหยิ่งนิดๆ กะล่อนหน่อยๆ รักสวยรักงาม ร่าเริง แจ่มใส ตลกดี มีน�้ำใจ สนุกสนาน เจ้าเล่ห์ แสนงอน ขี้อ้อน เอาแต่ใจ ขี้ประชด ต่อปากต่อค�ำ ชอบออกสังคม รักการเดินทางท่องเที่ยว อยู่ไม่ติดบ้าน ชอบช้อบปิ้ง ลีลาเยอะ เจ้าระเบียบ มีความรับผิดชอบสูง ชอบอ้อนคลอเคลียพันแข้งพันขา ฉอเลาะปะเหลาะเก่ง จนท�ำให้ เจ้าของเสียทรัพย์ได้ มีหมาเกรียนเป็นลูกสมุนคู่ใจ พยายามจะดูแลปกป้องน้องหมา แต่ก็ชอบแกล้ง ชอบยั่ว ข่มขู่คุกคาม ใช้ทั้งก�ำลัง อ�ำนาจและวาจาที่เหนือกว่า หมาเด็กวัยเกรียน เป็นหมาเกรียนหน้าตาใจดี ชิลล์ ดราม่า ซุ่มซ่าม เฮฮา ใจกล้า บ้าบิน ลูกบ้าเยอะ บ้าพลัง ชอบท�ำลายข้าวของ อารมณ์ดี ตลก เจ้าส�ำราญ ติดแม่ DJ. LIFE ชอบฟังเพลง ขี้เกียจ ดวงดีมีโชคตลอด พูดไม่รู้เรื่อง ใช้ค�ำศัพท์แปลกๆ ชื่อ : นารีรัตน์ สมพงษ์ ไม่ชอบเที่ยวเตร่ แต่ชอบเฝ้าบ้าน ซื่อๆ แต่แอบเจ้าเล่ห์ เริ่มเป็นหนุ่มแอบมีความลับ ต�ำแหน่ง : กราฟิกดีไซเนอร์ แอบสร้างความประหลาดใจให้อยู่บ่อยๆ เป็นลูกไล่ของแมวซ่าส์ แต่ถ้าแมวไม่อยู่ HIP รุ่น 2 ปี 2550 - 2552 หมาก็จะหงอย ถ้าแมวกะหมาอยู่บ ้านพร้อมกันจะท�ำให้บ้านมีสีสัน มีชีวิตชีวา อบอุ่น ไม่เงียบเหงา วุ่นวาย ตอนนี้มีเรื่องที่สนใจอยู่มากมายหลายเรื่อง ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการงาน ท�ำบ้านรก เปิดดาร์บี้แมตช์กันอยู่บ้านแทบพัง หรือแอบชวนกันเล่นพิศดารต่างๆ นานา แต่ที่สนใจมากเป็นพิเศษก็ยังคงเป็นเรื่องของการเปิดเพลงให้คนอื่นฟัง การหา แต่ก็ท�ำให้บ้านเป็นบ้านที่แท้จริง มีความผูกพัน มีเสียน�้ำตามีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ เพลงให้เข้ากับงานหลากแบบ หลายกาลเทศะ เหตุผลของความสนใจเพราะไม่ว่าจะ มีความเห็นแก่ตัว มีความเสียสละ มีความขัดแย้ง มีเสียแมวเสียหมา และมีความรักครับ ผ่านไปกี่ปี เรายังคงสนุกและตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ท�ำ คิดถึงหมากะแมวจัง

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :33 หอมกลิ่นขนมไทยเหมือนหอมกลิ่นแก้มลูก ชื่อ : พิศุทธินีย์ ปัญญา ต�ำแหน่ง : กองบรรณาธิการ HIP รุ่นก่อตั้ง ปี 2547 - 2550

ตั้งแต่เป็นคุณแม่ลูกสอง วันวันได้แต่เล่นวิ่งไล่จับ ความสนุก มีมากมาย น�้ำตามีเป็นครั้งคราวเมื่อเผลอพลั้งหกล้ม คล้ายการวิ่งไล่จับ ความฝันของตัวเองเมื่อเรียนจบใหม่ๆ แม้ได้ท�ำงานหนังสือสมใจ แม้ได้ เปิดร้านกาแฟดังใจ แต่ใยไม่เคยรักษาฝันให้อยู่นานเสียที แต่กับลูกแล้ว แม่จะจับ ‘ความสุข’ ของเจ้าให้ยาวนานและแข็งแรง ซึ่งความสุข อย่างหนึ่งที่ลูกชอบมาก คือการได้กินขนม แน่ล่ะ ต้องเป็นขนมฝีมือแม่ ขนมไทยที่แม่เปิดต�ำราท�ำให้ทุกวัน เตรียมพร้อมให้ลูกหลังกลับจากโรงเรียน กะทิ แป้ง ไข่ น�้ำตาล และการใส่ใจ คือปัจจัยหลักของความอร่อยชวนให้เด็กสองคนลดความซน ขยับมาลิ้มลอง ยิ่งวันไหนเป็นวันของขนมไทยสีสันสดใสจากธรรมชาติ อาทิ ฟ้าจากดอกอัญชัน ชมพูแดงจากบีทรูท เหลืองจากฟักทอง ส้มจากแครอท เขียวจากใบเตย เช่น ขนมน�้ำดอกไม้ ขนมบุหลันดั้นเมฆ ขนมลืมกลืน ฯลฯ วันนั้นเด็กๆ ของแม่จะร่าเริงเป็นพิเศษ มีเท่าไหร่ในจาน จะสนุกสนานแข่งกันคว้าเข้าปากไม่มีใครยอมใคร ความสุขของแม่ก็อยู่ตรงนี้ สุขกับการได้ท�ำขนม สุขกับการ มี ‘ลูก’ ในชีวิต วันไหนไม่ได้ท�ำขนม วันนั้นลูกจะบ่นร้องเรียกหา วันไหนไม่ได้หอมแก้มลูก วันนั้นแม่ก็หมองหม่นในพริบตา เรามาถนอมและรักษา ‘ความสุข’ ให้ยาวนานด้วยกันนะ เจ้าสองซนของแม่ :)

GENTLEMEN RIDE ชื่อ : วิศรุจน์ ยะจา เที่ยว พัก อ่าน ต�ำแหน่ง : ผู้ช่วยช่างภาพ HIP รุ่น 2 ปี 2550 - 2551 ชื่อ : เกวลิน ทะสังขา ต�ำแหน่ง : ผู้จัดการทั่วไป ตัวผมเป็นคนที่หลงใหลในความคลาสสิคมานานแล้ว HIP รุ่นก่อตั้ง ปี 2547 - 2550 ในความคลาสสิคมันไม่ได้แฝงแต่ความแรงไว้ภายในอย่างเดียว แต่มันแฝงไปด้วยความทรงจ�ำต่างๆ ที่ได้ร่วมเดินทางไปกับเขาเเละเธอ การที่ต้องผ่านช่วงเวลาของความสูญเสีย ท�ำให้มีโอกาสได้พัก และมีเวลาหยุด เพื่อพูดคุย เขาที่ว่าคือมอเตอร์ไซค์คู่ใจ และเธอที่ว่าคือคนรู้ใจข้างกายเรานั่นเอง กับตัวเองมาพักใหญ่ๆ (แรมปี) ท�ำให้ความสนใจในวัตถุ หรือสิ่งรอบๆ ตัวลดลงไปมาก แต่กลับสนใจ Gentlemen`s Ride คือสิ่งที่ผมสนใจและฝันมาทั้งชีวิตที่อยากจะมี สิ่งที่ท�ำให้ใจมีความสุข (อิ่มใจ) และความอิ่มใจ จะถูกเติมเต็มง่ายๆ ด้วยการนั่งอ่านนิยายเงียบๆ มอเตอไซค์แนวคาเฟ่กับเขาบ้าง ถึงราคามันจะไม่แพงเหมือนเวสป้า และได้เดินทางไปพักผ่อนในที่ใหม่ๆ การใช้ชีวิตช่วงนี้เลยสนใจอยู่กับการมองหาสถานที่ที่น่าสนใจ เก่าๆ ของผม แต่มันก็มีคุณค่าทางจิตใจที่ได้ร่วมเดินทางเก็บเกี่ยว เพื่อเดินทางไปพักผ่อน และร้านหนังสือในมุมที่มีหนังสือนิยายให้เลือกเยอะๆ ความทรงจ�ำดีๆ ไปกับคนรู้ใจเรา

34: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 “ได้ท�ำงานที่เรารัก ถือเป็นลาภอันประเสริฐ” ชื่อ : ศรัญญา วังสมบัติ ชื่อปัจจุบัน : กัญจน์รัชต์ มหาธนนันท์ ต�ำแหน่ง : หัวหน้ากองบรรณาธิการ HIP รุ่นก่อตั้ง ปี 2547 - 2554

ค�ำโปรยในคอลัมน์เล็กๆ ของตัวเองเมื่อสิบปีก่อน อ่านทีไรแล้วก็นึกข�ำว่า พี่อุ๋ม – กราฟิก (ไม่มีในรูป แต่คนในรูปที่ใส่หูฟัง คือ ปุ่น – กราฟิกคนที่สอง), ตอนนั้นฉันคิดอะไรอยู่ (วะ) ช่างโปรยค�ำโตลงหน้าหนังสือได้อย่างอหังการขนาดนั้น พี่โบว์ลิ่ง – การตลาด (กับคอมเก่าๆ ที่จะพังเสมอเวลาออกบิลเก็บเงินลูกค้า), พี่รี - ช่างภาพ แต่สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดในความทรงจ�ำ คือจากเด็กฝึกงานปีสามเทอมสอง (ท�ำคิ้วขมวดเสมอเวลากดชัตเตอร์) และกองบรรณาธิการอีกสาม พี่เชอร์รี่ (ผู้หญิงที่มี กับนิตยสาร a day ต่อด้วยการฝึกกับนิตยสาร Bioscope อีกหนึ่งเล่ม คิดอยู่ว่า น้องหนูใต้โต๊ะสองตัว), ชันญา (สาวโลกสวยริมหน้าต่าง) และเราเองใส่แว่นหน้าเป๋อเหรอ ถ้าอยากจะท�ำงานสายนี้ อย่างไรเสียก็คงจะต้องลงไปหางานท�ำที่กรุงเทพแน่ๆ อยู่ฝั่งขวามือ รวมแล้วก็เจ็ดชีวิตที่อัดแน่นกันอยู่ในห้องท�ำงานเล็กๆ พวกเราพยายาม แต่อีกใจอยากอยู่ที่เชียงใหม่มากกว่า วันหนึ่งที่คณะมีงานปัจฉิมนิเทศก็ได้เจอ ท�ำหนังสือออกมาให้เสร็จภายในเวลาไม่ถึงสามเดือน โดยเริ่มใหม่หมดทุกอย่าง บก. รุ่นเก๋า และเราก็ตามไปสมัครงานทันทีหลังเรียนจบ จ�ำได้ว่าวันสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะเป็น การเซทออฟฟิศ ออกแบบหัวหนังสือ ออกแบบอาร์ตเวิร์ก ท�ำ Mock Up บอกไปว่า “หนูอยากท�ำนิตยสารดีๆ ที่เชียงใหม่” และพี่โหน่ง – สมชาย ขันอาษา คิดราคาโฆษณา วางคอนเท้นท์ ซึ่งในการเริ่มต้นธุรกิจนิตยสารท้องถิ่นช่วงนั้น (หรือ ‘น้า’ ของพวกเรา) ก็คือคนแรกที่เข้าใจเด็กจบใหม่ที่ไม่ประสาอะไรทั้งสิ้น และแจกฟรีด้วย มีคนถามเป็นประจ�ำว่าแล้วจะเอาเรื่องที่ไหนมาเขียน จะมีร้านอาหาร และหยิบยื่นโอกาสในการท�ำงานนิตยสารในฐานะกองบรรณาธิการเต็มตัวเป็นครั้งแรก ร้านกาแฟสักกี่ร้านให้แนะน�ำ ท�ำไมสัมภาษณ์คนกันเอง นางแบบหน้าแปลกนะ ช่วงเวลาสามเดือนแรกของการเป็นกอง บก. หลักใหญ่ใจความของชีวิตช่วงนั้น ถ่ายแฟชั่นดูบลา บลา บลา อีกหลายค�ำสบประมา และหลากหลายปัญหาที่เราเจอ คือการเขียน เขียน และเขียน ยังจ�ำคอลัมน์รีวิวเพลงที่โดนพี่โหน่งแก้ด้วยปากกา แต่ก็ผ่านสถานการณ์เหล่านั้นมาได้ด้วยความรู้สึกซื่อๆ เหมือนที่โปรยไว้บนหนังสือ สีแดงเถือกกกก แล้วก็ต้องเขียนแก้แล้วแก้อีกหลายรอบกว่าจะผ่าน ซึ่งถามว่า นั่นล่ะว่า “ได้ท�ำงานที่เรารัก ถือเป็นลาภอันประเสริฐ” เครียดไหม บอกเลยว่ามาก! แต่พอนึกย้อนกลับไป ก็แปลกที่พบว่า ไม่มีช่วงเวลา มาจนถึงบรรทัดนี้ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเขียนอะไรไว้ในคอลัมน์บ้าง แต่เราก็ ไหนที่ไม่สนุก สนุกกับการท�ำงาน กับเพื่อนร่วมงาน และคนใหม่ๆ ที่ได้เจอในชีวิต รักตัวเองและค�ำโปรยประโยคนี้นะ ที่ท�ำให้ผ่านช่วงเวลายากๆ มาได้ เราเองเชื่อว่าเพื่อน ประจ�ำวัน สนุกกับการเริ่มตั้งวงก๊ง… กันตั้งแต่บ่ายสามที่ร้านลาบข้างออฟฟิศ พี่น้อง HIP แต่ละรุ่นทั้งฝ่ายอาร์ต กราฟิก ช่างภาพ การตลาด กอง บก. เด็กฝึกงาน (โปรดอย่าถามว่าวงอะไร เพราะคงไม่ใช่วงดนตรีสากลอะไรเทือกนั้นแน่ ที่ท�ำการอุกอาจ ทุกคนล้วนมีเรื่องราว (เหี้ยมๆ) ของตัวเองกับการท�ำงาน HIP ที่ผ่านมา และเชื่อว่าทุกคน กันได้ขนาดนั้น ก็เพราะมีน้านี่แหละเป็นแกนน�ำ ha ha ha) ย่อมมี ‘Little Pieces of Gold’ ทองค�ำก้อนเล็กๆ เป็นความทรงจ�ำที่ดีๆ ที่ยังคง สามเดือนแรกผ่านไป… แล้ววันฟ้าผ่าก็เข้ามา เมื่อน้าลาออกลองไปค้นหาตัวเอง ค้างอยู่ในกระเป๋าของทุกคนเสมอ เรายังจ�ำที่พี่โหน่งเคยบอกไว้ “ท�ำหนังสือก็เหมือน ที่ตึกแกรมมี่ (555 หนูขอโทษนะน้า หนูเลียนแบบ E ชล) ส่วนพวกเรา ล้อมวงกินเหล้าในหน้าหนาว ตราบใดที่ยังไม่มีใครลุกออกไป ยังไงเสีย กองไฟก็จะ กองบรรณาธิการสามสาวก็ออกจะเวิ้งว้าง หว่าเว้ พวกเราตกลงกันว่าจะลาออกด้วย ไม่มีวันหมด” ตัวเราเองแม้ไม่ได้อยู่ท�ำหนังสือกับน้องๆ แล้ว และมีหน้าที่ใหม่ แล้วจะท�ำนิตยสารกันเองชื่อว่า ‘เขียน’ แต่เดชะบุญที่น้ากลับมาจากบางกอกซะก่อน ในสายงานอื่นให้รับผิดชอบ แต่เราเชื่อแน่ว่าเวลาต่อจากนี้น้องๆ ทีม HIP จะมี ‘Little พร้อมกับข่าวดีที่ว่า “แอร์ที่ตึกแกรมมี่มันเย็นไปว่ะ กูกลับมาท�ำหนังสือเอง Pieces of Gold’ เป็นความทรงจ�ำล�้ำค่าที่จะเพิ่มขึ้นจากการท�ำงานทุกวันเช่นกัน ที่เชียงใหม่ดีกว่า” และ HIP Magazine Chiang Mai ก็เริ่มมาจากจุดนั้น ขอเป็นอีกหนึ่งก�ำลังใจในการท�ำนิตยสารดีๆ ในเชียงใหม่ และยินดีด้วย ห้องแถวเล็กๆ ขนาด 4X6 เมตร หลังร้าน ขันอาษา ‘พวกเรา’ อันหมายถึง กับอีกหนึ่งก้าวย่างแห่งการเติบโตค่ะ น้าโหน่ง - บรรณาธิการ (ถือธงแมนยูฯ) พี่แบงค์- อาร์ตได (ถือธงลิเวอร์พูล)

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :35 CHIANGMAI 10 YEARS REWIND มองเชียงใหม่ผ่าน HIP

นอกจาก 10 ปีจะเพียงพอส�ำหรับการเปลี่ยนเด็กแรกเกิดให้กลายเป็นเด็กโต เปลี่ยนวัยรุ่นเข้าสู่วัยท�ำงาน หรือวัยหนุ่มสาวเข้าสู่วัยกลางคนได้แล้ว กับสถานที่ เวลาที่ว่าก็น�ำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงได้มากมายหลายสิ่ง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม HIP เลือกมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองเชียงใหม่ตลอดระยะเวลา 10 ปี ผ่านเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่ในนิตยสารทั้ง 120 ฉบับที่ผ่านมา แล้วหยิบยกเอาบางเรื่อง มาบอกเล่าให้ฟังกันอีกครั้ง ไม่ใช่เพื่ออวดโอ่ว่าเราเคยน�ำเสนอสิ่งเหล่านี้มาแล้ว แต่เพื่อย้อนความทรงจ�ำกัน และชวนให้ทุกคนได้ทบทวนว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วกับปัจจุบันนี้ เชียงใหม่ที่พวกเราทุกคนใช้ชีวิตอยู่นั้น ‘เป็นไป’ ในแบบไหนบ้าง

36: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 ปีที่ 1 (พฤศจิกายน 2547 – ตุลาคม 2548) 1ศิลปะเฟื่องฟู และ (ฝันว่าจะมี) รถเมล์ของฉัน ในขวบปีแรก (2547 – 2548) สิ่งหนึ่งที่มีให้อ่านกันอย่างสม�่ำเสมอใน HIP คือเรื่องราว เกี่ยวกับศิลปะอันหลากหลาย ทั้งการน�ำเสนอผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียง การแนะน�ำศิลปิน หน้าใหม่ๆ รวมไปถึงตารางงานนิทรรศการศิลปะที่น่าจะสร้างความอิ่มเอิบ (และความเหนื่อย ในการไปชมให้ครบทุกงาน) ให้กับคนรักศิลปะได้เป็นอย่างดี ว่ากันว่าเชียงใหม่เป็นเมืองที่มี ‘บรรยากาศ’ ที่เอื้อต่อการท�ำงานศิลปะหรืองานที่ใช้ ความคิดสร้างสรรค์ทั้งหลาย ถ้าพิจารณาจากการที่ในฉบับนี้เรามีเรื่องราวของ Art Space ในเชียงใหม่มาให้อ่านกัน ก็คงพอจะยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่า ‘ศิลปะ’ ที่เมืองเชียงใหม่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมานั้นเติบโตงอกงาม ได้อย่างน่าชื่นชม อีกเรื่องที่เราอุทิศพื้นที่ให้ในหลายวาระ (แม้กระทั่งบท บก.ของเราก็เขียนถึงเรื่องนี้ หลายหน) คือความฝันที่จะเห็น ‘ระบบขนส่งมวลชน’ ที่มีประสิทธิภาพเกิดขึ้น ในขวบปีแรก HIP มีน�้ำเสียงตื่นเต้นต่อการที่เชียงใหม่จะมีรถเมล์ (ภายใต้การดูแลของเทศบาลนครเชียงใหม่) ออกมา ให้บริการ และคอยบอกเล่าความเคลื่อนไหวเรื่องดังกล่าวไปสู่ผู้อ่านอย่างต่อเนื่อง แต่ก็น่าแปลกที่ ‘รถเมล์’ ที่ HIP ส่งใจเชียร์นั้นไม่เคยท�ำหน้าที่ได้ใกล้เคียงกับค�ำว่าประสบ ความส�ำเร็จ ระบบขนส่งในเมืองเชียงใหม่ยังคงเป็นเรื่องที่คนส่ายหัวเมื่อพูดถึงมาตลอดหลายปี และกับเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะหมดปี 2557 ก็ยังมีข่าวว่าเมืองเชียงใหม่คิดจะลองเอารถเมล์ มาใช้เพื่อแก้ปัญหาการจราจร! บางทีก็น่าคิดว่า การใช้เวลา 10 ปีเพื่อให้ได้วิธีการ ‘เดิมๆ’ นั้นก�ำลังบอกอะไรเราอยู่หรือเปล่า?

ปีที่ 2 (พฤศจิกายน 2548 – ตุลาคม 2549) เชียงใหม่เมืองดนตรี, รวมพลคนรักรถ, 2 และหอมกลิ่นกาแฟ เชียงใหม่มีดนตรีดีๆ ให้ฟังมากมาย นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่อวดได้ไม่ต้องเขิน เพราะใครๆ เขาก็ยอมรับว่าจริง! HIP น�ำเรื่องราวของแวดวงดนตรีในเชียงใหม่มาน�ำเสนอในขวบปีที่สอง (จริงๆ ก็มีมาตั้งแต่ปีแรกแล้ว) ในเรื่อง ‘เชียงใหม่ : เมืองดนตรี’ และหลังจากนั้น HIP ก็ยังคงมีเรื่องราวเกี่ยวดับดนตรีในเชียงใหม่มาให้อ่านกันอย่างสม�่ำเสมอ เช่นเดียวกับโลกดนตรีของเชียงใหม่ที่ยังคงเติบโตและแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปีเดียวกันนี้ HIP มีเรื่องราวของ ‘คนรักรถ’ มาน�ำเสนอ (ทั้งบิ๊กไบค์ เวสป้า และรถโฟล์ค) ส�ำหรับบางคนนี่อาจเป็นเพียงเรื่องของรสนิยม แต่การรวมตัวกัน อย่างเป็นกลุ่มก้อนของบรรดาคนรักรถหลากหลายรูปแบบเหล่านี้ที่ยังคงมีอยู่ จนถึงปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นว่าความชอบขับจากของคนเหล่านี้เหนียวแน่น และจริงใจแค่ไหน ส่วนอีกเรื่องที่ถูกน�ำเสนอในขวบปีที่สอง และยังคงเป็นสิ่งที่ ‘อินเทรนด์’ มาจนถึงทุกวันนี้ก็คือเรื่องราวของกาแฟ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่นับปริมาณ ร้านกาแฟที่ทั้งเพิ่มขึ้นและมีร้านใหม่ๆ มาให้ได้รู้จักกันอยู่เรื่อยๆ ตลอด 10 ปี ที่ผ่านมา ก็ชวนให้คิดเล่นๆ ว่า บางทีถ้าเชียงใหม่จะสถาปนาตัวเองเป็น ‘เมืองแห่งร้านกาแฟ’ ก็น่าจะเข้าท่าดีเหมือนกัน

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :37 ปีที่ 3 (พฤศจิกายน 2549 – ตุลาคม 2550) ชวนคนนั่งคุย และเรื่องของต้นไม้ (ที่หลายคนมองผ่าน)

HIP ในขวบปีที่สามนั้นแน่นด้วยบทสัมภาษณ์ (ทั้งในหน้า Interview3 และ คอลัมน์อื่นๆ) ซึ่งการชวนผู้คนมากมายจากหลายสาขาอาชีพ (ทั้งที่เป็นคนเชียงใหม่แท้ๆ หรือคนจากที่อื่นๆ ที่หลงรักและมาใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่) นอกจากจะท�ำให้ได้รับรู้ เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับเขาเหล่านั้น และได้เห็น ‘ประสบการณ์’ ที่สามารถหยิบไปใช้ เป็นตัวอย่างหรือแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้แล้ว ยังได้รับฟัง ‘มุมมอง’ ที่เขาเหล่านั้น มีต่อเชียงใหม่ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งแม้อาจจะเป็นเพียงเสียงเล็กๆ แต่ก็ควรค่าแก่การรับฟัง และน�ำไปขบคิดต่อ พูดถึงเรื่องเล็กๆ Scent of Chiang Mai อาจเป็นเพียงคอลัมน์เล็กๆ ความยาวเพียงหนึ่งหน้า แต่ตลอดระยะเวลาที่คอลัมน์นี้อยู่กับ HIP พื้นที่ตรงนี้ ไม่เพียงแต่แนะน�ำให้เราได้รู้จักต้นไม้หลากหลายชนิด หากแต่ยังส่ง ‘สาร’ ให้เรา ได้ฉุกคิดว่า พันธุ์ไม้พื้นถิ่นนั้นก็งดงามไม่แตกต่างจากต้นไม้แพงๆ ทั้งหลาย ทั้งยังมี ‘เรื่องราว’ ที่ช่วยให้เราไม่หลงลืมว่ารากเหง้าของเราคืออะไรอีกด้วย

ปีที่ 5 (พฤศจิกายน 2551 – ตุลาคม 252) 5 A Capella 7’s Chronicle

อาจารย์โจ – บฤงคพ วรอุไร ถือเป็นคนคุ้นเคยคนหนึ่ง ของ HIP ในขวบปีที่ห้าของเรา เขาเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ส่งเรื่องราว มาให้เราได้อ่านกันอย่างสม�่ำเสมอ และเรื่องของวงอะแค็ปเปลล่า เซเว่น ที่เขาบอกเล่าไว้ในคอลัมน์ Message นั้น เป็นเสมือน ‘บันทึก ประวัติศาสตร์’ ของวงดนตรีจากเชียงใหม่ที่ไปแผ้วถางหนทาง ให้กับวงรุ่นน้องๆ ได้เจริญรอยตาม ไม่บ่อยนักที่ในบ้านเราจะมีใคร น�ำเรื่องราวประวัติของวงดนตรีสักวงหนึ่ง มาน�ำเสนออย่างละเอียดลออ และตรงไปตรงมา ซึ่งไม่เพียงแต่จะท�ำให้เราได้เห็นความใฝ่ฝันของ คนหนุ่ม และความเหี้ยมโหดของธุรกิจดนตรีได้อย่างชัดเจนเท่านั้น แต่มันยังเป็นบทเรียนที่ไม่เคยล้าสมัยส�ำหรับใครก็ตามที่มีความฝัน 7 ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม

ปีที่ 7 (พฤศจิกายน 2553 – ตุลาคม 2554) ปีที่ 8 (พฤศจิกายน 2554 – ตุลาคม 2555) ‘ให้’ กันเถอะเรา ชีวิตสุดประหยัด 8 คอลัมน์ Project ที่อยู่ใน HIP ในยุคขวบปีที่เจ็ดนั้นมักจะมีเรื่องราว เป็นหนังสือแนะน�ำที่กินที่เที่ยว บางคนอาจจะคิดว่า HIP เน้นแต่กินหรูอยู่สบาย เกี่ยวกับงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสกว่า จริงๆ แล้ว HIP ก็ไม่ต่างไปจากใครคนอื่นหรอก กินข้าวแกงได้ (บ่อยด้วย) เวลาทรัพย์จาง มาน�ำเสนออยู่บ่อยครั้ง การหวนกลับไปดูเรื่องราวเหล่านั้นแล้วน�ำมาเล่า ก็กินมาม่าได้ (บ่อยด้วยเหมือนกัน ฮ่าๆ) หรือตอนไหนที่เศรษฐกิจไม่เป็นใจ อะไรที่จะช่วย สู่กันฟังอีกครั้งตรงนี้ ก็เพราะอยากจะชวนให้ทุกคนได้ฉุกคิดว่า ในโลกนี้ ให้สิ้นเปลืองน้อยลงได้ เราก็ท�ำ มีคนที่ล�ำบากกว่าเราอีกมากมาย และในเชียงใหม่นี้ก็ไม่เว้น ดังนั้นหาก ในยามที่เห็นคนบ่นกันนักว่าท�ำมาหากินไม่ค่อยคล่อง เงินทองไม่ค่อยจะมี ท�ำให้เรา 10 ปีที่ผ่านมานี้ใครที่ได้ช่วยเหลือที่ด้อยโอกาสกว่าเราอยู่แล้ว ก็ขอให้ หวนนึกถึงการแนะน�ำร้านที่ทั้งรสชาติใช้ได้และราคาน่ารักในขวบปีที่แปด รวมไปถึงบรรดา ท่านได้ท�ำต่อๆ ไป ส่วนใครที่ยังไม่เคยหรือไม่คิดจะท�ำ อยากจะบอกว่า แหล่งรวมข้าวของมือสองที่เป็นประโยชน์ แล้วอยากจะบอกคุณๆ ว่าลองตามไปในที่ๆ เรา การช่วยเหลือคนอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักหรอก ท�ำบ้างก็ได้ แนะน�ำดูก็ได้นะ เผื่อว่าจะพอช่วยให้คุณๆ ประหยัดค่าใช้จ่ายกันได้บ้าง เพราะไอ้สถานการณ์ ท�ำแล้วสุขใจดีด้วยนะ ฝืดเคืองเนี่ย ใน 10 ปีที่ผ่านมาก็เกิดแล้วหลายหน และดูท่าทางจากนี้ไปเดี๋ยวก็คงมีอีก 38: B SIDE HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 ปีที่ 4 (พฤศจิกายน 2550 – ตุลาคม 2551) 4 ใครๆ ก็รักเชียงใหม่ ปีที่สี่ของ HIP เป็นปีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของคนที่ ‘รัก’ เชียงใหม่ ในแง่มุมต่างๆ บ้างก็ถ่ายรูปเชียงใหม่ในมุมที่ชื่นชอบ บ้างก็มีสถานที่ ที่ประทับใจและระลึกถึงอยู่เสมอ บางคนก็ชอบเพราะมีสิ่งที่ท�ำให้เขา หรือเธอประทับใจและสนุกสนาน กระทั่งบางคนยังถึงกับบอกเลยว่า อยู่ที่นี่แล้วสบายดีจะตาย เราเชื่อว่าไม่ต้องถามว่าผ่านไป 10 ปี แล้วยังรักเชียงใหม่อยู่ไหม เรื่องนี้ไม่ว่าจะถามกันเมื่อไหร่ คนอ่าน HIP ก็คงตอบว่ารักเชียงใหม่ เหมือนกันทั้งนั้นแหละ คุณว่าจริงไหม? ปีที่ 6 (พฤศจิกายน 2552 – ตุลาคม 2553) 6 ‘เหล้า’ เชียงใหม่ และยุคสมัยของฟิกซ์ เกียร์ เปล่าหรอก เราไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องนี้เพราะคิดจะชวนคุณๆ ดื่มแน่ๆ แต่ที่เรา น�ำเรื่องราวเกี่ยวกับเหล้าในเชียงใหม่ ซึ่งเคยถูกน�ำเสนอในขวบปีที่หกของเรา มาบอกเล่าตรงนี้ ก็เพราะนี่คือตัวอย่างของการท�ำธุรกิจที่น�ำองค์ความรู้ที่มีแต่เดิม มาพัฒนา ปรับปรุง และเพิ่มความน่าสนใจเพื่อให้สามารถออกไปต่อสู้ในโลกการค้า ที่แข่งขันกันอย่างรุนแรงได้ ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้ เราเชื่อว่าใช้ได้ไม่เพียงแค่ใน 10 ปี ทว่าน่าจะเป็นวิธีคิดที่ไม่มีวนหมดอายุ และไม่เสียหายที่จะทดลองมากกว่า ในช่วงเวลาเดียวกัน ท่ามกลางกระแสของจักรยานแบบฟิกซ์ เกียร์ที่ในเวลานั้น ‘ฮิต’ สุดๆ HIP ได้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งนี้เอาไว้ และแม้ทุกวันนี้ฟิกซ์ เกียร์ จะผ่านพ้นช่วงเวลา ‘ยอดนิยม’ ไปแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘กระแส’ ในวันนั้น ได้ท�ำให้หลายต่อหลายคน หันมาสนใจจักรยานมากขึ้นในเวลาต่อมา

ปีที่ 10 (พฤศจิกายน 2556 – ตุลาคม 2557) เพื่อนรักสัตว์เลี้ยง

เรื่องราวเกี่ยวกับเชียงใหม่ใน HIP ไม่ได้มีแค่คน สถานที่ สิ่งของ หรือกิจกรรมเท่านั้น แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนร่วมโลกที่เป็นสัตว์เลี้ยง อย่างสุนัขและแมวด้วย เรื่องของสุนัขนั้นมีให้อ่านกันมาเรื่อยๆ ส่วนแมว ปีที่ 9 (พฤศจิกายน 2555 – ตุลาคม 2556) เพิ่งจะได้ฤกษ์มาปรากฏตัวใน HIP ก็ตอนขวบที่ที่สิบนี้เอง อ่านเรื่องแมวๆ ทั้งหลายไปแล้ว เดี๋ยวอีก 10 ปีข้างหน้าเราจะมาถกกันอีกทีว่าแมวครองโลก เชียงใหม่น่าถีบ (และเชียงใหม่) ไปแล้วหรือยัง แต่ที่แน่ๆ เชียงใหม่มีคาเฟ่แมวแล้วนะ

จักรยานกับ HIP นั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัวตรงไหน เรามีเรื่องเกี่ยวกับ 9 จักรยานให้ได้อ่านกันอยู่เรื่อยๆ (อย่างเรื่อง ฟิกซ์ เกียร์ที่เพิ่งกล่าวถึง 10 ก่อนหน้านี้) หรือคนท�ำงานที่นี่ (ตั้งแต่เจ้านายยันลูกน้อง) ก็เป็น ‘สิงห์นักปั่น’ กันอยู่หลายคน จะว่าไปแล้วการที่เรื่องราวเกี่ยวกับเชียงใหม่และจักรยาน มาปรากฏอยู่ในขวบปีที่เก้านั้นอาจจะดูช้าไปด้วยซ�้ำ แต่เชื่อเถอะว่าที่เรา ท�ำเรื่อง ‘เชียงใหม่น่าถีบ’ ก็เพราะอยากให้เชียงใหม่เป็นเมืองที่จักรยาน อยู่กับผู้คน และเพื่อนร่วมถนนชนิดอื่นๆ ได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ปั่นกันเท่ๆ หรืออยู่กันแบบต่างคนต่างไป ไร้ซึ่งความเอื้อเฟื้อและเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อที่เชียงใหม่จะได้น่าอยู่ และเป็นเมืองแห่งจักรยานอย่างที่หลายๆ คน ใฝ่ฝันเสียที อ้อ! แต่ก่อนอื่นนี่ขอเลนจักรยานที่จักรยานใช้งานได้จริงๆ ก่อนละกันนะ ไม่ใช่ท�ำเลนจักรยานมาทั้งที แต่ดันกลายเป็นที่จอดรถ (เหมือนที่เป็นอยู่หลายๆ ที่ในทุกวันนี้) กันเสียอย่างนั้น

HIP MAGAZINE NOVEMBER 2014 B SIDE :39